Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ความหลากหลายเบ่งบาน เชียงรายเตรียมจัด Pride Month ยิ่งใหญ่ 22 มิ.ย.

เชียงรายพร้อมจัดงาน Chiang Rai Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียม สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกกลุ่มหลากหลายทางเพศ

เชียงราย, 11 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมแห่งความเท่าเทียมและเปิดกว้างสู่ความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเตรียมจัดงาน “Chiang Rai Pride Month 2025” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมุ่งสร้างบรรยากาศของการยอมรับและความเข้าใจในความแตกต่างของทุกกลุ่มคน สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองเหนือในฐานะพื้นที่ที่เคารพและให้เกียรติทุกอัตลักษณ์ พร้อมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เวทีประชุมระดมความคิด รัฐ-เอกชน-ภาคีเครือข่ายร่วมมือ

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายหลากหลาย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะทำให้กิจกรรมครั้งนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและแรงบันดาลใจสำหรับคนเชียงรายและผู้มาเยือนจากทั่วทุกภูมิภาค

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเปิดการประชุมว่า
“วันนี้เราได้เปิดเวทีหารือร่วมกัน เพื่อต่อยอดแนวทางจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความเป็นเอกภาพ สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดทั้งในมิติการท่องเที่ยว สังคม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เราต้องการให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในด้านนี้อย่างแท้จริง”

งานไฮไลท์กลางเดือนมิถุนายน จุดประกายสีสันแห่งความภาคภูมิใจ

เดือนมิถุนายนของทุกปีทั่วโลกถูกยกให้เป็น “Pride Month” หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยจังหวัดเชียงรายร่วมกับมูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย เตรียมจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกิจกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า และลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เฉลิมฉลองอัตลักษณ์อย่างเท่าเทียม” (Celebrate Identity with Equality) โดยตั้งเป้าสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมขับเคลื่อนพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมีโอกาสแสดงออกอย่างเสรี ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

ไฮไลท์กิจกรรมพาเหรด เสวนา การแสดงวัฒนธรรม ประกวด Pride Ambassador

กิจกรรมสำคัญจะประกอบด้วย

  • ขบวนพาเหรด Pride Parade: เริ่มต้นจากลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า เคลื่อนผ่านอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผ่านหอนาฬิกา และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย สร้างสีสันและพลังแห่งการรวมตัวของผู้คนทุกวัย ทุกกลุ่ม
  • เวทีเสวนา: หัวข้อเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
  • การประกวด Pride Ambassador: เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถในกลุ่มหลากหลายทางเพศได้แสดงออกถึงศักยภาพ สร้างแรงบันดาลใจ
  • การแสดงทางวัฒนธรรม: นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นกับสากลอย่างกลมกลืน

เป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความเท่าเทียม

คณะผู้จัดงานมีเป้าหมายชัดเจนว่า Chiang Rai Pride Month 2025 จะเป็นทั้งเวทีสื่อสารเชิงบวกในระดับจังหวัดและภูมิภาค ช่วยสร้างบรรยากาศของการยอมรับ ความกลมเกลียวในสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งความเท่าเทียมและความหวัง

เชียงรายกับบทบาทผู้นำเมืองปลอดภัยและเท่าเทียม

การจัดกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตลอดจนตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองแห่งโอกาสและความหวังสำหรับทุกคน หากความสำเร็จของงานปีนี้เดินหน้าต่อเนื่อง จะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศนำไปขยายผล สร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นมิตรกับทุกกลุ่มประชากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รัฐบาลทุ่ม ‘พันล้าน’ พัฒนา 141 โครงการพลิกโฉม ‘เชียงราย’

จังหวัดเชียงรายเดินหน้า141 โครงการ พัฒนาท้องถิ่น ใช้งบกว่า 1,000 ล้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต-เกษตรกรรม-ท่องเที่ยว

เชียงราย,31 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางเป้าหมายในการสร้างจังหวัดเชียงรายให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ รัฐบาลกลางได้เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดจัดทำข้อเสนอแผนพัฒนาพื้นที่เพื่อนำเสนอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ภายใต้กรอบวงเงินรวมกว่า 157,000 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เร่งจัดทำแผนโครงการพัฒนาจำนวน 141 รายการ วงเงินรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาท ครอบคลุม 18 อำเภอทั่วจังหวัด โดยเน้นหนักในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการน้ำ การป้องกันตลิ่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว และความปลอดภัยในชุมชน

การเคลื่อนไหวเชิงนโยบายนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน หากแต่ยังเป็นการต่อยอดจากปัญหาที่มีมานาน ทั้งถนนชำรุด น้ำท่วมซ้ำซาก และการขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชียงรายเริ่มกลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนและนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้นของการเสนอแผนงบประมาณเชิงพื้นที่

ในช่วงต้นปี 2568 จังหวัดเชียงรายได้จัดประชุมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และภาคประชาสังคม เพื่อรวบรวมปัญหาและความต้องการเร่งด่วนในพื้นที่ ก่อนจะสังเคราะห์เป็นแผนงบประมาณ โดยให้ความสำคัญกับการกระจายงบอย่างเป็นธรรม และเน้นผลสัมฤทธิ์เชิงพื้นที่อย่างแท้จริง

โครงการทั้งหมดถูกรวบรวมและจัดลำดับความสำคัญ โดยสำนักงานจังหวัดเชียงราย และนำเสนอเข้าสู่ระบบงบประมาณตามกรอบของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและสาธารณูปโภค
  2. พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค
  3. ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ
  4. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวชุมชน
  5. เสริมความปลอดภัยในพื้นที่และความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

วิเคราะห์โครงการเด่นและผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

  1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและถนน (วงเงินรวมประมาณ 330 ล้านบาท)
  • ถนน คสล. สาย ชร.ถ.69-146 บ้านโป่งเกลือใต้ อ.เมือง วงเงิน 11,166,000 บาท ครอบคลุมประชาชน 988 คน
  • งานบำรุงทางหลวง 1098 และ 1429 ใน อ.แม่จัน และ อ.เชียงแสน ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท
  • ถนนสายรองในพื้นที่ชนบทอีกกว่า 10 โครงการ ครอบคลุมผู้ใช้งานรวมกว่า 100,000 คน
  1. ระบบน้ำเพื่อการเกษตรและชลประทาน (วงเงินรวมกว่า 400 ล้านบาท)
  • สถานีสูบน้ำบ้านสบคำ อ.เชียงแสน วงเงิน 45 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 1,500 ไร่
  • ขุดลอกลำห้วยน้ําเหลือง ต.ท่าสุด อ.เมือง วงเงิน 497,500 บาท ได้ประโยชน์กว่า 12,000 คน
  • ปรับปรุงอ่างเก็บน้ำหนองแหวน และอ่างใน ต.นางแล รวมกว่า 10 โครงการ
  1. ป้องกันตลิ่งและภัยธรรมชาติ (รวมกว่า 100 ล้านบาท)
  • เขื่อนริมแม่น้ำกก หลังศูนย์ราชการ อ.เมือง วงเงิน 1,292,000 บาท คุ้มครอง 500 ครัวเรือน
  • เขื่อนริมแม่น้ำลาว บ้านเฟือยไฮ อ.เวียงป่าเป้า งบ 2.8 ล้านบาท ปกป้องพื้นที่เกษตรกว่า 1,500 ไร่
  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวและความปลอดภัย (วงเงินรวมกว่า 25 ล้านบาท)
  • ปรับปรุงสวนญี่ปุ่น – สวนตุง – สวนหิน อ.เวียงเชียงรุ้ง วงเงินรวม 1.5 ล้านบาท
  • รถรางนำเที่ยว บ้านโป่งศรีนคร ต.โรงช้าง งบ 900,000 บาท
  • กล้องวงจรปิด 120 จุด ต.โรงช้าง งบ 1.2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความมั่นใจนักท่องเที่ยว

ใครได้ประโยชน์จากแผนนี้

จากการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ พบว่าประชาชนกว่า 250,000 คนใน 18 อำเภอจะได้รับประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนสาธารณูปโภค โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลัก ได้แก่:

  • เกษตรกร ได้รับประโยชน์จากระบบน้ำและการชลประทานที่เพิ่มขึ้น
  • ผู้สัญจรและชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ได้ใช้ถนนใหม่ ปลอดภัยขึ้น และลดเวลาเดินทาง
  • ผู้ประกอบการในชุมชนและภาคการท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มระบบโครงสร้างและเครื่องมือสนับสนุน
  • ประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในระบบความปลอดภัยมากขึ้นจากกล้อง CCTV และเขื่อนป้องกันน้ำหลาก

วิเคราะห์แนวโน้มและผลลัพธ์เชิงระบบ

แม้งบประมาณที่เสนอยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่โครงการที่นำเสนอมีความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและเป้าหมาย BCG Economy ได้แก่

  • การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ผ่านระบบสูบน้ำและฝายแบบประหยัดพลังงาน
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนและใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น
  • การสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ ผ่านงานก่อสร้างและระบบบริการในแต่ละโครงการ

ในระยะยาว หากโครงการทั้งหมดได้รับงบสนับสนุนและบริหารจัดการได้อย่างโปร่งใส จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมศักยภาพของเชียงรายในการเป็นเมืองเศรษฐกิจชายแดนเต็มรูปแบบ

สถิติประกอบข่าว

  • จำนวนโครงการทั้งหมด 141 โครงการ
  • วงเงินรวม1,226,677,700 บาท
  • ประชาชนที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ราว 250,000 คน
  • พื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับการพัฒนา มากกว่า 20,000 ไร่
  • งบโครงสร้างพื้นฐาน 330 ล้านบาท
  • งบระบบน้ำ 400 ล้านบาท
  • งบป้องกันภัยพิบัติ: 100 ล้านบาท
  • งบท่องเที่ยวและความปลอดภัย 25 ล้านบาท

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงรายเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ควรมีแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม

  1. จัดให้มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างโปร่งใส
    ควรเผยแพร่ความคืบหน้าการดำเนินโครงการผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสาธารณะของจังหวัด พร้อมรายละเอียดงบประมาณที่ใช้ในแต่ละช่วง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
  2. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับอำเภอ
    การจัดประชุมหรือเวทีเสวนาร่วมกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับโครงการ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และปรับแผนให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของพื้นที่
  3. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผล
    เช่น การสร้างระบบฐานข้อมูลกลางหรือแดชบอร์ดออนไลน์ที่แสดงความก้าวหน้าของแต่ละโครงการแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
  4. บูรณาการแผนงานร่วมกับส่วนกลางและท้องถิ่น
    การเชื่อมโยงเป้าหมายของจังหวัดกับแผนระดับกระทรวง หน่วยงานรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะช่วยให้การดำเนินงานไม่ซ้ำซ้อนและสามารถต่อยอดเป็นโครงการเชิงระบบในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เอกสารงบประมาณ “บัญชีโครงการที่เสนอขอภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงราย” จากสำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลสถิติจำนวนประชากร: สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567)
  • แผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566 – 2570
  • แนวทางการจัดทำงบประมาณภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 จากสำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ยันจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” ที่เซ็นทรัล

เชียงรายไพรด์ 2025 – งานแห่งความกล้าหาญและความเท่าเทียม สะท้อนพลังบวกในสังคมและปักหมุดเชียงรายสู่เมืองต้นแบบแห่งความหลากหลายของประเทศไทย

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมการจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” เพื่อส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และเสริมสร้างพลังบวกแก่ชุมชน LGBTQIA+ จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง หวังสร้างวัฒนธรรมใหม่แห่งความเท่าเทียมในสังคม

 

เชียงรายจับมือทุกภาคส่วน ประกาศจัด “เชียงรายไพรด์ 2025”

เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 15.00 น. ที่ห้องธรรมปัญญา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย แถลงข่าวร่วมกับนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย และนายพงศ์ภีระ พัฐภีระพงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ตัวแทนภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง รวมถึงเยาวชนและกลุ่ม LGBTQIA+ เข้าร่วมงานอย่างคึกคัก สะท้อนพลังการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วนในพื้นที่

ผลักดันสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และพลังบวกในสังคม

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ระบุว่า “เชียงรายไพรด์ 2025” ถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงออกถึงพลังแห่งความกล้าหาญ การยืนหยัด และการสนับสนุนสิทธิของพี่น้องผู้มีความหลากหลายทางเพศในจังหวัดเชียงรายและสังคมไทยโดยรวม ย้ำว่า อบจ.เชียงรายให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาโดยตลอด

รองนายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวอีกว่า “ความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความงดงามในวัฒนธรรมของสังคม ควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง เชียงรายคือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างปลอดภัย ภาคภูมิใจ และมีคุณค่า”

การจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” สร้างพื้นที่ปลอดภัยและเฉลิมฉลองอัตลักษณ์

งาน “เชียงรายไพรด์ 2025” จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ด้วยความร่วมมือจากมูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย และเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ภายในงานจะมีกิจกรรมเฉลิมฉลองและขบวนพาเหรดแห่งความภาคภูมิใจ รณรงค์ให้เกิดการยอมรับในความหลากหลายทางเพศ เวทีเสวนา และกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อชุมชน LGBTQIA+ พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่น

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว และภาคการศึกษาในจังหวัดอย่างกว้างขวาง เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายสู่เมืองแห่งความเท่าเทียมในระดับสากล

มุมมองและเสียงจากชุมชน LGBTQIA+ และเยาวชน

ภายในงานแถลงข่าวมีอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังของเชียงราย อาทิ ซัดดัมโซคิ้ว และมิว ลำสูลำ ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตในฐานะบุคคลหลากหลายทางเพศ พร้อมทั้งตัวแทนเยาวชนจากโครงการ MPLUS Ambassador ร่วมเวทีเสวนา ส่งเสียงของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสังคมที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และให้คุณค่ากับทุกอัตลักษณ์

ผู้แทนเยาวชนได้กล่าวว่า “ความหวังของคนรุ่นใหม่ คือการสร้างสังคมที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า มีพื้นที่ให้แสดงออกอย่างอิสระ ปลอดภัย และปราศจากอคติ”

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและภาพลักษณ์เชียงราย

การจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” ไม่เพียงสร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน แต่ยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์จังหวัดเชียงรายในฐานะพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกเพศ เพิ่มโอกาสทางการท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องถิ่น ให้จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวและกลุ่ม LGBTQIA+ จากทั่วประเทศ

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม Pride ในหลายจังหวัด มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นแบบของการจัดงาน Pride สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงจัดงานกว่า 250 ล้านบาท และคาดว่าจังหวัดเชียงรายจะได้รับประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน

การพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางขับเคลื่อน

อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายยังเดินหน้าส่งเสริมบทบาทชุมชน LGBTQIA+ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านกิจกรรมให้ความรู้ การรณรงค์เชิงนโยบาย และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ และการพัฒนาทักษะเยาวชน เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกมิติ

จากข้อมูลของมูลนิธิเอ็มพลัส พบว่าจังหวัดเชียงรายมีประชากร LGBTQIA+ กว่า 6,000 คน หรือร้อยละ 2.5 ของประชากรทั้งจังหวัด และมีอัตราการเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี ในช่วงสามปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่เปิดกว้างและการยอมรับในพื้นที่

การวิเคราะห์และแนวโน้มอนาคต

เชียงรายไพรด์ 2025 เป็นมากกว่างานเฉลิมฉลอง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างสังคม ประชาชน เยาวชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐต่างเห็นพ้องร่วมกันว่า “ความหลากหลายคือพลังในการขับเคลื่อนสังคมไทย” การจัดงานในครั้งนี้จะนำไปสู่การวางรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ลดอคติทางเพศ และเสริมสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนประชากร LGBTQIA+ จังหวัดเชียงราย กว่า 6,000 คน (มูลนิธิเอ็มพลัส, 2567)
  • รายได้จากการจัดงาน Pride ของเชียงใหม่ปี 2566 กว่า 250 ล้านบาท (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • งาน Pride ส่งผลต่อการรับรู้สิทธิและอัตราการเปิดเผยตัวตนของบุคคลหลากหลายทางเพศ เพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี (มูลนิธิเอ็มพลัส, 2566)
  • อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQIA+ มีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี (สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
  • อินฟลูเอ็นเซอร์และตัวแทนเยาวชนโครงการ MPLUS Ambassador
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

เที่ยวเชียงรายยามเย็น เส้นทางใหม่ “แสงเวียง”

เชียงใหม่จัดประชุมออกแบบเส้นทาง “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” 6 จังหวัดภาคเหนือ เชื่อมโยงเมืองเก่า สู่วิถีใหม่ทางวัฒนธรรม

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องดอยหลวง ชั้น 24 โรงแรมดวงตะวันเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดประชุมหารือภายใต้โครงการ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองเก่าอารยธรรมล้านนา” เพื่อออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ในชื่อว่า “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า ผ่านการนำเสนออัตลักษณ์ล้านนาในช่วง “ยามแลง” หรือช่วงเย็น ด้วยกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างกลมกลืน

การประชุมระดับภูมิภาค – ความร่วมมือระหว่าง 6 จังหวัดล้านนา

ในการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงาน มีหัวหน้าส่วนราชการจากทั้ง 6 จังหวัดเข้าร่วม ประกอบด้วย วัฒนธรรมจังหวัด พัฒนาชุมชนจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว

จากจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายยุทธนา สุทธสม นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนางสาวมณฑา กิติมา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ เข้าร่วมประชุม ร่วมกับคุณสิกัญพัสส์ ปาละวรรณ์ กรรมการสมาคมมัคคุเทศก์จังหวัดเชียงราย โดยการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

3 เวทีวิชาการ บรรยายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อออกแบบเส้นทาง

การประชุมประกอบด้วยการบรรยาย 3 หัวข้อ ได้แก่

  1. “เสน่ห์เมืองเก่า คุณค่าอารยธรรมล้านนา” โดยอาจารย์ภูเดช แสนสา นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  2. “การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากวิถีชีวิตและต้นทุนวัฒนธรรม” โดยอาจารย์นรพรรณ โพธิพฤษ์ หัวหน้าภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยว ม.ฟาร์อีสเทอร์น
  3. “การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว ‘มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา’” โดยคุณธนกร สมฤทธิ์ จากบริษัท เกรท มอร์ โซลูชั่น จำกัด

หัวใจของการออกแบบเส้นทางอยู่ที่การใช้ทุนวัฒนธรรมเป็นฐาน เสริมด้วยความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดการท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพักค้างในพื้นที่ เดินทางซ้ำ และเกิดรายได้หมุนเวียนภายในชุมชน

“6 แสง” – เส้นทางนำร่องตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น

เส้นทางท่องเที่ยวนำร่องภายใต้โครงการนี้มีชื่อเรียกตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ดังนี้:

  • แสงธรรม แสงมู (เชียงใหม่)
  • แสงเวียง (เชียงราย)
  • แสงศรัทธา (พะเยา)
  • แสงกาด (ลำปาง)
  • แสงแห่งวิถี (ลำพูน)
  • แสงสี…ปายยามเย็น (แม่ฮ่องสอน)

แนวคิด “6 แสง” ไม่เพียงเป็นการตั้งชื่อเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา และเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น ที่จะถูกนำเสนอผ่านกิจกรรมและประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในช่วงเย็นถึงค่ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแนวโน้มในอนาคต

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า การส่งเสริมเส้นทางเมืองเก่าในช่วงเย็นถือเป็นการใช้จังหวะเวลาที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การใช้จ่ายในช่วงค่ำคืนมีแนวโน้มสูงขึ้นและเพิ่มเวลาการพักในพื้นที่ ส่งผลต่อการหมุนเวียนเศรษฐกิจชุมชนโดยตรง

ขณะที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ชี้ว่า เส้นทางเมืองเก่าแบบ “แสงล้านนา” มีโอกาสขยายผลในเชิงพื้นที่และเชิงธีมต่อยอด เช่น แสงศิลป์ แสงเสียง แสงสุขภาพ เพื่อเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2567 พบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าพื้นที่เมืองเก่าใน 6 จังหวัดล้านนามีจำนวนรวมกว่า 5.4 ล้านคน/ปี โดยช่วงเย็น-ค่ำมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว 1,980 บาท/คน/วัน สูงกว่าช่วงกลางวันประมาณร้อยละ 26
  • การสำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ากิจกรรมวัฒนธรรมช่วงเย็นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา
  • รายงานของ CEA ระบุว่า การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากต้นทุนทางวัฒนธรรมสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้พื้นที่ได้เฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ทอท.โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก รายได้ทะลุเป้า หนุนสนามบินไทย

AOT เผยรายได้ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 พุ่งแตะ 36,235 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยาน 6 แห่งทั่วประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทย, 15 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) โดยมีรายได้รวม 36,235.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.98 สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการเดินทางภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบริการของท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้จากกิจการการบินเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ปริมาณเที่ยวบินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 414,377 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 237,511 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารรวมทั้งหมด 68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.76 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 42.34 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกิจการการบินอยู่ที่ 18,188.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง ร้อยละ 17.82

เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-บริการ-เทคโนโลยี มุ่งสู่ “Smart Airport – Smart Immigration”

เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว AOT ได้ดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องในท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่:

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ: กำลังดำเนินโครงการขยายศักยภาพรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง: เตรียมขยายขีดความสามารถจาก 30 ล้านคนเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2576
  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และภูเก็ต: อยู่ระหว่างพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 2 ในทั้งสองจังหวัด

ในด้านเทคโนโลยี AOT ได้นำระบบอัจฉริยะมาใช้บริการภายในสนามบินเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร อาทิ:

  • ระบบบริหารจัดการเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติ
  • ระบบโหลดสัมภาระอัตโนมัติ
  • ระบบสแกนใบหน้า (Biometric)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC)
  • การใช้ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) แทน ตม.6 แบบเดิม

ระบบเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลารอคอย เพิ่มความปลอดภัย และลดความแออัด โดยเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา

เดินหน้าพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์และร่วมลงทุน PPP สร้างรายได้ยั่งยืน

AOT ไม่เพียงมุ่งพัฒนาบริการสนามบิน แต่ยังได้ขับเคลื่อนโครงการพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • โครงการ AOT Property Showcase
  • โครงการ ลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
  • โครงการ คลังสินค้า
  • การก่อสร้างอาคาร Junction Building อาคารจอดรถ และศูนย์เชื่อมต่อระบบราง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง

โดยทั้งหมดนี้เปิดรับการลงทุนในรูปแบบ ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริการและสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจรอบสนามบินให้เข้มแข็ง

การพัฒนาที่ยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero Emissions

ด้านสิ่งแวดล้อม AOT ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยติดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ทั้งในระดับโลกและตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง 6 และ 10 ปี ตามลำดับ และยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings ระดับ A

AOT ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2587 ผ่านการดำเนินงาน เช่น:

  • การติดตั้งระบบ โซลาร์เซลล์
  • การใช้ พลังงานสะอาด
  • การเปลี่ยน ยานพาหนะในสนามบินเป็นระบบไฟฟ้า (EV)

ความสำเร็จระดับโลกสะท้อนภาพลักษณ์องค์กร

ปี 2025 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการจัดอันดับจาก Skytrax ให้เป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดอันดับที่ 39 ของโลก เพิ่มขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน และติดอันดับ 3 ท่าอากาศยานที่พัฒนาดีที่สุดในโลก ขณะเดียวกันอาคาร SAT-1 ยังคว้ารางวัล Prix Versailles 2024 ในฐานะท่าอากาศยานที่สวยที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับบทบาทในระบบการบินภาคเหนือ

แม้จะเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค แต่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูมิภาคเหนือกับศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มประเทศ และยังได้รับการรับรอง ระดับ 2 (Level 2) ด้านคุณภาพบริการภายใต้โครงการ Customer Experience จากสภาท่าอากาศยานนานาชาติ (ACI) ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของสนามบินในพื้นที่ระดับจังหวัด

บทบาท AOT ต่อเศรษฐกิจไทยและเชียงราย

จากภาพรวมการดำเนินงานของ AOT จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน โดยมีการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สนามบินไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ในขณะที่สนามบินระดับภูมิภาคอย่าง แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอิงกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวภาคเหนือที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์แบบองค์รวมของ AOT ที่ไม่เน้นเพียงสนามบินหลักในเมืองใหญ่ แต่ยังพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

รายการ

ข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

รายได้รวม AOT

36,235.82 ล้านบาท

รายงาน AOT, พ.ค. 2568

กำไรสุทธิ

10,397.57 ล้านบาท

AOT

จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด

414,377 เที่ยวบิน

AOT

จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด

68.42 ล้านคน

AOT

เที่ยวบินระหว่างประเทศ

237,511 เที่ยวบิน

AOT

เที่ยวบินภายในประเทศ

176,866 เที่ยวบิน

AOT

รายได้จากกิจการการบิน

18,188.15 ล้านบาท

AOT

เป้าหมาย Net Zero Emissions

ภายในปี 2587

รายงานความยั่งยืน AOT

ระดับการรับรองบริการ ACI (เชียงราย)

Customer Experience Level 2

Airport Council International

AOT ยืนยันศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาค ด้วยการพัฒนาเชิงรุก ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การให้บริการ และความยั่งยืน สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชาติควบคู่กับการยกระดับท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เชียงรายสองขั้ว ‘ภาษีพุ่ง’ ธุรกิจซบเซา ท้าทายเศรษฐกิจฐานราก

เศรษฐกิจเชียงราย: การเติบโตท่ามกลางความท้าทาย สะท้อนสองขั้วแห่งความจริง

เชียงราย ในช่วง เดือนพฤษภาคม 2568 ที่ประเทศไทย – กำลังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและภายในประเทศ รายงานล่าสุดจากกรมสรรพากรเผยให้เห็นถึงความสำเร็จในการจัดเก็บรายได้ภาษีประจำเดือนเมษายน 2568 ที่สูงเกินเป้าหมายถึง 7,732 ล้านบาท สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในเชิงบวกในระดับมหภาค อย่างไรก็ตามเมื่อมองในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ภาพที่ปรากฏกลับซับซ้อนกว่าที่ตัวเลขแสดง ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจในไตรมาสแรกของปี 2568 สวนทางกับเสียงสะท้อนจากพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่นที่เผชิญกับความยากลำบากในการค้าขาย และนี่จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึง “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เศรษฐกิจไทยในภาพรวม

ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – เมษายน 2568) กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้รวมถึง 1,138,182 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 47,325 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณถึง 17,950 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.6 โดยเฉพาะในเดือนเมษายน 2568 การจัดเก็บราย ได้ภาษีอยู่ที่ 171,921 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11,052 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า “ปัจจัยหลักที่ทำให้การจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าคือการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศ (ภ.พ. 30) ซึ่งสูงกว่าปีก่อนถึงร้อยละ 11.0 รวมถึงภาษีเงินได้จากการจ่ายเงินปันผลและการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ (ภ.ง.ด. 54) และภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่สูงกว่าประมาณการ”

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในบางภาคส่วน โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การเติบโตในระดับมหภาคนี้ ไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นจริงในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างจังหวัดเชียงราย

เศรษฐกิจเชียงราย – การเติบโตที่ซ่อนความท้าทาย การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ สัญญาณบวกที่อาจเป็นภาพลวงตา

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม) จังหวัดเชียงรายมีการจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ถึง 241 ราย ครองอันดับที่ 2 ในภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการจดทะเบียนถึง 991 ราย และสูงกว่าจังหวัดพิษณุโลกที่มี 135 ราย การเติบโตของการจดทะเบียนในเชียงรายส่วนใหญ่มาจากภาคบริการ ซึ่งมีถึง 143 ราย ตามมาด้วยภาคการค้าส่งและค้าปลีก 89 ราย และภาคการผลิตเพียง 9 ราย

ในแง่มูลค่าทุนจดทะเบียน ธุรกิจใหม่ในเชียงรายมีมูลค่ารวม 324.718 ล้านบาทในไตรมาสแรก โดยเดือนมกราคมมีมูลค่า 138.652 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ 105.23 ล้านบาท และเดือนมีนาคม 80.836 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเคลื่อนไหวในภาคธุรกิจที่ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระดับชุมชน เมื่อพิจารณาจากเสียงสะท้อนของผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ กลับพบว่าภาคธุรกิจขนาดเล็กและการค้าปลีกในท้องถิ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก

เสียงจากฐานราก ความยากลำบากของพ่อค้าแม่ค้า

ในเขตเมืองเชียงราย โดยเฉพาะในย่านตลาดชุมชน เช่น ถนนคนเดินทั้งในและนอกจังหวัดหรือกาดหลวง พ่อค้าแม่ค้าต่างสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างรุนแรง “ตอนนี้เศรษฐกิจเมืองเชียงรายย่ำแย่มาก ตลาดไม่มีคนเดิน พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ คนไม่มีเงินซื้อของ รายได้เหลือวันละไม่กี่ร้อย” พ่อค้าจากตลาดกาดเกยระบุ ขณะที่แม่ค้าจากกาดหลวงกล่าวเสริมว่า “ยอดขายลดลงจากวันละ 1,000–2,000 บาท เหลือไม่ถึง 300 บาท ไม่มีนักท่องเที่ยว ถนนคนเดินเงียบเหงา”

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท้องถิ่นบางรายตั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างถิ่นหรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งไม่สะท้อนถึงสถานการณ์ของผู้ประกอบการในท้องถิ่น “ที่จดทะเบียนกันเยอะ อาจเป็นทุนจากต่างชาติหรือทุนจีนเทา คนไทยในพื้นที่ยังลำบากมาก” ผู้ประกอบการรายหนึ่งระบุ

ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเชียงราย

  1. การชะลอตัวของการท่องเที่ยว
    เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เช่น วัดร่องขุ่น ดอยแม่สลอง และสามเหลี่ยมทองคำ อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลท่องเที่ยวที่สั้นและการลดลงของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้รายได้จากภาคท่องเที่ยวไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่ถนนคนเดินและสถานที่ท่องเที่ยวเงียบเหงา
  2. ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ
    ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควันที่รุนแรงในช่วงต้นปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในพื้นที่ระบุว่า “นักท่องเที่ยวกลัวหมอกควัน มาเชียงรายแล้วเจออากาศแย่ ก็ไม่อยากกลับมาอีก” ปัญหานี้ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเพิ่มต้นทุนด้านสุขภาพของประชาชน
  3. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น
    ค่าครองชีพ ค่าไฟ ค่าขนส่ง และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่มีกำไรเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อ
  4. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
    การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์และบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านทำให้ผู้บริโภคในเชียงรายหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าออฟไลน์ โดยเฉพาะในตลาดท้องถิ่น ได้รับผลกระทบอย่างหนัก “คนไม่เดินตลาดแล้ว สั่งของออนไลน์ถูกกว่า สะดวกกว่า” แม่ค้าจากกาดหลวงระบุ
  5. ขาดมาตรการสนับสนุน SME
    ผู้ประกอบการรายย่อยในเชียงรายเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งทุนและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ขาดกลไกประกันความเสี่ยง และการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากต้องปิดกิจการ
  6. ความเหลื่อมล้ำทางการค้า
    ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มทุนจากต่างถิ่นยังคงเติบโตได้ ธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่นกลับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม การจัดงานอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ มักเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสถานที่และผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่ ขณะที่ร้านค้าในท้องถิ่นไม่ได้รับผลประโยชน์เท่าที่ควร

เศรษฐกิจสองขั้วของจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลทั้งในเชิงสถิติและข้อเท็จจริงในพื้นที่ เชียงรายกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่ชัดเจน

  • เศรษฐกิจบน (Upper Economy)
    เศรษฐกิจในระดับนี้ขับเคลื่อนโดยกลุ่มทุนใหญ่ การลงทุนจากต่างถิ่น และกิจกรรมเศรษฐกิจขนาดกลางถึงใหญ่ เช่น การค้าชายแดน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนนและทางรถไฟ ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการและค้าส่ง/ค้าปลีก สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวในระดับนี้
  • เศรษฐกิจล่าง (Lower Economy)
    เศรษฐกิจในระดับฐานราก ซึ่งรวมถึงตลาดสด ชุมชน และร้านค้าปลีกขนาดเล็ก กำลังเผชิญกับภาวะซบเซา ผู้ประกอบการรายย่อยต้องต่อสู้กับต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อของออนไลน์ ส่งผลให้ร้านค้าจำนวนมากต้องปิดกิจการหรืออยู่ในสภาวะ “เสี่ยงตาย”

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่วัดจากตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจหรือรายได้ภาษีในระดับมหภาคอาจไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงในระดับชุมชนได้อย่างครบถ้วน หากไม่มีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายย่อย การเติบโตของเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายในระยะยาว อาจกลายเป็น “การเติบโตที่ไม่สมดุล” และเพิ่มความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ได้

ทางออกสำหรับเชียงรายและประเทศไทย

เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสองขั้วในจังหวัดเชียงรายและส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีนโยบายและมาตรการที่ครอบคลุมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ดังนี้

  1. การสนับสนุน SME และผู้ประกอบการรายย่อย
    ภาครัฐควรมอบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ อบรมทักษะการค้าออนไลน์ และพัฒนาแพลตฟอร์มท้องถิ่นเพื่อให้ร้านค้าในจังหวัดเชียงรายสามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ได้
  2. การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
    การแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ต้องเป็นวาระเร่งด่วน โดยเฉพาะการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมการเผาในที่โล่ง และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
  3. การกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
    การส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาล การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ และการประชาสัมพันธ์เชิงรุกจะช่วยเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  4. การลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ
    การลดค่าไฟ ค่าขนส่ง และการควบคุมราคาวัตถุดิบจะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
  5. การลดความเหลื่อมล้ำทางการค้า
    การจัดงานอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยจัดสรรพื้นที่และโอกาสให้ร้านค้าในชุมชนได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม

ในระดับชาติ การที่กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตนี้ไปสู่ระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจอย่างจังหวัดเชียงราย จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม

สถิติสำคัญประกอบข่าว

รายการ

มูลค่า / จำนวน

แหล่งข้อมูล

รายได้ภาษีเดือนเมษายน 2568

171,921 ล้านบาท

กรมสรรพากร

สูงกว่าประมาณการงบ

+7,732 ล้านบาท (4.7%)

กรมสรรพากร

รายได้สะสม 7 เดือนแรก (ต.ค. 2567 – เม.ย. 2568)

1,138,182 ล้านบาท

กรมสรรพากร

จดทะเบียนธุรกิจใหม่ (เชียงราย) ไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

241 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

จดทะเบียนธุรกิจใหม่ (เชียงใหม่) ไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

991 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ธุรกิจบริการ (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

143 ราย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ธุรกิจขายส่ง/ค้าปลีก (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

89 ราย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

มูลค่าทุนจดทะเบียน (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

324.718 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ที่มา:

  • กรมสรรพากร (https://www.rd.go.th)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (https://www.dbd.go.th)
  • ข้อมูลจากจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

การเติบโตที่ต้องสมดุล

จังหวัดเชียงรายในวันนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน แม้ว่าตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่และรายได้ภาษีในระดับชาติจะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในระดับชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อยกลับต้องต่อสู้กับความยากลำบากจากต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสองขั้วในจังหวัดเชียงรายจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างสมดุลและครอบคลุมทุกกลุ่มในสังคม

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

ถ่ายภาพโดย : กีรติ ชุติชัย ทีมข่าว สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ต้องปรับจุดไหนถ้ารัฐบาลดัน “Amazing Thailand Year 2025”

ครม. เห็นชอบแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายพร้อมหรือยัง ถ้าต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือในการจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 39 ล้านคน และสร้างรายได้ถึง 3.4 ล้านล้านบาท จังหวัดเชียงรายได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของแคมเปญนี้ ด้วยศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน

ความท้าทายของการท่องเที่ยวไทยและโอกาสของเชียงราย

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2566 การท่องเที่ยวสร้างรายได้กว่า 2.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัยในปี 2567 ที่สร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้สร้างความท้าทายต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายจากน้ำท่วมและดินสไลด์ในเชียงรายทำให้ถนนและสะพานหลายแห่งไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวและการค้าชายแดนที่ด่านแม่สาย

ถึงกระนั้น ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายและโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนา รัฐบาลจึงริเริ่มแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเน้นเมืองรองที่มีศักยภาพสูง เช่น เชียงราย ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ดอยตุงและสามเหลี่ยมทองคำ และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่นและพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

รายละเอียดแคมเปญและการบูรณาการ

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) โดยมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มรายได้และพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า แคมเปญนี้มุ่งเน้นการบูรณาการพันธมิตรทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและเผยแพร่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่ระดับสากล โดยแบ่งแนวทางการดำเนินงานออกเป็น 11 ด้าน

แล้วจังหวัดเชียงรายสามารถทำอะไรได้บ้างใน 11 ข้อของแคมเปญ

  1. ด้านสายการบิน สนับสนุนสายการบินในประเทศด้วยการลดค่าธรรมเนียม เพิ่มเที่ยวบินในช่วงเทศกาล และขยายเส้นทางสู่เมืองรอง เช่น เชียงราย เพื่อลดความแออัดในเมืองหลัก เชียงรายสามารถผลักดันให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช่น งานลอยกระทงหรือปีใหม่ และพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน API เพื่อให้ข้อมูลเที่ยวบินเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นร่วมมือกับสายการบิน low-cost เพื่อจัดโปรโมชั่นตั๋วราคาพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงราย
  2. ด้านโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และบริษัททัวร์ยกระดับมาตรฐานโรงแรมและโฮมสเตย์ ร่วมมือกับแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงที่พักรายย่อย ส่งเสริมโฮมสเตย์ในชุมชนท้องถิ่น เช่น ชุมชนชาวเขาดอยช้าง ให้ได้มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย และร่วมมือกับแพลตฟอร์ม OTA เพื่อโปรโมทที่พักรายย่อยจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่รวมโฮมสเตย์และร้านอาหารพื้นเมืองในอำเภอแม่สาย
  3. ด้านห้างสรรพสินค้าและร้านค้า มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยว พร้อมพัฒนาระบบคืนภาษีอัตโนมัติ ร้านค้าท้องถิ่นในเชียงราย เช่น ตลาดไนท์บาซาร์ สามารถมอบส่วนลดและของที่ระลึก เช่น ผ้าทอมือล้านนา แก่นักท่องเที่ยว และติดตั้งเครื่องคืนภาษีอัตโนมัติในห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัลเชียงรายจัดแคมเปญ “Chiang Rai Shopping Festival” ที่มอบส่วนลด 10-20% สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  4. ด้าน OTAs (Online Travel Agency) จัดโปรโมชั่นแพ็คเกจท่องเที่ยวครอบคลุมเมืองรอง และส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ร่วมมือกับ OTA เช่น Agoda หรือ Booking.com เพื่อจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น พร้อมโปรโมชั่นส่วนลด สร้างแพ็คเกจ “Chiang Rai Cultural Journey” ที่รวมที่พัก ทัวร์วัด และอาหารพื้นเมือง
  5. ด้านระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ พัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว และจัดทำบัตร Amazing Pass สำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถโดยสารท้องถิ่นหรือรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงจัดทำบัตร “Chiang Rai Travel Pass” สำหรับการเดินทางไม่จำกัดใน 1 วัน
  6. ด้านความปลอดภัย: จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวครอบคลุม 77 จังหวัด และพัฒนาบริการ call center 1155 ให้เป็น one-stop service จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (TAC) ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น อำเภอแม่สาย และฝึกอบรมอาสาสมัครท่องเที่ยวให้เป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดศูนย์ TAC ที่สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมล่ามภาษาจีนและอังกฤษ
  7. ด้านการตรวจลงตรา (Visa) ขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าและพัฒนาระบบยื่นขอวีซ่าออนไลน์ สนับสนุนนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย เช่น จีนและอินเดีย และพัฒนาระบบยื่นวีซ่าออนไลน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด่านแม่สายจัดตั้งจุดให้ข้อมูลวีซ่าที่ด่านศุลกากรแม่สาย
  8. ด้าน Event จัดงานเทศกาลระดับสากล เช่น มหาสงกรานต์ และส่งเสริมการลงทุนในงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ จัดงานเทศกาลระดับนานาชาติ เช่น “Chiang Rai International Balloon Festival” หรือ “Chiang Rai Marathon” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจัดงานลอยโคมที่ถนนคนเดินเชียงราย พร้อมการแสดงวัฒนธรรมล้านนา
  9. ด้านแหล่งท่องเที่ยว ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติ และจัดกิจกรรม Night at The Museum ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และจัดกิจกรรม Night at The Museum ที่วัดร่องขุ่นหรือพิพิธภัณฑ์บ้านดำจัดงาน “Night at Wat Rong Khun” พร้อมการแสดงแสงสีและทัวร์ยามค่ำคืน
  10. ด้านประชาสัมพันธ์ ใช้สื่อเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย และร่วมมือกับ influencer ท่องเที่ยวในการสร้างคอนเทนต์จัดแคมเปญ #ChiangRaiVibes เพื่อเชิญชวนให้แชร์ภาพถ่ายแหล่งท่องเที่ยว
  11. ด้านอื่น ๆ พัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศ และจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยว ฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้พูดภาษาจีนและอังกฤษ และร่วมมือกับค่ายโทรศัพท์เพื่อจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเชียงรายจัดอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นในอำเภอเชียงแสนให้พูดภาษาจีนสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีน

แคมเปญนี้คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน และสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การกีฬา และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับสากล

การฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมของเชียงราย

จังหวัดเชียงรายเผชิญกับความท้าทายจากอุทกภัยในปี 2567 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ถนนและสะพานในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม การอนุมัติงบประมาณ 2,049.69 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานใน 17 จังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยเน้นการซ่อมแซมเส้นทางสำคัญ เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และทางหลวงชนบท

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายได้ดำเนินการหลายอย่าง ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนนและสะพานที่เสียหาย เพื่อให้การสัญจรในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น สามเหลี่ยมทองคำและดอยตุง เป็นไปอย่างราบรื่น
  2. การพัฒนาการเข้าถึง เพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัด
  3. การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัลเพื่อโปรโมทวัดร่องขุ่น สามเหลี่ยมทองคำ และงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น ประเพณีลอยกระทง
  4. การพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรมมัคคุเทศก์และอาสาสมัครท่องเที่ยวให้สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศ เช่น จีนและอังกฤษ

ความท้าทายและโอกาสของเชียงราย

  • โอกาสของเชียงราย
  1. การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ: เชียงรายสามารถเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงใหม่และพะเยา เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ
  2. การค้าชายแดน การฟื้นฟูถนนที่ด่านแม่สายจะช่วยกระตุ้นการค้าขายและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกีฬา การจัดงานเทศกาลและการแข่งขันกีฬาจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจวัฒนธรรมและกีฬา
  4. โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การลงทุนในถนนและระบบระบายน้ำจะช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติในอนาคต
  • ความท้าทายของเชียงราย
  1. โครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า การก่อสร้างในพื้นที่ภูเขาอาจล่าช้า ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อม
  2. การแข่งขันกับเมืองอื่น เชียงรายต้องแข่งขันกับเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีทรัพยากรมากกว่า
  3. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วมและดินสไลด์ในช่วงฤดูฝนอาจกระทบการท่องเที่ยว
  4. บุคลากรที่ขาดแคลน การขาดมัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศอาจจำกัดการให้บริการ

ตำแหน่งของเชียงราย

เชียงรายมีศักยภาพเป็น เมืองรองที่มีการเติบโตสูง ในแคมเปญนี้ โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกีฬา ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น เชียงรายสามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองหลักได้

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในเชียงราย: ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยว 3.2 ล้านคน สร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)
  2. ผลกระทบจากอุทกภัย: อุทกภัยในปี 2567 ทำให้ถนนในเชียงรายเสียหาย 10 แห่ง ส่งผลให้การท่องเที่ยวลดลง 20% ในบางช่วง (ที่มา: กรมทางหลวง, 2567)
  3. เป้าหมายของแคมเปญ: ดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน สร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2568)
  4. การเติบโตของเมืองรอง: เมืองรองมีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยว 15% ในปี 2566 (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)

สรุป

แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวไทย โดยเชียงรายสามารถใช้ศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน เพื่อเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ การนำแนวทางทั้ง 11 ข้อไปปรับใช้จะช่วยให้เชียงรายฟื้นตัวจากอุทกภัยและเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะเมืองรองที่มีเอกลักษณ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2566). รายงานการท่องเที่ยวประจำปี.
  • กรมทางหลวง. (2567). รายงานสถานการณ์อุทกภัยและความเสียหายโครงข่ายถนน.
  • สำนักนายกรัฐมนตรี. (2568). มติคณะรัฐมนตรี, 6 พฤษภาคม 2568.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). ข้อมูลแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อวดเมือง 68 “เชียงราย” เจ๋ง ลุ้น ‘เทศกาลชากาแฟ’ ระดับโลก

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 จังหวัดเชียงรายคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายด้วย Chiang Rai BREW Festival

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จ โดยจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นและศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันเชียงรายให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่ตอบโจทย์แนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จุดแข็งทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรในพื้นที่เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

ความท้าทายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติที่สวยงาม และการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตร ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น วัดร่องขุ่น ดอยช้าง ดอยแม่สลอง และชุมชนชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการที่พักและการเดินทาง ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายและยั่งยืนมากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของแหล่งท่องเที่ยวในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ซึ่งเผชิญกับปัญหาการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีกำลังซื้อสูง ความท้าทายเหล่านี้ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในเชียงรายต้องร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสร้างจุดเด่นที่ยั่งยืนสำหรับจังหวัด

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว รัฐบาลไทยได้ริเริ่มโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้แต่ละจังหวัดพัฒนาเทศกาลที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน Chiang Rai BREW Festival” เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์และศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดไปนำเสนอใน โครงการ “อวดเมือง 2568”

โดย การแข่งนำเสนอผลงานของจังหวัด Pitching ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่สอดคล้องกับแนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” การนำเสนอในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองวัน โดยวันที่ 29 เมษายน มีตัวแทนจาก 20 จังหวัด และวันที่ 30 เมษายน มีตัวแทนจาก 21 จังหวัด แต่ละจังหวัดมีเวลา 15 นาทีในการนำเสนอสไลด์ 15 หน้า พร้อมตอบคำถามจากคณะกรรมการอีก 5 นาที

จาก 51 จังหวัดที่เข้าร่วม มีเพียง 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย และจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่งนี้ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่ไม่เพียงสะท้อนอัตลักษณ์ของจังหวัด แต่ยังบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ Chiang Rai BREW Festival มีรากฐานจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยแนวคิด “องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากความฝันพญามังราย สู่แรงบันดาลใจแม่ฟ้าหลวง” เทศกาลนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานต้นกาแฟต้นแรกให้แก่ชนเผ่าบนพื้นที่สูง ณ ดอยช้าง เพื่อทดแทนการปลูกพืชเสพติด และพัฒนาให้เป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่กับชาอัสสัมของล้านนา

เทศกาลนี้ต่อยอดจากความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ส่งเสริมเกษตรกรในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ชากาแฟ รวมถึงการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาฯยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล Chiang Rai BREW Festival จึงไม่ใช่เพียงงานอีเวนต์ชั่วคราว แต่เป็นเทศกาลที่ครอบคลุมทั้งปี โดยแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ ตามฤดูกาล ดังนี้

  • ฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม)  เน้นการแข่งขันบาริสต้า เวิร์กช็อปการชงกาแฟ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์
  • ฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน)  เน้นการจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการจัดงานสัมมนานานาชาติ เช่น International Symposium เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการ
  • ฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ทัวร์ไร่ชากาแฟ การเก็บเกี่ยว และการเรียนรู้กระบวนการแปรรูป

การดำเนินงานของเทศกาลได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ สำนักงานจังหวัดเชียงราย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กลุ่ม กกร. จังหวัดเชียงราย กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) บริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง (CRCD) จำกัด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) และสิงห์ปาร์ค ความร่วมมือนี้ทำให้ Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการยกระดับเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

การนำเสนอและความท้าทาย

จากการสัมภาษณ์ นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย เธอเล่าถึงกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการนำเสนอในโครงการนี้ว่า เริ่มจากการประชุมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ซึ่งเรียกทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวคิดเทศกาลที่เหมาะสม ซึ่งภาคเอกชน รวมถึง YEC และ CRCD จึงเสนอให้ใช้ชากาแฟ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเชียงราย มาเป็นหัวใจของเทศกาล” การตัดสินใจเลือก Chiang Rai BREW Festival มาจากการวิเคราะห์จุดแข็งของจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ที่ได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับสากล

ไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน

นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของเทศกาลนี้มาจากการ “เชื่อมโยง” ทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้แปรรูป บาริสต้า ไปจนถึงผู้บริโภค “เราไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน แต่เราต้องการสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนตลอดทั้งปี โดยใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน” เขายังเน้นย้ำว่า เทศกาลนี้จะไม่เพียงมุ่งเน้นการบริโภคชากาแฟ แต่ยังรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การจับคู่ธุรกิจ และการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมชากาแฟ

อย่างไรก็ตาม การเลือกชากาแฟเป็นหัวใจของเทศกาลก็เผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากจังหวัดอื่น เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ ก็มีจุดแข็งด้านกาแฟเช่นกัน นายพงศกร อธิบายว่า “เชียงรายมีความหลากหลายทั้งในแง่ของกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟคุณภาพทั่วไป รวมถึงชาที่มีชื่อเสียงในระดับสากล จุดแข็งของเราคือความสมดุลและความหลากหลายของแหล่งปลูก ซึ่งทำให้เราสามารถนำเสนอเทศกาลที่ครอบคลุมทุกมิติของชากาแฟ”

นอกจากนี้ การพัฒนาเทศกาลนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านการจัดการภาพลักษณ์ของเชียงราย โดยเฉพาะปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เราตระหนักถึงปัญหานี้ และกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข โดยการพัฒนา Chiang Rai BREW Festival จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

ผลการประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ยืนยันว่าเชียงรายเป็น 1 ใน 12 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching จากนี้ไป 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกจะเข้าร่วมเวิร์กช็อปกับเมนเทอร์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอในรอบสุดท้ายระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะมีการจัดบูธเพื่อแสดงศักยภาพของแต่ละจังหวัด

ในรอบนี้ จะมีการคัดเลือก 3 จังหวัดที่โดดเด่นที่สุดเพื่อไปศึกษาดูงานที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 และจาก 3 จังหวัดนี้ จะมีการคัดเลือก 2 จังหวัดที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อจัดเทศกาลอย่างเป็นทางการในปี 2568 นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการคว้างบประมาณเพื่อพัฒนา Chiang Rai BREW Festival ให้เป็นเทศกาลระดับชาติ แต่แม้ว่าเราจะไม่ได้รับงบประมาณ การที่เราได้สร้างการรับรู้และแสดงศักยภาพของเชียงรายในเวทีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

นายพงศกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากเราคว้างบประมาณได้ เราวางแผนที่จะเริ่ม Chiang Rai BREW Festival ในปี 2568 โดยใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้ว เช่น ไร่ชากาแฟ ศูนย์การเรียนรู้ และเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อขมวดให้เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน” เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น การจัดตั้งสมาคมหรือชมรม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการเมืองภายใน “เราต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระภาษีหรือการบริหารจัดการที่ยุ่งยาก”

ความท้าทายและโอกาส

การเข้ารอบ 12 จังหวัดสุดท้ายของเชียงรายในโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching สะท้อนถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของจังหวัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสดังต่อไปนี้:

มิติด้านเศรษฐกิจ

Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกชากาแฟ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับกาแฟพิเศษและชาคุณภาพสูง การจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรและนักลงทุนต่างชาติจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับจังหวัดอื่นที่มีจุดแข็งด้านกาแฟ เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ อาจเป็นอุปสรรคที่ต้องใช้ความหลากหลายและนวัตกรรมในการเอาชนะ

มิติด้านวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์

การใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของเชียงรายเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่และมีรากฐานจากวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์และเกษตรกร การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การตีความชากาแฟให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในบริบทที่นักท่องเที่ยวทั่วไปยังมองว่าซอฟต์พาวเวอร์ของไทยคือศิลปวัฒนธรรมหรือการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม

มิติด้านการท่องเที่ยว

เทศกาลนี้ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์เชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวไร่ชากาแฟและเวิร์กช็อปบาริสต้าจะช่วยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในปัจจุบัน เช่น ปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว หรือราคาค่าบริการที่สูงขึ้น อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเชียงราย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขควบคู่ไปกับการพัฒนาเทศกาล

โอกาสในการพัฒนา

การที่เชียงรายได้รับเลือกเป็น 1 ใน 12 จังหวัดเป็นโอกาสในการสร้างการรับรู้ในระดับชาติและนานาชาติ การเข้าร่วมงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และการศึกษาดูงานที่โอซาก้าจะช่วยให้ทีมงานได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีจากเมืองอื่นๆ และนำมาปรับใช้กับเทศกาลของเชียงราย นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาคเอกชนและหน่วยงานท้องถิ่นจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเทศกาลให้ประสบความสำเร็จ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ผู้สนับสนุนเทศกาลชากาแฟ
กลุ่มที่สนับสนุน Chiang Rai BREW Festival รวมถึงภาคเอกชน YEC และ CCL มองว่าเทศกาลนี้เป็นโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจของเชียงราย โดยใช้จุดแข็งด้านชากาแฟที่มีรากฐานจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความหลากหลายของแหล่งปลูกและการบูรณาการทุกภาคส่วนทำให้เทศกาลนี้มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบในระยะยาว

ทัศนคติการเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถบูรณาการการเกษตร การท่องเที่ยว และนวัตกรรมได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทศกาลนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับจังหวัดอื่นและการจัดการภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนและการเรียนรู้จากเวทีนานาชาติจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เทศกาลนี้ประสบความสำเร็จ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. มูลค่าตลาดกาแฟและชาในประเทศไทย ตลาดกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี โดยกาแฟพิเศษ (specialty coffee) มีสัดส่วนการเติบโต 10% ต่อปี ส่วนตลาดชามีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท
    ที่มา: สมาคมกาแฟและชาไทย, รายงานประจำปี 2567
  3. การส่งออกกาแฟและชา ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกกาแฟมูลค่า 5,000 ล้านบาท และชามูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยจังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตหลัก
    ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, รายงานการส่งออก 2567
  4. ผลกระทบของซอฟต์พาวเวอร์ต่อการท่องเที่ยว การสำรวจของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ในปี 2567 พบว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและความยั่งยืน
    ที่มา: WTTC Global Tourism Report, 2567
  5. การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเชียงราย จากการสำรวจของสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • TCEB Domestic MICE
  • นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย
  •  พงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News