Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ลุ้นโฮงยาไทยเปิด “Premium Clinic” ในห้างเซ็นทรัลเชียงราย ลดแออัด-ยกระดับบริการสุขภาพ

โฮงยาไทย” สู่เมือง พา Premium Clinic ลงห้าง ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด-ยกระดับประสบการณ์สุขภาพของชาวเชียงราย

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ภาพพื้นที่ “Premium Clinic” หรือที่คนเชียงรายคุ้นปากว่า “โฮงยาไทย” นอกเขตรพ.หลัก—คลินิกแนวคิดใหม่ที่กำลังจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ เป้าหมายชัดเจน ทำให้การพบแพทย์ “ใกล้-ง่าย-เร็วขึ้น” และช่วยกระจายผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลใหญ่

แม้รายละเอียดบริการและกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการยังไม่ประกาศ แต่โครงร่างภาพใหญ่เริ่มชัด โครงการเตรียมใช้พื้นที่ Unit 234 ชั้น 2 เซ็นทรัลเชียงราย ออกแบบสถาปัตยกรรมเสร็จแล้วและกำลังก้าวสู่ขั้นตอนปรับปรุง ภายใต้สาระสำคัญอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ช่วยลดความหนาแน่นของโรงพยาบาลหลัก และรองรับไลฟ์สไตล์เมืองท่องเที่ยวและชายแดนของเชียงราย ที่การเดินทาง การทำงาน และการจับจ่ายในศูนย์การค้ามักเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

ทำไม “คลินิกในห้าง” จึงเป็นคำตอบของเมือง?

ถ้า “โรงพยาบาล” คือฐานทัพหลักของระบบสุขภาพ “คลินิกนอกพื้นที่” ก็เปรียบเสมือนป้อมหน้าเมืองเข้าถึงง่าย คล่องตัว และตอบโจทย์บริการที่ไม่ซับซ้อน การดึงบริการบางส่วนไปไว้ในศูนย์การค้า มีข้อดีเชิงระบบอย่างน้อย 4 ประการ

  1. ลดการเดินทาง-เวลาเสียโอกาส
    ผู้ป่วยที่อาการไม่ฉุกเฉินเช่น ติดตามอาการโรคเรื้อรัง รับยา ตรวจสุขภาพประจำปี ฉีดวัคซีนไม่จำเป็นต้องฝ่ารถติดเข้ารพ.หลัก สามารถใช้เวลาว่างก่อน-หลังเลิกงาน หรือระหว่างทำธุระในห้างมารับบริการได้ทันที
  2. กระจายภาระงานบุคลากร
    เมื่อเคสเบาถูกย้ายออกจากโรงพยาบาลใหญ่ ทีมแพทย์-พยาบาลสามารถโฟกัสกับเคสซับซ้อน ผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือการผ่าตัดได้มากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิด “ลดแออัดผู้ป่วยนอก (OPD congestion)” ที่กระทรวงสาธารณสุขผลักดันต่อเนื่อง ทั้งผ่านระบบนัดหมาย/หน้าต่างบริการเฉพาะกิจ และทางเลือกบริการที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม
  3. ยกระดับประสบการณ์ผู้รับบริการ (patient experience)
    ศูนย์การค้ามีที่จอดรถ ทางเดินสะดวก ห้องน้ำ ร้านค้า ร้านอาหาร โซนครอบครัว รวมถึงโรงแรมรอบข้าง เหมาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้ปกครองที่พาเด็กมาตรวจ หรือญาติที่ต้องรอผู้ป่วย
  4. เชื่อมเทคโนโลยีสุขภาพเข้ากับชีวิตประจำวัน
    การนัดหมายล่วงหน้า การจ่ายยาปลอดสัมผัส การชำระค่าบริการดิจิทัล หรือแม้แต่ Telemedicine สำหรับเคสติดตามผลทั้งหมดนี้ทำได้คล่องขึ้นในบรรยากาศ “บริการในเมือง” ซึ่งประเทศไทยมีบทเรียนการใช้เทเลเมดิซีนเพื่อลดการแออัดและเพิ่มการเข้าถึงมาต่อเนื่องตั้งแต่โควิด-19 และกำลังต่อยอดในระบบบริการปกติ

โฮงยาไทย” ในความทรงจำของเมือง กับบทใหม่ที่กำลังจะเริ่ม

คนเชียงรายเรียกโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ว่า “โฮงยาไทย” มาหลายทศวรรษ สถาบันแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลหลักของจังหวัดบทบาท “เสาหลัก” แห่งระบบสุขภาพที่รับส่งต่อจากอำเภอ พรมแดน และนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ความหมายเชิงวัฒนธรรมของชื่อ “โฮงยาไทย” จึงมากกว่าสถานพยาบาล แต่คือความไว้ใจของชุมชนที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น การขยายบริการสู่ศูนย์การค้า จึงไม่ใช่การ “ออกจากชุมชน” แต่คือการ “เข้าไปใกล้ชุมชน” มากยิ่งขึ้น  

เชื่อมโยงกับนโยบายชาติ “Premium Clinic” ของรัฐ—อีกเครื่องมือหนึ่งเพื่อลดแออัด

ตลอดปี 2567–2568 กระทรวงสาธารณสุขสื่อสารแนวทาง คลินิกพรีเมียม (Premium Clinic)” ในโรงพยาบาลรัฐบางแห่ง—บริการทางเลือกที่เร็วขึ้น มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น และมีค่าบริการตามกรอบกฎหมาย โดยยืนยันควบคู่ว่า สิทธิพื้นฐานของประชาชน (เช่น บัตรทอง/ประกันสังคม/ข้าราชการ) ยังคงอยู่ครบถ้วน คลินิกพรีเมียมจึงเป็น “ช่องทางเสริม” ที่ช่วยแก้จุดปวดเรื่องคิวและเวลารอ โดยมีการรายงานความคืบหน้าและติดตามผลในระดับนโยบายอย่างต่อเนื่อง

เมื่อจับภาพรวม การตั้ง Premium Clinic ของ “โฮงยาไทย” ในศูนย์การค้าจึงสอดคล้องกับกรอบเชิงนโยบายของประเทศที่มุ่งให้ระบบบริการ “ยืดหยุ่น-ทันสมัย-เลือกได้” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

บริการที่คาดหวัง ไม่ฉุกเฉิน แต่สำคัญต่อคุณภาพชีวิต

แม้โรงพยาบาลยัง ไม่ได้ประกาศ รายละเอียดรายการบริการและเวลาเปิด-ปิดอย่างเป็นทางการ แต่จากธรรมชาติของคลินิกนอกเขตรพ.หลักในหลายพื้นที่ และแนวโน้มบริการผู้ป่วยนอกยุคใหม่ บริการที่ “มีแนวโน้ม” เหมาะสมกับรูปแบบ Premium Clinic ได้แก่

  • ตรวจติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันผิดปกติ (ผู้ป่วยอาการคงที่/ไม่มีภาวะฉุกเฉิน)
  • คลินิกเวชศาสตร์ครอบครัว/เวชปฏิบัติทั่วไป ตรวจรักษาอาการไม่รุนแรง เจ็บคอ ไอ จาม แพ้อากาศ ผื่น คำปรึกษาพื้นฐาน
  • วัคซีนและส่งเสริมสุขภาพ ตรวจสุขภาพประจำปี คัดกรองความเสี่ยง NCDs ให้คำปรึกษาโภชนาการ/การเลิกบุหรี่
  • บริการนัดติดตาม-รับยา ร่วมกับระบบนัดหมาย/รับยาแบบ Drive-thru หรือส่งยาถึงบ้านในบางกรณี (ขึ้นกับนโยบายของหน่วยบริการในพื้นที่)
  • Telemedicine/Teleconsult (เมื่ออนุญาต) สำหรับการติดตามผลที่ไม่ต้องตรวจร่างกายซับซ้อน

ทั้งหมดนี้เป็น “ตัวอย่างแนวปฏิบัติทั่วไป” ของคลินิกเมืองยุคใหม่ทั่วโลกและสอดคล้องกับบทเรียนไทยด้าน Telemedicine ซึ่งช่วยลดเวลารอ ลดความหนาแน่น และคงคุณภาพการดูแลเมื่อคัดกรองผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

ข้อสำคัญ: ผู้ป่วยฉุกเฉิน (เจ็บหน้าอกรุนแรง หอบเหนื่อยเฉียบพลัน อัมพาตเฉียบพลัน อุบัติเหตุเลือดออกมาก ฯลฯ) ต้องไปโรงพยาบาลหลักหรือโทร 1669 ตามมาตรฐานระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

มองผ่านเลนส์ “เศรษฐกิจ-สังคม-สุขภาพ” ใครได้ประโยชน์?

ประชาชนทั่วไป
ได้ทางเลือกบริการใกล้ตัว ลดเวลารอ ลดค่าโสหุ้ยจากการเดินทาง ช่วยให้คนทำงาน/ผู้ประกอบการรายย่อย/นักท่องเที่ยวได้รับการดูแลทันเวลา ไม่ปล่อยให้โรคเรื้อรังลุกลาม

โรงพยาบาลจังหวัด (โฮงยาไทย)
สามารถบริหารคิวงานดีขึ้น—แยก เคสเบา-เคสหนัก” อย่างสมเหตุผล เพิ่มความพึงพอใจผู้ป่วย และรักษาคุณภาพการดูแลเคสซับซ้อนได้มากขึ้น

ระบบสุขภาพจังหวัด
เสริมความเข้มแข็งของเครือข่ายบริการ (PCC/รพ.สต./รพช.) ด้วยจุดรับบริการ “ดาวเทียม” ในเมือง เชื่อมข้อมูลกับรพ.หลักได้เร็วขึ้น สร้าง continuity of care ที่ดี

เศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวและประตูการค้าชายแดน การมีบริการสุขภาพมาตรฐานในโลเคชันที่เข้าถึงง่ายอย่างศูนย์การค้า ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุน (ข้อมูลสถานที่ศูนย์การค้าจากแหล่งสาธารณะ)

ความคืบหน้า-สิ่งที่ต้องติดตาม

  • ขั้นตอนก่อสร้าง/ตกแต่งภายใน: การออกแบบสถาปัตยกรรมเสร็จแล้ว กำลังเข้าสู่การปรับปรุงพื้นที่
  • กรอบบริการ/เวลาทำการ/ตารางแพทย์: รอประกาศอย่างเป็นทางการจากโรงพยาบาล
  • อัตราค่าบริการ/การใช้สิทธิ: หากอยู่ในกรอบ “คลินิกพรีเมียม” จะเป็น บริการทางเลือก ที่มีค่าธรรมเนียมชัดเจน แต่สิทธิพื้นฐานเดิมยังคงอยู่ (ตามกรอบนโยบายระดับประเทศ)
  • การเชื่อมระบบดิจิทัล: นัดหมายออนไลน์ ชำระเงินดิจิทัล Telemedicine/รับยาต่อเนื่อง—แนวทางที่ไทยมีบทเรียนและงานวิจัยสนับสนุนแล้ว

เสียงสะท้อนจาก “แนวโน้มประเทศ” ลดแออัดให้ได้ผล ต้อง “หลายเครื่องมือพร้อมกัน”

การลดความแออัดผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ ไม่ใช่โจทย์ที่แก้ด้วยมาตรการเดียว ศูนย์กลางนโยบายไทยระบุแนวทางผสมผสาน ตั้งแต่ บริหารคิว/นัดหมายล่วงหน้า/ขยายชั่วโมงบริการบางคลินิก/ใช้แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นด่านหน้า/เชื่อม Telemedicine/และกระจายบริการสู่จุดใกล้บ้านใกล้เมือง ซึ่งสะท้อนอยู่ในทั้งเอกสารวิชาการและการสื่อสารเชิงนโยบายของภาครัฐ

การตั้ง Premium Clinic ในห้าง ของ “โฮงยาไทย” จึงควรอ่านควบคู่ไปกับมาตรการอื่น ๆ ไม่ใช่ตัวแทนของการ “แปรรูปบริการ” หากแต่เป็น ทางเลือกเสริม” ที่เติมช่องว่างประสบการณ์ผู้รับบริการ—โดยที่สิทธิพื้นฐานยังอยู่ครบถ้วนตามกฎหมายและนโยบาย

ความคาดหวังที่สมเหตุผลคืออะไร?

  1. ความโปร่งใสเรื่องค่าบริการและการใช้สิทธิ
    การสื่อสารชัดว่าบริการใดอยู่ในแพ็กเกจพรีเมียม/ค่าใช้จ่ายประมาณการเท่าไร/ประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองหรือสิทธิอื่น ๆ มีทางเลือกอะไร—คือหัวใจของการยอมรับ
  2. มาตรฐานวิชาชีพและความต่อเนื่องของข้อมูล
    ระบบเวชระเบียนเดียวกัน/การส่งต่อระหว่างคลินิกกับรพ.หลักแบบไร้รอยต่อ/มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย—ยิ่งแน่น ยิ่งสร้างความเชื่อมั่น
  3. สมดุลระหว่าง “ความสะดวก” กับ “ความเป็นธรรม”
    คลินิกพรีเมียมเพิ่มทางเลือกความสะดวก แต่ต้องไม่ดึงทรัพยากรสำคัญออกจากการดูแลตามสิทธิพื้นฐาน—การจัดสรรกำลังคนและตารางแพทย์จึงต้องวางแผนอย่างรอบคอบ
  4. การประเมินผลอย่างเป็นระบบ
    วัดจริงว่าคิวรพ.หลักลดลงแค่ไหน เวลาเฉลี่ยผู้ป่วยนอกดีขึ้นเท่าไร ความพึงพอใจ-ความปลอดภัย-ผลลัพธ์สุขภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างไร และรายได้-ค่าใช้จ่ายหน่วยบริการสมดุลหรือไม่

ก้าวเล็กในแปลนก่อสร้าง แต่คือก้าวใหญ่ของการดูแลสุขภาพแบบใหม่

จาก “โฮงยาไทย” ในความทรงจำของชาวเชียงราย สู่ Premium Clinic ในศูนย์การค้าใจกลางเมือง—นี่คือตัวอย่างการพลิกมุมมองว่า “การแพทย์ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาล” และ “ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเสียทั้งวันเพื่อพบแพทย์ 10 นาที” หากออกแบบประสบการณ์ที่ดี เชื่อมโยงเทคโนโลยีและระบบคิวให้ฉลาด การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพสามารถเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ที่ผู้คนใช้ชีวิตจริง

ในระยะสั้น โครงการนี้จะเป็น จุดทดสอบ” ว่าเชียงรายสามารถกระจายบริการ ลดแออัด และยกระดับความพึงพอใจของประชาชนได้จริงเพียงใด ในระยะยาว หากโมเดลนี้เดินได้ด้วยความโปร่งใส ยึดมาตรฐานวิชาชีพ และเคารพสิทธิพื้นฐาน—เชียงรายอาจกลายเป็นต้นแบบของ คลินิกเมือง” ที่เมืองอื่น ๆ น่าศึกษาและต่อยอด

สิ่งที่ทุกฝ่ายรอคือ ประกาศอย่างเป็นทางการ เรื่องรายการบริการ เวลาเปิด-ปิด และเงื่อนไขการใช้สิทธิ/ค่าบริการ เมื่อถึงวันนั้น “คลินิกในห้าง” แห่งนี้อาจไม่ใช่เพียงโครงการสวย ๆ ในแปลน แต่จะกลายเป็น ประตูบานใหม่ของระบบสุขภาพ ที่เปิดออกสู่ผู้คนทุกวัน—ใกล้ขึ้น สะดวกขึ้น และเป็นมิตรกับชีวิตมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เว็บไซต์ทางการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์: ข้อมูลสถาบัน/บทบาทโรงพยาบาลจังหวัด 
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สลน.)/สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 
  • HITAP – Health Intervention and Technology Assessment Program 
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) 
  • Hfocus.org 
  • ท้องถิ่นนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายรุกสู่ “เมืองสุขภาพ” จัดมหกรรมอาหาร ดันมาตรฐาน “Chiang Rai Wellness”

เชียงรายก้าวสู่ ‘เมืองสุขภาพ’ เปิดมหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ดันมาตรฐาน “Chiang Rai Wellness Standard Foods” เชื่อมไร่–ครัว–นักท่องเที่ยว พลิกโฉมสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 — “สวนตุงและโคม” ใจกลางเมืองค่อย ๆ แปรเป็นครัวใหญ่ของทั้งจังหวัด บูธกว่า 40 ร้านเรียงรายด้วยเมนูที่คัดสรรวัตถุดิบจากไร่มาตรฐาน อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่น สลับเสียงถาม ตอบเรื่องส่วนผสมและพลังงานต่อจาน ภาพตรงหน้าจึงไม่ใช่แค่งานเทศกาลอาหาร หากเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ที่แสดงให้เห็นว่า เชียงรายกำลังเปลี่ยนโจทย์เมือง จากเมืองกาแฟและศิลปะสู่ เมืองสุขภาพ (Wellness City)” อย่างจริงจัง

พิธีเปิดงาน มหกรรมเมนูสุขภาพเพื่ออาหารนานาชาติและระดับท้องถิ่น (Chiang Rai Wellness Standard Foods) เริ่มขึ้นเวลา 17.00 น. โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย น.พ.คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ท่ามกลางความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ–เอกชน–โรงพยาบาล–สถาบันการศึกษา ที่มารวมพลังบนเวทีเดียวกัน เป้าหมายปลายทางชัดเจน: วางมาตรฐานอาหารสุขภาพระดับจังหวัด ให้จับต้องได้ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

“มหกรรมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางอาหารสุขภาพทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ สอดคล้องกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพของประเทศ” — นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิด

ไม่ใช่แค่ “ติดป้าย” แต่คือการวางระบบ 3 เสาหลักของมาตรฐาน

มาตรฐาน Chiang Rai Wellness Standard Foods ถูกออกแบบให้เป็น “โครง” ที่ยกคุณภาพทั้งระบบ ไม่ใช่มาตรฐานหน้าร้านเพียงอย่างเดียว โดยมี 3 หัวใจ ที่ผู้ประกอบการต้องผ่านเกณฑ์ ก่อนจะได้ป้ายรับรองของจังหวัด

  1. วัตถุดิบคุณภาพ (ตรา Q / GAP และมาตรฐานเกษตรปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง)
    ร้านต้องเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานของภาครัฐ เช่น ตรา Q ภายใต้การกำกับของ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และมาตรฐาน GAP (กรมวิชาการเกษตร) เพื่อยืนยันว่าความปลอดภัยเริ่มตั้งแต่ในไร่
  2. สุขาภิบาลอาหารตามเกณฑ์ SAN / SAN Plus (กรมอนามัย)
    ครัว–อุปกรณ์–น้ำ–การจัดเก็บวัตถุดิบ–การสัมผัสอาหาร ต้องผ่านเกณฑ์สุขาภิบาลอาหารของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในระดับ SAN หรือ SAN Plus ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนและโรคที่เกิดจากอาหารครอบคลุมทั้งกระบวนการ
  3. เมนูสุขภาพผ่านเกณฑ์โภชนาการ (กรมอนามัย)
    เมนูที่ขึ้นรายการ “สุขภาพ” ต้องผ่านการพิจารณาตามเกณฑ์โภชนาการของกรมอนามัย ทั้งเรื่อง พลังงาน โซเดียม น้ำตาล ไขมัน และสัดส่วนวัตถุดิบที่เหมาะสม เพื่อให้คำว่า “เพื่อสุขภาพ” พิสูจน์ได้ ด้วยตัวเลขและหลักวิชาการ ไม่ใช่เพียงคำโฆษณา

ภาพรวมการขับเคลื่อนที่ผ่านมาตามข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย จังหวัดได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ผู้ประกอบการ กว่า 400 ร้าน จากนั้นลงพื้นที่ ตรวจประเมินเชิงลึก 90 ร้าน และล่าสุดมีร้านที่ ผ่านเกณฑ์แล้ว 71 ร้าน ซึ่งถือเป็นฐานแรกของ “แผนที่อาหารสุขภาพเชียงราย” ที่กำลังจะขยายไปยังอำเภอต่าง ๆ ในระยะถัดไป

จากไร่ถึงโต๊ะอาหาร ห่วงโซ่คุณค่าที่ตั้งใจสร้าง

สิ่งที่น่าจับตาในโมเดลเชียงรายคือ “การเชื่อมจุด” ที่ชัดเจนเกษตรกร ที่ปลูกพืชตามมาตรฐาน, ครัว/ร้านอาหาร ที่ปรุงตามสุขาภิบาล, และ เมนู ที่ถูกคุมโภชนาการก่อนจะไปจบที่ ผู้บริโภค/นักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เพียงผู้ชิม แต่เป็นผู้ตัดสินใจด้วยข้อมูล

เมื่อวัตถุดิบมาจากแปลงเกษตรปลอดภัย ราคา อาจสูงกว่าทั่วไปเล็กน้อย แต่ ความสม่ำเสมอและความเชื่อมั่น ที่เกิดขึ้นทำให้ร้านค้ากล้าพัฒนาเมนูใหม่ได้ต่อเนื่อง เมนูผักพื้นถิ่น-สมุนไพร เช่น ฟักข้าว ขมิ้น ไพล ดีปลี กระเจี๊ยบ ฯลฯ ถูกจัดวางใหม่ในรูปแบบร่วมสมัยสลัดน้ำยำสมุนไพรน้ำตาลต่ำ ก๋วยเตี๋ยวปลาน้ำซุปวัตถุดิบพื้นบ้านลดโซเดียม หรือเมนูข้าวกล้องผสมธัญพืชและรองรับผู้บริโภคที่ต้องคุมหวานคุมเค็มคุมมัน

ทำไม “อาหาร” จึงเป็นประตูสู่ Wellness City

การประกาศตัวเป็น “เมืองสุขภาพ” มีหลายทางเข้า: โยคะ สปา เส้นทางเดิน–วิ่ง สวนสาธารณะ แต่ “อาหาร” แตะคนได้มากที่สุด ทั้งชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยว เทศกาลในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เวทีขายของ หากเป็นเวที “ทดสอบและสื่อสารมาตรฐาน” กับสาธารณะโดยตรง เมื่อนักท่องเที่ยวรู้ว่า ร้านนี้ย่านนี้เมนูนี้ ผ่านเกณฑ์ของจังหวัด ความเชื่อมั่นจะขยายไปถึง แบรนด์เมือง ทันที

ในมุมเศรษฐกิจท่องเที่ยว การมี มาตรฐานอาหารสุขภาพ ชัดเจนจะดึงดูดกลุ่ม Wellness/Medical/Retirement Traveler ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องกลุ่มที่ใช้เวลาในพื้นที่นานขึ้นและใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งสำหรับค่ายาอาหารกิจกรรมกายภาพบำบัดสปา และสินค้าเกษตรแปรรูป

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง (Key Stats)

  • 400+ ร้าน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ
  • 90 ร้าน ตรวจประเมินเชิงลึก
  • 71 ร้าน ผ่านเกณฑ์แล้ว (คิดเป็นราว 78–79% ของร้านที่ถูกประเมินเชิงลึก)
  • 40+ บูธ เข้าร่วมงานในวันเปิดมหกรรม
    ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่าผู้ประกอบการ “พร้อมปรับตัว” และระบบประเมิน “ใช้งานได้จริง” ทั้งในเมืองและอำเภอรอบนอก

เสียงจากเวที และงานหลังบ้านที่มองไม่เห็น

บนเวทีเปิดงาน ผู้แทนร้านอาหารเชฟท้องถิ่นนักโภชนาการ แลกเปลี่ยนกันถึง “ต้นทุนการปรับตัว” เช่น การฝึกทีมครัวเรื่องการชั่งตวงลดเค็มลดหวาน การจัดเก็บวัตถุดิบให้ผ่าน SAN และการสื่อสารเมนูให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย ขณะที่ฝั่งหน่วยงานรัฐอธิบาย “ระบบพี่เลี้ยงหลังบ้าน” ทั้งคู่มือคลินิกโภชนาการชุดประเมินการสุ่มตรวจต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรฐานไม่หยุดอยู่ที่ป้ายวันแรก แต่ ยืนระยะได้ ในชีวิตจริงของร้าน

น.พ.คงศักดิ์ ชัยชนะ ระบุในรายงานสรุปว่า จุดเน้นของจังหวัดไม่ใช่ “จำนวนป้าย” หากเป็น “ความเข้มของระบบ” ที่ทำให้ผู้ประกอบการ วางกระบวนการ ได้ด้วยตนเองในระยะยาว และเชื่อมถึง เกษตรกรต้นทาง อย่างมีกติกาเดียวกัน

ความท้าทายและทางออก

แม้ภาพรวมจะเดินหน้าได้ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “ด่าน” สำคัญรออยู่

  • ความต่อเนื่องของวัตถุดิบมาตรฐาน Q/GAP: เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องวางแผนเพาะปลูก–เก็บเกี่ยว–กระจายสินค้าให้สอดคล้องกับฤดูกาลและเมนู
    แนวทาง: ทำ “แมตชิ่งลิสต์” เชื่อมร้าน–กลุ่มเกษตรกร จัดตารางวัตถุดิบล่วงหน้า และตั้งจุดรวบรวมผลผลิตที่ตรวจสอบย้อนกลับได้
  • ต้นทุนการปรับครัวให้ผ่าน SAN/SAN Plus: ร้านเล็ก ๆ อาจหนักกับการลงทุนอุปกรณ์/ระบบน้ำ/พื้นที่จัดเก็บ
    แนวทาง: ใช้โมเดล “พี่เลี้ยง–ไมโครเงินกู้–กองทุนชุมชน” ควบคู่คู่มือ Checklists รายจุด เพื่อให้การลงทุนมีลำดับและวัดผลได้
  • ทักษะอ่านฉลาก/คุมโภชนาการของทีมครัว: การลดโซเดียม–น้ำตาล–ไขมัน ต้องอาศัยการชั่ง–ตวง–วางสูตรและซ้อมมือ
    แนวทาง: คลินิกโภชนาการประจำเดือน, เวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติ และ “ธนาคารสูตรมาตรฐาน” ให้ร้านหยิบไปปรับใช้

เชื่อมกับ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” อย่างมีกลยุทธ์

หากมองในกรอบกว้าง แผน “อาหารสุขภาพ” สามารถเป็น สินทรัพย์แบรนด์เมือง ได้อย่างเป็นรูปธรรม—คล้ายเมืองอาหารของญี่ปุ่น–ไต้หวัน–ยุโรป ที่บูรณาการครัวสุขภาพเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยว เมืองเชียงรายมีฐานทรัพยากรอยู่แล้ว: โอทอปสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ชา–กาแฟสายคลีน ผลไม้ปลอดภัย ผักพื้นถิ่น และวัฒนธรรมล้านนาที่เชิญชวนสมาธิ การต่อชิ้นส่วนให้ครบอาจเกิดใน 3 มิติ

  1. เส้นทาง “กิน–เดิน–สุขภาพ”: จัดแพ็กเกจร้านผ่านมาตรฐาน + สปา/อบสมุนไพร + เส้นทางเดิน/ปั่น + จุดชมธรรมชาติ
  2. ป้าย/แผนที่ดิจิทัลแบบเรียลไทม์: รวมร้านที่ผ่านมาตรฐาน อัปเดตเมนูช่วงเวลาคิวคะแนนโภชนาการ ให้คนตัดสินใจได้เร็ว
  3. เทศกาลประจำฤดูกาล: ยกระดับมหกรรมครั้งนี้เป็นซีรีส์ 3–4 ไตรมาส เชื่อมกับฤดูกาลผลผลิต สร้าง “ปฏิทินสุขภาพเชียงราย”

เมืองสุขภาพ ไม่ใช่แค่วาทกรรม หากเป็น “งานระบบ”

สิ่งที่เชียงรายกำลังทำแตกต่างจากการประกาศวิสัยทัศน์ทั่วไป เพราะ เอามาตรฐานลงมือจริง เริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุด—“จานอาหาร”—แล้วค่อย ๆ สร้างเครือข่ายร้าน–ไร่–ผู้บริโภค และยกระดับไปสู่ แบรนด์เมือง ในที่สุด การมีตัวเลขชัดเจน (400/90/71) ช่วยยืนยันว่ากลไกเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงคำแถลงข่าว

และในคืนที่สวนตุงและโคมเต็มไปด้วยผู้คน การชิมที่มากกว่ารสชาติคือ “การชิมระบบ” ว่าหลังป้ายสวย ๆ มีมาตรฐานและการบ้านที่ทำมาจริงแค่ไหน เมื่อตอบคำถามนี้ได้ เชียงรายจึงเดินพ้น “คำขวัญ” และก้าวเข้าสู่ เมืองสุขภาพ ที่จับต้องได้

  • Outcome ระยะสั้น: ได้ชุดร้านต้นแบบ 71 ร้าน (จาก 90 ร้านที่ตรวจ) พร้อมป้ายมาตรฐาน ขยายผลสื่อสารกับประชาชนและนักท่องเที่ยว
  • Outcome ระยะกลาง: เชื่อมกลุ่มเกษตรกร Q/GAP กับครัวมาตรฐาน SAN และตั้ง “คลินิกโภชนาการ” ให้ร้านรักษามาตรฐานได้เอง
  • Outcome ระยะยาว: ยกระดับแบรนด์เมือง–รายได้ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–คุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยแผนที่ร้านสุขภาพทั้งจังหวัดและเทศกาลตามฤดูกาล

คีย์เวิร์ดของเชียงรายในปีนี้จึงไม่ใช่ “อร่อย” อย่างเดียว แต่คือ “อร่อยและพิสูจน์ได้” บนมาตรฐานที่ชัด โปร่งใส และตรวจสอบได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

36 ปี นครเชียงราย สื่อชุมชนที่ปลุกพลังความมุ่งมั่น จากผู้ชายที่เริ่มจากศูนย์

คอลัมน์พิเศษ “วันคล้ายวันเกิดผู้ก่อตั้ง” อัญเชิญ ก.บัวเกษร จาก “ศูนย์” สู่สื่อชุมชน—36 ปี นครเชียงรายที่ยืนข้างผู้คน

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 — เช้าวันฤดูฝนบนถนนสายเดิมที่เคยเป็นเส้นทางส่งหนังสือพิมพ์ “นครเชียงราย” รถส่งพิมพ์สอดประวัติศาสตร์ยังวนลูปผ่านย่านตลาดเก่า กลิ่นหมึกพิมพ์ไม่ต่างจากวันแรก ๆ เมื่อ พ.ศ. 2532 หากวันนี้มีความหมายกว่าทุกวัน เพราะตรงกับ วันคล้ายวันเกิด ของผู้ชายคนหนึ่ง—ผู้บุกเบิกสื่อท้องถิ่นในเชียงราย—นายอัญเชิญ ก.บัวเกษร หรือ “เล็ก นครเชียงราย” ผู้จากไปเมื่อ 22 มกราคม 2565 แต่ทิ้งแนวคิด “สื่อเพื่อชุมชน” ไว้เป็นต้นทุนให้คนข่าวรุ่นต่อ ๆ มา

เรื่องเล่าของเขาเริ่มต้นได้ไกลกว่าห้องข่าว—เริ่มจากบ้านร้านชำเล็ก ๆ ที่อำเภอชายแดน เริ่มจากความขัดแย้งกับพ่อในวัยเยาว์ และเริ่มจากคำประกาศกับตัวเองว่า “จะไม่ถอยหลัง” เรื่องนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากโรยด้วยคราบเหงื่อของการรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งตัวเองเรียน—ก่อนจะกลายเป็นพนักงานฝ่ายตรวจสอบที่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และสะสมทุนการศึกษาจนจบ วิทยาลัยกรุงเทพ (มหาวิทยาลัยกรุงเทพปัจจุบัน) ในสาขาสื่อสารมวลชน

“ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้แต่อ่าริษยาไม่ได้ พักได้แต่อย่าหยุด” — คำของพ่อที่เขาหยิบมาเป็นคำสอนประจำชีวิต (อ้างจากบทความ ‘ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ สู่วันแห่งความสำเร็จ’)

เสี้ยววินาทีที่เลือก “กลับบ้าน”

จังหวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในห้วงเวลาหนึ่งทำให้ตำแหน่งงานในเมืองหลวงไม่มั่นคงนัก “เล็ก” ในวัยทำงานจึงเลือกกลับเชียงราย—เมืองที่รู้จักทุกซอกซอยและรู้ว่าคนที่นี่ต้องการ “ข่าวสารที่เชื่อถือได้ใกล้ตัว” มากเพียงใด พ.ศ. 2532 ธุรกิจ หนังสือพิมพ์นครเชียงราย ก่อร่างขึ้นด้วยทุนความมุ่งมั่นและเครือข่ายบนดิน: ครู ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และร้านรวงที่พร้อมวางแผงหนังสือ

หากจะให้สรุป “คอนเซ็ปต์” ห้องข่าวของเขาในประโยคเดียว—คงเป็น “ออกแบบสื่อให้เดินถึงบ้าน” ข่าวของนครเชียงรายจึงมักเริ่มต้นจากปัญหาหน้าบ้าน—ตั้งแต่สาธารณูปโภค, ถนนพัง, เวรยามชุมชน, ไปจนถึงการศึกษาท้องถิ่น—แล้วกลับมาคิดว่าคนอ่านในหมู่บ้านจะได้ “ประโยชน์” อะไรเมื่อพับกระดาษแผ่นนี้จบ ในยุคที่สื่อส่วนกลางครอบคลุมประเทศ ข่าวระดับ “ตำบล-อำเภอ” กลับเป็นช่องว่าง—และนั่นคือพื้นที่อาชีพของเขา

36 ปี จากวันนั้นถึงวันนี้ (2532–2568) ชื่อ นครเชียงราย กลายเป็นเสมือน “ที่เก็บความทรงจำของเมือง” ที่มีทั้งข่าวเศร้า ข่าวสุข และข่าวธรรมดา ๆ ที่ทำให้ชุมชนเคลื่อนไหวอย่างมีส่วนร่วม

เสียงจากคลื่นวิทยุ 106.5 MHz และชั่วโมงแห่งความเป็นเพื่อน

ต่อมา พ.ศ. 2548 เขาขยาย “สำนักข่าวใจบ้าน” สู่ วิทยุชุมชน FM 106.5 MHz เพื่อให้ข่าวสาร “พูดได้” และ “ปลอบได้” ในยามชุมชนเจอเหตุฉุกเฉิน คลื่นวิทยุของเขาไม่ได้ใหญ่โต หากกลับทำสิ่งเล็ก ๆ ที่จำเป็น: แจ้งเส้นทางเลี่ยงน้ำป่า, ประสานรถพยาบาล, ฝากประกาศตามหาญาติ, เปิดไมค์ให้ช่างซ่อมท่อบอกวิธีเลี่ยงอันตราย—20 ปี ของคลื่นเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่ใหญ่เกินขนาดสถานี

เขายังผลักดันงานกุศลเชิงระบบ—ทั้งในบทบาท รองประธานมูลนิธิสำเร็จร่วมกุศลเชียงราย (ฝ่ายหารายได้) และเครือข่ายภาคประชาสังคมในเมืองเหนือ การระดมผ้าห่ม—ของใช้—อาหารแห้ง ไปจนถึงเครื่องมือแพทย์ในบางวาระ จึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะฤดูกาล หากแทรกอยู่ในระบอบชีวิตของห้องข่าวและผู้ฟังคลื่นชุมชน

รากการศึกษา จากอนุชนเหนือสู่มืออาชีพสื่อ

หากถอยหลังกลับไปอีก “เล็ก” โตมากับโรงเรียนในเชียงรายหลายแห่ง—เริ่ม ป.1–ป.3 โรงเรียนดรุณราษฏร์วิทยา (แม่สาย), ต่อ ป.4–ม.2 โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม, กลับมา ม.3 ดรุณราษฏร์วิทยา (แม่สาย), ย้าย ม.4 โรงเรียนผดุงปัญญา (ตาก) และ ม.5 โรงเรียนพระนครวิทยาลัย (กทม.) พร้อมสอบเทียบ ม.5 จากกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนจบ ปริญญาตรี สื่อสารมวลชน วิทยาลัยกรุงเทพ การเดินทางที่ขรุขระทางภูมิศาสตร์สะท้อนความไม่ยอมแพ้—และในกำแพงมหาวิทยาลัย เขายังอาสาทำกิจกรรมหลากหลาย: ประธานชมรมปาฐกถาและโต้วาที, ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์สโมสรนักศึกษา, สมาชิกค่ายอาสาพัฒนา, เคยมีบทบาท กลุ่มกิจกรรมนักศึกษา (Gruop C/กิจกรรม) และเป็น สมาชิกยุวชนประชาธิปัตย์ ในยุคนั้น—เครือข่ายทางสังคมที่กลายเป็นทรัพยากรสำคัญของนักข่าวท้องถิ่นในภายหลัง

ในเชิงวิชาชีพ เขาผ่านการฝึกงานอย่างเข้มข้น: เดลินิวส์ (พ.ศ. 2520), สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (สนามเป้า), สถานีวิทยุ 914 กรป.กลาง อ.แม่จัน, กองบัญชาการทหารสูงสุด (พ.ศ. 2521) และต่อยอดสู่งานจริงในกอง บรรณาธิการไทยรัฐ ก่อนลาออกช่วงปลาย พ.ศ. 2528 เพื่อกลับมาวางฐานอาชีพที่บ้านเกิด ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์ความรู้ด้านกองบรรณาธิการ—ด้านภาษา, ระบบตรวจสอบข่าว, วินัยห้องข่าว—ถูกยกมาปลูกลงใน “ดินแดนสื่อชุมชน” ของเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม

ประโยคที่เปลี่ยนชีวิต “กลับบ้าน”

ในบันทึก “ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ สู่วันแห่งความสำเร็จ” เขาเล่าช่วงวิกฤตไว้อย่างซื่อตรงว่าเมื่อความไม่แน่นอนถาโถมเข้ามา “คำของพ่อก็แว้บขึ้นในหัว” และตัดสินใจ กลับบ้าน เพื่อ “เริ่มใหม่” และ ขอโทษพ่อ—ฉากเล็ก ๆ หน้าบ้านที่เขาบอกว่า “น้ำตาไหล” กลายเป็น “รีสตาร์ต” ครั้งสำคัญของชีวิต นับจากวันนั้น เขาเริ่มประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ของตัวเอง และค่อย ๆ เติบโตเป็น “คนของสังคม” ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก

“ถ้าเราไม่ถอย ไม่หยุดเดิน สักวันเราจะรู้ว่าความลำบากในวันนี้มันคุ้มค่าเหลือเกิน” — อัญเชิญ ก.บัวเกษร (อ้างจากบันทึกชีวิตฯ)

บทบาท “พี่เลี้ยง” ของเยาวชนคนข่าว

ตลอดเส้นทาง เขามักรับเชิญไปบรรยาย “ประสบการณ์ทำงานจริง” ให้แก่นักเรียน-นักศึกษาหลายสถาบัน ทั้งการเขียนข่าว, จริยธรรมสื่อ, วิธีตรวจข่าว, การตั้งคำถาม และ “การใช้ภาษาให้รับผิดชอบต่อชุมชน” นักศึกษาจำนวนมากบอกตรงกันว่า—มากกว่าทฤษฎีที่ได้จากห้อง—คือความกล้าชนกับปัญหาจริงอย่างตรงไปตรงมา เช่น การตามเอกสารราชการ, การโทรถามหน่วยงานด้วยมารยาท, หรือการขอโทษเมื่อข่าวคลาดเคลื่อน เขาย้ำเสมอว่า “ความน่าเชื่อถือ คือทุนที่สำคัญที่สุดของคนข่าว”

งานอาสา–กุศล สื่อที่ยื่นมือ

ชื่อ “เล็ก นครเชียงราย” ถูกยกมาเมื่อใด มักพ่วงด้วยกิจกรรมระดมสิ่งของเพื่อผู้ประสบภัย—ตั้งแต่ ภัยหนาวบนดอย ถึง เหตุฉุกเฉินในชุมชน บทบาท รองประธานมูลนิธิสำเร็จร่วมกุศลเชียงราย (ฝ่ายหารายได้) ทำให้เขาเป็น “ตัวกลางที่ชุมชนไว้ใจ” การแจ้งข่าวผ่านหนังสือพิมพ์และคลื่นวิทยุช่วยให้การระดมทุนและการส่งมอบความช่วยเหลือ “ไปถึงมือผู้เดือดร้อนจริง”

เส้นเวลา (Timeline) ชีวิตและงาน

  • เกิด: วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2498 (ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม)
  • การศึกษา: สลับย้ายเรียนหลายจังหวัด ตั้งแต่แม่สาย–เชียงราย–ตาก–กรุงเทพฯ จบ ปริญญาตรี สื่อสารมวลชน วิทยาลัยกรุงเทพ
  • ฝึกงาน/งานสื่อส่วนกลาง: เดลินิวส์ (2520), ททบ.5, วิทยุ 914 กรป.กลาง, บก.ทท., ทำงาน กองบรรณาธิการไทยรัฐ (ลาออก ปลาย 2528)
  • ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์นครเชียงราย: เริ่ม พ.ศ. 2532 (นับถึงปีนี้ 36 ปี)
  • ผู้ก่อตั้งวิทยุชุมชนนครเชียงราย FM 106.5 MHz: เริ่ม พ.ศ. 2548 (ครบ 20 ปี)
  • งานสังคม: รองประธาน มูลนิธิสำเร็จร่วมกุศลเชียงราย (ฝ่ายหารายได้), ทำกิจกรรมรับบริจาคและงานกุศลต่อเนื่อง
  • ถึงแก่อนิจกรรม: วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2565 (ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด), สิริอายุ 65 ปี

ความหมายของ “นครเชียงราย” ในฐานะสื่อ

ในทางวิชาชีพสื่อ “นครเชียงราย” สร้างหมุดหมายที่น่าสนใจไว้หลายประการ

  1. การยืนระยะยาว 36 ปี ในธุรกิจสื่อท้องถิ่น—ซึ่งท้าทายทั้งยุคเปลี่ยนผ่านจากสิ่งพิมพ์สู่ดิจิทัล
  2. บทบาทคลื่นวิทยุชุมชน 20 ปี—ดูแล “ความรู้สึกปลอดภัย” ของผู้คนในยามคับขัน
  3. พลังเครือข่าย—จากโรงเรียน ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปจนถึงองค์กรภาคประชาสังคมและท้องถิ่น—ทำให้ข่าว “วิ่งได้” และความช่วยเหลือ “ไปถึง”
  4. การหล่อเลี้ยงคนข่าวรุ่นใหม่—ทั้งเวทีฝึกงานและการบรรยาย—ทำให้ “วินัยและจริยธรรมข่าว” ถ่ายทอดถึงรุ่นถัดไปอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดนี้อธิบายว่าเหตุใด “วันคล้ายวันเกิด” ของเขาจึงกลายเป็นวาระที่กองบรรณาธิการเลือกหยิบยกขึ้นมา—ไม่ใช่เพื่อโศกเศร้า หากเพื่อ ย้ำความหมายของคำว่า ‘เริ่มจากศูนย์’ ให้ดังพอสำหรับคนทำงานสื่อยุคใหม่ที่ยืนอยู่หน้าคลื่นลูกใหญ่ของเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลง

มรดกที่ทิ้งไว้ ไม่ใช่ตึก—แต่เป็น “วิธีคิด”

ที่สุดแล้ว มรดกของอัญเชิญ ก.บัวเกษร ไม่ได้มีเพียงเครื่องจักรพิมพ์หรือแฟ้มข่าว หากคือ วิธีคิดแบบลงมือทำ และ ความรับผิดชอบต่อชุมชน เขาแสดงให้เห็นว่า “สื่อท้องถิ่น” ไม่ได้เล็ก—หาก “ใกล้”—และความใกล้นั้นทำให้การรายงานข่าว ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ตั้งแต่ท่อรั่วจนถึงการหาทุนเครื่องมือแพทย์ บทสรุปที่เขาทิ้งไว้ในบันทึกชีวิตอาจเป็นคำสั้นที่สุดแต่ไกลที่สุด: เดินต่อไป”

ในวาระ 23 สิงหาคม 2568 กองบรรณาธิการจึงบันทึกคอลัมน์นี้ไว้ ไม่ได้เพื่อระลึกถึง “บุคคลสำคัญ” เท่านั้น แต่เพื่อระลึกถึง ความหมายของงานสื่อ ที่คนธรรมดาคนหนึ่งใช้ทั้งชีวิตค่อย ๆ ก่อขึ้น—เริ่มจากศูนย์—ด้วยมือเปื้อนหมึกและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หนังสือพิมพ์นครเชียงราย / กองบรรณาธิการ
  • บันทึกเชิงชีวประวัติ: “ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ สู่วันแห่งความสำเร็จ” โดย เล็ก นครเชียงราย (อัญเชิญ ก.บัวเกษร)
  • เอกสารแจ้งการถึงแก่อนิจกรรม/กำหนดการทางครอบครัว (พ.ศ. 2565)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยสู่เวทีโลก! 2 นักออกแบบเชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย “ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”

เชียงรายสู่เวทีแฟชั่นผ้าไทย 2 นักออกแบบดาวรุ่งจ่อขึ้นชิงชัยระดับภูมิภาค ภายใต้โครงการ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”  เมื่อ Soft Power เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย / ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — บนเส้นด้ายที่ทอดยาวระหว่าง “ราก” และ “โลก” ชื่อของเชียงรายถูกขีดเส้นใต้ขึ้นมาอีกครั้งในแผนที่แฟชั่นไทย เมื่อสองนักออกแบบรุ่นใหม่ของจังหวัด—กนกพร ธรรมวงค์ และ สมชัย ธงชัยสว่าง—เตรียมขึ้นเวทีรอบระดับภูมิภาคในโครงการ นักออกแบบผ้าไทย ใสให้สนุกรุ่นใหม่ 2568 (Young Designer 2025)” หลังฝ่าด่านการแข่งขันที่มีผู้ส่งผลงานจากทั่วประเทศจำนวนมาก สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังกระเพื่อมจากท้องถิ่นสู่เวทีใหญ่

ขณะที่สตูดิโอเล็ก ๆ ของนักออกแบบในตัวเมืองเชียงรายยังมีเสียงจักรเย็บผ้าและแสงไฟดวงเล็กโชยอุ่น—เรื่องเล่าของผืนผ้า “ลายจกสามดอก” ที่ถูกตีความใหม่ และแนวคิดความงามแบบ Wabi Sabi ที่เคยคว้ารางวัลระดับชาติ—กำลังจะถูกจับขึ้นกรอบเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความงาม หากคือบทพิสูจน์ว่า ผ้าไทย สามารถ “ใส่แล้วสนุก” และ “ขายได้จริง” ในโลกปัจจุบัน

ประกวดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพระราชดำริ จาก “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สู่ห้องทดลอง Soft Power

หัวใจของโครงการปีนี้ยังยึดโยงกับ พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงผลักดันแนวคิด ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ให้ผ้าไทยกลับมาเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และขยายผลสู่เศรษฐกิจฐานราก ผ่านคณะทำงานเชิงปฏิบัติการที่เปรียบประดุจ วิชชาลัยผ้าเคลื่อนที่/คาราวานนักออกแบบ” ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาชุมชน จนเกิดองค์ความรู้ต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือแนวโน้ม Thai Textiles Trend Book และเวทีแข่งขันของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เชื่อมชุมชนกับตลาดสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์

ในเชิงสถาบัน โครงการได้รับการขับเคลื่อนโดย กระทรวงมหาดไทย ผ่าน กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ทำให้การคัดสรรและสนับสนุนผลงานจากชุมชนสู่เวทีชาติเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนบางกิจกรรม สะท้อนโมเดลความร่วมมือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศผ้าไทยในระยะยาว.

ภาพรวมการแข่งขันปี 2568 ตัวเลขสะท้อนแรงกระเพื่อม

เวทีปีนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคัก—มีผู้ส่งผลงานรวม 735 ราย เข้าสู่รอบคัดเลือกที่จัดแถลงข่าวเปิดตัว ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ก่อนจะคัดเหลือ ตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค 4 ภาค รวม 80 ราย (ภาคละ 20) เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่รอบประเทศ, ปักหมุดสำคัญไว้ที่ รอบชิงชนะเลิศ 28 ตุลาคม 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม

สำหรับ ภาคเหนือ—เวทีของตัวแทนเชียงราย—การประกวดกำหนดจัด วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมมีเลีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นด่านชี้ชะตาเพื่อคัดเข้าสู่รอบระดับประเทศต่อไป

หมายเหตุ: สื่อบางแห่งรายงานว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป 94 ราย (นับจากการคัดกรองชุดแรก) ก่อนจะจัดสรรลงสู่เวทีภาค แต่ เอกสารทางการของรัฐบาลระบุกรอบแข่งขันระดับภูมิภาค 80 ราย (ภาคละ 20) จึงอาจเกิดความแตกต่างเชิงเทคนิคจากขั้นตอนคัดกรองและการสรุปตัวเลขในแต่ละช่วงเวลา

ในฝั่งรางวัล กรอบรางวัลตามเอกสารประชาสัมพันธ์ทางการ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ 200,000 บาท, รองชนะเลิศ 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับสอง 75,000 บาท และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล ๆ ละ 40,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันสะท้อน แรงจูงใจเชิงคุณค่าทั้งตัวเงินและเวทีพัฒนาอาชีพ ที่ชัดเจน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านองค์ความรู้และโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์หลังเวทีแข่งขัน

เชียงรายส่งสัญญาณจาก “ราก” สองดีไซเนอร์–สองตัวตน–หนึ่งเป้าหมาย

แม้แต่ละภูมิภาคจะส่งตัวแทนขึ้นเวทีจำนวนจำกัด แต่เรื่องเล่าจากเชียงรายปีนี้โดดเด่นในเชิง “อัตลักษณ์ + ความร่วมสมัย” อย่างน่าจับตา

  • กนกพร ธรรมวงค์ (รหัสผลงาน N67 ตามข้อมูลที่วงการแฟชั่นท้องถิ่นเผยแพร่) เลือกหยิบ ลายจกสามดอก มาเป็นวัตถุดิบทางความคิด แล้วพัฒนาเป็นแนวทางร่วมสมัยที่ “สนุกและใส่ได้จริง” โดยให้ความสำคัญกับการ ทอและการย้อมสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวโน้มแฟชั่นยั่งยืน โลกออนไลน์เคยเห็นผลงานเธอผ่าน โชว์ผ้า/วิดีโอแนะนำงานชุมชน ซึ่งปรากฏแนวทาง “วิจิตรลายจกสามดอก” ชัดเจน.
  • สมชัย ธงชัยสว่าง (รหัส N72 ตามลำดับการประกวดที่วงการออกแบบกล่าวถึง) โดดเด่นจากผลงานแนวคิด Wabi Sabi ที่เคยพาเขาคว้ารางวัลระดับชาติ (SACIT AWARD 2021) ด้วยภาษาการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง—สะท้อนความงามของ “ความไม่สมบูรณ์อันเป็นธรรมชาติ”—แล้วนำมาผสานกับโครงสร้างและผิวสัมผัสของผ้าไทยอย่างลงตัว ทุนทางความคิดที่พิสูจน์มาแล้ว ทำให้เขาถูกจับตาในฐานะผู้เล่นที่พร้อมต่อยอดสู่เวทีภูมิภาค

ทั้งคู่คือภาพแทนของ “ท้องถิ่นที่ต่อกับโลก”—คนหนึ่งยืนบนฐานชุมชนและการย้อมธรรมชาติ อีกคนทำให้แนวคิดร่วมสมัยเชื่อมกับภูมิปัญญาผืนผ้า—และพร้อมพิสูจน์ว่า แฟชั่นผ้าไทย อาจไม่ใช่เพียงพิธีการหรือความทรงจำอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ประกวดทำไมเวทีนี้สำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก

ความต่างของ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุก” เมื่อเทียบกับเวทีแฟชั่นสากล คือ วัตถุประสงค์ ที่ต้องการ “พลิกผ้าไทยให้กลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน” มากกว่าการทำคอลเลกชันโชว์อย่างโดดเดี่ยว โครงสร้างการแข่งขันจึงตั้งอยู่บนการ เชื่อมชุมชน–ดีไซเนอร์–ตลาด อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรงบันดาลใจลวดลาย, การเลือกเส้นใย/ย้อมสีที่ยั่งยืน, การออกแบบแพตเทิร์นให้ใส่ง่าย/ผลิตซ้ำได้, ไปจนถึงการสื่อสารแบรนด์และการเข้าถึงช่องทางจำหน่าย

ขุมพลัง Soft Power อยู่ตรงนี้—เมื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบองค์ความรู้ใน Thai Textiles Trend Book และคำแนะนำจากคณะทำงานลงไปทดลองจริงกับชุมชน ต้นทุนทางวัฒนธรรม จึงถูกแปรรูปเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกัน การนำเวทีประกวดกระจายไปยัง 4 ภูมิภาค ก็ช่วยให้ การเดินทางขององค์ความรู้ ไม่ติดอยู่ในเมืองหลวง แต่ไหลกลับไปสู่แหล่งผลิตผ้าอันหลากหลาย ทำให้การพัฒนาเกิด “วงจรป้อนกลับ” ที่ยั่งยืนกว่าเวทีประกวดทั่วไป

เส้นทางสู่เวทีใหญ่ กำหนดการที่ต้องรู้

  • รอบระดับภาคเหนือ: 30 สิงหาคม 2568 ที่ โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่
  • รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ: 28 ตุลาคม 2568 ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ทั้งสองหมุดหมายคือด่านสำคัญที่นักออกแบบต้อง “แปลงสเก็ตช์ให้เป็นชุดจริง” และสื่อสารคอนเซ็ปต์ให้จับใจคณะกรรมการ/ผู้ชม ขณะที่เบื้องหลังคือการ จับมือกับช่างทอ/กลุ่มผู้ผลิต เพื่อสร้างต้นแบบที่ทั้งสวยและผลิตซ้ำได้—นี่แหละ บทพิสูจน์วัดฝีมือของแฟชั่นร่วมสมัยที่ต้องขายได้จริง

เวทีนี้ “ปั้นอาชีพ” ได้จริง

ปีก่อนหน้า นายรุจ กล้ำศรี คว้ารางวัลชนะเลิศ New Gen Young Designer 2024 พร้อมรางวัลตัวเงินและเครื่องมือทำงาน (เช่น จักรเย็บผ้า, แท็บเล็ต) ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเวทีนี้ที่ ไม่หยุดแค่ถ้วยรางวัล แต่ “มอบเครื่องมือ” ให้ต่อยอดอาชีพจริง ขณะเดียวกัน การได้รับการยอมรับจากเวทีที่อยู่ภายใต้พระราชดำริ ยังกลายเป็น ตราประทับความน่าเชื่อถือ ต่อแวดวงธุรกิจแฟชั่นและผู้บริโภค

คำถามเชิงนโยบาย ตัวเลข 735 ชี้อะไร?

ตัวเลขผู้สมัคร 735 ราย บอกเราว่า “แรงดึงดูด” ของผ้าไทยในหมู่คนรุ่นใหม่ยังสูง และ พื้นที่ให้ทดลอง (เช่น การให้ส่งสเก็ตช์/สตอรี่บอร์ดก่อน) ทำให้ ต้นทุนการเข้าร่วมต่ำ จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากได้ลองสนาม เมื่อคัดสรรเหลือ 80 ตัวแทนเข้าสู่เวทีภาค จะยิ่งเห็น คุณภาพเชิงไอเดียและการผลิต เด่นชัดขึ้น—นี่คือฟิลเตอร์ที่ทำให้ “ความสนุก” ขยับไปเป็น “ความจริงจังทางอาชีพ” อย่างมีขั้นตอน

ในแง่ระบบนิเวศ หากดู จุดหมายปลายทาง (ไอคอนสยาม) และ จุดสตาร์ต (โรงแรม/สถานที่จัดระดับพรีเมียม) ย่อมสื่อสารภาพลักษณ์ “แฟชั่นร่วมสมัยของไทย” ในเชิงสากล ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคเหนือที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฮับครีเอทีฟของภูมิภาค ก็ทำให้เวทีนี้ “อยู่ใกล้แหล่งผลิต” มากพอ—เกิดทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ผลิตจริงในคราวเดียว.

จากเวทีภาคเหนือ…สู่มูลค่าเพิ่มของชาติ

การที่เชียงรายมีชื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ถูกจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องของจังหวัดหนึ่ง หากคือหลักฐานว่า “ระบบนิเวศผ้าไทย” เริ่มทำงานในแบบที่ ภูมิปัญญา–ดีไซน์–ตลาด เดินไปด้วยกัน เมื่อเวทีระดับภูมิภาคเปิดโอกาสให้ ราก ทำความรู้จักกับ โลก ผ่านภาษาแฟชั่นร่วมสมัย เราจึงได้เห็น ลายจกสามดอก ที่ถูกแปลเป็นเสื้อผ้าใส่จริง และ ความงามแบบ Wabi Sabi ที่กลายเป็นจังหวะใหม่ของผิวผ้าไทย นี่คือ Soft Power ที่จับต้องได้—เริ่มจากหมู่บ้าน สู่ห้องตัดเย็บ ไปจนถึงรันเวย์ และท้ายสุด…สู่ ยอดขายและงานทำ ในชุมชน

เวที 30 สิงหาคม ที่เชียงใหม่ คือบททดสอบสำคัญของนักออกแบบเชียงราย และหากผ่านด่านนี้ พวกเขาจะมีนัดใหญ่ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม วันที่ 28 ตุลาคม โจทย์ไม่ใช่เพียงว่า “สวยแค่ไหน” หากต้องตอบให้ได้ว่า ใส่แล้วสนุก ขายได้จริง และคืนกำไรให้ชุมชน” มากเพียงใด—คำตอบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การเชื่อมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–ผู้ประกอบการ–หน่วยงานรัฐ ให้แน่นแฟ้นพอที่จะเปลี่ยน “ผืนผ้า” ให้กลายเป็น “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)
  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • Yu Jia Dong
  • พู่ววววว พู่
  • ผ้าไทยใส่สนุก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โมเดล Co-Learning Space: รมช.ศึกษาฯ ยกระดับห้องสมุดเชียงรายสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต

 “การศึกษาคือโอกาส” รมช.ศึกษาฯ ลงพื้นที่ ย้ำโมเดล “Co-Learning Space” ยกระดับห้องสมุด–ฟื้นฟู สกร. หลังน้ำท่วม สร้างระบบเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เข้าถึงได้จริง

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 – การลงพื้นที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ มีนัยสำคัญเชิงนโยบายอย่างน้อย 3 มิติ ได้แก่ (1) สานต่อกฎหมาย “ส่งเสริมการเรียนรู้” ที่ยกระดับงานการศึกษาตลอดชีวิตจากอดีต กศน. สู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะตลอดชีวิตมีฐานกฎหมายและงบประมาณชัดเจน (2) เร่งแปลง “ห้องสมุดประชาชน” ให้เป็น Co-Learning Space หรือ “พื้นที่เรียนรู้ร่วม” เชื่อมอ่าน-ทำ-อาชีพ ตามแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและเมืองแห่งการเรียนรู้สากล เพื่อยกระดับคุณภาพ (value) แทนการวัดผลด้วยปริมาณผู้ใช้บริการอย่างเดียว และ (3) ฟื้นฟูความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการเรียนรู้หลังภัยพิบัติ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ที่กระทบหลายจังหวัดทางเหนือ รวมถึงเชียงราย ซึ่งสะท้อนโจทย์ “ความยืดหยุ่นของระบบการเรียนรู้ (learning resilience)” ที่ต้องรับมือได้ทั้งยามปกติและยามวิกฤต

เมื่อวางเหตุการณ์ลงบนแผนที่นโยบายระดับประเทศ จะเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบสากลของยูเนสโกเรื่อง “เมืองแห่งการเรียนรู้” (Learning Cities) ที่ผลักดันระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านสถานที่เรียนรู้สาธารณะ เช่น ห้องสมุด ศูนย์ชุมชน และพื้นที่สร้างสรรค์ โดยเน้นคุณค่าเชิงทักษะและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และชุมชนภูเขา—ยิ่งทำให้โมเดล Co-Learning Space เป็นเครื่องมือที่ “ตรงโจทย์พื้นที่” มากกว่านโยบายส่วนกลางเชิงเส้น

ห้องสมุดที่ไม่ใช่แค่ชั้นหนังสือ

ยามบ่ายวันเสาร์ แสงแดดลอดกระจกใสของห้องสมุดประชาชนกลางเมืองเชียงราย โต๊ะยาวถูกจัดเป็นเวิร์กช็อปสาธิตอาหารพื้นถิ่น ด้านข้างเป็นโซนงานฝีมือและมุมสื่อดิจิทัลที่ผู้เรียนเปิดดูคลิปวิธีทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างตั้งใจ เสียงพูดคุยสลับกับเสียงคลิกเมาส์—ภาพที่บอกว่า “ห้องสมุด” ไม่ได้มีบทบาทแค่ที่เก็บหนังสืออีกต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ เดินชมผลงานของผู้เรียนภายใต้การดูแลของ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ระดับอำเภอเมืองเชียงราย ทั้งงานศิลปะ งานฝีมือ และอาหารท้องถิ่นที่ต่อยอดเป็นอาชีพได้จริง ก่อนประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ครู และบุคลากร สกร. โดยเน้นวิสัยทัศน์ให้ห้องสมุดประชาชนพัฒนาไปสู่ “Co-Learning Space”—พื้นที่ที่คนทุกวัยเข้ามาเรียนร่วมกัน แบ่งปันความรู้ ต่อทักษะเป็นอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้ทุกคนที่ได้รับการศึกษาคือคนที่โชคดี และการได้เรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน… การเรียน สกร. คือการสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง และทำให้มีทักษะอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”
— ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ กล่าวระหว่างมอบนโยบาย

จาก “กฎหมายส่งเสริมการเรียนรู้” สู่ สกร. เครื่องยนต์การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการศึกษาตลอดชีวิตไทยคือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ซึ่งยกระดับงานด้านการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยสู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะประชาชนตลอดช่วงชีวิตมีฐานะทางกฎหมาย โครงสร้าง และพันธกิจที่ชัดเจนกว่าเดิม ทั้งในแง่การจัดหลักสูตรยืดหยุ่น การเทียบโอนผลการเรียนรู้ และการเชื่อมต่อการเรียนกับอาชีพในพื้นที่ โดยเอกสารวิชาการและข้อมูลสาธารณะให้ภาพรวมพัฒนาการของกฎหมายฉบับนี้และทิศทางของหน่วยงานใหม่ไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ในวันนี้.

ในระดับพื้นที่ เชียงรายมีหน่วยงาน สกร.จังหวัด-อำเภอ และเครือข่ายห้องสมุดประชาชน/ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนทำงานเชิงรุกอยู่แล้ว เอกสารแนะนำหน่วยงาน สกร.เชียงรายสะท้อนภาพรวมการบริการความรู้และกิจกรรมสาธารณะหลายมิติ—ตั้งแต่มุมอ่านหนังสือ สื่อดิจิทัล เวิร์กช็อปทักษะอาชีพ ไปจนถึงกิจกรรมวัฒนธรรม—ซึ่งเป็นฐานพร้อมต่อยอดสู่ Co-Learning Space เต็มรูปแบบ

ทำไมต้อง “Co-Learning Space” จากแนวคิดสากลสู่การใช้งานจริง

แนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและพื้นที่เรียนรู้ร่วม ไม่ใช่แฟชั่นระยะสั้น แต่คือ “สถาปัตยกรรมการเรียนรู้” ที่สอดคล้องกับกรอบสากลของ UNESCO Institute for Lifelong Learning (UIL) ที่ผลักดันเครือข่าย “เมืองแห่งการเรียนรู้ (Global Network of Learning Cities)” เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ในชุมชนผ่านพื้นที่สาธารณะ—ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม—ให้เป็นฐานพลังทุนมนุษย์และความยืดหยุ่นของเมือง

ด้านการออกแบบเชิงปฏิบัติ หน่วยงานไทยอย่าง TK Park – สถาบันอุทยานการเรียนรู้ ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบห้องสมุดมีชีวิต” ที่พัฒนากรอบคิด Good Library Space และนวัตกรรมบริการอ่าน-คิด-ทำ ให้ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ (creative commons) สำหรับทุกวัย ซึ่งเป็นประสบการณ์โดยตรงที่พื้นที่อย่างเชียงรายสามารถหยิบไปปรับใช้ได้ทันที ทั้งการจัดโซนทำงานร่วม (co-working/co-making) การเชื่อมดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจกรรมเสริมทักษะอาชีพที่ตอบโจทย์ชุมชน.

ความหลากหลาย + ชายแดน + ฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ทั้งชุมชนไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ลาหู่ ฯลฯ งานวิจัยท้องถิ่นสะท้อนภาพ “ความต่างที่อยู่ร่วมกัน” ในหลายอำเภอ เช่น อำเภอเชียงแสนที่พบชุมชนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นทั้งทุนทางวัฒนธรรมและโจทย์ด้านภาษากับสื่อการเรียนรู้ที่ต้องออกแบบให้เข้าถึงจริง.

อีกด้านหนึ่ง เชียงรายได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ในช่วงมรสุมปี 2567 จากอิทธิพลพายุ “ยากิ” และร่องมรสุม ส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ-อีสานเผชิญน้ำหลาก-ดินถล่ม หน่วยงานประสานความร่วมมือภัยพิบัติภูมิภาคอาเซียน (AHA Centre) ระบุสถานการณ์และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบชัดเจน รวมถึงพื้นที่เชียงราย ซึ่งในมิติการศึกษาต้องเร่งฟื้นฟูทั้งสถานที่และระบบบริการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ห้องคลังสื่อ ศูนย์ e-exam) ให้กลับมาพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัยและยืดหยุ่น.

ด้วยภูมิศาสตร์แบบประตูการค้าชายแดนและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โมเดล Co-Learning Space จึงไม่ใช่แค่การ “ทำห้องสวย” แต่คือการวางแพลตฟอร์มบริการความรู้ที่เชื่อม อ่าน–ทำ–อาชีพ–ดิจิทัล ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ตั้งแต่วัยเรียน แรงงานนอกระบบ ไปจนถึงผู้สูงวัยและผู้พิการ

แผนที่สู่การปฏิบัติ 4 กลไกเร่งด่วนที่ “ทำได้เลย”

1) ปรับห้องสมุดเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วม
จัดโซน co-working/co-making พร้อมอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับฝึกอาชีพเบื้องต้น (งานช่างฝีมือ อาหาร แปรรูปสินค้า) และมุมดิจิทัลสื่อการสอน/ให้คำปรึกษาอาชีพออนไลน์ เชื่อมแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตของ TK Park เข้ากับสภาพจริงของห้องสมุดชุมชน—ชั้นหนังสือน้อยลง พื้นที่กิจกรรมมากขึ้น บริการ “ครูพี่เลี้ยง” และอาสาสมัครรู้จริงในทักษะอาชีพ.

2) เปิดหลักสูตรยืดหยุ่น–เทียบโอนผลการเรียนรู้
ใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ 2566 ผลักดันการเทียบโอนทักษะจากงานจริง (RPL: Recognition of Prior Learning) ให้คนทำงานและผู้เรียนกลุ่มเปราะบาง “จบหลักสูตร” ได้เร็วขึ้น และเชื่อมต่อสู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ/ประกาศนียบัตรระยะสั้นที่ตลาดแรงงานต้องการ ลดต้นทุนเวลาและโอกาสที่หลุดจากระบบ.

3) ฟื้นฟู–ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม
เร่งซ่อมแซม/ย้ายจุดเสี่ยงของศูนย์บริการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุดคลังสื่อและศูนย์ e-exam ให้ปลอดภัยรองรับน้ำท่วมซ้ำซาก ออกแบบระบบสำรองไฟ-สำรองข้อมูล-ระบบออนไลน์ให้สลับโหมดได้ทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้การสอบ การเทียบโอน และการเรียนออนไลน์ “ไม่สะดุด” ในภาวะวิกฤต.

4) ปิดช่องว่างดิจิทัล (digital divide)
อาศัยข้อมูลสำรวจไอซีทีครัวเรือนของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เป็นฐานวิเคราะห์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต-อุปกรณ์ เริ่มจากตำบล/อำเภอที่มีอัตราการเข้าถึงต่ำสุด จัด “จุดเชื่อมต่อเรียนรู้ดิจิทัล” และคลินิกทักษะดิจิทัลเบื้องต้นควบคู่กับ Co-Learning Space เพื่อให้ผู้เรียนทุกวัยใช้บริการภาครัฐ/สมัครงาน/เรียนออนไลน์ได้จริง. Royal

ห้องสมุด = เวิร์กช็อปอาชีพ + ศูนย์รวมชุมชน

ผู้เรียนวัยทำงานที่นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาวางสาธิต เล่าว่าเดิม “เข้าห้องสมุด” เพื่อยืมหนังสือ แต่เมื่อมีคลินิกอาชีพและมุมดิจิทัล ก็เริ่มค้นสูตร ทดลองทำสินค้า ถ่ายภาพ-ตัดต่อคลิป สร้างตัวตนบนออนไลน์ และนำความรู้ไปขายจริงในตลาดนัดชุมชน “ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่ทำงานและที่ปรึกษา” ขณะที่ครูอาสา สกร. ย้ำว่าการมีพื้นที่ให้เรียนรู้ร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนหลากวัยช่วยกันเติมเต็ม—คนรุ่นพี่ถ่ายทอดภูมิปัญญา คนรุ่นใหม่เสริมดิจิทัล—เกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ (learning community) ที่ยั่งยืนกว่าชั้นเรียนสั้น ๆ

แม้รายละเอียด “อันดับการใช้งาน” ของห้องสมุดแต่ละจังหวัดอาจต่างกันไปตามเดือนและดัชนีที่ใช้วัด แต่แนวโน้มเชิงนโยบายและต้นแบบบริการของไทย-ต่างประเทศชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ห้องสมุดยุคใหม่ต้องเป็น แพลตฟอร์ม มากกว่าสถานที่—แพลตฟอร์มที่ประชาชนเข้ามา “อ่าน-เรียน-ทำ-เชื่อมงาน” ได้ในจุดเดียว และหากผูกเข้ากับการเทียบโอน/วุฒิบัตรระยะสั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าต่อเวลาและรายได้ของผู้เรียน

เชื่อมระดับพื้นที่กับระดับโลก เมืองแห่งการเรียนรู้คือความยั่งยืน

ยูเนสโกเสนอว่าการเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” จะทำให้เมืองยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจชุมชนหลากหลายขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำ เพราะทุกคนมีช่องทางเติมทักษะตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง—ห้องสมุด โรงเรียน ศูนย์ชุมชน และดิจิทัลทำงานร่วมกันเป็นระบบนิเวศเดียว ในมุมนี้ เชียงรายมีทุนพร้อม ทั้งภาคการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เครือข่ายชุมชนชาติพันธุ์ และเป็นจุดเชื่อมชายแดน หาก Co-Learning Space ขยายจากตัวเมืองสู่ตำบล-หมู่บ้าน พร้อมวัดผลด้วยตัวชี้วัดเชิงมูลค่า (เช่น รายได้ต่อครัวเรือนจากทักษะใหม่ จำนวนผู้เทียบโอนสำเร็จ หรือเวลาเข้าถึงบริการรัฐที่ลดลง) เมืองจะ “เห็นผล” ได้เร็วกว่าการวัดเพียงจำนวนคนเข้าใช้ห้องสมุด

จากคำประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” สู่การเปลี่ยนพื้นที่ให้เรียนรู้ได้จริง

สารสำคัญจากเชียงรายวันนี้คือ การประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” ไม่ได้หยุดอยู่ที่เวทีสัมมนา แต่ถูกวางเป็น พิมพ์เขียวปฏิบัติการ ผ่าน 4 กลไก—แปลงห้องสมุดเป็น Co-Learning Space, เทียบโอนทักษะ-หลักสูตรยืดหยุ่น, ฟื้นฟูโครงสร้างหลังภัยพิบัติ, และปิดช่องว่างดิจิทัล—ทั้งหมดสอดรับทั้งกฎหมายไทยด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวคิดสากลของยูเนสโก และภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย

คำกล่าวของ รมช.ศึกษาฯ ที่ว่า “การเรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน” จึงไม่ใช่เพียงประโยคให้แรงบันดาลใจ แต่เป็นกรอบคิดเชิงนโยบายที่เรียกร้อง “การลงมือทำ” ต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานออกแบบพื้นที่ บริการ และข้อมูล ไปจนถึงการประสานภาคีในจังหวัด หากเชียงรายเดินตามพิมพ์เขียวนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีโอกาสก้าวสู่ Learning City ที่คนทุกวัย “เข้าไปแล้วมีทางออก”—ทางออกสู่ทักษะใหม่ งานใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงราย (สกร.)
  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่
  • สถิติการใช้งานห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ภาษา-อักษรตั๋วเมืองสิ้นลม

เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ล้านนาและครูภาษา-อักษรตั๋วเมือง สิ้นลมหายใจวัย 84 ปี—ทิ้งมรดกความรู้ที่กลั่นจากใบลานสู่ฟอนต์ดิจิทัล

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่กลางฤดูฝน เมืองเชียงรายเงียบขรึมเป็นพิเศษ ข่าวการจากไปของ “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ทางภาษา วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ยวน-ล้านนา แพร่ไปตามสายลมและโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนจำภาพชายสูงวัยผู้มีแววตาอ่อนโยนที่นั่งสอน “อักษรธรรมล้านนา” หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากว่า “ตั๋วเมือง” อยู่ริมเสาศาลาการเปรียญได้เสมอ วันนี้สรีรสังขารของท่านถูกตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 20–21 สิงหาคม 2568 และกำหนดฌาปนกิจในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม โดยมีลูกศิษย์ ญาติมิตร และคนรักภาษา-วัฒนธรรมทะยอยมาร่วมแสดงความอาลัยไม่ขาดสาย (สำเนียงและสถานที่วัดตรงกับฐานข้อมูลวัดในพื้นที่เชียงราย)

จากเด็กชายริมกกสู่ครูผู้ “อ่านออก-เขียนได้” ในภาษาแห่งแผ่นดินเหนือ

พ่อครูชรินทร์เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ที่บ้านสันต้นเปา ตำบลรอบเวียง เมืองเชียงราย เป็นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้องหกคน เติบใหญ่ในสังคมที่ “คำเมือง” เป็นภาษาชีวิต จากประถมที่เชียงรายวิทยาคมถึงมัธยมที่สามัคคีวิทยาคม เขาหลงใหลตัวหนังสือ บันทึก และเรื่องเล่าของบ้านเมือง ทศวรรษ 2490 ปลาย ๆ คือจุดพลิกผัน เมื่อท่านเริ่ม “เรียนตั๋วเมือง” อย่างเป็นระบบกับพระเถระนักปราชญ์—กรอบความรู้ที่ตามมาคือการปริวรรต (อ่าน-ถอด) จารึกใบลาน พับสา ตำนาน และธรรมคัมภีร์ เพื่อให้วิชาความรู้ในวัดออกมาหายใจนอกกำแพงวัด

ความรักในการ “แปลงลายมือโบราณเป็นภาษาอ่านได้” พาเขาเดินยาวกว่าครึ่งศตวรรษ—จากห้องสมุดวัด ไปถึงโรงพิมพ์ท้องถิ่น และโต๊ะเรียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานเบื้องหลังที่สังคมไม่ค่อยเห็น แต่ผลงานกลับฝังอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเมืองเหนือ: หนังสือ ใบประกาศ วารสาร และฟอนต์ตัวอักษรที่ทำให้ “ตั๋วเมือง” ปรากฏบนจอคอมพ์และป้ายวัดอย่างสง่างาม (หลักฐานชี้ว่า พ่อครูร่วมบรรณาธิการนิตยสาร ไชยนารายณ์” และมีส่วนในการออกแบบฟอนต์ล้านนาที่ใช้แพร่หลายในเชียงรายและภาคเหนือ)

ตัวเลขที่ชวนคิด: ในคลังคัมภีร์ล้านนาที่กระจัดกระจายตามวัด ชุมชน และครอบครัว มี ใบลาน-พับสา นับไม่ถ้วนที่บันทึกยา อาชีพ พิธีกรรม ตลอดจนพงศาวดารพื้นถิ่น งาน “อ่าน-ถอด–เรียบเรียง” คือสะพานเชื่อมภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่—และพ่อครูคือหนึ่งใน “ช่างต่อสะพาน” คนสำคัญ

ภาษามีชีวิตถ้ามีคนอ่าน” — ครูอาสาผู้คืนลมหายใจให้ตั๋วเมือง

ภาพจำของผู้พบพ่อครูครั้งแรก คือท่านนั่งล้อมวงกับเยาวชนและคนทำงาน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เปิดตำรา “ตั๋วเมือง” เรียนรู้พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และหลักการสะกดแบบล้านนา พร้อมเล่าที่มาของอักษรธรรมว่ามีสายสัมพันธ์กับมอญ-ขอม และวัฒนธรรมพุทธในลุ่มน้ำโขง หลายปีที่ผ่านมา วัดสำคัญในเชียงใหม่-เชียงราย อาทิ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร และเครือข่ายคณะครูภูมิปัญญา ได้เปิดพื้นท่ีเรียน-สาธิตอักษรล้านนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงขับเคลื่อนภาคสังคมที่ “เอาจริง” กับภาษาท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้เหลือเพียงของตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ (มีแหล่งอ้างอิงโครงการและการขับเคลื่อนด้านภาษาล้านนาผ่านสื่อท้องถิ่นและหน่วยงานการศึกษาในเชียงใหม่)

เบื้องหลังแรงบันดาลใจนั้น มี “วิทยานิพนธ์ของชีวิต” ที่พ่อครูกล่าวซ้ำบ่อย ๆ ในห้องเรียน: การอ่านอักษรธรรมคือการเข้าใจภูมิปัญญาบรรพชน—เพราะทุกพับสาไม่ได้เก็บแค่ตัวอักษร แต่เก็บ “วิธีอยู่ร่วมกัน” ของชุมชน เมื่อเปิดอ่านจึงไม่เพียงได้คำศัพท์ใหม่ หากยังได้ “คุณค่า” ที่ต้องการคนรุ่นใหม่สานต่อ

จากใบลานสู่จอ เมื่อภูมิปัญญาเก่าพบเทคโนโลยีใหม่

อักษรธรรมล้านนา (หรือ Lān Nā Tham) มีฐานรากภูมิความรู้จากสุโขทัย-ล้านนาและเครือข่ายพุทธศาสนาลุ่มน้ำโขง การสืบค้นของนักวิชาการไทยชี้ชัดว่า อักษรธรรมล้านนาเป็น “ตระกูลอักษรพี่น้อง” กับมอญ-ขอมซึ่งรับอิทธิพลสันสกฤต-บาลี และถูกใช้กว้างขวางในคัมภีร์ธรรม ใบลาน พิธีกรรม และเอกสารราชการหัวเมืองเหนือในอดีต ก่อนจะค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงเมื่อเข้าสู่สมัยใหม่ แต่ยังคงบทบาทในวัดและชุมชนจนถึงปัจจุบัน

ในศตวรรษที่ 21 “การยกระดับจากดินสอ-พู่กันสู่ฟอนต์” กลายเป็นโจทย์ใหม่ของคนทำงานภาษาถิ่น พ่อครูชรินทร์เป็นหนึ่งในผู้จุดประกายให้ตั๋วเมือง “ขึ้นจอ” เขามีบทบาททั้ง บรรณาธิการ และ นักออกแบบฟอนต์ ที่ทำให้อักษรล้านนาวิ่งได้ในโรงพิมพ์—เป็นงานเงียบแต่ทรงพลัง ซึ่งมีการบันทึกอ้างอิงโดยนักวิชาการภาษาและจารึกวัฒนธรรมในเชียงใหม่-เชียงรายมาต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่เชียงราย ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นกำลัง “หายใจ” ทั่วประเทศ

เรื่องของพ่อครูชรินทร์พาเรามองกว้างกว่าเชียงราย ภูมิทัศน์ภาษาไทยเต็มไปด้วย “ภาษาแม่” นับสิบ—เหนือ อีสาน ใต้ มลายู ฯลฯ ชุมชนหลากหลายกำลังขยับ “คืนชีวิต” ให้ภาษาตนเอง เช่น ชุมชน บ้านปลาค้าว เมืองอำนาจเจริญ ที่ยกระดับหมอลำของชาวภูไทเป็นทุนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมถ่ายทอดทักษะให้เยาวชนเป็น “หมอลำน้อย” สืบสานเสียงแคน–เสียงขับร้องให้คงอยู่ในตลาดร่วมสมัย

ขณะเดียวกัน ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ หนังตะลุง” กลับมามีผู้ติดตามรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะผลงานของ “น้องเดียว บัญญัติ สุวรรณแว่นทอง” นายหนังผู้พิการทางสายตาที่ใช้ภาษาถิ่นใต้ได้อย่างแพรวพราว จัดวาทศิลป์ให้ร่วมสมัยจนเข้าถึงคนทั้งประเทศ—และไม่ใช่เพียงกระแสโซเชียล งานของเขาถูกมองว่าเป็นการอนุรักษ์ภาษา-การแสดงให้ “อยู่ได้จริง” ในเศรษฐกิจปัจจุบัน รัฐบาลยังยกย่องในระดับชาติผ่านโครงการ ค่าของแผ่นดิน” ซึ่ง พ่อครูชรินทร์ และ น้องเดียว เคยได้รับเกียรติยศร่วมกันด้วย (ตามประกาศ/เอกสารโครงการจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

คำถามชวนคิด: เมื่อคนทำงานภาษาถิ่นได้รับการยกย่องระดับชาติแล้ว เราจะต่อยอด “เกียรติยศ” ให้กลายเป็น “ระบบนิเวศ” ที่คนทำงานอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยไม่ทิ้งรากเหง้า ความถูกต้องตามหลักภาษา และศักดิ์ศรีของชุมชน?

ข่าวดีท่ามกลางความเศร้ามรดกที่จับต้องได้และทางเลือกเชิงนโยบาย

แม้การจากไปของพ่อครูจะเป็นความสูญเสีย แต่สังคมยังมีทรัพยากรจับต้องได้ที่เขาทิ้งไว้—ต้นฉบับที่ปริวรรตแล้ว, วารสารท้องถิ่น, ฟอนต์ล้านนา, เครือข่ายลูกศิษย์—ซึ่งล้วนเป็นฐานต่อยอดเชิงนโยบายและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ในทันที ทำให้เข้าถึงได้จริง มหาวิทยาลัยและหน่วยงานท้องถิ่นควรร่วมกันจัดทำฐานข้อมูล “พับสา-ใบลานปริวรรต” แบบเปิด (open access) พร้อมคู่มืออ่าน-เขียนตั๋วเมืองสำหรับครูและนักเรียน โดยยึดหลักวิชาการของสถาบันชั้นนำที่ศึกษาประวัติและโครงสร้างอักษรธรรมล้านนาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อคงความถูกต้องทางภาษาไปพร้อมการขยายฐานผู้ใช้  ลงทุนใน “การผลิตครูรุ่นใหม่” สร้างทุนฝึกอบรมครูอาสาและผู้ปริวรรตหน้าใหม่ ร่วมมือกับวัด-ชุมชนในเครือข่าย (เช่น วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ และวัดสำคัญในเชียงราย) เพื่อให้เกิด “ชั้นเรียนเล็ก ๆ” หลายจุด ไม่กระจุกอยู่แห่งเดียว ลดอุปสรรคด้านการเดินทางและค่าใช้จ่าย (มีข้อมูลสนับสนุนบทบาทหน่วยงานท้องถิ่นและสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาแล้ว) เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฟอนต์-ลวดลายอักษรล้านนาสามารถกลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ทั้งในงานพิมพ์ ป้าย สื่อท่องเที่ยว ของที่ระลึก และสื่อดิจิทัล—ในกรอบที่คุ้มครองสิทธิ์ชุมชนและเคารพที่มา เทศบาล-อปท. สามารถตั้ง “กองทุนนวัตกรรมภาษา-วัฒนธรรม” เล็ก ๆ หนุนคนทำงานทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่

สื่อสารให้คนทั้งประเทศเห็นคุณค่า ใช้กรณีบ้านปลาค้าวและหนังตะลุงเป็นตัวอย่างว่า ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้ขัดกับความร่วมสมัย หาก “ออกแบบประสบการณ์” และ “เล่าเรื่อง” เป็น ก็อยู่รอดในตลาดได้—สิ่งที่ต้องทำคือขยายโอกาส แทนที่จะจำกัดให้เป็นเพียง “กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์”

ภาษา-อักษรคือความทรงจำร่วม” — บทไว้อาลัยในเชิงประวัติศาสตร์

ในมุมมองเชิงอารยธรรม นักโบราณคดีมักย้อนไปหา “จุดกำเนิดการเขียน” เพื่อทำความเข้าใจว่ามนุษย์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อย่างไร หลักฐานสำคัญชุดหนึ่งคือ สัญลักษณ์เจี่ยหู (Jiahu symbols) จากจีน ที่มีอายุราว 6,600–6,200 ปีก่อนคริสตกาล (มากกว่า 8,000 ปีมาแล้ว) แม้ยังถกเถียงกันว่าจัดเป็น “ตัวอักษร” เต็มรูปแบบหรือเป็น “ก่อนอักษร (proto-writing)” แต่ข้อค้นพบเหล่านี้เตือนใจเราว่า การบันทึกคือแกนกลางของความทรงจำร่วมของสังคม—และทุกชุมชนย่อมมี “ตัวหนังสือของตนเอง” ให้กลับไปหาและโอบอุ้มไว้

ล้านนาเองก็เช่นนั้น—ตั๋วเมือง คือเครื่องมือเก็บรักษาความทรงจำจากวัดสู่ชุมชน จากคัมภีร์สู่ครัวเรือน จากตำรายา สู่ตำนานสร้างบ้านแปงเมือง ความทรงจำเหล่านี้จะยังคงอยู่ก็ต่อเมื่อมีคนอ่าน มีคนเขียน มีคนพิมพ์ และมีคนสอน—บทบาทที่พ่อครูชรินทร์ทำมาตลอดชีวิตโดยไม่ดังเอิกเกริก และเป็นบทบาทที่สังคมต้องช่วยกันสืบทอดต่อไป

เสียงสะท้อนจากคนทำงานวัฒนธรรม“จะสานต่ออย่างไรให้ยั่งยืน?”

ผู้ประสานงานเครือข่ายภาษาท้องถิ่นในเชียงรายคนหนึ่งสะท้อนว่า สิ่งท้าทายที่สุดไม่ใช่การหาผู้เรียน แต่คือการทำให้ “คนสอนอยู่ได้” และสร้างเข็มทิศเดียวกันเรื่องมาตรฐานการปริวรรต—โจทย์นี้ต้องพึ่ง ความร่วมมือพหุภาคี ระหว่างวัด ชุมชน อปท. มหาวิทยาลัย และสื่อท้องถิ่น เพื่อให้ภาษาท้องถิ่น “อยู่ในการใช้จริง” ไม่ใช่แค่บนเวทีประกวด

ในระดับประเทศ โครงการ ค่าของแผ่นดิน” ของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า “การยกย่อง” สามารถยกระดับความรับรู้สาธารณะได้มาก แต่การต่อยอดต้องตามมาด้วยเครื่องมือด้านงบประมาณ เวทีเผยแพร่ และกลไกตลาด—เช่น กิจกรรมวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวที่เคารพรากเหง้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชน ตลอดจนหลักสูตรในโรงเรียนท้องถิ่นที่พาเด็กกลับไปอ่านใบลานในวัดบ้านตนเองด้วยความภาคภูมิใจ (กรอบโครงการและสาระจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

จากไฟในตา “พ่อครู” สู่เปลวเทียนในมือเรา

งานศพของพ่อครูชรินทร์ไม่ใช่จุด full stop ของเรื่อง หากเป็น “จุลภาค” ที่ชวนเราอ่านต่อ—อ่านใบลาน อ่านพับสา อ่านฟอนต์ล้านนาในป้ายวัด อ่านเสียงลำของภูไท อ่านกลอนสดของนายหนังใต้ แล้วกลับมาถามตัวเองว่า เราจะช่วยให้ภาษา-อักษรของบ้านเรา “อยู่รอดและงอกงาม” ได้อย่างไร

ในวันที่เปลวเทียนหน้าโกศค่อย ๆ ละลาย เราอาจนึกถึงประโยคสั้น ๆ ที่ครูมักย้ำกับศิษย์: อักษรไม่เคยตาย ถ้ายังมีคนอ่าน” วันนี้ ถึงคราวที่เราทุกคน—ทั้งรัฐ เอกชน ชุมชน และมหาวิทยาลัย—จะจับมือกันอ่านต่อให้ดังขึ้น ยาวขึ้น และไกลขึ้น

ประวัติย่อ (โดยสังเขป)

  • ชื่อ–สกุล: ชรินทร์ แจ่มจิตต์
  • เกิด: 27 มิถุนายน 2484 อ.เมือง จ.เชียงราย
  • บทบาทเด่น: ปราชญ์อักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง), ครูอาสาสมัครสอนอ่าน–เขียน, บรรณาธิการ ไชยนารายณ์, ผู้บุกเบิกงานฟอนต์ล้านนาเพื่อการพิมพ์
  • สถานที่บำเพ็ญกุศล : วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) จ.เชียงราย วันที่ 22 สิงหาคม 2568
  • อายุ: 84 ปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อาจารย์อโศก ศรีสุวรรณ นักปราชญ์และนักวิชาการด้านภาษาล้านนา
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • บทความจากโครงการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาล้านนา มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย
  •  หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน เผยแพร่ วันที่ 21 มิถุนายน 2562
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมีทางออก! MRC จัดเวทีระดมสมองแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก-โขง

เปิดฉาก “โต๊ะกลม MRC–ภาคประชาสังคม” เชียงราย วางหมุดหมายแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดนแม่น้ำกก–โขง ดัน “ชุมชนเป็นแกนกลาง” คุมคุณภาพน้ำและจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 –ร้าน “Melt In Your Mouth” ริมน้ำกกค่อยๆ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหน้าตาคุ้นในแวดวงน้ำของภาคเหนือ—เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการผืนดินล้านนา ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาสังคม ไปจนถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว—ที่ต่างแบก “โจทย์เดียวกัน” มาพูดคุยบนโต๊ะเดียว: จะร่วมกันแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา และเชื่อมโยงออกสู่แม่น้ำโขงได้อย่างไรให้ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และ “นำโดยชุมชน”

เวทีวันนี้จัดโดย สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) ในรูปแบบ MRC–CSO Roundtable Discussion โดยมี นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) MRCS และ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมดำเนินวงเสวนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วย งานวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–โขงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อ “ต่อจิ๊กซอว์” ข้ามพรมแดนและระดับมาตรการ ตั้งแต่ข้อมูลคุณภาพน้ำเชิงประจักษ์ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในชุมชน และการเชื่อมกับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของ MRC ที่กำลังเตรียมฉบับถัดไปปี 2026–2030

“เวทีนี้มีคุณค่าเพราะเปิดกว้างให้เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ บนฐานของความเคารพและการเป็นหุ้นส่วน” ผู้บริหาร MRCS ย้ำบนเวทีถึงบทบาทของพื้นที่กลางเช่นนี้ที่ตั้งใจให้ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน “ได้ฟังกันจริงๆ” ก่อนขยับไปสู่แนวทางร่วมที่ทำได้ในชีวิตจริง

แม่น้ำกกในภาวะกดดันหลายมิติ

คำถามชวนคิด: เมื่อ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้ทำนา เลี้ยงปลา และพานักท่องเที่ยวล่องแพ เป็นแหล่งเดียวกัน เราจะตรวจวัด–แจ้งเตือน–และตัดสินใจใช้อย่างไรให้ “ปลอดภัยพอ” สำหรับแต่ละกิจกรรม?

ตลอดปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกและตอนล่างที่ไหลลงโขงถูกจับตาเข้มข้นจากสังคมไทยและนานาชาติจาก รายงานสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ในหลายจุดตรวจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผลตรวจที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ผ่านสื่อ ระบุว่า พบค่า As เกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค (0.01 มก./ลิตร) ใน 11 จุดตรวจ บางช่วงมีค่าสูงถึง 0.187–0.200 มก./ลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์น้ำดื่มอย่างมีนัยสำคัญ สร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยเร่งตั้ง “ระบบตรวจติดตามร่วม–แจ้งเตือน–และฟื้นฟู” ทั้งในและข้ามพรมแดนอย่างเป็นระบบมากกว่าที่เคยทำมา

ปัจจัยกดดันของแม่น้ำกกไม่ได้มาจากมิติเดียว หากเป็น “ชั้นๆ” ของกิจกรรมมนุษย์ที่ซ้อนทับกัน—ตั้งแต่ขยะชุมชนที่ไหลลงลำน้ำ การชะล้างสารเคมีเกษตรจากพื้นที่ต้นน้ำ ไปจนถึงแรงเหวี่ยงจากการท่องเที่ยว และ มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งถูกจับตาว่าเกี่ยวเนื่องกับการพบโลหะหนักในช่วงก่อนหน้าและทำให้รัฐบาลไทยต้องเดินเกมทวิ–พหุภาคีคู่ขนานกับมาตรการภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นต่างให้เป็นพลัง” รูปแบบเสวนาที่พาชุมชนยืนกลางเวที

เวทีโต๊ะกลมครั้งนี้ออกแบบให้มี 2 ช่วงหลัก:

  • ช่วงปรึกษาหารือ (Consultation) เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่อยู่ “หน้าด่าน” ของปัญหา—เกษตรกร ชาวประมง บุคลากรสาธารณสุข และหน่วยงานประปา—เล่า “ความจริงในพื้นที่” ทั้งสัญญาณเตือนและช่องว่างที่พบ
  • ช่วงร่วมกันแก้ (Joint Solutions) นำเสนอทางออกสั้นกระชับจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ชุมชน องค์กรทั้งใน–ต่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ก่อนแตกกลุ่มย่อยแปลง “ความเห็นร่วม” เป็น ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (actionable) ที่จับต้องได้

ประเด็นใหญ่ ที่เด่นชัดคือ “การทำให้ข้อมูลไหลลื่น” ระหว่างพื้นที่–จังหวัด–ส่วนกลาง–ระดับลุ่มน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายสำหรับชุมชน โดยเฉพาะในเวลาวิกฤตที่ปริมาณฝนสูง น้ำหลากเร็ว และจำเป็นต้อง “ตัดสินใจในหลักชั่วโมง” เช่น การงดใช้น้ำดิบบางจุดชั่วคราว การตั้งจุดจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแผนให้น้ำการเกษตรตามคุณภาพน้ำจริง

เชื่อมพื้นที่สู่ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำบทของ MRC และกลไกระดับชาติ

หลายความเห็นในเวทีชี้ว่า การจะ “ข้ามพรมแดน” ให้ได้จริงต้องมีกลไกกลางที่ทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงยอมรับร่วมกัน MRC ในฐานะองค์กรระหว่างรัฐบาลของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ถูกออกแบบมาเพื่อบทบาทนั้น—เป็น เวทีทางการทูตน้ำ (water diplomacy) และ คลังความรู้ ให้การบริหารลุ่มน้ำโขงอิงหลักฐานและความร่วมมือมากกว่าความรู้สึกหรือการเมืองระยะสั้น

กรอบวางแผนลุ่มน้ำของ MRC ปัจจุบันยึด Basin Development Strategy (BDS) 2021–2030 ซึ่งต่างจากฉบับก่อนหน้าเพราะวางระยะยาว 10 ปี มุ่ง “การลงมือ” เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม–สังคมจากการพัฒนาในลุ่มน้ำ พร้อมเร่งเครื่องระบบข้อมูลและการเตือนภัย โดยหลังปี 2025 จะก้าวสู่ แผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ 2026–2030 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นและเตรียมยกร่าง เวทีเชียงรายครั้งนี้จึงเป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญในการนำเสียงชุมชนเข้ากรอบยุทธศาสตร์ภูมิภาคตั้งแต่ต้นน้ำของนโยบาย

ฝั่งไทย บทบาทของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee) คือการเชื่อมข้อเสนอ–ข้อมูลจากพื้นที่เข้าสู่โต๊ะเจรจาระดับประเทศและ MRC ควบคู่กับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในประเทศให้สอดรับกัน เช่น ระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่และแผนฟื้นฟูคุณภาพน้ำเชิงรุกในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากเร็ว

ตัวเลขที่ทำให้การตัดสินใจ “ไวขึ้น–แม่นขึ้น”

  • 11 จุดตรวจ ในแม่น้ำกกที่พบ สารหนูเกินมาตรฐานน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) โดยบางช่วงมีค่าสูงสุด ราว 0.187–0.200 มก./ลิตร — สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของ มาตรการเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แทนการสื่อสาร “ห้าม/ได้” แบบเหมารวม เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน (เช่น ประมง–ท่องเที่ยว) ในวงกว้าง
  • ท่าทีรัฐไทย: รัฐบาลสั่ง เร่งติดตามคุณภาพน้ำ–ฟื้นฟู–และหารือข้ามแดน อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายวิกฤตและคืนความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำหลักของชีวิตภาคเหนือและลุ่มโขงตอนล่าง
  • สถานะ MRC: เป็น แพลตฟอร์มการทูตน้ำและองค์ความรู้ ของ 4 ประเทศลุ่มโขง ตามความตกลงแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งสนับสนุนการวางแผน–พัฒนาลุ่มน้ำบนฐานหลักฐาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

5 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติจากวงเสวนาทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผล

  1. แปลงข้อมูลให้ใช้การได้ในพื้นที่ – จัดทำ แดชบอร์ดคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่ ที่ “อ่านง่าย ตัดสินใจไว” แยกตามประเภทการใช้ (อุปโภคบริโภค–เพาะปลูก–ประมง–นันทนาการ) พร้อมสีสัญญาณแบบเดียวกันทั้งจังหวัด และ ลิงก์ข้อมูลแบบเปิด ไปยังระดับลุ่มน้ำเพื่อเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  2. เตือนภัยแบบรวมศูนย์–กระจายเสียงแบบกระจายศูนย์ – เมื่อผลตรวจพบ “สัญญาณเสี่ยง” ให้ ประกาศเตือนรายตำบล/รายจุด ผ่านช่องทางราชการและชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มอสม.–เทศบาล) อีกชั้น เพื่อให้การปรับพฤติกรรมเกิดขึ้นจริงในครัวเรือนและฟาร์ม
  3. ตั้ง “อาสาน้ำชุมชน” คู่กับหน่วยงาน – ชุมชนจัดทีม เก็บตัวอย่าง–อ่านค่าเบื้องต้น–รายงานผล ร่วมกับ อบต./เทศบาล–สาธารณสุข–ประปา เพื่ออุดช่องว่าง “เวลา-พื้นที่” ของการตรวจทางการ และสร้างความไว้วางใจในข้อมูล
  4. เชื่อมการทูตชุมชน–ชาติ–ภูมิภาค – เมื่อปัญหามีมิติข้ามพรมแดน ให้ สทนช. และ กต. ใช้เสียงจากเวทีชุมชนเป็น “ข้อมูลเชิงสังคม” ส่งเข้าสู่ โต๊ะ MRC ควบคู่กับข้อมูลเทคนิค เพื่อเร่งกลไกติดตาม–แจ้งเตือนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยึดหลักความโปร่งใสและประโยชน์ร่วม
  5. เยียวยา–พยุงเศรษฐกิจฐานน้ำ – ระหว่างคลี่คลายคุณภาพน้ำ ต้องมีมาตรการชั่วคราวสำหรับครัวเรือน–ผู้ประกอบการที่พึ่งพาน้ำ เช่น จุดจ่ายน้ำสะอาด–กองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูประมง–มาตรการตลาดช่วยเหลือ เพื่อกันความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็น “ปัญหาใหม่”

บทบาทคีย์แมนและ “จังหวะ” เชิงยุทธศาสตร์

การที่ MRCS หยิบเวทีเชียงรายขึ้นมาในจังหวะที่กำลังเตรียม ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำชุดใหม่ (2026–2030) ทำให้ข้อเสนอจากพื้นที่ “มีทางไป” สู่เอกสารนโยบายภูมิภาคตั้งแต่ต้นทาง—เป็นโอกาสแปลง เสียงของชุมชน เป็น มาตรการระดับลุ่มน้ำ ไม่ใช่เพียงเวที “รายงานปัญหาแล้วแยกย้าย” เหมือนที่หลายชุมชนคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกัน การนำโดยผู้บริหาร MRCS คนไทยอย่าง คุณบุษฎี สันติพิทักษ์ (CEO) ซึ่งเข้ารับบทบาทเมื่อช่วงต้นปีนี้ ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างเวทีท้องถิ่น–ชาติ–ภูมิภาคได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งในแง่การสื่อสารสาธารณะและการประสานงานหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขง

ด้าน สทนช. ในฐานะผู้ถือพวงมาลัยด้านนโยบายน้ำของประเทศและฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีภารกิจเร่งรัด ระบบเตือนภัย–การฟื้นฟู–และการเจรจาร่วม ให้ “ทันฤดูกาล” โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดู–น้ำหลากเร็วที่ความเสี่ยงเพิ่มทวี เพื่อปกป้องชีวิต–สุขภาพ–และฐานเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำกก–โขงไปพร้อมกัน

จาก “เวทีพูดคุย” สู่ “ข้อตกลงทำจริง”

ท้ายเวที ผู้จัดสรุป “การบ้าน” 3 แพ็กเกจที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมในหลักการ และเริ่ม ตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ นำไปสู่การทดลองปฏิบัติ (pilot) ใน จุดเสี่ยงสำคัญของแม่น้ำกก ทันทีในฤดูฝนนี้ ได้แก่

  1. แพลตฟอร์มข้อมูล/สื่อสารความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ของจังหวัด ที่ดึงข้อมูลจากทุกหน่วยเข้า “หน้าจอเดียวกัน” เปิดสาธารณะและส่งเข้าลุ่มน้ำ,
  2. อาสาน้ำชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเพิ่มความถี่การเฝ้าระวังและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อมูล, และ
  3. โรดแมปประสานข้ามแดน เชื่อมไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางทวิภาคีและช่องทาง MRC อย่างต่อเนื่อง

คำถามปลายเปิดที่ยังทิ้งไว้ให้ทำร่วมกันคือ: เราจะทำให้ข้อมูลไหลไปเร็วเท่าน้ำหลากได้อย่างไร? และ จะทำให้การเตือนภัยกลายเป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรมจริง” ในครัวเรือน–ไร่นา–ท่าเรือท่องเที่ยว ได้อย่างไร—คำถามเหล่านี้อาจไม่ใช่ “โจทย์เทคนิค” ล้วนๆ แต่เป็นโจทย์ความไว้เนื้อเชื่อใจและการออกแบบการสื่อสารกับมนุษย์ ที่ต้องทำซ้ำๆ ให้ติดมือ ติดตา และ “ติดนิสัย” ของทั้งรัฐและชุมชน

อย่างไรก็ดี การมีทั้ง แพลตฟอร์มการทูตน้ำระดับภูมิภาค (MRC) และ กลไกชาติ–จังหวัด–ชุมชน ที่ยอมรับร่วมกัน กำลังทำให้ “ข้อเสนอจากเชียงราย” วันนี้มี ทางเดินชัดเจน สู่การเป็น มาตรการจริง ที่ช่วยให้คน–ปลา–และสายน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เชิงอรรถนโยบายทำไม “กรอบ MRC” จึงสำคัญกับแม่น้ำกก

  • บทบาท MRC: ทำหน้าที่เวทีกลางการทูตน้ำและคลังความรู้ภายใต้ความตกลงปี 1995 ของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ช่วยลดความเสี่ยงจากโครงการพัฒนาและสร้างระบบเตือนภัย–ข้อมูลร่วมทั้งลุ่มน้ำ
  • BDS 2021–2030: ยุทธศาสตร์ 10 ปีฉบับแรกของลุ่มน้ำโขง วางทิศทาง “ลงมือจริง” ในประเด็นคุณภาพน้ำ ระบบข้อมูล และการมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกำลังป้อนเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ 2026–2030 ผ่านเวทีรับฟังหลายระดับรวมถึงเวทีเชียงรายครั้งนี้
  • โครงสร้างไทย: สทนช. เชื่อมเสียงพื้นที่เข้าสู่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และโต๊ะ MRC ควบคู่ขับเคลื่อนแผนในประเทศ—ตั้งแต่เตือนภัยเฉพาะพื้นที่ถึงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ—ให้สอดรับกับฤดูกาลและวิถีชุมชนลุ่มน้ำกก–โขง

สรุปสำหรับผู้อ่านเชิงลึก

  • ประเด็นหลัก: เวที MRC–CSO Roundtable เชียงราย สร้าง “ทางร่วม” ระหว่างชุมชน–รัฐ–นักวิชาการ–เอกชน สำหรับแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกที่โยงสู่โขง โดยเน้นข้อมูล–เตือนภัย–และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
  • ความเร่งด่วน: ข้อมูลสารหนูปนเปื้อน 11 จุด กับค่าสูงสุดราว 0.2 มก./ลิตร เทียบมาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ลิตร ทำให้การตัดสินใจเชิงพื้นที่–เชิงเวลา และการสื่อสารความเสี่ยงแบบเข้าใจง่าย “จำเป็นทันที”
  • โอกาสเชิงโครงสร้าง: การยกร่างยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำฉบับใหม่ของ MRC 2026–2030 เปิดหน้าต่างให้เสียงชุมชนจากเชียงราย ถูกฝัง ลงในนโยบายภูมิภาคที่มีผลจริง
  • ทางเดินต่อไป: ตั้งทีมทำงานทดลอง แดชบอร์ดข้อมูล–เตือนภัย–อาสาน้ำชุมชน และเชื่อมทวิ–พหุภาคีผ่าน สทนช.–MRC เพื่อคลี่คลายปัญหาเชิงระบบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุม

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ! เปลี่ยนโหมดบริหารสู่การแก้ฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

“เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร”

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 — ปัญหาฝุ่นควันข้ามฤดูกาลในภาคเหนือ—โดยเฉพาะ “ช่วงวิกฤต” ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม—ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ “ใหม่และสำคัญ” คือกรอบกฎหมายและคำพิพากษาที่กำลังผลักดันให้การแก้ปัญหาเดินหน้าอย่างเป็นระบบและวัดผลได้จริง หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งการให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ เพื่อกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร” จากการรับมือรายวัน ไปสู่การวางแผนแบบมีกลไก บทบาท และหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดชัดเจน ตั้งแต่การจัดทำแผนลดและขจัดมลพิษ ไปจนถึงการติดตามประเมินผลและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง (อ้างคำพิพากษาและการอธิบายอำนาจตามกฎหมาย)

“ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า”

ในห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภาพบนจอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมผู้บริหาร 4 จังหวัดภาคเหนือเข้าหากัน แนวทางประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” ถูกยกเป็นวาระเร่งด่วนของการประชุมชี้แจง โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ จุดศูนย์กลาง พร้อมด้วยนางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมชี้แจงจากจังหวัดเชียงใหม่ เป้าหมายคือ “ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า” ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังผูกโยงการทำงานเข้ากับ “วาระแห่งชาติการแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568–2570)” เพื่อให้มาตรการภาคพื้นที่ไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ระดับชาติที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งเห็นชอบเมื่อกลางปีนี้

จาก “คำสั่งศาล” สู่ “กลไกกฎหมาย” เขตควบคุมมลพิษหมายถึงอะไร

หัวใจของมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 อยู่ที่การให้อำนาจรัฐกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” เมื่อปรากฏเหตุให้ต้องควบคุม ลด หรือขจัดมลพิษอย่างเข้มข้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เมื่อประกาศแล้ว กฎหมายจะเปิดสวิตช์มาตรการเฉพาะพื้นที่ ทั้งด้านการควบคุมแหล่งกำเนิด การติดตามคุณภาพอากาศ การสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก และการระดมความร่วมมือข้ามหน่วยงาน โดยมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ตามมาตรา 60 เป็นเครื่องมือนำทาง ส่วนมาตรา 37–39 วางบทบาทให้จังหวัดจัดทำ “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” สอดรับกับสถานการณ์และทรัพยากรที่มี เพื่อไม่ให้แผนบนกระดาษขาดตอนกับการปฏิบัติจริง

ก้าวยาวของกระบวนการยุติธรรม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัดภาคเหนือ ชี้เหตุผลเชิงสัดส่วนระหว่าง “สิทธิในสุขภาพและชีวิตที่ปลอดภัยของประชาชน” กับ “ประโยชน์สาธารณะด้านภาพลักษณ์และเศรษฐกิจ” และลงท้ายด้วยข้อสั่งการเชิงปฏิบัติให้ใช้อำนาจตามมาตรา 59 ครอบคลุมช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคมของทุกปีซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาวิกฤตของฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ การยกระดับปัญหาเข้าสู่กลไกตามกฎหมายจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะผูก “ความรับผิดชอบ” เข้ากับ “เส้นตาย” และ “ตัวชี้วัด” อย่างเป็นระบบ แทนการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า

ตัวเลขชวนคิด มาตรฐานไทย–แนวทางโลก–ภาวะเสี่ยงสุขภาพ

ประเทศไทยปรับเข้ม “ค่ามาตรฐาน PM2.5 ราย 24 ชั่วโมง” จาก 50 เหลือ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เพื่อสะท้อนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องผลกระทบสุขภาพและให้เท่าทันสถานการณ์ ในขณะที่แนวทางแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO AQG 2021) เสนอค่าระดับเป้าหมายยิ่งเข้มกว่าไว้ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม.—ตัวเลขสองชุดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดพื้นที่ที่ “อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานไทย” ยังอาจไม่ “ปลอดภัย” สำหรับกลุ่มเสี่ยง และเหตุใดการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุกจึงสำคัญไม่แพ้มาตรการควบคุมแหล่งกำเนิด

แพทย์เตือนอะไร—และประชาชนควรทำอย่างไร

คู่มือการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เผยแพร่ปี 2568 ย้ำให้หน่วยบริการและท้องถิ่นติดตามคุณภาพอากาศแบบรายวัน จัดเตรียมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ (เช่น มาตรฐานเทียบเท่า N95) ให้กลุ่มเปราะบาง ตั้งจุดปลอดฝุ่น (clean air shelter) และสื่อสารคำแนะนำสุขภาพเฉพาะพื้นที่อย่างต่อเนื่อง—ทั้งหมดนี้ต้อง “มาทีมเดียวกัน” ระหว่างฝ่ายสาธารณสุขกับฝ่ายปกครอง เมื่อพื้นที่เข้าสู่สถานะเขตควบคุมมลพิษ.

ฉากประชุมวันนี้ เปิดจอ–ไล่ภารกิจ–นับถอยหลังก่อนฤดูกาลฝุ่น

การประชุมทางไกลที่เชียงรายวันนี้มีสามวาระหลัก (1) ชี้แจงความหมายและผลทางกฎหมายของ “เขตควบคุมมลพิษ” และขั้นตอน/บทบาทของหน่วยงานในพื้นที่ (2) กำหนดกรอบการจัดทำ “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” (มาตรา 60) ให้ทันบังคับใช้ก่อนฤดูวิกฤตปีหน้า โดยยึดกรอบวาระแห่งชาติ PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) เป็นแกน และ (3) จัดกลไกสื่อสารความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนแบบ “หนึ่งเสียง” ตั้งแต่ระดับตำบล/เทศบาลขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่เข้าใจง่ายและทันเวลา พร้อมมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจ

การ “จับคู่ภารกิจ–ตัวชี้วัด–เส้นตาย” ถูกย้ำตลอดการประชุม เช่น การนับวันถอยหลังสู่เดือนกุมภาพันธ์—ก่อนถึงเวลานั้น แผนจังหวัดต้องตอบได้ว่า “แหล่งกำเนิดไหนลดเท่าไร ใครรับผิดชอบ และติดตามผลอย่างไร” ขณะที่ภาคประชาสังคมและสถาบันการศึกษาจะเข้ามาเสริมฐานข้อมูลจุลภาคและออกแบบระบบแจ้งเตือนที่ประชาชนเข้าถึงจริง

เมื่อ “เขตควบคุมมลพิษ” ลงสู่พื้นที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

การบังคับใช้มาตรการชั่วคราวเฉพาะฤดูกาล : ช่วง ก.พ.–พ.ค. หน่วยงานรัฐสามารถออกเงื่อนไขการควบคุมแหล่งกำเนิดชั่วคราว (เช่น การจำกัดกิจกรรมกลางแจ้งในบางช่วง การเข้มตรวจควันดำ/ควันขาว การห้ามเผาในที่โล่งอย่างมีข้อยกเว้นที่ชัดเจน และการเพิ่มความถี่ตรวจโรงงาน/ลานตากการเกษตร) โดยทั้งหมดต้องยึดหลักความจำเป็นและสัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนด และการสื่อสารความเสี่ยงแบบแบ่งระดับ เมื่อค่าฝุ่นเข้าใกล้/เกินมาตรฐาน การแจ้งเตือนต้องระบุ “ทำอะไร–กับใคร–เมื่อใด” เช่น ระดับเตือนกลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมเปิดจุดปลอดฝุ่นในศูนย์ชุมชน โรงเรียน หรือ รพ.สต. การติดตามและประเมินผลจังหวัดต้องรายงานผลมาตรการตามแผนมาตรา 60 และผนวกเข้ากับแผนสิ่งแวดล้อมจังหวัด (มาตรา 37–39) เพื่อไม่ให้มาตรการเฉพาะฤดูถูก “รีเซ็ตใหม่” ทุกปี

ทั้งหมดนี้คือการทำให้ “ความรับผิดชอบเชิงกฎหมาย” กลายเป็น “ผลลัพธ์เชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ” ที่ตรวจสอบได้

มองเชิงระบบ: ทำไม “แผนจังหวัด” ต้องล็อกกับ “วาระแห่งชาติ”
วาระแห่งชาติการแก้ฝุ่น PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) ที่ ครม. เห็นชอบ กำหนดทั้งมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตั้งแต่การจัดการเชื้อเพลิงการเกษตร (agri-residue) การปรับพฤติกรรมการขนส่งและยานยนต์ การยกระดับการตรวจวัดและเปิดเผยข้อมูล ไปจนถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนในประเด็นหมอกควันภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การที่ 4 จังหวัดจะยกเครื่องสู่ “เขตควบคุมมลพิษ” จึงต้อง “ล็อกเป้าและภาษานโยบาย” ให้ตรงกับแผนชาติ เพื่อใช้ประโยชน์จากงบกลาง มาตรการจูงใจ และเครือข่ายความร่วมมือที่วางไว้แล้ว ลดการซ้ำซ้อนและเร่งผลลัพธ์ในพื้นที่.

มุมวัดผล ใช้ตัวเลขอะไรติดตามความคืบหน้า

เพื่อให้การขับเคลื่อน “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ใช่แค่คำประกาศ ข่าวชิ้นนี้ขอเสนอ “4 ชุดตัวชี้วัด” ที่จับต้องได้ (และสอดคล้องกับกรอบสาธารณสุข/สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่)

  1. คุณภาพอากาศ: จำนวนวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน 37.5 µก./ลบ.ม. รายพื้นที่ + ค่าเฉลี่ยความเข้มสูงสุดราย 24 ชั่วโมงในช่วง ก.พ.–พ.ค. (เชื่อม Air4Thai/สถานีเครือข่ายมหาวิทยาลัย)
  2. แหล่งกำเนิด: ปริมาณเชื้อเพลิงการเกษตรที่ถูกนำไปใช้/กำจัดแบบไม่เผา (ตัน) + จำนวนการตรวจโรงงาน/ยานยนต์ควันดำ
  3. สุขภาพ: จำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ/หัวใจที่มารับบริการในช่วงเตือนภัย (เชื่อมระบบเฝ้าระวังของ สธ.)
  4. การสื่อสาร: จำนวนการแจ้งเตือนแบบแบ่งระดับและการเข้าถึง (reach) ของประชาชนในช่องทางจังหวัด/อปท.

“คำถามชวนคิด” ระหว่างทาง

– ถ้าค่ามาตรฐานไทย 37.5 ยังสูงกว่าเป้าหมาย WHO ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เราจะตั้ง “เป้าหมายภายใน” ที่เข้มขึ้นสำหรับกลุ่มเสี่ยงได้อย่างไร โดยไม่ขัดกฎหมายแต่ทำให้คนปลอดภัยขึ้น
– เรามีข้อมูลเชื้อเพลิงการเกษตรรายพืช–รายอำเภอครบถ้วนหรือยัง เพื่อวางมาตรการจูงใจเศรษฐกิจ (เศษวัสดุไปเป็นพลังงาน/อาหารสัตว์/วัสดุชีวภาพ) แทนการเผา?
– ในฐานะ “เขตควบคุมมลพิษตามฤดูกาล” จะออกแบบมาตรการชั่วคราวที่ “เข้มพอ–ยุติธรรม–ไม่บั่นทอนเศรษฐกิจท้องถิ่น” อย่างไร โดยยึดหลักสัดส่วนตามที่ศาลวางไว้

เสียงจากโต๊ะประชุม

ผู้แทนจังหวัดย้ำแนวเดียวกัน 3 เรื่อง: หนึ่ง—ต้องเร่งทำความเข้าใจบทบาทของทุกหน่วย ทั้งฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น สาธารณสุข ตำรวจ หน่วยป่าไม้ และภาคเอกชน เพื่อปิดช่องว่าง “ใครทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร” สอง—ให้เตรียมแผนปฏิบัติการตามมาตรา 60 โดยเลือก “มาตรการไม่เผา” ที่ทำได้จริงในบริบทพื้นที่ และกำหนดกลไกชดเชย/จูงใจชัดเจน สาม—ให้จัดตั้งศูนย์สื่อสารความเสี่ยงระดับจังหวัด เชื่อม รพ.สต.–เทศบาล–กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน เป็นโครงข่ายแจ้งเตือนเดียวกัน ลดความสับสนของประชาชนช่วงค่าฝุ่นแกว่งวันต่อวัน

ในภาพใหญ่ “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ลดบทบาทประชาชน ในทางกลับกัน มันทำให้ “สิทธิรู้เท่าทัน” และ “สิทธิได้รับการคุ้มครอง” ชัดขึ้น—เมื่อค่าฝุ่นสูงไป ทางการต้องบอกล่วงหน้า ต้องเปิดจุดปลอดฝุ่น ต้องมีหน้ากากเพียงพอ และต้องมีมาตรการบรรเทาเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ฝากประชาชนแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง

ทางแยกสู่ “ความยั่งยืน”

แม้เขตควบคุมมลพิษจะตอบโจทย์ฤดูกาลวิกฤต แต่การแก้ฝุ่นอย่างยั่งยืนยังพิงปัจจัยโครงสร้าง—เศรษฐกิจการเกษตรที่ลดการพึ่งพาการเผา, ระบบขนส่งที่ปล่อยมลพิษต่ำ, อุตสาหกรรมที่จัดการมลพิษปลายปล่องอย่างโปร่งใส, และความร่วมมือข้ามพรมแดนที่จริงจัง—ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบใน “วาระแห่งชาติ PM2.5 (2568–2570)” ที่จังหวัดต้องเชื่อมต่อ ไม่ใช่เดินคู่ขนานคนละทิศ เมื่อคำพิพากษาวางกรอบกฎหมายแล้ว สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า คือ “กฎของผลลัพธ์” ที่จะวัดจากอากาศที่เด็กๆ สูดได้อย่างปลอดภัยขึ้นในฤดูกาลหน้า

ข้อเท็จจริงเชิงกฎหมาย (สรุปให้เข้าใจง่าย)

• มาตรา 59: หากมีเหตุจำเป็น รัฐสามารถกำหนดพื้นที่ใดเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” เพื่อควบคุม ลด และขจัดมลพิษแบบเข้มข้นตามแผนที่กำหนด
• มาตรา 60: ต้องมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ระบุมาตรการ ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และวิธีติดตามผล
• มาตรา 37–39: จังหวัดต้องมี “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” เพื่อบูรณาการมาตรการต่างๆ และจัดสรรทรัพยากรให้ต่อเนื่อง
• คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด (ส.ค. 2568): สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดภาคเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ช่วงเดือน ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี โดยอาศัยหลักสัดส่วนเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชนควบคู่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

เช็กสุขภาพสาธารณะมาตรฐาน–คำแนะนำ–การปฏิบัติ

อย่าลืมว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” มาตรฐานไทย 37.5 µก./ลบ.ม. ช่วยให้หน่วยงานมีเกณฑ์ปฏิบัติ แต่มาตรการดูแลกลุ่มเสี่ยงควรขยับเข้มขึ้นสู่ระดับแนะนำของ WHO ที่ 15 µก./ลบ.ม. โดยเฉพาะช่วงค่าฝุ่นแกว่งสูง การเตรียมแผนหน้ากากคุณภาพ จุดปลอดฝุ่น การแจ้งเตือนกิจกรรมภายนอก (เช่น การงดกิจกรรมกลางแจ้งในสถานศึกษาเมื่อค่า AQI/PM2.5 เกินเกณฑ์) ล้วนอยู่ในคู่มือของ สธ. แล้ว และควรถูกยกเป็น “มาตรฐานจังหวัด” เมื่อสถานะเขตควบคุมมลพิษมีผลใช้

จาก “คำพิพากษา” สู่ “อากาศที่หายใจได้”

การเตรียมประกาศ 4 จังหวัดเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่คือการวางรางเหล็กให้ขบวนการทำงานของรัฐ–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน–ภาคประชาชน แล่นไปในทิศเดียวกันภายใต้กรอบกฎหมายเดียวกัน ตัวเลขมาตรฐาน PM2.5 ที่เข้มขึ้น เสียงเตือนจากวงการแพทย์ และคำพิพากษาที่วางหลักสัดส่วน ล้วนมาบรรจบกันที่จุดเดียว: สุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนเหนือที่ต้อง “ปลอดภัยขึ้นจริง” ภายในเวลาที่วัดได้—เริ่มจากฤดูกาลหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษช่วง ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี (อ้างอิงข่าวสรุปโดยสำนักข่าวอิศรา, 1 ส.ค. 2568)
  • พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • ค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศของไทย (PM2.5 ราย 24 ชม. = 37.5 µก./ลบ.ม.
  • WHO Air Quality Guidelines 2021 – ค่าเป้าหมาย PM2.5 ราย 24 ชม. = 15 µก./ลบ.ม. และเหตุผลด้านสุขภาพ
  • แนวทางกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 (พ.ศ. 2568)

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กาแฟเชียงรายผงาด! กวาดรางวัลสุดยอดกาแฟไทยปี 2568 สะท้อนศักยภาพระดับชาติ

 “สุดยอดกาแฟไทย” จากเวทีประกวดสู่ยุทธศาสตร์ชาติ: ถอดบทเรียนการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยและแรงขับเคลื่อนจากภาคเหนือ

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 – ตัวเลขคุณภาพขยับขึ้นจริง ปี 2567 ผู้ชนะสายอะราบิกากระบวนการแปรรูปแบบแห้งทำคะแนนแตะ 91.00 คะแนน (ระดับ “Outstanding” ตามเกณฑ์ SCA) ตอกย้ำศักยภาพกาแฟพิเศษไทยบนมาตรฐานสากล และสะท้อน “เพดานคุณภาพ” ที่ยกสูงกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

  • มาตรฐานเดียวกับโลก: การประกวดใช้ เกณฑ์ SCA พร้อมโครงสร้างประกาศนียบัตรเป็นขั้นบันได (Outstanding/Excellent/Very Good/ชมเชย) ช่วยให้เกษตรกร “เห็นเป้าหมาย–รู้ช่องว่าง–ปรับปรุงได้จริง” และทำให้คะแนนเป็น “ภาษากลาง” ระหว่างผู้ผลิต–ผู้คั่ว–ผู้ซื้อ
  • นโยบายเชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรมวิชาการเกษตรวางตำแหน่งโครงการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนคุณภาพ ควบคู่ เป้าหมายสาธารณะ เช่น การเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและสนับสนุนแนวทางลด PM2.5 ในภาคเกษตร สะท้อน “ผลลัพธ์พหุมิติ” ที่เกินกว่าการแข่งขัน
  • เหนือยังเป็นหัวรถจักร: รายชื่อผู้ชนะปี 2567 กระจุกตัวในภาคเหนืออย่างโดดเด่น (เช่น บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน) และปี 2568 มีผู้ส่งตัวอย่างจากเชียงรายจำนวนมาก ชี้ทิศทาง “อัตลักษณ์แหล่งปลูก” (origin identity) ที่ชัดขึ้น และโอกาสต่อยอดเป็นแบรนด์พื้นที่/ท่องเที่ยวเชิงเกษตร

รายงานเชิงลึก

เช้าตรู่ปลายฤดูฝนของเชียงราย กลิ่นดินชื้นและเมฆต่ำเหนือดอยเป็นคิวสำคัญของฤดูกาลกาแฟ ขณะเดียวกัน “เส้นกราฟคุณภาพ” ของกาแฟไทยก็พุ่งสูงขึ้นเงียบ ๆ หากดูเพียงภายนอก การประกวดอาจเป็นเรื่องของถ้วยรางวัลและชื่อเสียง แต่สำหรับห่วงโซ่กาแฟไทย “เวทีประกวดสุดยอดกาแฟไทย (Thai Coffee Excellence)” ถูกออกแบบให้เป็น เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์: ตั้งคะแนนเป็นเข็มทิศ กำหนดมาตรฐานร่วม และเชื่อมผู้ผลิตกับตลาดคุณภาพทั่วโลก

จากเวทีแข่งขันสู่เครื่องมือพัฒนา

หัวใจของการประกวดที่กรมวิชาการเกษตรเป็นเจ้าภาพ คือการวัดคุณภาพด้วย มาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ซึ่งเป็น “ภาษากลาง” ของอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษทั่วโลก ระบบคะแนน (Cupping Score) ทำให้ผู้ซื้อ–ผู้ขาย–ผู้คั่ว เข้าใจตรงกันว่า “กาแฟถุงนี้” อยู่ในระดับใด และควรตั้งราคาหรือพัฒนาต่ออย่างไร โดยทั่วไป กาแฟที่ทำคะแนน ตั้งแต่ 80 คะแนน ขึ้นไปจึงถือเป็น “กาแฟพิเศษ” และยิ่งแตะ 85/90 คะแนน ความโดดเด่นทางรสชาติยิ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล* (ดูกรอบมาตรฐาน SCA)

หมายเหตุ: ประกาศอย่างเป็นทางการของการประกวดไทยปี 2567 ใช้กรอบประกาศนียบัตร 5 ระดับ ได้แก่ Outstanding (90–100), Excellent (85–89.99), Very Good (80–84.99), ชมเชย (80–83.99 ในประกาศเฉพาะส่วน) และประกาศนียบัตรกรมวิชาการเกษตรสำหรับคะแนนต่ำกว่า 80 ซึ่งสื่อสารชัดเจนถึง “ขั้นบันไดคุณภาพ” ให้ผู้ผลิตใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนา

หลักฐานเชิงคุณภาพ คะแนนทะลุ 90 และรายชื่อผู้ชนะ

ปี 2567 นับเป็น “หมุดหมาย” ของกาแฟไทย เมื่อผู้ชนะสาย อะราบิกา – กระบวนการแห้ง (Natural) อย่าง นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ จาก บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน ทำคะแนน 91.00 สูงสุดของปี ขณะที่สาย กึ่งแห้ง (Honey) อย่าง นายชาติชาย แซ่ท้าว จากแหล่งเดียวกันทำ 91.06 คะแนน สะท้อน “ศักยภาพ terroir” ของผืนป่าภาคเหนือที่ถูกเล่าเรื่องผ่านถ้วยกาแฟอย่างมีพลัง นอกจากนี้ สาย เปียก (Washed) ผู้ชนะทำคะแนนระดับ 89.94 ใกล้แตะเส้น 90 จุด ซึ่งเป็น “โซนหายาก” ของกาแฟพิเศษในตลาดโลก (รายละเอียดปรากฏในประกาศผลฉบับทางการของกรมวิชาการเกษตร)

ความสำคัญของตัวเลขไม่ได้อยู่ที่ สถิติ เท่านั้น แต่คือแรงกระเพื่อมที่เกิดตามมา—จากผู้ซื้อที่ให้ราคาตามคุณภาพ ไปจนถึงผู้ผลิตรายย่อยที่เห็น “ทางลัดสู่ตลาดพรีเมียม” ผ่านการปรับวิธีเก็บ–แปรรูป–จัดเก็บ เพื่อไล่ล่าคะแนนมากกว่าการเพิ่มปริมาณเพียงอย่างเดียว

เชียงรายบนแผนที่ ฐานการผลิต–ฐานคนเล่นคุณภาพ

แม้ปี 2567 บัลลังก์จะอยู่ที่น่าน แต่ “ฐานคุณภาพ” ของเชียงรายยังคงแข็งแรง ทั้งในบทบาทแหล่งปลูกดั้งเดิมและฐานชุมชนกาแฟรุ่นใหม่ ปี 2568 ในรอบการประกวดปัจจุบัน มีผู้ผลิตจากเชียงรายจำนวนมากส่งตัวอย่างเข้าร่วม และตามเอกสารประกาศผลเบื้องต้นกรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ผู้ผลิตกาแฟเชียงรายกวาดรางวัลเพียบ

กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด “สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ประเภทการประกวดเมล็ดกาแฟ (Thailand Best Coffee Beans 2025)

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีแห้ง (Dry/Natural Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 5: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 84.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 6: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 84.25 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 7: นายธนกฤต ชมภู – อ.แม่ฟ้าหลวง: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 11: นายอุกฤษ สิงห์แก้ว – อ.เทิง: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 15: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 82.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 18: นางสาวพรพิมล แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 20: นายกฤชณัท แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 21: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู่ (ไร่กาแฟฅนปางขอน) – อ.เมืองเชียงราย: 81.25 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีเปียก (Wet/Fully Wash Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 3: นางสาวนาถือ จะแล – อ.เมืองเชียงราย: 85.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 5: นายยุทธนา พุ่มพลีก – อ.แม่สรวย: 83.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: กาแฟพิเศษห้วยชมภู (นายไกรศักดิ์ แสนหมี่) – อ.เมืองเชียงราย: 82.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 14: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 19: นายธนิน วิบูลจิตธรรม – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 78.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางสาวยุพา เยส่อกู – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 23: นายสมบัติ อัครวิชัยกุล – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีกึ่งแห้ง (Semi-Dry/Honey Process)

  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 3: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 5: นายอภิสิทธิ์ บิเซ – อ.เมืองเชียงราย: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 7: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู – อ.เมืองเชียงราย: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 8: นายอนุสรณ์ จือปา – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: นายสินธพ จือปา – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 80.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 79.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 75.25 คะแนน

กาแฟโรบัสตา ไม่แยกกระบวนการแปรรูป

  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: นายพิชิต บุญยืนพนากุล – อ.แม่สรวย: 72.00 คะแนน

 

ทำไมคะแนนคือ “เกมยาว” ของทั้งห่วงโซ่

  1. ความโปร่งใสด้านคุณภาพ: คะแนน SCA ทำให้ผู้ผลิตรู้จุดแข็ง–จุดอ่อนเชิงรสชาติ แปลกลับเป็น “เช็กลิสต์ทางเทคนิค” เช่น ความสุกของผลเชอร์รี, สุขอนามัยในกระบวนการ, ระยะเวลาและอุณหภูมิการหมัก/อบแห้ง ฯลฯ—ทั้งหมดเชื่อมตรงกับคุณภาพในถ้วยและราคาขายปลายน้ำ.
  2. สร้างอัตลักษณ์แหล่งปลูก: เมื่อรายชื่อผู้ชนะกระจุกตัวในพื้นที่ (เช่น บ้านมณีพฤกษ์–น่าน) ต่อเนื่อง การรับรู้ “รสชาติประจำถิ่น” (origin identity) จะชัดขึ้น มีผลเชิงเศรษฐกิจทั้งต่อเมล็ดกาแฟและ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ขาย “ประสบการณ์ถ้วยเดียว–เล่าเรื่องทั้งหุบเขา”
  3. เชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรอบการประกาศผลปี 2567 ระบุชัดว่าการประกวดเชื่อมกับการเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและ ลดปัญหา PM2.5 ในภาคเกษตร นัยยะคือ การผลักดันให้พื้นที่ต้นน้ำเปลี่ยนผ่านสู่พืชยืนต้น/ระบบเกษตรเชิงฟื้นฟู (ปลูกผสม–รักษาหน้าดิน) แทนการพึ่งพาการเผาเป็นวงจร

คำถามชวนคิด (พร้อมข้อมูลสนับสนุน)

  • เราจะ “ล็อกคุณภาพให้ยั่งยืน” ได้อย่างไร? ปี 2567 คะแนนผู้ชนะทะลุ 90 ได้จริง แต่การรักษาคุณภาพปีต่อปีต้องลงทุนใน “ระบบ” ตั้งแต่โรงสีเปียกมาตรฐาน, พื้นที่ตากสะอาด, ไปจนถึง การวิเคราะห์คุณภาพซ้ำ (QC) ก่อนส่งตลาดส่งออก
  • ใครได้ประโยชน์มากที่สุด? ไม่ใช่เฉพาะผู้ชนะ แต่คือกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยที่ “เห็นเป้าหมายชัด” และเข้าถึงตลาดพิเศษผ่านเครือข่ายผู้คั่ว–ผู้ซื้อที่ติดตามผลประกวดอย่างใกล้ชิด (รายชื่อผู้ชนะถูกเผยแพร่บนเว็บกรมฯ อย่างเป็นทางการ ช่วยเพิ่มการมองเห็นแก่ผู้ผลิตหน้าใหม่)
  • เชียงรายควรเร่งอะไร? จากรายชื่อปี 2568 (เบื้องต้น) เชียงรายมี “ฐานกว้าง” ที่พร้อมต่อยอด หากจังหวัด–อปท.–สถาบันการศึกษา จับมือยกระดับ ห้องปฏิบัติการ cupping/มาตรฐาน post-harvest แบบใช้ร่วมในพื้นที่ จะเร่ง “อัพเพอร์ฟอร์แมนซ์” ของทั้งคลัสเตอร์

กลไกรางวัล เกียรติ–แรงจูงใจ–การเข้าถึงตลาด

นอกจากคะแนน การประกวดยังมี โครงสร้างรางวัล ที่ผสาน “เกียรติยศ” และ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” เช่น ถ้วยรางวัลพระราชทานสำหรับผู้ชนะเลิศ และการยกย่องด้วยประกาศนียบัตรระดับต่าง ๆ ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิต “ไม่หยุดที่ดีมาก” แต่ไล่สู่ ยอดเยี่ยม/โดดเด่น อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะเดียวกัน รายชื่อผู้ชนะที่เผยแพร่บนเว็บไซต์กรมฯ ทำหน้าที่เป็น สมุดหน้าเหลืองของความเชื่อถือ ให้ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศค้นหา–ติดต่อได้ง่ายขึ้น (การสื่อสารผลอย่างเป็นทางการของปี 2567 เผยแพร่แล้ว)

ปี 2568 รอบแข่งขันกำลังเดินฐานข้อมูลทางการทยอยเผยแพร่

ในรอบปี 2568 กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศ เลื่อน/ขยายรับสมัคร และแจ้งความคืบหน้าผ่านสื่อทางการของหน่วยงาน ขณะเดียวกันเอกสารประกาศผล เบื้องต้น สำหรับบางหมวดหมู่เริ่มกระจายถึงสื่อและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อการยืนยันข้อมูล ผู้สื่อข่าวจึงได้นำเสนอ “ภาพรวมแนวโน้ม” โดยยึดหลักความระมัดระวัง และจะติดตามอัปเดต ประกาศผลฉบับสมบูรณ์ จากหน้าเว็บไซต์ทางการของกรมฯ ต่อไป.

มุมเศรษฐกิจ–สังคมจากคะแนนในถ้วยสู่รายได้ในชุมชน

การ “ทำคะแนนให้ถึง” ไม่ได้จบที่ถ้วยตัดสิน แต่เริ่มต้นที่ ศักยภาพการตั้งราคา ของผู้ผลิต การยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่องเปิดโอกาสให้เกษตรกรกำหนดราคาตามมูลค่าจริง (value-based pricing) แทนการขาย “แบบโภคภัณฑ์” ผลพลอยได้คือ การกระจายรายได้ สู่ครัวเรือนต้นน้ำ ขณะเดียวกัน คลัสเตอร์ผู้คั่ว–คาเฟ่–ท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างเชียงรายก็ได้ประโยชน์จากเรื่องเล่าของ “แหล่งปลูก–ผู้ผลิต–คะแนน” ที่จับต้องได้

และอย่าลืม ผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม—เมื่อตลาดและรางวัลเอื้อให้การปลูกกาแฟคุณภาพคุ้มทุน การขยายพื้นที่พืชยืนต้นที่ดูแลดิน–น้ำดีขึ้น จะช่วยลดความจำเป็นของการใช้ไฟในพื้นที่สูง เป็นการเชื่อมโยง “คะแนน” กับ “อากาศที่หายใจได้” ของทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือในภาพรวม

ภาพใหญ่ที่เห็นชัดในปีนี้คือ ไทยไม่ได้ล่าเพียงถ้วยรางวัล แต่กำลังวาง “ระบบนิเวศคุณภาพ” ที่ปีนทีละขั้นด้วยภาษาเดียวกับโลก—SCA score—ภายใต้กรอบการประกาศผลที่โปร่งใสและสื่อสารได้ ขณะที่เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของคลัสเตอร์กาแฟเหนือที่ทั้งกว้างและลึก—มีทั้งผู้เล่นหน้าเก๋าและรุ่นใหม่จำนวนมาก การที่รายชื่อผู้ส่งเข้าประกวดจากเชียงรายคว้าประกาศนียบัตรหลายระดับในปี 2568 (ตามเอกสารเบื้องต้น) คือสัญญาณว่าฐานคุณภาพกำลัง “หนาแน่นขึ้น” อย่างแท้จริง

คำถามต่อไปคือ เราจะทำให้ “คะแนน” กลายเป็น “รายได้ที่ยั่งยืน” แก่ครัวเรือนต้นน้ำมากขึ้นแค่ไหน—คำตอบอยู่ที่การลงทุนใน post-harvest และระบบ QC ร่วมของพื้นที่, การเชื่อมโยงกับตลาดพรีเมียมในประเทศ–ต่างประเทศ, และการยึดมั่นในเกณฑ์สากลที่โปร่งใส เพื่อให้ทุกฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง “ปลายลิ้นของผู้ดื่ม” เป็นคนตัดสินใจแทนเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร – ประกาศผล “Thai Coffee Excellence 2024: Thailand Best Coffee Beans” (ระบุรายชื่อผู้ชนะ/คะแนนและเกณฑ์ประกาศนียบัตร) เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ทางการกองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร.
  • กรมวิชาการเกษตร – ข่าว/ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลการประกวดสุดยอดกาแฟไทย 2024 (หน้าเว็บข่าวกองพืชสวน)
  • กรมวิชาการเกษตร (กองพืชสวน) – ข่าวประชาสัมพันธ์/ประกาศขยายรับสมัครและกำหนดการ “Thai Coffee Excellence 2025” (ยืนยันการดำเนินการรอบปี 2568).
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานชุมพร
  • ไร่กาแฟครอบครัวมะ
  • LOCAL Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุมเข้มก่อนน้ำมา สทนช.สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. นี้

สทนช.ลงพื้นที่เชียงราย “คุมเข้มก่อนน้ำมา” สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. ย้ำสื่อสารมาตรฐานคุณภาพน้ำตามการใช้งาน–พร่องน้ำอ่าง–เตือนภัยเชิงรุก รับมือฝนพีค ส.ค.–ก.ย.

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามสายของวันประชุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย แผนที่ลุ่มน้ำโขงเหนือขนาดใหญ่ถูกคลี่บนโต๊ะ กราฟคาดการณ์ฝน–ความชื้นในดิน–ระดับน้ำท่า เชื่อมโยงเข้ากับไทม์ไลน์ “งานซ่อมพนัง” ที่กำลังเดินหน้าในอำเภอแม่สาย ภาพทั้งหมดสะท้อนโจทย์เดียวกัน—รับมือฝนระลอกพีกปลายสิงหาคม–กันยายน ให้ทันก่อน “น้ำมา” และจำกัดความเสี่ยงซ้ำรอยน้ำหลากปีที่ผ่านมา

การลงพื้นที่ครั้งนี้นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะประธานการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น หน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศและภูมิสารสนเทศ รวมถึงภาคส่วนปฏิบัติการในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สาระสำคัญคือ คำสั่งเร่งด่วนซ่อมเสริมพนังกั้นน้ำแม่น้ำสายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อ “ล็อกความเสี่ยง” ก่อนความชื้นสะสมในดินและฝนใหม่จะผนวกกันเป็นน้ำหลากรอบใหม่

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สถานการณ์เฝ้าระวังได้รับการติดตาม รายวัน โดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้กำกับติดตามจุดเสี่ยงสำคัญของลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อให้การสั่งการ–การสนับสนุน–และการแจ้งเตือนประชาชน ทันเวลา–ตรงจุด–ใช้การได้จริง ไม่ใช่เพียงเอกสารเตือนภัย

พายุปลายสิงหาเหตุผลของ “เส้นตาย 24 ส.ค.”

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ว่า ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ปริมาณฝนในลุ่มน้ำโขงเหนือมีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาพวิเคราะห์บรรยากาศแสดง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ที่อาจพัฒนาเป็นพายุโซนร้อนปลายเดือน—สถานการณ์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะ ค่าความชื้นในดินสูง อยู่แล้วจากฝนหลายระลอกก่อนหน้า เมื่อฝนก้อนใหม่ตกซ้ำลงมา น้ำฝนจะ ซึมดินได้ต่ำ–กลายเป็นน้ำท่าเร็ว–ไหลลงลำน้ำ สร้างยอดคลื่นระดับน้ำ (peak) ที่ สูงและมาไว กว่าปกติ

ถ้าพนัง–ฝาย–คอสะพาน ยังซ่อมไม่เสร็จ หรืออ่อนแรง จุดเปราะบางจะกลายเป็น ช่องทางน้ำพุ่ง เพิ่มความเสียหายแบบลูกโซ่ การกำหนดเส้นตาย 24 ส.ค. จึงไม่ใช่ตัวเลขลอย ๆ แต่ยึดโยงกับ หน้าต่างเวลา (window) ระหว่าง “ฝนเดิมยังไม่ระบายหมด” กับ “ฝนใหม่กำลังเข้า” ให้มี กันชน (buffer) เพียงพอ

คำถามชวนคิด ใน 72 ชั่วโมงหลังฝนหนัก จังหวะ “พร่องน้ำ–ปิดช่องโหว่–เสริมจุดอ่อน” จะทำได้เร็วพอหรือไม่? และการซ้อมแผนอพยพในชุมชนริมน้ำที่เคยถูกน้ำท่วมซ้ำมีความพร้อมแค่ไหน?

แม่สายคือจุดยุทธศาสตร์ พนังที่ต้องแข็งแรงก่อนฝนใหญ่

อำเภอแม่สาย คือแนวหน้ารับน้ำฝั่งเหนือ ก่อนที่น้ำจะไหลสู่ แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก–และแม่น้ำกก ต่อไป การลงพื้นที่ร่วมกับ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานท้องถิ่น จึงเจาะจงประเด็น พนังกั้นน้ำที่ชำรุด จากรอบน้ำหลากที่ผ่านมา สาระหลักของคำสั่งคือ

  • เร่ง งานโครงสร้าง: อุดรอยรั่ว–เสริมเขื่อนดิน–ปูแผ่นใยทางวิศวกรรม (geotextile) จุดวิกฤติ
  • คอสะพาน–ท่อระบายน้ำ: ตรวจโครงสร้างฐานราก–เคลียร์เศษวัสดุตัน–ติดตั้งรางระบายน้ำชั่วคราว
  • เครื่องจักรกล: วางเครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–รถแบ็กโฮ สแตนด์บาย จุดเสี่ยง
  • เฝ้าระวัง 24 ชม.: ตั้งเวรยามริมน้ำ–ติดตั้งไม้บรรทัดวัดระดับ–รายงานเข้าศูนย์ทันทีหากระดับน้ำเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้กรอบ 24 ส.ค. เพื่อให้ แม่สาย—เมืองหน้าด่าน—ยืนให้มั่นก่อนสายฝนจะเข้าทั้งละลอก

น้ำใช้ต่างกัน มาตรฐานต่างกัน” แยกเกณฑ์คุณภาพน้ำให้ชัด–สื่อสารให้ถึง

อีกแกนหลักของการประชุม คือการสื่อสารเรื่อง คุณภาพน้ำ ให้ประชาชนเข้าใจ เกณฑ์มาตรฐานตามการใช้งาน” ไม่ใช้ตัวเลขชุดเดียวครอบทุกประเภทการใช้ เพราะบริบท น้ำดิบเพื่อการประปา” กับ น้ำเพื่อเกษตร” ไม่เท่ากัน

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินสำหรับน้ำดิบที่ต้องบำบัดเป็นน้ำประปา: หลังบำบัดแล้วต้องมีสารหนู ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร จึงเหมาะสมสำหรับ อุปโภค–บริโภค
  • น้ำเพื่อการเกษตรบางประเภท (เช่น เพาะปลูกข้าว–เลี้ยงสัตว์น้ำ): ไม่ควรเกิน 0.05 มก./ลิตร เพื่อลดความเสี่ยงการสะสมในพืชและห่วงโซ่อาหาร

บริบทพื้นที่ปัจจุบัน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก ยังตรวจพบ ค่าสารหนูเกินเกณฑ์ 0.01 มก./ลิตร ตามมาตรฐานน้ำดื่ม จึงต้องย้ำว่า น้ำธรรมชาติเหล่านี้ไม่ใช่น้ำดื่มโดยตรง” ต้องผ่าน กระบวนการบำบัด ให้ได้ตามเกณฑ์ก่อน ส่วนภาคเกษตร หากพื้นที่ใดมีค่าตรวจเกิน 0.05 มก./ลิตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง แจ้งเตือน–ให้คำแนะนำ วิธีลดความเสี่ยง (เช่น ปรับชนิดพืช ลดการใช้น้ำแหล่งดังกล่าวชั่วคราว สำรองน้ำสะอาด หรือผสมน้ำจากแหล่งอื่น)

ที่ประชุมจึงมอบหมายให้จังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์แบบตรงประเด็น:

  1. จัดทำ อินโฟกราฟิก “น้ำใช้–เกณฑ์ต่าง” แจกออนไลน์–ออฟไลน์
  2. ติด ป้ายเตือน ณ จุดสูบน้ำดิบ และ จุดใช้น้ำเพื่อเกษตร ในหมู่บ้านริมน้ำ
  3. เปิด จุดสอบถาม/ตอบข้อสงสัย ร่วมระหว่าง สาธารณสุข–การประปา–เกษตร–ประมง–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้คำแนะนำแก่ประชาชนแบบเคส–บาย–เคส

ชุดมาตรการเชิงระบบ พร่องน้ำอ่าง–ข้อมูลแม่น–เตือนเร็ว–เครื่องมือพร้อม

เพื่อให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “การลดความเสี่ยงจริง” ที่ประชุมกำหนดมาตรการทำงาน สอดประสานหลายมิติ ดังนี้

1) พร่องน้ำอ่างเก็บน้ำ:

  • สำรวจอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณสูง เร่งระบายเชิงป้องกัน เพื่อเพิ่ม พื้นที่รับน้ำฝน (flood cushion) โดยต้องประเมิน ผลกระทบท้ายน้ำ และสื่อสารเวลาระบายให้ชุมชนทราบล่วงหน้า
  • กำหนด เกณฑ์ตัดสินใจ (trigger level) ชัดเจน—เมื่อฝนคาดการณ์กี่มิลลิเมตรภายในกี่ชั่วโมง จะเริ่มพร่องน้ำเท่าไร

2) ข้อมูลและพยากรณ์เฉพาะพื้นที่:

  • กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ พยากรณ์รายอำเภอ–รายลุ่มน้ำย่อย ล่วงหน้า พร้อมแจ้ง “โซนฝนหนัก–เวลาคลื่นน้ำมา”
  • GISTDA สนับสนุน ข้อมูลความชื้นในดิน และภาพถ่ายดาวเทียม อัปเดตรายสัปดาห์–เร่งด่วนเมื่อเกิดฝนหนัก เพื่อช่วยคาดการณ์ “น้ำท่ามาเร็ว” ในโซนลาดเชิงเขาและพื้นที่ชุ่มน้ำ

3) ระบบเตือนภัยและสื่อสารสาธารณะ:

  • ใช้หลายช่องทาง (SMS, ไลน์กลุ่ม อปท., เสียงตามสาย, รถประชาสัมพันธ์, เพจจังหวัด/อำเภอ/เทศบาล) เพื่อให้เตือนถึงมือประชาชนเร็ว
  • จัดตั้ง โหนดสื่อสารชุมชน” ที่มี อสม.–ผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสากู้ภัย เป็นตัวกลางแปลข้อความเตือนให้เข้าใจง่าย และย้ำ จุดรวมพล–เส้นทางอพยพ–จุดปลอดภัย

4) ความพร้อมเครื่องมือ–กำลังพล:

  • เครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–กระสอบทราย–แผ่นเหล็กชั่วคราว–ไฟส่องสว่าง ต้องอยู่ในตำแหน่งเสี่ยงพร้อมใช้
  • ทีม โยธา–ปภ.–ทหาร–อปท. บูรณาการเวรยาม 24 ชม. ในช่วงฝนพีก

ดร.สุรสีห์ สรุปหลังลงพื้นที่ว่า จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ขยับโจทย์หลักครบด้าน แล้วทั้งโครงสร้าง–ข้อมูล–สื่อสาร–อุปกรณ์ แต่เน้นย้ำ อย่าประมาท” และต้องรักษาวินัยการแจ้งเตือนล่วงหน้า เพื่อปกป้อง ชีวิต–ทรัพย์สิน ตามนโยบายรัฐบาล

เสียงจากพื้นที่ “ทำงานเชิงรุกตั้งแต่ยังไม่ตก”

ด้านพื้นที่ แม่สาย หน่วยงานฝ่ายปกครองและท้องถิ่นรายงานความพร้อม แผนเฝ้าระวังระดับน้ำ–ซ่อมโครงสร้าง–และจุดอพยพ โดยเฉพาะ ชุมชนริมน้ำ–ตลาด–โรงเรียน ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากน้ำหลากที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า “ยุทธวิธีปีนี้” คือการ ลงมือก่อน ไม่รอฝนตกหนักแล้วค่อยยกระสอบทราย

ในตัวเมืองเชียงราย หน่วยงานสาธารณูปโภคเตรียม เคลียร์ท่อระบายน้ำ–ทางน้ำลัด–แก้มลิง ให้เปิดทางรับน้ำฝน โครงการ ซักซ้อมอพยพย่อม (micro drill) ในชุมชนเสี่ยงเริ่มทยอยทำ เพื่อให้ประชาชน จำทางหนีไฟของน้ำ ได้โดยอัตโนมัติ

บริบท “คุณภาพน้ำ” กลางฝนหลวง สารหนูคืออะไร–เสี่ยงอย่างไร–ประชาชนควรทำอะไร

สารหนู (Arsenic) เป็นโลหะกึ่งโลหะที่พบได้ตามธรรมชาติในดิน–หิน และอาจปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำได้จาก กระบวนการทางธรณี หรือกิจกรรมของมนุษย์ในบางบริบท ความเสี่ยงต่อสุขภาพขึ้นกับ ระดับความเข้มข้น–ระยะเวลาการสัมผัส–และวิธีการรับสัมผัส หลักการกว้าง ๆ คือ น้ำสำหรับดื่มกิน ต้องผ่านกระบวนการบำบัดให้ได้มาตรฐาน ≤ 0.01 มก./ลิตร ส่วนการใช้เพื่อเกษตรมี เกณฑ์สูงกว่า และต้องติดตาม ความเสี่ยงการสะสม ในพืช–สัตว์น้ำเป็นกรณีไป

ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน จากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 21 – 25 กรกฎาคม 2568

“แม่น้ำกก” พบว่าสารหนูมีค่าสูงเกินค่ามาตรฐานฯ ทุกจุดตรวจวัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนไทย – พม่า อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จนถึงบริเวณ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (KK01 -KK015) โดยมีค่าอยู่ในช่วง น้อยกว่า 0.010 – 0.016 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.) ดังนี้

  • KK01 ชายแดนไทย-พม่า ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK02 สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย มีค่าสารหนู 029 มก./ล.
  • KK03 สะพานสองดินแดนบ้านแม่สลัก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 016 มก./ล.
  • KK04 บ้านจะเด้อ หมู่ 6 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK05 สะพานมิตรภาพแม่ยาว-ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK06 บ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK07 สะพานข้ามแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK08 สะพานแม่ฟ้าหลวง ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK09 สะพานเฉลิมพระเกียรติ1 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK10 ฝายเชียงราย ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 013 มก./ล.
  • KK11 สะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK12 สะพานโยนกนาคนคร ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK013 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK014 ต.หนองป่าก่อ อ.ดอยหลวง มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK015 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำกก (แม่น้ำฝาง FA01 แม่น้ำกรณ์ KO01 แม่น้ำสรวย SU01 และแม่น้ำลาว LA01) คุณภาพน้ำมีค่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด คุณภาพน้ำของแม่น้ำที่เป็นจุดอ้างอิง และลำน้ำสาขาของแม่น้ำกกยังมีค่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

แม่น้ำสาย” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • SA01 บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 055 มก./ล.
  • SA02 สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 053 มก./ล.
  • SA03 บ้านป่าซางงาม ม.6 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 052 มก./ล.

แม่น้ำรวก” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 2 จุด ดังนี้

  • RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง การประปาส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 040 มก./ล.
  • RU02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จุดปลายน้ำรวกก่อนลงแม่น้ำโขง มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำโขง” สารหนู (As) สูงเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • NK01 จุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • NK02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 012 มก./ล.
  • NK03 บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

ประชาชนควรปฏิบัติอย่างไรในช่วงเฝ้าระวังน้ำหลาก?

  • อย่าใช้น้ำจากแม่น้ำ–ลำห้วยดื่มโดยตรง ให้ใช้น้ำประปาที่ผ่านมาตรฐาน หรือใช้น้ำบรรจุขวดที่ได้รับการรับรอง
  • ติดตามประกาศคุณภาพน้ำ จากจังหวัด/สาธารณสุข/การประปา หากอยู่ในพื้นที่เกษตร–ประมง ให้สอบถามคำแนะนำเฉพาะพื้นที่
  • จัดทำ แผนฉุกเฉินครัวเรือน: ย้ายปลั๊กไฟ–เครื่องใช้ไฟฟ้า–เอกสารสำคัญขึ้นที่สูง เตรียมของจำเป็น 3–5 วัน
  • รู้ จุดปลอดภัย–เส้นทางอพยพ และเฝ้าระวัง ผู้สูงอายุ–ผู้ป่วย–เด็กเล็ก เป็นพิเศษ

สถิติชวนคิด ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ช่วง ส.ค.–ก.ย. มักเป็นเดือนที่ ฝนสูงสุดของภาคเหนือ และเป็นหน้าต่างที่เกิด น้ำหลาก–ดินถล่ม สูงสุดตามสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้น การมี “แผนส่วนบุคคล” ควบคู่ “แผนจังหวัด” จึงสำคัญพอกัน

ภาพใหญ่ของความพร้อม เมื่อวิทยาศาสตร์–วิศวกรรม–การสื่อสาร ต้องเดินพร้อมกัน

การจัดการน้ำยุคใหม่ไม่ได้จบที่ “เขื่อน–พนัง–ท่อ” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อม วิทยาศาสตร์ข้อมูล (พยากรณ์ฝน–น้ำท่า–ความชื้นดิน) กับ การตัดสินใจหน้างาน และ การสื่อสารที่ประชาชนเข้าใจทันที การประชุมของ สทนช. ครั้งนี้จึงวาง สามขาค้ำยัน ไว้ครบถ้วน

  1. ขาโครงสร้าง (Infrastructure) — ซ่อม–เสริม–พร่อง ให้แหล่งรองรับน้ำพร้อมใช้ก่อนฝนถึง
  2. ขาข้อมูล (Intelligence) — ใช้พยากรณ์เฉพาะพื้นที่–ภาพถ่ายดาวเทียม–โทรมาตรน้ำฝน/ระดับน้ำ ตัดสินใจอย่างมีหลักฐาน
  3. ขาสื่อสาร (Interface) — แปลข้อมูลยากให้เป็น “สารเตือนง่าย ๆ” ที่ชุมชนทำตามได้ทันที

เมื่อสามขานี้ขยับพร้อมกัน โอกาส ลดความเสียหาย–เพิ่มเวลาตัดสินใจ จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ทันก่อน—ทันระหว่าง—ทันหลัง” วงจรรับมือน้ำหลากเชียงราย

เชียงรายกำลังเผชิญช่วงเวลาสำคัญของปี—ปลายสิงหาคมถึงกันยายน การที่ สทนช. ลงพื้นที่ ตรวจงานซ่อมพนัง กำหนดเส้นตายก่อนพายุ วางแผนพร่องน้ำอ่าง และขอความร่วมมือทุกหน่วยเตือนประชาชนเชิงรุก เป็นสัญญาณว่า เครื่องมือกำลังเดิน อยู่ที่ “วินัยการปฏิบัติ” ของทุกภาคส่วนจะรักษา สามทัน ต่อไปได้หรือไม่

  • ทันก่อน: ปิดจุดอ่อน–พร่องน้ำ–กระจายเครื่องมือ
  • ทันระหว่าง: เตือนเร็ว–รายงานไว–เข้าพื้นที่ชุมชนทันที
  • ทันหลัง: เก็บกู้–ประเมินความเสียหาย–ฟื้นฟูแบบยืดหยุ่น–ตรวจคุณภาพน้ำต่อเนื่อง

หากทำได้ครบวงจร ความเสียหายจากน้ำหลากก็จะ ลดระดับ จาก “วิกฤต” เหลือ “เหตุการณ์ที่จัดการได้” และเปลี่ยนพายุปลายสิงหาที่น่าวิตก ให้เป็น บทพิสูจน์ความพร้อมของทั้งระบบ ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) — ข้อมูลการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 และข้อสั่งการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) — คาดการณ์สภาวะอากาศปลายเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับภาคเหนือ/ลุ่มน้ำโขงเหนือ และคำเตือนหย่อมความกดอากาศต่ำ–พายุโซนร้อน
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) — ข้อมูลแผนที่ความชื้นในดินและภาพถ่ายดาวเทียมประกอบการประเมินเสี่ยงน้ำหลาก
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) / กระทรวงสาธารณสุข / การประปาส่วนภูมิภาค — แนวทางมาตรฐานคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภค–บริโภค (สารหนู ≤ 0.01 มก./ลิตร หลังบำบัด) และหลักการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • จังหวัดเชียงราย / อำเภอแม่สาย / ปภ. — แผนเฝ้าระวังและรับมืออุทกภัยระดับจังหวัด–อำเภอ การเตรียมเครื่องจักร–จุดอพยพ–ระบบแจ้งเตือนในพื้นที่เสี่ยง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย — ข้อมูลสนับสนุนการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและคำแนะนำต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News