Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ”: มรภ.เชียงรายมอบหมวกพยาบาล 79 คน ก้าวสู่หอผู้ป่วย

แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ” มรภ. เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี ให้นักศึกษาพยาบาล “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” 79 คน ก้าวแรกสู่หอผู้ป่วยอย่างมีศักดิ์ศรี–จริยธรรม

ในช่วงรอยต่อการฟื้นตัวของระบบบริการสุขภาพและสังคมไทย ภูมิภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายต้องการ “คน” และ “คุณค่า” มากพอๆ กับ “เครื่องมือ” และ “งบประมาณ” สถานพยาบาลปลายทางต้องรองรับผู้ป่วยหลากหลายมิติ ขณะที่ชุมชนต้องการบุคลากรที่มีทั้งความรู้เชิงวิชาการ ทักษะการปฏิบัติ และหัวใจของความเป็นมนุษย์ พิธี “มอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี” ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ หากเป็น “พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ที่ประกาศต่อสาธารณะว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่แถวหน้าการดูแลสุขภาพอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ

รายงานนี้หยิบ “สาระความหมายบริบท” ของพิธีครั้งล่าสุด (22 สิงหาคม 2568) มาคลี่ให้เห็นทั้งภาพพิธีการ สัญลักษณ์หลัก และนัยต่อระบบสุขภาพท้องถิ่น ผ่านเลนส์การสื่อสารที่เป็นกลาง และรองรับด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

พิธีที่เป็นมากกว่าความภาคภูมิใจจุดเปลี่ยนสู่การปฏิบัติจริง

เชียงราย,22 สิงหาคม 2568 –  อาคารเรียนรวม 101 ของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย คลาคล่ำไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา และความคาดหวังของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” จำนวน 79 คน พร้อมครอบครัวและคณาจารย์ผู้ปลูกฝังวิชาชีพ พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี เป็นธรรมเนียมอันทรงเกียรติที่สืบทอดมายาวนานในแวดวงการพยาบาลไทย ใช้ยืนยันว่า นักศึกษากลุ่มนี้ได้ผ่านรากฐานทางทฤษฎีที่จำเป็น และพร้อมก้าวเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วย โดยมีระบบพี่เลี้ยงและสถาบันคู่ความร่วมมือทางคลินิกคอยกำกับคุณภาพอย่างใกล้ชิด

พิธีได้รับเกียรติจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับรองอธิการบดีเป็นประธาน พร้อมด้วยคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ตอกย้ำความสำคัญของ “คนดีคนเก่งคนกล้าเปลี่ยนแปลง” ที่สังคมต้องการ ยิ่งในบริบทจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตด้านประชากร สุขภาวะ และวัฒนธรรมแตกต่างหลากหลาย การหล่อหลอมบัณฑิตให้ “รู้เท่าทันข้อมูลเข้าใจผู้คนเชื่อมต่อระบบ” คือสิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง

สัญลักษณ์สามประการหลักยึดของการดูแลด้วยหัวใจมนุษย์

สาระสำคัญของพิธีประกอบด้วย “สามสัญลักษณ์” ซึ่งล้วนมีที่มาและความหมายลึกซึ้งในวิชาชีพพยาบาล

  1. หมวกพยาบาล – หมวกสีขาวบริสุทธิ์คือเครื่องหมายเชิงจริยธรรมที่ย้ำถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน วินัย และการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้ในงานบริการสุขภาพยุคใหม่จะไม่ได้สวมหมวกในทุกสถานการณ์ แต่หมวกในพิธีคือ “สัญญาใจ” ที่เตือนผู้สวมให้รักษามาตรฐานวิชาชีพ–มาตรฐานความเป็นมนุษย์เสมอ
  2. ดวงประทีปไนติงเกล – ตะเกียงส่องทางที่สืบเรื่องราวจากฟลอเรนซ์ ไนติงเกล สตรีผู้ได้รับฉายา “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ยุคสงครามไครเมีย แสงจากประทีปมิใช่เพียงประกายไฟ หากเป็น “แสงแห่งความหวัง” ที่พยาบาลถือไปหาและอยู่เคียงข้างผู้ป่วยในห้วงมืดมนของความเจ็บปวด
  3. เข็มชั้นปี – เครื่องหมายความก้าวหน้าทางวิชาการของนักศึกษา ผู้ผ่านการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานและมีคุณสมบัติตามหลักสูตร พร้อมเข้าสู่สนามจริงในหอผู้ป่วย เข็มชั้นปีจึงเป็นทั้ง “เกียรติยศ” และ “ภาระรับผิดชอบ” ในคราวเดียวกัน

ลำดับพิธี–สายใยเครือข่าย

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การจุดเทียนไนติงเกลและส่งมอบตะเกียงแก่ผู้แทนนักศึกษา ก่อนเข้าสู่ช่วงติดหมวกและประดับเข็มชั้นปีโดยคณาจารย์และตัวแทนภาคีเครือข่ายโรงพยาบาลในจังหวัด อาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลหลักที่รับนักศึกษาเข้าฝึกปฏิบัติ สะท้อน “สะพานเชื่อม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและบริการสุขภาพจริง ทำให้การเรียนรู้ไม่ขาดช่วงระหว่างทฤษฎีกับคลินิก

ในงานยังมีการมอบทุนการศึกษา–เกียรติบัตรแก่นักศึกษาที่โดดเด่นด้านจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมบทเพลงเครื่องทองเหลืองโดยวง Crru Brass Project สร้างบรรยากาศขรึมขลังและอบอุ่นไปพร้อมกัน

ตัวเลขชวนคิด

  • นักศึกษาที่เข้ารับหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี: 79 คน
  • ช่วงเวลาพิธีที่สถาบันประกาศกำหนดในปฏิทินกิจกรรมประจำปี: 08.30–11.00 น.

ทำไมพิธีนี้จึงสำคัญ “ตอนนี้”?

คำตอบอยู่ที่โจทย์ของระบบสุขภาพและแนวโน้มกำลังคนพยาบาลระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยประเมินในรายงาน State of the World’s Nursing 2020 ว่าโลกยังขาดแคลนพยาบาลราว 5.9 ล้านคน โดยกระจุกตัวในประเทศรายได้ปานกลาง–ต่ำ การสร้างและรักษากำลังคนพยาบาลคุณภาพจึงเป็นวาระเร่งด่วนของทุกประเทศ รวมถึงไทยด้วย การที่สถาบันท้องถิ่นอย่างมรภ.เชียงราย ย้ำ “คุณธรรม–จริยธรรม–ความเป็นมืออาชีพ” ตั้งแต่ก้าวแรก ย่อมช่วยวางรากฐานให้การบริการสุขภาพเชิงชุมชนมีความเชื่อถือและเข้าถึงได้จริงในระยะยาว

ยิ่งในเชียงรายจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ชายแดน การเดินทางของแรงงานข้ามแดน และโครงสร้างประชากรชนเผ่า–กลุ่มชาติพันธุ์บทบาทของพยาบาลที่ “สื่อสารได้ เข้าใจบริบทได้ ไวต่อความต่างทางวัฒนธรรม” จึงเป็นหัวใจของการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิอย่างแท้จริง

สัญญาใจของวิชาชีพ จาก “คำปฏิญาณ” สู่ “การกระทำ”

แก่นแท้ของพิธีไม่ได้หยุดอยู่ที่เครื่องแบบ หากอยู่ที่ “คำปฏิญาณ” และบรรทัดฐานวิชาชีพที่ต้องยึดถือ สภาการพยาบาลไทยระบุกรอบจริยธรรมไว้อย่างชัดเจน อาทิ ความซื่อสัตย์ การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรักษาความลับผู้ป่วย และการอุทิศตนเพื่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง ICN Code of Ethics for Nurses (2021) ของสภาการพยาบาลนานาชาติที่เน้น “พยาบาลกับผู้รับบริการ–กับการปฏิบัติวิชาชีพ–กับวิชาชีพพยาบาล–กับสุขภาพโลก” เป็นสี่เสาหลักสำคัญในการตัดสินใจและการกระทำของพยาบาลทุกคน (เอกสารฉบับภาษาไทยโดยสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สช.มหิดล และฉบับสากลโดย ICN)

การที่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ได้รับเข็มชั้นปีและเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาล จึงเท่ากับถือ “ใบเบิกทาง” ที่มาพร้อมพันธสัญญาจะยึดมั่นกรอบจริยธรรมดังกล่าว—จากถ้อยคำในพิธี สู่การกระทำจริงข้างเตียงผู้ป่วย

พิธีกรรมเชื่อมอดีต–ปัจจุบัน สืบสายไนติงเกล

เพื่อให้ “ดวงประทีป” มีชีวิตในใจคนรุ่นใหม่ รายละเอียดของพิธีในไทยหลายสถาบันยังคงยึดโยงกับประวัติศาสตร์ไนติงเกลในฐานะผู้บุกเบิกการพยาบาลสมัยใหม่สัญลักษณ์ “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ที่ถือโคมไฟเดินตรวจทหารบาดเจ็บยามวิกาล กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาพยาบาลทั่วโลกใช้ “แสง” เป็นเครื่องหมายของความหวัง ความเอื้ออาทร และความไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยในห้วงยากลำบาก (สาระอ้างอิงจากสารานุกรมบริแทนนิกา).

ในระดับสถาบัน มรภ.เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ทั้งในมิติ “พิธีหลวง” และ “ชีวิตนักศึกษา” สื่อสาธารณะของมหาวิทยาลัยและคณะพยาบาลศาสตร์สะท้อนภาพความต่อเนื่องดังกล่าวไว้หลายครั้งในปีที่ผ่านมา ช่วยยืนยันว่า พิธีนี้คือ “วัฒนธรรมองค์กร” ที่สถาบันยึดถือเพื่อพัฒนาคนก่อนปล่อยสู่สนามจริงของการพยาบาลคลินิกและชุมชน

ความหมายเชิงระบบ เมื่อพิธีปั้น “คน” ให้รองรับเมือง

  1. สร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ – เมื่อก้าวสู่หอผู้ป่วย นักศึกษาจะต้องเผชิญสถานการณ์จริงที่ซับซ้อน การมี “กรอบคิด–กรอบใจ” ที่มาจากพิธีและหลักจริยธรรมชัดเจน ช่วยให้การตัดสินใจในพื้นที่คลุมเครือทำได้อย่างเป็นระบบและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  2. เสริมสมรรถนะอ่อน (soft skills) – พยาบาลต้องสื่อสารกับผู้ป่วย ครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ และชุมชน พิธีและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าคลินิกช่วยปลูกฝังความสุภาพ อดทน เห็นอกเห็นใจ และพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต—คุณสมบัติที่ไม่อาจวัดได้ด้วยคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  3. เชื่อมมหาวิทยาลัย–ชุมชน–โรงพยาบาล – รายละเอียดพิธีที่มีตัวแทนโรงพยาบาลหลักของจังหวัดเข้าร่วม สะท้อนความร่วมมือเชิงโครงสร้างระหว่างสถาบันผลิตกับหน่วยบริการ ซึ่งเป็นหัวใจของการแก้โจทย์กำลังคนสุขภาพอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
  4. รับมือบริบทชายแดน – เชียงรายมีความต้องการบริการสุขภาพหลากหลาย พยาบาลที่เข้าใจวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นจึงทำหน้าที่เป็น “สะพานใจ” ของระบบบริการได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในบริการปฐมภูมิ การสร้างประสบการณ์ฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงตั้งแต่ต้นช่วยให้บัณฑิต “พร้อมใช้” มากขึ้นเมื่อสำเร็จการศึกษา

เล่าเรื่องด้วยตัวเลข จากรหัสวิชาสู่ชั่วโมงจริง

  • ผ่านหลักสูตรทฤษฎีตามกรอบสภาการพยาบาล  เข้าสู่การฝึกภาคปฏิบัติในหอผู้ป่วย (clinical placement) ภายใต้การนิเทศของคณาจารย์และพี่เลี้ยงพยาบาล
  • ประกอบพิธีกลางสถาบัน (เช้า–สาย) เพื่อให้ออกเดินทางสู่ภาคสนามทันรอบตารางฝึก
  • ตอกย้ำความร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่ภาคี ซึ่งตามโครงสร้างปกติมักเป็นโรงพยาบาลจังหวัด/โรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย เพื่อให้เกิด “วงจรเรียนรู้–ปรับปรุงบริการ” อย่างต่อเนื่อง

แม้ในพิธีจะไม่ทยอยประกาศตัวเลขกำลังคนระดับชาติ แต่หากวางไว้บนฉากหลังรายงาน WHO ที่ชี้ปัญหา “ขาดแคลนพยาบาลทั่วโลกหลายล้านคน” การได้เห็น “คนรุ่นใหม่” สวมหมวก รับดวงประทีป และกลัดเข็มชั้นปี จึงเป็นภาพที่มีทั้งความหวังและความรับผิดชอบซ่อนอยู่—สำหรับตัวนักศึกษา ครอบครัว สถาบัน และสังคมร่วมกัน.

จากห้องพิธีสู่หอผู้ป่วย—รักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างยาวนาน

พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย ในปีการศึกษา 2568 เป็นมากกว่าพิธีเฉลิมฉลอง มันคือ “สัญญาสาธารณะ” ที่บอกกับสังคมว่า คนรุ่นใหม่ 79 คนพร้อมออกเดินทางสู่พื้นที่จริงของการดูแลสุขภาพ โดยมีแสงประทีปเป็นสัญลักษณ์เตือนใจ และมีเข็มชั้นปีเป็นเครื่องหมายความรับผิดชอบ

จากนี้ไป ทุกชั่วโมงในหอผู้ป่วยจะเป็นบททดสอบจริงของความรู้ ทักษะ และคุณธรรมที่ได้รับการหล่อหลอมมา หากรักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างไสวเหมือนในพิธีได้ยาวนาน พยาบาลรุ่นนี้ย่อมจะเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ทำให้ระบบสุขภาพของเชียงรายและภาคเหนือ “อบอุ่น–เข้าถึง–เชื่อถือได้” มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • International Council of Nurses (ICN)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) / Hfocus (สื่อสุขภาพ)
  • สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย – คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (เอกสารจรรยาบรรณภาษาไทย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มรภ.เชียงรายเปิดศักราชใหม่! ทุ่ม 78 ล้าน สร้างอาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ พร้อมให้บริการปี 69

มรภ.เชียงราย เปิดศักราชใหม่! อาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ หลังใหม่ มูลค่ากว่า 78 ล้าน พร้อมให้บริการปี 2569

เชียงราย, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.ชร.) กำลังเขียนบทใหม่แห่งความก้าวหน้า ด้วยโครงการก่อสร้าง “อาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่” สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 78.39 ล้านบาท

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาคารหมายเลข 1 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นสักขีพยานแห่งการเรียนรู้ของนักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เวลาที่ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเก่าแก่ไว้บนผนังและโครงสร้างของอาคารแห่งนี้ จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับภารกิจทางการศึกษาในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม

วันนี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.ชร. ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตการเรียนรู้ของผู้คนมากกว่า 2,400 คน ประกอบด้วยนักศึกษาไทยมากกว่า 2,100 คน นักศึกษาต่างชาติมากกว่า 200 คน คณาจารย์มากกว่า 78 คน และบุคลากรสนับสนุนมากกว่า 11 คน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยฯ โดยเฉพาะในด้านการรับนักศึกษาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“อาคารเดิมที่มีอายุการใช้งาน 50 ปี มีสภาพทรุดโทรมอย่างมีนัยสำคัญ และมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ใช้งานจริง” ดังที่ปรากฏในรายงานการประเมินสภาพอาคาร สถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน แต่ยังเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของคณะฯ

ปัจจุบันคณะฯ เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีถึงมากกว่า 11 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษามากกว่า 3 หลักสูตร การขยายตัวของหลักสูตรเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและทันสมัย เพื่อให้สามารถส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

วิสัยทัศน์สู่ “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ”

โครงการก่อสร้างอาคารใหม่นี้ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยฯ สู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ในกรอบนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยฯ มองเห็นโอกาสสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม และเสริมสร้างศักยภาพในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคใต้ของประเทศจีน อาคารใหม่นี้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์

ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ซึ่งหมายถึงการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงและวิธีการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมภายในสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งใหม่

กระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ความน่าเชื่อถือของโครงการนี้สะท้อนได้จากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยแบ่งออกเป็นสองระยะที่ชัดเจน ได้แก่ การจ้างบริการออกแบบ และการจ้างก่อสร้าง

การจัดซื้อจัดจ้างทั้งสองระยะดำเนินการผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement: e-GP) ซึ่งเป็นการรับรองความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

สำหรับงบประมาณค่าจ้างบริการออกแบบ มีมูลค่าประมาณ 2,283,167.77 บาท โดยใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัยฯ ในปีงบประมาณ 2566 ส่วนงบประมาณค่าก่อสร้างมีมูลค่าประมาณ 76,105,592.39 บาท ซึ่งจะมีการลงนามสัญญาเมื่อได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567

มหาวิทยาลัยฯ ได้ยึดหลักเกณฑ์คุณสมบัติและการประเมินที่เข้มงวด ทั้งผู้ให้บริการออกแบบและก่อสร้างจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย มีความมั่นคงทางการเงิน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการออกแบบ จะต้องมีประสบการณ์ในการออกแบบอาคารสาธารณะมูลค่าไม่น้อยกว่า 38 ล้านบาท

ผลกระทบที่คาดหวังต่อชุมชนและสังคม

เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2569 ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม

ในด้านการศึกษา อาคารใหม่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิตที่จบออกไป ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ในด้านเศรษฐกิจ การดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมากขึ้นจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ที่พัก และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ในด้านสังคม มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทำให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้าถึงการศึกษาที่มีมาตรฐานสากลโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษายังเมืองใหญ่

การคลี่คลายปมปัญหาและการก้าวไปข้างหน้า

ปมปัญหาหลักที่โครงการนี้มาแก้ไขคือการขาดแคลนพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารใหม่ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ที่ครบครัน

อาคารใหม่จะไม่เพียงแต่ทดแทนพื้นที่เดิมที่ไม่เพียงพอ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเติบโตในอนาคต สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การศึกษาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ

การเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ “ประเทศไทย 4.0” ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มองเห็นความสำคัญของการศึกษาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างบัณฑิตที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาคอาเซียน

มิติการพัฒนาที่ยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นในการใช้งาน จะช่วยให้อาคารนี้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังสอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรม สิ่งนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและเสริมสร้างอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ

โครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จึงเป็นมากกว่าการสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับการศึกษาไทย การลงทุนกว่า 78 ล้านบาทนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาภูมิภาคและความก้าวหน้าทางปัญญาอย่างยั่งยืนต่อไป

เมื่อปี 2569 อาคารแห่งใหม่นี้จะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษารุ่นใหม่ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของการศึกษาไทย สร้างความหวังใหม่ให้กับเยาวชนที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประเมินสภาพอาคาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระบบ e-Government Procurement (e-GP)
  • รายละเอียดโครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์ มรภ.เชียงราย
  • แผนยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีงบประมาณ 2566-2570
  • นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คืนโอกาสให้เด็กเชียงราย! ม.ราชภัฏฯ-ม.จีน ร่วมฟื้นฟูโรงเรียนหลังน้ำท่วม

น้ำใจจากจีนถึงเชียงราย ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกกำลัง Pu’er University ฟื้นฟูการศึกษา 13 โรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมด้วย ‘สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น’

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – รอยยิ้มหลังวิกฤตจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูจากมหาอุทกภัย แม้เวลาจะผ่านจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่จังหวัดเชียงรายในปี 2567 ไปเกือบปีแล้ว แต่ภาพความเสียหาย โดยเฉพาะในภาคการศึกษายังคงชัดเจน โรงเรียนหลายแห่งต้องสูญเสียทั้งอุปกรณ์ ห้องเรียน สื่อการสอน และความมั่นใจในอนาคตของเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ อย่างไรก็ตาม วันนี้ ความหวังได้หวนคืนสู่ห้องเรียนอีกครั้ง เมื่อ “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย” (มร.ชร.) ได้จับมือกับ “Pu’er University” สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่งมอบ “สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น” สู่โรงเรียน 13 แห่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ให้เด็กๆ ได้กลับมาสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

ภารกิจฟื้นฟูการศึกษาหลังน้ำลด

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมพญามังราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (สพป.เชียงราย เขต 1) ได้มีพิธีส่งมอบชุดสื่อการเรียนรู้โดยมีนายนิคม อัสสรัตนะสุขิน ผู้เชี่ยวชาญ และ ดร.ธีรวัฒน์ วังมณี ผู้อำนวยการกองพัฒนานักศึกษา พร้อมตัวแทนนักศึกษา จาก มร.ชร. ส่งมอบให้กับนายมรกต อนุเคราะห์ ผู้อำนวยการ สพป.เชียงราย เขต 1 เพื่อนำไปจัดสรรแก่โรงเรียน 13 แห่ง อันได้แก่ โรงเรียนผาขวางวิทยา, บ้านห้วยทรายขาว, บ้านน้ำลัด, บ้านเวียงกือนา, บ้านป่ายางหลวง, ห้วยพลูพิทยา, บ้านโป่งน้ำตก, บ้านป่ารวก (คุรุราษฎร์สงเคราะห์), ชุมชนบ้านแม่ข้าวต้มหลวง, บ้านผาเสริฐ, บ้านป่าสักไก่, บ้านถ้ำผาตอง และบ้านนางแลใน

เด็กนักเรียนและครูจากโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบต่างซาบซึ้งในน้ำใจและความมุ่งมั่นของทั้งสองสถาบันอุดมศึกษาที่เล็งเห็นถึงหัวใจของการฟื้นฟู นั่นคือ “การคืนโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้กับเด็กทุกคน” ซึ่งเหนือกว่าการบริจาคเพียงเพื่อบรรเทาทุกข์ระยะสั้น แต่เป็นการเสริมสร้างรากฐานทางการศึกษาในระยะยาว

สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น นวัตกรรมแห่งความหวัง

หัวใจของการสนับสนุนในครั้งนี้อยู่ที่ “Learning Through Play” หรือ “การเรียนรู้ผ่านการเล่น” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างทักษะศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางสังคม อารมณ์ การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร หรือการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ การเล่นยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพิ่มพลังบวกและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขาในการกลับคืนสู่การเรียนรู้

ตัวแทนครูในพิธีส่งมอบได้เล่าว่า “ตั้งแต่เกิดอุทกภัย เด็กๆ ขาดอุปกรณ์และของเล่นที่ส่งเสริมจินตนาการ ครูเองก็รู้สึกขาดแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรม เมื่อได้รับสื่อการเรียนรู้ชุดใหม่ ทุกคนต่างตื่นเต้น เด็กๆ กลับมาสนุกกับการเรียนมากขึ้น เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแล้ว รู้สึกได้ถึงพลังบวกที่ค่อยๆ กลับคืนมา”

บทพิสูจน์พลังความร่วมมือไทย-จีน

การร่วมมือกันระหว่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ Pu’er University ไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคเพื่อการกุศล แต่ยังเป็นสะพานสำคัญของการสร้างสัมพันธ์ทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน ทั้งสองสถาบันได้นำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผสมผสานกัน โดย มร.ชร. เข้าใจลึกซึ้งถึงบริบทชุมชน และ Pu’er University มีศักยภาพในการสนับสนุนสื่อการเรียนรู้รุ่นใหม่ การจับมือกันในครั้งนี้จึงทำให้ความช่วยเหลือมีความตรงจุดและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ไม่เพียงแค่นั้น โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทั้งด้านนวัตกรรมการศึกษา การพัฒนาเด็กและเยาวชน รวมถึงการขยายเครือข่ายเพื่อรองรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อเด็กเชียงรายและสังคม

แม้สื่อการเรียนรู้แต่ละชิ้นอาจดูเรียบง่าย แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับมีอานุภาพมหาศาลในการเปลี่ยนชีวิตเด็กหลายร้อยคนให้กลับมามีไฟในการเรียนรู้ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤต และพร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ข้อมูลจาก สพป.เชียงราย เขต 1 ระบุว่า เด็กนักเรียนใน 13 โรงเรียนที่ได้รับสื่อการสอนในครั้งนี้กว่า 1,400 คนจะได้รับประโยชน์โดยตรง ขณะที่ครูผู้สอนสามารถนำเครื่องมือดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยขึ้นได้

ฟื้นฟู-คืนโอกาส-สร้างอนาคต

สิ่งที่โครงการนี้สะท้อนออกมาชัดเจนคือ บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในฐานะ “ตัวกลาง” ของการฟื้นฟูทางสังคม ที่สามารถขับเคลื่อนความร่วมมือจากนานาชาติมาสู่ชุมชน โดยไม่เพียงเติมเต็มทรัพยากรที่ขาดแคลน แต่ยังปลุกพลังและความหวังให้กับผู้ได้รับผลกระทบ การนำ “Learning Through Play” มาเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการศึกษาในภาวะวิกฤต ยังเป็นโมเดลตัวอย่างที่ขยายผลต่อไปได้ในพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบภัย

ไม่เพียงแค่เด็กเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ ครูและชุมชนก็กลับมามีความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง และมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความหมาย ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (สพป.เชียงราย เขต 1)

     

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  • มหาวิทยาลัย Pu’er University สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • ข้อมูลข่าวจากสื่อประชาสัมพันธ์ สพป.เชียงราย เขต 1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

Soft Power สุขภาพนำร่อง! เชียงรายเปิด “Wellness City” ตอบรับเมกะเทรนด์โลก

เชียงรายกับ Soft Power ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสุขภาพสู่ระดับโลก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  – เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้วยพลังอ่อน (Soft Power) การที่จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “เมืองท่องเที่ยว” สู่ “เมืองแห่งสุขภาพ” (Wellness City) อาจเป็นบทตอบของความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ผลสำรวจจากสถาบันศิโรจน์ผลพันธินร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ได้ส่องแสงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไทยพึงมีในการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย” ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 58.24% ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านทั้งแบบสำรวจออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งผลที่ได้มิเพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้ทิศทางการพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย

จากฝันสู่ความเป็นจริงของ Wellness City

ในขณะที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพบนระดับชาติ เชียงรายกลับเป็นจังหวัดที่กำลังนำเครื่องในทางปฏิบัติ ด้วยการเปิดตัว “Chiang Rai Wellness City 2025” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้นำทัพในการขับเคลื่อนโครงการครั้งสำคัญนี้

“เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025 (Chiang Rai Wellness city bolet)” ไม่ใช่เพียงแค่สโลแกนหรือแนวคิดเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่มีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Trail) ที่ครอบคลุม 2 เส้นทางหลัก โดยเส้นทางที่ 2 จะผ่าน “น้ำพุร้อนป่าตึง – ร้านชอบ บราสเซอรี่ เชียงราย – ชุมชนโป่งแดง – น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 200 คน

ความพิเศษของเชียงรายในฐานะ Wellness City ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หากแต่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาแนวคิดสมัยใหม่เข้าด้วยกัน “เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้าน Wellness หรือสุขภาวะเพียบพร้อมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ” ตามที่นักวิชาการชี้ให้เห็น

เมื่อ Soft Power พบกับธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้าน

หากมองในมุมของการตลาดโลก ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2562 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดโลกด้านนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2025 การเติบโตนี้มาจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพ และความตื่นตัวเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยกว่า 45.39% หันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ในตลาดภายในประเทศ ความต้องการด้านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยุทธศาสตร์ Soft Power จากท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ผลสำรวจครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลก โดยอันดับ 1 คือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก” ด้วยสัดส่วน 70.78% ตามมาด้วย “การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์” 68.12% และ “การใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก” 57.64%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งหลักที่ประชาชนไทยมองว่าสามารถนำไปใช้เป็น Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมองในมุมของศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจสุखภาพกลับกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและความต้องการของตลาด

เชียงรายในฐานะพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ Soft Power มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้แยกทั้งสองเรื่องออกจากกัน แต่เชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

บทบาทมหาวิทยาลัยและนักศึกษาขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน Soft Power ซึ่งประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยควร “เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power” 61.08% “เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย” 59.40% และ “เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย” 51.24%

สำหรับนักศึกษา ประชาชนเห็นว่าควร “เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ” 64.18% “มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย” 62.50% และ “เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก” 58.33%

ในบริบทของเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่มีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรที่สามารถรองรับการเป็น Wellness City “นักศึกษาเป็นผู้มีทักษะ มีความสามารถในศาสตร์ของตัวเองเป็นอย่างดี พัฒนาต่อยอดได้ สู่การเป็นมืออาชีพ” ตามปณิธานของสถาบัน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าภาพรวมจะดูในแง่บวก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่มีอยู่ เมื่อถามถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบระดับนานาชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ 43.97% เห็นว่า “มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม” ขณะที่ 29.08% เห็นว่า “มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ประชาชนอยากเห็น “หลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ” 65.72% “การร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power” 56.66% และ “การผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” 54.53%

สำหรับเชียงราย การเป็น Wellness City ที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับมาตรฐานสากล การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสุขภาวะในระยะยาว

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

การที่เชียงรายเลือกใช้ Soft Power ในรูปแบบของ Wellness City นั้น มีทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

จุดแข็งหลักอยู่ที่การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ และตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นประตูสู่อาเซียน ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างมาตรฐานการบริการที่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดนานาชาติ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

หากดูจากแนวโน้มตลาดโลก การเติบโตของธุรกิจ Wellness Tech ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เชียงรายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ

การสำรวจของสถาบันศิโรจน์ผลพันธินและสวนดุสิตโพลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางที่เชียงรายกำลังดำเนินการอยู่นั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสังคม

ความสำเร็จของ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ” จะไม่ได้วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเรื่องของ Hard Power เท่านั้น แต่รวมถึง Soft Power ที่สามารถสร้างอิทธิพลและดึงดูดใจได้ การที่เชียงรายเลือกใช้ธุรกิจสุขภaวะเป็นจุดยืน อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำ Soft Power ของไทยไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

เส้นทางสู่การเป็น Wellness City ที่แท้จริงยังมีอีกยาวไกล แต่เมื่อมองจากความพยายามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทำให้เชื่อได้ว่าเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นแบบอย่างของการใช้ Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ระดับสากลได้อย่างแท้จริง

สรุปผลได้ สำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power”

“สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชน ทั่วประเทศ เรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนคิดว่าประเทศไทยควรใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลกได้อย่างไร

  • อันดับ 1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก 70.78%
  • อันดับ 2 ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ 68.12%
  • อันดับ 3 ใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก 57.64%

2. Soft Power เรื่องใดที่ประชาชนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต


  • อันดับ 1 ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย 58.24%
  • อันดับ 2.ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์.55.85%
  • อันดับ 3 ศิลปิน-นักออกแบบร่วมสมัย และอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟ.53.63%

3.ประชาชนคิดว่า “มหาวิทยาลัยไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการพัฒนา Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power 61.08%
  • อันดับ 2 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย 59.40%
  • อันดับ 3 เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย 51.24%

4. ประชาชนคิดว่า “นักศึกษาไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ 64.18%
  • อันดับ 2 มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย 62.50%
  • อันดับ 3.เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก 58.33%


5. ประชาชนคิดว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบในระดับนานาชาติหรือไม่

  • อันดับ 1 มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม 43.97%
  • อันดับ 2 มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 29.08%
  • อันดับ 3 ศักยภาพยังไม่เพียงพอ ควรเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ 20.66%
    อันดับ 4 ยังไม่สามารถประเมินได้ 6.29%

6. ประชาชนอยากเห็นความร่วมมือด้านใดมากที่สุดระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศในการพัฒนา Soft Power

  • อันดับ 1 มีหลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ 65.72%
  • อันดับ 2 ร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power 56.66%
  • อันดับ 3 ผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 54.53%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน และสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ผลสำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, โครงการ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025”
  • ThaiPublica, บทความ “พัฒนาเชียงรายให้เป็น Wellness City แห่งแรกของไทย”
  • Nakorn Chiang Rai News, “ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก!”
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกเทศบาลฯ ปลุกพลัง Soft Power สร้างคุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาชุมชน สร้าง Soft Power จากฐานอัตลักษณ์วัฒนธรรม เปิดเส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชน Soft Power บนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดโดยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาเอนกประสงค์ราชเดชดำรง เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

โครงการยกระดับศักยภาพชุมชนผ่าน Soft Power บนรากวัฒนธรรม

โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย ด้วยการนำ “Soft Power” มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ผ่านการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ร้อยเรียงเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าด้วยกัน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เส้นทางท่องเที่ยว “หมาน มัก ม่วน” ถือเป็นนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวที่นำเสนออัตลักษณ์เฉพาะของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนรากเดชดำรง ชุมชนดอยทอง และชุมชนวัดพระแก้ว สะท้อนเรื่องราวรากเหง้า ความเชื่อ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมล้านนา ต่อยอดสู่การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนภายนอกได้สัมผัสความงดงามเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

เสวนา “หมาน มัก ม่วน” – สะท้อนพลังวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ภายในงานมีเวทีเสวนาหัวข้อ “หมาน มัก ม่วน” เส้นทาง Soft Power ชุมชน : จากรากเง้าวัฒนธรรมสู่คุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีตัวแทนชุมชนทั้ง 3 แห่ง รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย ร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนด้วยฐานวัฒนธรรม ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้

การเสวนานี้เปิดโอกาสให้แต่ละชุมชนได้นำเสนอแนวคิด “Soft Power” ที่แตกต่างกัน เช่น การส่งต่อภูมิปัญญาผ่านงานหัตถกรรมพื้นถิ่น กิจกรรมทางวัฒนธรรม งานประเพณีและอาหารท้องถิ่น โดยทุกกิจกรรมถูกบูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การขับเคลื่อน “หมาน มัก ม่วน” สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การจัดโครงการและกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเมืองเชียงรายในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวในการนำพลังวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ขับเคลื่อนเมือง เชื่อมโยงกับแนวคิด Soft Power ที่กำลังได้รับความสำคัญในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวย้ำถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างคุณค่าให้กับรากเหง้าวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยตั้งเป้าให้เส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” เป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่างของการพัฒนาท่องเที่ยวที่เกิดจากพลังชุมชนและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ก้าวต่อไปของเชียงรายในโลก Soft Power

ความสำเร็จของโครงการนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการนำ Soft Power มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้า หากสามารถบูรณาการภาคประชาชน ภาครัฐ และสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะสามารถต่อยอดโมเดลนี้สู่ชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ กลายเป็นตัวอย่างของเมืองที่เติบโตจากวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

“ศุภชัย” บูรณาการเชียงราย พัฒนาท้องถิ่น วิทย์-วิจัย-นวัตกรรม

อว. ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามขับเคลื่อน อววน. เร่งพัฒนาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจฐานความรู้

เชียงราย – 8 เมษายน 2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารระดับสูงลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการขับเคลื่อนภารกิจด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) โดยมีหน่วยงานการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เข้าร่วมรายงานผลและจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานเชิงรูปธรรม

ผลักดันเชียงรายสู่โมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคเหนือ

กิจกรรมภาคเช้าจัดขึ้น ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการนำเสนอผลการดำเนินงานของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัด และเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสนับสนุน Soft Power ท้องถิ่น และการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับภาคการผลิตจริง

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้นำเสนอโครงการที่สะท้อนการบูรณาการ อววน. กับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เช่น โครงการ “เชียงรายแบรนด์”, โครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย และ “สันสลีโมเดล” ที่ใช้การเรียนการสอนแบบไร้รอยต่อระหว่างห้องเรียน ชุมชน และธุรกิจ

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ได้นำเสนอผลงานเด่นด้านวิจัยเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีประยุกต์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ, การใช้ IoT และ AI คาดการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์

พิธีมอบรางวัลชุมชนสร้างสรรค์ และ Smart Student

นายศุภชัยได้มอบรางวัล “ชุมชนสร้างสรรค์” ให้แก่หมู่บ้านและภาคีเครือข่ายที่มีการนำผลการวิจัยและองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยไปต่อยอดในเชิงพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และการนำภูมิปัญญามาพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ ยังได้มอบรางวัล “Smart Student 2568” ให้แก่นักศึกษาที่มีความโดดเด่นด้านวิชาการและนวัตกรรม

ภาคบ่ายเยี่ยมชม ‘มหาวิทยาลัยวัยที่สาม’ ต้นแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

คณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวัยที่สาม นครเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิตบนฐานชุมชน โดยมีทั้งหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ, การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน, โครงการเกษตรปลอดภัย Farm to Table และศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน ภายใต้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย

ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. ยืนยันหนุนเชียงรายพัฒนาเป็น Hub ด้านการศึกษา-นวัตกรรมของภาคเหนือ

นายศุภชัยให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เห็นถึง “ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเชียงราย พร้อมยืนยันว่า อว. จะสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างให้แก่โครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้

เมื่อสอบถามถึงบทบาทของ อว. ในการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง เช่น แผ่นดินไหว ไฟป่า และหมอกควัน ท่านระบุว่า กระทรวงจะเร่งผลักดันการใช้ Big Data และ IoT ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อเป็นระบบแจ้งเตือนและบริหารจัดการภัยอย่างแม่นยำ

บทบาทของ RMUTL เชียงราย เด่นทั้งในเชิงวิชาการและเทคโนโลยี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร มทร.ล้านนา เชียงราย นำเสนอผลการดำเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่:

  • ด้านการศึกษา – หลักสูตร WIL และ Co-op ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ร่วมกับสถานประกอบการจริง
  • ด้านวิจัยและนวัตกรรม – ผลงานวิจัยเชิงประยุกต์ เช่น ระบบ Smart Water Management และอาหารแปรรูปจากผลผลิตท้องถิ่น
  • ด้านภัยพิบัติ – มีศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ ใช้เทคโนโลยีตรวจจับ และระบบวิเคราะห์ล่วงหน้า โดยร่วมมือกับ ปภ. และท้องถิ่น

ความคิดเห็นสองมุมมองต่อทิศทาง อววน. เชียงราย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิจัย และการศึกษาเข้ากับการพัฒนาท้องถิ่นได้จริง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืน

ในขณะที่ฝ่ายกังวล เห็นว่ายังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงโครงการบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่อยู่นอกเขตเมือง หรือมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ รวมถึงอุปสรรคในการนำผลงานวิจัยไปใช้เชิงพาณิชย์ที่ยังต้องได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายและตลาด

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษา 156 แห่งทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวง อว., 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีมหาวิทยาลัย 4 แห่งหลัก และวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาอีกกว่า 20 แห่ง (ที่มา: อว. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย)
  • โครงการภายใต้ อววน. ในพื้นที่เชียงราย ได้รับงบประมาณสนับสนุนรวมกว่า 120 ล้านบาท ในช่วงปี 2566–2568 (ที่มา: สกสว.)
  • ประเทศไทยมีนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านคน โดยกว่า 55% อยู่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายอัญเชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ประดิษฐานในสวนสมเด็จย่า

เชียงรายจัดพิธีอัญเชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประดิษฐาน ณ สวนสมเด็จย่ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีอัญเชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ขึ้นประดิษฐาน ณ สวนสมเด็จศรีนครินทร์เชียงราย หรือที่รู้จักกันในชื่อ สวนสมเด็จย่า ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา และประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่เข้าร่วมพิธีกว่า 100 คน

พิธีอัญเชิญพระอนุสาวรีย์เพื่อสักการะและรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ

พิธีการเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญพระอนุสาวรีย์ขึ้นประดิษฐานบนแท่นฐานที่จัดเตรียมไว้ ณ บริเวณสวนสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมี พระพุทธิวงค์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ร่วมประกอบพิธีสวดมนต์และเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้เปิดเผยว่า การอัญเชิญพระอนุสาวรีย์ในครั้งนี้เป็นผลมาจากการได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนชาวเชียงรายได้มีสถานที่สักการบูชาและรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ได้ทรงสนับสนุนและช่วยเหลือชาวเชียงรายในด้านต่างๆ ตลอดพระชนม์ชีพ

ดร.วันดีและครอบครัวร่วมบริจาคทุนสร้างพระอนุสาวรีย์

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และครอบครัวได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ในการสร้างพระอนุสาวรีย์ครั้งนี้เป็นจำนวน สามล้านบาท หลังจากได้รับการประสานจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งมีความประสงค์ที่จะสร้างพระอนุสาวรีย์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แต่ขาดงบประมาณในการดำเนินการ โดยการสร้างครั้งนี้ได้รับการเททองหล่อโดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

สวนสมเด็จย่าศูนย์การเรียนรู้และสถานที่พักผ่อน

สวนสมเด็จศรีนครินทร์เชียงราย หรือ สวนสมเด็จย่า เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา โดยตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พื้นที่กว้างใหญ่กว่า 625 ไร่ สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการศึกษาและเรียนรู้ด้านพันธุกรรมพืช รวมทั้งเป็นแหล่งออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน

ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชาวเชียงราย

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ได้ชื่นชมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่ดูแลรักษาพื้นที่สวนแห่งนี้ให้มีความร่มรื่นและสวยงามอยู่เสมอ โดยมีหนองบัวใหญ่และหนองน้ำเล็กที่สะอาด สร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายและการพักผ่อนในยามเช้าและเย็น ทั้งนี้สวนสมเด็จย่ายังเป็นสถานที่ที่ประชาชนมาใช้บริการถึงเดือนละกว่า 3,000 คน ส่งเสริมสุขภาพพลานามัยทั้งกายและใจ

อนาคตของสวนสมเด็จย่า: ศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาสิ่งแวดล้อม

สวนสมเด็จย่าเชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สักการะและพักผ่อน แต่ยังมุ่งเน้นการเป็น ศูนย์การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ที่สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีแก่ชุมชน ทั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาสวนให้เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การศึกษาทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม

รองศาสตราจารย์ ดร. สอนชัย มุ่งไทยสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้กล่าวถึงความสำคัญของสวนสมเด็จย่าเชียงรายว่าเป็นสถานที่ที่เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยการมีพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ประดิษฐานไว้ในสวนแห่งนี้ จะเป็นเครื่องหมายแห่งความศรัทธาและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตที่ดีงามของชาวเชียงรายและนักศึกษาทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงราย จัดผ้าป่าสามัคคี สร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ

 

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้จัดพิธีผ้าป่าสามัคคีขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำคณะ เนื่องในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ การจัดงานนี้ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้มีจิตศรัทธาหลายภาคส่วนที่เข้าร่วมบริจาคและสนับสนุนการสร้างหอพระ

พิธีทอดผ้าป่าสามัคคี: สานต่อความศรัทธาและการพัฒนาศาสนสถาน

งานพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง คณบดีเกียรติคุณ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และตัวแทนจากหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุน โดยงานจัดขึ้นที่ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

นอกจากนี้ ยังได้รับเมตตาจาก พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 และเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธี พระภิกษุสงฆ์ที่ร่วมพิธีได้เจริญพระพุทธมนต์และรับถวายเครื่องจตุปัจจัยไทยทานจากผู้เข้าร่วมงาน เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมบุญในครั้งนี้ การทอดผ้าป่าสามัคคีเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนได้ร่วมมือกันในมหากุศลครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายในการจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมใจของชุมชนในอนาคต

การบริจาคและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ภายในงานได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหาร บุคลากร ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาที่เข้าร่วมบริจาคในครั้งนี้ การทอดผ้าป่าในครั้งนี้ได้รับยอดบริจาคเบื้องต้นทั้งสิ้นกว่า 400,000 บาท ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการจัดหาวัสดุก่อสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิที่จะใช้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาคุณธรรมและศาสนาในคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์

หอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” เป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคณะฯ และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างสถานที่ทางศาสนาสำหรับการทำบุญและกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาทั้งด้านการศึกษาและคุณธรรม

เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ

คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ยังคงเปิดรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ต้องการร่วมสร้างบุญกุศล โดยสามารถร่วมสมทบทุนสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” ผ่านการโอนเงินบริจาคไปยังบัญชีธนาคาร กรุงศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ชื่อบัญชี พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลบัญชีได้แก่ น.ส.นวลนภา จุลสุทธิ, นายภูริพัฒน์ แก้วศรี, และ นายจรูญ แดนนาเลิศ หมายเลขบัญชี 422-1-41524-9 ซึ่งการบริจาคเพื่อการจัดสร้างหอพระในครั้งนี้ถือเป็นการทำมหากุศลที่จะสร้างบุญและความเป็นสิริมงคลให้กับผู้ร่วมบริจาค

หากท่านสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 053-776-131 คณะฯ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จะเป็นจุดรวมจิตใจของชุมชนและนักศึกษาในอนาคต

การจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ: ศูนย์รวมใจและศาสนสถานแห่งมหาวิทยาลัย

โครงการจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ การมีสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาภายในคณะฯ จะช่วยส่งเสริมคุณธรรมและความศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้กับนักศึกษา บุคลากร และชุมชนในมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ หอพระยังจะเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ เช่น การทำบุญประจำปี การเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเข้มแข็งให้กับชุมชนมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นสถานที่สำหรับการปฏิบัติธรรมและกิจกรรมที่เสริมสร้างความสงบสุขในจิตใจ

บทสรุป: ความศรัทธาที่ขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ

การจัดผ้าป่าสามัคคีเพื่อจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” ในครั้งนี้เป็นการแสดงถึงพลังแห่งความศรัทธาและความร่วมมือจากผู้มีจิตศรัทธาหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรในมหาวิทยาลัย ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และชุมชนโดยรอบ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคและสนับสนุนโครงการนี้ และขอเชิญชวนทุกท่านที่ยังไม่ได้มีโอกาสร่วมบริจาคเข้ามาร่วมสมทบทุนเพื่อสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่

ความสำเร็จของโครงการนี้จะไม่เพียงแต่เป็นการสร้างศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในมหาวิทยาลัย แต่ยังเป็นการส่งเสริมและสืบสานคุณธรรมในชุมชนทางการศึกษาอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.ราชภัฏเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘นาวะ จะชี’ จาก ม.ราชภัฏเชียงราย คว้ารางวัลทูตภาษาจีน ที่หนึ่งของโลก

 

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับโลกสำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในโครงการ “สะพานสู่ภาษาจีน” (汉语桥) ครั้งที่ 23 ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่เมืองหนานผิง มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน โดยการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นเป็นเวลา 21 วัน โดยมีทั้งการแข่งขันภาษาจีนและกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมที่เข้มข้น ผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 147 คนจาก 130 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งตัวแทนจากประเทศไทยที่แสดงศักยภาพอย่างยอดเยี่ยมในเวทีนี้

การแข่งขัน “สะพานสู่ภาษาจีน” ครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 รอบ ได้แก่ รอบ Bridge, รอบ Advancement, และ รอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยายนที่เมืองผิงถาน มณฑลฝูเจี้ยน โดยจะมีการคัดเลือกแชมป์เปี้ยนระดับโลก, แชมป์เปี้ยนระดับทวีป, และผู้ชนะรางวัลอันดับ 1, 2 และ 3 รวมถึงรางวัลในประเภทบุคคลต่างๆ

ในรอบแรกของการแข่งขัน ซึ่งเป็นรอบ Bridge ผู้แข่งขันต้องทำการสอบเขียนที่ครอบคลุมหัวข้อความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมถึงความรู้ภาษาจีนขั้นสูง การแข่งขันนี้มีการทดสอบทักษะที่ครบถ้วนทั้งในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อทดสอบความสามารถทางภาษาจีนของผู้เข้าร่วมแข่งขันอย่างเข้มข้น

นางสาวนาวะ จะชี ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวจากประเทศไทย ได้แสดงศักยภาพทางด้านภาษาจีนอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้ นางสาวนาวะสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศระดับทวีปเอเชียได้อย่างยอดเยี่ยม แต่แพ้คะแนนให้กับตัวแทนจากอัฟกานิสถานไปอย่างฉิวเฉียด แม้จะพลาดโอกาสคว้าตำแหน่งแชมป์เปี้ยน แต่เธอยังคงทำให้ประเทศไทยภูมิใจ ด้วยการคว้ารางวัล ทูตภาษาจีนและความคิดสร้างสรรค์ และรางวัล ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง (一等奖) จากผลงานที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และทักษะภาษาจีนที่โดดเด่น นอกจากนี้ นางสาวนาวะยังได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาการสอนภาษาจีนระหว่างประเทศ เป็นเวลา 3 ปี

การแข่งขันรอบแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายนในปีนี้ โดยมีการคัดเลือกผู้ชนะจากการแข่งขันระดับภูมิภาค และตัวแทนจากแต่ละภูมิภาคได้เดินทางมายังประเทศจีน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้

การแข่งขัน “สะพานสู่ภาษาจีน” 汉语桥 ได้เริ่มต้นจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาจีนให้กับนักเรียนต่างชาติทั่วโลก การแข่งขันนี้เป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้เรียนภาษาจีนจากหลากหลายประเทศเพื่อแสดงความสามารถทางภาษา แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ และทดสอบความก้าวหน้าของทักษะทางภาษาจีน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างสะพานแห่งมิตรภาพระหว่างผู้เข้าแข่งขันจากประเทศต่างๆ อีกด้วย

การแข่งขัน “สะพานสู่ภาษาจีน” ครั้งที่ 23 นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางภาษาจีนที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในโลก ตั้งแต่เริ่มจัดขึ้น มีนักเรียนจากกว่า 160 ประเทศและภูมิภาคเข้าร่วมการแข่งขันนี้กว่า 1.6 ล้านคน ในแต่ละปีมีผู้เข้าร่วมกว่า 7,000 คนที่ได้เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งกิจกรรมนี้ยังเป็นที่สนใจของผู้ชมทั่วโลกหลายร้อยล้านคน

ในการแข่งขันปีนี้ ตัวแทนจากประเทศไทยได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกครั้งผ่านความสามารถทางภาษาจีนที่โดดเด่น นางสาวนาวะ จะชี ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางในการแสดงศักยภาพทั้งด้านภาษาและการคิดเชิงสร้างสรรค์ นอกจากความสำเร็จที่เธอได้รับแล้ว การเข้าร่วมแข่งขันยังเป็นประสบการณ์ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยที่สนใจเรียนรู้ภาษาจีนและวัฒนธรรมจีน

การส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาจีนในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และการเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาความสามารถทางภาษาจีนของนักเรียนไทยและสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผ่านทางการแข่งขันที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

ด้วยการพัฒนาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนที่แน่นแฟ้นขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเรียนรู้ภาษาจีนได้กลายเป็นทักษะที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเยาวชนไทยที่ต้องการก้าวเข้าสู่เวทีระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News