Categories
ECONOMY

แก้ประกาศปล่อยสินเชื่อรวมรายได้ ซื้อรถยนต์ได้ คาดปลายปีแล้วเสร็จ

 

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายในเดือนธันวาคม 2567 ธปท.จะมีการแก้ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ในส่วนของสินเชื่อรถยนต์ ในเรื่องของ “การขอกู้ร่วม” ภายหลังจากมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น (Hearing) ร่วมกับสมาคมธุรกิจเช่าซื้อ ผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และเจ้าหนี้เช่าซื้อ

“ตอนนี้เราส่งเฮียริ่งเจ้าหนี้ ประกาศตามกฎหมายยังไม่ออก แต่เช่าซื้อภายใต้แบงก์ชาติมีแค่เช่าซื้ออันเดอร์แบงก์ที่มีตัวเลขรายงาน ธปท.มีประมาณ 65% ของตัวเลขทั้งหมด ระหว่างนี้เราแจ้งแบงก์ว่า หากจะทำก่อนก็ได้ และเราจะแก้ประกาศตาม เพื่ออยากให้เร็ว แต่เรื่องปัญหาเช่าซื้อที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อจะมาจากปัญหากู้ร่วมน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่มาจากปัญหาราคารถมือสองมันเยอะ จึงกระทบกับตลาดรถยนต์โดยรวมทั้งมือหนึ่งและมือสอง ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แบงก์ก็เพิ่ม Underwriting กระทบทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลาย”

นางสาวสุวรรณีกล่าวเพิ่มว่า ภาพรวมสินเชื่อรถยนต์ที่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้ายื่นขอสินเชื่อน้อยลง อาจจะเป็นผลมาจากมีรถยนต์ใช้แล้ว หรือรายได้ไม่เพียงพอในการผ่อนชำระ จึงชะลอการขอสินเชื่อ

ขณะเดียวกัน ธนาคารหรือผู้ประกอบเช่าซื้ออาจจะมีการปรับเพิ่มเครดิตรับความเสี่ยงลูกค้ามากขึ้น (Cut of Score) เนื่องจากโดยธรรมชาติการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ผู้ประกอบการจะเจอกับ Loss on Sale อยู่ที่ประมาณ 20% เพราะเมื่อรถซื้อไปใช้ไปและเวลาขายขาดทุน ซึ่งในภาวะปกติค่าความเสียที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Loss : EL) ของผู้ประกอบการจะอยู่ที่ 6%

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลาดรถใช้แล้ว หรือรถมือสองตกลงมาค่อนข้างมาก 50% ทำให้ Loss on Sale จาก 20% เพิ่มเป็น 50% ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับความเสี่ยงได้น้อยลง จึงเป็นที่มาธนาคารคัดกรองคุณสมบัติของลูกค้าเข้มขึ้น โดยที่เกณฑ์ของ ธปท.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อ แต่เกิดจากสภาวะของตลาดรถยนต์เอง และปัจจัยต่อมาคือ จากภาวะเศรษฐกิจลูกหนี้มีคุณสมบัติที่ตึงเอง จึงยื่นการขอสินเชื่อน้อยลง ซึ่งเป็นเรื่องของดีมานด์และซัพพลาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อรถมือสองมีปัญหาราคาตก ก็ส่งผลต่อตลาดรถมือหนึ่ง หากดูตลาดเช่าซื้อ เมื่อซื้อรถมาและไม่สามารถผ่อนได้ และเกิดการขายดาวน์ เช่น ผ่อนมา 30 งวด เหลืออีก 30 งวดผ่อนไม่ไหว จึงไปหาคนซื้อดาวน์ เช่น ผ่อนไปแล้ว 5 แสนบาท เหลือผ่อนอีก 3 แสนบาท จากราคาเต็ม 8 แสนบาท แต่ปรากฏว่าราคาในตลาดเหลือแค่ 3 แสนบาท และไปซื้อเต็นท์รถเหลือแค่ 2 แสนบาท จึงไม่มีใครมาซื้อดาวน์ต่อ ทำให้ตลาดรถยนต์ออกมาดูค่อนข้างแย่

“กลุ่มที่เราห่วงคือ กลุ่มเปราะบางรายได้น้อย ซึ่งในตอนต้นการขอกู้ภรรยาเป็นคนขอกู้ แต่รายได้ภรรยาไม่เพียงพอ จึงนำสามีมาค้ำประกัน ซึ่งโดยปกติก่อนหน้านี้นำรายได้มารวมกัน หากเป็นกรณีอยู่ในครอบครัวเดียวกันก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ไม่อยากเห็น สมมติ เช่น คนกู้และคนค้ำอาจจะขายของแผงติดกัน ซึ่งอาจจะช่วยโดยไม่รู้ว่าคนกู้ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ ซึ่งเป็นเหมือนทำร้ายคนค้ำประกัน ดังนั้น กำหนดให้ธนาคารว่าเวลาปล่อยกู้และพิจารณารายได้รวม ให้พิจารณาว่ามีรายได้พอกินพอใช้หรือไม่ เพื่อคุ้มครองผู้ค้ำประกัน จริง ๆ เป็นผู้ค้ำประกัน แต่ในชีวิตจริงเป็นผู้กู้ร่วม”

“เราจะทบทวน หากเป็นการค้ำประกันในครอบครัวเดียวกัน เช่น แม่ค้ำให้ลูก สามีค้ำให้ภรรยา จะยอมให้นับรายได้ของผู้ค้ำมารวมด้วย จากเดิมเกณฑ์จะกำหนดให้ใช้รายได้ของผู้กู้เป็นหลัก เราจะผ่อนเกณฑ์ให้นับรายได้ของผู้ค้ำประกันที่เป็นคนในครอบครัวด้วย เพื่อช่วยคลายปัญหาธุรกิจเช่าซื้อได้บางส่วน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

หลักเกณฑ์สินเชื่อซื้อรถไม่ได้เปลี่ยน แต่คุณภาพของลูกหนี้ที่ขอกู้แย่ลง

 

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ กล่าวว่า เท่าที่คุยกับผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน พบว่า มาตรฐานสินเชื่อรถยนต์โดยรวมไม่ได้เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนคือคุณภาพของลูกหนี้ที่จะมาขอกู้แย่ลงทำให้การปฏิเสธสินเชื่อมีมากขึ้น

ปัจจุบันราคาของรถยนต์มือสองถูกกดดันอย่างมาก เห็นได้ว่ามีราคาลดลงทำให้ตลาดซบเซา ปกติจะมีผู้ซื้อกลุ่มหนึ่งที่จะซื้อรถใหม่โดยเอารถเก่าไปตีราคา เพื่อให้ได้เงินมาเติมซื้อรถใหม่ แต่เมื่อราคาขายรถมือสองตกต่ำ ทำให้ผู้ซื้อต้องเพิ่มเงินมากขึ้นถึงจะซื้อรถใหม่ ส่งผลให้ความสามารถในการซื้อรถใหม่ลดลงไปด้วย

สำหรับรถไฟฟ้า หรือรถอีวีที่เข้ามาในประเทศไทยกลายเป็นเพิ่มความยากลำบากให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไปด้วย ดูได้จากการแข่งขันด้านราคาของรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่หรือราคารถยนต์ที่มีส่วนลดเป็นหลักแสนบาท ทำให้คนที่มีกำลังซื้อรอดูก่อนว่าราคาจะปรับลดลงกว่าเดิม หรือไม่ ในเวลาเดียวกัน ผู้ซื้อก็มีความกังวลว่า ถ้าซื้อไปวันนี้ และต้องการขายในอนาคต อาจจะได้ราคาขายที่น้อยลง สร้างความลังเลสำหรับผู้ซื้อ ตลาดส่งออกรถปิคอัพของไทยไปต่างประเทศก็ชะลอลง สาเหตุจากต่างประเทศยังมีความต้องการไม่มากอย่างที่คาดไว้

ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มข้างหน้ามีโอกาสที่จะค่อย ๆ ดีขึ้นทั้งตลาดโลกและตลาดในประเทศ แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก โดยประเด็นที่เป็นปัญหาเชิงวัฎจักรจะใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัว เช่น เรื่องการส่งออก แต่หากเป็นประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างจะใช้เวลานานกว่านั้น เช่น เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องให้เวลาปรับตัว ซึ่งในต่างประเทศก็เจอปัญหานี้เช่นกัน

การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตของภาคการส่งออกมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนเป็นหมวดสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของการส่งออกของไทย โดยมีน้ำหนักที่ 16% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดในปี 2566 นอกจากนี้ มีสัดส่วนต่อการเติบโตของภาคส่งออกคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของการขยายตัวของการส่งออกสินค้าทั้งหมดในปี 2555-2561

โดยภาพรวมการส่งออกของไทยฟื้นตัวช้าจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และถูกซ้ำเติมจากแนวโน้มการส่งออกของรถยนต์และชิ้นส่วนที่หดตัว โดยในปี 2567 การส่งออกรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาด อาเซียน

ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงจากปัญหา รถยนต์ล้นตลาดของจีน ซึ่งจะกระทบต่อ ความสามารถในการแข่งขันของไทย รวมถึงการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ EV ในระยะข้างหน้า ดังนั้น การปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย และเร่งผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตรถยนต์ EV ในอนาคต จึงเป็นเรื่องสำคัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ธนาคารแห่งประเทศไทย เตือนมีคน โอนเงินผิดมาหาเรา อย่าโอนคืนเองเด็ดขาด

 

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ โอนเงินผิดบัญชี เกิดเรื่องต้องทำอย่างไร?เทคโนโลยีระบบการชำระเงินที่ทันสมัยทำให้การจ่ายหรือโอนเงินกลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่ผู้ใช้บริการเองก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานเช่นกัน เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องโอนเงินผิดบัญชี ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เราโอนผิดเอง หรือมีคนโอนผิดมาที่เรา แล้วไม่รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร Financial Wisdom ฉบับนี้จะมาเล่าถึงวิธีการที่ถูกต้องในการจัดการกับปัญหาเรื่องนี้กัน

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เมื่อมีการโอนเงินผิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการโอนที่สาขาของธนาคาร ทางตู้ ATM หรือ mobile banking ธนาคารจะไม่มีอำนาจในการดึงเงินกลับคืนเข้าบัญชีต้นทาง เว้นแต่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้รับโอนผิดเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องมีขั้นตอนการดำเนินการ โดยสามารถแบ่งการโอนเงินผิดได้เป็น 2 กรณีด้วยกัน

 

หากเราโอนเงินผิดบัญชีไปบัญชีคนอื่น ถ้าเป็นคนที่เรารู้จักกันก็สามารถพูดคุยเพื่อขอให้เขาโอนเงินคืนกลับมาให้เราได้เลย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักกันจะมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา อย่างแรก เมื่อเรารู้แล้วว่าเราโอนเงินไปผิดบัญชี ให้เราไปติดต่อธนาคารของเรา (ธนาคารต้นทาง) เพื่อสอบถามว่าธนาคารต้องการเอกสารอะไรบ้าง เนื่องจากแต่ละธนาคารอาจใช้เอกสารไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราสามารถเตรียมได้ เช่น ข้อมูลวันเวลา จำนวนเงิน ช่องทางการโอนเงิน ถ้าทำรายการที่ตู้ ATM ก็อาจจะเก็บสลิปใบบันทึกรายการไว้ แต่หากทำผ่าน mobile banking ก็เก็บ e-slip โอนเงินไว้ รวมทั้งอาจจะเตรียมหลักฐานเอกสารอื่น ๆ ที่ธนาคารอาจจะขอ เช่น ใบคำร้องขอตรวจสอบการโอนเงินผิดบัญชี สำเนาบัตรประชาชน หรือหากเป็นการโอนเงินผิดไปต่างธนาคาร ธนาคารบางแห่งอาจร้องขอใบแจ้งความเป็นหลักฐานเพิ่มเติมด้วย

 

เมื่อธนาคารรับแจ้งปัญหาเรียบร้อยแล้วก็จะแจ้งระยะเวลาการดำเนินการให้เราทราบ และจะเป็นผู้ประสานงานติดต่อบัญชีปลายทางเพื่อให้ความยินยอมโอนเงินคืนกลับมาต่อไป ถ้าผู้รับโอนยินยอมคืนเงิน ธนาคารก็จะโอนเงินเข้าบัญชีให้กับเรา แต่ถ้าผู้รับโอนไม่ยินยอมคืนเงินหรือติดต่อไม่ได้ เราสามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อออกคำสั่งทางกฎหมายให้ธนาคารของผู้รับโอนดำเนินการอายัดบัญชี หรือเปิดเผยข้อมูลบัญชีให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ถ้าเขาโอนผิด

กรณีที่มีเงินโอนผิดเข้ามาในบัญชีของเราซึ่งจะคล้ายกับกรณีที่แล้ว คือถ้าเป็นคนรู้จักกัน ได้พูดคุยกันแล้วพบว่าเขาโอนเงินผิดมาจริง เราก็สามารถที่จะโอนเงินคืนเจ้าของบัญชีได้เลย แต่ถ้าไม่รู้จักกัน ทางที่ดีเราควรจะไปติดต่อธนาคารของเราโดยตรง เพื่อตรวจสอบก่อน ถ้าพบว่าเงินที่โอนเข้ามาผิดบัญชีจริง ๆ ก็ให้ความยินยอมแก่ธนาคารในการโอนเงินกลับไปให้เจ้าของบัญชี

สิ่งที่พึงระวังคือ

เราไม่ควรโอนเงินกลับเอง เพราะอาจจะเป็นกลลวงของมิจฉาชีพที่จะใช้บัญชีเราเป็นทางผ่านในการโอนเงินผิดกฎหมาย หรือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟอกเงิน ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “บัญชีม้า” ก็เป็นได้ โดยมิจฉาชีพจะขอให้โอนเงินเข้าอีกบัญชีหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นคนละธนาคาร คนละชื่อบัญชี โดยอ้างเหตุผลว่าโอนผิดบัญชีไปแล้ว ไหน ๆ จะต้องโอนเงินใหม่ ก็ฝากให้เราช่วยโอนเลยแล้วกัน กลายเป็นว่าเราทำเรื่องผิดกฎหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่ถ้าหากมีเงินโอนผิดเข้ามาในบัญชีของเราจริงโดยไม่ใช่กลโกงของมิจฉาชีพ แต่เราเลือกที่จะเพิกเฉย หรือนำเงินที่ได้มาไปใช้ เจ้าของเงินก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับเราได้เช่นกัน

 

วิธีการป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด

ก็คือการตรวจสอบข้อมูลการโอนเงินให้ถูกต้องก่อนยืนยันการโอนเงินทุกครั้ง สิ่งที่ทุกคนจะต้องดู คือ หมายเลขบัญชีหรือหมายเลขพร้อมเพย์ ชื่อบัญชี ชื่อธนาคาร และจำนวนเงินให้ถูกต้องก่อนที่จะกดยืนยันการโอนเงินไป หากเกิดกรณีโอนเงินผิดขึ้นมาจริงๆ ให้ตั้งสติ อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ จนยอมโอนเงินกลับเอง และควรรีบปรึกษาธนาคารเพื่อให้ธนาคารแนะนำว่าต้องดำเนินการอย่างไรจะดีที่สุด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตาม  วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566

คลิกที่ภาพ

 

 

ข่าวเด่นน่าติดตาม  วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566


 

  1. ‘ภคมน’ จี้สำนึกสูงสุด ‘ปูอัด’ อย่าให้ส่วนรวมต้องแบก ยันก้าวไกลไม่แบ่งก๊ก

 

  1. ‘แบงก์ชาติ’ ประกาศ ‘สถาบันการเงิน’ เลื่อนวันหยุดชดเชยสิ้นปี จาก 2 ม.ค. 67 เป็น 29 ธ.ค. 66

 

  1. สุทิน คลังแสง โต้ปมพรรคก้าวไกล ร้องให้ยุบ กอ.รมน. ชี้คนไม่ได้เป็นรัฐบาลก็พูดได้

 

  1. “ปลัดฯต่างประเทศไทย-เกาหลีใต้” จ่อถกปัญหาการเข้าเมืองพรุ่งนี้

 

  1. “ภูมิธรรม”สั่งตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาน้ำตาลทรายใน 1 เดือน หลังหารือร่วมกับตัวแทนชาวไร่อ้อย 4 องค์กร

 

6.ไอซ์ รักชนก ผิดหวังมติพรรคก้าวไกล ประกาศหยุดร่วมกิจกรรม จนกว่าจะมีแถลงการณ์รับผิดชอบ

 

7.นายวุฒิพงศ์ แถลง เตรียมหาพรรคใหม่อยู่ หลังก้าวไกลมีมติขับออก

 

8.จีนจัดพิธีฌาปนกิจ “หลี่ เค่อเฉียง” ทางการลดลงธงครึ่งเสาไว้อาลัย

 

9.นายกฯ ญี่ปุ่น ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 4.07 ล้านบาท แจกเงินสด 70,000 เยน ให้ครัวเรือนรายได้น้อย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News