Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ไทยอันดับ 1 อาหารโลก! จี้รัฐบาลต่อยอด GI-Thai SELECT พร้อมผนึกชายแดนสู้โจทย์ความปลอดภัย

อาหารไทยยืนหนึ่งโลกและแบบเรียนจากชายแดนเหนือสุด “แม่สายโมเดล” ขยายพลัง Soft Power สู่ความมั่นคงอาหารและเศรษฐกิจฐานรากภายใต้นโยบาย “Quick Big Win”

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ข่าวดีที่สะท้อนพลังอ่อน (Soft Power) ของไทยดังก้องอีกครั้ง เมื่อ Condé Nast Traveler นิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำจากสหรัฐฯ ประกาศผล Readers’ Choice Awards 2025 ยกให้ประเทศไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025” ด้วยคะแนน 98.33/100 เหนืออิตาลีและญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน กรุงเทพฯ ยังมีร้านอาหาร ติดอันดับท็อป 35 ของโลกถึง 7 แห่ง ย้ำชัดว่า “ครัวไทย” ไม่ได้แค่ครองใจนักชิม แต่กำลังก้าวสู่ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งชาติ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร

บทพิสูจน์เชิงสัญลักษณ์ของ Soft Power ครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับการเร่งเครื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย กระทรวงพาณิชย์ ขับเคลื่อนแนวคิด “Quick Big Win” พุ่งเป้าสร้างผลลัพธ์เร็วที่ต่อยอดได้ยาว ผ่านการยกระดับคุณค่าของวัตถุดิบไทย (GI) การผลักดันตรารับรอง Thai SELECT และการขยายเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ในพื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดต้นแบบ “ระบบอาหารปลอดภัยทั้งห่วงโซ่” ที่ผสานงานท้องถิ่น–สาธารณสุข–ด่านชายแดน เป็น “ด่านหน้า” คัดกรองความเสี่ยงก่อนอาหารและวัตถุดิบจะเดินทางสู่โต๊ะอาหารคนทั้งประเทศ

ทั้งหมดนี้คือ “สองลมหายใจ” ของเรื่องเดียวกัน อาหารไทยที่อร่อยและปลอดภัย ซึ่งต้องเดินคู่กันเพื่อเปลี่ยนเสียงชื่นชมบนเวทีโลกให้กลายเป็น รายได้ยั่งยืน และ สุขภาวะของประชาชน อย่างแท้จริง

จากคำชมบนเวทีมาสู่แรงขับทางเศรษฐกิจ “ครัวไทย” ที่เป็นมากกว่ารสชาติ

ผลโหวตของผู้อ่าน Condé Nast Traveler ทำให้ไทยครองแชมป์ The Best Countries for Food in the World: 2025 ด้วยคะแนน 98.33 จุดเด่นไม่ใช่เพียง “รสชาติ” แต่คือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร, ตลาดกลางคืนที่คึกคัก, และ การเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นที่จริงแท้ ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวริมทาง แกง–ซุปรสจัด ไปจนถึงร้านอาหารร่วมสมัยที่ใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นยกระดับ (local ingredients to fine plates) จน ร้านอาหารในกรุงเทพฯ 7 แห่งติดอันดับโลก ส่องสะท้อน “ระบบนิเวศอาหาร” ที่มีชีวิตชีวาทั้งฝั่งสตรีทฟู้ดและภัตตาคาร

แต่คำถามสำคัญในมุมเศรษฐกิจคือ จะต่อยอดจาก “คำชม” ให้เป็น “รายได้กระจายตัว” ได้อย่างไร? คำตอบหนึ่งอยู่ในนโยบายเชิงรุกของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่เร่ง “เชื่อมรสชาติสู่มูลค่า” ผ่านตรารับรองและการสร้างเรื่องเล่าบนฐานวัตถุดิบไทย พร้อมกันนั้น ระบบ “ความปลอดภัยของอาหาร” ต้องเข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ลดทอนความเชื่อมั่น

ภาพใหญ่ที่ชายแดน “แม่สายโมเดล” ด่านหน้าความมั่นคงอาหารของประเทศ

แม่สาย เมืองหน้าด่านเหนือสุดของไทย คือ ประตูการค้า สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการนำเข้า–ส่งออกสินค้าอาหารอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “มาตรฐานทางเทคนิค” แต่หมายถึง เกราะป้องกันสุขภาวะ ของผู้คนทั่วประเทศ การปล่อยให้เกิด “จุดรั่ว” เพียงจุดเดียว อาจสร้างความเสียหายลุกลามทางเศรษฐกิจ–สังคมได้

ภายใต้ โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” เทศบาลตำบลแม่สายร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้แนวทาง แซน” (San) และ “แซนพลัส” (San Plus) วางมาตรการดูแลสุขาภิบาลอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่แหล่งผลิต (ต้นน้ำ) การขนส่ง–จำหน่าย (กลางน้ำ) จนถึงผู้บริโภค (ปลายน้ำ)

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย อธิบายหัวใจของงานว่า แม่สายต้อง “ทำถูกตั้งแต่ด่านแรก” เพราะเป็นพื้นที่ เปราะบางและพลุกพล่าน จึงดำเนินการ สุ่มตรวจอาหารต่อเนื่อง, อบรมผู้ประกอบการ–พ่อค้าแม่ค้า–เกษตรกร, และ สนับสนุนแหล่งผลิตมาตรฐาน เพื่อให้ระบบอาหารในชุมชนและสินค้าที่ผ่านชายแดน “ปลอดภัยจริง” ไม่ใช่เพียงบนกระดาษ

ผลลัพธ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่แค่ “ผ่าน–ไม่ผ่าน” ตามเช็กลิสต์ แต่คือการ สร้างวินัยตลาด ให้เกิดขึ้นกับผู้ค้า–ผู้ผลิต–ผู้บริโภค โดยอาศัย การสื่อสารและการร่วมมือ มากกว่าการลงโทษล้วน ๆ โมเดลนี้จึงเริ่ม “ยกระดับความไว้เนื้อเชื่อใจ” ซึ่งเป็นทุนสังคมสำคัญสำหรับเมืองชายแดน และเป็น ส่วนต่อขยายความเชื่อมั่นของอาหารไทย ในสายตานักท่องเที่ยวและคู่ค้าต่างชาติ

Soft Power ที่แปลงเป็น “ทุนแข็ง” นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์

ขณะชายแดนเสริมเกราะความปลอดภัย กระทรวงพาณิชย์ก็เร่งต่อยอดคุณค่าทางอาหารในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ในงาน Thailand Taste & Treasures ภายใต้แนวคิด “Discovering Authentic Flavors and Crafted Excellence” นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่า นโยบายของกระทรวงสอดคล้องวิถีรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ  กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว”  โดยใช้ “อาหารไทย” เป็นเครื่องมือ สร้างรายได้ เร็ว–ชัด–ยั่งยืน

เครื่องมือเชิงนโยบายที่ชี้เป้าได้ทันที ได้แก่

  • วัตถุดิบ GI (Geographical Indications) ยกระดับคุณค่าทางพื้นที่ให้กลายเป็น “ทุนทางแบรนด์” และราคาที่ดีขึ้นสำหรับเกษตรกร
  • มาตรฐาน Thai SELECT รับรองคุณภาพรสชาติและความเป็นไทย กระตุ้นให้ร้านอาหารไทยทั้งใน–นอกประเทศก้าวสู่มาตรฐานเดียวกัน
  • การตลาดสร้างสรรค์ ดึงเชฟรุ่นใหม่มีอิทธิพลบนโซเชียล อย่าง เชฟอิน กำลังอิน มาสร้างเมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ตัวอย่างเช่น เห่าดงไก่” จากพริกไทยตรัง, ของหวาน ทีรามิสุเมืองระนอง” ใช้กาแฟระนองและมะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว ตอกย้ำ “ไอเดีย = มูลค่าเพิ่ม” ให้กับวัตถุดิบไทย

เหนือสิ่งอื่นใด กระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อน 7 แนวทาง Quick Big Win ครอบคลุมตั้งแต่ความร่วมมือด้านภาษีกับสหรัฐฯ, การดูแลค้าชายแดน, การเร่งเจรจา FTA และเปิดตลาดใหม่, การลดค่าครองชีพประชาชน (เช่น มหกรรมลดราคาเทศกาลกินเจช่วยประหยัดกว่า 750 ล้านบาท), การดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร, การเสริมแกร่ง SMEs, และการปรับกฎ–ประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  ทั้งหมดยิงตรงเป้าที่ “ผลลัพธ์เร็ว” แต่ไม่ฉาบฉวย เพราะถูกออกแบบให้ต่อยอดโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวได้

จากครัวไทยสู่ครัวโลก เมื่อ “รสชาติ” ต้องจับมือ “ความปลอดภัย”

ซีนแรก แสงนีออนบนถนนเยาวราช สตรีทฟู้ดคึกคัก นักท่องเที่ยวต่อคิวก๋วยเตี๋ยวเรือ–ผัดไทย รอยยิ้ม แสงแฟลช และคำชมกระหึ่มโซเชียล
ซีนต่อมา ด่านแม่สาย เจ้าหน้าที่ตรวจอุณหภูมิ–สภาพบรรจุ–เอกสารรับรองรถขนส่งเลี้ยวเข้าสถานตรวจ เจ้าหน้าที่สุ่มตัวอย่าง ทดสอบ–บันทึกผล รถผ่านด่านในเวลาที่ควบคุม
ซีนสุดท้าย เวทีสร้างสรรค์เชฟหนุ่มหยิบพริกไทยตรัง GI ใส่ลงในหม้อ ไอน้ำยกตัวขึ้นพร้อมกลิ่นหอมฉุน เมนู “เห่าดงไก่” จานร่วมสมัยเกิดขึ้นต่อหน้าแขก–สื่อมวลชน บทสนทนาไม่ได้มีแค่ “อร่อย” แต่ต่อยอดไปถึง “พื้นที่–ผู้ผลิต–มาตรฐาน–การรับรอง–ราคายุติธรรม” นี่คือภาพที่ รสชาติ, ความปลอดภัย, และต้นทางที่เป็นธรรม มาบรรจบในจานเดียว

เหตุแห่งความยั่งยืนของ Soft Power ไม่ใช่การติดอันดับแล้วจบ แต่คือ การรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ, การคุ้มครองผู้บริโภค, และ การจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรมให้กับต้นน้ำ เพื่อให้ “คำชม” ในวันนี้ แปรเป็น “รายได้หมุนเวียน” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ตัวเลข–สถิติที่อ่านแล้วคิดต่อ

  • 98.33 คะแนน คือแต้มเฉลี่ยที่ไทยได้จากผู้อ่านทั่วโลกในหมวดประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก (2025)
  • ประเทศที่ตามมา—อิตาลี 96.92, ญี่ปุ่น 96.77, เวียดนาม 96.67, สเปน 95.91—สะท้อนการแข่งขันที่สูงมาก ไทยจึงต้องรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
  • 7 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ติดทำเนียบท็อป 35 ของโลก ชี้ว่าระดับบนของอุตสาหกรรมอาหารไทยก้าวทันและก้าวข้ามเวทีโลกแล้ว
  • ฝั่ง นโยบายดูแลค่าครองชีพ ที่พ่วงมากับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงอาหาร มหกรรมกินเจราคาประหยัด ช่วยลดค่าครองชีพรวม กว่า 750 ล้านบาท สะท้อนความพยายามบาลานซ์ “รายได้ผู้ประกอบการ–ภาระประชาชน”

10 อันดับประเทศที่มีอาหารที่ดีที่สุดในโลก

  •  อันดับ 1 ประเทศไทย  98.33 คะแนน
  •  อันดับ 2  อิตาลี 96.92 คะแนน
  • อันดับ 3  ญี่ปุ่น  96.77 คะแนน
  • อันดับ 4 เวียดนาม  96.67 คะแนน
  • อันดับ 5 สเปน 95.91 คะแนน
  • อันดับ 6 นิวซีแลนด์ 95.79 คะแนน
  • อันดับ 7 ศรีลังกา  95.56 คะแนน
  • อันดับ 8  กรีซ  95.42 คะแนน
  • อันดับ 9  แอฟริกาใต้  94.76 คะแนน
  • อันดับ 10  เปรู  94.55 คะแนน / มัลดีฟส์ 94.55 คะแนน

จากเชียงรายสู่เวทีโลก ทำไม “ชายแดน” จึงเป็นหัวใจของระบบอาหารปลอดภัย

“แม่สายโมเดล” สอนเราว่า ระบบอาหารปลอดภัย ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่เป็น งานทีม ที่ต้องวางผังตั้งแต่ ต้นทาง–ด่านผ่าน–ตลาด–ผู้บริโภค การตรวจสอบแบบ สุ่มตัวอย่างสม่ำเสมอ, การให้ความรู้ภาคธุรกิจ, และ การปลูกวินัยตลาด คือสามฟันเฟืองที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งในช่วงที่ Soft Power ของอาหารไทย “ขึ้นหม้อ” การค้าข้ามแดนจะยิ่งคึกคัก ด่านชายแดนคือด่านหน้าความน่าเชื่อถือ หากล้มเพียงจุดเดียว ความไว้วางใจทั้งระบบสั่นสะเทือนทันที ตรงกันข้าม หากชายแดนเข้มแข็ง เชื่อมมือกับผู้ผลิต GI และร้านอาหารที่ได้ Thai SELECT เราจะได้ “โซ่อุปทานที่เล่าเรื่องความปลอดภัยได้” ซึ่งเป็น ข้อได้เปรียบเชิงแข่งขัน ที่ประเทศคู่แข่งเลียนแบบยาก

เชื่อม Soft Power ให้เป็น “Hard Currency” อย่างไรให้ยั่งยืน

  1. แผนจังหวัด–ชายแดน–ประเทศต้อง sync กัน
    เมืองชายแดนอย่างแม่สายต้องมีทรัพยากรตรวจ–อบรม–สื่อสารครบมือ เชื่อมกับนโยบาย GI และ Thai SELECT ของกระทรวงพาณิชย์/หน่วยงานท่องเที่ยว เพื่อให้ เรื่องเล่าความปลอดภัย เดินคู่กับ เรื่องเล่าความอร่อย อย่างไร้รอยต่อ
  2. ยกระดับ “ข้อมูลและการตรวจสอบได้” (Traceability)
    สำหรับวัตถุดิบ GI และผู้ประกอบการที่ต้องการออกสู่ตลาดโลก การมีระบบติดตามย้อนกลับ (จากแหล่งผลิต–จานอาหาร) จะทำให้ มูลค่า–ราคา–ความเชื่อมั่น สูงขึ้นและคงอยู่ได้ยาว
  3. ผลักดันเชฟ–ครีเอเตอร์–แพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นกระบอกเสียงของพื้นที่
    เมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ที่ “เล่าเรื่องบ้านเกิด” จะทำให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าเกินกว่ารสชาติ และ ยอมจ่ายเพื่อสนับสนุนพื้นที่ มากขึ้น
  4. ดูแลคนตัวเล็กในห่วงโซ่
    หากเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยรู้สึกว่า “ระบบนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง” โครงสร้าง Soft Power จะยืนระยะ เพราะ แรงจูงใจ อยู่กับคนที่ถือ “ต้นทางของคุณภาพ”
  5. วัดผลให้ถูกจุด
    นอกจากยอดติดอันดับ/ยอดเช็กอิน ควรติดตาม รายได้เกษตรกร–SMEs, จำนวนผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเพิ่ม, เหตุร้องเรียนอาหารไม่ปลอดภัยลดลง, และ การเข้าถึงอาหารปลอดภัยของประชาชน เพื่อเห็นภาพยั่งยืนจริง

ชัยชนะของรสชาติจะสมบูรณ์ เมื่อความปลอดภัยและความเป็นธรรมเดินมาด้วยกัน

การที่ไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025 ด้วยคะแนน 98.33 ไม่ใช่เพียงเหรียญรางวัลให้ชาติ แต่คือ ภารกิจ ว่าต้องรักษามาตรฐานนี้ด้วย “ระบบ” ที่คุ้มครองผู้บริโภค–เกื้อกูลผู้ผลิต–เสริมพลังผู้ประกอบการ และเล่าความเป็นไทยออกไปอย่างสง่างาม

แม่สายโมเดล” แสดงให้เห็นว่า เมืองชายแดนไม่ใช่พื้นที่ชายขอบของนโยบาย หากคือ หัวใจของห่วงโซ่อาหารปลอดภัย และเป็น “ด่านหน้า” ที่ทำให้คำว่า ครัวไทยสู่ครัวโลก มีความหมายมากกว่าคำขวัญ มันคือ ระบบที่ทำงานทุกวัน เพื่อให้ทุกจานที่เสิร์ฟ อร่อย ปลอดภัย และยุติธรรม จริง ๆ

ในอีกฟากหนึ่ง นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์กำลังแปลง Soft Power ให้เป็น Hard Currency ผ่านตรารับรอง–วัตถุดิบ–การตลาดสร้างสรรค์ และมาตรการดูแลค่าครองชีพ หากสองฟากนี้เดินไปพร้อมกัน ชัยชนะบนเวทีโลก จะกลายเป็น รายได้ที่ไหลถึงมือประชาชน และ ความภูมิใจที่ยืนยาว ของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Condé Nast Traveler – Readers’ Choice Awards 2025
  • สำนักข่าว CNN (สรุปผล Readers’ Choice Awards 2025)
  • กระทรวงพาณิชย์ (Thailand Taste & Treasures / นโยบาย Quick Big Win)
  • ข้อมูล GI และมาตรฐาน Thai SELECT
  • เทศบาลตำบลแม่สาย / โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ จ.เชียงราย
  • หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่น จ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตลำไยภาคเหนือปี 68 ผลผลิตพุ่ง 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี

วิกฤตลำไยภาคเหนือส่อรุนแรง ผลผลิตพุ่งแตะ 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี กระทรวงพาณิชย์เดินหน้ามาตรการเร่งด่วน หวังประคองรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในปี 2568 ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับ “พายุผลผลิตลำไย” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งปริมาณที่ล้นตลาดและราคาที่ร่วงต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกว่า 210,000 ครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และพื้นที่ใกล้เคียงเผชิญภาวะวิกฤตหนัก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ราคาลำไยเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมปีนี้ตกลงมาอยู่ที่เพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 11 เดือน นำไปสู่การเร่งออกมาตรการฉุกเฉินของกระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วิกฤตผลผลิตล้นตลาด จาก “ปีทอง” สู่ “ปีหนักใจ” เกษตรกร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ถึงปัจจัยเบื้องหลังการดิ่งของราคาลำไยในปีนี้ พบว่า “สภาพอากาศเอื้ออำนวย” ตลอดช่วงต้นปีทำให้ต้นลำไยออกดอกและติดผลดีมากกว่าทุกปี ส่งผลให้ผลผลิตพุ่งสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังถึง 1.2 เท่า

นอกจากนี้ เกษตรกรยังเพิ่มการใช้สารกระตุ้นและบำรุงต้นจากแรงจูงใจของราคาที่ดีในปี 2566-67 ผลที่ตามมาคือ ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 17.2% (จาก 856 เป็น 1,012 กิโลกรัม/ไร่) กลายเป็น “ผลไม้ล้นสวน” ในทุกหมู่บ้าน

แต่ในด้านเศรษฐกิจ กลับพบว่ารายได้เกษตรกรลดลงเฉลี่ย 23.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะราคาขายตกต่ำสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งการส่งออกลำไยสดของไทยที่เคยเติบโตสูงถึง 20.5% กลับชะลอตัวเหลือเพียง 4.7% เท่านั้นในปีนี้

ภาครัฐอัดฉีดมาตรการ “อุ้มลำไย” ทั่วภาคเหนือ

ท่ามกลางสัญญาณเตือนจากตลาด กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้เร่งประชุมวอร์รูมและออกมาตรการเชิงรุกโดยทันที นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐได้จับมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดรับซื้อลำไยเพิ่มในพื้นที่วิกฤต เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย (โดยเฉพาะอำเภอสันป่าตอง จอมทอง ลี้ ป่าซาง พาน เทิง) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจุดรับซื้อให้ได้ 200 จุดใน 7 จังหวัดภาคเหนือ

มาตรการเด่นประกอบด้วย

  • เปิดจุดรับซื้อและร่อนลำไยเพื่อระบายผลผลิตด่วน
  • จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคลำไย และเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อรายใหญ่ (เช่น CSR กับบริษัทเอกชน โรงงานแปรรูป ฯลฯ)
  • สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ฟรี ส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์-ออฟไลน์
  • ประสานขายผ่านช่องทางใหม่ทั้งปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย และพันธมิตรค้าปลีก
  • วางเครือข่ายวอร์รูมเพื่อรายงานสถานการณ์และประสานการช่วยเหลือแบบเรียลไทม์

นายกรนิจเน้นย้ำว่า เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่ประสบปัญหาการระบายผลผลิต สามารถแจ้งได้โดยตรงที่กรมการค้าภายในหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

ความท้าทายและบทเรียน “เกษตรไทย” สู่อนาคต

แม้มาตรการฉุกเฉินของภาครัฐจะช่วยบรรเทาวิกฤตในระยะสั้น แต่ปัญหาพื้นฐานของลำไยไทยคือ “การพึ่งพาการขายผลสด” ที่ยังขาดการแปรรูป เพิ่มมูลค่า และขยายตลาดใหม่ในระยะยาว

  1. ความเสี่ยงจากฤดูการผลิตที่ซ้ำซ้อน – หากไม่มีการวางแผนร่วมกันระหว่างเกษตรกร โรงงาน ผู้ส่งออก ตลาดก็จะล้นปีเว้นปี วิกฤตราคาก็จะเกิดซ้ำ
  2. การขาดความหลากหลายของสินค้า – ตลาดหลักของลำไยสดคือจีน ซึ่งปีนี้อุปสงค์ชะลอตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายกีดกันสินค้าต่างชาติ
  3. ต้นทุนการขนส่งและปัญหาโลจิสติกส์ – เมื่อโรงอบเต็มหรือระบายผลผลิตไม่ทัน เกษตรกรต้องขายขาดทุนหรือทิ้งผลผลิตเสียเปล่า
  4. ขาดแรงจูงใจแปรรูปหรือปลูกพืชทางเลือก – การลงทุนแปรรูปลำไยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิต

เส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแนะว่า การขยายตลาดใหม่ เช่น การส่งออกลำไยอบแห้งไปยังอินเดีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา การสร้างแบรนด์ GI ลำไยไทย การผลักดันโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในชุมชน และการวางแผนปลูกพืชหมุนเวียนคือหนทางที่ควรเดินคู่กับมาตรการอุ้มราคาทุกปี

เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงรายเริ่มจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ให้เกษตรกรขายตรง ลดพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ต่อยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและตลาดสินค้าชุมชน ซึ่งเป็นแบบอย่างการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการแรงสนับสนุนต่อเนื่อง

บทเรียนจาก “ลำไยพีคซีซั่น” สะท้อนเส้นทางปรับตัวของเกษตรไทย

แม้ภาครัฐและทุกฝ่ายจะทุ่มมาตรการฉุกเฉินเต็มที่ในปี 2568 แต่การเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่ม และปรับกลยุทธ์เชิงระบบสำหรับเกษตรกรยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขเชิงลึก วิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำก็จะยังคงวนซ้ำไปอีกหลายปีข้างหน้า

การปรับตัวของเกษตรกรจากภายใน ด้วยการเน้นความยืดหยุ่นของการปลูกพืช ผลิตสินค้าแปรรูป และขยายตลาดใหม่ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เกษตรกรไทยยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสภาวะตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

SCB EIC เตือน! การนำเข้าทะยาน 53% ของ GDP ไทย เสี่ยงพึ่งจีนหนัก

ไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การนำเข้าพุ่งสูงสุดรอบ 12 ปี สะท้อนพึ่งพาจีนหนัก เสี่ยงเป็นแค่ “ประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก!

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เปิดม่าน “โจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย” เมื่อการนำเข้าทะยานสูงสุดรอบ 12 ปี ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ผลการศึกษาของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง เมื่อเผยแพร่ข้อมูลชี้ชัดว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยในปี 2567-2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 โดยสัดส่วนการนำเข้าสินค้าต่อจีดีพีของไทยพุ่งสูงถึง 53% ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังส่งผลให้ไทยเผชิญภาวะขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นปีที่ 3

สัญญาณนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่กำลังเปลี่ยนจาก “ประเทศผู้ผลิต” สู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” มากขึ้นทุกที

3 ปัจจัยหนุนการนำเข้าทะยาน – ผลักไทยสู่จุดเปลี่ยนใหญ่

การวิเคราะห์ของ SCB EIC ระบุชัดว่า แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นตลอด 4 ปีหลัง เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. การระบายสินค้าส่วนเกินจากจีน: จีนในฐานะประเทศผู้ผลิตอันดับต้นของโลก เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าส่วนเกินมายังประเทศคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้น ไทยกลายเป็นปลายทางสำคัญ ด้วยอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 4 เท่า
  2. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเติบโต: คนไทยนิยมช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เช่น Alibaba, Shopee, Lazada สินค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากจีน ไม่เพียงกระตุ้นการนำเข้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค แต่ยังส่งผลให้รายได้ของธุรกิจออนไลน์เหล่านี้ไหลกลับไปยังต่างประเทศ มากกว่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
  3. โครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า (High Import Content): กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้ามีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น พบทั้งในกลุ่มการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก พลาสติก) ก่อสร้าง บริการ และร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มทุนต่างชาติที่ย้ายฐานเข้ามาเพียงเพื่อประกอบขั้นต้นในไทย แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม

ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไทยกลายเป็น “Trader” ภาคอุตสาหกรรมซบเซา-เสี่ยงตกเป็นทางผ่าน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC เตือนชัดว่า ผลลัพธ์ของการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมีทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและความมั่นคงทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมภายในประเทศซบเซา: การนำเข้าสินค้าทดแทนการผลิตในประเทศ กลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มเหล็ก, แผงวงจร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์และพลาสติก ไทยเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าเพิ่ม (Value-added) ลดลง
  • ธุรกิจ “ซื้อมา-ขายไป” & ความเสี่ยง “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า”: ธุรกิจในไทยจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนบทบาทเป็น “Trader” มากกว่าผู้ผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มแผงวงจร, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมเหล่านี้บางส่วนอาจเข้าข่าย “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า” เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีในตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันในอนาคต

จากผู้ผลิตสู่ผู้ซื้อ ไทยเสี่ยง “ติดกับดักประเทศทางผ่าน”

หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ไทยจะเสี่ยงต่อการถูกลดบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลกจาก “ฐานการผลิต” ไปสู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดพักสินค้า หรือประกอบสินค้าก่อนส่งออกไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยที่มูลค่าเพิ่มและประโยชน์ที่ได้ตกอยู่กับเจ้าของวัตถุดิบหรือแบรนด์ต่างชาติ

ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาได้แก่

  • ขีดความสามารถแข่งขันถดถอย: หากภาคการผลิตภายในประเทศยังพึ่งพานำเข้าสูง จะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ: มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าและมาตรการกีดกันการค้าโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจทำให้ไทยเผชิญความยากลำบากในการส่งออกสินค้ากลุ่มเสี่ยง
  • บทบาทจีนที่เพิ่มขึ้น: เมื่อธุรกิจและแพลตฟอร์มจีนกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาด ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งพัฒนาและหาจุดแข็งที่แท้จริงของประเทศ

ทางรอดต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ “จากทางผ่าน สู่ศูนย์กลางมูลค่าสูง”

บทเรียนจากสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องร่วมมือกันในการ

  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
  • ลดการพึ่งพิงวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีต่ำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
  • สร้างแรงจูงใจในการลงทุนและพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต (Next-Gen Industry)
  • ผลักดันการเชื่อมโยงซัพพลายเชนในประเทศ สร้างผู้ประกอบการไทยที่แข็งแกร่ง
  • ติดตามและปรับตัวตามมาตรการกีดกันการค้าและข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์สถานการณ์

สถานการณ์การนำเข้าสูงสุดในรอบ 12 ปีของไทยถือเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญ ที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันหาทางออก เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยตกสู่ “กับดักประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก การเพิ่มขีดความสามารถภายในและสร้างจุดแข็งใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • รายงานข่าวเศรษฐกิจและสถิติการค้าไทย-จีน
  • กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลำไยเชียงใหม่ราคาไม่ตกเหลือ 1 บาท! รมช.พาณิชย์ยันแค่เกรด C พร้อมเดินหน้าอุ้มเกษตรกร

ราคาลำไยเชียงใหม่ไม่ตกเหลือ 1 บาท! รมช.พาณิชย์ยันแค่เกรด C พร้อมเดินหน้าอุ้มเกษตรกร

เชียงใหม่, 12 กรกฎาคม 2568 – ภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไยในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยืนมองผลผลิตในมือด้วยความกังวล กลายเป็นภาพที่สะท้อนใจผู้คนทั่วไป เมื่อกระแสข่าวในโลกออนไลน์ระบุว่าราคาลำไยในปีนี้ตกต่ำถึงขีดสุด เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท ข่าวนี้สร้างความตื่นตระหนกและคำถามมากมายในหมู่เกษตรกรและประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ราชินีผลไม้” ของภาคเหนือ แต่ในวันนี้ (12 ก.ค. 68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ทำให้ภาพของสถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้น พร้อมย้ำว่าราคาดังกล่าวเป็นเพียงลำไยเกรดต่ำสุด และกระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งดำเนินมาตรการคู่ขนานเพื่อปกป้องเกษตรกร

ความจริงเบื้องหลังราคาลำไย 1 บาท

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าราคาลำไยในเชียงใหม่ตกต่ำถึงกิโลกรัมละ 1 บาท ได้ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับเกษตรกรในพื้นที่และผู้บริโภคทั่วประเทศ แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่พบว่า ราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาของลำไยเกรด C ซึ่งเป็นลำไยรูดร่วงที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 20 มิลลิเมตร และไม่ได้สะท้อนภาพรวมของราคาลำไยในตลาดทั้งหมด

นายสุชาติ ชมกลิ่น เปิดเผยว่า “ลำไยเกรดดี เช่น เกรด AA ยังคงมีราคารับซื้ออยู่ที่ 19-20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน่าพอใจสำหรับเกษตรกร ส่วนลำไยเกรด C ที่มีราคา 1 บาทนั้น เป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และไม่ได้บ่งชี้ว่าราคาลำไยโดยรวมตกต่ำอย่างที่เป็นข่าว” การชี้แจงนี้ช่วยคลายความกังวลของเกษตรกรได้ในระดับหนึ่ง แต่คำถามที่ตามมาคือ แล้วเกษตรกรจะรับมือกับสถานการณ์ผลผลิตเกรดต่ำนี้ได้อย่างไร?

มาตรการคู่ขนานส่งออก แปรรูป กระจายในประเทศ

เพื่อแก้ไขปัญหาและรักษาเสถียรภาพราคาลำไย กระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการคู่ขนานที่มุ่งทั้งการส่งออก การแปรรูป และการกระจายผลผลิตภายในประเทศ โดยนายสุชาติได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ผลักดันการส่งออกและแปรรูป
    • ส่งออก 15,000 ตัน ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดหนาแน่น โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงพีคของฤดูกาล
    • แปรรูปลำไยอบแห้ง 50,000 ตัน เพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกินและเพิ่มมูลค่าให้กับลำไยเกรดต่ำ
    • การแปรรูปนี้ไม่เพียงช่วยลดความกดดันในตลาด แต่ยังสร้างโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
  2. กระจายผลผลิตในประเทศ
    • เชื่อมโยงการจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบพรีออร์เดอร์ ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
    • สนับสนุนการขายออนไลน์ด้วยการให้กล่องไปรษณีย์ส่งฟรี เพื่อกระจายผลผลิตจากภาคเหนือสู่ผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
  3. เจาะตลาดต่างประเทศ
    • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) ได้เร่งประสานงานกับผู้นำเข้าจากจีน ฮ่องกง มาเลเซีย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อลำไยสดและแปรรูป
    • จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างวันที่ 7-16 กรกฎาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท

สถานการณ์ล่าสุด ผลผลิตและราคา

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ระบุว่าราคาลำไยในท้องตลาดมีดังนี้:

  • ลำไยสดรูดร่วง
    • เกรด AA: 19-20 บาท/กก.
    • เกรด A: 10-11 บาท/กก.
    • เกรด B: 5-6 บาท/กก.
    • เกรด C: 1 บาท/กก.
  • ลำไยสดช่อ (ตะกร้าขาว อินโดนีเซีย)
    • เกรดทอง: 25 บาท/กก.
    • เกรดแดง: 22 บาท/กก.
    • เกรดน้ำเงิน: 17 บาท/กก.
    • เกรดเขียว: 8 บาท/กก.
  • ลำไยสดมัดปุ๊ก
    • เกรด AA + A: 18-20 บาท/กก.
    • เกรด A + B: 12-15 บาท/กก.

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลผลิตลำไยในจังหวัดเชียงใหม่เริ่มออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 22,409 ตัน หรือร้อยละ 8 ของผลผลิตทั้งหมด โดยกระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอจอมทอง ดอยหล่อ แม่วาง สันป่าตอง ฮอด และดอยเต่า ซึ่งเกษตรกรยังคงส่งผลผลิตให้ล้งรับซื้อตามปกติ

ปมปัญหาเวียดนามชะลอคำสั่งซื้อ

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราคาลำไยเกรด C ตกต่ำคือการชะลอคำสั่งซื้อจากเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของลำไยเกรดต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายวิทยากรระบุว่า “ในปีนี้ เวียดนามมีผลผลิตลำไยภายในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการลำไยจากไทยลดลง” ภาวะนี้ทำให้ลำไยเกรด C ซึ่งมีขนาดเล็กและมักถูกใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านราคา

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานงานกับผู้ประกอบการแปรรูปเพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกิน โดยเน้นการผลิตลำไยอบแห้งและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดและรักษาเสถียรภาพราคา

วิเคราะห์ผลลัพธ์ทางออกที่ยั่งยืน

จากสถานการณ์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าราคาลำไยเกรด C ที่ตกต่ำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวม และไม่ได้สะท้อนความล้มเหลวของตลาดลำไยโดยรวม มาตรการคู่ขนานที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การส่งออกและแปรรูปจะช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตส่วนเกิน ขณะที่การกระจายผลผลิตในประเทศผ่านช่องทางที่หลากหลายจะช่วยให้ลำไยเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตคือการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น เวียดนามและจีน ซึ่งอาจมีความผันผวนตามสถานการณ์ภายในของแต่ละประเทศ การขยายตลาดใหม่ เช่น อินเดียและ UAE รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีมูลค่าสูง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมลำไยของไทย

ความหวังของเกษตรกร

จากกระแสข่าวที่สร้างความตื่นตระหนก สู่การชี้แจงข้อเท็จจริงและการดำเนินมาตรการที่รวดเร็วของกระทรวงพาณิชย์ เกษตรกรชาวสวนลำไยในเชียงใหม่เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ด้วยราคาลำไยเกรดดีที่ยังคงแข็งแกร่งและมาตรการที่ครอบคลุมทั้งการส่งออก แปรรูป และกระจายในประเทศ อนาคตของลำไยเชียงใหม่ยังคงมีความหวัง โดยกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เป็นธรรมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)
  • ข้อมูลสัมภาษณ์นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน วันที่ 12 กรกฎาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ปีทอง” หรือ “ปีร่วง”? ลำไยเชียงรายผลผลิตล้นตลาด ราคาดิ่ง 40 เท่า

ปีทองลำไยเชียงราย หรือวิกฤตราคาดิ่ง? ผลผลิตทะลุล้านตัน เกษตรกรเสี่ยงขาดทุน

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568 – ผลผลิตลำไยพุ่งทะลุเป้า เกษตรกรภาคเหนือเฝ้าระวังราคาดิ่ง ปี 2568 กลายเป็นปีที่ผลผลิตลำไยในภาคเหนือพุ่งสูงเกินคาด จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า ผลผลิตรวมสูงถึง 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีที่ผ่านมา แม้พื้นที่ยืนต้นลำไยจะลดลงเล็กน้อยจากการโค่นต้นเก่าเพื่อปลูกพืชอื่น แต่สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้การออกดอก-ติดผลสมบูรณ์

ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตออกมากที่สุด คาดว่าจะมีลำไยทะลักเข้าสู่ตลาดกว่า 422,000 ตัน หรือราว 57% ของผลผลิตฤดูทั้งหมด นับเป็นช่วงเสี่ยงที่สุดของปี

สวนทางคุณภาพ-ราคา ลำไยเกรดต่ำเสี่ยงเหลือแค่ 1 บาท

ในขณะที่ลำไยเกรด AA+A ราคายังยืนได้ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม แต่ลำไยเกรด C กลับมีราคาต่ำจนน่าตกใจเพียง 1 บาทต่อกิโลกรัม ความต่างนี้มากถึง 40 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงการจัดการคุณภาพที่ยังไม่ทั่วถึง

ปัญหาสำคัญคือเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาคุณภาพได้สม่ำเสมอ หรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวแบบช่อสดได้ ทำให้ต้องขายแบบ “รูดร่วง” ที่มีราคาต่ำกว่า

เชียงรายผลผลิตมากแต่ความเสี่ยงสูง

จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกลำไยราว 167,000 ไร่ โดยเฉพาะอำเภอป่าแดดที่เป็นแหล่งใหญ่สุด แต่กว่า 30% ของพื้นที่เหล่านี้ถูกจัดว่าไม่เหมาะสมทางการเกษตร ส่งผลต่อคุณภาพผลผลิตโดยตรง

นอกจากนี้ ภัยแล้งยังเป็นปัญหาซ้ำซ้อน โดยเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบทุกปี ส่งผลต่อขนาดและคุณภาพของลำไยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สศก. เร่งบริหารจัดการ สกัดล้นตลาดเดือนสิงหาคม

เพื่อไม่ให้ลำไยทะลักตลาดในเดือนสิงหาคมจนราคาตก รัฐบาลจึงเร่งแผนกระจายสินค้าและส่งเสริมการแปรรูป ดังนี้:

  • สนับสนุนการแปรรูป เช่น ลำไยอบแห้ง น้ำลำไยเข้มข้น ลำไยกระป๋อง เพื่อลดผลผลิตสดในตลาด
  • ส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายใหม่ เช่น Modern Trade, ตลาดออนไลน์ และไปรษณีย์ไทย
  • อุดหนุนค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 3 บาท สำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์

การส่งออกยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลักถึง 73.1% จึงต้องเร่งขยายตลาดใหม่อย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยงระยะยาว

สหกรณ์เชียงรายจุดแข็งที่ยังมีจุดเปราะ

แม้สหกรณ์หลายแห่งในเชียงราย เช่น สหกรณ์ลำไยเมืองเชียงราย และสหกรณ์ป่าแดด จะมีบทบาทเชิงรุกในการรับซื้อลำไยและกระจายผลผลิต แต่ในอดีตยังมีปัญหาความไม่โปร่งใส เช่น กรณีสหกรณ์ในอำเภอพานที่เคยถูกร้องเรียนเรื่องเงินค้ำประกันลำไยค้างจ่าย

การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากหวังให้สหกรณ์กลายเป็นกลไกหลักในการพยุงราคาลำไย

ความหวังใหม่ศูนย์เรียนรู้แม่สรวย เสริมโอกาสเกษตรกร

อำเภอแม่สรวยของเชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่น่าจับตา ด้วยการพัฒนาการปลูกลำไยนอกฤดูที่ประสบผลสำเร็จ ได้รับการยกเป็นศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้เกษตรกรสามารถกระจายเวลาเก็บเกี่ยว ลดความเสี่ยงจากการออกผลพร้อมกันในฤดู

อนาคตลำไยเชียงราย ต้องยืนอยู่บนฐานความยั่งยืน

ลำไยจะไม่เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจที่อยู่รอดชั่วคราว หากแต่ต้องมีอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ชัดเจน:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
  • วิจัยสายพันธุ์ทนแล้งและให้ผลผลิตสม่ำเสมอ
  • สร้างระบบน้ำที่มั่นคงเพื่อรองรับภัยแล้ง
  • ส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรและธรรมาภิบาลในสหกรณ์
  • กระตุ้นการบริโภคในประเทศและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า

เชียงรายยังมีศักยภาพมหาศาลในฐานะแหล่งผลิตลำไยระดับประเทศ เพียงแค่ต้องวางรากฐานอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้ “ปีทอง” กลายเป็น “ปีร่วง”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ 7-8 พฤษภาคม 2568
  • ข้อมูลจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกร อ.พาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลดค่าครองชีพ พาณิชย์คุมราคา เข้มสินค้าจำเป็นทั่วประเทศ

พาณิชย์เดินหน้าคุมราคาสินค้า จัดโครงการลดค่าครองชีพทั่วประเทศ รับมือเศรษฐกิจครัวเรือนช่วงต้นปี 2568

ประเทศไทย, 26 มีนาคม 2568 – กระทรวงพาณิชย์โดยการนำของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมเดินหน้าโครงการลดราคาสินค้าจำเป็น เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในสังคมในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะฟื้นตัว

เฝ้าระวังราคาสินค้า – ย้ำไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ

นายพิชัย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569 โดยประชาชนสามารถร้องเรียนหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร

ราคาสินค้าสำคัญยังทรงตัว – อาหารสดหลายรายการปรับลดลง

จากข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ราคาสินค้าหลายรายการยังทรงตัว หรือปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า เช่น

  • ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 3.20 บาทต่อฟอง
  • ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาขายปลีกเฉลี่ย 3.50 บาทต่อฟอง
  • ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 40-41 บาทต่อกิโลกรัม
  • น่องติดสะโพกไก่ ราคาเฉลี่ย 78.81 บาทต่อกิโลกรัม
  • อกไก่ติดหนัง ราคาเฉลี่ย 79.50 บาทต่อกิโลกรัม
  • สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 79.70 บาทต่อกิโลกรัม

ในกลุ่มผักสด ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว โดยผักที่ราคาลดลง ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว และมะละกอดิบ ขณะที่ผักบางชนิด เช่น ผักชีและกระชาย มีการปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต

ขับเคลื่อนโครงการลดค่าครองชีพ ครอบคลุมทุกกลุ่ม

เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น

  • โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2568 มอบส่วนลดพิเศษให้ผู้สูงอายุ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด โดยคาดว่าจะลดภาระค่าครองชีพรวมกว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
  • โครงการ Back to School 2025 เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาในช่วงเปิดเทอม โดยร่วมกับร้านค้าทั่วประเทศ มอบส่วนลดสำหรับอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ และสินค้าไอที
  • รถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่ และงานธงฟ้า มีการจัดงานจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดกว่า 50 จุดในเขตกรุงเทพฯ และขยายไปยังต่างจังหวัดอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาค

คุมเข้มราคาสินค้า มีบทลงโทษชัดเจน

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเข้มงวดกับการควบคุมราคาสินค้าและบริการ หากพบการกระทำผิด เช่น การฉวยโอกาสขึ้นราคา การกักตุน หรือปฏิเสธการขายสินค้า จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน
เห็นว่ามาตรการของกระทรวงพาณิชย์มีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่มีรายได้น้อย การออกโครงการลดราคาสินค้าในช่วงเปิดเทอมถือว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดี ขณะที่การควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานช่วยให้ตลาดยังคงสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
แม้จะมีโครงการลดราคาสินค้า แต่ยังมีข้อท้วงติงว่าโครงการบางส่วนครอบคลุมพื้นที่จำกัด และไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดที่จำเป็น เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง หรือสินค้าสดบางประเภทที่ราคาผันผวนรวดเร็ว การติดตามและควบคุมราคาในตลาดจริงยังต้องอาศัยกลไกภาคประชาชนและเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง (มีนาคม 2568)

ประเภทสินค้า

ราคาขายเฉลี่ย

แนวโน้ม

ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม

3.20 บาท/ฟอง

ทรงตัว

ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม

40-41 บาท/กก.

ลดลงเล็กน้อย

น่องติดสะโพก

78.81 บาท/กก.

ลดลง

สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม

79.70 บาท/กก.

ทรงตัว

ผักคะน้า

25.00 บาท/กก.

ลดลง

ผักชี

120.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

กระชาย

90.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (ประกาศราคาสินค้ารายสัปดาห์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568)

  • เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ www.commerce.go.th

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ – รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2568

  • สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

รมว.พาณิชย์แก้ราคาข้าว ชดเชยไร่ละพัน เร่งส่งออกข้าว

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ พร้อมวางแนวทางยกระดับรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – นายพิชัย นริททะพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักถึงความเดือดร้อนของชาวนา โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

รมว.พาณิชย์ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงเกิดจาก ประเทศอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ระงับการส่งออกบางส่วน ส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้นเกินและกดดันราคาข้าวไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีมาตรการรองรับโดยการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ

แนวทางเร่งด่วนในการช่วยเหลือชาวนา

  1. ผลักดันการส่งออกข้าวไทย
    กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขยายตลาดส่งออก โดยขณะนี้ได้มีการ เจรจาขายข้าวปริมาณ 280,000 ตันให้กับจีน และอีก 370,000 ตันให้กับตลาดแอฟริกา ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกและลดผลกระทบจากราคาข้าวที่ตกต่ำ
  2. มาตรการชดเชยรายได้ชาวนา
    รัฐบาลได้อนุมัติ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรโดยการจ่ายเงินชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นการช่วยเหลือในระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

แนวทางระยะยาวเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาวนา

รมว.พาณิชย์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกษตรกรพึ่งพาเพียงมาตรการชดเชยระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องการให้ ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ข้าวไทย โดยมีแนวทางดังนี้

  • พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูง เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
  • ส่งเสริมการแปรรูปข้าว เช่น การผลิตข้าวออร์แกนิก ข้าวเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีมูลค่าสูง
  • กระจายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร เช่น ระบบชลประทาน การเก็บรักษาข้าว และระบบโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยปี 2567 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยเติบโต 5.4% และในเดือนมกราคม 2568 การส่งออกขยายตัวขึ้นอีก 13.6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการค้าระหว่างประเทศยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย

นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ปัญหาหลักที่ยังต้องเร่งแก้ไขคือ ภาวะหนี้สินในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง

แนวทางแก้ปัญหาหนี้สินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์เสนอว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลมีแนวทางในการช่วยเหลือ เช่น

  • มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้สำหรับประชาชนที่มีภาระหนี้สูง
  • กระตุ้นเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย
  • สนับสนุนธุรกิจ SME และเศรษฐกิจฐานราก ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและปรับตัวรับการแข่งขันในตลาด

รมว.พาณิชย์ระบุว่า หากสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับ 4-5% ต่อปี

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่สนับสนุน
กลุ่มที่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลมองว่า การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการชดเชยรายได้เป็นมาตรการที่เหมาะสมในระยะสั้น ขณะที่การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวและกระจายตลาดส่งออกในระยะยาว จะช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ฝ่ายที่เห็นต่าง
บางฝ่ายมองว่า มาตรการชดเชยไร่ละ 1,000 บาท เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และอาจไม่สามารถช่วยให้เกษตรกรพ้นจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลว่ามาตรการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนและแอฟริกา อาจไม่สามารถชดเชยความต้องการที่ลดลงของตลาดโลกได้ทั้งหมด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ข้าวไทย

  • ปริมาณการส่งออกข้าวไทย ปี 2567 – ประมาณ 5 ล้านตัน
  • ราคาข้าวขาว 5% ของไทย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 560 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • ราคาข้าวอินเดีย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 520 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • การชดเชยรายได้เกษตรกร – ไร่ละ 1,000 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่)
  • อัตราการเติบโตของการส่งออกข้าวไทย6% ในเดือนมกราคม 2568

บทสรุป

รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำผ่านมาตรการเร่งด่วน เช่น การชดเชยรายได้และการผลักดันส่งออกข้าว ขณะเดียวกันก็วางแนวทางระยะยาวเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยให้มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ ทั้งในแง่ของปัจจัยตลาดโลกที่ไทยควบคุมไม่ได้ และปัญหาโครงสร้างหนี้ภายในประเทศที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ดังนั้น ความสำเร็จของมาตรการต่างๆ จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์ลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรขายสับปะรด-หอมใหญ่

รมว.พาณิชย์ ติดตามโครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ เยี่ยมตลาดล้านเมือง เชียงราย

เชียงราย, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะลงพื้นที่ตลาดล้านเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามโครงการ “ชูใจ วัยเก๋า 60+” ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถใช้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคภายในตลาด โดยมีบรรยากาศการจับจ่ายที่คึกคักจากประชาชนและผู้สูงวัยที่ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 10,000 บาทจากรัฐบาล

รมว.พาณิชย์ลงพื้นที่ ตรวจสอบราคาสินค้า และพบปะประชาชน

นายพิชัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ อาทิ นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้รับการต้อนรับจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการตลาด พร้อมทั้งพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยภายในตลาด

รมว.พาณิชย์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าในตลาด โดยเฉพาะสินค้าสด เช่น ผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจและนโยบายช่วยเหลือผู้สูงอายุจากภาครัฐ

กระทรวงพาณิชย์หนุนเกษตรกร รับซื้อหอมหัวใหญ่-สับปะรดภูแล

นอกจากการติดตามโครงการ “ชูใจ วัยเก๋า 60+” แล้ว นายพิชัยยังได้ตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่ายหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแล ซึ่งเป็นสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญของภาคเหนือ โดยกรมการค้าภายในได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน 23 ราย เช่น Tops, Go Wholesale, The Mall, Makro, Lotus’s, Big C รวมถึงสถานีบริการน้ำมัน PT, OR, Bangchak, Shell และ Susco เพื่อรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน

ปล่อยขบวนคาราวาน 60 ตัน ขยายตลาดสับปะรดภูแลสู่ต่างประเทศ

ภายในงาน กระทรวงพาณิชย์ยังได้จัดกิจกรรมปล่อยขบวนคาราวานสินค้าสับปะรดภูแลจำนวน 60 ตัน เพื่อนำไปแปรรูปและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจีน ขณะที่การรับซื้อหอมหัวใหญ่เริ่มต้นจากสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่บ้านกาดพัฒนา อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 100 ตัน และจะทยอยรับซื้อเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

แนวทางบริหารจัดการผลผลิตเกษตรกรไทย

กระทรวงพาณิชย์สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการตลาดของหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแลร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเร่งกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ ผ่านร้านธงฟ้า โมบายธงฟ้า และช่องทางค้าปลีกต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาราคาตกต่ำและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกร

สับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่ ออกสู่ตลาดช่วงใด?

  • สับปะรดภูแล : ออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน และธันวาคม-กุมภาพันธ์
  • หอมหัวใหญ่ : ออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม

สรุป

การลงพื้นที่ของ รมว.พาณิชย์ครั้งนี้ สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการช่วยเหลือทั้งผู้บริโภคและเกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนในการขยายตลาดและรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง นโยบายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและสร้างเสถียรภาพทางการตลาดให้กับสินค้าการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือของไทย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ คืออะไร?โครงการนี้เป็นโครงการสนับสนุนผู้สูงอายุที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาทจากรัฐบาล ให้สามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ

 

  1. ทำไมกระทรวงพาณิชย์ถึงสนับสนุนการรับซื้อสับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่?เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่เหมาะสม และป้องกันปัญหาผลผลิตล้นตลาด

 

  1. ตลาดล้านเมืองมีจุดเด่นอะไร?ตลาดล้านเมืองเป็นตลาดกลางที่ได้รับการส่งเสริมจากกรมการค้าภายใน มีสินค้าสดที่มีคุณภาพและราคายุติธรรม

 

  1. ขบวนคาราวานสินค้าสับปะรดภูแลคืออะไร?เป็นโครงการที่ช่วยส่งออกและกระจายสับปะรดภูแลไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจีน

 

  1. สับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่ออกสู่ตลาดช่วงใด?สับปะรดภูแลออกสู่ตลาดมากช่วงเมษายน-มิถุนายน และธันวาคม-กุมภาพันธ์ ส่วนหอมหัวใหญ่ออกสู่ตลาดมากช่วงกุมภาพันธ์-มีนาคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เข้มแก้ปัญหานอมินี คุ้มครองธุรกิจไทยทั่วประเทศ

พาณิชย์ลุยแก้ปัญหานอมินี เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้ม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้แสดงความห่วงใยในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือ “นอมินี” ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมทางออนไลน์ รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีนายพิชัย เป็นประธาน และได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ

การลงมือปฏิบัติการและแผนงานในอนาคต

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเชื่อมโยงระบบข้อมูลนิติบุคคลกับฐานข้อมูลตำรวจกลาง (Big Data) โดยตั้งเป้าปราบปรามบัญชีม้านิติบุคคลและธุรกิจนอมินีให้หมดสิ้น ล่าสุด มีการเปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ พบการกระทำผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 1,189 ล้านบาท และความเสียหายกว่า 3,600 ล้านบาท

ธุรกิจที่กระทำผิดรวมถึงร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โกดังสินค้า ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศ และการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมาย บางบริษัทไม่มีการดำเนินกิจการจริง และใช้บัญชีม้านิติบุคคลรับโอนเงินจากกลุ่มมิจฉาชีพ

การประชุมครั้งสำคัญและเป้าหมายในอนาคต

ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อเร่งออกมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

นายพิชัย ยังสั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนธุรกิจ ป้องกันการใช้บัญชีม้านิติบุคคลเพื่อหลอกลวงประชาชน พร้อมเฝ้าระวังและตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นนอมินี โดยร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างใกล้ชิด

แนวทางการป้องกันและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เป้าหมายสำคัญของการดำเนินการครั้งนี้คือการปกป้องผู้ประกอบการไทย ลดปัญหาทางสังคม และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยเสียหายจากธุรกิจนอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในระบบธุรกิจไทยให้มั่นคงและโปร่งใสในระยะยาว

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ บรรลุผลและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พิชัยลุยด่านแม่สาย เร่งแก้ปัญหาการค้าชายแดน กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

“พิชัย” ลงพื้นที่ด่านแม่สาย เร่งแก้อุปสรรคการค้าชายแดน ตั้งเป้าปี 70 สร้างเงิน 2 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์และเร่งขับเคลื่อนการค้าชายแดน พร้อมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขอุปสรรคและผลักดันศักยภาพการค้าชายแดนของประเทศไทย

ปีทองการค้าชายแดน: ผลักดันการค้า-สร้างเศรษฐกิจไทย

นายพิชัยเปิดเผยว่า ปี 2567 ถือเป็น “ปีทองของการค้าชายแดน” โดยในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1,514,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.18 จากปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 872,043 ล้านบาท และการนำเข้า 642,794 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยได้ดุลการค้า 229,248 ล้านบาท

กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าชายแดนให้แตะ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนชายแดน ปี 2567-2570

เร่งเปิดด่าน เชื่อมโยงการค้าไทย-เมียนมา-ลาว-จีน

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีจุดผ่านแดนที่เปิดใช้งานแล้ว 86 แห่ง จากทั้งหมด 94 แห่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิด 73 แห่ง นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดด่านเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงการค้าในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา และจีน โดยเฉพาะด่านแม่สาย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทยและเมียนมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน

นายพิชัยกล่าวถึงการพิจารณายกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน เพื่อรองรับการค้ากับจีน โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ด่านกวนเหลี่ยในจีนรองรับผลไม้ไทยแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ในช่วง 10 เดือนแรก ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.53 จากปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นการส่งออก 5,650 ล้านบาท และการนำเข้า 312 ล้านบาท

ผลักดันมหกรรมการค้าและพัฒนาชายแดนอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ยังวางแผนจัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศในปี 2568 รวมทั้งหมด 6 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเปิดด่านเพิ่มเติมทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

เน้นคุณภาพสินค้า ควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพ

นายพิชัยกล่าวถึงบทบาทของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้า รวมถึงการป้องกันสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค พร้อมกำชับให้ด่านศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ

ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน

นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแก้ไขอุปสรรคการค้า พร้อมให้คำมั่นว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเป้าหมายสร้างมูลค่าการค้า 2 ล้านล้านบาทในปี 2570 และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE