Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เขื่อนปากแบง สปป.ลาว ชาวเวียงแก่นหวั่นผลกระทบที่ดิน-อาชีพ

เวทีรับฟังความคิดเห็น “เขื่อนปากแบง” อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ชุมชนห่วงกระทบที่ดินทำกิน อาชีพ และสิ่งแวดล้อม กางกระบวนการมีส่วนร่วม ขณะที่ผู้แทนโครงการยืนยันแผนชดเชยหากเกิดผลกระทบในอนาคต

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 – การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด ล่าสุด โครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยบริเวณอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ราว 97 กิโลเมตร ได้ก้าวเข้าสู่ช่วงของการชี้แจงข้อมูลและเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง

กระบวนการรับฟังความคิดเห็น เสียงประชาชนต้องมาก่อน

วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่บ้านห้วยลึก อ.เวียงแก่น เวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนปากแบง เปิดให้ชาวบ้านจากบ้านห้วยลึก บ้านแจมป๋อง (อ.เวียงแก่น) และบ้านดอนมหาวัน (อ.เชียงของ) ได้ร่วมแสดงความเห็นและข้อกังวลอย่างเสรี ชาวบ้านส่วนใหญ่แสดงความห่วงใยต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำโขงที่อาจนำไปสู่น้ำท่วมพื้นที่การเกษตร ที่อยู่อาศัย ตลอดจนกระทบต่ออาชีพประมง และวิถีชีวิตของชุมชนลุ่มน้ำโขงตอนบนที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำเป็นหลัก

หลายเสียงสะท้อนว่าการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ควรเปิดเวทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังความเห็นโดยตรงจากคนในพื้นที่ ตลอดจนให้มีช่องทางเสนอข้อกังวลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งชุมชนเรียกร้องความชัดเจนเรื่องมาตรการชดเชยและเยียวยาหากเกิดผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผู้แทนโครงการแจง เขื่อนปากแบงเป็น “เขื่อนทดน้ำ” ผลกระทบควบคุมได้

ในเวทีดังกล่าว ผู้แทนที่ปรึกษาโครงการฯ ชี้แจงว่าเขื่อนปากแบงเป็นเขื่อนประเภท “ทดน้ำ” ผลิตไฟฟ้า ไม่ใช่เขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ระดับน้ำที่กักเก็บจะสูงสุดที่ 340 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางในฤดูน้ำหลาก และ 335 เมตรในหน้าแล้ง พร้อมยืนยันว่าข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าระดับน้ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สินของฝั่งไทย โดยกระบวนการศึกษาได้วางมาตรการรองรับไว้ หากภายหลังพบผลกระทบเกิดขึ้นกับที่ดินทำกินหรืออาชีพ ชุมชนจะได้รับการชดเชยที่เป็นธรรม

ประเด็นสารพิษในแม่น้ำโขงและสิ่งแวดล้อม – ข้อกังวลที่ต้องรับฟัง

ภาคประชาชนและเครือข่ายในพื้นที่ยังได้ตั้งคำถามถึงความเสี่ยงเรื่องสารพิษในแม่น้ำโขงที่อาจรุนแรงขึ้นจากโครงการก่อสร้างเขื่อน โดยเฉพาะตะกอนดิน โลหะหนัก หรือผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารและรายได้ของชุมชน ชาวบ้านและเครือข่ายจึงขอให้มีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary EIA) อย่างละเอียด โปร่งใส และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

รายละเอียดโครงการ และสถานะการดำเนินงาน

โครงการเขื่อนปากแบงตั้งอยู่เหนือเมืองปากแบงราว 15 กิโลเมตร โดยมีแผนเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2568 เชื่อมต่อระบบไฟฟ้าเดือนมีนาคม 2575 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2576 ผู้ร่วมลงทุนคือ บริษัท China Datang Overseas Investment Co., Ltd. และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจัดทำรายงานผลกระทบข้ามพรมแดน หากแล้วเสร็จจะดำเนินการขอกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ของไทยต่อไป

กำหนดการเวทีรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่

  • 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-12.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านแจมป๋อง / 13.00-16.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านยายเหนือ
  • 20 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-12.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านห้วยเอียน / 13.00-16.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านปากอิง
  • 21 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-12.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านดอนมหาวัน / 13.00-16.00 น. ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านปากอิงใต้

เวทีดังกล่าวถือเป็นช่องทางสำคัญในการสะท้อนความรู้สึกและข้อกังวลของประชาชนสู่การพัฒนาโครงการให้โปร่งใส และเคารพสิทธิชุมชน

บทวิเคราะห์และผลลัพธ์ของข่าว

การพัฒนาโครงการพลังงานไฟฟ้าในลุ่มน้ำโขงครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลแค่ระดับชาติแต่ยังขยายไปถึงรากฐานวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนข้ามแดน กระบวนการมีส่วนร่วมและการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องใส่ใจอย่างยั่งยืน การสร้างเขื่อนเพื่อพลังงานอาจหมายถึงทางเลือกใหม่ของเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค แต่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นที่ต้องเป็นผู้ร่วมออกแบบอนาคตของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนปากแบง อ.เวียงแก่น 18-21 มิ.ย. 2568
  • ข้อมูลการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE FEATURED NEWS

พลังศิลปะพลิกชีวิต พุทธรักษ์ ดาษดา สู่มิติใหม่ 7-Eleven Art Gallery

เมื่อ 7-Eleven กลายเป็นแกลเลอรี่ศิลปะ เรื่องราวแห่งการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และคนเราเริ่มมองหาความหมายใหม่ในชีวิตประจำวัน มีเรื่องราวหึ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในจุดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ นั่นคือการเปลี่ยนโฉมร้านสะดวกซื้อธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่แห่งศิลปะ ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับความงาม สร้างเอกลักษณ์และเปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโครงการ “7-Eleven Art Gallery” ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ร้านค้าปลีกเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหมาย และเป็นแลนด์มาร์คที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ผ่านกระบวนการ Co-Creation ที่เชื่อมโยงงานศิลปะ วัฒนธรรม และแบรนด์เข้าด้วยกัน

การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงในเชียงราย

ในจังหวัดเชียงราย ซีพี ออลล์ ได้ร่วมมือกับขัวศิลปะ (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย) ในการสร้างงานศิลปะแห่งแรกที่ร้าน 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา 2 ด้วยผลงานชื่อ “The Magical Land” ในปี 2024 ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิตของผู้คน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรม รวมถึงพืชผลทางการเกษตรกรรมของชุมชนและเส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่รวมเป็นจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของงานชิ้นแรกนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่สองที่สาขาชุมชนห้วยปลากั้ง ด้วยผลงานชื่อ “The Wonderland” ในปี 2025 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้ซ่อนเรื่องราวไว้ในชื่อ

เบื้องหลังความสำเร็จของผลงาน “The Wonderland” คือศิลปินหญิงชื่อ “อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา” ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อจริงเสียงจริงที่มารดาตั้งให้ มิใช่ชื่อในวงการอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ตามข้อมูลของ the cloud ชื่อของ อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา คือ “ถ้ามี ‘ษา’ มันจะเหมือนดอกไม้ใช่ไหม ตั้งแต่เวลาใครประกาศชื่อเรา เขาจะเติม ‘ษา’ ให้ กลายเป็น ‘พุทธรักษา’ แม่บอกว่าอิ๋มเกิดวันพุธ เลยเป็นพุทธรักษ์” เธอชี้แจงท่ามกลางกรอบรูป เฟรมผ้าใบ แจกันดอกไม้ แมลงสตัฟฟ์ในขวดโหล และสารพัดของกระจุกกระจิกที่คับคั่งอยู่ในห้องทำงานของ ‘ดาษดาสตูดิโอ’

เรื่องราวของพุทธรักษ์เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่กล้าหาญและเสี่ยงภัย นั่นคือการลาออกจากงานประจำเพื่อออกมาทำงานศิลปะเต็มตัว ด้วยการรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเพื่อจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกของตัวเอง (Solo Art Exhibition)

“ในระหว่างนั้นที่แสดงงาน ก็เจอผู้คนมากมายที่มาชมผลงาน พูดคุย ซัพพอร์ตผลงานและติดตามผลงานเสมอ จากครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้” เธอเล่าด้วยความซาบซึ้ง

สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอทำงานต่อไปคือการได้รับกำลังใจจากผู้คนที่ติดตามผลงาน ไม่เพียงแต่การซื้อขายผลงานเท่านั้น แต่ยังมีคนเดินทางมาเยี่ยมชมสตูดิโอ ส่งกำลังใจ และบอกว่าผลงานของเธอเป็นแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขาสบายใจเมื่อได้เห็น

กระบวนการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อนแต่ลงตัว

การทำงาน Mural Art ขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย พุทธรักษ์อธิบายกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย มีทีมเพ้นท์ มีทีมติดตั้งนั่งร้านให้มีความปลอดภัย และตัวเธอเองเป็นคนออกแบบเรื่องราวทั้งหมดของงาน ลงพื้นที่สำรวจและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละครั้ง

ทีมที่มาทำงานร่วมจะเป็นคนที่จบทางด้านศิลปะและนักศึกษาศิลปะที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อให้งานลุล่วงด้วยความสมบูรณ์และตรงตามวิสัยทัศน์ของศิลปิน การมีทีมเวิร์คที่ดีทำให้สามารถรับงาน Mural Art ในพื้นที่ใหญ่ขึ้น หรือพื้นที่ที่ไม่เคยทำได้ในอนาคต

“The Wonderland” ผลงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ผลงาน “The Wonderland” ที่สาขาห้วยปลากั้งไม่ใช่แค่ภาพสวยงามบนกำแพง แต่เป็นผลงานที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างจริงจัง พุทธรักษ์ได้ลงไปสำรวจพื้นที่ พูดคุยกับผู้คน จึงได้รู้ที่มาที่ไปของชื่อหมู่บ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับปลากั้ง ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์หนึ่งที่ลักษณะคล้ายปลาช่อน ที่เมื่อก่อนเคยมีมากมายในลำธารของชุมชนแห่งนี้

ผลงานนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งดอกโบตั๋นที่เป็นเนื้อหาหลักของผลงาน มีสมญานามราชาแห่งเหล่ามวลดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ความซื่อสัตย์ และมีเมตตา ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศ

แมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนาปรากฏอยู่ในผลงาน เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย ที่มีลักษณะมีหูสองคู่และตาห้าดวง รับประทานถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลเป็นทองคำ ตามความเชื่อของภาคเหนือเชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทอง ความอุดมสมบูรณ์”

นกผีเสื้อในผลงานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศิลปินเพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอุทยานลำน้ำกก แม่น้ำในภาพเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงสัพชีวิตของผู้คน สัตว์ต่างๆ ผืนดิน ต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เชื่อมโยงและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ปลากั้งที่บินตามดอกไม้เป็นการเปรียบเทียบกับผู้คนที่มาใช้ชีวิตและอาศัยชุมชนห้วยปลากั้งเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบสัมมาอาชีพมาจนถึงปัจจุบันไม่ต่างจากเมื่อครั้งอดีต

เด็กในดอกไม้เป็นตัวแทนของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่ ที่มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี สื่อถึงการผลิบานของผู้คนในรุ่นต่อๆไป รวมถึงในวัดห้วยปลากั้งเองที่พระอาจารย์พบโชคยังอุปการะเด็กชายขอบที่ยากไร้ในการให้ที่พัก อาหาร และให้การศึกษากับเด็กๆเหล่านี้

ความลงตัวระหว่างศิลปะกับแบรนด์

สิ่งที่น่าสนใจในผลงานนี้คือการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของชุมชนกับอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างลงตัว พุทธรักษ์ได้สอดแทรกสีแดง ส้ม เขียว ขาว ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ 7-Eleven เข้าไปในกลีบดอกไม้ของดอกโบตั๋นที่เป็นองค์ประกอบหลักของผลงาน เพื่อสื่อถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและ 7-Eleven ที่ผสมกลมกลืนซึ่งกันและกันอย่างอ่อนน้อม พร้อมกับยินดีดูแลและช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมกับชุมชนโดยรอบ

พลังของศิลปะในการเปลี่ยนแปลงสังคม

เมื่อถูกถามถึงพลังของศิลปะในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อผู้คนและสังคม พุทธรักษ์มองว่างานศิลปะในพื้นที่สาธารณะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจระหว่างคนในชุมชน การที่ผู้คนได้เห็นเรื่องราวของตนเองถูกสะท้อนผ่านงานศิลปะ ทำให้เกิดความภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

มากกว่านั้น งานศิลปะยังเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับการนำเรื่องราวของแมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนามาสู่สายตาของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่าย

ความฝันและเป้าหมายในอนาคต

พุทธรักษ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาตัวเองและงานศิลปะ เธอกำลังเตรียมตัวและเก็บรวบรวมผลงานเพื่อจัดแสดงเดี่ยวที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นความฝันที่เธอหวังจะทำให้เป็นจริงในอนาคตอันใกล้

ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะและเทคนิคของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ข้อคิดสำหรับคนที่อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปะ

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มต้นหรือพัฒนาตนเองบนเส้นทางศิลปะ พุทธรักษ์มีข้อแนะนำที่มาจากประสบการณ์จริง เธอเชื่อมั่นว่าการทำงานด้านศิลปะ (Fine Art) สามารถเป็นอาชีพได้ สามารถหล่อเลี้ยงทางใจและทางกายให้เราไม่ต่างกันกับสายอาชีพอื่นๆเลย

“ในทางความสุนทรีย์ภายในจิตใจ จึงส่งผลมาสู่ทางกระบวนการการใช้ชีวิต ระบบการทำงาน เรารู้ว่าเรารัก เราชอบ และถนัดในด้านใด มีเป้าหมายและมุ่งมั่นทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอย หาความรู้ ศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ” เธอแนะนำ

เมื่อศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อมโลก

โครงการ 7-Eleven Art Gallery และผลงาน “The Wonderland” ของพุทธรักษ์ ดาษดา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่และสร้างความหมายใหม่ให้กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ร้านสะดวกซื้อที่เคยเป็นแค่จุดซื้อของใช้ประจำวัน กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่คนอยากแวะไปชม เป็นแลนด์มาร์คที่สร้างความภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันน และอนาคตเข้าด้วยกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับการนำศิลปะมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม มากกว่าการมองเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ

ผลงานของพุทธรักษ์แสดงให้เห็นว่าศิลปินรุ่นใหม่ของไทยมีความสะามารถและวิสัยทัศน์ที่จะสร้างงานศิลปะที่มีคุณค่าทั้งในด้านความงามและความหมายทางสังคม โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ท้องถิ่นหรือความเป็นไทย

เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนได้เห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก แต่สามารถอยู่ร่วมกับเราในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืน และที่สำคัญคือ ศิลปะมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แท้จริงต่อสังคมและชุมชนของเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์
  • ขัวศิลปะเชียงราย (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย)
  • ซีพี ออลล์
  • การสัมภาษณ์พิเศษกับ พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “The Wonderland”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE EDITORIAL

สล่าคำจันทร์ ยาโน ครูศิลป์ของแผ่นดิน 2568 ช่างแกะไม้ระดับโลก

สล่าคำจันทร์ ยาโน ศิลปินแกะสลักไม้แห่งล้านนา รับรางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” ปี 2568

เชียงราย, 15 มิถุนายน 2568 – หมอกบางเบาคลอเคลียยอดดอยในยามเช้าของบ้านถ้ำผาตอง ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ดินแดนที่เงียบสงบแห่งนี้เป็นบ้านของชายผู้มีฝีมือฉกาจในการรังสรรค์ไม้ให้มีชีวิต “สล่าคำจันทร์ ยาโน” ศิลปินแกะสลักไม้ชั้นครู ผู้เพิ่งได้รับการยกย่องเป็น ครูศิลป์ของแผ่นดิน พ.ศ. 2568” จากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (สศท.) ด้วยผลงานที่ผสานภูมิปัญญาล้านนาเข้ากับความคิดสร้างสรรค์สมัยใหม่ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในเวทีโลก

จากแรงบันดาลใจสู่อาชีพช่างแกะสลัก

ย้อนกลับไปในวัยเด็กของสล่าคำจันทร์ เด็กชายจากบ้านถ้ำผาตองมักนั่งมองคุณตาแกะสลักด้ามกระบวยตักน้ำด้วยความประณีต ไม้แต่ละชิ้นถูกขัดเกลาจนกลายเป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตชาวบ้าน “ผมเห็นคุณตาแกะไม้ตั้งแต่เด็ก งานของท่านเหมือนเล่านิทานผ่านลายเส้นบนไม้” สล่าคำจันทร์เล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ความทรงจำนั้นจุดประกายให้เขาเริ่มจับมีดแกะสลักตามรอยคุณตา

แต่เส้นทางสายช่างไม่ได้ราบรื่น ในปี 2549 ภัยแล้งรุนแรงทำให้การทำนาล้มเหลว สล่าคำจันทร์ตัดสินใจหันมาเอาจริงกับงานแกะสลักไม้ “ตอนนั้นลองแกะด้ามกระบวยขาย ปรากฏว่าคนชอบ ผมเลยคิดว่านี่อาจเป็นทางรอดของครอบครัว” เขาย้อนความหลัง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ได้เห็นผลงานของเขา อาจารย์ถวัลย์แนะนำให้เพิ่ม “ชีวิต” ลงในงานแกะสลัก “ท่านบอกว่า ทำชิ้นงานให้มีเรื่องราวเคลื่อนไหวได้สิ ผมจะซื้อเอง” คำแนะนำนั้นจุดไฟในใจสล่าคำจันทร์ เขาเริ่มทดลองใส่กลไกให้หุ่นไม้ขยับได้ เกิดเป็นผลงานที่ไม่เหมือนใคร เช่น หุ่นคนตำข้าว เลื่อยไม้ หรือหาปลา ที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต

งานศิลป์ที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนชุมชน

จากงานแกะสลักชิ้นเล็ก สล่าคำจันทร์พัฒนาสู่ชิ้นงานขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน ผลงานชิ้นเอกอย่าง บ้านพอเพียง” จำลองวิถีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีทั้งคนทำนา นวดข้าว และหาปลา โดยทุกชิ้นเคลื่อนไหวได้ด้วยกลไกมอเตอร์และระบบหยอดเหรียญ “ผมอยากให้งานศิลปะไม่ใช่แค่ของตั้งโชว์ แต่เล่าเรื่องได้และสร้างความตื่นเต้นให้คนดู” เขาอธิบาย

ผลงานชุดนี้เคยจัดแสดงในงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ และสร้างความฮือฮาเมื่อตู้หยอดเหรียญเก็บเงินได้นับแสนบาทจากผู้ชมที่หลงใหลในความแปลกใหม่ ผลงานของสล่าคำจันทร์ยังเดินทางไปไกลถึงญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่สถาบันสมิทโซเนียน ซึ่งยกย่องความสร้างสรรค์ที่ผสมผสานวัฒนธรรมล้านนาเข้ากับนวัตกรรม

แต่สิ่งที่สล่าคำจันทร์ภูมิใจยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนแปลงชุมชนบ้านถ้ำผาตอง เขาก่อตั้งกลุ่มแกะสลักไม้ในชุมชนที่มีสมาชิก 27 คน สร้างรายได้เฉลี่ย 4,500 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน “ผมสอนฟรี โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะอยากให้ศิลปะนี้อยู่รอด” เขากล่าว ลูกศิษย์ของเขาหลายคนเริ่มมีรายได้จากการรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะงานแกะสลักช้างไทยและพระพุทธรูปจากไม้มงคล

ความฝันที่ยิ่งใหญ่ พิพิธภัณฑ์ล้านนา

ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สล่าคำจันทร์วางแผนสร้าง พิพิธภัณฑ์ล้านนา บนที่ดินส่วนตัว 5 ไร่ ออกแบบเป็นหม้อน้ำขนาดยักษ์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 21 เมตร สูงเท่าตึก 9 ชั้น ภายในจะจัดแสดงเครื่องมือวิถีชีวิตล้านนาและผลงานแกะสลักไม้ที่เคลื่อนไหวได้ “ผมอยากให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมเหนือ สร้างงานให้ชาวบ้าน และเป็นมรดกของเชียงราย” เขากล่าวด้วยแววตาเปี่ยมหวัง

อย่างไรก็ตาม สล่าคำจันทร์ยอมรับว่าความฝันนี้ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะด้านงบประมาณและการส่งเสริมให้งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา “ผมอยากเห็นครูช่างพื้นบ้านเข้าไปสอนในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่สอนช่วงสั้นๆ เด็กที่มีแววจะได้พัฒนาฝีมือจริงจัง” เขาเสนอแนะ

ผลกระทบและอนาคตของงานศิลปหัตถกรรม

การได้รับรางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเป็นเกียรติยศส่วนตัวของสล่าคำจันทร์ แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยี งานแกะสลักไม้ของเขาคือตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างมรดกวัฒนธรรมและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ สร้างทั้งรายได้และชื่อเสียงให้ชุมชน

อย่างไรก็ตาม งานศิลปหัตถกรรมยังเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะการขาดแคลนทายาทสืบสานและการแข่งขันกับสินค้าอุตสาหกรรม การที่สล่าคำจันทร์ผลักดันให้ชุมชนมีส่วนร่วมและสอนเด็กรุ่นใหม่ฟรี เป็นแบบอย่างที่ควรขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น หากภาครัฐเพิ่มการสนับสนุนผ่านนโยบายการศึกษาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ล้านนาของสล่าคำจันทร์อาจกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สร้างรายได้หมุนเวียนให้เศรษฐกิจท้องถิ่น

มรดกที่เคลื่อนไหวของล้านนา

จากเด็กชายที่มองคุณตาแกะไม้ สู่ศิลปินที่สร้างชื่อให้ประเทศไทยในเวทีโลก สล่าคำจันทร์ ยาโน คือตัวอย่างของความมุ่งมั่นและความรักในศิลปะที่เปลี่ยนชีวิตทั้งของตัวเขาและชุมชน รางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล ด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์ของเขา วัฒนธรรมล้านนาจะยังคงเคลื่อนไหวและมีชีวิตผ่านผลงานแกะสลักไม้ที่เล่าเรื่องราวของผู้คนและแผ่นดินเหนือไปอีกนาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (สศท.)
  • บทสัมภาษณ์สล่าคำจันทร์ ยาโน, 15 มิถุนายน 2568
  • “สล่าคำจันทร์ ยาโน ผู้บันทึกวิถีชีวิตบนแผ่นไม้,” Mgronline.com, 27 สิงหาคม 2552
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจับมือ! เร่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก มุ่งสู่อนาคตที่สดใส

อบจ.เชียงราย ผนึกกำลัง รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย เตรียมจัดเวทีวิชาการ 18 กรกฎาคม 2568 สร้างอนาคต “เด็กเชียงรายสุขภาพดี-พัฒนาการสมวัย”

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –การพัฒนาเด็กปฐมวัยในปัจจุบันได้กลายเป็นประเด็นสำคัญยิ่งที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เนื่องจากช่วงวัยแรกเกิดถึง 5 ขวบ ถือเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะวางรากฐานชีวิตให้กับเด็กทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม การพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยจึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของทุกฝ่ายในสังคม ไม่เพียงแต่ครอบครัว แต่ยังรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ความร่วมมือเพื่ออนาคตของชาติ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา คณะผู้แทนจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ นำโดยทีมสหวิชาชีพได้เข้าพบนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ณ ห้องรับรองนายก อบจ. เพื่อหารือแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยในจังหวัดเชียงราย โดยมีนายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และบุคลากร อบจ. ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

จุดเน้นสำคัญของการหารือคือ การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูล ตลอดจนแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลกับ อบจ. เพื่อช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า หรือปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายโรงพยาบาลได้ถ่ายทอดประสบการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองพัฒนาการในเด็ก พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการจัดตั้ง “ศูนย์เครือข่ายพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย” ระดับจังหวัด ให้มีระบบติดตามและประเมินผลแบบองค์รวม พร้อมแนวทางการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และองค์กรชุมชน

เดินหน้าสู่เวทีวิชาการ – เปิดเวทีเรียนรู้เพื่อเด็กเชียงราย

ในโอกาสนี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ได้เรียนเชิญนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ให้ร่วมเป็นวิทยากรในเวทีสัมมนาวิชาการหัวข้อ “อนาคตเด็กเชียงรายมีสุขภาพดีและมีพัฒนาการสมวัย” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมใหญ่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

เวทีดังกล่าวมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างทีมสหวิชาชีพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อ

  • วิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายที่เด็กปฐมวัยในจังหวัดเชียงรายเผชิญ
  • กำหนดแนวทางเชิงนโยบายและมาตรการสนับสนุนการพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพ
  • สร้างกลไกเครือข่ายดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง
  • ผลักดันการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานที่สำคัญในศตวรรษที่ 21

เครือข่ายเข้มแข็ง สู่พัฒนาการเด็กยั่งยืน

การผลักดันประเด็นพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เป็นวาระสำคัญของจังหวัดเชียงรายนั้น เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐและภาคสุขภาพในระดับพื้นที่ ที่สามารถขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น ที่ต้องให้ความใส่ใจต่อสัญญาณความเสี่ยงต่างๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม สุขภาพ หรือภาวะบกพร่องทางพัฒนาการ พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันในการพัฒนาเครื่องมือคัดกรอง การอบรมครูพี่เลี้ยง และการสร้างระบบติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

การเดินหน้าสู่อนาคต

เวทีวิชาการที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างพลังขับเคลื่อนเครือข่ายพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบในจังหวัดเชียงราย ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพและการศึกษา หากยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกภาคส่วนในการร่วมสร้าง “อนาคตเด็กเชียงรายที่มีสุขภาพดีและพัฒนาการสมวัย” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย (13 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายชู Soft Power อาหาร! ดัน ‘แกงแค-ข้าวแรมฟืน’ สู่เวทีโลก

เชียงรายเดินหน้าคัดเลือกเมนูอาหารถิ่น สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เวที “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ต่อยอดสู่มรดกทางวัฒนธรรมไทย

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและค่านิยมการบริโภคอาหารมีแนวโน้มถูกกลืนไปกับกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ จังหวัดเชียงรายจึงได้เดินหน้านโยบายสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมอาหารถิ่นดั้งเดิม ด้วยการจัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นประจำจังหวัด ณ ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดเมนูแห่งเอกลักษณ์เข้าสู่เวทีประกวด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2568

เวทีแห่งความร่วมมือขับเคลื่อนวัฒนธรรม

การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายชุมชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความตื่นตัวในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารท้องถิ่นให้อยู่คู่สังคมไทย

โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ภายใต้แนวคิด Thailand Best Local Food มุ่งเน้นการอนุรักษ์ ยกระดับ และสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของอาหารถิ่น พร้อมนำเสนอวิถีการกินแบบดั้งเดิมที่มีรากฐานจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่น

5 เมนูชูอัตลักษณ์ ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ที่ประชุมมีมติร่วมกันคัดเลือก 5 เมนูเด่นของเชียงราย แบ่งเป็นอาหารคาว อาหารว่าง และอาหารหวาน โดยทุกเมนูผ่านเกณฑ์ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกำหนดและสะท้อนเอกลักษณ์ของชาวเชียงราย ได้แก่

  • อาหารคาว: “แกงแคไก่เมือง” อาหารพื้นบ้านทรงคุณค่าทางสมุนไพร, “น้ำพริกถั่วเน่า” เมนูเด็ดแห่งแดนเหนือ และ “ผัดรากชูหมู” อาหารพื้นถิ่นที่หากินยาก
  • อาหารว่าง: “ข้าวแรมฟืน” เมนูสุดสร้างสรรค์จากถั่วลันเตา
  • อาหารหวาน: “ขนมปาด” ขนมโบราณที่กำลังจะเลือนหาย

การคัดเลือกเมนูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์สูตรอาหารดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ส่งเสริมสมุนไพรในชุมชน และสนับสนุนการพัฒนาสินค้าชุมชนในรูปแบบอาหารสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

“The Lost Taste” เวทีพลิกฟื้นมรดกอาหารถิ่นสู่สากล

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ปี 2568 นี้ ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นจากแต่ละจังหวัด เหลือเพียง 3 เมนูเด่นระดับชาติ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมโหวตเมนูที่โดดเด่นที่สุดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสตระหนักรู้และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย

การสืบสานที่มีชีวิต – จากรุ่นสู่รุ่น

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่เพียงเน้นการประกวด หากยังเป็นการสืบทอดค่านิยมการบริโภคอาหารไทยที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของรากเหง้าท้องถิ่น โดยเฉพาะในยุคที่อิทธิพลจากต่างชาติเข้ามามีบทบาท การผลักดันให้เมนูอาหารถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จัก ถือเป็นทั้งภารกิจเชิงวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

ก้าวต่อไปสู่เวทีระดับประเทศ

สำหรับ 5 เมนูของเชียงรายที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้ จะถูกนำเสนอให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อคัดเลือกในระดับประเทศต่อไป ให้เหลือเพียง 3 เมนูเท่านั้น ซึ่งการโหวตจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมลงคะแนนเลือกเมนูที่ชื่นชอบผ่านระบบออนไลน์ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์อาหารถิ่นอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • ข่าวสารราชการ กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ความหลากหลายเบ่งบาน เชียงรายเตรียมจัด Pride Month ยิ่งใหญ่ 22 มิ.ย.

เชียงรายพร้อมจัดงาน Chiang Rai Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียม สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกกลุ่มหลากหลายทางเพศ

เชียงราย, 11 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมแห่งความเท่าเทียมและเปิดกว้างสู่ความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเตรียมจัดงาน “Chiang Rai Pride Month 2025” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมุ่งสร้างบรรยากาศของการยอมรับและความเข้าใจในความแตกต่างของทุกกลุ่มคน สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองเหนือในฐานะพื้นที่ที่เคารพและให้เกียรติทุกอัตลักษณ์ พร้อมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เวทีประชุมระดมความคิด รัฐ-เอกชน-ภาคีเครือข่ายร่วมมือ

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายหลากหลาย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะทำให้กิจกรรมครั้งนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและแรงบันดาลใจสำหรับคนเชียงรายและผู้มาเยือนจากทั่วทุกภูมิภาค

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเปิดการประชุมว่า
“วันนี้เราได้เปิดเวทีหารือร่วมกัน เพื่อต่อยอดแนวทางจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความเป็นเอกภาพ สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดทั้งในมิติการท่องเที่ยว สังคม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เราต้องการให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในด้านนี้อย่างแท้จริง”

งานไฮไลท์กลางเดือนมิถุนายน จุดประกายสีสันแห่งความภาคภูมิใจ

เดือนมิถุนายนของทุกปีทั่วโลกถูกยกให้เป็น “Pride Month” หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยจังหวัดเชียงรายร่วมกับมูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย เตรียมจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกิจกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า และลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เฉลิมฉลองอัตลักษณ์อย่างเท่าเทียม” (Celebrate Identity with Equality) โดยตั้งเป้าสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมขับเคลื่อนพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมีโอกาสแสดงออกอย่างเสรี ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

ไฮไลท์กิจกรรมพาเหรด เสวนา การแสดงวัฒนธรรม ประกวด Pride Ambassador

กิจกรรมสำคัญจะประกอบด้วย

  • ขบวนพาเหรด Pride Parade: เริ่มต้นจากลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า เคลื่อนผ่านอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผ่านหอนาฬิกา และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย สร้างสีสันและพลังแห่งการรวมตัวของผู้คนทุกวัย ทุกกลุ่ม
  • เวทีเสวนา: หัวข้อเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
  • การประกวด Pride Ambassador: เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถในกลุ่มหลากหลายทางเพศได้แสดงออกถึงศักยภาพ สร้างแรงบันดาลใจ
  • การแสดงทางวัฒนธรรม: นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นกับสากลอย่างกลมกลืน

เป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความเท่าเทียม

คณะผู้จัดงานมีเป้าหมายชัดเจนว่า Chiang Rai Pride Month 2025 จะเป็นทั้งเวทีสื่อสารเชิงบวกในระดับจังหวัดและภูมิภาค ช่วยสร้างบรรยากาศของการยอมรับ ความกลมเกลียวในสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งความเท่าเทียมและความหวัง

เชียงรายกับบทบาทผู้นำเมืองปลอดภัยและเท่าเทียม

การจัดกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตลอดจนตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองแห่งโอกาสและความหวังสำหรับทุกคน หากความสำเร็จของงานปีนี้เดินหน้าต่อเนื่อง จะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศนำไปขยายผล สร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นมิตรกับทุกกลุ่มประชากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพ! เร่งสร้างแนวป้องกันแม่น้ำสาย เผยคืบหน้า 51%

กองทัพเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำริมแม่น้ำสาย คืบหน้ากว่า 51% – เจ้ากรมทหารช่างเสนอฝึกซ้อมแผนรับมือเหตุอุทกภัยอย่างเป็นระบบ

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาวะอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่ชายแดนเหนือของไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะบริเวณอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนสำคัญติดกับประเทศเมียนมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมร่วมวางแผนรับมือภัยพิบัติ โดยมีการรายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำริมแม่น้ำสาย พร้อมเสนอแนวทางฝึกซ้อมแผนรับมืออุทกภัยอย่างเป็นระบบ เพื่อลดผลกระทบทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

วาระเร่งด่วนของการป้องกันน้ำท่วม – ประชุมติดตามความคืบหน้าแบบรายวัน

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สาย” โดยเน้นการเร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน การขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร

ในที่ประชุม พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง ได้รายงานถึงความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันชั่วคราว-กึ่งถาวรริมแม่น้ำสาย ว่าขณะนี้มีความก้าวหน้าแล้ว ร้อยละ 51.39 (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2568) และในส่วนของการขุดลอกแม่น้ำรวก – ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมระหว่างกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง – มีความคืบหน้าโดยรวมอยู่ที่ ร้อยละ 41.94 จากระยะทางรวม 32 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็นภารกิจของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 14 กิโลเมตร และกรมการทหารช่าง 18 กิโลเมตร

แผนฝึกซ้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน – ต้องมีระบบ-มีคน-มีความพร้อม

เพื่อให้แผนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เจ้ากรมการทหารช่างได้เสนอแนวทางให้จังหวัดเชียงรายจัด การฝึกซ้อมรับแผนเผชิญเหตุ” อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

  1. แผนเข้าพื้นที่ซ่อมจุดรั่วแนวป้องกัน – เตรียมอุปกรณ์ ซักซ้อมการเข้าสกัดน้ำทะลุแบบเฉพาะจุด
  2. แผนระบายน้ำ-สูบน้ำ – สำรวจความพร้อมของระบบระบายน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดเสี่ยงน้ำท่วมขัง
  3. แผนบริหารจัดการอาสาสมัคร – วางโครงสร้างรับมือการระดมคนจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน หรือขาดประสิทธิภาพในภาวะวิกฤต

ลงพื้นที่สำรวจงานจริง – ตรวจสอบแนวป้องกันริมแม่น้ำสายด้วยเรือยาง

หลังการประชุม นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พลโท สิรภพ ศุภวานิช ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ด้วยเรือยาง เพื่อสำรวจสภาพการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรริมแม่น้ำสาย ตั้งแต่บริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ไปจนถึงฐานปฏิบัติการนเรศวร หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ณ กองบังคับการผาทมิฬ

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ “ตรวจสอบการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบแปลน มาตรฐาน และระยะเวลาที่กำหนด” ตลอดจนประเมินความพร้อมของจุดเชื่อมโยงกับระบบระบายน้ำของเทศบาล และชุมชนในเขตเมืองแม่สาย

น้ำคือภัยคุกคามซ้ำซาก แต่แผนรับมือที่ดีคือเกราะป้องกันสำคัญ

อำเภอแม่สายเคยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2560 และอีกหลายครั้งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน พื้นที่เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ การพัฒนาระบบป้องกันน้ำและการขุดลอกลำน้ำจึงถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการบูรณาการระหว่างฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานโยธา การปกครองท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่พร้อมให้ความร่วมมือโดยรู้บทบาทของตน

แนวป้องกันน้ำแบบชั่วคราว-กึ่งถาวร อาจไม่ใช่คำตอบถาวรในระยะยาว หากไม่มีการ “ฝึกซ้อมซ้ำจริง” และ “อัปเกรดระบบเตือนภัย” ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะในบริบทชายแดนที่มีปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และปริมาณน้ำไหลผ่านจากเมียนมาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามฤดูกาล

สรุป

การดำเนินการของกองทัพไทยในการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ และข้อเสนอให้มีแผนรับมืออุทกภัยอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแบบอย่างของการจัดการเชิงป้องกันที่รัฐบาลไทยควรส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง หากสามารถบูรณาการทุกภาคส่วนได้อย่างมีเอกภาพ จะสามารถป้องกันภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และลดความสูญเสียได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประชุมป้องกันอุทกภัย อ.แม่สาย จ.เชียงราย วันที่ 6 มิถุนายน 2568
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ข้อมูลน้ำ กรมชลประทาน
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News