Categories
ECONOMY

ททท. ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ พร้อมปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ททท.ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ–ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ำกรอบความปลอดภัย–กระจายรายได้สู่เมืองรอง รับดีมานด์จีนฟื้นช่วง Golden Week

กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2568 — ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกยังแกว่งตัวและกำลังซื้อครัวเรือนบางกลุ่มในประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาครัฐเลือก “เกียร์สูง” กับเครื่องยนต์การท่องเที่ยว โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย นโยบายเร่งด่วน 4 เดือน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก  (1) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 7 ตลาดศักยภาพ, (2) กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยแนวคิด ต่อยอด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง”, และ (3) ยกระดับคุณภาพ–ความปลอดภัย–การกระจายรายได้ไปสู่ เมืองรอง เพื่อให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนอย่างทั่วถึง

ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ายนโยบายกำหนดเป้า 7 ตลาดหลักที่ “จับจ่ายสูง” ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ กลุ่มตะวันออกกลาง อาทิ กาตาร์ คูเวต โอมาน พร้อมเดินหมากการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก—ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหมายกำหนดการ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความร่วมมือและดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวกลับไทย

ขณะที่ฝั่งสัญญาณหน้างาน ตลาดจีน โชว์แรงส่งช่วง Golden Week (1–8 ต.ค. 2568) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า เป้า 2 แสนคน ในช่วงดังกล่าว “ตัวเลขปรับตัวดีขึ้นจากเป้าหมายที่วางไว้” และคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน สะท้อนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของดีมานด์เดินทางจากจีน—ฐานรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

“เรามั่นใจในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น” — นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เจาะ 7 ตลาดศักยภาพ–เร่งทวงแชร์

จีน–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้–อินเดีย คือ ตลาดแกน” ที่มีฐานเที่ยวบินและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ–สังคมยาวนาน ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย–UAE–ตะวันออกกลาง ถูกจัดวางเป็น ตลาดกำลังซื้อสูงที่มีช่องว่างใหม่” ทั้งในมิติการบินเชื่อมต่อ การตลาดเฉพาะกลุ่ม (ครอบครัว รายได้สูง กลุ่มสุขภาพ/Medical Wellness และ Halal-friendly) และฤดูกาลท่องเที่ยวที่ สวนทาง” กับไทยบางช่วง ทำให้สามารถบริหาร Load Factor ฝั่งสายการบินและ Seasonality ฝั่งผู้ประกอบการได้ดีขึ้น

หมากสำคัญคือ การเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของรองนายกฯ และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เพื่อเจรจาความร่วมมือระดับรัฐ–เอกชน ทั้งด้าน โควตาเที่ยวบิน, แคมเปญร่วมการตลาด (co-promotion) กับแพลตฟอร์ม/เอเจนซีรายใหญ่, และ ความปลอดภัยปลายทาง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น–กลาง

Golden Week ทำหน้าที่เสมือน สัญญาณนำ (leading indicator)” ของไตรมาสสุดท้าย เมื่อ ททท. ประเมินไว้ที่ 2 แสนคน และตัวเลขจริง เกินกว่าเป้า ย่อมสะท้อน Elasticity ของดีมานด์ ที่ยังตอบสนองต่อโปรโมชั่น–ความสะดวกด้านวีซ่า–ความมั่นใจด้านความปลอดภัย หากสามารถต่อยอดสู่ ตารางบินฤดูหนาว และ เทศกาลปลายปี ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสดัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ให้ขยับขึ้นตาม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ในเงื่อนไขกำลังซื้ออ่อน

ฝั่งอุปสงค์ในประเทศ รัฐบาลกำลังกลับมาใช้ “กลไกความร่วมจ่าย (co-pay)” เพื่อขยับ กำลังซื้อที่ถูกกดทับ ให้เกิดการเดินทางจริง โดยแนวคิด เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ถูกออกแบบให้ สอดรับโครงการ “คนละครึ่ง” (เปิด 29 ต.ค. นี้) พร้อมพิจารณา สิทธิประโยชน์ทางภาษี ร่วมกับกระทรวงการคลัง เช่น ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวหมู่คณะ หรือ สิทธิคืนภาษีปลายปี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในเชิงกลไกเศรษฐกิจ แนวทางนี้สามารถเพิ่ม ตัวคูณ (multiplier) ของเม็ดเงินรัฐ หากออกแบบให้ “เงินรัฐ 1 บาท ดึง เงินเอกชนหลายบาท” ผ่านเพดานสิทธิ–ร่วมจ่าย–การกำหนดช่วงเวลา/ปลายทางที่ นอกพีก/เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา “แออัดในเมืองหลัก–โลว์โหลดเมืองรอง” ควบคู่กับการคัดกรองกิจกรรมที่มี Local Content สูง (โฮมสเตย์–ทัวร์ชุมชน–งานเทศกาลท้องถิ่น) เพื่อให้ รายได้กระจาย ไม่กระจุกในห่วงโซ่หลัก

คำถามเชิงนโยบายสำคัญคือ จะมีประสิทธิภาพเพียงพอไหม หากกำลังซื้อครัวเรือนยังอ่อน?” เงื่อนไขความสำเร็จจึงขึ้นกับ

  • การตั้งสัดส่วนร่วมจ่าย ที่จูงใจพอ (แต่ไม่บิดเบือนราคา)
  • การล็อกช่วงเวลา/พื้นที่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกระจายรายได้
  • การเชื่อมมาตรการภาษี กับองค์กร/สหกรณ์/ชุมชน เพื่อดึง ดีมานด์กลุ่มใหญ่
  • การสื่อสารความปลอดภัย และ มาตรฐานบริการ เพื่อสร้าง ความคุ้มค่าเชิงประสบการณ์ (Value for Experience) มากกว่าราคาอย่างเดียว

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คุณภาพ–ความปลอดภัย–เมืองรอง คือแกนถ่วงดุล

ททท. ระบุชัดว่า ความปลอดภัย เป็นวาระเร่งด่วน โดยบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, และ หน่วยงานความมั่นคง เพื่อดูแลพื้นที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนหนาแน่น การจัดการ จุดเสี่ยง–จุดอ่อนไหว, ระบบ แจ้งเหตุ/สายด่วนหลายภาษา, และ การลาดตระเวนเชิงป้องกัน เป็นคีย์เวิร์ดของความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน คุณภาพและการกระจายรายได้ ททท. จะทำงานกับภาคเอกชนและพันธมิตรในพื้นที่ จัดกิจกรรม/อีเวนต์ เมืองหลัก–เมืองรอง” โดยเน้นเมืองรองเป็นพิเศษ เพื่อขยายความหลากหลายสินค้า–ประสบการณ์ (จากแค่ทะเล–ภูเขา ไปสู่ อาหาร–เทศกาล–สุขภาพ–กีฬา–MICE ท้องถิ่น) ให้สอดรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิดที่นิยม ทริปสั้นถี่–คอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม–คุณค่าเชิงวัฒนธรรม

คำให้สัมภาษณ์และสัญญาณจากหน้างาน

  • ผู้ว่าการ ททท. ย้ำ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” และ บทบาทเจ้าบ้านที่ดีของคนไทย เป็นแกนสร้างความเชื่อมั่น—องค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ราคา/โปรโมชั่น
  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียฯ ให้ข้อมูล Golden Week จีน ว่าตัวเลขเข้าประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเป้า 2 แสนคน สะท้อนว่าตลาดจีน ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ไทย กลับไปทวงแชร์ ในไตรมาสสุดท้าย

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ–ชุมชน–แรงงานท่องเที่ยว

  1. ผู้ประกอบการโรงแรม–ทัวร์–ร้านอาหาร ควรเตรียม แพ็กเกจร่วมจ่าย ให้สอดรับ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (เงื่อนไข–ระยะเวลา–ปลายทางเมืองรอง) และ แคมเปญจีน/เอเชีย ที่มักผูกการจองผ่านแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการที่ลงทุนใน บริการหลายภาษา–ชำระเงินหลากสกุล–รีวิวคุณภาพ จะได้เปรียบ
  2. ชุมชน–เมืองรอง โอกาสในการจัด เทศกาลท้องถิ่น/เส้นทางวัฒนธรรม/โฮมสเตย์มาตรฐาน เพื่อรับเม็ดเงินตรงสู่พื้นที่ ควรร่วมมือกับ ททท.–อปท.–เอกชน สร้าง ปฏิทินกิจกรรม ที่สอดรับฤดูกาลและเส้นทางบิน/รถไฟ/รถโดยสาร
  3. แรงงานท่องเที่ยว เมื่อดีมานด์เร่งตัว บทบาท มัคคุเทศก์/พนักงานต้อนรับ/คนขับรถ/ไกด์ท้องถิ่น จะเพิ่มสูง ควรเร่ง อัปสกิลภาษา–ดิจิทัล–มาตรฐานบริการ–ความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งตลาดจีน–เอเชียและตะวันออกกลางที่มีความต้องการเฉพาะทาง (อาหาร/วัฒนธรรม/ศาสนา)

จะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เอาอยู่ไหม? — เงื่อนไขความสำเร็จในสภาวะกำลังซื้ออ่อน

แม้มาตรการร่วมจ่ายช่วย ปลดล็อกการตัดสินใจ ได้ดีในกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ รายได้ตึงตัว/หนี้สูง การ “เพิ่มแรงจูงใจ” ต้องทำมากกว่าราคา เช่น

  • ผูกสิทธิภาษี สำหรับการเดินทางแบบ หมู่คณะ/องค์กร/สหกรณ์ เพื่อดึง ดีมานด์เป็นชุด
  • เล็งฤดูกาล–พื้นที่ ที่รัฐอยากกระจายรายได้ เช่น นอกพีก–เมืองรอง พร้อม คูปองกิจกรรมท้องถิ่น
  • คุมคุณภาพ/ความปลอดภัย ให้ “คุ้มค่าความรู้สึก” ถึงแม้กำลังซื้อจำกัด นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายหากมั่นใจว่าจะได้ ประสบการณ์คุ้มราคา
  • สื่อสารง่าย–จองสะดวก–โปร่งใส ลดต้นทุนเวลาและความสับสนของผู้ใช้สิทธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นโยบายร่วมจ่ายจะคุ้มค่า เมื่อทำหน้าที่เป็น “สะพาน” พาคนไทยจาก “อยากไป” สู่ “ตัดสินใจไปจริง” ในจุดที่ตลาดเอกชนเพียว ๆ ยังไปไม่ถึง โดยไม่บิดเบือนตลาดจนเกินไป

เชื่อม “ความปลอดภัย–คุณภาพ” กับ “การดึงต่างชาติ” ให้เดินพร้อมกัน

ในจังหวะเร่งเครื่องต่างชาติ ประเด็น ความปลอดภัย จะถูก จับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีนที่อ่อนไหวต่อข่าว/กระแสโซเชียล การประกาศบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว–กองบัญชาการตำรวจนครบาล–หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็น ประกันความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ควบคู่กับการยกระดับ มาตรฐานสถานบริการ–การคุ้มครองผู้บริโภค–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะกลายเป็น ทรัพย์สิน (asset) ระยะยาวของแบรนด์ “Thailand”

ระยะต่อไป ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ควรติดตาม

  • จำนวน–ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจาก 7 ตลาด และ สัดส่วนตลาดจีน ในไตรมาสสุดท้าย
  • สัดส่วนการเดินทางสู่นอกพีก/เมืองรอง ภายใต้โครงการร่วมจ่าย
  • ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และ เวลาการตอบสนองเหตุ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
  • การเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการชุมชน และ การจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เทียบฐานก่อนมาตรการ

นโยบายท่องเที่ยวรอบนี้วางเกมเป็น “สามเหลี่ยมถ่วงดุลต่างชาติ–ในประเทศ–ความปลอดภัย/คุณภาพ/เมืองรอง โดยมีการทูตเศรษฐกิจ (เยือนจีน) เป็นคันเร่งฝั่งอินบาวนด์ และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นตัวค้ำฝั่งดีมานด์ภายใน การจะ “เอาอยู่” หรือไม่ จึงขึ้นกับ การออกแบบกลไก ให้ เงินรัฐ 1 บาท ดึง เม็ดเงินเอกชนหลายบาท, กระตุ้น การเดินทางที่ต้องการ (นอกพีก–เมืองรอง–กิจกรรมท้องถิ่น), และสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าไทยพร้อมทั้งด้าน ความปลอดภัย และ คุณภาพประสบการณ์

จากสัญญาณ Golden Week จีน ที่ดีกว่าเป้า และทิศทางเยือนจีนในเร็ว ๆ นี้ ภาพรวมบอกเราว่า ดีมานด์พร้อมตอบสนอง หากนโยบาย “จับจุดถูก” ส่วนฝั่งในประเทศ หาก เที่ยวไทยคนละครึ่ง ถูกแบบมาอย่างพอดี–โปร่งใส–ใช้ง่าย ก็มีศักยภาพ “แก้ปัญหาถูกที่–ถูกเวลา” ให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนไปในพื้นที่ที่ต้องการได้จริง

แก่นสำคัญของไตรมาสสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ “ดึงนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด” แต่คือ “ดึง ให้ถูกที่–ถูกช่วง–ถูกกลุ่ม และ ปลอดภัย” เพื่อให้การท่องเที่ยวทำหน้าที่เป็น หัวจักรเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกไปถึงชุมชนฐานรากอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Golden Week โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ (รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา — นโยบายบูรณาการเพื่อฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว, หมายกำหนดการเยือนจีนของ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีว่าการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ตำรวจท่องเที่ยว / กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทศบาลนครเชียงรายสืบสานศรัทธาล้านนา ผู้ว่าฯ นำตักบาตรเทโวฯ 111 รูป เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง

สืบสานศรัทธาล้านนา “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองพลังศรัทธาของชุมชนที่หลอมรวมเมือง วัด และผู้มาเยือน

เชียงราย, 8 ตุลาคม 2568 — แสงแรกของเช้าในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ค่อย ๆ คลี่คลุมยอดไม้เหนือเนินเขาแห่งดอยงำเมือง ขณะที่ริ้วขบวนชาวพุทธยืนเรียงรายตามเชิงบันไดหินสุดสายตา เสียงสาธุการเบา ๆ คลอไปกับเสียงนกยามรุ่งอรุณ เทศบาลนครเชียงรายเปิดพิธีทำบุญ “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ประจำปี 2568 อย่างสมศักดิ์สิทธิ์และเป็นระเบียบ ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง ต่อเนื่องยาวไปถึงบริเวณแยกศาลจังหวัดเชียงราย (หลังเดิม) โดยมี นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณ พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นำพระภิกษุและสามเณร 111 รูป ออกรับบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งจากพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่พร้อมใจกันมาร่วมงานตั้งแต่เวลา 06.30 น.

พิธีครั้งนี้จัดโดย เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสถานศึกษาในสังกัดร่วมสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนความร่วมมือเชิงสถาบัน—ทั้งภาคปกครอง ศาสนา การศึกษา และชุมชน—ที่ขับเคลื่อนให้ “งานบุญออกพรรษา” ของเมืองเชียงรายยังคงเปล่งประกายความหมายเชิงวัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง

เรื่องเล่าในยามเช้า เมื่อพิธี “เทโวโรหณะ” ทำให้เมืองเต้นจังหวะเดียวกัน

ตักบาตรเทโวโรหณะ (หรือ “เทโว”) เป็นประเพณีที่ระลึกถึงวันที่ พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังทรงจำพรรษาและแสดงพระธรรมโปรดพระพุทธมารดา ชุดพิธีจึงมักจัดบนทางลาดหรือบันไดสูงจำลอง “คันธกุฎี” และ “บันไดทิพย์” ที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา—ณ เชียงราย ภูมิประเทศของ วัดดอยงำเมือง ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา โอบเมืองด้วยทะเลหมอกบาง ๆ และร่มไม้เก่าแก่ จึงเหมาะสมกับบรรยากาศอันสงบขรึมและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพระภิกษุและสามเณร 111 รูป แปรขบวนจากยอดเนินลงสู่เชิงบันได ภาพของผ้ากาสาวพัสตร์เป็นคลื่นสีเหลืองทองเคลื่อนไปในแสงแรก—กลายเป็นภาพจดจำที่สะท้อน “ศรัทธาซ้อนศรัทธา” ของผู้คน

การจัดระเบียบพื้นที่ของเทศบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ “ความยาวของขบวน” กลายเป็น “ความพร้อมของเมือง” จุดเริ่มพิธีที่เชิงบันไดถูกกำหนดเป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางพิธีกรรม ขณะที่แนวถนนต่อเนื่องไปยังแยกศาลจังหวัดเชียงรายกลายเป็น แนวรับบิณฑบาต ที่จัดการจราจรและความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ ผู้สูงอายุและเด็กเล็กถูกจัดให้อยู่ในจุดที่เข้าถึงง่าย มีเต็นท์พักคอยและจุดบริการน้ำดื่ม เพื่อลดความแออัดและให้ทุกคนได้ร่วมบุญอย่างมีสมาธิ

ศรัทธาที่จับต้องได้ เมือง–วัด–โรงเรียน จับมือกันผลิต “ประสบการณ์บุญ” อย่างมืออาชีพ

เบื้องหลังงานสงบเรียบง่ายคือการเตรียมงานที่ละเอียดอ่อน เทศบาลนครเชียงรายทำงานประสานกับวัดดอยงำเมือง ส่วนราชการ หน่วยงานความมั่นคง และสถานศึกษาในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กำหนด แผนการจราจรและที่จอดรถ, จุดคัดแยกขยะและดูแลสิ่งแวดล้อม, หน่วยปฐมพยาบาลและรถพยาบาลสแตนด์บาย ตลอดแนวพิธี การมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้ทั้งเรื่อง “กาลเทศะ” ของพิธีกรรม และ “ทักษะพลเมือง” เช่น การอำนวยความสะดวกผู้สูงอายุ การจัดแถว การประชาสัมพันธ์ และการรักษาความสะอาดพื้นที่สาธารณะ

ในเชิงสังคม งานบุญเช้าตรู่เช่นนี้ทำหน้าที่เป็น พื้นที่ฝึกซ้อมความเป็นเมือง” ไปพร้อมกัน—ผู้ประกอบการรายย่อยที่มาเปิดจุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มจำเป็นได้รับคำแนะนำเรื่องภาชนะใช้ซ้ำและการจัดการขยะ หน่วยงานท้องถิ่นนำแนวคิด งานศาสนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” มาปรับใช้ เช่น จุดรับขวดน้ำสำหรับรีไซเคิล, ถังคัดแยกประเภท และการรณรงค์ “แบกบุญ–ไม่แบกขยะกลับบ้าน” ผ่านเสียงตามสายและสื่อชุมชน

พิธีกรรมในกรอบความหมาย ทำไม “วันเทโว” จึงสำคัญกับเมือง

วันเทโวโรหณะ มักถือเป็น “บทสรุป” ของช่วงเข้าพรรษา และเป็น “บทเปิด” ของชีวิตเมืองในฤดูกาลใหม่—หลังการจำพรรษา พระสงฆ์สามารถออกเดินทางปฏิบัติศาสนกิจค้างแรมได้โดยไม่ผิดพระวินัย ขณะที่ชาวบ้านได้มีวาระนัดหมายทำบุญใหญ่ร่วมกันอีกครั้ง การอาราธนาศีล รักษาศีล ฟังธรรม จึงเป็น กรอบปฏิบัติร่วม ที่ทำให้ผู้คนในเมืองได้ปรับจังหวะชีวิตและความคิดของตนกับ “ปฏิทินทางธรรม” ความสำคัญของวันเทโวยังอยู่ที่การ น้อมระลึกถึงพระคุณมารดา ผ่านเหตุการณ์เสด็จลงจากดาวดึงส์ ซึ่งลึกลงไป—คือการย้ำคุณธรรมแห่งความกตัญญูที่ถูกสถาปนาไว้ในวัฒนธรรมท้องถิ่นล้านนา

วัดดอยงำเมืองเองเป็น มรดกเชิงสัญลักษณ์ ที่ประชาชนคุ้นชิน เชิงบันไดที่ทอดยาวจึงไม่ได้เป็นเพียงทางขึ้นวัด แต่คือ เวทีชีวิต ที่ผู้คน “เดินขึ้น–เดินลง” ร่วมกันทุกปี ความคุ้นเคยของสถานที่ ทำให้พิธียิ่งมีพลัง ภาพของคนต่างวัย—บ้างถือปิ่นโต บ้างถือถุงข้าวสารอาหารแห้ง—ทำให้คำว่า “ชุมชน” ไม่ใช่คำสวยงามที่ลอยกลางอากาศ แต่เป็น ภาพจริงที่เห็นและสัมผัสได้

ด้านเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม งานศาสนาที่สร้างรายได้อย่างพอเพียงและกระจายตัว

แม้พิธีตักบาตรเทโวโรหณะจะมิใช่งานเทศกาลขนาดใหญ่เช่นงานลอยกระทงหรือปีใหม่ แต่ ผลเชิงเศรษฐกิจของกิจกรรมเช้า ก็มีนัยสำคัญ—ร้านอาหารเช้า รถรับจ้าง ที่จอดรถเอกชนใกล้พื้นที่งาน ร้านดอกไม้ ไปรวมถึงผู้ค้าขายรายย่อยที่นำของทำมือและของฝากพื้นถิ่นมาวางจำหน่ายล้วนได้รับอานิสงส์ การกระตุ้นเศรษฐกิจยามเช้าทำให้เกิด “รอบสั้นของรายได้” กระจายสู่ชุมชนโดยตรง ขณะเดียวกัน เมืองก็ใช้วาระนี้เชื้อเชิญนักท่องเที่ยว ให้อยู่ต่ออีกครึ่งวัน—เช่น แวะวัดใกล้เคียง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ตลาดเช้า—เพื่อเพิ่มมูลค่าโดยไม่ต้องจัดกิจกรรมเสริมให้ฟุ้งเฟ้อ

ในมุมการบริหารจัดการ เทศบาลนครเชียงรายมี โครงร่างการวัดผลลัพธ์เบื้องต้น ที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริง เช่น การสำรวจจำนวนผู้เข้าร่วมคร่าว ๆ ตามจุดคัดกรอง, ความพึงพอใจด้านความสะอาด–ความปลอดภัย, และข้อเสนอแนะของประชาชนต่อการจัดงานปีหน้า แนวทาง “ฟังเสียงพื้นที่” ช่วยให้พิธีกรรมที่อิงความเชื่อถูกรักษา รูป ไว้ครบถ้วน ขณะเดียวกันก็มี รส ของการบริการสาธารณะที่ทันสมัยและเป็นมิตร

มิติความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สงบ งาม และไม่ทิ้งร่องรอย

งานบุญในพื้นที่ลาดชันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ การ์ดความปลอดภัย 3 ชั้น ได้แก่

  1. ชั้นพื้นที่—กั้นรั้วเชือกเตือนริมขอบบันได จุดปฐมพยาบาลพร้อมอุปกรณ์เบื้องต้น จัดทางขึ้น–ลงแยกทิศทางเพื่อลดการปะทะกันของคน
  2. ชั้นการจราจร—กำหนดเวลาปิด–เปิดถนนชัดเจน จัดเส้นทางจอดรถและรับ–ส่งผู้สูงอายุให้ใกล้จุดพิธีที่สุด
  3. ชั้นสื่อสาร—ใช้เสียงตามสายและเจ้าหน้าที่อาสาประกาศแนวปฏิบัติ งดใช้พลุ ประทัด โคมไฟในพื้นที่พิธีเพื่อคงบรรยากาศสงบ

ด้านสิ่งแวดล้อม เมืองส่งเสริมการ ใช้ภาชนะที่ย่อยสลายได้หรือใช้ซ้ำ จุดคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และออกแบบ “เส้นทางขยะ” หลังจบพิธี เพื่อให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว—หลักคิดคือ ฝากรอยยิ้ม ไม่ฝากรอยขยะ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพพื้นที่สาธารณะ

ความหมายของ “111 รูป” ตัวเลขที่สื่อสารทั้งพิธีกรรมและการจัดการ

จำนวนพระภิกษุ–สามเณร 111 รูป ในปีนี้สะท้อนทั้ง ความสมบูรณ์ด้านพิธีกรรม และ ความพร้อมด้านการจัดการ ของพื้นที่—มากพอให้ประชาชนได้ทำบุญทั่วถึง แต่ไม่หนาแน่นจนกระทบเส้นทางหรือเวลา พิธีจึงดำเนินไปอย่างกระชับและสมศักดิ์ศรี ตัวเลขนี้ยังทำหน้าที่เป็น เกณฑ์จัดสรรทรัพยากร เช่น ชุดบิณฑบาต น้ำดื่ม และการจัดแนวรับ–ส่งบาตร ช่วยให้หน่วยงานสนามทำงานได้อย่างแม่นยำและลดความสูญเปล่า

เมืองกับ Soft Power ทางศาสนาอัตลักษณ์ล้านนาที่เล่าเรื่องได้ทั้งปี

เชียงรายมีวาระงานบุญ–งานวัฒนธรรมกระจายตลอดปี ตั้งแต่เข้าพรรษา ออกพรรษา ลอยกระทง ปีใหม่เมือง ฯลฯ การจัดพิธีเทโวอย่างมีเอกภาพจึงทำหน้าที่เป็น “ข้อพิสูจน์” ว่าเมืองสามารถ เล่าเรื่องอัตลักษณ์ล้านนา ได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพียงเทศกาลใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว พิธีเช้า ๆ ที่สงบแต่มีพลังเช่นนี้ คือ Soft Power ทางศาสนา ซึ่งเชื่อม “ความทรงจำส่วนตัว” ของผู้ร่วมงานกับ “ความทรงจำร่วมของเมือง” สร้างความภาคภูมิในถิ่นฐาน และเชื้อชวนผู้มาเยือนให้เคารพวิถีท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมชาติ

ทำอย่างไรให้ “พิธีปีหน้า” งดงามเท่าเดิม แต่บริการดียิ่งขึ้น

เพื่อต่อยอดความสำเร็จเมืองสามารถพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้โดยไม่เปลี่ยนสาระพิธีกรรม

  • ปฏิทินสื่อสารล่วงหน้า เพื่อกระจายคนและเวลามาร่วมบุญ ลดความหนาแน่นเฉพาะช่วง
  • แผนที่ดิจิทัล แสดงจุดจอดรถ ห้องน้ำสาธารณะ จุดปฐมพยาบาล และทางลาดสำหรับรถเข็น
  • ชุดความรู้วันเทโว แบบอ่านง่าย (infographic) แจกในสื่อสังคมออนไลน์และป้ายหน้างาน อธิบายความหมายพิธี กาลเทศะ และข้อควรปฏิบัติ
  • การเก็บข้อมูลโดยอาสาสมัคร หลังงาน 10–15 นาที เพื่อปรับปรุงจุดคอขวดด้านการจราจรและการสื่อสารปีถัดไป
  • สนับสนุนของฝากพื้นถิ่นอย่างรับผิดชอบ เน้นสินค้าที่ใช้วัสดุยั่งยืนและเคารพสัญลักษณ์ทางศาสนา

ทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่รบกวน “แก่นพิธี” และยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของทั้งชาวเมืองและผู้มาเยือน

เช้าวันเดียวที่คงอยู่ในความทรงจำทั้งปี

พิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองปีนี้ ทำให้เห็นภาพใหญ่ที่เกาะเกี่ยวกัน—ศรัทธาของชุมชน ที่แปรเป็นแรงขับให้เมืองจัดการงานอย่างมืออาชีพ, เมตตาธรรมของพระสงฆ์ ที่ทำให้ผู้คนได้ตั้งต้นปีธรรมด้วยใจสงบ, และ บทบาทของเทศบาล ที่ทำให้พื้นที่สาธารณะรองรับพิธีได้ทั้งงดงามและปลอดภัย ตัวเลข พระภิกษุ–สามเณร 111 รูป, เวลา 06.30 น., สถานที่ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองถึงแยกศาลจังหวัด และ “การร่วมแรงร่วมใจของหน่วยงานกับประชาชน” คือรายละเอียดที่ถักทอให้พิธีครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ แต่เป็น บทเรียนของเมือง ที่จะส่งต่อไปยังปีถัดไป

ในโลกที่วุ่นวายยามข่าวด่วนและสารพัดเสียงดัง เช้าวันเทโวของเชียงรายค่อย ๆ กระซิบว่า ความงามอันยิ่งใหญ่ของเมือง อาจเริ่มต้นจากการยืนเงียบ ๆ ต่อหน้าพระ และวางข้าวสารลงในบาตรด้วยสองมือของเราเอง—เรียบง่าย แต่เปลี่ยนใจเราได้ทั้งวัน และเปลี่ยนเมืองได้ทั้งปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด / ที่ทำการปกครองจังหวัด)
  • วัดดอยงำเมือง
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ไหลเรือไฟ 12 ราศี” สว่างไสวริมโขง อบจ.เชียงรายอัดงบ 3.5 แสนหนุนงานวัฒนธรรม

ไหลเรือไฟ 12 ราศี” สว่างไสวริมโขง อบจ.เชียงรายอัดงบหนุน 3.5 แสน สืบสานมรดกวัฒนธรรมเชียงแสน–เชื่อมสองฝั่งลาว–ไทย ขับเคลื่อนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทั้งปี

เชียงราย, 8 ตุลาคม 2568 — ยามค่ำหลังออกพรรษา 1 วัน ลมแม่น้ำโขงพัดเอื่อยพาแสงไฟระยิบจากชุมชนบ้านสบคำ อำเภอเชียงแสน สะท้อนผิวน้ำเป็นริ้ว ยาวไปจนสุดสายตา “ไหลเรือไฟ 12 ราศี” ครั้งที่ 27 เปิดฉากขึ้นท่ามกลางเสียงสวดเบา ๆ ของคณะสงฆ์ เสียงซุ่มซ่ามของช่างไม้ที่เพิ่งยกโครงเรือไฟขึ้นค้ำยัน และเสียงผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานความหลังให้เด็ก ๆ ฟัง นี่ไม่ใช่เพียงเทศกาล แต่คือการประกาศว่า วัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงยังเต้นเป็นชีพจรของเชียงแสน และปีนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ใส่คันเร่งเพิ่ม—อัดงบสนับสนุน 350,000 บาท ขยายงานให้เข้มแข็งขึ้น ตอกย้ำแนวทาง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอ”

พิธีเปิดจัด ณ ลานกิจกรรมริมฝั่งโขง บ้านสบคำ ตำบลเวียง โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย (นายกนก) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และ พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย–เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมงานคับคั่ง ภาพของโคมไฟที่ขึงเรียงเป็นแนวเหนือระเบียงโขง รูปทรงเรือไฟที่ถักสานด้วยไม้ไผ่และกระดาษสา กับลวดลาย “12 ราศี” อันเป็นเอกลักษณ์ ล้วนสื่อความหมายถึงการ บูชาพระพุทธเจ้า พระแม่คงคา และ ขอบคุณธรรมชาติ ผู้หล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งมาตลอดชั่วอายุคน

เรื่องเล่าจากสายน้ำ ไฟ แสง และความทรงจำของเชียงแสน

หากจะเล่าประวัติศาสตร์เชียงแสนโดยไม่มีแม่น้ำโขงก็เหมือนเล่านิทานโดยละทิ้งตัวละครเอก เมืองท่าการค้ามาช้านานแห่งนี้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากล้านนาและฝั่งลาวอย่างลึกซึ้ง ไหลเรือไฟ” จึงไม่ใช่กิจกรรมตามฤดูกาล หากเป็นพิธีกรรมที่ชุมชนทำร่วมกัน เพื่อรับ–ส่งความหมายของชีวิต จากพรรษาสู่กาลใหม่ เมื่อไฟวิ่งตามกระแสน้ำ ชาวบ้านถือเป็นนิมิตหมายของความสว่างไสวที่จะเกิดขึ้นในปีถัดไป

ที่ บ้านสบคำ จุดบรรจบของความทรงจำจากเวียงจันทน์กับเชียงแสน พิธีนี้เข้มข้นเป็นพิเศษ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมีเชื้อสายมาจากฝั่งลาว—ลวดลายเรือไฟ จึงถูกออกแบบโดยผสานลายพิสดารแบบลาวกับเส้นเรียบง่ายแบบล้านนา ตั้งแต่ ราศีเมษ–ราศีมีน ถูกเล่าผ่านโครงไม้ไผ่ โปรยกระดาษสา ติดไฟตามจังหวะราศี และประดับเครื่องหมายมงคล เช่น นellik หรือลายเครือวัลย์ ที่เชื่อว่าเรียกความอุดมสมบูรณ์ เมื่อไฟติด—แต่ละราศีเหมือนถูกปลุกให้ “ลอยเล่าเรื่อง” ต่อผู้ชม ขณะเสียงฆ้องกลองท้องถิ่นค่อย ๆ ประคองขบวนแสงลงสู่สายน้ำ

งบ 3.5 แสนบาท กับโจทย์ใหญ่ “งานวัฒนธรรมที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง”

อบจ.เชียงราย วางงบสนับสนุน 350,000 บาท สำหรับปีนี้ โดยเปิดเผยเป้าประสงค์ไว้ชัดเจน 3 ข้อ

  1. ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพื้นบ้าน — ดัน “ไหลเรือไฟ 12 ราศี” ให้เป็นเหตุผลของการเดินทางช่วงหลังออกพรรษา ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพให้มาสัมผัสบรรยากาศริมโขงและใช้เวลาในพื้นที่มากขึ้น
  2. สร้างงาน–สร้างอาชีพ–กระจายรายได้ — ให้ช่างฝีมือท้องถิ่น ร้านค้าเล็ก ๆ แม่ค้าอาหารพื้นบ้าน กลุ่มเยาวชนอาสา และโฮมสเตย์/เกสต์เฮาส์ ได้งาน–ได้รายได้ อย่างเป็นธรรม
  3. อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม — ให้ชุมชนเป็นเจ้าของพิธีกรรมอย่างแท้จริง ถ่ายทอดทักษะทำเรือไฟ การสานไม้ไผ่ การทำโคม และบทเพลงท้องถิ่นไปยังรุ่นใหม่

เงินสนับสนุนก้อนนี้แม้ไม่ใหญ่เท่าโครงการยักษ์ แต่หาก บริหารแบบ “งานเล็ก–ผลลัพธ์ยาว” จะกลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้เทศกาลเดินต่อได้อย่างเข้มแข็ง องค์ประกอบสำคัญคือ การจัดระเบียบพื้นที่ (ตลาดชุมชน–จุดจอดรถ–จุดชม) ความปลอดภัย (เรือ–ริมตลิ่ง–การจราจร) และ การสื่อสารข้อมูล (ตารางพิธี–เส้นทางเข้าถึง–ข้อปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม) ให้ “ทดลอง–เรียนรู้–อัปเกรด” ทุกปี

 

สองฝั่งแม่น้ำ โครงการเดียวกัน เชื่อมลาว–ไทยผ่านไฟและศรัทธา

เชียงแสนกับฝั่งลาวตรงข้ามมีประเพณีคล้ายคลึงกันมานาน ปีนี้ผู้จัดยังย้ำ มิติความร่วมมือสองฝั่งโขง ทั้งการเชิญคณะศิลปวัฒนธรรมจาก สปป.ลาว มาร่วมแสดง การสวดเจริญพระพุทธมนต์ร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การทำเรือไฟแบบ “หาบ–ขึง–ลอย” ให้ปลอดภัยและงามตามครรลอง เมื่อเรือไฟที่ประดับ สัญลักษณ์ 12 ราศี ล่องไปพร้อมกันในคืนเดียว ภาพที่เกิดขึ้นไม่เพียงสวยงาม แต่เป็น คำประกาศความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ว่าพรมแดนธรรมชาติไม่อาจขวางกั้นความศรัทธาและวัฒนธรรมร่วม

จากงานบุญสู่โมเดลเศรษฐกิจชุมชน เงินใหม่ไหลเข้า—ไม่ใช่แค่ไหลผ่าน

คำถามเชิงนโยบาย คือ เทศกาลนี้ช่วยเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน? คำตอบอยู่ที่ โครงสร้างการใช้จ่ายของผู้มาเยือน” หากเทศกาลออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว 1–2 วันควบคู่—เช่น แวะ วัดพระธาตุผาเงา จุดชมโค้งน้ำโขง, ตลาดชุมชนบ้านสบคำ, พิพิธภัณฑ์เขตโบราณสถานเชียงแสน—จะเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่อหัว ทั้งที่พัก อาหาร ของที่ระลึก และการเดินทางในพื้นที่

แนวทางที่ผู้จัดพยายามผลักดัน (ตามนโยบาย “เที่ยวเชียงรายทั้งปีมีดีทุกอำเภอ”) ได้แก่

  • เปิด ซุ้มของดีชุมชน ผ้าทอ–จักสาน–กาแฟท้องถิ่น–อาหารพื้นบ้าน ให้เป็น พื้นที่ค้าขายของชาวบ้าน ไม่ใช่แค่พื้นที่ผู้รับเหมาภายนอก
  • จัด เวทีย่อย “เล่าไฟ–เล่าราศี” สาธิตงานหัตถกรรม ทำโคม–สานไม้ไผ่–จุดไฟอย่างปลอดภัย สร้างมูลค่าเพิ่มจาก เรียนรู้–ลงมือทำ–ซื้อกลับบ้าน”
  • สื่อสาร หลักกิน–เที่ยวอย่างรับผิดชอบ ใช้แก้วน้ำ/ภาชนะใช้ซ้ำ จุดคัดแยกขยะ ปลูกจิตสำนึก “คืนแม่น้ำให้สะอาดกว่าเดิม”
  • จัดการ จราจร–จอดรถ–รถรับ–ส่ง เพื่อลดแรงเสียดทานกับชุมชน ไม่ให้การท่องเที่ยวกลายเป็นภาระ

หากทำได้สม่ำเสมอ เทศกาลจะ ผลิตเงินใหม่” ให้ชุมชน มากกว่าจะเป็นเพียง “เงินผ่าน” ที่ไหลไปกับขบวนพ่อค้าเร่

ศิลป์พิธีกรรมในรายละเอียด ช่าง–เยาวชน–พระสงฆ์ และบทบาทที่เกาะเกี่ยวกัน

เบื้องหลังเรือไฟหนึ่งลำจะมี ช่างหลัก 4–6 คน ควบคุมงานโครงไม้ไผ่ ขึงลวด เดินไฟ และปรับสมดุลให้ลอยน้ำได้ดี กลุ่ม เยาวชนอาสา รับหน้าที่ตัดกระดาษ ติดลาย–ลงสี จัดทำป้ายราศี และประดับโคม ส่วน พระสงฆ์ เป็นผู้วางพิธีกรรม เจริญพระพุทธมนต์ อธิษฐานเปิดงาน และ “ส่งเรือไฟ” ลงสู่แม่น้ำโดยสงบและเป็นมงคล

การมีส่วนร่วมของ โรงเรียน–วัด–หน่วยงานท้องถิ่น ยังช่วยให้พิธี—ซึ่งเคยอยู่บนบ่าคนรุ่นพ่อแม่—ถูกส่งต่อสู่รุ่นลูกหลานอย่างเป็นระบบ เยาวชน เรียนรู้ทักษะฝีมือ จริง จับต้องไม้ไผ่จริง—ไม่ใช่ผ่านหน้าจอ—และเห็นคุณค่า งานบุญที่ทำด้วยมือ” มากกว่าเป็นเพียง “งานโชว์เพื่อการท่องเที่ยว”

ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม งานริมโขงยุคใหม่ต้อง “งาม–สะอาด–ปลอดภัย”

ผู้จัดย้ำเกณฑ์ความปลอดภัย 3 ชั้น

  1. ชั้นชุมชน/พื้นที่ — กั้นแนวชม ปรับลาดตลิ่ง จุดอพยพฉุกเฉิน มีไฟส่องสว่างทางเดิน จัดเวรยามชุมชน
  2. ชั้นกิจกรรมเรือไฟ — ตรวจความมั่นคงโครงสร้างทุ่น, ใช้วัสดุไม่ติดไฟลุกลามง่าย, มีเรือช่วยเหลือพร้อม, ซ้อมแผนกรณีไฟติดผิดปกติ
  3. ชั้นสาธารณสุข — จุดปฐมพยาบาล, รถพยาบาลสแตนด์บาย, จุดน้ำสะอาด, ประชาสัมพันธ์ข้อปฏิบัติสำหรับผู้สูงอายุ–เด็กเล็ก

ด้านสิ่งแวดล้อม มี แผนเก็บกวาดหลังงาน พร้อมการคัดแยกขยะและ การเก็บชิ้นส่วนเรือไฟ คืนจากแม่น้ำ โดยประสานเรือชาวบ้านและอาสาสมัคร เพื่อให้โขง สว่างเพียงชั่วคืน—สะอาดไปอีกนาน”

นัยเชิงวัฒนธรรม Soft Power ที่ชี้นำด้วยความอ่อนโยน

ในโลกที่เมืองท่องเที่ยววิ่งแข่งกันด้วยคอนเสิร์ตหมื่นคนและไฟงานอลังการ เชียงแสนเลือกยืนอยู่ในเลนของ “ความอ่อนโยน”—งานวัฒนธรรมที่ เล็ก–ละเอียด–ลึก” และมีเรื่องเล่าของตัวเอง 12 ราศี ไม่ได้เป็นเพียงลวดลายสวยงาม แต่สื่อถึง วงจรชีวิต–เวลา–ฟ้า–ดิน ที่ผู้คนลุ่มน้ำโขงอยู่กับมันมานับร้อยปี การสนับสนุนของ อบจ. ในปีนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มสีสันชั่วครู่ แต่คือ การค้ำยันเสาหลักทางจิตวิญญาณของพื้นที่ ให้สูงพอจะมองเห็นจากไกล และมั่นคงพอให้ลูกหลานปีนขึ้นไปยืนได้

ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้งานปีที่ 27 เป็น “บันได” ไม่ใช่ “เพดาน”

เพื่อให้งานเติบโตอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญการจัดการเทศกาลวัฒนธรรมมักเสนอ 4 กลไก

  • ฐานข้อมูลผู้มาเยือน — เก็บข้อมูลอย่างยินยอม จังหวัด–ช่วงอายุ–พฤติกรรมเที่ยว–ค่าใช้จ่าย–ความพึงพอใจ เพื่อวางแผนปีถัดไป
  • เครือข่ายช่าง–ครูผู้รู้ — ทำคลังองค์ความรู้ชุมชน (how-to โครงเรือไฟ, ลายราศี, ตำรับโคม) ให้เยาวชนเข้าถึงได้จริง
  • ปฏิทิน “เที่ยวทั้งปี” — เชื่อมไหลเรือไฟกับกิจกรรมอื่น เช่น งานผ้าทอ, ลอยกระทงเชียงแสน, ปีใหม่ชนเผ่า ให้เกิด Route เชียงรายตลอดปี
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน — ทำ MOU ระหว่างชุมชนลาว–ไทย เพื่อแลกเปลี่ยนช่างฝีมือ เวทีการแสดง และริเริ่ม “คืนเรือไฟสองฝั่ง” ในรูปแบบร่วมสมัย

หากทำได้ งานปีที่ 27 จะเป็นเพียง ขั้นบันได” สู่เวทีใหญ่ที่ยังคงหัวใจชุมชน และเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจ–วัฒนธรรมไปพร้อมกัน

เสียงจากชุมชนและผู้จัด แม้ไม่ใช่คำปราศรัยยาว แต่ชัดในเจตนา

แม้ในพิธีเปิด ผู้บริหารและชุมชนไม่ได้ให้คำปราศรัยยืดยาวต่อสื่อ แต่การจัดสรรงบ การยืนเคียงของ นายก อบจ.เชียงราย–เจ้าคณะจังหวัด–ผู้นำท้องถิ่น และการเข้าร่วมของประชาชน คือ “ถ้อยคำในภาคปฏิบัติ” ที่ดังพอแล้วว่า—เชียงแสนตั้งใจจะรักษาและยกระดับมรดกริมโขง ให้เป็นเสาหลักของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่เรียนรู้ของคนรุ่นหลัง

คู่มือสั้น ๆ ก่อนถึงริมน้ำ

  • ช่วงเวลา คืนแรม 1 ค่ำหลังออกพรรษา 1 วัน (ปีนี้ตรงกับ 8 ต.ค. 2568)
  • สถานที่ ลานกิจกรรมริมโขง บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
  • การเดินทาง–จอดรถ ติดตามประกาศจุดจอดและรถรับ–ส่งจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรหนาแน่นริมตลิ่ง
  • สิ่งแวดล้อม พกแก้ว/ขวดใช้ซ้ำ ทิ้งขยะให้ถูกประเภท งดปล่อยโคมลอย/พลุในพื้นที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย
  • ความปลอดภัย ระวังขอบตลิ่ง พาเด็กและผู้สูงอายุอยู่ในเขตปลอดภัยเสมอ

ไฟที่สว่างบนสายน้ำ—เพื่อเห็นทางเดินของทั้งเมือง

“ไหลเรือไฟ 12 ราศี” อาจกินเวลาแค่คืนเดียว แต่ผลสะเทือนของมันยาวนานกว่านั้น แสงไฟที่ล่องไปตามน้ำทำให้เราเห็นหลายอย่าง—เห็นเศรษฐกิจชุมชนที่ขยับได้ด้วยงานเล็ก, เห็นเยาวชนที่ได้เรียนรู้งานมือและพิธีกรรม, เห็นความร่วมมือสองฝั่งโขง, และ เห็นความตั้งใจของจังหวัด ที่ใช้วัฒนธรรมเป็นหัวเรือของการท่องเที่ยวตลอดปี งบ 350,000 บาท จึงไม่ใช่เพียงเลขเชิงบัญชี หากคือ การลงทุนในความทรงจำร่วม ซึ่งคืนผลตอบแทนเป็นศักดิ์ศรีและรายได้ให้ชุมชน

เมื่อไฟดวงสุดท้ายดับลงในสายน้ำ ภาพที่ค้างตาอาจเป็นลายราศีที่ยังอุ่น แต่สิ่งที่ค้างใจคือ ความรู้สึกว่าเมืองนี้ยังสว่าง—ด้วยคนของเมืองนี้เอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ที่ว่าการอำเภอเชียงแสน / เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน
  • วัดพระธาตุผาเงา / คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เวียงเชียงรุ้งเร่งเครื่อง “วิ่งเลาะเวียง” โมเดลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุ่นเครื่องเศรษฐกิจชุมชน

เวียงเชียงรุ้งเร่งเครื่อง “วิ่งเลาะเวียง” ปลายฝนต้นหนาว โมเดลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–เศรษฐกิจชุมชน ที่ออกสตาร์ทด้วยความพร้อมและความหวัง

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — ลมเย็นแรกของฤดูกาลกำลังเลียบไหล่เขาทางตะวันออกของเชียงราย ขณะเดียวกัน “อำเภอเวียงเชียงรุ้ง” ก็กำลังเร่งฝีเท้าสู่จุดปล่อยตัวครั้งสำคัญของการท่องเที่ยวฤดูหนาว ด้วยกิจกรรมวิ่งถนนขนาดกลางที่วางเป้าหมายไว้ชัดเจนทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์พื้นที่ นั่นคือ วิ่งเลาะเวียง 4 เมืองล้านนาตะวันออก จังหวัดเชียงราย ตอน เวียงเชียงรุ้ง” ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 22–23 พฤศจิกายน 2568โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนักวิ่งลงทะเบียนแล้ว 728 คน พร้อมเส้นทาง 4 ระยะ ที่ตั้งใจ “ให้ทุกคนวิ่งได้” ตั้งแต่งานสายกิน–เที่ยวไปจนถึงมาราธอนเต็มระยะ

ภาพรวมทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากแต่เป็นผลของการ “บูรณาการจริงจัง” ระหว่างภาครัฐ–เอกชน–ชุมชนท้องถิ่น สะท้อนจากการประชุมเตรียมความพร้อมเมื่อ 7 ตุลาคม 2568 ที่ The Estretto Restaurant ซึ่งมี นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, นายภาณุพันธ์ เอี่ยมอุบลสุวรรณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา และ นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง ร่วมเป็นประธาน พร้อมผู้เกี่ยวข้องรอบด้าน แนวทางที่วางไว้ชัดเจน ใช้กีฬาเป็นเข็มทิศให้การท่องเที่ยวปลายปี อุ่นเครื่องเศรษฐกิจชุมชน” ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดี

เล่าจากห้องประชุมสู่เส้นทางจริง เมื่อ “วิ่ง” ไม่ได้แปลว่าแค่กิโลเมตร

สาระจากการเตรียมงาน มี 3 แกนหลัก

  1. มาตรฐานความปลอดภัยและบริการ
    คณะทำงานให้ความสำคัญกับการจัดการเส้นทาง จุดบริการน้ำ จุดพยาบาล และการจราจรตลอดคอร์ส โดยยึดแนวปฏิบัติการแข่งขันวิ่งถนนสมัยใหม่ เช่น การกระจายจุดให้น้ำตามสภาพภูมิประเทศ, การประสานงานหน่วยกู้ชีพท้องถิ่น, การกำหนดจุดตัด (cut-off) ให้เหมาะสมกับทุกระยะ และการสื่อสารระยะจริง–ระดับความยากให้ผู้เข้าร่วมทราบล่วงหน้า
  2. ดีไซน์ระยะทาง “ครอบคลุมทุกคน”
    • Kilo Run 2.5 กม. โจทย์คือ “ชวนคนทั้งบ้านมาเคลื่อนไหว” ได้วิ่ง ได้ชิม ได้ถ่ายรูป
    • Fun Run 5 กม. ระยะยอดนิยมสำหรับผู้เริ่มวิ่งและนักท่องเที่ยว
    • Half Marathon 21 กม. จับกลุ่มนักวิ่งประสบการณ์กลาง ที่ต้องการวิวชนบท–นาข้าว–เนินสวย
    • Marathon 42 กม. สำหรับนักวิ่งจริงจังที่มองหาเส้นทางธรรมชาติในภาคเหนือปลายฝนต้นหนาว

รูปแบบรางวัลถูกออกแบบให้ “ปลอดแรงกดดันแต่จูงใจ” 100 คนแรกของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) รับเสื้อ Finisher ขณะที่ Kilo Run แจก กระบอกน้ำที่ระลึก เพื่อย้ำภาพ “งานของทุกคน”

  1. บรรยากาศนอกสนามที่คิดเผื่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 19.00 น. จะมี มินิคอนเสิร์ต “ศาล สานศิลป์” เติมสีสันช่วงรับนักวิ่งนอกพื้นที่และครอบครัว ให้ “ค่ำคืนก่อนวิ่ง” เป็นพื้นที่ของการพักผ่อน พบปะ และจับจ่ายในท้องถิ่น

ทำไม “เวียงเชียงรุ้ง” ต้องวิ่ง เศรษฐกิจ–สุขภาพ–อัตลักษณ์ ในงานเดียว

เศรษฐกิจชุมชน แม้จำนวนผู้เข้าร่วม 728 คนจะไม่ใช่งานใหญ่ระดับหมื่น แต่ด้วย สัดส่วนผู้ติดตาม และ การพักค้างคืน (โดยเฉพาะผู้ลงฮาล์ฟ–มาราธอน) เงินใช้จ่ายจะกระจายไปยัง ที่พักโฮมสเตย์–รีสอร์ทขนาดเล็ก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–รถรับจ้าง–ร้านค้าชุมชน ตลอดสุดสัปดาห์ ก่อนถึงไฮซีซันปลายปี การแข่งขันในเดือนพฤศจิกายนจึงถูกวางให้เป็น “ตัวอุ่นเครื่องกระแสท่องเที่ยว” ช่วยให้ผู้ประกอบการได้ลองแพ็กเกจ–ชิมเมนู–ทดสอบบริการ ก่อนเข้าสู่คริสต์มาส–ปีใหม่ สุขภาพและทุนทางสังคม การวิ่งไม่ได้หมายถึง “นักกีฬา” เท่านั้น แต่คือการขยับร่างกายของคนทุกวัยตามคำแนะนำสากล เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำการมีกิจกรรมแอโรบิกอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ สำหรับผู้ใหญ่ งานวิ่งชุมชนที่ออกแบบให้เข้าถึงทุกกลุ่มจึงเป็น เครื่องมือสร้างวินัยสุขภาพ และ “ทุนทางสังคม” ที่คนในพื้นที่ ซ้อม–วิ่ง–เชียร์ ร่วมกัน

สาม, อัตลักษณ์และภาพจำ
“ล้านนาตะวันออก” มี ภูมิทัศน์ชนบท–ไร่นา–สายหมอก ที่ต่างจากเมืองใหญ่ การจับ “เลนธรรมชาติ” มาอยู่ในเส้นทาง และการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมขนาดย่อมในบริเวณงาน จะทำให้ผู้มาเยือน จดจำรสชาติท้องถิ่น ผ่านสิ่งเล็ก ๆ เสียงเกราะไม้เรียกนกยามเช้า, กลิ่นกาแฟคั่วอุ่น ๆ ริมทาง, ผ้าทอและงานคราฟต์ชุมชน นี่คือ soft power ที่ไม่ต้องตะโกน

กลไกความพร้อม เมื่อ “บูรณาการ” ไม่ใช่คำสวยหรู

จากเอกสารการประชุม 7 ตุลาคม 2568 แนวทางปฏิบัติถูกไล่ชัดเป็นข้อ ๆ

  • เส้นทางและจราจร การสำรวจเส้นทางร่วมกับอปท. ทต./อบต. และสถานศึกษา เพื่อกำหนดจุดเสี่ยงทางแยก–ทางโค้ง–สะพาน พร้อมแผนปิด–เปิดช่องทางชั่วคราวให้กระทบชุมชนน้อยที่สุด
  • การแพทย์ฉุกเฉิน ประสานหน่วยกู้ชีพท้องถิ่น จุดปฐมพยาบาลเคลื่อนที่, ระบบวิทยุสื่อสาร, รถพยาบาลสแตนด์บายตามจุดระยะ 5–7 กม., และกระบวนการส่งต่อ รพ.ใกล้ที่สุด
  • สิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุลดขยะ–คัดแยกขยะงาน, สนับสนุนแก้ว/ขวดส่วนตัว, ออกแบบจุดให้น้ำที่ลด Single-use, และกำหนดทีมเก็บกวาดหลังขบวนสุดท้าย
  • การสื่อสารผู้ร่วมงาน แผนประชาสัมพันธ์เส้นทาง–เวลาปิดถนน–จุดจอดรถ–รถรับส่ง (shuttle) ชัดเจน, แผนสภาพอากาศ–แผนปรับเวลา (หากมี) เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก
  • มิติชุมชน บูธชุมชน–ตลาดเล็ก ๆ ในพื้นที่จัดงาน ให้ชาวบ้านนำสินค้าพื้นถิ่น–อาหารท้องถิ่นมาจำหน่าย สร้างการมีส่วนร่วมพร้อมรายได้เสริม

ในเชิงมาตรฐาน งานวิ่งที่ดีในพื้นที่ต่างจังหวัดยุคนี้ ต้องทำให้คนในพื้นที่ “อยู่ร่วมกับงาน” อย่างราบรื่น มากกว่ารู้สึกว่าถูก “ปิดถนนให้คนนอกมาวิ่ง” เวียงเชียงรุ้งกำลังเดินในเส้นทางนี้

4 ระยะ 4 ประสบการณ์ ออกแบบให้ “เข้าถึง–สวย–ปลอดภัย”

แม้รายละเอียดระดับจุด กม. จะประกาศใกล้วันงาน แต่กรอบใหญ่ของประสบการณ์ถูกวางไว้พร้อม

  • Kilo Run 2.5 กม. — โฟกัสครอบครัว/มือใหม่ เดินสลับวิ่งได้ สนามถ่ายภาพเยอะ จุดให้น้ำ 1 จุดเพียงพอ เน้นอาสาสมัครให้กำลังใจ
  • Fun Run 5 กม. — วิ่งวนผ่านชุมชน–ทุ่งนา ทางเรียบ–เนินน้อย วิ่งกลางเช้าอากาศเย็น รับเส้นชัยพร้อมกิจกรรมสันทนาการ
  • Half Marathon 21 กม. — ระยะ “เวียงเชียงรุ้งในเช้าวันจริง” เจอเนินยาวบ้าง วิวโล่ง–ทุ่ง–เส้นทางชนบท ต้องบริหารพลัง น้ำ/เกลือแร่ทุก 2–3 กม.
  • Marathon 42 กม. — งานสำหรับนักวิ่งจริงจัง เส้นทางหลากหลายภูมิประเทศ ต้องวางแผน pace–พลังงาน–อากาศ งานบริการควรใส่จุดน้ำ–เจล–ห้องน้ำเคลื่อนที่ถี่กว่าปกติ

การให้ เสื้อ Finisher แก่ 100 คนแรก ของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) เป็นการวางสิ่งจูงใจที่ “ชัด แต่ไม่กดดัน” เพราะเกียรติยศยังอยู่ที่การ “ข้ามเส้นชัยอย่างปลอดภัย” มากกว่าการไล่จับเวลา

นอกเส้นทาง ดนตรี–อาหาร–วัฒนธรรม ที่ยกมารวมไว้ในสุดสัปดาห์เดียว

คอนเสิร์ต ศาล สานศิลป์” คืนก่อนแข่ง คือหัวใจดึงนักวิ่ง–ผู้ติดตามให้อยู่กับพื้นที่นานขึ้น เกิดการจับจ่าย–เข้าพัก–ใช้บริการในชุมชน นอกจากนี้ ฝ่ายจัดยังวาง พื้นที่ชิม–ช้อปของดีเวียงเชียงรุ้ง ทั้งกาแฟพื้นถิ่น–ผักผลไม้ตามฤดูกาล–อาหารล้านนาง่าย ๆ ให้เป็น “สนามพบปะ” ของคนใน–คนนอก สร้างประสบการณ์รวมที่น่าจดจำ

คิดล่วงหน้าเรื่องความเสี่ยง อากาศ–ความพร้อม–การแพ้กลูโคส

ช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเช้าเย็น–บ่ายร้อนแดด ถ้าฟ้าเปิด การสูญเสียเหงื่ออาจสูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะนักวิ่งมาราธอน–ฮาล์ฟ การจัดการ น้ำ–เกลือแร่–จุดพยาบาล–รถพยาบาล จึงเป็นหัวใจ นอกจากนี้ กลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้มีโรคประจำตัว, เคยเป็นลมแดด, ภาวะน้ำตาลต่ำ) ต้องได้รับคำแนะนำให้ เตรียมตัว–แจ้งอาสาฯ–พกยาประจำตัว รวมถึงการเผยแพร่ คู่มือเตรียมตัว 7–14 วันก่อนแข่ง เพื่อให้ทุกคนถึงเส้นชัยด้วยความปลอดภัย

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตัวคูณที่เกิดจริงในชุมชน

งานวิ่งขนาด 700–1,000 คน มักสร้างการใช้จ่ายต่อหัวที่กระจายไปยังที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ของที่ระลึก หากบริหาร ตลาดชุมชน ให้เชื่อมกับงานหลักอย่างเหมาะสม จะเกิด เงินใหม่” เข้าชุมชน แท้จริง (ไม่ใช่แค่หมุนภายใน) ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนท้องถิ่น (คาเฟ่–รีสอร์ท) สามารถใช้โอกาสนี้ พล็อตแพ็กเกจปลายปี ให้กับนักวิ่งที่ “กลับมาอีก” ในช่วงไฮซีซัน การสร้าง ฐานลูกค้าซ้ำ (repeaters) คืองานเงียบ ๆ ที่คุ้มค่าที่สุด

เวียงเชียงรุ้งในแผนที่ท่องเที่ยวเชียงราย เติมช่องว่าง “ธรรมชาติใกล้–จริง–อบอุ่น”

เชียงรายมีแม่เหล็กท่องเที่ยวระดับประเทศอยู่แล้ว ทั้งวัดร่องขุ่น–ไร่ชา–ดอยแม่สลอง–ดอยตุง จึงเป็นธรรมดาที่ “อำเภอใหม่ ๆ” ต้อง หาเลนเฉพาะ ของตน งานวิ่งชุมชนที่ดี ทำให้ “พื้นที่ที่คนยังไม่คุ้น” ได้โอกาสโชว์ ถนนโล่ง–ทุ่งนา–วิถีบ้าน แบบไม่ยัดเยียด เวียงเชียงรุ้งกำลังวางตำแหน่งตนเองในเลนนั้น ธรรมชาติจริงมากกว่าฉาก, ผู้คนจริงมากกว่ารีวิว, และ ประสบการณ์อบอุ่นมากกว่าเช็กอิน

เสียงที่ยังไม่ต้องเป็นคำพูด ความร่วมมือคือหัวใจ

แม้การประชุมครั้งล่าสุดไม่ได้เปิดเผยคำกล่าวอย่างเป็นทางการของผู้บริหารต่อสาธารณะ แต่สารที่ส่งออกมาชัดเจนอยู่แล้วจาก รูปแบบการทำงาน—เวียงเชียงรุ้งไม่ได้กำลังจัด “งานของใครคนหนึ่ง” หากกำลังจัด “งานของพื้นที่” ที่ทุกหน่วยต้อง เกาะเกี่ยวกัน ตั้งแต่ อบจ./อบต., โรงเรียน, โรงพยาบาล, ตำรวจทางหลวง, ผู้ใหญ่บ้าน, ชมรมอาสาสมัคร, ผู้ประกอบการท่องเที่ยว, ไปจนถึงชาวบ้านที่เปิดบ้านเป็นจุดบริการหรือลูกมือข้างทาง

ความสำเร็จของงานวิ่ง จึงมักไม่ได้จบที่จำนวนผู้เข้าเส้นชัย หากจบที่ว่า วันรุ่งขึ้น ชุมชนยังยิ้มให้กันได้เหมือนเดิม และพร้อมเปิดบ้านรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง—ซึ่งคือ “ความยั่งยืน” แบบจับต้องได้

ข้อเสนอแนะเชิงระบบ ให้ “วิ่งเลาะเวียง” เป็นสินทรัพย์ระยะยาว

  1. สร้างมาตรฐานซ้ำได้ (Repeatable Standard)
    บันทึกคู่มือจัดการเส้นทาง–จราจร–แพทย์–อาสาสมัคร–สิ่งแวดล้อม ให้ทีมรุ่นต่อไปทำซ้ำได้โดยไม่เริ่มจากศูนย์
  2. เก็บข้อมูลจริง (Event Intelligence)
    เก็บข้อมูลอายุ–ภูมิลำเนา–พฤติกรรมจับจ่าย–ระยะพักคืน–ความพึงพอใจ เพื่อนำไปออกแบบแพ็กเกจท่องเที่ยวและสปอนเซอร์ปีหน้า
  3. เชื่อมการศึกษา–สุขภาพ (Schools x Health)
    ใช้งานวิ่งเป็นตัวคูณให้โรงเรียนในพื้นที่สร้างชมรมวิ่ง–ชมรมอาสาฯ ต่อเนื่อง สร้างทุนสุขภาพเยาวชน
  4. ยั่งยืนสิ่งแวดล้อม (Green Race)
    ลด single-use อย่างจริงจัง, จัดคัดแยกขยะ, ส่งเสริมรีฟิล, และรายงาน “คาร์บอนฟุตพริ้นต์” คร่าว ๆ หลังจบงาน เพื่อเป็นโมเดลงานสีเขียวของจังหวัด

เชิญชวนด้วยความพร้อมใจ 22–23 พฤศจิกายนนี้ พบกันที่เวียงเชียงรุ้ง

  • สถานที่: โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้ง
  • ระยะ: 2.5 กม. (Kilo Run) / 5 กม. (Fun Run) / 21 กม. (Half) / 42 กม. (Full)
  • ของที่ระลึก: ผู้เข้าเส้นชัย 100 คนแรกของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) รับเสื้อ Finisher / Kilo Run รับกระบอกน้ำที่ระลึก
  • กิจกรรมพิเศษ: มินิคอนเสิร์ต ศาล สานศิลป์” วันที่ 22 พ.ย. เวลา 19.00 น.
  • หัวใจของงาน: วิ่งอย่างปลอดภัย เคารพชุมชน สนับสนุนของดีท้องถิ่น และพากันกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม

เวียงเชียงรุ้งอาจไม่ได้อยู่กลางแผนที่ท่องเที่ยวหลักของเชียงราย แต่ในสุดสัปดาห์ปลายฝนต้นหนาวนี้ เมืองเล็กกำลังเปิดทางให้ทุกคนได้ “เลาะ” พื้นที่ที่เงียบงามด้วยรองเท้าคู่เดิม และหัวใจที่ตั้งใจจะวิ่งเพื่อสุขภาพ เพื่อชุมชน และเพื่อความจำดี ๆ ร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  •  สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา
  • ที่ว่าการอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมการท่องเที่ยว
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่แม่สาย สู่ศูนย์สุขภาพชุมชน 82 ไร่

หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ของแม่สาย สวนสาธารณะ–ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน สร้างเสร็จครบเฟส เตรียมส่งมอบบริหารให้ อบต.โป่งผา

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — พื้นที่เหนือสุดแดนสยาม ลมจากดอยผ่าลงมาช่วยพาไอเย็นแตะผิวน้ำ “หนองน้ำพุ” แหล่งพักผ่อนขนาด 82 ไร่ กลางตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ชาวบ้านเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยานสลับกันตามลู่วิ่งรอบบึง เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ บนลานกิจกรรมคละเคล้าเสียงนกน้ำ—ภาพที่หลายคนเคยจินตนาการ วันนี้กลายเป็น “ของจริง” หลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จเต็มรูปแบบ และกำลัง รอพิธีส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ จากกรมโยธาธิการและผังเมืองสู่ องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา) เพื่อเริ่มต้นบทบาทการบริหารจัดการโดยชุมชนอย่างเป็นระบบ

โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 180 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือของ สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย สังกัดกระทรวงมหาดไทย ในกรอบ โครงการพัฒนาพื้นที่รอบอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ดำเนินการต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2566–2568) จนเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลน ทั้งคันบ่อ ระบบภูมิสถาปัตยกรรมทางน้ำ ลู่วิ่ง–ทางจักรยาน ลานอเนกประสงค์ และพื้นที่สีเขียวรองรับกิจกรรมครอบครัว

ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา กล่าวขอบคุณหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนและผลักดันให้โครงการสำเร็จ พร้อมระบุว่า การส่งมอบพื้นที่จะทำให้ อบต.สามารถจัดระบบดูแล–บำรุงรักษา จัดตารางกิจกรรม และพัฒนาเฟสต่อเนื่องได้อย่างเต็มศักยภาพ “หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน และเราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง”

จาก “แนวคิด” สู่ “พื้นที่ที่จับต้องได้” บทเรียนการพัฒนาเชิงระบบ

หนองน้ำพุ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการถมดิน–ขุดบ่ออย่างฉับพลัน แต่เป็นผลของการวางผังและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอย่างมีขั้นตอน จุดเน้นของโครงการมีสองมิติที่เดินคู่กัน ได้แก่

  1. มิติสิ่งแวดล้อมและภูมินิเวศ
  • ใช้ “บึงหนอง” เป็นแกนกลาง เพื่อทำหน้าที่ทั้ง พื้นที่รับน้ำ ในฤดูฝน, บ่อหน่วงน้ำ ช่วยชะลอน้ำหลาก และ แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงพืชพรรณ ในหน้าแล้ง
  • ออกแบบ พื้นที่ชุ่มน้ำตื้น (shallow wetland) รอบบึง ช่วยกรองตะกอน–ดูดซับสารอาหารส่วนเกิน เพิ่มความหลากหลายของสัตว์น้ำและนกอพยพ
  • ปลูกไม้ยืนต้นท้องถิ่นให้ร่มเงา ลดเกาะความร้อนในเมือง (urban heat island) รอบชุมชน
  1. มิติสุขภาวะและพื้นที่สาธารณะ
  • ลู่วิ่ง–ทางจักรยานแยกเลน, ลานกิจกรรมอเนกประสงค์, สนามเด็กเล่น, ลานผู้สูงอายุ และจุดชมวิวรอบหนอง
  • แนวคิด Universal Design ทางลาด–ราวจับ–พื้นผิวต่างสัมผัส เพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงวัยเข้าถึงได้จริง
  • จุดลาน “สันทนาการครอบครัว” ที่มองเห็นผืนน้ำ เปิดรับลม ดึงคนทุกช่วงวัยให้ออกมาใช้พื้นที่ร่วมกัน

เมื่อรวมกับเครือข่ายพื้นที่สาธารณะเดิม—วัด โรงเรียน ตลาด และทางเชื่อมสัญจรของหมู่บ้าน—หนองน้ำพุจึงกลายเป็น “หัวใจสีเขียว” ดวงใหม่ของตำบลโป่งผา เชื่อมชีวิตประจำวันของผู้คนกับธรรมชาติอย่างแนบเนียน

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง 20,000+ การใช้งาน—สัญญาณ “ถูกจริตชุมชน”

แม้ยังไม่เข้าสู่โหมดบริหารเต็มรูปแบบ อบต.โป่งผา ระบุว่าตลอดช่วงทดสอบพื้นที่และเปิดใช้บางส่วน มีประชาชนมาใช้บริการเพื่อเดิน–วิ่ง–ปั่น–เล่นกีฬา และทำกิจกรรมครอบครัว สะสมมากกว่า 20,000 คน ตัวเลขนี้สะท้อนสองประเด็นสำคัญ

  • ความต้องการจริง (real demand) ของคนในพื้นที่ต่อ “สนามสุขภาพกลางแจ้ง” ที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และฟรี
  • พฤติกรรมสุขภาพที่เริ่มเปลี่ยน—จากอยู่กับบ้านสู่การออกมาทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่สาธารณะ สอดคล้องกับกรอบแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ชี้ว่าผู้ใหญ่ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง อย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ และเด็ก–เยาวชนควรมีกิจกรรมทางกาย เฉลี่ย 60 นาที/วัน การมี “พื้นที่ชวนขยับ” ใกล้บ้านถือเป็นปัจจัยเอื้อที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มกิจกรรมทางกายได้จริง

สาระสำคัญ คือ หนองน้ำพุไม่ได้เป็นเพียง “สวนสวย” แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานสุขภาพเชิงป้องกัน” (preventive health infrastructure) ที่ลดค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพระยะยาวในมิติไม่เป็นทางการ

หลังส่งมอบ 4 งานใหญ่ที่ อบต.โป่งผา ต้องทำทันที

เมื่อกรมโยธาธิการฯ ส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ อบต.จะเป็น “แม่บ้านหลัก” ของผืนที่ 82 ไร่นี้ งานเร่งด่วนที่ต้องทำคู่กันมีอย่างน้อย 4 เรื่อง

  1. จัดระเบียบการใช้งาน–ความปลอดภัย
  • เวลาเปิด–ปิด, เส้นทางเข้า–ออก, การติดตั้งไฟส่องสว่าง, กล้องวงจรปิด, จุดปฐมพยาบาล–AED, ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน
  • แนวร่วมชุมชน ตั้งอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (park steward) ร่วมกับผู้นำชุมชน–อสม.–เยาวชน
  1. แผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive O&M)
  • ตารางตัดหญ้า–ดูแลไม้ยืนต้นกำจัดวัชพืชน้ำอย่างถูกวิธี (เลี่ยงสารเคมี), ลอกตะกอนตามรอบเวลา, ตรวจอุปกรณ์สนาม พื้นทาง ราวจับ
  • การจัดการขยะและน้ำเสียจากกิจกรรมให้ไม่รบกวนคุณภาพน้ำในหนอง
  1. ออกแบบปฏิทินกิจกรรมสาธารณะประจำปี
  • “สัปดาห์สุขภาพชุมชน”, งานวิ่งการกุศล, ตลาดสีเขียวสินค้าเกษตรปลอดเผา, เวิร์กช็อปจักรยาน–พายเรือ, ลานดนตรีเยาวชน
  • โปรแกรม “หมอชวนวิ่ง ครูชวนขยับ ผู้ใหญ่บ้านชวนเดิน” เชื่อมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงเรียน, กลุ่มผู้สูงอายุ
  1. ระบบการเงินเพื่อความยั่งยืน
  • ตั้ง “กองทุนดูแลสวน” จาก 3 ช่องทาง งบประจำ, รายได้กิจกรรม/เช่าพื้นที่เฉพาะครั้ง (non-commercial friendly), และเงินร่วมบริจาคโปร่งใส
  • คู่มือธรรมาภิบาล เผยแพร่รายรับ–รายจ่ายรายไตรมาส, เปิดรับข้อเสนอชุมชน, ตั้งคณะกรรมการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ

แก่นคิด คือ พื้นที่สาธารณะจะ “อยู่รอด” ได้ก็ต่อเมื่อกลายเป็น “ของเรา” ของทุกคน—ไม่ใช่เพียงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฝ่ายเดียว

เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น สวนสาธารณะไม่ใช่ “ต้นทุนจม”

แม้โครงการใช้งบ 180 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจที่ “ไม่ติดป้ายราคา” มีมากกว่าที่คิด

  • สุขภาพดี = ค่าใช้จ่ายรักษาลด เพิ่มกิจกรรมทางกายของชุมชน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว
  • เศรษฐกิจชุมชนหมุน แผงน้ำดื่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด (ไม่ขายเครื่องดื่มหวานจัด), กิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เวิร์กช็อปสร้างรายได้เสริม
  • การท่องเที่ยวใกล้บ้าน (micro tourism)  ผู้มาเยือนแม่สาย–ถ้ำหลวงฯ มี “จุดพักจุดเรียนรู้ธรรมชาติ” เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมเส้นทางวัด ชุมชน ไร่เกษตรยั่งยืน
  • มูลค่าที่ดินโดยรอบ–คุณภาพชีวิต พื้นที่สีเขียวคุณภาพดีเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินรอบข้างในกรอบผังเมือง พร้อมลดความร้อนและน้ำท่วมเฉียบพลันแบบบัฟเฟอร์ธรรมชาติ

เมื่อรวมกับ “อัตลักษณ์ท้องถิ่น” ที่ อบต.ตั้งใจสื่อผ่าน เสื้อลายผ้าน้ำผุด” ของนายก อบต.และทีมงาน หนองน้ำพุจึงทำหน้าที่เป็น “ห้องรับแขกกลางแจ้ง” ของตำบลโป่งผา—เชื้อเชิญให้คนแปลกหน้าได้รู้จักวัฒนธรรมและวิถีชีวิตกึ่งเมือง กึ่งภูเขาที่งดงามของชายแดนแม่สาย

คำถาม–คำตอบเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้ “หนองน้ำพุ” อยู่ดีมีอนาคตยืนยาว

ถาม: งบ 180 ล้านบาท ควรคาดหวังอะไรใน 3–5 ปีแรก?
ตอบ: (1) ดัชนีกิจกรรมทางกายของชุมชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, (2) อัตราใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อวัน ต่อสัปดาห์ชัดเจนและเติบโต, (3) กิจกรรมสาธารณะคุณภาพสม่ำเสมออย่างน้อยรายเดือน, (4) ระบบ O&M เดินได้จริงโดยมีชุมชนมีส่วนร่วม, (5) คุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพรอบหนองไม่ถดถอย

ถาม: จะหลีกเลี่ยงปัญหา “สวนสาธารณะสวยเฉพาะวันเปิด” ได้อย่างไร?
ตอบ: สร้าง ผู้ใช้แกนกลาง” (core users) ตั้งแต่ต้น—กลุ่มวิ่ง–จักรยาน ผู้สูงอายุ เยาวชน ให้มี “สิทธิ–หน้าที่” ร่วมดูแลพื้นที่ ควบคู่สมดุลกิจกรรมฟรีและกิจกรรมหารายได้เพื่อกองทุนบำรุง โดยมีธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้

ถาม: ทำไมต้องย้ำ Universal Design?
ตอบ: เพราะประชากรสูงวัยในเชียงรายเพิ่มต่อเนื่อง การออกแบบที่ทุกคนใช้ได้จริงคือ ความเป็นธรรมด้านพื้นที่ และทำให้สวนเป็น “ของจริง” สำหรับคนทั้งตำบล ไม่ใช่เฉพาะคนแข็งแรงหรือวัยทำงาน

ถาม: หนองน้ำพุจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?
ตอบ: หากจัดการคันบ่อ พืชน้ำ–ตะกอนตามรอบเวลา และลดสารเคมี–ขยะได้สม่ำเสมอ บึงหนองทำงานเป็น ระบบนิเวศบริการ (ecosystem services) ทั้งบรรเทาน้ำหลาก ลดความร้อน เพิ่มความหลากหลายชีวภาพ และเป็นคลังคาร์บอนขนาดย่อม

เส้นทางข้างหน้า ปฏิทิน “หนองน้ำพุ—สวนของเรา”

เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพการใช้ประโยชน์หลังส่งมอบ อบต.สามารถประกาศปฏิทินกิจกรรมสามชุดหลัก

  1. สุขภาพชุมชน
  • เดิน–วิ่งทุกเช้าวันอังคาร/พฤหัส, โยคะเย็นวันเสาร์, “คุณตาคุณยายฟิต” เวทเทรนนิงแบบปลอดภัย, คลาสปั่นจักรยานสำหรับเด็ก
  • คลินิกโภชนาการร่วม รพ.สต. ลดหวาน–มัน–เค็ม
  1. สิ่งแวดล้อม–การเรียนรู้
  • วันชวนปลูกไม้พื้นถิ่น–ปลูกพืชน้ำ, ส่องนก–ส่องแมลง, “วิทยาศาสตร์ริมหนอง” สำหรับโรงเรียน
  • งานตลาดสีเขียว สินค้าภูมิปัญญา–เกษตรปลอดเผา
  1. วัฒนธรรม–ครอบครัว
  • ลานดนตรีเยาวชนทุกปลายเดือน, หนังกลางแปลงครอบครัว, กิจกรรมวันสำคัญ–งานบุญชุมชน เชื่อมศิลป์ชนเผ่าท้องถิ่น

ทั้งหมดต้องเดินคู่กับ กติกาใช้พื้นที่ ที่ชัดเจน (เสียง–เวลา–ความสะอาด–การใช้จักรยาน–สัตว์เลี้ยง) เพื่อรักษาความสมดุลระหว่าง “ความสนุก” และ “ความสงบ” ของคนรอบหนอง

เสียงจากพื้นที่ความภูมิใจที่ “จับต้องได้”

นอกจากคำขอบคุณของผู้บริหารท้องถิ่น หลายครอบครัวเริ่มมองหนองน้ำพุเป็น สนามหลังบ้านของตำบล” เด็ก ๆ ได้มีที่วิ่งเล่น คนทำงานมีที่ปลดล็อกร่างกาย ผู้สูงอายุมีที่พบปะเพื่อนฝูง ยิ่งไปกว่านั้น หนองน้ำพุยังกลายเป็น จุดเริ่มต้นบทสนทนา เรื่องสิ่งแวดล้อม–สุขภาพ–วัฒนธรรม ที่ผู้คนมีส่วนร่วม—ไม่ใช่เพียงผู้รับนโยบาย

“หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน…เราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง” — ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา

“หนองน้ำพุ” คือกรณีศึกษาว่าการลงทุนพื้นที่สาธารณะอย่างมี วิสัยทัศน์–วินัย–วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สามารถแปลงงบประมาณ 180 ล้านบาทให้เป็น “สินทรัพย์สาธารณะ” ที่สร้างผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจระยะยาวได้จริง อำเภอชายแดนอย่างแม่สายจึงไม่ได้มีเพียงภาพการค้าชายแดนคึกคัก แต่ยังมี อุทยานน้ำ–สวนสุขภาพชุมชน ที่เสริมคุณภาพชีวิตผู้คน

เมื่อพิธีส่งมอบเดินหน้า อบต.โป่งผาจะก้าวสู่บทบาท “ผู้จัดการสวน” ที่ท้าทาย—มีทั้งงานบำรุงรักษา การเงินโปร่งใส กิจกรรมที่เข้าถึงทุกวัย และระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ หากทำได้ครบ “หนองน้ำพุ” จะไม่ใช่เพียง แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ แต่เป็น สัญญาใจ ว่าพื้นที่สาธารณะคุณภาพดี สามารถเกิดและยืนยาวได้ ด้วยมือของคนในชุมชนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา), อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย (กระทรวงมหาดไทย)
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT), กระทรวงมหาดไทย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โกลเดนวีคดันยอดจีนพุ่ง! ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% โจทย์ใหญ่เชียงรายคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

พร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนหรือยัง? “โกลเดนวีค” ดันยอดผู้มาเยือนพุ่ง—ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% สะท้อนพลังดีมานด์ แต่โจทย์สำคัญคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

เชียงราย, 6 ตุลาคม 2568 — ช่วงเวลา 9 วันของ “โกลเดนวีคจีน” (28 ก.ย.–6 ต.ค.) ปีนี้ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยคึกคักเป็นพิเศษ เที่ยวบินจากเมืองหลัก–เมืองรองของจีนทะยอยลงจอดแน่นทุกสนามบินหลัก ขณะที่ตัวเลขรายงานจากสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุชัดว่าอัตราผู้โดยสารเฉลี่ยพุ่งแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางชาวจีน “ต่อวัน” ขยับจากราว 11,000 คนไปใกล้ 24,000 คน/วัน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน/วัน ณ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ในสัปดาห์เดียว (26 ก.ย.–2 ต.ค.) นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 586,942 คน ในจำนวนนี้ ชาวจีน 123,752 คน หรือ 21% ของทั้งหมดยืนยันการกลับมาของตลาดจีนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน “สัญญาณแรง” อีกด้านคือราคาตั๋วขากลับเส้นทาง กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง ที่ดีดขึ้นกว่า 400% ไปแตะ 4,000–5,800 หยวน ในช่วง 7–9 ต.ค. สะท้อนดีมานด์เร่งตัวกว่าปกติหลายเท่าและที่นั่งกลับ “แทบเต็ม” แทบทุกสายการบิน (China Eastern, Hainan Airlines, Air China รวมถึง Vietjet) ซึ่งสื่อไทยหลายสำนักรายงานอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้

คำถามใหญ่ที่ผุดขึ้นทันทีสำหรับเมืองท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์เข้มข้นอย่าง เชียงราย คือ “เรา พร้อม แค่ไหนในการเปลี่ยน ปริมาณ ให้เป็น คุณภาพ”—พร้อมแค่ไหนที่จะทำให้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมา “ซ้ำเที่ยว–นานวัน–ใช้จ่ายคุ้มค่า” แทนที่จะเป็นเพียงตัวเลขผ่านเข้า–ออกสนามบิน

 

โอกาสทางเศรษฐกิจที่ “เห็น–จับต้องได้”

  • ตัวเลขดีมานด์ โกลเดนวีคปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศเฉลี่ยวันละเกือบ 2 หมื่นปลาย ที่นั่งเที่ยวบินกลับ “แน่น” จนราคาดีด 4 เท่า ในบางวัน หลังวันหยุดยาว—a classic supply–demand shock ที่ชี้ว่าความต้องการมาเที่ยวไทยยังแข็งแรง (และ พร้อมจ่าย หากประสบการณ์คุ้มค่า)
  • การกระจายรายได้ โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการทัวร์ สายการบิน ได้อานิสงส์ตรง ๆ โดยสื่อเศรษฐกิจประเมินเทรนด์ “คึกคัก” และการฟื้นตัวที่เห็นชัดในหลายเมืองหลัก–รอง ซึ่งเป็นสัญญาณให้จังหวัดนอกหัวเมืองใหญ่ “เร่งคว้าโอกาส” ขณะดีมานด์ยังพุ่ง

เชียงรายในฐานะ เมืองศิลป์ริมโขง ศูนย์กลางวัฒนธรรมล้านนา–ชนเผ่า–กาแฟ–ชา” มีทุนทางการท่องเที่ยวชัดเจน ทั้งแลนด์มาร์กเชิงศิลปะ (วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น/บ้านดำ) ธรรมชาติ (ดอยตุง–แม่สลอง–สามเหลี่ยมทองคำ) และไลฟ์สไตล์ (คาเฟ่สเปเชียลตี้–ไร่ชา–งานคราฟต์) ที่ตรงรสนิยม “ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม+ภาพถ่ายสวย+อาหารเครื่องดื่มมีเรื่องเล่า” ของนักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดโดยเฉพาะกลุ่ม FIT (เดินทางอิสระ) รุ่นใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่

 

พุ่งแรง” แต่ “พร้อมจริง” หรือยัง 5 มุมวิจารณ์ความพร้อมเชียงราย

แม้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นข่าวดี แต่การแปลงโอกาสให้เป็น คุณภาพการเติบโต ต้องตอบคำถามความพร้อมเชิงระบบ ดังนี้

1) การเข้าถึงปลายทาง (Accessibility)

  • เที่ยวบิน–การเชื่อมต่อ ขณะกรุงเทพฯ–ภูเก็ต–เชียงใหม่ คือสามหัวรถจักรหลักของนักท่องเที่ยวจีน การดึง “ไฟลต์ตรง” สู่เชียงรายอาจยังจำกัดตามฤดูกาลและดีมานด์ (ขึ้นกับสายการบินจีน/ไทย) ช่วงพีกจึงเป็นหน้าต่างเวลาทองสำหรับภาคเอกชน–สมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ในการ หารือจับคู่เส้นทางเช่าเหมาลำ/ตามฤดูกาล พร้อมแพ็กเกจร่วมกับผู้ให้บริการภาคพื้น (ที่พัก–รถเช่า–แหล่งท่องเที่ยว) ให้สายการบินเห็นภาพรายได้สุทธิชัดเจน
  • เชื่อมต่อบก หากนักท่องเที่ยวลงเชียงใหม่แล้วต่อรถขึ้นเชียงราย สิ่งที่ต้องทำคือ ปรับมาตรฐานรถ–คนขับ–ไกด์ และจุดแวะพักให้ “ปลอดภัย สะอาด มีภาษา” เพราะความรู้สึก “ปลอดภัย–ไว้ใจได้” คือจุดตัดสินใจกลับมาซ้ำเที่ยวของตลาดจีน

2) ที่พัก–บริการ (Hospitality & Inventory)

  • โกลเดนวีคทำให้ ห้องพีก–ห้องสวย ในเมืองท่องเที่ยวถูกจองแน่นเร็ว ราคาขยับขึ้นตามดีมานด์—เชียงรายควรบริหาร สมดุลราคา–คุณค่า (value for money) ให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาพ “แพงฉับพลัน” เพราะความยั่งยืนของตลาดอยู่ที่ อัตราการกลับมาใหม่ มิใช่ “ขายแพงครั้งเดียวแล้วหาย”
  • โฮมสเตย์/ที่พักชุมชน/โฮเทลสไตล์บูทีคที่เล่าเรื่องชุมชน–กาแฟ–ชา ควร มาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย ตลอดจน ช่องทางชำระเงินดิจิทัล เป็นมิตรกับผู้ใช้จีน (QR/อีวอลเล็ตสากล/บัตร) เพื่อปิดจุดปวดเวลาเช็คอิน–เช็คเอาต์

3) ภาษา–ไกด์–สื่อสาร (Language & Content)

  • ประสบการณ์ดี ๆ ในเชียงรายจำนวนมาก “ขายได้ด้วยการเล่าเรื่อง” ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ ไปจนถึง คาเฟ่สเปเชียลตี้ และ สวนชา/ไร่กาแฟ หากมี เมนู–ป้าย–โบรชัวร์ภาษาจีนกลาง/อังกฤษ ที่ถูกต้อง อ่านง่าย มี คิวอาร์โค้ดสแกนอ่านรีวิว/คอนเทนต์ จะเพิ่ม conversion จาก “มาเช็กอิน” เป็น “ใช้เวลา–ใช้จ่าย”
  • มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่มีความรู้วัฒนธรรมชนเผ่า–ศิลปะ–อาหารพื้นถิ่น จะยกระดับมูลค่าใช้จ่ายต่อหัว ทัวร์ชา/กาแฟ (cupping–hand drip) เวิร์กช็อปศิลป์/งานคราฟต์–ทอผ้า–ย้อมคราม–เครื่องเงิน ฯลฯ

4) ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น (Safety & Trust)

  • รายงานข่าวระดับประเทศชี้ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาแรงปีนี้ ได้แก่ “เสถียรภาพการเมือง” และ “ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติในอาเซียน” ทำให้สื่อจีนรายงานภาพบวก—ไทยเป็นจุดหมาย “ปลอดภัย–บริการดี–เป็นมิตร” ซึ่งเป็นฐานที่เชียงรายต้องรักษาให้มั่น ด้วยมาตรการพื้นที่ กล้องวงจรปิด–ไฟส่องสว่าง–รถตำรวจท่องเที่ยว/อาสา และ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายภาษา ในย่านท่องเที่ยวหลัก

5) ประสบการณ์ที่ “ใช่” สำหรับชาวจีน (China-fit Experiences)

จากพฤติกรรมผู้เดินทางจีนยุคใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Z–มิลเลนเนียล) จุดขายที่สอดคล้องกับเชียงราย ได้แก่

  • เส้นทางศิลป์+คาเฟ่สเปเชียลตี้+โลคัลคราฟต์ เดย์ทริป “วัด–งานศิลป์–เวิร์กช็อป–คาเฟ่” พร้อมเซ็ตภาพถ่าย (photo spots)
  • ชา–กาแฟ–ฟาร์มทัวร์ ดอยตุง–แม่สลอง–ม้ง–อาข่า เชื่อมการ “ชิม–ช้อป–ชง” พร้อมคิตของฝากจับต้องได้ (กาแฟ/ชา/ขนมพื้นถิ่นพร้อมแพ็กจิ้ง)
  • กินท้องถิ่นอย่างเข้าใจ เมนูเล่าเรื่อง “แกงฮังเล–น้ำพริกหนุ่ม–แกงแค–ข้าวซอย” เป็นภาษาจีน พร้อม ตัวเลือกเผ็ดระดับ–ฮาลาล–วีแกน เพราะกรุ๊ปเพื่อน/ครอบครัวจีนมีความหลากหลายสูง
  • เทศกาล–แลนด์สเคปไฟฤดูหนาว หากจังหวัดและเอกชนร่วมกันต่อยอดกิจกรรมฤดูหนาว (ลอยกระทง–ไฟประดับ–งานคริสต์มาส–ปีใหม่) ให้เกิด ธีมเดียวกันทั้งเมือง จะสร้างแรงดึงดูด “อยู่ยาวขึ้น–กลับมาอีกปีหน้า”

 

ด้านสว่าง–ด้านท้าทาย ข้อเท็จจริง 6 ประการที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้

  1. ดีมานด์จีน “กลับมาแรง” จริงตามข่าว
    ตัวเลขรายสัปดาห์ 26 ก.ย.–2 ต.ค. 2568 ชาวจีนเข้าไทย 123,752 คน (21% ของต่างชาติทั้งหมด 586,942 คน) และรายวันขยับแตะ เกือบ 24,000 คน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน ณ 2 ต.ค.—นี่ไม่ใช่ “สัญญาณลวง” แต่คือแรงซื้อที่ต้องรับมือด้วยสินค้า–บริการคุณภาพ
  2. ภาคการบิน “อัดแน่น” จนราคาขากลับดีด 400%
    เส้นกรุงเทพฯ–ปักกิ่งช่วง 7–9 ต.ค. ขึ้นไป 4,000–5,800 หยวน จากเดิม 1,500–2,000 หยวน ขณะที่นั่งกลับ “เกือบเต็มทุกไฟลต์”—แปลว่าความพร้อมของ “ปลายทาง” ต้องรองรับ แรงกระแทกของจำนวน โดยไม่ลดทอนคุณภาพ Mgr Online
  3. โอกาสของเมืองรอง
    รายงานเศรษฐกิจชี้นักท่องเที่ยวจีน เริ่มกระจายตัว นอกเมืองหลักมากขึ้น การจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” หรือ “เชียงราย–ลาว/พม่า (ชายแดนท่องเที่ยว)” ที่สื่อสารชัด จะดึงทริปให้อยู่ภาคเหนือ 2–4 คืน แทน 1–2 คืน เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป pptvhd36.com
  4. ภาพลักษณ์ความปลอดภัยสำคัญกว่าราคา
    การสื่อสาร proactive ด้านความปลอดภัย–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (เบอร์ติดต่อ/จุดช่วยเหลือ/แผนที่จีน/คิวอาร์) ในช่องทาง WeChat–红书 (RED)–抖音 (Douyin) ของผู้ประกอบการและหน่วยงานท้องถิ่น มีผลต่อการ “ตัดสินใจ–บอกต่อ” แรงกว่าการลดราคา
  5. คุณภาพบริการคือจุดคัดแยก
    ในเมื่อ “ที่นั่งบินกลับ” ยังเป็นคอขวดเป็นระยะ นักท่องเที่ยวพร้อม “เลือกจ่ายแพงขึ้น” ถ้าเชื่อว่าประสบการณ์คุ้ม—จุดนี้เชียงรายได้เปรียบด้วยสินค้าท้องถิ่นมีเรื่องเล่า หาก มาตรฐานบริการ–ภาษา–การชำระเงิน ไหลลื่น
  6. Data-driven & Co-op Marketing
    ผู้ประกอบการรายย่อยควรจับมือเป็น คลัสเตอร์ (ที่พัก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–ชุมชน–รถเช่า–มัคคุเทศก์) ทำแพ็กเกจรวม + เก็บ รีวิวจีนคุณภาพ เพื่อดันอันดับค้นหาแพลตฟอร์มยอดนิยม (Trip.com/Fliggy/RED/Douyin) ให้เกิด ความน่าเชื่อถือร่วม มากกว่าทำเดี่ยว ๆ

 

กลยุทธ์ “พร้อมรับ–พร้อมรุก” สำหรับเชียงราย (เช็กลิสต์ทำได้ทันที)

ระยะสั้น (1–3 เดือน นับจากโกลเดนวีค)

  • ภาษา–เมนู–ป้าย–คิวอาร์จีน ให้ครบในย่านท่องเที่ยวหลัก (วัดร่องขุ่น/ร่องเสือเต้น/ไนท์บาซาร์/ถนนคนเดิน/ไร่ชา–กาแฟ)
  • FAST-TRACK Service Mind จุดจอด–จุดรับส่งทัวร์, ห้องน้ำสะอาด, มุมพัก นทท., จุดถ่ายรูป—จัดให้ชัดและ “เป็นมิตรกับคิว”
  • ชุดประสบการณ์รวดเร็ว (2–3 ชม.) สำหรับนักท่องเที่ยวผ่านเมือง เช่น “ศิลป์–กาแฟ–ของฝาก” พร้อมบัตรส่วนลดกลับมาพักคืนหน้า

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • Seasonal Charter/ไฟลต์พิเศษจีน–เชียงราย จับคู่สายการบิน + ผู้ประกอบการพื้นที่ ทำแพ็กข้ามเมือง “เชียงใหม่–เชียงราย” 3D2N/4D3N
  • เทศกาลฤดูหนาวธีมเดียวทั้งเมือง ประสานเทศบาล–เอกชน–แหล่งท่องเที่ยว ต่อยอดไฟประดับ–อีเวนต์ศิลป์–ดนตรี–ชิมชา/กาแฟ
  • มาตรฐานโฮมสเตย์/คอมมูนิตี้–จีนเฟรนด์ลี่ (ภาษา–ความสะอาด–อีเพย์เมนต์) พร้อมคอร์สสั้นสำหรับผู้ประกอบการ

ระยะยาว (มากกว่า 12 เดือน)

  • สร้างซิกเนเจอร์ระดับภูมิภาค “เชียงราย เมืองศิลป์–ชา–กาแฟของอาเซียน” เชื่อม Soft Power อาหารเหนือ–งานคราฟต์–คาเฟ่วิวไร่ชา
  • ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลหลายภาษา (รวมภาษาจีน) ที่อัปเดตรายสัปดาห์ อีเวนต์, สภาพอากาศ, มลพิษ, งานเทศกาล, การเดินทาง
  • พัฒนาเครือข่ายมัคคุเทศก์ท้องถิ่นรุ่นใหม่ เน้นเล่าเรื่องชนเผ่า–ศิลป์–ธรรมชาติอย่างเข้าใจบริบทจีน (มารยาท–ศาสนา–การถ่ายภาพในวัด)

 

มุมมองเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยว “ราคาแพง” ไม่ใช่ปัญหา ถ้า “คุณค่า” ชัด

ราคาตั๋วขากลับที่พุ่ง 400% ทำให้บางคนกังวลว่าอาจ “ปิดประตู” นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มประหยัดในอนาคต แต่งานวิจัยท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ไปในทางเดียวกันว่า—ปัจจัยตัดสินใจหลัก ของนักท่องเที่ยวคุณภาพไม่ใช่ “ราคาตั๋วอย่างเดียว” หากคือ ประสบการณ์ปลายทาง” ที่คุ้มค่าเวลา–เงิน–ภาพจำ โดยเฉพาะตลาดจีนยุคใหม่ที่แสวงหา ความหมาย มากกว่า “ช้อป–เช็กอิน” แบบเดิม

ดังนั้น หากเชียงราย ยกระดับคุณค่าประสบการณ์ ให้เด่นชัด (ศิลป์–วัฒนธรรม–ชา/กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ) พร้อม บริการลื่นไหล (ภาษา–ชำระเงิน–ความปลอดภัย) ความยืดหยุ่นด้านราคาจะสูงขึ้น นักท่องเที่ยว พร้อมยอมรับค่าเดินทางที่สูงขึ้นเป็นครั้งคราว และยังวางแผน “กลับมา–แนะนำเพื่อน” ซึ่งสร้าง มูลค่าอายุลูกค้า (LTV) สูงกว่าการหวังปริมาณระยะสั้น

 

ก่อนไฮซีซันเหนือจะเริ่มเต็มตัว

  1. ข้อมูลรวมศูนย์ นักท่องเที่ยวจีนต้องการข้อมูลที่ อัปเดต–เชื่อถือได้–หลายภาษา (เวลาเปิด–ปิด, กฎการแต่งกายวัด, วิธีไป–จอดรถ, งานเทศกาล) การรวมข้อมูลไว้ใน เว็บ/ไลน์/WeChat/QR เดียว ของจังหวัดจะลดคำถามซ้ำ–ลดประสบการณ์สะดุด
  2. มาตรฐานทัวร์–รถ–คนขับ ป้องกันข่าวลบ/อุบัติเหตุ—สร้าง ไวท์ลิสต์ ผู้ให้บริการผ่านอบรม พร้อมสติกเกอร์รับรองชัดเจน
  3. ฝุ่นควัน–สภาพอากาศ สื่อสารเชิงรุกเรื่อง ช่วงเวลาที่เหมาะเที่ยว–มุมชมวิว–กิจกรรมในร่ม และพยากรณ์รายสัปดาห์ เพื่อบริหารความคาดหวัง
  4. ของแท้–ราคายุติธรรม สินค้าชุมชน–ของฝากต้อง มาตรฐานราคา ชัด ลดช่องว่างการต่อราคาแรง เพื่อความสบายใจและความรู้สึก “แฟร์”

 

ให้ “ผังเมืองท่องเที่ยว” ตอบว่าเชียงรายพร้อมหรือยัง

ตัวเลข โกลเดนวีคปีนี้บอกเราว่า จีนกลับมาแล้ว—แรงและกว้างกว่าที่คาด อัตราผู้โดยสารเฉลี่ยแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางจีน แตะ 24,000 คน/วัน ในบางวัน ขณะที่ราคาตั๋วกลับ ดีด 4 เท่า เป็นภาพสะท้อนดีมานด์ชัดเจน ทว่า ความพร้อมจริง ของเชียงรายวัดกันที่ “ประสบการณ์ปลายทาง” ตั้งแต่ จุดลงสนามบิน–การเดินทาง–ภาษา–เมนู–ความปลอดภัย–กิจกรรม–เทศกาล ไปจนถึง คุณภาพที่พักและบริการ

หากเชียงรายทำให้ เส้นทางศิลป์–ชา–กาแฟ–ชุมชน กลายเป็น ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องได้หลายภาษา เชื่อมด้วย บริการที่ลื่นไหล และ เทศกาลฤดูหนาว ที่ทั้งเมืองร่วมมือกันขับเคลื่อน—คำตอบเรื่องความพร้อม จะชัดเจนเองจาก รีวิว–การกลับมาเยือน–ค่าใช้จ่ายต่อทริป ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน

ท้ายที่สุด ผู้อ่านในฐานะ “ผู้มีส่วนร่วม” ก็มีบทบาท—เลือก–รีวิว–สนับสนุนบริการที่ซื่อสัตย์และคุณภาพ เพื่อส่งสัญญาณให้ตลาดขยับไปสู่มาตรฐานที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

คำถามชวนคิด เมื่อราคาตั๋วกลับปักกิ่งสามารถดีดขึ้น 400% ได้ในช่วงพีก—สิ่งที่เชียงรายควรเร่งทำ ไม่ใช่กังวลเรื่อง “แพง–ถูก” แต่คือการทำให้ทุก “หยวน” ที่นักท่องเที่ยวจ่าย ซื้อเวลาและความทรงจำที่คุ้มค่า จนอยากกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ประวัติศาสตร์วงการโรงแรมไทย เดอะ ริเวอร์รีฯ คว้า Hall of Fame รางวัลสูงสุด “กินรี”

ประวัติศาสตร์วงการโรงแรมไทย เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี’ คว้า Hall of Fame รางวัลสูงสุด ‘กินรี’ ตอกย้ำเชียงรายคือต้นแบบบริการระดับโลก

เชียงราย, 5 ตุลาคม 2568 – ยามเย็นริมแม่น้ำกกมักจะนิ่งและงดงาม แต่ในค่ำคืนนี้ ชื่อของโรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น ไม่ได้สะท้อนเพียงประกายจากผิวน้ำ หากเปล่งประกายบนเวทีระดับประเทศ เมื่อโรงแรมจากจังหวัดเชียงราย “จารึก” ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการโรงแรมไทย ด้วยการคว้ารางวัล Hall of Fame ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดของเวที Thailand Tourism Awards 2025 หรือที่รู้จักในนาม “รางวัลกินรี” ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้หยุดแค่หนึ่ง แต่เป็น “ทริปเปิลรางวัล” ที่ชี้ชัดว่า “มาตรฐาน” และ “ความยั่งยืน” เดินคู่กันแบบจับต้องได้ ได้แก่

  1. Hall of Fame Awards – รางวัลเกียรติยศสูงสุด ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้มีเพียง 6 สถานประกอบการ จากทั่วประเทศที่ได้รับ และ เดอะ ร riverรี เป็นหนึ่งเดียวของประเภทที่พักที่ก้าวขึ้นสู่หอเกียรติยศจากการชนะต่อเนื่อง 3 ครั้ง,
  2. Thailand Tourism Excellence Awards – รางวัลยอดเยี่ยมด้านความเป็นเลิศการท่องเที่ยวไทย และ
  3. Thailand Tourism Sustainability Awards – รางวัลยืนยันการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

พิธีมอบรางวัลซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ออสการ์แห่งวงการท่องเที่ยวไทย” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ท่ามกลางสายตาร่วมยินดีของผู้บริหารภาครัฐ เอกชน และตัวแทนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น

รางวัลกินรีคือความภาคภูมิใจสูงสุดของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย และคือผลลัพธ์จากความตั้งใจจริงของเราในการสร้างสรรค์คุณภาพ มาตรฐาน และการบริการที่ดีที่สุดเพื่อผู้มาเยือนเชียงรายและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”
คุณสมบัติ อติเศรษฐ์ กล่าวในช่วงกล่าวต้อนรับ (5 ต.ค. 2568 เวลา 17.39 น.)

ด้าน คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น เสริมว่า

“ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงรางวัล แต่คือแรงผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน และการเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่ระดับสากล”

สามรางวัล” ที่สะท้อนระบบ มากกว่าความงามปลายทาง

รางวัลกินรีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 โดย ททท. เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวไทย—ทั้งมิติประสบการณ์และความไว้วางใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก Hall of Fame จึงไม่ใช่รางวัลที่ได้จาก “ภาพลักษณ์สวยงาม” เพียงชั่วครู่ แต่เป็นเครื่องหมายว่าผู้ประกอบการรายนั้น รักษามาตรฐาน “ยอดเยี่ยม” อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง 3 ครั้ง จนสมควรได้รับการยกขึ้นสู่ “หอเกียรติยศ”

ในเชิงการจัดการ นี่เทียบได้กับการทำ “ออดิตคุณภาพ” ข้ามเวลา ปีแรกอาจยาก, ปีที่สองเริ่มสร้างวัฒนธรรมองค์กร, ปีที่สามคือการพิสูจน์ว่าระบบทั้งหมด—ตั้งแต่แนวคิดบริการ การดูแลบุคลากร การบริหารซัพพลายเชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม—อยู่ในราง จนเป็นเนื้อเดียวกับองค์กร

ความสำเร็จอันดับแรกก็มาจากทีมงานที่แข็งแกร่ง ที่ช่วยผลักดันโรงแรมให้พัฒนามาตรฐานและบริการระดับสากล… ลูกค้า คู่ค้า มหาวิทยาลัย ซัพพลายเออร์ ตลอดจนหน่วยงานราชการ ล้วนเป็น ‘ทุกฟันเฟือง’ ที่สำคัญในการผลักดันโรงแรม”
คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ อธิบายถึงหัวใจเบื้องหลัง

เชียงรายในภาพใหญ่ บทพิสูจน์ของ “ปลายทางประสบการณ์”

เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายของนักเดินทางที่มองหา ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ–และความสงบ การที่โรงแรมสัญลักษณ์ริมแม่น้ำกกคว้ารางวัลสูงสุดของประเทศ ตอกย้ำ ว่าเมืองแห่งนี้ไม่เพียง “สวย” แต่ “สุกงอม” ด้วยมาตรฐานบริการระดับสากล ซึ่งแปลความเป็นเศรษฐกิจได้ว่า ปลายทางมีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ทั้งกลุ่มครอบครัว คู่รัก และตลาดไมซ์ขนาดกลางที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และบริการที่ไว้ใจได้

นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวแสดงความยินดี พร้อมชี้นัยสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างตรงไปตรงมา

“การจะได้รับรางวัล Hall of Fame ได้นั้น โรงแรมต้องได้รับ Thailand Tourism Awards ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเท มุ่งมั่น และมาตรฐานการให้บริการที่ยอดเยี่ยม… ความสำเร็จนี้เป็นแบบอย่างที่ชัดเจนในการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ก้าวไกลถึงระดับสากล”

ผู้ว่าราชการจังหวัดยังย้ำว่า การท่องเที่ยวคือกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้–กระจายโอกาส–สร้างงาน–ยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชน ความสำเร็จของโรงแรมจึงไม่ได้หยุดอยู่ที่องค์กร แต่ “ไหลต่อ” ไปสู่ธุรกิจท้องถิ่นรอบข้าง ตั้งแต่ร้านอาหาร ช่างฝีมือ ไปจนถึงผู้ประกอบการนำเที่ยวชุมชน

Sustainability in Process ยุทธศาสตร์ที่อ่านออกในรางวัล

เบื้องหลังคำว่า “ความยั่งยืน” ของเดอะ ริเวอร์รี ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายบนกระดาษ แต่ปรากฏเป็น “รางวัลด้านความยั่งยืน” ควบคู่กับ “ความเป็นเลิศ” เป้าหมายคือการทำให้ความยั่งยืน เป็นกระบวนการประจำวัน ตั้งแต่แผนพัฒนามาตรฐานงานบริการ, ระบบฝึกอบรมบุคลากร, การจัดซื้อที่คำนึงถึงชุมชน–สิ่งแวดล้อม, ไปจนถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

รูปธรรมที่สะท้อนวิธีคิดดังกล่าวคือ ความร่วมมือ (Partnership) กับทุกภาคส่วน—ลูกค้าประจำ, คู่ค้า, มหาวิทยาลัย, ซัพพลายเออร์, หน่วยงานราชการ—เพื่อให้ทุกล้อเฟืองหมุนไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียร่วม จึงเกิด “ภูมิคุ้มกันเชิงระบบ” ทำให้องค์กรสามารถยืนระยะยาว และรักษามาตรฐานที่สูงไว้อย่างคงเส้นคงวา

จากรางวัล…สู่การออกแบบฤดูหนาว “Life of Light” 1 ธ.ค.–28 ก.พ.

ความสำเร็จที่เวทีมอบรางวัลไม่ใช่ “เส้นชัย” สำหรับเดอะ ริเวอร์รี แต่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการต่อยอดประสบการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเชียงรายกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซันฤดูหนาว โรงแรมประกาศจัดกิจกรรมใหญ่ภายใต้ธีม “Life of Light” รูปแบบ สวนสนุกแห่งแสง นำไฟมาประดับกับเครื่องเล่นและจุดถ่ายภาพภายในพื้นที่ริมแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ยาว 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ธันวาคม–28 กุมภาพันธ์ และจะสอดประสานกับเทศกาลในปฏิทิน เช่น ลอยกระทง–คริสต์มาส–ปีใหม่

แนวคิดนี้สะท้อน “วิธีคิดปลายทาง” 3 ข้อพร้อมกัน

  1. ช่วยกระตุ้นดีมานด์ระยะยาว ให้เชียงรายมีสีสันตลอดฤดูหนาว ไม่ใช่เพียงพีคเฉพาะสัปดาห์ปีใหม่,
  2. ต่อยอดแบรนด์ปลายทางริมแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำกกเป็น “ฉาก” ของประสบการณ์ (ไม่ใช่แค่ทิวทัศน์), และ
  3. สร้างกิจกรรมครอบครัว–คู่รัก–ไมซ์ขนาดย่อม ที่ใช้เวลามากขึ้นในพื้นที่โรงแรมและย่านโดยรอบ เกิดการจับจ่าย–การจ้างงานแบบเป็นลูกโซ่

ตัวเลข–เกณฑ์–ภาพจำ” เหตุผลที่รางวัลกินรีถูกเรียกว่าออสการ์

รางวัลกินรีไม่ได้มอบให้จากความสวยงามภายนอก หากต้องผ่านเกณฑ์ที่สะท้อนสามเหลี่ยมคุณค่า ได้แก่ คุณภาพบริการ, ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น, และ ความยั่งยืน ที่ททท.วางไว้เพื่อสอดรับเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ปลายทางคุณภาพ นักเดินทางทั่วโลกจึงยอมรับอย่างกว้างขวางว่ารูปปั้น นางกินรี” บนฉากรับรางวัลคือสัญลักษณ์ของ ความงาม–คุณธรรม–การบริการด้วยหัวใจแบบไทยแท้

ในภาพของผู้บริโภคสมัยใหม่ ยิ่งปลายทางมี “รางวัลที่วัดผลได้–ตรวจสอบย้อนกลับได้” ความเสี่ยงของการเลือกที่พักก็ยิ่งลดลง จากมุมมองเชิงธุรกิจ “ตรากินรี” จึงมี มูลค่าทางการตลาด โดยตัวมันเอง เพราะทำหน้าที่เป็น ตราประทับคุณภาพ บนสื่อทุกชนิด ตั้งแต่เว็บไซต์โรงแรม โปสเตอร์ แพลตฟอร์มจองห้อง ไปจนถึงงานโรดโชว์ต่างประเทศ

คลี่ภาพ “ผลกระทบต่อระบบนิเวศท่องเที่ยวเชียงราย”

  1. การยกระดับมาตรฐานโดยรวม – เมื่อโรงแรมเรือธงของเมืองได้รับ Hall of Fame ผู้ประกอบการรายอื่นย่อม “ตั้งเข็ม” ตามมาตรฐานเดียวกัน เกิดการแข่งขันเชิงคุณภาพ (ไม่ใช่สงครามราคา)
  2. Multipliers ทางเศรษฐกิจ – กิจกรรมฤดูหนาวและการสื่อสารความสำเร็จใหม่ ๆ จะเพิ่มอัตราเข้าพัก (Occupancy) และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป (Average Spend) ให้กับธุรกิจรอบข้าง
  3. ภาพจำปลายทาง – เชียงรายจะถูกมองเป็น “เมืองประสบการณ์” ที่นักท่องเที่ยวสามารถวางแผน 2–3 คืนเพื่อเสพธรรมชาติ–ศิลปะ–ชิมกาแฟพิเศษ–เดินริมกก–และพักในโรงแรมมาตรฐานสูงได้ในทริปเดียว

น้ำเสียงจากภาครัฐ รางวัลที่ไปไกลกว่าโล่ห์

“การท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกสำคัญของจังหวัดเชียงรายและประเทศ สร้างรายได้ กระจายโอกาส สร้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน… ความสำเร็จของเดอะ ริเวอร์รีคือแบบอย่างที่ชัดเจน” — ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

เมื่อคำกล่าวของผู้ว่าฯ สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับจังหวัด และคำกล่าวของผู้บริหารโรงแรมสะท้อนพันธกิจระดับองค์กร ภาพที่เห็นตรงกันคือ “การเติบโตที่มีมาตรฐาน” และ “ความยั่งยืนที่อยู่ในกระบวนการ” ซึ่งจะเป็นฐานให้เชียงรายยืนระยะในตลาดโลกได้ในระยะยาว

คำถามที่ตอบแล้วในเวทีรางวัล ทำอย่างไรให้ “ชนะซ้ำได้ 3 ครั้ง”

หากสรุปบทเรียนที่ถอดได้จากเดอะ ร riverรี ในกรอบคิดเป็นกลาง มี 4 ข้อหลักที่องค์กรบริการใด ๆ ก็ปรับใช้ได้จริง

  • ทำให้มาตรฐานกลายเป็นกิจวัตร จากคู่มือสู่พฤติกรรมทีมงาน ต้องฝึกจนเป็นธรรมชาติ
  • สร้างพันธมิตรในเมือง นักท่องเที่ยวที่ประทับใจ “ย่าน” จะรัก “โรงแรม” โดยปริยาย
  • ออกแบบฤดูกาล ปฏิทินกิจกรรมล่วงหน้ายาว ๆ ทำให้ตลาดวางแผนเดินทางได้
  • สื่อสารอย่างโปร่งใส การเล่าเรื่องรางวัล–แนวทางยั่งยืน–พันธมิตรท้องถิ่น ช่วยเพิ่มความไว้วางใจ

ก้าวต่อไป จาก “หอเกียรติยศ” สู่ “เรือธงการท่องเที่ยวฤดูหนาว”

ภายใต้ธีม Life of Light ที่จะเริ่ม 1 ธันวาคม นี้ เดอะ ริเวอร์รีกำลังแปลงพื้นที่ริมแม่น้ำกกให้เป็น “สวนสนุกแห่งแสง” เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม–เทศกาลไทยในฤดูหนาว แนวทางนี้ไม่เพียงเติม เหตุผลใหม่ให้กลับมาเชียงราย หากยังสื่อสารให้เห็นว่าแบรนด์โรงแรมไม่ได้หยุดอยู่กับถ้วยรางวัล แต่ เคลื่อนไหวอยู่บนเวทีจริง ทุกคืนที่เปิดไฟ ทุกกิจกรรมที่เชื่อมกับชุมชน และทุกรอยยิ้มของผู้มาเยือน

“เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ แต่จะเดินหน้าต่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน” — แถลงปิดท้ายของผู้บริหาร

สำหรับเชียงราย นี่ไม่ใช่เพียงชัยชนะของโรงแรมเดียว แต่เป็น สัญญาณเชิงระบบ ว่าเมืองพร้อมเดินหน้าสู่การเป็น ต้นแบบปลายทางบริการระดับโลก ที่ผสานคุณภาพ–วัฒนธรรม–ความยั่งยืน เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คว้า Hall of Fame จากรางวัลกินรี 2025 หลังรักษามาตรฐานยอดเยี่ยม 3 ครั้งต่อเนื่อง พร้อมคว้า Excellence และ Sustainability รวม 3 รางวัลใหญ่
  • ผู้บริหารย้ำ “Sustainability in Process” และความร่วมมือทุกฟันเฟือง—ลูกค้า คู่ค้า มหาวิทยาลัย ซัพพลายเออร์ หน่วยงานรัฐ—คือหัวใจความสำเร็จ
  • จังหวัดตอกย้ำว่า การท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์เศรษฐกิจ—รางวัลที่ได้จึง “กระจายผลดี” สู่ทั้งระบบนิเวศธุรกิจท้องถิ่น
  • โรงแรมต่อยอดด้วยเทศกาลฤดูหนาว Life of Light ช่วง 1 ธ.ค.–28 ก.พ. ผสานลอยกระทง–คริสต์มาส–ปีใหม่ เพื่อยืดดีมานด์และสร้างประสบการณ์ริมแม่น้ำกก
  • ผลรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เชียงราย กำลังวางตัวเป็น “ปลายทางประสบการณ์และบริการคุณภาพ” ที่ยืนระยะได้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Thailand Tourism Awards 2025
  • โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น (The Riverie by Katathani Collection)
  • สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย/จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ดูไบส่งสัญญาณ เชียงรายต้องทำอะไร เมื่อกาแฟเกอิชาแก้วละ 9,000 บาท สะเทือนเศรษฐกิจเหนือ

เชียงรายควรมองอย่างไร เมื่อกาแฟ “เกอิชา” ในนครดูไบ แก้วละ 9,000 บาท เขย่าโลก—และเขย่าจินตนาการเศรษฐกิจเมืองเหนือ

อาหรับเอมิเรตส์, 5 ตุลาคม 2568 – แก้วกาแฟหนึ่งแก้วอาจเป็นเพียงกิจวัตรยามเช้าของใครหลายคน แต่ “แก้วเดียว” ที่บูเลอวาร์ด ดาวน์ทาวน์ ดูไบ เมื่อปลายเดือนกันยายน ได้กลายเป็นพาดหัวข่าวโลก ร้าน Roasters เสิร์ฟกาแฟที่บันทึกโดย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ว่าเป็น “กาแฟแก้วที่แพงที่สุดในโลก” ลูกค้าจ่าย 2,500 ดีแรห์ม หรือราว 9,000 บาท เพื่อชิมเมล็ดพันธุ์หายาก “เกอิชา (Geisha)” จากฟาร์มดังของปานามา ชงด้วยวิธี V60 และเสิร์ฟในแก้วคริสตัลแกะสลักสไตล์เอโดะอย่างประณีต พร้อมขนมหวานที่เข้าคู่กัน

บนผิวน้ำสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นดอกไม้และผลไม้เปรี้ยวบาง ๆ ของเกอิชากระทบจมูก—ไม่เพียงสร้างประสบการณ์รสชาติ หากยังส่งสัญญาณเศรษฐกิจที่ดังไกลถึงภูเขาทางเหนือของไทย เพราะในขณะเดียวกัน จังหวัด เชียงราย กำลังพัฒนาศักยภาพกาแฟพิเศษอย่างจริงจัง และเริ่มปลูก เกอิชา ในระดับทดลอง โดยมี ดอยตุง เป็นหนึ่งในพื้นที่ปลูกที่ถูกกล่าวถึง แม้ผลผลิตยังน้อยและจำหน่ายได้เฉพาะในจังหวัด

แก้วเดียวที่สะท้อน “พีระมิดมูลค่า” ของกาแฟพิเศษ

เพื่อคว้าเกียรติยศครั้งนี้ Roasters เพิ่งประมูลเมล็ดเกอิชา 20 กิโลกรัม ในงาน Best of Panama 2025 ด้วยราคา 604,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20 ล้านบาท) —ตัวเลขที่ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟทั้งโลกหันมามองว่า “คุณค่า” ของกาแฟไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่คุณภาพ เรื่องเล่า แหล่งที่มา และพิธีกรรมการเสิร์ฟ

เมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาในเชียงรายวันนี้ ช่องว่างมีให้ “ไล่จับ” อย่างชัด

  • เกรด Quality Commercial : 250–330 บาท/กก.
  • Specialty Grade : 400–600 บาท/กก.
  • Variety Specialty Grade : 800–3,000 บาท/กก.

แม้ช่องว่างดูห่างไกลจากระดับ “ประมูลโลก” แต่ก็สะท้อน เพดานการเติบโต ที่ยังเหลือพื้นที่อีกมาก หากเชียงรายยกระดับทั้งเกษตรกรรม (สายพันธุ์–การดูแลสวน) การแปรรูป (โปรเซส) มาตรฐานคัปปิ้ง (cupping) และ “ศิลปะการเล่าเรื่อง” ให้ครบ

“การได้รับการรับรองจากกินเนสส์ เป็นการเฉลิมฉลองความทุ่มเทของทีมงาน และสะท้อนภาพลักษณ์ของดูไบในฐานะปลายทางประสบการณ์กาแฟระดับโลก” — คอนสแตนติน ฮาร์บุซ, ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Roasters (อ้างอิงแถลงข่าวร้าน)

คำพูดนี้มีค่าไม่เฉพาะกับดูไบ แต่ยังเตือนใจเมืองกาแฟทั่วโลกว่า “ปลายทางกาแฟ” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณภาพ–พิธีกรรม–การสื่อสาร ถูกบูรณาการให้เป็นหนึ่งเดียว

เชียงรายยืนอยู่ตรงไหนในแผนที่กาแฟพิเศษ

เชียงรายมีต้นทุนธรรมชาติหลายประการ—ระดับความสูง เหมาะกับอาราบิก้า, อุณหภูมิกลางคืนต่ำ, ความหลากหลายสายพันธุ์ (คาติมอร์, คาทูร่า, บูร์บง และเริ่มทดลอง เกอิชา), รวมถึงวัฒนธรรมกาแฟที่ฝังตัวกับการท่องเที่ยวภูเขา ชา และศิลปะ

อย่างไรก็ดี อายุของต้นกาแฟเกอิชา ในหลายแปลงยัง “อ่อนวัย” ทำให้ผลผลิตจริงยังน้อย นี่คือช่วงเวลาที่จังหวัดต้อง “ลงทุนในความอดทน”—ดูแลสวนอย่างถูกหลัก, เลือกโปรเซสที่ชูจุดเด่นสายพันธุ์ (Washed, Honey, Anaerobic, Carbonic Maceration) และควบคุม Traceability ตั้งแต่ต้นน้ำถึงแก้ว เพื่อรองรับการประเมินคะแนนตามมาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ในวันหน้า

เมื่อกรอบเวลาธรรมชาติของกาแฟบอกว่า “ผลจริง” ของเกอิชาจะเริ่มมากขึ้นใน 2–3 ปีข้างหน้า หัวใจของยุทธศาสตร์ตอนนี้จึงต้องวางที่ การยกระดับทั้งห่วงโซ่ และ การสร้างอัตลักษณ์เชิงจังหวัด ไปพร้อมกัน

บทเรียนจาก “แก้วละ 9,000” คุณภาพ–บริบท–พิธีกรรม

กรณี Roasters แสดงให้เห็นว่าความแพงของกาแฟมิใช่มาจาก “เมล็ด” อย่างเดียว แต่เกิดจาก 3 องค์ประกอบที่หนุนกันเป็นวงกลม

  1. คุณภาพเมล็ดและเรื่องเล่าที่ตรวจสอบได้ – เกอิชาแหล่งปลูกระดับโลกอย่างฟาร์ม Hacienda La Esmeralda มีชื่อเสียงยาวนาน เรื่องเล่าและรางวัลสะสมทำให้ผู้บริโภค “ยอมจ่าย” เพื่อประสบการณ์ที่รับรองได้
  2. บริบทสถานที่ – เสิร์ฟในย่านไอคอนิกของโลกอย่างดาวน์ทาวน์ดูไบ ทำให้ “การดื่ม” กลายเป็นพิธีกรรมทางสังคม
  3. พิธีกรรมการเสิร์ฟ – การเลือกแก้วคริสตัลเอโดะ การชงแบบ V60 อย่างประณีต การให้ Tasting Card กับลูกค้า—ทั้งหมดนี้คือ “ส่วนต่อขยายของรสชาติ” ที่ผู้ดื่มสัมผัสได้

เชียงรายจึงควรถามตัวเอง เรามีคุณภาพเมล็ด—ใช่; เรามีบริบทสถานที่—ใช่ (ภูเขา ไร่ชา ศิลปะ); เรามีพิธีกรรม–เรื่องเล่า–มาตรฐานการเสิร์ฟที่ยกระดับ “ทุกแก้ว” ให้มีความหมายหรือยัง?

แผนยกระดับ “จากไร่สู่แบรนด์โลก” ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์แบบเป็นขั้นตอน

เพื่อเปลี่ยน “โอกาส” ให้เป็น “ระบบนิเวศกาแฟ” ที่ยั่งยืน ขอนำเสนอโรดแมปที่เป็นกลาง และทำได้จริงในกรอบเวลา 3 ปี

ระยะที่ 1: วางมาตรฐานต้นน้ำ–กลางน้ำ (ปีที่ 1)

  • คลัสเตอร์เกอิชาเชียงราย รวบรวมแปลงทดลองใน ดอยตุง–แม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง ตั้งคณะทำงานด้านพันธุ์–เกษตรกรรม–โรคพืช ร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่
  • โปรโตคอลโปรเซส ออกคู่มือวิธีแปรรูป 2–3 แบบที่ชูจุดเด่นกลิ่นดอกไม้–ซิตรัสของเกอิชา พร้อม SOP ควบคุมอุณหภูมิ–เวลา–ความสะอาด
  • Traceability & Microlot สร้างระบบรหัสประจำล็อต (Lot ID), ระบุพิกัดสวน–ความสูง–โปรเซส, เปิดทางให้ “ไมโครล็อต” คุณภาพสูงต่อรองราคาได้ยุติธรรม

ระยะที่ 2: สร้างแบรนด์–ตั้งราคาบนคุณค่า (ปีที่ 2)

  • แบรนด์ร่ม “Geisha Chiang Rai” ใช้เป็นตราร่วม (co-brand) ให้ผู้ผลิตที่ผ่านมาตรฐาน พร้อมเล่าเรื่องภูมิประเทศ–ผู้ปลูก–ชุมชน
  • งานคัปปิ้งประจำปี เชิญ Q-graders/คัพเทสเตอร์จาก SCA และคั่วชื่อดัง ประเมินคะแนนอย่างโปร่งใส แล้วเผยแพร่สกอร์—ยกระดับความเชื่อถือสากล
  • ดีไซน์พิธีกรรมการเสิร์ฟ ออกแบบ เซ็ตพิธีชงเชียงราย” (กา–ดริปเปอร์–แก้วฝีมือช่างท้องถิ่น) เป็นเอกลักษณ์ พร้อม Tasting Card ไทย–อังกฤษ–จีน–อาหรับ

ระยะที่ 3: เปิดเส้นทาง “Coffee Tourism” (ปีที่ 3)

  • Route สายเกอิชา ทริป 2–3 วัน เชื่อมไร่–ห้องคั่ว–แกลเลอรีศิลปะ–สปา–ที่พักสไตล์วิลล่าพร้อมครัว ให้ผู้มาเยือนชิมหลายโปรเซส–หลายความสูง
  • อีเวนต์ลานหมอก จัดเทศกาลคัปปิ้งหน้าหนาว ควบคู่งานศิลป์–ดนตรี–ชิมอาหารเหนือ–ยูนนาน สร้างคอนเทนต์ระดับนานาชาติ
  • ช่องทางพรีเมียม คัดล็อต “ไมโครล็อตเรือธง” เข้าประมูลพิเศษ/จับคู่กับบาร์กาแฟชั้นนำในดูไบ โดฮา ริยาด มุมไบ โตเกียว—ตลาดกำลังซื้อสูงที่ “ยอมจ่ายเพื่อประสบการณ์”

โลจิสติกส์และตลาด เมื่อ “การบิน–การท่องเที่ยว” กลายเป็นคูณสองของกาแฟ

แนวโน้มเปิดเส้นทางบินใหม่ในอนาคตจากอินเดียสู่เชียงราย (เช่น สายการบินเครือข่ายใหญ่) หากเกิดขึ้นจริง จะช่วยเชื่อมตลาด กำลังซื้อสูง เข้าถึง “หมุดหมายกาแฟ” ได้สะดวก ขณะเดียวกัน ตลาดตะวันออกกลาง เป็นกลุ่มที่พิสูจน์แล้วว่าพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์พรีเมียม—กรณี Roasters คือสัญญาณชัด การทำตลาดร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในเซกเมนต์ “Luxury/Experience Seekers” จึงควรถูกวางเป็นยุทธศาสตร์ร่วม

อย่างไรก็ดี ข่าวชิ้นนี้ขอย้ำความเป็นกลาง เส้นทางบินใหม่ยังขึ้นกับการอนุมัติความพร้อมของสนามบิน ดีมานด์จริง จึงควรมองเป็น “โอกาสเชิงกลยุทธ์” ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติ ณ วันรายงาน

เมื่อเทียบกับ เกอิชาไมโครล็อตโลก ที่ราคาประมูลอาจแตะ 1,000–3,000 ดอลลาร์/กก. ในบางปี ช่องว่าง ราคาต่อกิโล–ราคาต่อแก้ว” ของเชียงรายยังเปิดกว้าง—นี่คือพื้นที่ของการลงทุนในคุณภาพ–มาตรฐาน–แบรนด์

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร คุณภาพไม่เสถียรการคาดหวังที่เร็วเกินไป

  1. อายุสวน – เกอิชาต้องการเวลา 3–4 ปีจึงให้ผลเต็มที่ ความเร่งรีบออกสู่ตลาดอาจทำให้คุณภาพแกว่งและเสียชื่อในระยะยาว
  2. โรคพืช–สภาพอากาศ – การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ต้องลงทุนความรู้ระบบสวนที่ยืดหยุ่น
  3. ความคาดหวังราคา – ต้องสื่อสารว่าราคาประมูลระดับโลกคือ “ปลายพีระมิด” ไม่ใช่ฐานตลาด ทั้งจังหวัดควรมุ่ง ยกระดับค่าเฉลี่ย ก่อนหวัง “สถิติโลก”

เสียงจากวงการ บทเรียนเชิงบริการหน้าบาร์

เหตุการณ์ดูไบยังสอนเราถึง ศิลปะการเสิร์ฟ บาริสต้าผู้ชำนาญ, การควบคุมอุณหภูมิ, เวลาการชง, การเลือกแก้ว, การเล่าเรื่อง—ทั้งหมดคือ “องค์ประกอบรสชาติ” ที่ประเมินเป็นเงินได้จริง เชียงรายจึงควรเร่ง

  • อบรม Q-grader/บาริสต้า/โรสเตอร์ รุ่นใหม่
  • สร้าง มาตรฐานบริการสองภาษา (ไทย–อังกฤษ และเสริมจีน/อาหรับในเส้นทางพรีเมียม)
  • ร่วมมือกับโรงเรียน/มหาวิทยาลัยท้องถิ่น เปิดหลักสูตรสั้นด้านกาแฟพิเศษ–บริการหรู

ภาพใหญ่ ทำไมเชียงราย “ไม่ควรรอ”

เพราะ “หน้าต่างโอกาส” เปิดอยู่—โลกเพิ่งหันกลับมาคุยถึงแก้วเดียวในดูไบ ราคา 9,000 บาท และถามหาที่มาของเมล็ดเกอิชา ขณะเดียวกัน ผู้เดินทางรุ่นใหม่มองหาประสบการณ์ที่ลงรายละเอียด—จากไร่สู่แก้ว จากเรื่องเล่าสู่พิธีกรรม เมืองที่มีทั้งภูเขา ศิลปะ และวัฒนธรรมกาแฟอย่างเชียงรายคือผู้เล่นธรรมชาติในสนามนี้

ถ้า วันนี้ เราบ่มเพาะคุณภาพในสวน วางมาตรฐานในโรงคั่ว สร้างพิธีกรรมหน้าบาร์ และเล่าเรื่องให้ถูกที่ถูกเวลา อีก 2–3 ปี ข้างหน้า เมื่อผลเกอิชารอบแรกทยอยออก—เชียงรายย่อมพร้อมยืนในแผนที่กาแฟพิเศษของโลก ไม่ใช่ด้วย “แก้วเดียวที่แพงที่สุด” แต่ด้วย ระบบนิเวศกาแฟ ที่ยั่งยืน เป็นธรรม และภาคภูมิใจร่วมกันทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Guinness World Records – บันทึกสถิติ “Most expensive cup of coffee” ที่ร้าน Roasters นครดูไบ เมื่อเดือนกันยายน 2568 และรายละเอียดการเสิร์ฟ
  • Best of Panama (BoP) 2025
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • Mae Fah Luang Foundation / โครงการพัฒนาดอยตุง)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

รายงาน Booking.com ชี้ 88% คนไทยเลือกเมืองเพราะอาหาร เชียงรายต้องเร่งยกระดับครัวที่พัก

เชียงรายไม่ควรรอ “Food Culture” คือโอกาสทอง—เมื่ออาหารกลายเป็นเหตุผลหลักของการเดินทาง และที่พักต้องเป็น “ครัวหลังที่สอง”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าในเมืองเหนือที่อากาศเย็นจัด อ่างน้ำชาอุ่น ๆ กับไอน้ำที่ลอยขึ้นจากหม้อนึ่งข้าวจี่ริมตลาดชุมชน อาจเป็นภาพคุ้นตาของคนเชียงราย แต่สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ ภาพเหล่านี้คือ “จุดหมาย” ไม่ใช่เพียง “รายละเอียด” ระหว่างทาง รายงานล่าสุดของ Booking.com ระบุชัดว่า “อาหาร” กำลังผันตัวจาก “องค์ประกอบของทริป” มาเป็น หัวใจของการตัดสินใจเดินทาง—แนวโน้มที่เปลี่ยนเกมท่องเที่ยวปี 2568 และวางเชียงรายไว้บนจุดตัดของโอกาสครั้งใหญ่

รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ ระบุว่า ผู้เดินทางในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ถึง 97% ปรับพฤติกรรมการกินและการทำอาหารระหว่างทริป ขณะที่นักเดินทางชาวไทย 88% ยอมรับว่า “เลือกจุดหมายปลายทาง เพียงเพราะต้องการไปเยือนร้านอาหารโดยเฉพาะ” นั่นหมายความว่าแผนที่การท่องเที่ยวไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเช็กลิสต์แลนด์มาร์กอีกต่อไป ทว่า รสชาติ–วัตถุดิบ–เรื่องราวท้องถิ่น กลายเป็นพิกัดนำทางรูปแบบใหม่ และจังหวัดที่มี “ความหลากหลายทางอาหาร” อย่างเชียงราย ย่อมมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่หาได้ยาก

“ช่วงเวลาแห่งการรับประทานอาหาร ไม่ได้เป็นเพียงมื้ออาหารอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการเชื่อมต่อ เรียนรู้วัฒนธรรม และสร้างความทรงจำที่ยั่งยืน บ้านพักตากอากาศจึงกำลังขึ้นมาเป็นตัวเลือกหลัก เพราะให้ทั้งอิสระและความเป็นส่วนตัวในการทำอาหารร่วมกัน” — บรานาวัน อรุลโจธี, Area Manager, Booking.com (อ้างอิงรายงาน Taste of Home Asia Pacific)

จาก “ร้านอร่อย” สู่ “ครัวหลังที่สอง” ที่พักต้องตอบโจทย์สายกิน

ข้อมูลเดียวกันยังสะท้อนพฤติกรรมใหม่ที่ชัดเจน นักเดินทางชาวไทยให้ความนิยม บ้านพักตากอากาศแบบส่วนตัว (32%) เป็นอันดับ 2 รองจากบ้านพักริมทะเล (57%) โดยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ “ต้องมี” คือ เครื่องครัวครบ (73%), อุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้ง เช่น เตาย่าง/หมูกระทะ (62%), และ พื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งพร้อมวิว (62%) เหตุผลไม่ซับซ้อน—ผู้เดินทางอยาก “ทำอาหารเองได้” (45%) สลับกับ “ออกไปกินร้านดัง” (31%) และอยาก เข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่น ง่ายขึ้น (34%)

แปลเป็นภาษาเชียงราย วิลล่าที่มองเห็นไร่ชา/ไร่กาแฟ บนดอยแม่สลองหรือเทือกดอยยาว–ผาหม่น ซึ่งจัดวางครัวจริงจัง มีเตาถ่านทำ บาร์บีคิว/หมูกระทะ (เมนูยอดนิยมของคนไทย 48%) พร้อมระเบียงกว้างให้ จิบชาอัสสัม หรือ ชิมกาแฟอาราบิก้า จากสวนหลังบ้าน—ทั้งหมดนี้คือ “แพ็กเกจความทรงจำ” ที่ดึงดูดใจมากกว่าห้องพักสวย ๆ ที่มีเพียงเตาไมโครเวฟ

เชียงรายได้เปรียบอะไร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร (Food Culture) ที่ “กินได้จริง”

เชียงรายคือทางแยกของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอาหาร—ไทลื้อ, ไทใหญ่, จีนยูนนาน, อาข่า, ลาหู่—ซึ่งถ่ายทอดผ่านวัตถุดิบพื้นบ้านและกรรมวิธีที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดแข็งนี้ยิ่งชัดเมื่อสอดรับกับความต้องการของนักเดินทางที่ “อยากสัมผัสท้องถิ่นแท้” มากขึ้น

ตัวอย่างการต่อยอดเชิงประสบการณ์ ที่สอดคล้องกับเทรนด์

  • ทัวร์ตลาดเช้า + ครัวชุมชน เริ่มวันด้วยการคัดวัตถุดิบพื้นถิ่น—ผักกูด, เห็ดป่า, ปลาน้ำโขง—ก่อนขึ้นวิลล่าทำเมนู น้ำพริกหนุ่ม, แกงฮังเล หรือ “เมนูซิกเนเจอร์” อย่าง แกงแคไก่เมือง ที่เพิ่งได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่นเด่น
  • อาหารจีนยูนนานบนดอยแม่สลอง เรียนรู้การทำ ขาหมูหมั่นโถว, ชิมชาอัสสัมแบบพิธีชา พร้อมเรื่องเล่าประวัติชุมชนจีนคณะชาติ
  • ครัวชนเผ่าอาข่า สำรวจสมุนไพรจากป่า เรียนรู้การปรุง เนื้อย่างเครื่องเทศพื้นถิ่น และพิธีกรรมความเชื่อเรื่องอาหาร—กิจกรรมที่ยากจะพบในเมืองใหญ่
  • ฟาร์มทูเทเบิล x ไร่กาแฟ เก็บกาแฟ เชอร์รี–สี–ตาก–คั่ว ลองจับคู่ (pairing) ของหวานพื้นบ้านกับกาแฟดริป

ทั้งหมดนี้คือ “เรื่องเล่า” ที่กินได้จริง และสอดคล้องกับทิวทัศน์ภูเขา–สายหมอกของเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นหลังชั้นดีของ มื้อพิเศษกลางแจ้ง” ที่นักท่องเที่ยวยุคใหม่กำลังตามหา

จากครัวบ้านเกิดสู่ครัวบ้านพัก—เหตุผลที่ทริปอาหารติดอันดับ

Booking.com ชี้ว่าคนรุ่นใหม่เริ่ม ทำอาหารเอง มากขึ้นระหว่างทริป โดย Gen Z ทำตามสูตรครอบครัวบ่อยที่สุด (25%) มากกว่า Millennials (19%), Gen X (21%) และ Boomers (18%) ขณะเดียวกัน นักเดินทางไทยกว่า 54% “กินร้านท้องถิ่นเป็นประจำ” เมื่อไปต่างประเทศ สะท้อนว่า ทำเองบ้าง–ออกไปชิมบ้าง” กำลังเป็นรูปแบบมาตรฐานของทริปยุคใหม่

เชียงรายจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ—เมืองที่ อาหารร้านท้องถิ่นเข้มข้น แต่ก็ ปรับตัวให้คนทำกินกันเองได้ง่าย จากตลาดสดในเขตเมือง–อำเภอ ไปจนถึง โฮมสเตย์–บ้านพักตากอากาศ ที่จัดสรรครัวและลานย่างครบชุด อาหารจึงไม่ใช่เพียง “สถานที่ไปกิน” แต่เป็น กิจกรรมร่วมกัน” ที่ใส่ความทรงจำของครอบครัวลงไปได้ทุกมื้อ

มองเชิงเศรษฐกิจ Food Culture เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กระจายรายได้

หากมองจากห่วงโซ่อุปทาน การยกระดับ “Food Culture x ที่พัก” ไม่ได้สร้างรายได้เฉพาะที่พักและร้านอาหาร แต่ยัง กระจายไปถึงเกษตรกร–ชุมชน–ผู้ผลิตวัตถุดิบ โดยตรง

  • วัตถุดิบท้องถิ่น ผักป่า, สมุนไพร, ปลาแม่น้ำ, ชา–กาแฟ—ทั้งหมดกลับมามีมูลค่าเพิ่มเมื่อเชื่อมกับประสบการณ์
  • บริการสนับสนุน ไกด์ชุมชน, ครูสอนทำอาหาร, เชฟท้องถิ่น, รถรับ–ส่งตลาดเช้า
  • ของฝากเชิงวัฒนธรรม เครื่องเทศบด, ชุดวัตถุดิบทำแกงแค (Cooking Kit), ใบชา–เมล็ดกาแฟคั่ว, เครื่องจักสานสำหรับครัวเรือน

เมื่อที่พักทำหน้าที่เป็น “จุดรองรับกิจกรรมอาหาร” รายรับจึงกระจายออกไปมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเช็คอินถ่ายรูปอย่างเดียว ที่สำคัญ ฤดูกาลมีผลน้อยลง เพราะครัว–ตลาด–วัตถุดิบ–เรื่องราว อยู่ได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับเป้าหมาย “ท่องเที่ยวทั้งปี มีดีทั้งอำเภอ” ที่หลายจังหวัดกำลังมุ่งหน้า

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ เชียงรายควรขยับอย่างไร “ตอนนี้”

เพื่อเปลี่ยนโอกาสเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เชียงรายควรเดินหน้าอย่างบูรณาการและเป็นกลางทางการค้า ดังนี้

1) จัดทำ “มาตรฐานที่พักนักชิม (Gastronomy-Ready Stays)”

อบจ.เชียงราย ร่วมกับหน่วยงานท่องเที่ยวจังหวัดและเครือข่ายผู้ประกอบการ กำหนด มาตรฐานขั้นต่ำด้านครัว สำหรับโฮมสเตย์/บ้านพักตากอากาศ ได้แก่

  • ชุดครัวพื้นฐานครบ (เตา–เตาอบ–เครื่องครัว–ภาชนะสำหรับกลุ่ม) และอุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้งที่ปลอดภัย
  • คู่มือ แหล่งวัตถุดิบรอบตัว” ระบุพิกัดตลาดเช้า/ตลาดชุมชน–ร้านเครื่องเทศ–ไร่ชา–ไร่กาแฟในรัศมี 10–20 กม.
  • แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม (ขยะอินทรีย์–การคัดแยก–การใช้ภาชนะซ้ำ) เพื่อให้การทำอาหารเป็นมิตรกับพื้นที่

2) เปิด “Local Food Experience Pass” เชื่อมที่พัก–ตลาด–ครัวชุมชน

สร้างแพ็กเกจประสบการณ์ร่วมกับชมรมแม่ครัวชุมชน/เชฟท้องถิ่น เช่น

  • Market & Cook with Local พาเข้าตลาดเช้า–คัดวัตถุดิบ–กลับไปทำกับข้าวที่ที่พัก
  • Tea & Yunnan Table พิธีชาพร้อมทำอาหารยูนนานบนดอย
  • Akha Forest Pantry เดินสำรวจพืชสมุนไพร–ทำอาหารชนเผ่า
    ออกแบบให้จองง่ายผ่านพาร์ตเนอร์ OTA และสื่อสารเป็น คอนเทนต์กลาง ระดับจังหวัด

3) ใช้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power Menu

หลังเมนูนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่น—ควร ยกระดับเป็นสัญลักษณ์ ของจังหวัด จัดทำ Cooking Kit (สมุนไพร–เครื่องแกง–คู่มือภาษาไทย/อังกฤษ) ในโรงแรม–วิลล่าที่ร่วมโครงการ พร้อมคิวอาร์โค้ดเชื่อม “คลิปสั้นสอนทำ” โดยครูครัวชุมชน เพิ่มรายได้ปลายน้ำจากชุดวัตถุดิบและเวิร์กช็อป

4) คุ้มครองความแท้ (Authenticity) และความปลอดภัยอาหาร

  • จัดทำ คลังสูตรมาตรฐาน สำหรับเมนูหลัก (เหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า) ที่เคารพต้นตำรับ ลด “เมนูแฟนตาซี” ที่คลาดเคลื่อนจนเสียความเชื่อถือ
  • ยกระดับ สุขอนามัย–โภชนาการ–การแพ้อาหาร ในกิจกรรมทำอาหาร ให้ได้มาตรฐานสากล รองรับตลาดครอบครัวและนักท่องเที่ยวระยะยาว

5) สื่อสารภาพลักษณ์ “ครัวบนภูเขา–ครัวกลางหมอก”

พัฒนาแนวสื่อสารร่วมระดับจังหวัด ให้ภาพ การทำอาหารกลางแจ้ง ท่ามกลางภูมิทัศน์ธรรมชาติเป็นแอ่งอารมณ์หลัก (emotional anchor) โดยหลีกเลี่ยงการตลาดที่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว แต่ย้ำ คุณภาพ–ความยั่งยืน–รายได้ถึงชุมชน

ใครควรเป็นแม่งาน?

ด้วยลักษณะข้ามมิติ (วัฒนธรรม–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน) การขับเคลื่อน “Food Culture x ที่พัก” ควรอยู่ในกรอบ บูรณาการ ระหว่าง

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – วางกรอบมาตรฐานที่พักนักชิม สนับสนุนเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนย่อย (ครัว–ลานย่างปลอดภัย)
  • สำนักงานพาณิชย์/เกษตรจังหวัด – เชื่อมแหล่งวัตถุดิบ ปรับบรรจุภัณฑ์ Cooking Kit ที่ได้มาตรฐาน
  • สำนักงานวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวจังหวัด – คัดเลือก/อบรมเชฟท้องถิ่น–ครูครัวชุมชน และพัฒนาคอนเทนต์สองภาษา
  • ภาคเอกชน/เครือข่ายที่พัก – ลงทุนปรับครัว–พื้นที่ และร่วมออกแบบแพ็กเกจประสบการณ์
  • สถาบันการศึกษาในพื้นที่ – สนับสนุนงานวิจัยเมนูพื้นถิ่น–โภชนาการ–ความปลอดภัยอาหาร

ทำไม “ตอนนี้” ไม่ใช่ “วันหน้า”

หนึ่ง—หน้าต่างโอกาส เปิดกว้าง เพราะรายงานระดับภูมิภาคชี้ชัดว่าปี 2568 การท่องเที่ยวเชิงอาหารจะมาแรง และ บ้านพักตากอากาศ คือโครงสร้างรองรับหลัก
สอง—เชียงรายมี ทุนวัฒนธรรมอาหารพร้อมใช้ ทั้งเหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นประสบการณ์โดยไม่ต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่
สาม—การพึ่งพา “ฤดูหนาว” เพียงฤดูเดียวไม่ยั่งยืน ขณะที่อาหาร–ตลาด–ครัว–ไร่ชา/กาแฟ คือ กิจกรรม 365 วัน ที่เสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

หากลงมือวันนี้ เชียงรายจะไม่เพียง “ตามเทรนด์” แต่จะ กำหนดมาตรฐาน ให้จังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ เห็นภาพว่า “อาหาร” สามารถยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวได้อย่างไร—โดยเคารพอัตลักษณ์ท้องถิ่นและกระจายรายได้จริง

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ

การค้นพบเชิงตลาด ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรหยิบไปเล่าให้สื่อ/นักท่องเที่ยว ได้แก่

  • ที่พักของเรา = ครัวหลังที่สอง” โชว์รายการครัว–อุปกรณ์–พื้นที่ย่าง–มุมกินข้าวกลางแจ้ง
  • พิกัดวัตถุดิบรอบตัว” แผนที่ตลาดเช้า/ฟาร์ม/ไร่ชา–กาแฟ และการจองกิจกรรมเชื่อมชุมชน
  • เมนูเล่าเรื่อง” ตั้งแต่แกงแคไก่เมืองถึงอาหารยูนนาน พร้อมคู่มือย่อสองภาษา
  • ยั่งยืนและปลอดภัย” นโยบายขยะอินทรีย์–การใช้น้ำ–สุขอนามัยอาหาร

เชียงรายไม่ควรรอ

สนามท่องเที่ยวปี 2568 ไม่ได้แข่งขันกันที่จำนวนห้าง ร้าน หรือโรงแรมหรู แต่แข่งขันกันที่ ความหมายของประสบการณ์”—และอาหารคือภาษากลางที่เล่าเรื่องได้ดีที่สุด เชียงรายมีทุกส่วนประกอบในมือแล้ว ทั้งวัตถุดิบหลากหลาย วัฒนธรรมอาหารที่ลึกและจริง วิวธรรมชาติที่ซัพพอร์ตมื้อพิเศษนอกบ้าน และฐานที่พักตากอากาศที่กำลังโต สิ่งที่ต้องทำคือ เชื่อมจิ๊กซอว์ ให้เป็นแพ็กเกจเดียวกัน—จากตลาดเช้าถึงครัววิลล่า จากเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหารถึงรายได้ในชุมชน

ในวันที่นักเดินทาง 97% ปรับพฤติกรรมการกิน–ทำอาหารระหว่างทริป และ 88% ของคนไทย “เลือกเมืองเพราะอยากไปกินร้านนั้นร้านนี้” เชียงรายไม่ควรรอให้โอกาสผ่านไป—ถึงเวลาเปลี่ยน “ครัวบ้านเรา” ให้เป็น “ครัวของโลก” ที่ใคร ๆ ก็อยากเดินทางมาชิม มาทำ และมาจดจำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Booking.com – รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ (2025 Travel & Food Trends)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เตรียมรับมหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025

หนองหลวงต้องกลับมาหายใจ” อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เดินเกมยุทธศาสตร์น้ำ–ท่องเที่ยว เตรียมพื้นที่รองรับ “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 — หนองหลวง อำเภอเวียงชัย หมอกบางๆ ลอยเหนือผิวน้ำที่เคยสงบเงียบ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพจำผืนน้ำกว้างกว่า 9,800 ไร่ กลับค่อยๆ ถูกกลืนด้วยผักตบชวาและวัชพืชน้ำที่แพร่กระจายรวดเร็ว จนรุกล้ำทางน้ำและทับซ้อนพื้นที่ทำกินของชุมชน ความตื้นเขินและปัญหาการจัดการน้ำยืดเยื้อทำให้หลายครอบครัวรอบหนองหลวงต้องประคองชีวิตไปตามฤดูกาลน้ำที่ไม่แน่นอน

สัปดาห์นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เปิดปฏิบัติการกู้ชีพหนองหลวงอย่างจริงจัง ส่งเครื่องจักรกลหนักลงพื้นที่ พร้อมบุคลากรและน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเดินหน้า “รื้อ–แยก–ขน” ผักตบชวาออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ภารกิจภาคสนามดังกล่าวมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่กำกับงานตามมอบหมายของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย โดยมี พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองป้องกัน อบจ.เชียงราย รายงานสถานการณ์เชิงปฏิบัติการและความคืบหน้าหน้างานอย่างใกล้ชิด

แม้จะเป็นภาพ “งานหนัก” ของเครื่องจักร–คนงาน–เรือท้องแบนที่วิ่งรับส่งวัชพืชไม่หยุด แต่ในระดับยุทธศาสตร์ นี่คือการขับเคลื่อนที่โยงถึงทั้ง ความมั่นคงทางน้ำของชุมชน 3 ตำบล 2 อำเภอ, ความปลอดภัยจากอุทกภัย–ภัยแล้ง, และ การเตรียมความพร้อมพื้นที่จัดงานระดับภูมิภาค อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 (โซนอำเภอ) ซึ่งจะดึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นช่วงปลายปีและต้นปีถัดไป

ปมปัญหาที่สะสม จากวัชพืชสู่ภาวะน้ำตื้นเขิน และวงจรเศรษฐกิจท้องถิ่นที่สะดุด

หนองหลวงไม่ใช่เพียงผืนน้ำธรรมชาติ หากคือ “หัวใจน้ำ” ที่หล่อเลี้ยงไร่นา—ประมงพื้นบ้าน—ระบบนิเวศท้องถิ่น และเป็นพื้นที่นันทนาการของชุมชนมายาวนาน ปัญหาเกิดจากหลายปัจจัยซ้ำเติมกัน ได้แก่

  • การแพร่ระบาดของผักตบชวา ซึ่งขยายตัวรวดเร็วในช่วงน้ำอุ่นและน้ำหลาก ลอยอัดแน่นเป็นแพขวางทางน้ำ กระทบทั้งระบบนิเวศและการสัญจรทางเรือ
  • ตะกอนดินสะสม–การตื้นเขิน จากการชะล้างหน้าดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบหนองหลวง ทำให้ความสามารถกักเก็บน้ำลดลง
  • รูปแบบการจัดการน้ำที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ยามฝนมาก น้ำระบายไม่ทัน—เสี่ยงท่วม ยามแล้ง น้ำน้อยกว่าความต้องการ—เสี่ยงขาดแคลน

การตัดสินใจของ อบจ.เชียงราย ที่ “ลงมือเอง” ด้วยเครื่องจักรกลและกำลังคน จึงไม่ใช่เพียงการเคลียร์ผิวน้ำให้โล่งตา แต่หมายถึงการ คืนความจุน้ำ ให้แหล่งน้ำหลัก, การลดภัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อหมู่บ้านรอบหนองหลวง และการสร้าง “เวลาชนะ” ให้ทีมวิศวกรท้องถิ่นเพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบต่อไป

จุดเชื่อมยุทธศาสตร์ น้ำ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก

โครงการนี้ชี้ให้เห็น “แนวคิดบูรณาการ” ที่จับต้องได้

  1. น้ำคือโครงสร้างพื้นฐานชีวิต — เมื่อกำจัดวัชพืชและเปิดทางน้ำ ความสามารถกักเก็บ–ผัน–ระบายของหนองหลวงจะกลับมาใกล้เคียงศักยภาพ ช่วยลดต้นทุนชาวนา–ชาวสวน ลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความมั่นใจในฤดูกาลเพาะปลูก
  2. ท่องเที่ยวเชิงนิเวศคือโอกาส — หนองหลวงมีภูมิทัศน์น้ำกว้าง เหมาะกับกิจกรรมดูนก พายเรือ ปั่นจักรยาน และท่องเที่ยวชุมชน เมื่อผิวน้ำสะอาด–แนวทัศน์เปิด–ระบบนิเวศฟื้น การจัดโซนกิจกรรมรองรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะทำให้หนองหลวงเป็น “หน้าต่างแรก” ที่นักท่องเที่ยวสัมผัส และกระจายรายได้สู่โฮมสเตย์–คาเฟ่–งานหัตถกรรมพื้นถิ่น
  3. ตอบนโยบายเร่งด่วนระดับชาติ — เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการเร่งกำจัดวัชพืชกีดขวางทางน้ำทั่วประเทศภายใน 1 เดือน พร้อมมาตรการความรับผิดชอบของหน่วยงานในพื้นที่ การลงมือของ อบจ.เชียงรายจึงเป็นทั้ง “คำตอบในพื้นที่” และ “ตัวอย่างความคล่องตัว” ที่สอดรับนโยบายกลางอย่างทันที

ภาพจากพื้นที่ เครื่องจักร–คน–เวลา ทำงานเป็นทีมเดียว

รถสะเทินน้ำสะเทินบก เป็นพระเอกของการปฏิบัติการรอบนี้ เพราะทำงานได้ทั้งบนบกและในน้ำ สามารถลาก–รวบรวม “แพผักตบ” มาขึ้นจุดคัดแยก ก่อนลำเลียงขึ้นรถบรรทุกไปกำจัดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม บางส่วนอาจถูก “อัดก้อน–หมัก” เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับชุมชนเกษตรรอบหนองหลวง ลดภาระค่าขนทิ้งและ “ปิดวงจรของเสีย” ให้เป็นทรัพยากรใหม่

กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เป็นแกนกลางภาคสนาม จัดคิวเครื่องจักร, คุมความปลอดภัย, ประสานผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสาสมัครท้องถิ่นร่วมปิดกั้นพื้นที่เสี่ยง เวลาเครื่องจักรขึ้นลงตลิ่ง และกำหนด “ทางน้ำชั่วคราว” ให้เรือชาวบ้านและเรือประมงสัญจรได้ระหว่างทำงาน เพื่อลดผลกระทบต่ออาชีพเดิมให้มากที่สุด

ทำไมต้องทำ “ตอนนี้” หน้าฝน–หน้าท่องเที่ยว–หน้าต่างเศรษฐกิจ

ช่วงปลายฤดูฝนต่อเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวปลายปี เป็น จังหวะดีที่สุด สำหรับการถอนทัพวัชพืชครั้งใหญ่ เหตุผลสำคัญคือ

  • แรงกระแสน้ำชะช่วยระบาย ระหว่างเคลื่อนย้าย ทำให้แพผักตบแตกออกง่าย ลดต้นทุนแรงงาน
  • ก่อนเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว การเคลียร์พื้นที่ล่วงหน้าจะเปิดทัศนียภาพและความปลอดภัยทางน้ำรับนักท่องเที่ยว
  • ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ผักตบขวาง “ท่อ–สะพาน–คันกั้น” ซึ่งเคยทำให้หมู่บ้านรอบหนองหลวงเจอน้ำเอ่อ

ในมุมของการตลาดท่องเที่ยว ภาพ “ผืนน้ำโล่ง–ฟ้ากว้าง–แนวต้นไม้สีเขียว” คือสื่อทรงพลังสำหรับแคมเปญ เชียงราย–เวียงชัย เมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่สามารถเชื่อมทริปเข้ากับเส้นทางวัฒนธรรม–อาหารเหนือ–โฮมสเตย์–สินค้า OTOP และ “ความงามของไม้ดอก” ในงานอาเซียนปี 2025 ได้อย่างลงตัว

ปฏิบัติการนี้คือ “สะพาน” สู่การบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม

การกำจัดผักตบเป็น เพียงจุดเริ่ม ของการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน ภาพใหญ่ที่ควรเดินต่อไปมีอย่างน้อย 4 มิติ

  1. ผังน้ำชุมชน (Community Water Map) — บันทึกจุดสะสมผักตบ–คอขวด–ทิศทางลม–ทางน้ำหลาก เพื่อกำหนด จุดดัก–ลาก–คัดแยก” ถาวร ลดการกลับมาของผักตบและแรงงานซ้ำซ้อน
  2. เขื่อนดิน–แก้มลิงขนาดเล็ก — เสริมความสามารถกักเก็บช่วงน้ำมากให้ชุมชนใช้ยามแล้ง โดยไม่รบกวนสมดุลนิเวศของหนองหลวง
  3. การจัดการเศษวัชพืชครบวงจร — ผลักดันกลไกชุมชน–เอกชนจิ๋วทำ “ปุ๋ยอินทรีย์–อาหารสัตว์–งานหัตถกรรม” จากวัชพืช ช่วยสร้างรายได้เสริมและลดค่าใช้จ่ายกำจัดทิ้ง
  4. ระบบเตือนภัยน้ำ–ข้อมูลเปิด — สร้างแดชบอร์ดออนไลน์ระดับอำเภอ แสดงข้อมูลระดับน้ำ–จุดเสี่ยง–สถานะงานกำจัดผักตบแบบรายสัปดาห์ เปิดให้เกษตรกร–ผู้ประกอบการเข้าถึง เพื่อวางแผนเพาะปลูกและกิจกรรมท่องเที่ยวได้แม่นยำ

หาก 4 มิตินี้ถูกต่อเข้ากับ งบลงทุนท้องถิ่น–ภาคีเครือข่ายรัฐ–มหาวิทยาลัย–เอกชน หนองหลวงจะไม่ใช่ “งานประจำฤดูกาล” แต่เป็น ห้องเรียนธรรมชาติ–ทรัพย์สินสาธารณะ” ที่ดูแลร่วมกันอย่างมีข้อมูลและมีส่วนร่วม

ความเกี่ยวโยงระดับประเทศ นโยบายเร่งกำจัดวัชพืชของรัฐบาลคือ “หลังพิง” ของท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่ตรวจการบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท พร้อมสั่งการชัดเจนให้หน่วยงานชลประทานทั่วประเทศ เร่งกำจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำภายใน 1 เดือน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์หน้างานและมาตรการความรับผิดชอบผู้ดูแลพื้นที่โดยตรง นโยบายนี้เป็น หลังพิง” สำคัญให้ อบจ.–เทศบาล–อบต. ใช้อำนาจและทรัพยากรแก้ปัญหาแบบทันการณ์ ลดขั้นตอนที่เคยทำให้งานสนามล่าช้า

สำหรับเชียงราย นโยบายดังกล่าวช่วย ปลดล็อกกำลังคน–เครื่องจักร–งบเชื้อเพลิง ให้ลงไปที่หนองหลวงได้เร็วขึ้น อีกด้านยังทำให้การประสาน กรมชลประทาน–สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ–กรมเจ้าท่า เดินบนฐานอำนาจร่วมที่ชัดเจน ทั้งหมดนี้เพิ่มโอกาสให้ “งานน้ำ” ของจังหวัดเดินต่อได้โดยไม่สะดุด

 “ทำให้เห็น” คือคำอธิบายที่ดีที่สุด

แม้ข่าวนี้ไม่ได้มีถ้อยคำให้สัมภาษณ์ยาวจากผู้บริหาร แต่ “ข้อเท็จจริงภาคสนาม” สะท้อนเจตนารมณ์ชัดเจน—การมอบหมายของนายก อบจ.เชียงรายให้รองนายกลงตรวจงาน, รายงานความคืบหน้าโดยกองป้องกันฯ, และการจัดสรรเครื่องจักร–เชื้อเพลิง–บุคลากร ล้วนคือการ “ทำให้เห็น” มากกว่า “พูดให้ฟัง” และเป็นธรรมดาที่งานใหญ่แบบนี้จะต้องสื่อสารต่อเนื่อง ทั้งความก้าวหน้า–แผนการรื้อผักตบในจุดถัดไป–มาตรการความปลอดภัย–ช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะจากชุมชน

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ตัวชี้วัดสั้น–กลาง–ยาว

ระยะสั้น (0–3 เดือน)

  • พื้นที่ผิวน้ำหลักของหนองหลวงโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เส้นทางเรือประมงพื้นบ้านปลอดภัย
  • จุดคอขวดระบายน้ำรอบหมู่บ้านลดความเสี่ยงน้ำเอ่อ
  • พื้นที่นำร่องจัดกิจกรรมของ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 พร้อมปรับภูมิทัศน์

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ความสามารถกักเก็บน้ำของหนองหลวงเพิ่มขึ้น เกษตรกรรอบหนองหลวงมีน้ำใช้ช่วงฤดูแล้ง
  • เริ่มมีผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัชพืช (ปุ๋ยอินทรีย์/งานจักสาน)
  • ดัชนีความพึงพอใจของชุมชนต่อสภาพแวดล้อมน้ำดีขึ้น

ระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป)

  • ผังน้ำชุมชน–จุดดักวัชพืชถาวร–ระบบข้อมูลระดับน้ำทำงานเป็นวาระปกติ
  • หนองหลวงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวเชียงรายฝั่งตะวันออก
  • ต้นทุนสาธารณะในการกำจัดวัชพืชลดลง เพราะระบบป้องกัน–คัดแยกเชิงรุกเริ่มเห็นผล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย–ปฏิบัติการ (สำหรับหน่วยงานและชุมชน)

  1. ตั้งคณะทำงาน “หนองหลวงคลีนแอนด์กรีน” ระดับอำเภอ ร่วม อบจ.–อำเภอ–เทศบาล/อบต.–ผู้นำชุมชน–สถาบันการศึกษา เพื่อคุมแผนรายไตรมาส กำหนดตัวชี้วัดร่วม และรายงานความคืบหน้าสาธารณะ
  2. ออกแบบ “จุดดักวัชพืช” และลานคัดแยกเชิงวิศวกรรม ลดต้นทุนการลากยาวและเสี่ยงอุบัติเหตุ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยแรงงาน
  3. พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนจากผักตบ จัดอบรมแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์–ของใช้จักสาน สร้างรายรับเสริมให้กลุ่มสตรี/เยาวชน และทำสัญญาซื้อคืนขั้นต่ำกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้วงจรธุรกิจเล็ก “ตั้งลำ” ได้จริง
  4. สื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง แสดงแผนที่จุดทำงาน, ปริมาณวัชพืชที่กำจัดได้, ภาพเปรียบเทียบก่อน–หลัง, และขั้นต่อไป เพื่อให้ประชาชนเห็นความคืบหน้าและร่วมเป็นหูเป็นตา
  5. เชื่อมแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศกับงานไม้ดอกอาเซียน จัดเส้นทางทดลองพายเรือ/ดูนก/ค่ายสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงเรียน วางมาตรฐานการใช้พื้นที่ (carrying capacity) เพื่อปกป้องระบบนิเวศควบคู่การท่องเที่ยว

จาก “ภารกิจเชิงรุก” สู่ “สัญญาใจต่อแหล่งน้ำของเรา”

หนองหลวงคือทรัพย์สินสาธารณะที่สะท้อนความรุ่งเรืองของเมืองน้ำ–เมืองเกษตร–เมืองท่องเที่ยว การกำจัดผักตบชวาครั้งนี้เป็น “สัญญาใจ” ระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับประชาชนว่า เชียงรายจะไม่ปล่อยให้แหล่งน้ำใหญ่ของตนหายใจติดขัดอีก และจะใช้โอกาสจากงานระดับอาเซียนในปี 2025 เป็นเวทีประกาศว่า “เราดูแลบ้านของเราได้” ด้วยมาตรฐานงานภาคสนามที่แน่น, แผนข้อมูลที่โปร่งใส, และการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

หากทำได้ตามแผน หนองหลวงจะกลับมาเป็น อ่างเก็บน้ำธรรมชาติ–ห้องเรียนกลางแจ้ง–ลานวัฒนธรรมของชุมชน” ในคราวเดียวกัน และเมื่อฟ้าเปิด น้ำโล่ง นักท่องเที่ยวเห็นทัศนียภาพสะท้อนท้องฟ้าเหนือเชียงราย ภาพความพยายามนับพันชั่วโมงของคนทำงานภาคสนามจะเปลี่ยนเป็น รายได้–รอยยิ้ม–ความภูมิใจ ของทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ/กรมชลประทาน
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News