Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ขยายผลสู่เยาวชน ปลูกฝังศาสตร์พระราชา

โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ขยายผลสู่สถานศึกษา สร้างการเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568สำนักงานโครงการทหารพันธุ์ดี มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้ดำเนินโครงการขยายผลการเรียนรู้ ศาสตร์พระราชา สู่สถานศึกษา โดยให้การต้อนรับคณะครูและนักเรียนจาก โรงเรียนเกษมสาสน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ที่เดินทางมาเข้าศึกษาดูงาน โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ เพื่อให้เยาวชนเข้าใจหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านรูปแบบเกษตรผสมผสาน

การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมและการลงมือปฏิบัติจริง

โครงการครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1-3 จำนวน 32 คน พร้อมครูผู้ควบคุม 4 ท่าน ได้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการพัฒนาตามแนวทาง ศาสตร์พระราชา โดยมีเนื้อหาการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่

  • การปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติและประวัติศาสตร์เชียงราย
  • เยี่ยมชมโครงการทหารพันธุ์ดี และการนำแนวคิด ศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้
  • โครงการแพะเพื่อนแกะ ศึกษาการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้
  • มินิซู (สวนสัตว์เล็ก) เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและการดูแลสัตว์
  • โครงการเกาะสมุนไพร การใช้สมุนไพรไทยในการดูแลสุขภาพ
  • โครงการเกษตรปลอดภัย ฝึกการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ
  • การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ เพื่อลดการเผาวัสดุทางการเกษตร ลดปัญหาหมอกควัน
  • โครงการน้ำส้มควันไม้ เทคนิคการผลิตน้ำส้มควันไม้เพื่อใช้ในการเกษตรและปศุสัตว์

นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้เรียนรู้และลงมือทำจริง ทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

ผลตอบรับจากครูและนักเรียน

หลังจากจบกิจกรรม นักเรียนต่างมีความสุข สนุกสนาน และได้รับ ความรู้แปลกใหม่จากการสัมผัสของจริง ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ การเกษตรเชิงยั่งยืน และ การดูแลสิ่งแวดล้อม ได้ดียิ่งขึ้น

คณะครูที่ร่วมสังเกตการณ์ต่างให้ความเห็นว่า รูปแบบการเรียนรู้นี้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์ของการศึกษานอกห้องเรียน

การขยายผลโครงการทหารพันธุ์ดีสู่เยาวชน

โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ได้ดำเนินการขยายผลการเรียนรู้นี้ไปยังสถานศึกษาหลายแห่งในจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการปลูกฝังแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง” และ การพัฒนาที่ยั่งยืน ให้แก่เยาวชน ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ มีความรู้ด้านการเกษตรและการดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระดับเยาวชน

ในอนาคต โครงการนี้จะขยายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับการศึกษาเชิงปฏิบัติ และสามารถนำแนวคิด พึ่งพาตนเอง” ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับโครงการและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ปี 2567: กว่า 2,000 คน (ที่มา: มณฑลทหารบกที่ 37)
  • จำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในจังหวัดเชียงราย: 20 โรงเรียน (ที่มา: กองบัญชาการทหารบก)
  • สัดส่วนพื้นที่เกษตรกรรมที่นำแนวคิดศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้: 65% ของพื้นที่เกษตรในจังหวัดเชียงราย (ที่มา: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
  • โครงการเกษตรปลอดภัยในภาคเหนือ: มีการผลิตพืชผักปลอดสารพิษมากกว่า 10,000 ไร่ (ที่มา: กรมวิชาการเกษตร)

สรุป

โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยพัฒนา การเรียนรู้นอกห้องเรียน ให้แก่เยาวชนในจังหวัดเชียงราย โดยการน้อมนำ ศาสตร์พระราชา มาเป็นแนวทางในการพัฒนาและขยายผลสู่สถานศึกษา เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทั้งด้าน ประวัติศาสตร์, การเกษตร, การดูแลสิ่งแวดล้อม และการพึ่งพาตนเอง ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในอนาคต

นักเรียน ครู และประชาชนที่สนใจสามารถติดต่อโครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 เพื่อขอเข้าศึกษาดูงานและเรียนรู้ศาสตร์พระราชาได้ตลอดทั้งปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสร้างโอกาสเปิดหอพัก สนับสนุนเด็กดีแต่ยากจน

นายกเทศมนตรีนครเชียงรายเดินหน้าพัฒนาการศึกษา เปิด “หอพักเพชรกตัญญู” สานต่อโอกาสให้เยาวชน

เชียงราย, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ตอกย้ำแนวคิด “การศึกษาพัฒนาคน คนพัฒนาเมือง เมืองพัฒนาคน” เดินหน้าสนับสนุนการศึกษาให้กับเยาวชนในพื้นที่ ล่าสุดเปิด “หอพักเพชรกตัญญู” เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กที่มีผลการเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์

ขับเคลื่อนการศึกษากว่า 20 ปี สร้างโอกาสให้เยาวชนเชียงราย

ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา นายวันชัย จงสุทธานามณี ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองเชียงรายผ่านการศึกษา โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นแนวทางที่พิสูจน์ผลลัพธ์ได้จากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงรางวัลมากมายที่โรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงรายได้รับ

โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โดยใช้งบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายใต้การผลักดันของนางรัตนา จงสุทธานามณี ขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย โรงเรียนแห่งนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการเป็น “โรงเรียนคุณธรรม” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม

รางวัลแห่งความสำเร็จ ครองแชมป์มหกรรมการศึกษาระดับประเทศ 3 สมัย

ความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้กับเยาวชนเชียงรายสะท้อนผ่านความสำเร็จที่โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงรายได้รับ โดยสามารถคว้าแชมป์ที่ 1 ในการแข่งขันมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นระดับประเทศได้ถึง 3 ครั้งในปี พ.ศ. 2561, 2562 และ 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของระบบการศึกษาและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย

โครงการ “เพชรล้านนา” หนุนศักยภาพเยาวชนภาคเหนือ

อีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนศักยภาพของนักเรียนในพื้นที่ภาคเหนือคือ “โครงการเพชรล้านนา” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระภาวนารัตนญาณ วิ. หรือครูบาอริยชาติ อริยจิตโต เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล

โครงการนี้เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้รับทุนการศึกษา เพื่อให้พวกเขามีโอกาสพัฒนาตนเองต่อไปในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่มีผลการเรียนดี มีคุณธรรม แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์

เปิด “หอพักเพชรกตัญญู” สนับสนุนที่พักสำหรับนักเรียนขาดแคลน

หนึ่งในโครงการสำคัญที่ต่อยอดจากแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนคือ “หอพักเพชรกตัญญู” ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับนักเรียนที่มีศักยภาพสูงแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมีพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารหอพักนี้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2565 และได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ

ในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พระภาวนารัตนญาณ วิ. หรือครูบาอริยชาติ อริยจิตโต เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ ได้รับเกียรติเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร่วมด้วยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส คณะผู้บริหารเทศบาล คณะครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่

เป้าหมายของ “หอพักเพชรกตัญญู”

หอพักแห่งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสนับสนุนนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีคุณธรรม และขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักอาศัย การจัดตั้งหอพักนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาของเทศบาลนครเชียงราย

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวว่า “การศึกษาคือรากฐานของการพัฒนาเมือง เราต้องการให้เด็กทุกคนมีโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะอย่างไร หอพักแห่งนี้จะเป็นบ้านหลังที่สองของนักเรียนที่มีความมุ่งมั่นแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์”

บทสรุป: การศึกษาคืออนาคตของเมืองเชียงราย

เทศบาลนครเชียงรายยังคงเดินหน้าสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการต่างๆ ที่ช่วยให้เยาวชนสามารถเข้าถึงโอกาสที่ดีขึ้น ทั้งโครงการเพชรล้านนา การพัฒนาโรงเรียนเทศบาล 6 และการก่อสร้างหอพักเพชรกตัญญู

ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของนายวันชัย จงสุทธานามณี เชียงรายจึงกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองผ่านการศึกษา และยืนยันว่าการศึกษาจะยังคงเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของจังหวัดต่อไป

FAQs คำถามที่พบบ่อย

  1. หอพักเพชรกตัญญู” รองรับนักเรียนประเภทใด?
    – หอพักนี้รองรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีคุณธรรม แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีที่พักอาศัยใกล้สถานศึกษา
  2. โครงการเพชรล้านนาคืออะไร?
    – เป็นโครงการที่สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้รับการสนับสนุนจากพระภาวนารัตนญาณ วิ. หรือครูบาอริยชาติ อริยจิตโต
  3. โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงรายมีรางวัลอะไรบ้าง?
    – โรงเรียนเทศบาล 6 คว้าแชมป์อันดับ 1 ในมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นระดับประเทศ 3 ปีซ้อน ในปี 2561, 2562 และ 2567
  4. การพัฒนาการศึกษาของเทศบาลนครเชียงรายส่งผลอย่างไรต่อเมือง?
    – ช่วยให้เยาวชนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาคุณภาพ สร้างบุคลากรที่มีศักยภาพ และส่งผลให้เมืองเชียงรายพัฒนาอย่างยั่งยืน
  5. อนาคตของการศึกษาในเทศบาลนครเชียงรายเป็นอย่างไร?
    – เทศบาลยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาการศึกษาให้เท่าเทียมและมีคุณภาพ พร้อมสร้างโอกาสให้กับเยาวชนอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุม ไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความร่วมมือด้านการศึกษา

ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาสานต่อความร่วมมือ

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความสัมพันธ์ 50 ปีไทย-จีน

ไทย-ยูนนาน เดินหน้าพัฒนาการศึกษาร่วมกัน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ ห้องประชุมคำมอกหลวง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัด การประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “The Way Forward: Shaping the Future Thai-Yunnan Education” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและมณฑลยูนนาน ผู้แทนจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กรมการศึกษามณฑลยูนนาน และสื่อมวลชน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงไทย-ยูนนาน

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชียงรายเป็น ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมายาวนาน แม้ว่าปีนี้จะเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงรายและยูนนานนั้นมีความลึกซึ้งในระดับพี่น้อง

ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการจัดตั้ง สถาบันขงจื่อ และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร รวมถึงความร่วมมือด้าน การวิจัยเกี่ยวกับเห็ดรา สมุนไพร และชา-กาแฟ ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของยูนนาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

เชียงราย-ยูนนาน เมืองพี่เมืองน้อง มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและมณฑลยูนนานมี ความสัมพันธ์ฉันท์เมืองพี่เมืองน้อง มีความร่วมมือในด้าน เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะ การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ นักวิชาการจากทั้งสองประเทศ จะได้ร่วมกัน สร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยและจีนให้มีศักยภาพสู่ระดับสากล

จีนย้ำ! การศึกษาเป็นรากฐานสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืน

Mr. Tang Jiahua เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุนหมิง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อ สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการวิจัย

รวมถึงการจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการร่วมระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

5 ประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้

การประชุมได้แบ่งการหารือออกเป็น 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่:

  1. นโยบายและทิศทางความร่วมมือด้านการศึกษา
  2. การพัฒนาที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
  3. การแพทย์และสาธารณสุข
  4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  5. ภาษาและวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ยังมีการ ปาฐกถาพิเศษ โดย ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ นายหยิน เสียงหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน มหาวิทยาลัยการแพทย์คุนหมิง

กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการ

ผู้เข้าร่วมประชุมยังได้ เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมสมุนไพร ศูนย์เครื่องสำอาง SMEs โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและความร่วมมือในอนาคต

รวมถึงมี เสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “The Value of Thai-Chinese Education Cooperation in Advancing Human Capacity Development and Shared Growth” โดยมี ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และสมาคมนักศึกษาจีนในประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเติบโตอย่างยั่งยืน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง: ศูนย์กลางความร่วมมือไทย-จีน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อมความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างไทยและจีน ผ่าน โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการวิจัยร่วมกัน โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นการ วางรากฐานความร่วมมือด้านการศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายร่วมพัฒนาวัฒนธรรมชุมชน หนุนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงรายร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายวัฒนธรรม สืบสานศาสตร์พระราชา

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568 – เครือข่ายวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเข้าร่วม โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายทางวัฒนธรรมและผู้นำชุมชนคุณธรรมฯ เพื่อ สืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา ประจำปีงบประมาณ 2568 ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2568พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

กระทรวงวัฒนธรรมจัดโครงการนี้เพื่อ ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม สร้างชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยมี นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ เป็นผู้กล่าวรายงาน และ นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงผู้แทนจาก 26 ชุมชน เข้าร่วมงาน

เสริมพลังชุมชน ผ่านการพัฒนาศักยภาพผู้นำ

กิจกรรมภายในโครงการประกอบด้วย การบรรยายและฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม ได้แก่:

  • แนวทางการพัฒนา “ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” โดย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และวิทยากรจากกองตรวจราชการ
  • การบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดย ผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  • กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและการตลาด โดย วิทยากรจากองค์กรด้านการพัฒนาท่องเที่ยว
  • เทคนิคการประชาสัมพันธ์และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มโอกาสการดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่ชุมชน

นอกจากนี้ คณะวิทยากรจาก พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ยังได้ให้ความรู้เรื่อง การถ่ายทอดเรื่องราวและการเล่าเรื่อง (Storytelling) ให้เกิดแรงจูงใจในการท่องเที่ยว

เชียงรายส่งตัวแทนเข้าร่วม เสริมแกร่งเครือข่ายวัฒนธรรม

นาย พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายจิรัฏฐ์ ยุทธ์ธนประวิช นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นำทีมผู้แทนชุมชน 3 คน ได้แก่ นางอิ่ม คำแสง, นางอ่อน ปัญญา และนายทิพย์ เมืองยอด เข้าร่วมกิจกรรมนี้เพื่อ เสริมสร้างศักยภาพและนำองค์ความรู้มาพัฒนาชุมชนเชียงราย

ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านวัฒนธรรม

โครงการนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ชุมชน และเป็นแนวทางขับเคลื่อนให้เกิด ชุมชนท่องเที่ยวที่ยั่งยืน สอดรับกับนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มฟล. จัดวันนวัตกรรม โชว์ศักยภาพวิจัย เปิดตัว Maker Space

มฟล. จัดงาน MFU Innovation Day 2025 โชว์ศักยภาพวิจัย เปิดตัว COSMETIC MAKER SPACE

เชียงราย, 6 กุมภาพันธ์ 2568 –  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จัดงาน MFU Innovation Day 2025 อย่างยิ่งใหญ่ แสดงศักยภาพด้านการวิจัยและนวัตกรรม พร้อมเปิดตัว MFU COSMETIC MAKER SPACE และ COSMETIC LAB โดยมีนางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธี

มฟล. โชว์ศักยภาพด้านวิจัยและนวัตกรร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า งาน MFU Innovation Day 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคาร E-Park และ I-Park มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญหลายส่วน ได้แก่

  • MFU IGNITE 2025 Pitching Showcase: นำเสนอแผนธุรกิจจากผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์
  • นิทรรศการใน 3 โซนหลัก:
    • MFU INNOVATION PLAYGROUND: แสดงผลงานและกิจกรรมของนักศึกษา
    • INNO JUMP MARKET 2025: รวบรวมสินค้านวัตกรรมจากผู้ประกอบการ
    • นิทรรศการวิชาการ: แสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรม

เปิดตัว MFU COSMETIC MAKER SPACE และ COSMETIC LAB

ไฮไลท์สำคัญของงานคือการเปิดตัว MFU COSMETIC MAKER SPACE และ COSMETIC LAB ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวง อว. เพื่อยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพและความงามแบบครบวงจร โดย มฟล. มีความโดดเด่นด้านองค์ความรู้และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ซึ่งสอดคล้องกับโอกาสทางการตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ปาฐกถาพิเศษจากหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว.

นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ได้กล่าวในปาฐกถาพิเศษถึงนโยบายและผลงานสำคัญของกระทรวง อว. ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข มีรายได้” และ “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” โดยมีเป้าหมายสำคัญ “2 ลด 2 เพิ่ม” คือ ลดภาระ ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มทักษะ และเพิ่มโอกาส พร้อมผลักดัน 12 แผนงานสำคัญในปี 2568 รวมถึงการปฏิรูปอุดมศึกษาด้วยเทคโนโลยี AI และการผลักดันให้ไทยเป็น Education Hub

ส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย

นางสาวสุณีย์ยังกล่าวถึงการจัดตั้ง COSMETIC MAKER SPACE และ COSMETIC LAB ว่าจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยให้มีคุณภาพมาตรฐาน ทันสมัย และปลอดภัย พร้อมผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องสำอางในอาเซียน โดยใช้จุดแข็งด้านวัตถุดิบธรรมชาติที่เป็น “ขุมทรัพย์ความงามระดับโลก” ซึ่งจะช่วยพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและความงามจากผลิตผลทางการเกษตรที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น

กิจกรรมต่อเนื่องและรางวัล MFU INNO Prize 2025

ภายในงานยังมีการมอบรางวัล MFU INNO Prize 2025 และกิจกรรมต่อเนื่องในวันที่สอง อาทิ Workshop การทำน้ำหอมสูตรเฉพาะ กิจกรรม Flash Sale และ Business Matching & Consulting เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการในภูมิภาค

มฟล. ศูนย์กลางพัฒนานวัตกรรมและสนับสนุนผู้ประกอบการ

งาน MFU Innovation Day 2025 สะท้อนความมุ่งมั่นของ มฟล. ในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมและการสนับสนุนผู้ประกอบการในภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ลุ้น “พญ.อัจฉรา” ผอ.โฮงยาไทย 3 รายชื่อเข้าชิงเลขา สปสช. คนใหม่

คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศ 3 รายชื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 3 คนสุดท้ายจากผู้สมัครทั้งหมด 9 คน เพื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งกำลังจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

“พญ.อัจฉรา” ผ่านเข้ารอบสุดท้าย พร้อมอีก 2 รายชื่อ

จากการประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้สมัคร พร้อมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และแผนการบริหารงานของแต่ละคน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนสุดท้าย โดยรายชื่อที่ผ่านการพิจารณามีดังนี้

  1. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี – เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน
  2. นพ.ดิเรก สุดแดน
  3. พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช

รายชื่อดังกล่าวจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ต่อไป

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 9 คน ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ในวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพิจารณาด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถในการบริหารงาน

หลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือก 3 รายชื่อสุดท้าย โดยใช้เกณฑ์พิจารณาความสามารถในการบริหารงาน ระบบสุขภาพ และความเข้าใจในภารกิจของ สปสช. ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

ขั้นตอนต่อไป: การพิจารณาของบอร์ด สปสช.

คณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งผลการคัดเลือกไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในการประชุมวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเลขาธิการคนใหม่จะต้องเข้ามารับผิดชอบด้านการบริหารงบประมาณด้านสุขภาพ ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผลักดันนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ โดยผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงบประมาณ ดูแลการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่า การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ครั้งนี้เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและการให้บริการที่ต้องพัฒนาให้ทันต่อสถานการณ์

“บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณขนาดใหญ่ และต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืน” นักวิชาการด้านสุขภาพให้ความเห็น

สรุป

การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย โดย 3 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี, นพ.ดิเรก สุดแดน และ พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ทั้งสามรายชื่อจะเข้าสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมตัดสินในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะเข้ารับตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ที่จะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องมีการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่?
    ตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อครบกำหนดต้องมีการคัดเลือกบุคคลใหม่เพื่อสานต่อภารกิจด้านหลักประกันสุขภาพ
  2. ใครเป็นตัวเต็งในการได้รับตำแหน่งครั้งนี้?
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งเป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน ถือเป็นตัวเต็ง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับงานใน สปสช.
  3. ขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกเป็นอย่างไร?
    รายชื่อ 3 คนสุดท้ายจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะพิจารณาและแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
  4. บทบาทของเลขาธิการ สปสช. มีอะไรบ้าง?
    บริหารงบประมาณหลักประกันสุขภาพ ดูแลการให้บริการสาธารณสุข และพัฒนานโยบายด้านสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  5. การแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่จะมีผลเมื่อใด?
    หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเด็กเกิดน้อย กระทบเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” กระทบเศรษฐกิจและสังคม

รายงานจาก Brandinside ระบุว่าในช่วงระหว่างปี 2506 ถึง 2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2568 ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของสัดส่วนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากบทความ “จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ” ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างประชากรของไทยและทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย

ในปี 2548 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ซึ่งมีผู้สูงอายุเกิน 10% ของประชากร และในปี 2567 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลในด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากการมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ

ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนให้เห็นว่าในอีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 66 ล้านคน นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ได้คาดการณ์ว่าในที่สุด หากไม่มีการนำนโยบายประชากรที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ประเทศไทยอาจจะเหลือประชากรเพียง 29 ล้านคนในอนาคต

สาเหตุที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย

การลดลงของจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยสามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัย โดยกรมอนามัยได้ระบุถึง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย ได้แก่:

  1. คนไทยยังเป็นโสด: ข้อมูลจากสภาพัฒน์เผยว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังคงเป็นโสด ซึ่งทำให้มีการลดจำนวนคู่สมรสและการมีลูกลง
  2. คนไทยไม่อยากมีลูก: ผลการสำรวจจากนิด้าโพลพบว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูกเนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับสภาพสังคมที่ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก
  3. คนไทยมีลูกยาก: ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่
  4. คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ: แม้หลายคนจะต้องการมีลูก แต่กฎหมายในประเทศยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิและการช่วยเหลือด้านการมีบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ

นโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” และความล้มเหลวในการผลักดัน

ถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น เช่น การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี แต่ผลสำรวจจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ (49%) เท่านั้นที่เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศ ขณะที่มีเพียง 33% ของคู่สมรสไทยที่ยืนยันว่าจะ “มีลูก” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการมีลูกยังคงต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

การสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่ม Gen Z, Gen X, และ Gen Y

จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่า กลุ่ม Gen X (อายุ 40-50 ปี) มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 18-25 ปี) อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 26-39 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%) แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของการมีลูกในรุ่นใหม่ๆ ยังคงลดลงตามทิศทางเดียวกัน

บทสรุป

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย ได้แก่ ความชอบในการเป็นโสด, ภาระค่าใช้จ่าย, ปัญหาภาวะมีบุตรยาก และความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมาย ที่ยังไม่สนับสนุนให้มีลูกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังทำให้ประชากรไทยลดลง และคาดว่าในอนาคตประเทศจะเผชิญกับสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : brandinside

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

องค์มนตรีติดตามโครงการพระราชดำริที่เชียงราย

องค์มนตรีติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะในเชียงราย

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงของ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ร่วมให้การต้อนรับ

การเยี่ยมชมในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของโครงการที่มีความสำคัญในด้านการพัฒนาชุมชนและการเกษตรกรรมในพื้นที่ โดยองค์มนตรีได้เยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากราษฎรในพื้นที่โครงการ พร้อมกับทำการปล่อยปลากระแห จำนวน 2,000 ตัว ปลานวลจันทร์ 500 ตัว และปลาบึก 19 ตัว ในแหล่งน้ำของหมู่บ้าน เพื่อนำไปสนับสนุนกิจกรรมการประมงในพื้นที่

พื้นที่โครงการและความสำคัญของโครงการ

อำเภอเชียงของ ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นระหว่างประเทศ โดยอำเภอเชียงของมีพื้นที่ปกครองแบ่งออกเป็น 7 ตำบล 102 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 64,000 คน ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง

อำเภอเชียงของมีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายทางของรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย เชียงแสน เชียงของ ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็น “Logistic City” ที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนาสังคมและชุมชนควบคู่กับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะและประโยชน์ที่ได้รับ

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในตำบลห้ายซ้อ หมู่บ้านเวียหมอก เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีประชากร 336 ครัวเรือน หรือประมาณ 2,036 คน ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำนี้ ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์จากน้ำในอ่างเก็บน้ำในการทำการเกษตรกรรม ทั้งการปลูกพืชผัก ทำไร่ ทำนา และทำสวน ผลกระทบจากโครงการนี้ได้ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างมาก

ในปีที่ผ่านมา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และชุมชนได้ร่วมกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่โดยการปลูกป่าและต้นไม้ในโครงการต่างๆ เช่น โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 และโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัทต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต

โครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2564 โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในหมู่บ้านเวียหมอกได้ปลูกต้นไม้รวม 1,000 ต้น เช่น ต้นขี้เหล็ก มะขามป้อม ต้นเสี้ยวขาว และต้นพะยุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างพื้นที่สีเขียวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2565 ได้มีการดำเนินโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยการปลูกป่าบนพื้นที่ 140.21 ไร่ และจะมีการดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2574 ในปี 2567 มีโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมกับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บนพื้นที่ 144.38 ไร่ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2576

บทสรุป

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนในด้านการเกษตรและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำในการเกษตรกรรมและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวผ่านโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และชุมชนได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและตรงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงของเสริมท่องเที่ยวด้วยศิลปะ วัฒนธรรม MOU ม.ราชภัฏเชียงราย

พิธีลงนามความร่วมมือวิชาการ วิจัย และวัฒนธรรม เชียงของ มุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวด้วยศิลปะการแสดง

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้จัดกิจกรรม การนำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์กับท้องถิ่น” เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ อำเภอเชียงของ ให้สอดคล้องกับการเป็นเมืองศิลปะของจังหวัดเชียงราย

ภายในงานมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) ด้าน การวิจัยและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปวีณา ลี้ตระกูล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมลงนาม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงของ และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี

พิธีลงนามและกิจกรรมวิชาการครั้งนี้จัดขึ้นที่ พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ท่าเรือบัค) บ้านหัวเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

การวิจัยเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวผ่านศิลปะวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของงานวิจัยครั้งนี้คือการใช้ ศิลปะการแสดงวัฒนธรรม มาสร้างสรรค์เป็นบทเพลงและผลงานจิตรกรรมร่วมสมัย เพื่อช่วย ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของอำเภอเชียงของและจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนในพื้นที่

นอกจากนี้ยังเป็นการเชื่อมโยงงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของเชียงของ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเมืองศิลปะแห่งนี้

ผู้แทนหน่วยงานวัฒนธรรมร่วมกิจกรรม

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายวรพล จันทร์คง และ นางสาวกนกวรรณ สุทธะ นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ จาก สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของ การบูรณาการศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นกับงานวิจัย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

MOU นี้จะช่วยพัฒนาเชียงของอย่างไร?

  1. พัฒนาเชียงของให้เป็นเมืองศิลปะและวัฒนธรรม – ขับเคลื่อนแหล่งท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและชุมชน – สนับสนุนการวิจัยที่ตอบโจทย์พื้นที่
  3. ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ – ใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และงานวิจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

เชียงของ เมืองศิลปะที่ต้องจับตา

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม เนื่องจากมีประวัติศาสตร์ยาวนาน วิถีชีวิตดั้งเดิม และอยู่ติดแม่น้ำโขง โครงการความร่วมมือนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับเชียงของให้เป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนต่างให้คำมั่นว่า จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เชียงของกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพัฒนาเชียงของผ่านศิลปะและวัฒนธรรม

  1. โครงการนี้มีเป้าหมายหลักคืออะไร?
    โครงการเน้น วิจัยและพัฒนาความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เพื่อใช้ศิลปะและการแสดงวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์และยกระดับเชียงของให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะ
  2. การลงนาม MOU นี้มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน
  3. พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ คืออะไร?
    เป็นสถานที่จัดแสดงภาพถ่ายเก่าแก่เกี่ยวกับเชียงของและแม่น้ำโขง โดยสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  4. การใช้ศิลปะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อย่างไร?
    ศิลปะและการแสดงทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจ วัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน
  5. อำเภอเชียงของมีอะไรน่าสนใจบ้าง?
    เชียงของเป็นเมืองริมโขงที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัดเก่าแก่ พิพิธภัณฑ์ วิถีชีวิตชุมชน และศิลปะร่วมสมัยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ไขข้อข้องใจ นิสิต-นักศึกษา ต่างกันอย่างไรในมหาวิทยาลัยไทย

ความแตกต่างระหว่างคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ในสถาบันการศึกษาไทย

ในประเทศไทย คำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ถูกใช้เรียกผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา แต่มีความแตกต่างกันทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละสถาบันการศึกษา

ที่มาของคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา”

คำว่า นิสิต” มีรากฐานมาจากภาษาบาลี หมายถึง “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” ซึ่งในอดีตหมายถึงผู้เรียนที่พักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัย เช่น ในยุคเริ่มแรกของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 ผู้เรียนจะต้องพักอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ทำให้มีการเรียกผู้เรียนว่า “นิสิต” สะท้อนถึงลักษณะการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในบริเวณมหาวิทยาลัย

ส่วนคำว่า นักศึกษา” เริ่มต้นใช้ในปี พ.ศ. 2477 พร้อมการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย ผู้เรียนที่นี่ไม่จำเป็นต้องพักอาศัยในมหาวิทยาลัย คำว่า “นักศึกษา” จึงถูกใช้เพื่อแยกแยะลักษณะผู้เรียนที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น

มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้คำว่า “นิสิต”

แม้ว่าคำว่า “นิสิต” จะเลือนหายไปในสถาบันใหม่ ๆ แต่ยังคงถูกใช้ในมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งมานาน เช่น

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  3. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  4. มหาวิทยาลัยนเรศวร
  5. มหาวิทยาลัยบูรพา
  6. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  7. มหาวิทยาลัยทักษิณ
  8. มหาวิทยาลัยพะเยา
  9. มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
  10. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
  11. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะของการใช้ชีวิตแบบนิสิต

ความหมายของ “นิสิต” และ “นักศึกษา” ตามพจนานุกรม

  • นิสิต
    หมายถึงผู้ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง หรือศิษย์ที่เล่าเรียนและอาศัยอยู่ในสำนักของครู
  • นักศึกษา
    หมายถึงผู้ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย หรือในสถานศึกษาระดับสูง

เหตุผลในการใช้คำเรียกที่แตกต่างกัน

การเลือกใช้คำว่า นิสิต” หรือ นักศึกษา” ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์และปรัชญาการศึกษาในแต่ละสถาบัน ตัวอย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่ผู้เรียนต้องมีการพักอาศัยและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ในขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลือกใช้คำว่า “นักศึกษา” เพื่อสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยและการเปิดกว้าง

ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน การใช้คำว่า “นักศึกษา” กลายเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เพราะแสดงถึงความทันสมัยและอิสระของผู้เรียน ขณะที่คำว่า “นิสิต” ยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมหาวิทยาลัยดั้งเดิมเพียงไม่กี่แห่ง

สรุปความแตกต่างระหว่าง “นิสิต” และ “นักศึกษา”

  1. นิสิต: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่มีประเพณีให้ผู้เรียนอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. นักศึกษา: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้าง และไม่จำเป็นต้องมีการพักอาศัยในมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แม้ว่าคำสองคำนี้จะมีความหมายและประวัติที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง “นิสิต” และ “นักศึกษา” ต่างก็เป็นผู้แสวงหาความรู้ในระดับอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : campus / มหาวิทยาลัยพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News