Categories
TOP STORIES

กสม.เร่งยุติความรุนแรงต่อสตรี ย้ำปัญหาสำคัญที่สังคมต้องแก้

กสม. ย้ำวันยุติความรุนแรงต่อสตรี ปัญหาสำคัญที่สังคมต้องร่วมมือแก้ไข

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกสารเนื่องในโอกาส “วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล” ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี โดยย้ำถึงความรุนแรงต่อสตรีว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

 

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

เป้าหมายและการดำเนินงานของ กสม.

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี (Beijing Declaration and Platform for Action – BDPA) และตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) กสม. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการในหลายด้าน ได้แก่

  1. ยุติความรุนแรงต่อสตรี

    • เน้นให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นวาระแห่งชาติ
    • สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง
  2. สร้างกลไกป้องกันและช่วยเหลือ

    • พัฒนาบุคลากรที่มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ
    • จัดตั้งฐานข้อมูลกลางเพื่อรวบรวมปัญหาและแนวทางแก้ไข
  3. ส่งเสริมความเสมอภาคและความตระหนักรู้ในสังคม

    • ปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องความรุนแรงต่อสตรี
    • เน้นย้ำถึงสิทธิของผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้พิการ และแรงงานข้ามชาติ
  4. พัฒนากฎหมายและบริการที่เกี่ยวข้อง

    • เร่งออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
    • พัฒนาระบบบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรี

กสม. ย้ำว่าปัญหาความรุนแรงต่อสตรีไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสาธารณะที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมแก้ไข เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ยอมรับการกระทำความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ กสม. ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณะ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเสมอภาคทางเพศอย่างยั่งยืน

ด้วยความร่วมมือที่เข้มแข็งและการตระหนักรู้ในปัญหา สังคมไทยสามารถร่วมกันยุติความรุนแรงต่อสตรี และสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันในทุกมิติ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม.แจ้งสติ ปี 66 พบเด็กและสตรี กว่า 54.25 % “ถูกทำร้ายร่างกาย”

 

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) แถลงข่าวการจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “รวมพลังหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” (Unite for the Prevention of Violence against Women and Children) เนื่องในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เพื่อการรณรงค์สร้างกระแสสังคมในการการรับรู้ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ช่องทางต่างๆ ให้เกิดความตระหนักต่อประเด็นปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ สนับสนุน และจัดกิจกรรมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


นายวราวุธ กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ เป็นปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ซึ่งผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กและสตรี โดยในสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ตามระบบฐานข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ภายใต้ www.violence.in.th พบว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,264 เหตุการณ์ โดยมีประเภทเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือ การทำร้ายร่างกาย จำนวน 996 เหตุการณ์ คิดเป็นร้อยละ 54.25 รองลงมา คือ ดุด่า/ดูถูก จำนวน 344 เหตุการณ์ และหยาบคาย/ตะคอก/ประจาน/ขู่/บังคับ จำนวน 300 เหตุการณ์ ตามลำดับ โดยผู้หญิงเป็นผู้ถูกกระทำมากที่สุด จำนวน 896 ราย คิดเป็นร้อยละ 77.98 ของผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงทั้งหมด (ข้อมูลในปี 2566 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566) ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ในระดับปัจเจกบุคคลต่อผู้ถูกกระทำเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมอีกด้วย    


นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “รวมพลังหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” (Unite for the Prevention of Violence against Women and Children) โดยมีการจัดกิจกรรมสำคัญ 2 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรม “ติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาวแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี” เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในการกระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้ง กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ โดยใช้ “ริบบิ้นสีขาว” (White Ribbon) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมรณรงค์อย่างต่อเนื่องทุกปี ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ระหว่างเวลา 07.30 – 09.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ และ 2) กิจกรรม “รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” ซึ่งมีภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน ศิลปินดารา นักเรียน นักศึกษา เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และประชาชนทั่วไป ร่วมเดินขบวนรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ เพื่อรวมพลังยุติความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 ระหว่างเวลา 15.30 – 20.30 น. ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ 1) กิจกรรมเดินรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เริ่มจากโรงเรียนสุพรรณภูมิ ถึงสวนเฉลิมภัทรราชินี (หอคอยบรรหาร – แจ่มใส) และ 2) กิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประกอบด้วย พิธีเปิดกิจกรรม และพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติแก่บุคลากรและหน่วยงานที่สนับสนุนและส่งเสริมการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประจำปี 2566 เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจในการเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคมในการสนับสนุนและส่งเสริมการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว และการแสดงต่างๆ จากโรงเรียนในพื้นที่


นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของกระทรวง พม. ขอขอบคุณสื่อมวลชนที่เป็นพลังหลักในการสื่อสารข่าวสาร และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ให้ประชาชนได้รับทราบ รับรู้ และตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย พร้อมทั้งขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมรณรงค์ร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงมาโดยตลอด ซึ่งหวังว่าเราจะร่วมกันยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เพื่อความมั่นคงและความสงบสุขของสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News