Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เปิดใช้ปี 2571

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เดินหน้าทะลุปมอุโมงค์–น้ำหลาก ลั่นเปิดใช้ปี 2571 หนุนเศรษฐกิจเหนือ–การค้าชายแดนสู่ลาว–จีน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – ในจังหวะที่ภาคเหนือกำลังมองหากลไกฟื้นเศรษฐกิจหลังเผชิญความท้าทายจากสภาพอากาศสุดขั้วและการแข่งขันระดับภูมิภาค “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ได้เดินหน้าแตะ ความก้าวหน้างานรวม 41.986% โดยเฉพาะงานโยธาคืบ 40.656% (เร็วกว่าแผนราว 1.3%) ขณะที่กรอบเวลาเปิดให้บริการ ภายในปี 2571 ยังยืนยันตามเดิม – นี่คือสัญญาณว่าระบบรางเส้นใหม่ที่ถูกวางบทบาทให้เป็น “เส้นเลือดเศรษฐกิจ” ของเหนือตอนบน กำลังใกล้วิ่งเข้าจังหวะสุดท้ายของงานติดตั้งระบบและทดสอบเดินรถ

ภาพรวมโครงการมูลค่า ประมาณ 85,345 ล้านบาท ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย รวม 17 อำเภอ 59 ตำบล มีสถานีและที่หยุดรถ 26 แห่ง พร้อม ลานกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า (CY) 4 แห่ง เพื่อรองรับสินค้าทางรางและการเชื่อมต่อพาณิชย์สมัยใหม่ตามเป้าหมายของกระทรวงคมนาคมในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของชาติ

แผนงาน 3 สัญญา เร่งเครื่อง–กระจายความเสี่ยง

เพื่อบริหารความซับซ้อนของพื้นที่และโครงสร้าง โครงการแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา โดยมีสถานะล่าสุดดังนี้

  • สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย–งาว (104 กม.): ภาพรวมสะสม 41.234% แต่ช้ากว่าแผนเล็กน้อยจากเงื่อนไขพื้นที่และการปรับแบบจุดตัดสำคัญ อย่างไรก็ดี ฝ่ายก่อสร้างรายงานว่ามาตรการเร่งรัดได้ถูกนำมาใช้เต็มที่เพื่อดึงงานให้กลับเข้าเป้า
  • สัญญาที่ 2 ช่วงงาว–เชียงราย (132 กม.): สะสม 44.64% เร็วกว่าแผน 3.415% ถือเป็นโซนที่ “ลากกราฟ” งานรวมให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะองค์ประกอบดินทาง–สะพาน–และโครงระบายน้ำในช่วงพื้นที่เนินสลับลุ่ม
  • สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย–เชียงของ (86 กม.): สะสม 34.325% เร็วกว่าแผน 3.42% แม้มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ชุมชนและงานทางข้ามลำน้ำ แต่กำลังเร่งเครื่องในหมวดสะพานและทางยกระดับ

การกระจายสัญญาเช่นนี้ ไม่เพียงช่วย “เฉลี่ยความเสี่ยง” เชิงพื้นที่ แต่ยังเอื้อให้ โหนดเศรษฐกิจหลัก ตลอดแนวเส้นทาง – ตั้งแต่เด่นชัย (จุดบรรจบโครงข่ายภาคเหนือ–ภาคกลาง) พะเยา–เชียงราย (เมืองท่องเที่ยว–การเกษตร–บริการ) ไปจนถึง เชียงของ (ประตูการค้าชายแดน) – ถูกเตรียมความพร้อมรับการขยายตัวของสินค้าและผู้โดยสารได้แบบ ไล่ระลอก ก่อนเปิดเต็มรูปแบบปี 2571

อุโมงค์ 4 แห่ง ผ่านดอย–ข้ามปม

งานอุโมงค์ นับเป็น “หัวใจทางวิศวกรรม” ของโครงการ เส้นทางนี้ต้องเจาะและก่อสร้างอุโมงค์ 4 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์สอง, อุโมงค์งาว, อุโมงค์แม่กา และอุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าระหว่าง 50–87% (แต่ละแห่งเผชิญเงื่อนไขธรณี–ชั้นดิน–น้ำใต้ดินต่างกัน) ทำให้กลยุทธ์การเจาะ–ค้ำยัน–ระบายน้ำ และการตรวจความมั่นคงเชิงธรณีวิทยาต้อง “ออกแบบเฉพาะพื้นที่” ขณะเดียวกัน ทีมงานโยธาได้ใช้บทเรียนจากช่วงฝนหนัก–น้ำหลาก ปีที่ผ่านมา ปรับปรุง ระบบระบายน้ำและปากอุโมงค์ ให้ทนทานขึ้น พร้อมเสริมแผน อพยพ–ซ้อมรับเหตุ ร่วมกับชุมชน

ด่วน–ปรับ–ตาม” สูตรรับมือภัยพิบัติของ รฟท.

เหตุการณ์ พายุ “วิภา” และฝนหลากที่กระทบภาคเหนือก่อนหน้านี้ ทำให้ รฟท.ต้องสั่ง ชะลอ/หยุดงานชั่วคราว บางจุดเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะงานสะพานและระบบระบายน้ำบนพื้นที่เสี่ยง แนวทางแก้ปัญหาที่ รฟท.นำมาใช้ถูกสรุปเป็น 3 ขั้นตอน ด่วน–ปรับ–ตาม” (React–Improve–Forecast) ได้แก่

  1. แก้เร่งด่วน (React & Monitor) – เฝ้าระวังน้ำหลาก ประกาศเตือนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเครื่องจักร–บุคลากรเข้าพื้นที่ทันทีเมื่อสัญญาณเตือนถึงเกณฑ์
  2. เรียนรู้–ปรับปรุง (Adapt & Improve) – ปรับแบบ/เพิ่มขนาดท่อและรางระบายน้ำ เสริมคันทาง–ชั้นทางและปกป้องคอสะพาน รวมถึงวางระบบกัก–ผันน้ำเฉพาะจุด
  3. ติดตาม–พยากรณ์ (Prevent & Forecast) – ประสานองค์กรปกครองท้องถิ่น/หน่วยน้ำ เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ใช้ระบบแจ้งเตือนฝน–น้ำ และจัดเวทีสื่อสารกับชุมชนเป็นระยะ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มหน่วยงานกำกับอย่าง กรมการขนส่งทางราง ที่ลงพื้นที่ตรวจงานและเน้นมาตรฐานโครงสร้างระบายน้ำของโครงการทางคู่สายนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติในระบบรางระยะยาว

เมื่อ “ราง” เปลี่ยนภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของเหนือ

ตัวเลขชวนคิดที่สะท้อนผลเชิงระบบหลังเปิดบริการคือ เวลาเดินทาง ที่คาดว่าจะ ร่นลงจากรถยนต์ราว 1–1.30 ชั่วโมง บนหลายคู่เมืองสำคัญ ขณะที่ในฝั่งโลจิสติกส์ การมี CY 4 แห่ง และสถานี 26 แห่ง ทำให้เกิด โหนดรวบ–กระจายสินค้า แบบใกล้แหล่งผลิต โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรแปรรูป กาแฟ ชา และอุตสาหกรรมท้องถิ่นของแพร่–พะเยา–เชียงราย ที่ต้องการความ ตรงเวลา–คาดการณ์ได้ ของการขนส่ง ซึ่งรางสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่ารถบรรทุกในหลายกรณี

ยิ่งไปกว่านั้น ปลายทางที่ เชียงของ เปิดประตู เชื่อม “สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–ห้วยทราย)” เข้าสู่ เส้นทาง R3A และต่อเชื่อม รถไฟลาว–จีน ซึ่งเป็นโครงข่ายระดับภูมิภาค – ภาพใหญ่จึงไม่ใช่แค่ “ขนส่งภายในประเทศ” แต่คือ ห่วงโซ่ราง” สู่จีนตอนใต้ สินค้าจากภาคเหนือสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่หรือย่นเวลาขนส่งด้วยโหมดผสมผสานราง–ถนน–รางข้ามแดนได้อย่างมีนัยสำคัญ (กรอบยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงดังที่ระบุในงานวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย/ข้อมูลทางการ)

ท่องเที่ยวเชิงรางจาก “วิวเหนือ” สู่ “ประสบการณ์เหนือระดับ”

เมื่อทางคู่เปิดใช้ “การเดินทางเชิงทัศนียภาพ” จะเป็นอีกสินทรัพย์ใหม่ให้ภาคเหนือ เส้นทางเลาะไหล่ดอย–ตัดทุ่งนา–ข้ามลำน้ำ จะถูก “แพ็คเกจ” เป็น สินค้า ของผู้ประกอบการท่องเที่ยว–โรงแรม–คาเฟ่–โฮมสเตย์บนชุมชนเส้นทางราง** การเข้าถึงสะดวก–คงที่–ปลอดภัย ช่วยเพิ่มโอกาสเก็บรายได้จากนักท่องเที่ยว แบบพำนักนานขึ้น” และกระจายรายได้ไปยังอำเภอที่ไม่ใช่เมืองหลัก

แรงส่งของท่องเที่ยวเชิงรางยังต่อยอดสู่ อีเวนต์ซับคัลเจอร์ เช่น ปั่นจักรยาน–วิ่งเทรล–วัฒนธรรมชนเผ่า ที่สามารถผูกกับจังหวะเวลาเดินรถ–จุดลง–เส้นทางเชื่อมได้ เช่นกัน ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ขนาดเล็ก–กลาง (SMEs) จะเห็นทางเลือกส่งสินค้าแบบ “กึ่งพาณิชย์–กึ่งท่องเที่ยว” (เช่น ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น) วิ่งเข้าตลาดใหม่ในกรุงเทพฯ/หัวเมือง ผ่าน โครงข่ายรางที่ตั้งเวลาได้ มากกว่า “ลุ้นเส้นทางถนน” ในฤดูฝน

ด้านเทคนิค มาตรฐานความเร็ว–ความปลอดภัย

กรอบออกแบบของสายนี้ถูกวางที่ ความเร็วออกแบบสูงสุด 160 กม./ชม. สำหรับรถโดยสาร (ความเร็วใช้งานขึ้นกับข้อกำกับการเดินรถ/ระบบอาณัติสัญญาณ) โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยทางคู่–สะพาน–อุโมงค์–ทางยกระดับ รวมถึงการยกระดับ จุดตัดทางรถไฟ–ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความต่อเนื่องของขบวน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของการรถไฟฯ และหน่วยงานกำกับ พร้อมระบบอาณัติสัญญาณ/สื่อสารที่จะติดตั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนทดสอบเดินรถ (ข้อมูลสเป็กและกรอบทางวิศวกรรมจากแหล่งข้อมูลทางการ/วิชาการ)

เสียงจากพื้นที่ “งานเดิน–เมืองเดิน”

ในแนวเส้นทาง หลายชุมชนได้เห็นโครงสร้างรูปเป็นร่าง—ตั้งแต่ ตอม่อสะพาน–คันทาง–ปากอุโมงค์ ไปจนถึงทางเบี่ยงเบนการจราจรชั่วคราว แม้ในบางจุดชาวบ้านต้อง “เรียนรู้” กับเสียงเครื่องจักรและการปิด–เปิดทางสลับ แต่การสื่อสาร เชิงรุก ที่ รฟท. ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “Prevent & Forecast” (การประชุม–เวทีชุมชน–แจ้งเตือนล่วงหน้า) ทำให้ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ค่อย ๆ เติบโต

ผู้ประกอบการท้องถิ่นสะท้อนมุมมองตรงกันว่า เส้นนี้คือโอกาส” – ตลาดสินค้าชุมชนจะ “เข้าเมือง” ได้ไวและแน่นอนขึ้น ขณะโรงแรม–ร้านอาหาร–คาเฟ่ แถบเมืองรองมีโอกาส “จับลูกค้าใหม่” ที่มาเยือนแบบไม่นอนค้างได้บ่อยขึ้น เพราะขึ้น–ลงรถสะดวก ตรงเวลา

“โครงสร้างใหญ่” ทำอย่างไรให้อยู่รอดในยุคภูมิอากาศสุดขั้ว

โครงการทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของสะท้อน บทเรียนรุ่นใหม่ ของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไทย – ไม่ใช่เพียง สร้างให้เสร็จ” แต่ต้อง สร้างให้สู้สภาพอากาศ” ด้วย มาตรการอย่างการเพิ่มหน้าตัดทางระบายน้ำ ปรับโครงสร้างคอสะพาน เสริมคันทาง และวางระบบตรวจวัดฝน–น้ำแบบเรียลไทม์ สามารถลดความเสี่ยงทั้ง ระหว่างก่อสร้าง และ หลังเปิดบริการ ขณะที่การประสานข้อมูลกับท้องถิ่นช่วยให้เห็น ภาพน้ำทั้งลุ่มน้ำ” ไม่ใช่แค่จุดก่อสร้าง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิอากาศ แนวทาง “ด่วน–ปรับ–ตาม” ของ รฟท. จึงเป็น โมเดลปฏิบัติ ที่โครงการรางอื่น ๆ ในประเทศสามารถหยิบไปใช้ได้

ไทม์ไลน์–ก้าวต่อไป จากโยธา สู่อาณัติสัญญาณ และทดสอบเดินรถ

ด้วย แกนโยธา ที่รุดหน้า (บางสัญญาเร็วกว่าแผน) ขั้นต่อไปคือการเร่ง งานโครงสร้างพิเศษ (สะพาน/อุโมงค์) ให้ผ่านจุดวิกฤต พร้อมเปิดทางให้เข้าสู่ งานระบบ (Signalling & Telecom), งานราง, และ ทดสอบวิ่ง (Trial Run) ตามลำดับ ภาพรวมจึงยังคงยึดกรอบ เปิดบริการภายในปี 2571 ตามที่ตั้งเป้า ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ตั๋วรถไฟใบใหม่ของภาคเหนือ จะไม่ใช่เพียงการเดินทาง แต่คือ บัตรผ่านเศรษฐกิจ ที่พาผู้คน–สินค้า–โอกาส เชื่อมจาก ใจกลางภาคเหนือ สู่ ชายแดนแม่น้ำโขง และต่อไปยัง ลาว–จีน อย่างเป็นรูปธรรม

กล่องข้อมูลโครงการ (สรุปย่อ)

  • ชื่อโครงการ: รถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
  • ระยะทาง: ~323.10 กม. / จังหวัด: แพร่–ลำปาง–พะเยา–เชียงราย / สถานี–ที่หยุดรถ: 26 แห่ง
  • มูลค่าโครงการ: ~85,345 ล้านบาท
  • สัญญาก่อสร้าง: 3 สัญญา (เด่นชัย–งาว / งาว–เชียงราย / เชียงราย–เชียงของ)
  • งานอุโมงค์หลัก: อุโมงค์สอง, งาว, แม่กา, ดอยหลวง
  • CY (ลานกองเก็บ/ขนถ่ายตู้สินค้า): 4 แห่ง
  • ความเร็วออกแบบสูงสุด (โดยสาร): 160 กม./ชม.
  • เป้าหมายเปิดบริการ: ภายในปี 2571

มุมมองเชิงนโยบาย ทำไม “ราง” ถูกเลือกในเวลานี้

  1. ลดต้นทุน–เพิ่มขีดความสามารถ: รางช่วยลดต้นทุนต่อตัน–กม. และลดการพึ่งพาน้ำมันในขนส่งถนน ซึ่งสำคัญต่อภาคเหนือที่มีสินค้าเกษตร–แปรรูปจำนวนมาก
  2. สิ่งแวดล้อม–ภูมิอากาศ: ระบบรางปล่อยคาร์บอนต่อผู้โดยสาร/ตันสินค้าน้อยกว่า โยงเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ระยะยาวของประเทศ
  3. การเชื่อมภูมิภาค: ปลายทางเชียงของเชื่อม R3A–รถไฟลาว–จีน ยกระดับไทยเป็น สะพานการค้า สู่จีนตอนใต้/อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  4. พัฒนาเมือง–ชุมชน: สถานีคือ ศูนย์กลางบริการ ใหม่ของเมืองรอง สร้างงาน–ธุรกิจต่อเนื่อง (ที่พัก–บริการ–โลจิสติกส์ชุมชน)

คำถามสุดท้ายก่อนขึ้นราง ประชาชนจะได้อะไร “ในมือ” ตั้งแต่วันแรก?

  • เวลา: การเดินทางเมืองหลักเร็วขึ้นราว 1–1.30 ชม. (ตามคู่เมือง)
  • เงินในกระเป๋า: ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการลดลง มีผลต่อราคาสินค้า/รายได้เกษตรกร
  • โอกาส: การท่องเที่ยวเชิงราง–สินค้า OTOP–เกษตรแปรรูปเข้าเมือง–ออกชายแดนสะดวกขึ้น
  • ความปลอดภัย: จุดตัดลดลง ระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสารสมัยใหม่เพิ่มความปลอดภัยการเดินรถ

ความคืบหน้า 41.986% ของ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่มันหมายถึง โครงร่างเศรษฐกิจใหม่ ของภาคเหนือที่กำลังก่อตัว – โครงร่างที่วางอยู่บนรางเหล็ก อุโมงค์ 4 แห่ง สะพานนับสิบ และโมเดลบริหารความเสี่ยงที่เรียนรู้จากฝนหลาก–น้ำท่วม เพื่อส่งมอบการเดินทางที่ ตรงเวลา–ปลอดภัย–คุ้มค่า ให้ประชาชน และเปิดพรมแดนเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการไทยก้าวไกลไปอีกขั้น

เมื่อรถไฟสายนี้ทดลองวิ่งและเปิดบริการในปี 2571 เสียงหวูดจะไม่ได้ดังเพียงเพื่อประกาศ “เปิดเดินรถ” เท่านั้น หากแต่เป็นสัญญาณว่า ภาคเหนือ ได้ก้าวขึ้นขบวนเศรษฐกิจใหม่ที่พร้อมเชื่อม บ้านเรา เข้ากับ ภูมิภาค อย่างมั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สายนโยบายภาคเหนือ)
  • ประชาชาติธุรกิจ
  • มติชนออนไลน์
  • กรมการขนส่งทางราง/สำนักข่าว MCOT (TNA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ทุเรียนไทย” ดันค้าผ่านแดนเชียงรายพุ่งสวนทางค้าชายแดนที่หดตัวหนัก

การค้าชายแดนเชียงรายหดตัวหนัก แต่การค้าผ่านแดนพุ่งสวนทาง “ทุเรียนไทย” เป็นพระเอกพยุงเศรษฐกิจ—รัฐเร่งอัดฉีดงบฟื้นโลจิสติกส์ชายแดน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568ด่านพรมแดนเชียงของ รถบรรทุกต่อคิวเรียงยาวริมแม่โขง ภาพที่คุ้นตาในช่วงฤดูส่งออกผลไม้ไปจีน แต่ปีนี้มีสิ่งที่ต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขการค้าผ่านแดนของเชียงรายทะยานขึ้น ขณะที่การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านกลับสะดุดแรง

รายงานการวิเคราะห์ครึ่งแรกของปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) ระบุชัดว่า มูลค่าการค้ารวมของจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 54,258.61 ล้านบาท ทว่าเมื่อแยกโครงสร้าง จะพบความจริงที่สองด้านในภาพเดียวกัน—การค้าผ่านแดน (Transit Trade) มีมูลค่า 38,438.22 ล้านบาท คิดเป็น 70.84% ของทั้งหมด ขับเคลื่อนโดยด่านศุลกากรเชียงของและเส้นทาง R3A สู่จีน ขณะที่ การค้าชายแดน (Border Trade) ซึ่งเป็นการซื้อขายกับเมียนมาและ สปป.ลาว มีมูลค่า 15,820.39 ล้านบาท หรือเพียง 29.16% และยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในหลายเดือน

ภาพรวมที่ “บวกและลบ” อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทำให้เชียงรายกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตา—โอกาสเศรษฐกิจใหม่กำลังก่อตัวในเวลาเดียวกับที่ความเปราะบางบางด้านกำลังกัดกร่อนความมั่นใจของผู้ประกอบการชายแดน

แรงขับเคลื่อน “ทุเรียนสด” เส้นเลือดใหญ่ของการค้าผ่านแดน

หัวใจของการเติบโตครึ่งปีแรก คือคลื่นส่งออก ทุเรียนสด” สู่สาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านด่านเชียงของ—ประตูการค้าบนระเบียงเศรษฐกิจเหนือ–ใต้ (R3A) ที่เชื่อมไทย–ลาว–จีน ข้อมูลยืนยันว่าเฉพาะผลไม้ชนิดนี้ได้ดันมูลค่าการค้าผ่านแดนให้พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้สัดส่วนของ Transit Trade ต่อการค้ารวมแตะเกิน 70% เป็นครั้งสำคัญ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งข้างต้นก็แฝง “ความเสี่ยงตามฤดูกาล” ไว้ในตัวเอง เดือนมิถุนายน 2568 เป็นตัวอย่างชัดเจน—มูลค่าส่งออกหดตัวลงถึง 4,556.17 ล้านบาท โดย กว่า 4,450 ล้านบาท มาจากทุเรียนที่สิ้นสุดฤดูผลิต การเติบโตที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิด จึงทำให้กราฟการค้าเหวี่ยงตัวแรงระหว่าง “ฤดูกาล–นอกฤดูกาล” และกลายเป็นโจทย์สำคัญต่อการบริหารกระแสเงินสดของผู้ส่งออก ตลอดจนการวางแผนเสถียรภาพรายได้ของจังหวัด

ด้านมืดของกราฟ การค้าชายแดนสะดุด—เมียนมา–ลาวชะงักจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

ในอีกฟากหนึ่งของจังหวัด เส้นแดนที่แม่สายและเชียงแสนเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง การค้าชายแดนกับเมียนมาและลาวหดตัว ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในหลายเดือน สาเหตุหลักถูกชี้ไปยัง สถานการณ์ความไม่สงบภายในเมียนมา และ การตรวจสอบสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งทำให้การขนส่งติดขัด เกิดต้นทุนแฝงจากการรอคิว การเสี่ยงต่อความเสียหายของสินค้า และความไม่แน่นอนในการปิด–เปิดด่านโดยไม่มีกำหนด

เมื่อนำปัจจัยดังกล่าวมารวมกับความผันผวนของค่าเงินเพื่อนบ้านและกำลังซื้อที่อ่อนแรง ภาพรวมฝั่งชายแดนจึงออกมาในเชิงลบ แม้ความต้องการของตลาดปลายทางในเมียนมาจะยังมีอยู่ก็ตาม

ภาพจำแนกตามด่านตัวเลขที่เล่าเรื่อง

เพื่อมองเห็นโครงสร้างการค้าของเชียงรายอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 แยกตามด่านมีดังนี้ 

  • ด่านศุลกากรเชียงของ (ค้าผ่านแดนกับจีน):
    • ส่งออก 32,299.41 ล้านบาท
    • นำเข้า 7,572.54 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 39,871.95 ล้านบาท
    • โครงสร้างสินค้าส่งออก: ผลไม้สด (โดยเฉพาะทุเรียน) 96.88%, สินค้าอุปโภค–บริโภค 1.64%, สินค้าเกษตรอื่น 0.98%
    • นำเข้าหลัก: ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 58.06%, สินแร่ 29.53%, และผลไม้สดบางส่วน
  • ด่านศุลกากรแม่สาย (ค้าชายแดนกับเมียนมา):
    • ส่งออก 5,496.64 ล้านบาท
    • นำเข้า 833.48 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 6,330.12 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: น้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ 49.56%, น้ำมันเบนซิน/ดีเซล 18.58%, เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%
    • นำเข้าหลัก: เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เมล็ดงา และสุราต่างประเทศ
  • ด่านศุลกากรเชียงแสน (ค้าชายแดนกับลาว/ทางน้ำ):
    • ส่งออก 6,896.43 ล้านบาท
    • นำเข้า 1,160.10 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 8,056.52 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%, รถยนต์นั่ง 2.46%, อุปกรณ์ก่อสร้าง 5.08%
    • นำเข้าหลัก: ผักสด 59.01%, ปูนซีเมนต์ 11.81%, แร่พลวง 6.91%

เมื่อรวมทั้งสามด่าน จะได้ภาพรวม ส่งออก 44,692.48 ล้านบาท / นำเข้า 9,566.12 ล้านบาท / รวม 54,258.61 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าการค้าของเชียงรายเอนตัวไปทาง “ผ่านแดนสู่จีน” มากกว่าค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านโดยตรง

สัญญาณเชิงโครงสร้างเมื่อเชียงราย “เปลี่ยนบทบาท”

ข้อมูลอัปเดตเดือนกรกฎาคม 2568 (ที่ผู้ใช้จัดเตรียมไว้) ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มการเปลี่ยนผ่าน: การค้าผ่านแดนเติบโต 32.5% ขณะที่ การค้าชายแดนหดตัว -20% นัยสำคัญคือเชียงรายกำลังขยับจาก “ศูนย์กลางการค้าภูมิภาค” ไปเป็น ประตูการค้าโลก” ที่เชื่อมไทยเข้ากับตลาดจีนโดยตรงผ่านโครงข่ายคมนาคมเหนือ–ใต้

ข้อดีของการเปลี่ยนบทบาทคือการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่และห่วงโซ่โลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ข้อท้าทายคือ ความเข้มข้นของสินค้า (concentration risk) หากสินค้าเอกชน เพียงชนิดเดียว—เช่นทุเรียน—สะดุดจากปัญหาฤดูกาล โรคพืช หรือมาตรการกีดกันทางการค้า ผลกระทบจะสะเทือนทั้งระบบอย่างที่เห็นในเดือนมิถุนายน

นโยบายภาครัฐ อัดฉีดงบ 363.62 ล้านบาท ฟื้นโครงสร้างพื้นฐานชายแดน

เพื่อเสริม “เสถียรภาพกระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจชายแดน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ งบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัยปลายปี 2567 โดยมุ่งเน้นอำเภอแม่สายและแนวเชื่อมโยงโลจิสติกส์หลักในจังหวัด มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ:

  1. ซ่อม–เสริมถนน โป๊ะ ท่า และระบบระบายน้ำที่เป็นจุดอ่อน
  2. เพิ่มความพร้อมด่านให้รองรับการตรวจปล่อยสินค้าอย่างรวดเร็ว (ลดเวลารอ ลดต้นทุน)
  3. เสริมความยืดหยุ่นของระบบห่วงโซ่อุปทานในครึ่งปีหลัง

การลงทุนดังกล่าวถูกคาดหวังให้เป็น “กันชน” หลังวิกฤตน้ำท่วม และเป็นฐานเร่งเครื่องการค้ารอบใหม่ในช่วงไฮซีซันของผลไม้ปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงิน และฤดูกาล

  1. ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา – ความไม่สงบภายในและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเฉียบพลัน ส่งผลโดยตรงต่อด่านแม่สาย ทั้งต่อเวลาและต้นทุนขนส่ง การปิด–เปิดด่านอย่างไม่แน่นอนเป็นความเสี่ยงเชิงระบบของผู้ประกอบการ
  2. ค่าเงินกีบและจ๊าด – การอ่อนค่าของสกุลเงินเพื่อนบ้าน บั่นทอนกำลังซื้อและความสามารถชำระเงิน ส่งผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าจากฝั่งไทย
  3. ฤดูกาลสินค้าเกษตร – ทุเรียนและผลไม้สดสร้างรายได้ก้อนใหญ่ แต่หากไร้สินค้าทดแทนในช่วง “หลุม” นอกฤดู การค้าโดยรวมจะเหวี่ยงตัวแรง

โอกาสในความเปราะบาง ทางรอดที่เริ่มต้นได้ทันที

แม้ความท้าทายจะชัด แต่ข้อมูลครึ่งปีแรกก็เปิดหน้าต่างโอกาสหลายบาน

  • กระจายพอร์ตสินค้า: ใช้เส้นทาง R3A ที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว เพื่อดันสินค้า ที่ต้องการสม่ำเสมอทั้งปี เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ควบคู่ผลไม้ตามฤดูกาล
  • ยกระดับการแปรรูปผลไม้: เพิ่มมูลค่าและยืดอายุสินค้า—แช่แข็ง อบแห้ง หรือสกัดสารสำคัญ—เพื่อสร้างรายได้ข้ามฤดูกาล ลดแรงเหวี่ยงของกราฟส่งออก
  • บริหารความเสี่ยงโลจิสติกส์: ใช้เทคโนโลยีติดตามตู้สินค้าแบบเรียลไทม์ ประกันภัยด้านความเสี่ยงชายแดน และวางเส้นทางสำรอง (re-routing) รองรับเหตุไม่แน่นอน
  • การทูตเชิงพาณิชย์: ใช้กลไกความร่วมมือด่าน–ด่าน เพื่อบรรเทาอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) กับฝ่ายเมียนมา ลด “ความไม่แน่นอน” ซึ่งเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น
  • ทุนมนุษย์และมาตรฐาน: อบรมผู้ประกอบการขนาดกลาง–เล็ก ด้านมาตรฐานสุขอนามัย/กฎระเบียบจีน และการตลาดข้ามพรมแดนเพื่อเพิ่มศักยภาพสู้ตลาดใหญ่

เรื่องเล่าจากสามด่านสามบทบาท–หนึ่งเป้าหมาย

  • เชียงของ เป็น “สายพานส่งออก” เชื่อมไทย–ลาว–จีน ที่พิสูจน์แล้วว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง ตัวเลขมูลค่ารวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ใน 6 เดือนแรกสะท้อนประสิทธิภาพโลจิสติกส์—แต่ก็เตือนให้ระวังการพึ่งพาทุเรียนมากเกินไป
  • แม่สาย คือ “ด่านใจกลางชุมชนการค้า” ที่โยงตลาดเมียนมาซึ่งยังต้องการสินค้าไทยหลายชนิด หากโครงสร้างความมั่นคงภายในเมียนมาดีขึ้น ด่านนี้พร้อมดีดตัวได้ทันที เพราะมีฐานผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้มแข็งและคุ้นชินการค้าชายแดนมาอย่างยาวนาน
  • เชียงแสน เป็น “ท่าเชื่อมแม่น้ำโขง” ที่มีศักยภาพเติบโตในสินค้าก่อสร้าง เครื่องจักร และเกษตรสด การปรับปรุงท่าขนส่งและระบบตรวจปล่อยสินค้าให้ง่าย–เร็ว–โปร่งใส จะยิ่งเพิ่มบทบาทของด่านทางน้ำในห่วงโซ่ไทย–ลาว–จีน

สามด่าน สามจังหวะ แต่มี หนึ่งเป้าหมายร่วม—ทำให้เชียงรายเป็น “โหนด” การค้าที่แข่งขันได้ในลุ่มน้ำโขงและเชื่อมตรงสู่จีนได้อย่างยั่งยืน

จาก “ฤดูกาล” สู่ “ความยั่งยืน”

ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 ของเชียงรายให้บทเรียนสำคัญว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็ว” และ “เสถียรภาพระยะยาว” ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน การวิ่งแรงด้วยทุเรียนทำให้มูลค่าการค้าพุ่ง แต่การหดตัวทันทีที่หมดฤดูทำให้เห็นหลุมลึกในโครงสร้าง การค้าชายแดนกับเมียนมาที่ซบเซาเพราะปัจจัยนอกอำนาจควบคุม ยิ่งตอกย้ำว่าจังหวัดจำเป็นต้อง กระจายความเสี่ยงทั้งสินค้า เส้นทาง และตลาด

การอัดฉีดงบโครงสร้างพื้นฐาน 363.62 ล้านบาท ของภาครัฐ เป็นก้าวแรกที่ถูกทิศ—ซ่อม “รางวิ่ง” ของเศรษฐกิจชายแดนให้พร้อม—แต่ก้าวต่อไปที่ต้องทำควบคู่คือ แพ็กเกจเสริมสภาพคล่อง ให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และ SME, ยกระดับมาตรฐาน–กฎระเบียบ ให้สอดรับข้อกำหนดจีน, และ เร่งเครื่องการทูตชายแดน เพื่อลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี

หากทำได้ เชียงรายจะไม่ใช่แค่ประตูผ่านฤดูกาลผลไม้ แต่จะกลายเป็น จุดตั้งหลักเศรษฐกิจข้ามแดน ที่ยืดหยุ่น ทนทาน และเติบโตบนฐานอุตสาหกรรม–เกษตรแปรรูปที่หลากหลายกว่าเดิม

สรุปสถิติโดยย่อ (ม.ค.–มิ.ย. 2568)

  • มูลค่าการค้ารวมจังหวัดเชียงราย: 54,258.61 ล้านบาท
  • โครงสร้าง: การค้าผ่านแดน 38,438.22 ล้านบาท (70.84%) / การค้าชายแดน 15,820.39 ล้านบาท (29.16%)
  • มูลค่าตามด่าน:
    • เชียงของ 39,871.95 (ส่งออก 32,299.41 / นำเข้า 7,572.54) ล้านบาท
    • แม่สาย 6,330.12 (ส่งออก 5,496.64 / นำเข้า 833.48) ล้านบาท
    • เชียงแสน 8,056.52 (ส่งออก 6,896.43 / นำเข้า 1,160.10) ล้านบาท
  • สินค้าหลักส่งออกผ่านเชียงของ: ทุเรียนสด (สัดส่วน ~96.88% ของหมวดผลไม้สด)
  • เหตุการณ์เด่น: เดือนมิถุนายน มูลค่าส่งออกลด 4,556.17 ล้านบาท จากการสิ้นสุดฤดูทุเรียน
  • แนวโน้มเดือนกรกฎาคม: การค้าผ่านแดน +32.5%, การค้าชายแดน -20%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการค้าจริงของจังหวัดเชียงราย ครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) จำแนกตามด่านแม่สาย–เชียงของ–เชียงแสน, โครงสร้างส่งออก/นำเข้า, รายการสินค้า, และสัญญาณเดือนกรกฎาคม 2568
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กรมศุลกากร
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/สำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

สะพานแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก “ล็อกดาวน์สินค้า” ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเมียนมา

ล็อกดาวน์สินค้า” สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก สัญญาณสั่นคลอนเศรษฐกิจชายแดน—ของจำเป็นขาดแคลน ค่าใช้จ่ายขนส่งพุ่ง เสี่ยง “ค้าเถื่อน” คืนชีพ

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 —วันที่ชายแดนไม่เหมือนเดิม รถบรรทุกจอดเรียงรายริมถนนพหลโยธินฝั่งอำเภอแม่สาย โดยมีแม่น้ำสายกั้นกลางสู่เมืองท่าขี้เหล็กของเมียนมา เหนือศีรษะคือคานเหล็กของสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ที่เคยคึกคักด้วยกระแสสินค้าหลั่งไหล วันนี้กลับถูกบีบให้เหลือเพียง “ช่องเล็ก” สำหรับอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น สะท้อน “การล็อกดาวน์สินค้า” ที่สื่อเมียนมาอย่าง The People’s Voice รายงานเมื่อ 25 สิงหาคม 2568 ว่าทางการฝั่งท่าขี้เหล็ก จำกัดการขนส่งสินค้าทุกประเภท ยกเว้นอาหารและเครื่องดื่มในปริมาณจำกัด สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจ–สังคมทั้งฝั่งไทยและเมียนมาอย่างฉับพลัน

ข่าวสั้นไม่กี่บรรทัดจากฝั่งท่าขี้เหล็ก แปลความหมายเป็นภาพยาวไกล: สายพานค้าชายแดนที่พึ่งพาเวลานาทีต่อ นาที เริ่มสะดุด ตลาดเมืองหลักของรัฐฉานอย่าง ตองยี ร้องขาด “ของจำเป็น” โดยเฉพาะ ยา อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนโทรศัพท์ที่พึ่งพาการนำเข้า—สินค้าที่ “ไม่ได้อยู่ในกรอบยกเว้น” เมื่อสะพานแคบลง คลื่นราคาในฝั่งเมียนมาก็สูงชันขึ้นตามรายงานภาคสนาม ขณะที่สายเดินรถขนส่งหลายสาย “หยุดให้บริการ” เพราะ ค่าธรรมเนียมท่าเรือสูงขึ้น และเกิดสภาวะ “มีแต่ขาไป ไม่มีขากลับ” ทำให้ต้นทุน/เที่ยว ขาดความคุ้มทุน ทวีคูณ

ปมเหตุที่เชื่อมถึง “ภูมิรัฐศาสตร์ของท้องตลาด”

มาตรการจำกัดสินค้าข้ามแดนครั้งนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ที่ยืดเยื้อ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาการสำคัญปรากฏที่ชายแดน: เมื่อช่องทางการค้า “ปกติ” ถูกบีบให้เล็กลง ความต้องการของตลาด—โดยเฉพาะ ยารักษาโรค–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์–อุปกรณ์สื่อสาร—ไม่ได้หายไป แต่ถูกผลักให้ไหลลง ช่องทางไม่เป็นทางการ มากขึ้น เสี่ยงให้ การค้าเถื่อน” คืนชีพ อย่างที่ผู้ประกอบการหลายรายบนแนวชายแดนกังวล

แต่ผลสะเทือนมิได้จำกัดอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาย ฝั่งไทย—โดยเฉพาะ เชียงราย—ซึ่งพึ่งพา การค้าชายแดน เป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น ก็ต้องเผชิญแรงดึงกลับจากสองทิศทางพร้อมกัน

  1. ปริมาณธุรกรรมถูกหดรัด รายได้เกี่ยวเนื่องจากโลจิสติกส์–บริการชายแดนหดตัว
  2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงเพิ่ม เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวัง ลักลอบนำเข้า–ส่งออก สินค้าต้องห้าม/สินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งมักมาพร้อมกับ สินค้าปลอม–ยาปลอม และ อาชญากรรมข้ามชาติ รูปแบบต่างๆ

ของขาด–ราคาเพิ่ม–เส้นทางหยุด” เส้นทางวิกฤตที่ซ้ำเติมกันเอง

รายงานของ The People’s Voice ต่อจิ๊กซอว์สามชิ้นที่ร้อยเข้าด้วยกันอย่างน่ากังวล

  • ขาดแคลนยาและอะไหล่สื่อสาร: ร้านค้าบริเวณตลาดเมืองตองยีสะท้อนตรงกันว่า “ยา” และ อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์–ชิ้นส่วนโทรศัพท์ ขาดแคลนหนัก สินค้าที่เคยเดินทางผ่านชายแดนภาคเหนือของไทยด้วยรูปแบบปกติ กลับต้องหยุดชะงักเมื่อ “รายการสินค้าต้องห้าม” ของทางการเมียนมา ยืดตัว ไปครอบคลุมสินค้าจำเป็นจำนวนมาก
  • ต้นทุนโลจิสติกส์ถีบตัว: มาตรการจำกัดสินค้าบีบให้ ค่าธรรมเนียมท่าเรือ–ผ่านแดนสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทขนส่งเผชิญภาวะ เที่ยวขากลับว่างเปล่า เมื่อสินค้า “ไม่เข้าเกณฑ์ผ่านได้” ย่อมไม่มีสินค้าให้บรรทุกย้อนกลับ—ต้นทุนต่อเที่ยวจึง พุ่งขึ้นทันที
  • ความเสี่ยง “ตลาดมืด” แทรกตัว: เมื่อสินค้าในตลาดทางการขาดแคลนและราคาเด้งสูง ผู้ค้าบางส่วน—เพื่อความอยู่รอด—อาจหันไป ช่องทางนอกระบบ ซึ่งสำหรับแนวชายแดนที่สลับซับซ้อนและภูมิประเทศเอื้อต่อการเล็ดลอด นี่คือความเสี่ยงที่ฝ่ายความมั่นคงต้องคาดการณ์ล่วงหน้า

เชียงรายต้องเตรียมอะไร มาตรการ “ตั้งรับ–รุก–ประสาน” ในเวลาเดียวกัน

ในสถานการณ์ที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากฝั่งเมียนมามักมาแบบกระท่อนกระแท่น หน่วยงานไทยจำเป็นต้องขยับเชิงรุก ทั้งมิติ การค้า–ความมั่นคง–ผู้บริโภค ไปพร้อมกัน

  1. เข้มด่าน–คุมคุณภาพสินค้าเข้มงวด
    • ศุลกากร–ตรวจคนเข้าเมือง–ฝ่ายปกครอง ควรประสาน เพิ่มการสแกนความเสี่ยงตามชนิดสินค้า (risk-based) บนสินค้าประเภทที่มีโอกาสลักลอบสูง เช่น ยา–อาหารเสริม–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเน้น คุณภาพ–มาตรฐาน ป้องกันสินค้าปลอม/ไม่ปลอดภัย หลุดสู่ผู้บริโภคฝั่งไทย
  2. กัน “แร่–สินแร่สกปรก” และของผิด กม. ไม่ให้ปนสายในวิกฤต
    • วิกฤตฝั่งโน้นอาจเปิดช่องให้ แร่–สินแร่ จากพื้นที่เสี่ยง (รวมถึงสินค้าควบคุมอื่น) ไหลผ่านช่องทางผิดกฎหมาย เพื่อแปรรูป/ตบตาเอกสารในไทย จำเป็นต้อง ยกระดับตรวจสอบแหล่งที่มา (traceability) และ เครือข่ายข่าวกรองชุมชน บริเวณจุดผ่อนปรน/ทางลำลอง
  3. ดูแลผู้ประกอบการขนส่ง–ค้าชายแดนไทย
    • รัฐควรพิจารณา ผ่อนคลายน้ำหนักภาษี/ค่าธรรมเนียมบางประเภทชั่วคราว หรือจัด สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประกอบการขนส่งชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อ คงสภาพการจ้างงาน และไม่ให้ระบบโลจิสติกส์ท้องถิ่น “หยุดนิ่ง”
  4. คุ้มครองผู้บริโภค–สาธารณสุขชายแดน
    • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–สาธารณสุขจังหวัด ควร เผยแพร่คำเตือน เรื่องการซื้อ ยา/อุปกรณ์การแพทย์ ผ่านช่องทางนอกระบบ และตั้ง จุดให้คำปรึกษา สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเข้าถึงยา พร้อมจับมือ โรงพยาบาล–ร้านขายยา บริหารจัดการ ยาเทียบเคียง/ยาทดแทน ในภาวะเปลี่ยนผ่าน
  5. เดินหน้าช่องทางประสานงานเทคนิคกับฝั่งเมียนมา
    • นอกเหนือจากระดับรัฐบาลกลาง ควรใช้ ช่องทางชายแดน–จังหวัดคู่แฝด ระหว่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก เปิดโต๊ะหารือเทคนิคเพื่อ กำหนดรายการยกเว้นอย่างโปร่งใส (เช่น ยาจำเป็นเวชภัณฑ์, อุปกรณ์การแพทย์เร่งด่วน) และออก คิวโควตา ที่สามารถคาดการณ์ได้ ลดแรงจูงใจเข้าสู่ตลาดมืด

เมื่อเศรษฐกิจคลอนแคลน ความมั่นคงชายแดนย่อมเปราะบาง

ประวัติศาสตร์การค้าชายแดนไทย–เมียนมาบอกเราว่า เมื่อเศรษฐกิจฝั่งหนึ่งสะดุด ชายแดนจะเห็น “เส้นทางเงา” ขยับทันที ทั้ง สินค้าต้องห้าม–แรงงานผิดกฎหมาย–สารเสพติด–อาชญากรรมไซเบอร์ ความรุนแรงของลูกคลื่นขึ้นกับสองปัจจัย:

  • ช่องทางทางการเปิดแคบแค่ไหน (ยิ่งแคบ ยิ่งดันให้ไหลใต้ดิน)
  • ความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งสองฝั่ง (ยิ่งรั่ว ยิ่งไหล)

ในกรอบนี้ เชียงรายต้อง รักษาสมดุลยาก ระหว่าง เอื้อต่อการค้าถูกกฎหมาย (เพื่อพยุงเศรษฐกิจท้องถิ่น) กับ ปิดช่องโหว่ ที่เปิดโอกาสให้สินค้าผิดกฎหมายเล็ดลอด สาระสำคัญไม่ใช่ “ปิด–เปิด” แต่คือ เปิดอย่างมีระบบ–ปิดอย่างมีข้อมูล” ผ่านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ระหว่างศุลกากร–ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง–กองกำลังผสมชายแดน–ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

เสียงจากปลายน้ำ เมื่อตลาดเปลี่ยน ผู้ประกอบการไทยต้องเปลี่ยนแผน

สำหรับผู้ประกอบการไทย 3–6 เดือน ข้างหน้าควรถือเป็นช่วง “บริหารความเสี่ยง” มากกว่าขยายการลงทุน โดยมีแนวทางเบื้องต้นดังนี้

  • กระจายตลาด: หากพึ่งพาลูกค้าฝั่งท่าขี้เหล็กสูง ให้ กระจายสัดส่วน ไปสู่ตลาดในประเทศ–จังหวัดข้างเคียง พร้อมสำรวจ ช่องทางดิจิทัล สำหรับสินค้าที่ไม่ติดข้อกำหนดผ่านแดน
  • บริหารสต็อกแบบ Lean: สินค้าที่มีโอกาสติดขัดการคืนภาษี/กระบวนการผ่านแดน ควรลดสต็อกค้าง และหันมาใช้ สัญญาซื้อ–ขายแบบสั้น ลดความเสี่ยงจากการคาดการณ์ผิด
  • ติดตามกฎระเบียบรายสัปดาห์: มาตรการฝั่งเมียนมามีโอกาส เปลี่ยนกะทันหัน ผู้ประกอบการควรตั้ง “จุดเฝ้าฟัง” ข่าวจากหน่วยงานไทย–เมียนมา/สื่อท้องถิ่น เพื่อปรับแผนการส่งมอบแบบทันทีทันใด

ความเป็นไปได้ข้างหน้า 3 ฉากทัศน์ และผลต่อเชียงราย

  1. คลายบางส่วนแบบมีรายการยกเว้น
    ฝั่งท่าขี้เหล็กอนุญาตสินค้าจำเป็นเพิ่ม (เช่น เวชภัณฑ์ อะไหล่สื่อสารที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐาน) ภายใต้ โควตา/คิว การค้าอย่างเป็นทางการฟื้นบางส่วน ความเสี่ยงค้าเถื่อนลดลงบ้าง เชียงรายได้ สภาพคล่องการค้า กลับส่วนหนึ่ง
  2. ล็อกเข้มยืดเยื้อ
    การขาดแคลนในรัฐฉาน–เมืองหลักลึกขึ้น ราคาพุ่ง ตลาดมืดโตเร็ว แรงกดดันต่อแนวชายแดนไทยสูงที่สุด หน่วยงานไทยต้อง ทุ่มกำลังตรวจ–สกัด มากขึ้น ผู้ประกอบการไทยหดตัวทางรายได้ช่วงสั้น–กลาง
  3. เปิด–ปิดสลับ (stop–go)
    ฝั่งเมียนมาปรับมาตรการรายช่วง ทำให้ผู้ประกอบการ วางแผนไม่ได้ เกิดต้นทุนแฝงจากความไม่แน่นอน เชียงรายต้องพึ่ง ระบบแจ้งเตือน–ศูนย์ข้อมูลชายแดน เพื่อลดความเสียหายจากการ “เลี้ยวโค้งกะทันหัน” ของกฎระเบียบ

ในทั้งสามฉากทัศน์ บทบาทเชิงรุกของ จังหวัดเชียงราย และด่านชายแดน แม่สาย ในการเป็น “ศูนย์เชื่อมประสานข้อมูล–นโยบาย” กับหน่วยงานส่วนกลาง จะเป็นตัวแปรว่าพื้นที่สามารถ ลดผลกระทบ และ รักษาความเชื่อมั่นทางการค้า ได้มากเพียงใด

ประเด็นมนุษยธรรม “ยาจำเป็น” ต้องไม่ติดคอข้ามสะพาน

แม้มาตรการจำกัดสินค้าจะมุ่งประเด็นเศรษฐกิจ–ความมั่นคง แต่เสียงสะท้อนจากร้านยาที่ ตองยี ชี้ให้เห็นชัดว่า มิติ มนุษยธรรม ต้องถูกจัดวางข้างหน้า หาก “ยาเร่งด่วน/เวชภัณฑ์จำเป็น” ไม่สามารถผ่านแดนได้ทันเวลา ผลกระทบต่อ ผู้ป่วยเรื้อรัง–ผู้สูงอายุ–เด็ก จะชัดเจนรวดเร็ว

นี่คือเหตุผลที่ฝ่ายไทยควรเสนอ กลไก “ทางด่วนมนุษยธรรม” (Humanitarian Fast-Track) สำหรับรายการเวชภัณฑ์จำเป็น โดยกำหนด รายการ–เอกสาร–โควตา–จุดรับมอบ ที่ตรวจสอบได้ ลดแรงจูงใจให้ ยาเถื่อน–ยาปลอม แทรกซึมเข้ามาในตลาด

สะพานที่แคบลงกำลังทดสอบ “ภูมิคุ้มกัน” เศรษฐกิจชายแดนไทย

การจำกัดการขนส่งสินค้าข้าม สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก คือสัญญาณเตือนชัดเจนว่า ความปั่นป่วนทางการเมือง–เศรษฐกิจในเมียนมากำลัง สาดซัด มาถึงเสาหลักการค้าชายแดนของไทย หากมองเพียงมิติ “ปิด–เปิด” สะพาน เราอาจเห็นแค่ การหยุดชะงัก แต่หากมองให้ครบทั้ง “เส้นเลือดเศรษฐกิจ–ความมั่นคง–ผู้บริโภค–มนุษยธรรม” จะเห็นว่า เชียงรายมีทางเลือก ในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็น “บทเรียนยกระดับระบบชายแดน” ได้

กุญแจอยู่ที่ ข้อมูล–ความเร็ว–ความร่วมมือ

  • ข้อมูล: ด่าน–จังหวัด–ผู้ประกอบการต้องแชร์สัญญาณตลาดแบบใกล้จริง
  • ความเร็ว: มาตรการชั่วคราวด้านภาษี–สินเชื่อ–คิวเวชภัณฑ์ต้อง “ทันเวลา”
  • ความร่วมมือ: ประสานงานข้ามพรมแดนในระดับพื้นที่ เพื่อ เว้นช่องมนุษยธรรม แต่ปิดประตู สินค้าอันตราย–ผิดกฎหมาย

สะพานที่แคบลงวันนี้ อาจกว้างกลับไม่ช้า—ถ้าเรารู้ เลือกเปิด ในสิ่งที่สังคมต้องการ และ กล้าปิด ในสิ่งที่ทำร้ายความมั่นคงร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The People’s Voice (Myanmar) — รายงานวันที่ 25–26 สิงหาคม 2568
  • ด่านศุลกากรแม่สาย / กรมศุลกากร
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / กอ.รมน.ภาค 3 / ตม.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายเนื้อหอม ธุรกิจใหม่พุ่ง อันดับ 2 ภาคเหนือ

เชียงรายยังเติบโต ธุรกิจตั้งใหม่ไตรมาสแรกทะลุ 200 ราย สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่

ประเทศไทย, 5 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ประจำไตรมาส 1/2568 (เดือนมกราคม – มีนาคม) โดยพบว่า จังหวัดเชียงรายมีจำนวนการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่รวม 241 ราย อยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีจำนวนสูงสุดที่ 991 ราย และมากกว่าพิษณุโลกซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 ด้วยจำนวน 135 ราย

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการเป็นประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)

เชียงรายกับโอกาสทางธุรกิจที่กำลังขยายตัว

การเพิ่มขึ้นของจำนวนธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท้องถิ่น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในพื้นที่ ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านท่องเที่ยว การค้าชายแดน การขนส่ง และธุรกิจภัตตาคารร้านอาหารที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทางด่านพรมแดนแม่สาย

การมีสนามบินนานาชาติเชียงรายที่รองรับเที่ยวบินตรงจากจีนและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เช่น ถนนวงแหวนรอบเมือง ด่านโลจิสติกส์แม่สาย และศูนย์กลางกระจายสินค้า ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในจังหวัดโดยตรง

ภาคเหนือยังคงมีพลวัตทางเศรษฐกิจ

นอกจากเชียงรายแล้ว จังหวัดในภาคเหนือที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน โดยตัวเลขการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในเชียงใหม่สูงถึง 991 ราย ขณะที่ลำปางและลำพูนมีจำนวน 111 และ 98 ราย ตามลำดับ ทั้งนี้ การกระจุกตัวของธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 2,267 ราย คิดเป็นประมาณ 9.5% ของทั้งประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีจำนวนสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (991 ราย), เชียงราย (241 ราย) และพิษณุโลก (135 ราย)

จำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ ไตรมาส 1/2568 ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ดังนี้

  1. เชียงใหม่: 991 ราย
  2. เชียงราย: 241 ราย
  3. พิษณุโลก: 135 ราย
  4. นครสวรรค์: 129 ราย
  5. ลำปาง: 111 ราย
  6. ลำพูน: 98 ราย
  7. เพชรบูรณ์: 83 ราย
  8. ตาก: 82 ราย
  9. กำแพงเพชร: 70 ราย
  10. น่าน: 52 ราย
  11. อุตรดิตถ์: 51 ราย
  12. พะเยา: 50 ราย
  13. สุโขทัย: 47 ราย
  14. พิจิตร: 41 ราย
  15. แพร่: 39 ราย
  16. แม่ฮ่องสอน: 19 ราย
  17. อุทัยธานี: 17 ราย

ประเทศไทยยังน่าจับตามองในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ในระดับประเทศ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่รวมทั้งสิ้น 23,823 ราย แม้จะลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อย (ประมาณ -4.72%) แต่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 79,920 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงมีต่อระบบเศรษฐกิจไทย

ที่น่าสนใจคือในไตรมาสเดียวกันนี้ มีการขออนุญาตจากนักลงทุนต่างชาติในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวนถึง 272 ราย เพิ่มขึ้นถึง 53% จากปีก่อนหน้า โดยมีเงินลงทุนรวมกว่า 47,033 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจาก 5 ประเทศที่ลงทุนสูงสุด ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, จีน, สิงคโปร์ และฮ่องกง ธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเหล่านี้ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล พลังงานทางเลือก โลจิสติกส์ และการผลิตเพื่อส่งออก

ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ หนุนเศรษฐกิจภาคเหนือ

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านทางอากาศในประเทศไทยถึง 141 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16% ขณะที่เที่ยวบินมีจำนวนรวม 886,438 เที่ยว และมีการขนส่งสินค้าทางอากาศมากกว่า 1.5 ล้านตัน

ในระดับประเทศ มีนิติบุคคลด้านธุรกิจขนส่งทางอากาศจำนวน 141 ราย โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็กถึง 81.56% มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 53,499 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจนี้สามารถทำกำไรในปี 2566 ถึง 73,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 185%

สำหรับจังหวัดเชียงราย การเติบโตของธุรกิจขนส่งทางอากาศกำลังเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีการเสนอให้พัฒนาอาคารคลังสินค้า และศูนย์กลางการบินภูมิภาคเพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สายและพื้นที่รอยต่อสามเหลี่ยมทองคำ

ความท้าทายและโอกาสในระยะยาว

แม้ว่าแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การคงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนจากภาครัฐ การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น และการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ

สถิติ

  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในเชียงรายไตรมาส 1/2568: 241 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในภาคเหนือรวม: 2,267 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจใหม่ทั้งประเทศไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนผู้โดยสารทางอากาศปี 2567: 141 ล้านคน (สำนักงานการบินพลเรือน)
  • จำนวนเที่ยวบิน: 886,438 เที่ยวบิน (CAAT)
  • มูลค่าการลงทุนจากต่างชาติในไทยไตรมาส 1/2568: 47,033 ล้านบาท จาก 272 ราย (BOI)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ไทย-ลาว จับมือแน่น ปราบแก๊งคอลฯ-ยาเสพติด

ไทย-ลาวกระชับความร่วมมือ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ยาเสพติด พร้อมขยายการค้าสู่ 11,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2027

เชียงราย, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – นายกรัฐมนตรีไทยและลาวเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในโอกาสเฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมตั้งเป้าขยายการค้าทวิภาคีแตะ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

ผู้นำไทย-ลาวหารือ ย้ำกระชับความสัมพันธ์ในทุกมิติ

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.15 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ให้การต้อนรับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

ภายหลังตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นายกรัฐมนตรีทั้งสองเดินเข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อหารือเบื้องต้นและลงนามในสมุดเยี่ยม ก่อนเข้าหารืออย่างเป็นทางการ ณ ตึกภักดีบดินทร์ โดยมีคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศเข้าร่วม

ความมั่นคงชายแดน: จับมือสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

หนึ่งในประเด็นหลักของการหารือคือความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์

ปราบปรามยาเสพติดร่วมกัน

ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องเร่งปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดบริเวณชายแดน โดยไทยเสนอแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การขยายผลการสืบสวน และการสนับสนุนโครงการชุมชนปลอดยาเสพติดผ่านการปลูกพืชทดแทน

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ไทยและลาวต่างให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ โดยไทยเสนอให้ลาวแต่งตั้งหน่วยงานหลักเพื่อทำงานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรีไทยชื่นชมปฏิบัติการของทางการลาวในการกวาดล้างขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ในแขวงบ่อแก้วเมื่อปีที่ผ่านมา และเสนอแนวทางการป้องกันการใช้ทรัพยากรของทั้งสองประเทศในทางที่ผิด

ปัญหาหมอกควันข้ามแดน: เร่งขยายความร่วมมือแก้ไขไฟป่า

ผู้นำไทย-ลาวเห็นพ้องว่าปัญหาหมอกควันข้ามแดนต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยนายกรัฐมนตรีลาวชื่นชมไทยที่สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจสอบจุดความร้อน ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อนและระดับหมอกควันในพื้นที่ลดลง

ไทยเสนอให้มีการตั้งห้องปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันร่วมกัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีจาก GISTDA ของไทยในการตรวจวัดคุณภาพอากาศและแจ้งเตือนล่วงหน้า

เป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

ขยายโอกาสทางการค้าและโลจิสติกส์

ไทยและลาวตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 8,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบันเป็น 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 โดยเน้นย้ำการพัฒนาเส้นทางคมนาคมและลดอุปสรรคทางการค้า

นายกรัฐมนตรีไทยขอบคุณลาวที่ช่วยแก้ปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีลาวย้ำความร่วมมือในการลดปัญหาการเผาในภาคเกษตรที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม

โลจิสติกส์: เชื่อมไทย-ลาว-จีน เสริมเศรษฐกิจภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีลาวยินดีกับความคืบหน้าการก่อสร้าง สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งจะมีการเชื่อมกึ่งกลางสะพานเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะเปิดใช้งานปลายปีนี้

ไทยยังเสนอแนวทางพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีน โดยสนับสนุนการสร้างสะพานรถไฟแห่งใหม่ที่ หนองคาย-เวียงจันทน์ เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น

ความร่วมมือด้านประชาชนและการศึกษา

ไทยและลาวร่วมเปิดตัวตราสัญลักษณ์เฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต และประกาศโครงการมอบ ทุนการศึกษา 75 ทุน ให้กับนักศึกษา สปป.ลาว เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ไทยยินดีที่ลาวประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่ง ประธานอาเซียน เมื่อปีที่แล้ว และเชิญนายกรัฐมนตรีลาวเข้าร่วม ประชุมสุดยอดความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพปลายปีนี้

สรุป: ไทย-ลาวเดินหน้าความร่วมมือระยะยาว

การหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ไทย-ลาว ทั้งในด้านความมั่นคง การค้า สิ่งแวดล้อม และการศึกษา เพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด และร่วมกันก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายคุมเข้ม ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบข้ามแดน

เชียงรายเข้มงวด! ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบขนส่งข้ามแดน ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย พร้อมแนวทางซื้อน้ำมันอย่างถูกต้อง

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  –เชียงรายประกาศเตือน ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ฝ่าฝืนดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ตรวจสอบและแจ้งเตือน สถานีบริการน้ำมันทุกแห่ง ห้ามกรอกน้ำมันลงภาชนะ เช่น ถังน้ำมัน กระป๋องน้ำมัน หรือแกลลอน โดยเด็ดขาด ตามมาตรการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายปราบปรามเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงจากชายแดนไทยไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในเมียนมา

มาตรการเข้มงวด: ห้ามจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะ

จากการพิจารณาของ จังหวัดเชียงราย พบว่า การจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะอื่นนอกเหนือจากการเติมในยานพาหนะ ไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องให้บริการแก่ยานพาหนะเท่านั้น

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมา เพื่อตัดวงจรการลักลอบใช้น้ำมันในกิจกรรมผิดกฎหมาย จึงมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน หากฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

หากต้องการซื้อน้ำมันในภาชนะ ต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันเพื่อใช้งานในภาชนะสามารถซื้อได้จากแหล่งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 1 (สำหรับปริมาณน้อย)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ไม่เกิน 40 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ไม่เกิน 227 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ไม่เกิน 454 ลิตร

สามารถซื้อจากร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านค้าที่มีการกรอกน้ำมันใส่ขวดหรือแกลลอนขายภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 2 (สำหรับปริมาณมาก ต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ตั้งแต่ 40 – 454 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ตั้งแต่ 227 – 1,000 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ตั้งแต่ 454 – 15,000 ลิตร

หากต้องการใช้ในปริมาณมาก ผู้ประกอบการต้อง ขอใบอนุญาตเก็บรักษาน้ำมัน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรการนี้ช่วยป้องกันอะไร?

  • ป้องกัน การลักลอบนำน้ำมันข้ามพรมแดน ไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • ควบคุม การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

จังหวัดเชียงราย ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการทุกฝ่าย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบเห็นการฝ่าฝืน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยพุ่ง 4% ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

การค้าชายแดนและผ่านแดนเดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัว 4% ไทยดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในเดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่ามีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 150,203 ล้านบาท ขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออก 85,676 ล้านบาท (+15.3%) และการนำเข้า 64,527 ล้านบาท (-8.0%) ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน 11 เดือนแรกปี 2567

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 1,665,295 ล้านบาท (+6.0%) แบ่งเป็นการส่งออก 957,945 ล้านบาท (+6.5%) และการนำเข้า 707,350 ล้านบาท (+5.4%) ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 250,596 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ

ในเดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวม 82,439 ล้านบาท (+4.6%) โดยไทยได้ดุลการค้า 20,974 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้:

  • มาเลเซีย: มูลค่า 25,395 ล้านบาท (+2.8%)
  • ลาว: มูลค่า 23,865 ล้านบาท (+1.3%)
  • เมียนมา: มูลค่า 18,286 ล้านบาท (+1.9%)
  • กัมพูชา: มูลค่า 14,893 ล้านบาท (+18.1%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล (3,479 ล้านบาท) น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ (1,597 ล้านบาท) และน้ำยางข้น (1,320 ล้านบาท)

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม

เดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 67,764 ล้านบาท (+3.2%) โดยไทยได้ดุลการค้า 174 ล้านบาท รายละเอียดการส่งออกสำคัญ:

  • จีน: มูลค่าสูงสุด 37,264 ล้านบาท (+9.0%)
  • สิงคโปร์: มูลค่า 8,859 ล้านบาท (+2.7%)
  • เวียดนาม: มูลค่า 5,867 ล้านบาท (+19.3%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (7,497 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (3,006 ล้านบาท) และยางแท่ง TSNR (2,344 ล้านบาท)

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมา

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมาในเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 11,402 ล้านบาท (+6.5%) แม้ว่าการขนส่งในพื้นที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก จะหยุดชะงักเนื่องจากสถานการณ์การสู้รบ แต่มีการเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ด่านอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น:

  • ด่านระนอง: มูลค่าการส่งออก 2,257 ล้านบาท (+131.0%)
  • ด่านแม่สาย: มูลค่าการส่งออก 1,496 ล้านบาท (+13.0%)
  • ด่านสังขละบุรี: มูลค่าการส่งออก 708 ล้านบาท (+714.5%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม และกระเบื้องปูพื้น

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนปี 2568

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่าในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศมีแผนเชิงรุกเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระตุ้นการค้าชายแดน โดยจะจัดกิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน เริ่มจากงาน “พาณิชย์นำทัพสินค้าชุมชน” ที่จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2568 และกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายของแผนพัฒนา

  • กระจายการลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจไปยังแนวชายแดน
  • เพิ่มโอกาสการค้าสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยมีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค และผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยขยายตัวต่อเนื่อง 1.4 แสนล้าน ตอบโจทย์ส่งออก

การค้าชายแดนและผ่านแดนขยายตัวต่อเนื่อง ยางพาราไทยทำยอดส่งออกสูง แม้อุปสรรคจากอุทกภัย

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยข้อมูลการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยในเดือนกันยายน 2567 พบว่ามีมูลค่ารวม 148,535 ล้านบาท ขยายตัว 1.7% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยมีการส่งออกมูลค่า 85,540 ล้านบาท หดตัว 2.3% และนำเข้า 62,995 ล้านบาท ขยายตัว 7.7% ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้า 22,545 ล้านบาท นับเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางที่ยังเติบโตได้ดี

สรุปการค้า 9 เดือนแรกของปี 2567


ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้ารวมของการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนทั้งสิ้น 1,373,906 ล้านบาท ขยายตัว 6.5% โดยมีการส่งออกมูลค่า 794,999 ล้านบาท ขยายตัว 5.2% และการนำเข้ามูลค่า 578,907 ล้านบาท ขยายตัว 8.3% ไทยได้ดุลการค้ารวม 216,091 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้าน


สำหรับการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา เดือนกันยายน 2567 มีมูลค่ารวม 77,144 ล้านบาท ขยายตัว 1.9% โดยมีการส่งออก 46,555 ล้านบาท หดตัว 3.3% และการนำเข้า 30,589 ล้านบาท ขยายตัว 10.9% ซึ่งไทยได้ดุลการค้า 15,965 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,296 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 1,469 ล้านบาท และแผงวงจรไฟฟ้า 1,317 ล้านบาท

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม


มูลค่าการค้าผ่านแดนในเดือนกันยายน 2567 รวม 71,391 ล้านบาท ขยายตัว 1.6% โดยการส่งออก 38,985 ล้านบาท หดตัว 1% และการนำเข้า 32,405 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% การค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 39,215 ล้านบาท หดตัว 5.5% รองลงมาคือ สิงคโปร์ 9,192 ล้านบาท ขยายตัว 0.6% และเวียดนาม 5,851 ล้านบาท หดตัว 6.2% สินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ 10,551 ล้านบาท ทุเรียนสด 7,387 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 3,529 ล้านบาท

ผลกระทบจากอุทกภัยในลาว


ทั้งนี้ นายนพดลระบุว่าสถานการณ์อุทกภัยใน สปป.ลาว จาก “พายุไต้ฝุ่นยางิ” ทำให้ถนนทางไปด่านโมฮานชายแดนลาว-จีนถูกตัดขาด ส่งผลให้การส่งออกชายแดนไปลาวและจีนลดลง โดยเฉพาะสินค้าผลไม้สดอย่างมังคุดและทุเรียน ผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น เช่น รถไฟ เรือ หรือด่านโหย่วอี้กวนทางด้านจังหวัดนครพนมแทน เพื่อให้สินค้าถึงจุดหมายปลายทางตามเวลา

การส่งเสริมและสนับสนุนการค้าชายแดน


กรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าสนับสนุนและอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมผลักดันให้การค้าชายแดนและผ่านแดนเติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ สั่งติดตามการค้าชายแดน 6 เดือน ส่งออก 534,316 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศด้วยความเป็นมิตร ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในทุกระดับ เพื่อเพิ่มตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดน-ผ่านแดน โดยให้ติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าเป็นตลาดที่สำคัญของการส่งออกสินค้าของไทย เพื่อต่อยอดเพิ่มพูนประโยชน์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้าและความสัมพันธ์ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ และเพิ่มมูลค่าการค้าให้เศรษฐกิจไทย

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดน-ผ่านแดน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณบวก ขยายตัวที่ 3.6% จึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนในงานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน สร้างพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย

นายชัยกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินนโยบายตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนอย่างใกล้ชิด จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ที่มีสัญญาณที่ดี อยู่ในแดนบวก มีมูลค่าการค้ารวม 912,283 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 534,316 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการนำเข้าของไทยอยู่ที่ 377,968 ล้านบาท โดยที่ไทยได้ดุลการค้า 156,348 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 493,470 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าสูงสุดตามลำดับ ได้แก่ ลาว มีมูลค่าสูงสุด 150,697 ล้านบาท มาเลเซีย 149,361 ล้านบาท เมียนมา 106,630 ล้านบาท และกัมพูชา 86,783 ล้านบาท ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 305,452 ล้านบาท ในส่วนของการนำเข้าอยู่ที่ 188,019 ล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้ารวม 117,433 ล้านบาท จากสินค้าส่งออกชายแดนที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 23,109 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 10,432 ล้านบาท และน้ำยางข้น 8,221 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม ช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 418,813 ล้านบาท โดยการค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 244,175 ล้านบาท สิงคโปร์ 53,137 ล้านบาท และเวียดนาม 36,269 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 228,864 ล้านบาท และการนำเข้า 189,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% โดยสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ทุเรียนสด 67,601 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 40,957 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 19,500 ล้านบาท

นายชัยกล่าวว่า มูลค่าทางการค้าเพิ่มมากขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรม ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 ระหว่างวันที่ 15-18 ส.ค.ที่ จ.สงขลา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เข้าร่วม โดยจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน เจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ และสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News