Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สหรัฐฯ กดดันเปิดตลาด! ภาษี 36% เขย่าหมูไทย เชียงรายเสี่ยงขาดทุนมหาศาล

วิกฤตหมูไทย 2568 เชียงรายกับมหันตภัยราคาดิ่ง โดมิโนเศรษฐกิจปศุสัตว์จากแรงกดดันสหรัฐฯ

สถานการณ์ล่าสุดไทยเจอแรงกดดันสหรัฐฯ เปิดตลาดเนื้อหมู

เชียงราย, 12  กรกฎาคม 2568  – อุตสาหกรรมเนื้อหมูไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังสหรัฐอเมริกาประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้า 36% กับเนื้อหมูไทย เริ่ม 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ไทยถูกกดดันให้นำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐฯ มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุชัด ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและประสิทธิภาพการผลิตสูงของหมูสหรัฐฯ ส่งผลต่อการแข่งขันและราคาหมูในประเทศโดยตรง

หมูสหรัฐฯ ราคาแรง ผลิตถูกกว่าไทย

ราคาหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยเพียง 1.7 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยแตะ 2.3 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หมูสหรัฐฯ ถูกกว่าไทยถึง 1.3 เท่า ทำให้ยากต่อการแข่งขัน หากตลาดเปิดเสรี หมูราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย สร้างแรงกดดันหนักต่อห่วงโซ่ปศุสัตว์

โดมิโนเอฟเฟกต์ผลกระทบครอบคลุมทุกภาคส่วน

เมื่อหมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า จะเกิด Domino Effect ต่อทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมดังนี้

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู: ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกว่า 1.49 แสนราย เสี่ยงขาดรายได้หรือเลิกกิจการ
  • ผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์: 5 ล้านครัวเรือน ผลิตภัณฑ์หลักอย่างรำสด ข้าวโพด จะราคาตกต่ำ
  • โรงชำแหละและเขียงหมู: อาจถูกกดดันให้ต้องเลิกกิจการ หรือรายได้ลดลงจากการแข่งขันกับหมูแปรรูปนำเข้า
  • ผู้บริโภค: แม้ราคาหมูถูกลง แต่เสี่ยงต่อสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดงในหมูสหรัฐฯ
    คาดการณ์ความสูญเสียตลาดหมูไทยสูงถึง 112,330 ล้านบาท หากไทยเปิดตลาดเต็มรูปแบบ

เชียงรายจังหวัดยุทธศาสตร์การค้าปศุสัตว์ชายแดน

เชียงรายคือประตูสำคัญของการส่งออกปศุสัตว์ไปยัง สปป.ลาว เมียนมา และจีน จุดผ่านแดนเช่น ด่านกักกันสัตว์เชียงของ และท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน มีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนตลาดสุกรมีชีวิตและเนื้อสัตว์แปรรูป ข้อมูลล่าสุดระบุ เชียงรายมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร 3,722 ราย สุกร 95,268 ตัว ผลผลิตสุกรรวม 23,817 ตัน

ต้นทุนพุ่ง-อุปทานลดความท้าทายของอุตสาหกรรมหมู

แม้การผลิตสุกรปี 2567 ฟื้นตัวจากโรค ASF รวม 21.723 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 6.19% แต่ปี 2568 คาดผลิตลดเหลือ 21.370 ล้านตัว (-1.63%) เนื่องจากมาตรการควบคุมโรคและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าอาหารสัตว์ที่ผันผวน
โครงสร้างผู้ผลิตเปลี่ยนไป ฟาร์มขนาดกลางและใหญ่เพิ่มเป็น 74% ในปี 2567 เกษตรกรรายย่อยลดลง 22.6%
ราคาหมูหน้าฟาร์มเพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ปี เฉลี่ย 75 บาทต่อกิโลกรัม (+14.1%)

ความท้าทายจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ปี 2567 อุปสงค์เนื้อสุกรในประเทศขยายตัว 2.5% จากราคาที่ลดลงและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ปี 2568 อุปสงค์คาดว่าจะลดลง 1.7% เพราะราคาสูงขึ้น ตลาดโลกเองก็มีแรงกดดันจากการลดการบริโภคในจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคหลัก
อีกทั้ง สังคมผู้สูงอายุในไทย ส่งผลให้การบริโภคเนื้อหมูมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

กลยุทธ์ปกป้องอุตสาหกรรมสุกรไทย

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะรัฐบาล “อย่าเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ” ไม่ว่ากรณีใด เพื่อรักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานและความอยู่รอดของเกษตรกรไทย

สำหรับผู้ประกอบการ

  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
  • สร้างจุดขายด้วยคุณภาพสินค้า เน้นหมูปลอดสาร
  • ใช้ประโยชน์การค้าชายแดน เชื่อมตลาดเพื่อนบ้าน

สำหรับภาครัฐ

  • สนับสนุนวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำ
  • พัฒนาการค้าชายแดนให้ได้มาตรฐาน
  • รักษาเสถียรภาพราคา โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด
  • เจรจาการค้าด้วยความรอบคอบ
  • สนับสนุนการวิจัยสินค้าสำหรับสังคมสูงวัย

เชียงรายต้องปรับตัวอย่างไรในยุคตลาดหมูเสรี

คำถามสำคัญ หากแรงกดดันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เชียงรายซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนและจุดยุทธศาสตร์การค้าหมู จะต้องวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และสร้างความอยู่รอดให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่
สถานการณ์นี้จึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของทั้งผู้ประกอบการและรัฐ หากไม่เตรียมพร้อม ปัญหาอาจลุกลามเป็นวิกฤตระดับชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กรมปศุสัตว์
  • รายงานข่าวตลาดการค้าชายแดนจังหวัดเชียงราย ปี 2567-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

โล่งใจ! สัตวแพทย์ยืนยัน กินหมูสุก ปลอดภัย แอนแทรกซ์

กินสุกเพื่อสุขภาพ: ปลอดภัยจากเชื้อโรค อร่อยไม่เปลี่ยน

ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเนื้อหมู

ในช่วงหน้าร้อนปี 2568 ความกังวลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) และโรคไข้หูดับ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชี้แจงว่า โรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis ไม่พบในหมู แต่พบในสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ เนื้อหมูจึงปลอดภัยสำหรับการบริโภคหากปรุงสุกอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบดิบหรือก้อย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากเชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ อันอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน หรือถึงขั้นเสียชีวิต การเลือกบริโภคเนื้อหมูที่ปรุงสุกจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและจำเป็น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู

เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นที่นิยมในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบ ก้อย และหมูกระทะ แต่การบริโภคแบบดิบหรือปรุงไม่สุกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis ซึ่งพบในหมูที่ป่วยและสามารถแพร่สู่มนุษย์ผ่านการบริโภคหรือการสัมผัสเนื้อดิบ นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ระบุว่า การปรุงเนื้อหมูให้สุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในความสะอาดและคุณภาพของเนื้อหมู

แนวทางการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและรักษาสุขภาพที่ดี สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแนะนำแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึง ใช้ความร้อนอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis และป้องกันโรคไข้หูดับ
  2. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซื้อเนื้อหมูจากร้านค้าหรือตลาดที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ
  3. ป้องกันการปนเปื้อน สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเนื้อดิบ ล้างมือและอุปกรณ์ให้สะอาด และแยกเขียงสำหรับเนื้อดิบและสุก
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย ในพื้นที่ที่มีประวัติการระบาดของโรค ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสซากสัตว์หรือสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  5. รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการ หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือสูญเสียการได้ยินหลังบริโภคหรือสัมผัสเนื้อดิบ ควรรีบไปโรงพยาบาลและแจ้งประวัติความเสี่ยง

ความอร่อยที่ปลอดภัยด้วยการกินสุก

การเปลี่ยนเมนูดิบมาเป็นเมนูสุกไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของรสชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เมนูอย่างลาบคั่ว ก้อยย่าง หรือหมูย่าง สามารถนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นและหอมกรุ่นโดยไม่ต้องพึ่งความดิบ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเชิญชวนทุกคนลองปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยไม่ห้ามการบริโภคเมนูดิบ แต่เน้นย้ำให้ลดการบริโภคแบบดิบและหันมาสร้างสรรค์เมนูสุกที่ทั้งปลอดภัยและน่ารับประทาน การปรุงสุกไม่เพียงปกป้องสุขภาพ แต่ยังเป็นการรักษาความสุขในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

กินสุกไม่ใช่เรื่องยาก รสชาติยังคงน่าจดจำ

การเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและไม่ทำให้สูญเสียรสชาติที่คุ้นเคย แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ส่งเสริมให้ทุกคนหันมาปรุงเมนูโปรดให้สุก เช่น ลาบคั่วที่หอมด้วยเครื่องเทศ ก้อยย่างที่สุกกำลังดี หรือหมูกระทะที่ย่างจนฉ่ำ การกินสุกไม่ได้หมายถึงการห้ามบริโภคเมนูดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเชิญชวนให้ลดความเสี่ยงด้วยการปรุงอาหารให้สุกเพื่อสุขภาพที่ดี ในช่วงหน้าร้อนนี้ มาร่วมกันเปลี่ยนความอร่อยให้เป็นความสุขที่ปลอดภัยด้วยการเลือกกินสุก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและความมั่นใจในทุกมื้ออาหาร

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

หมูแพงขึ้น! ผู้เลี้ยงเผยขาดทุนหนัก ปรับราคาตามกลไกตลาด

ราคาหมูขยับขึ้น! สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแจงต้นทุน-การควบคุมผลผลิต หนุนราคาสมดุล

ประเทศไทย, 25 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสุกรในประเทศ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความสนใจและความกังวลให้กับผู้บริโภคและผู้ค้าในตลาดสด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพของประชาชนยังอยู่ในระดับสูง

ราคาสุกรขยับรับกลไกตลาดหลังขาดทุนยาว

ตลอดปี 2566 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2567 เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มฟาร์มขนาดเล็กหลายแห่งต้องยุติการดำเนินกิจการ ส่วนฟาร์มขนาดกลางถึงใหญ่ลดจำนวนแม่พันธุ์ลงถึง 40-50% เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงจากภาวะขาดทุน

ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อยู่ในระดับที่ทำให้เกษตรกรขาดทุนประมาณ 500-700 บาทต่อตัว โดยช่วงที่ขาดทุนหนักที่สุดคือไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งขาดทุนสูงถึงตัวละ 3,600 บาท หรือคิดเป็น 40% ของต้นทุนการเลี้ยงสุกร

ปัจจุบันเริ่มมีกำไรขั้นต้น ราคาหน้าฟาร์มปรับขึ้น

ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มปรับตัวเพิ่มขึ้น จนสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ประมาณ 13% ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่ “ยุติธรรม” ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรแดงในห้างค้าปลีกอยู่ที่ประมาณ 143 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาที่ตลาดสดอยู่ที่ประมาณ 150 บาทต่อกิโลกรัม

นายสิทธิพันธ์ ระบุว่า การปรับขึ้นของราคาดังกล่าว เป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ได้เกิดจากการกำหนดราคาหรือการปั่นราคาแต่อย่างใด พร้อมย้ำว่าผู้เลี้ยงสุกรร่วมมือกับภาครัฐในการควบคุมราคามาโดยตลอด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป

ควบคุมปริมาณแม่พันธุ์ หวังรักษาสมดุลตลาด

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางควบคุมปริมาณแม่พันธุ์สุกรทั่วประเทศในปี 2568 ให้อยู่ในระดับ 1.1-1.2 ล้านตัว เพื่อควบคุมผลผลิตสุกรขุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 21-23 ล้านตัวตลอดปี ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภคภายในประเทศ

แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสุกรล้นตลาด ซึ่งจะกดราคาหน้าฟาร์มให้ต่ำกว่าต้นทุนอีกครั้ง และในทางกลับกัน หากควบคุมผลผลิตได้เหมาะสม จะสามารถรักษาระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถรับได้ และเกษตรกรสามารถอยู่รอ

ความเสี่ยงด้านสุขภาพสัตว์ยังคงมีอยู่

อีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้เลี้ยงสุกรต้องเฝ้าระวังคือ สภาพอากาศในช่วงต้นปีที่มีทั้งอากาศร้อนและฝนตก สร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของสุกร ทำให้มีโอกาสเกิดโรคในฟาร์มได้ง่ายขึ้น หากมีการระบาดของโรค อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการตายของสุกร และกระทบถึงปริมาณสุกรขุนในระบบ

สมาคมฯ จึงขอความร่วมมือจากผู้เลี้ยงทั่วประเทศให้เพิ่มความระมัดระวังในการบริหารจัดการฟาร์มให้เข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัย การทำความสะอาดฟาร์ม และการใช้วัคซีน เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น

การดูแลผู้บริโภคยังคงเป็นหลักสำคัญ

นายสิทธิพันธ์ ย้ำว่า ผู้เลี้ยงสุกรส่วนใหญ่มีความตั้งใจดูแลผู้บริโภคมาโดยตลอด ทั้งการสนองต่อนโยบายรัฐ การควบคุมราคาสุกร และการร่วมมือในมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังเปราะบาง ผู้เลี้ยงสุกรยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติยืนยันว่า จะพยายามรักษาสมดุลในตลาดให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม ระหว่างต้นทุนการเลี้ยงที่แท้จริงและราคาที่ผู้บริโภครับได้ โดยมีการประสานงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่า การปรับขึ้นราคาสุกรในช่วงนี้เป็นเรื่องจำเป็น หลังจากขาดทุนอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี การได้ราคาที่เริ่มมีกำไรบ้างถือเป็นการประคองอาชีพให้ยืนระยะได้ โดยเฉพาะกลุ่มฟาร์มขนาดกลางและเล็กที่แบกรับต้นทุนมาอย่างยาวนาน

ฝ่ายผู้บริโภค แม้เข้าใจถึงความจำเป็นของผู้ผลิต แต่ก็มีความกังวลว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อค่าครองชีพในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยที่พึ่งพาโปรตีนจากเนื้อหมูเป็นหลัก หากราคายืนในระดับสูงต่อเนื่อง จะต้องหาทางเลือกอื่นที่ราคาย่อมเยากว่า

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ณ มีนาคม 2568)

  • ราคาจำหน่ายสุกรเนื้อแดง:
    • ห้างค้าปลีก: 143 บาท/กก.
    • ตลาดสดทั่วไป: 150 บาท/กก.
  • ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์ม: เพิ่มขึ้น ทำกำไรขั้นต้น ~13%
  • ต้นทุนเฉลี่ยการเลี้ยงสุกร: ประมาณ 3,500-3,800 บาทต่อตัว
  • ขาดทุนหนักสุดในไตรมาส 3/2566: 3,600 บาทต่อตัว
  • จำนวนแม่พันธุ์สุกรที่ควบคุมในปี 2568: 1.1–1.2 ล้านตัว
  • คาดการณ์ผลผลิตสุกรขุนปี 2568: 21–23 ล้านตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กระทรวงพาณิชย์
  • การสำรวจราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ตลาดสดและห้างค้าปลีกทั่วประเทศ (โดยกรมการค้าภายใน)
  • รายงานสถานการณ์การเลี้ยงสัตว์โดยกรมปศุสัตว์ ประจำไตรมาส 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ราคาหมูหน้าฟาร์มขึ้นอีก 4 บาท สรุปภาคเหนือ 71 บาทต่อกิโลกรัม

 
เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2567 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 15/2567) วันพระที่ 8 เมษายน 2567 อีกกิโลกรัมละ 4 บาท ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งที่ 3 ในเดือนเมษายน จากก่อนหน้านี้ได้ปรับขึ้นไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งละ 4 บาท ในวันที่ 17 มีนาคม 2567 และวันที่ 8 เมษายน 2567 รวมทั้งสิ้นเป็นการปรับขึ้น 12 บาทต่อกิโลกรัม 

โดย ราคาล่าสุดรายภูมิภาค ประกอบด้วย

  • ภาคตะวันตก 64 บาทต่อกิโลกรัม
  • ภาคตะวันออก 72 บาทต่อกิโลกรัม
  • ภาคอีสาน 70 บาทต่อกิโลกรัม
  • ภาคเหนือ 71 บาทต่อกิโลกรัม
  • ภาคใต้ 66 บาทต่อกิโลกรัม

ลูกสุกรขนาด 16 กิโลกรัม วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567 1,600 บวกลบ 64

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาที่ปรับขึ้นมา 12 บาทแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ราคาถึงเป้าหมายที่เกษตรกรวางไว้ กิโลกรัมละ 80 บาทได้

ทั้งนี้ การที่ผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาคยกระดับราคาต่อเนื่อง 4 บาทต่อกิโลกรัม คู่ขนานไปกลับโครงการตัดวงจรหมู (โครงการหมูหัน) ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกบริษัทที่เข้าเกณฑ์ พร้อมส่งตารางคิวเป็นรายสัปดาห์ รายเดือนอย่างชัดเจน
 

การซื้อขายในแทบทุกจังหวัด มีการส่งคำสั่งซื้อกระจายตัวตรงสู่ฟาร์มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้อง กับ ตัวเลขขอนำสุกรเข้าเชือด (Demand Side) ของกรมปศุสัตว์สูงขึ้นในช่วง 3 เดือนปี 2567 อยู่ที่เฉลี่ย 1.91 ล้านตัวต่อเดือน หรือ 63,600 ตัวต่อวัน สะท้อนความต้องการบริโภคสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.69 ล้านตัวต่อเดือนเท่านั้น ทำให้คาดการว่าราคาสุกรหน้าฟาร์มมีแนวโน้มปรับตัวสู่ต้นทุนอย่างมีเสถียรภาพ

ขณะที่ Big Data ภาคเอกชน ที่เป็น Supply Side สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และ INET ได้จัดทำคู่มือการเข้าระบบของสมาชิกปัจจุบันเสร็จเรียบร้อยเพื่อให้ตัวเลขประชากร การพยากรณ์ผลผลิต เข้าสู่ Digital Transformation อย่างเป็นขั้น เป็นตอน เพื่อความมั่นคง ยั่งยืนของอุตสาหกรรมสุกร ตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ของเกษตรกรไทย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ราคาหมูหน้าฟาร์มขึ้นอีก 4 บาท รับเมษายนฟื้นตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2567 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 15/2567) วันพระที่ 8 เมษายน 2567 ปรับขึ้น กิโลกรัมละ 4 บาท จากวันพระก่อนหน้านี้ ในสัปดาห์ที่ 11/2567 วันพระที่ 17 มีนาคม 2567 ซึ่งปรับไปก่อน 4 บาท รวมแล้วในเดือนเมษายน มีการปรับขึ้นราคาหมู กิโลกรัมละ 8 บาท ดังนี้
  • ภาคตะวันตก 64 บาท/กก.
  • ภาคตะวันออก 72 บาท/กก.
  • ภาคอีสาน 70 บาท/กก.
  • ภาคเหนือ 71 บาท/กก.
  • ภาคใต้ 66 บาท/กก.

ส่วนราคาลูกสุกรขนาด 16 กิโลกรัม ณ วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567 1,600 บาท บวกลบ 64 บาท

ทั้งนี้ การที่ผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาคยกระดับราคาต่อเนื่อง 4 บาทต่อกิโลกรัม เป็นผลจากโครงการตัดวงจรยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ทุกบริษัทที่เข้าเกณฑ์ พร้อมใจส่งตารางคิวเป็นรายสัปดาห์ รายเดือนอย่างชัดเจน

การซื้อขายในแทบทุกจังหวัด มีการส่งคำสั่งซื้อกระจายตัวตรงสู่ฟาร์มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขขอนำสุกรเข้าเชือด (Demand Side) ของกรมปศุสัตว์สูงขึ้นในช่วง 3 เดือนปี 2567 อยู่ที่เฉลี่ย 1.91 ล้านตัวต่อเดือน หรือ 63,600 ตัวต่อวัน สะท้อนความต้องการบริโภคสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.69 ล้านตัวต่อเดือนเท่านั้น ทำให้คาดการณ์ว่าราคาสุกรหน้าฟาร์มมีแนวโน้มปรับตัวสู่ต้นทุนอย่างมีเสถียรภาพ

ขณะที่ Big Data ภาคเอกชน ที่เป็น Supply Side สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และ INET ได้จัดทำคู่มือการเข้าระบบของสมาชิกปัจจุบันเสร็จเรียบร้อย เพื่อให้ตัวเลขประชากร การพยากรณ์ผลผลิต เข้าสู่ Digital Transformation อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อความมั่นคงยั่งยืนของอุตสาหกรรมสุกร ตามนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ของเกษตรกรไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News