Categories
All

DMIND บน “หมอพร้อม” ช่วยคัดกรอง “ซึมเศร้า” เกือบ 2 แสนคน

 

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567กระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาสุขภาพจิตคนไทย “เยาวชน” มีภาวะซึมเศร้าสูง 2,200 ต่อประชากรแสนคน เผยผลสำเร็จใช้ปัญญาประดิษฐ์ DMIND เชื่อมโยงระบบหมอพร้อม ช่วยคัดกรองภาวะซึมเศร้าได้สะดวกรวดเร็วเกือบ 2 แสนคน พบภาวะเสี่ยงรุนแรง 8.7% เตรียมพัฒนาระบบเชื่อมข้อมูลสายด่วน 1323 เพื่อการดูแลกลุ่มวิกฤตเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ทันท่วงที 

          นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพจิตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยปี 2558 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการด้านจิตเวช 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2.4 ล้านคน ในปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา พบว่า ภาวะเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และภาวะหมดไฟสูงขึ้นทั้งหมด ข้อมูลอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ จากกรมสุขภาพจิต ปีงบประมาณ 2562-2566 พบว่า แนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 7.26 เป็น 7.94 ต่อประชากรแสนคน โดยกลุ่มวัยทำงานอายุ 20-59 ปี มีจำนวนฆ่าตัวตายมากสุด แต่กลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมีอัตราฆ่าตัวตายสำเร็จสูงสุด คือ 10.39 ต่อประชากรแสนคน ขณะที่จำนวนคนพยายามฆ่าตัวตายปี 2566 มีถึง 25,578 คน โดยกลุ่มวัยรุ่น/นักศึกษา อายุ 15-19 ปี มีอัตราพยายามฆ่าตัวตายสูงสุด คือ 116.81 ต่อประชากรแสนคน สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) ที่ประเมินว่า มีเยาวชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ตรวจพบอาการซึมเศร้าสูงถึง 2,200 ต่อประชากรแสนคน

 


          นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญคือการทำให้ผู้ที่เริ่มมีป้ญหาสุขภาพจิตได้เข้าถึงบริการ โดยเฉพาะการประเมินและให้คำปรึกษาต่อภาวะซึมเศร้า ที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตได้ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ Detection and Monitoring Intelligence Network for Depression (DMIND) เพื่อคัดกรองผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า มีความแม่นยำ เข้าถึงง่าย ใช้สะดวก ช่วยลดภาระงานของแพทย์และนักจิตวิทยาในการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งมีการเชื่อมต่อช่องทางการสื่อสารกับไลน์”หมอพร้อม” โดยเลือกเมนูคุยกับหมอพร้อม (Chatbot) และเลือกเมนูตรวจสุขภาพใจ เพื่อตอบคำถามจากข้อความคุณลักษณะเฉพาะ พร้อมมีระบบ ตรวจจับการแสดงออกทางหน้าตา น้ำเสียง และประเมินภาวะซึมเศร้าเป็นคะแนน 4 ระดับ คือ ปกติสีน้ำเงิน เสี่ยงต่ำหรือเสี่ยงน้อยสีเขียว เสี่ยงปานกลางสีเหลือง ซึ่งกลุ่มนี้นักจิตวิทยาจะติดต่อกลับให้คำปรึกษาภายใน 7 วัน และเสี่ยงรุนแรงสีแดง จะติดต่อกลับภายใน 1-24 ชั่วโมง

 


          “ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 – ธันวาคม 2566 มีผู้ใช้บริการ DMIND ทำแบบประเมินสุขภาพจิต 180,993 ราย แบ่งเป็น ผู้ที่ปกติ 18,906 ราย ผู้มีความเสี่ยงน้อย 113,400 ราย ผู้มีความเสี่ยงปานกลาง 33,039 ราย และผู้มีความเสี่ยงรุนแรง 15,648 ราย หรือคิดเป็น 8.1% ซึ่งมีการยินยอมให้ติดตาม 1,118 คน ติดตามสำเร็จ 778 คน โดยกระบวนการติดตามจะดูว่ามีกรณีเสี่ยงฆ่าตัวตายหรือไม่ หากเสี่ยงรุนแรงจะส่งต่อไปยัง Hope Task Force ทีมปฏิบัติการพิเศษป้องกันการฆ่าตัวตายให้การดูแล ทั้งนี้ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง DMIND กับระบบหมอพร้อมทำให้การดำเนินงานสะดวกมากยิ่งขึ้น ในอนาคตจึงอาจมีการเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ให้มากขึ้น” นพ.โอภาสกล่าว

 

.
           นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้มีการพัฒนาและปรับปรุง DMIND ซึ่งมาจากการรับฟังจากความเห็นจากการใช้งานของประชาชน โดยมีแพทย์ AI ให้เลือกพูดคุยปรึกษามากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงแพทย์AIผู้หญิง จะเพิ่มทั้งแพทย์AIผู้ชาย และ มีอายุหลากหลายมากขึ้น มีการปรับการพูดคุยของผู้ใช้งานให้เป็นธรรมชาติและกระชับมากขึ้น รวมทั้งในอนาคตจะพัฒนาการทำงานของ DMIND เพิ่ม ได้แก่ 1. มีการวิเคราะห์ผู้ใช้งานตาม User Journey เพื่อให้สามารถเข้าใจบริบทของผู้ใช้งาน และสามารถนำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้ในการดำเนินงาน 2. ปลดล็อกในส่วนการช่วยเหลือผู้ป่วยขั้นวิกฤตตามกฎหมายของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการติดตามกลุ่มวิกฤตที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายจากการประเมินของ DMIND ทำให้มีความสะดวกและสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ของขวัญปีใหม่ 4 จังหวัดนำร่อง “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” เริ่ม 8 ม.ค. 67

 
20 ธันวาคม 2566  โฆษกกระทรวงสาธารณสุขฝ่ายการเมือง เผย “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” 4 จังหวัดนำร่องใน 4 ภูมิภาค พร้อมส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 8 มกราคม 2567 นี้ เตรียมเปิดตัวที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมเปิดตัวออนไลน์จากแพร่ เพชรบุรีและนราธิวาส ชี้เป็นการปฏิรูประบบข้อมูลการให้บริการครั้งใหญ่ที่สุด และขยายบริการที่เป็นนวัตกรรมการอำนวยความสะดวกในการรับบริการของประชาชน
 

          นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า จากการติดตามความคืบหน้านโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป็นนโยบายสำคัญ ทำความเข้าใจกับผู้บริหารของกระทรวง เดินทางไปตรวจเยี่ยมเพื่อรับฟังปัญหาและความก้าวหน้า 4 จังหวัดนำร่องทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรีและนราธิวาส พร้อมแล้ว 100% ที่จะเปิดให้บริการครบวงจร เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้กับประชาชน โดยวันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 จะเป็นวันเริ่มต้น หรือ Kick off พร้อมกัน ใช้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจุดเปิดนอกสถานที่และเปิดระบบออนไลน์ไปยังอีก 3 จังหวัด คือ แพร่ เพชรบุรีและนราธิวาส
 

          นางสาวตรีชฎากล่าวว่า ของขวัญปีใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข ที่นพ.ชลน่านและบุคลากรในสังกัดกระทรวงมีความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะมอบให้พี่น้องประชาชนครั้งนี้ ถือเป็นการปฏิรูประบบสุขภาพครั้งใหญ่ใน 2 เรื่อง คือ 1.ปฏิรูประบบข้อมูลการให้บริการครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อน บัตรประชาชนใบเดียวสามารถเข้าถึงการบริการได้ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว เป็นการลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข 2.ขยายบริการที่เป็นนวัตกรรมการอำนวยความสะดวกในการรับบริการของประชาชน ทั้งนี้ หน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายให้ประสบความสำเร็จ คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ สปสช.ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดย สปสช.ซึ่งมีสำนักงานเขตในภูมิต่างๆ จะร่วมมือกับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่
 

          “นับจากนี้ขอให้พี่น้องประชาชนเตรียมตัวเตรียมใจหากเจ็บป่วยต้องการรับบริการตรวจรักษาและรับยา 4 จังหวัดนำร่องพร้อมจะให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ ร้านยา ที่เข้าร่วมโครงการ” นางสาวตรีชฎากล่าว
 

          อย่างไรก็ตาม นพ.ชลน่านได้ฝากแสดงความชื่นชมและส่งกำลังใจไปยังบุคลากรทุกคน ทุกส่วนที่จะร่วมกันมอบสิ่งดีๆ ให้กับประชาชน โดยเฉพาะการประชุมระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย 2566 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ออกแถลงการณ์ 12 ข้อ ที่ประกาศจะ “ทำทันที” ในการยกระดับและขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่ง 1 ใน 12 ข้อของแถลงการณ์ คือการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ นางสาวตรีชฎา กล่าวทิ้งท้าย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ. สร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ย้ำความพร้อมดูแลเครือข่ายโรงพยาบาลทุกระดับ

 

วันที่ 20 ธันวาคม 2566 นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับ 12 หน่วยงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 ว่า คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 35 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเพื่อช่วยขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีข้อสั่งการเรื่องการสร้างความปลอดภัยและช่วยเหลือเยียวยาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น 

 

โดยมีคณะทำงาน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มอำนวยความสะดวก 2.กลุ่มการป้องกันและรักษาความปลอดภัย 3.กลุ่มช่วยเหลือเยียวยา และ 4.กลุ่มสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นแกนหลักในการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กรมการขนส่งทางบก, กรมเจ้าท่า,ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล, กรมการปกครอง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข

 

 

          นายแพทย์สุรโชคกล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมในการดูแลนักท่องเที่ยวเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการท่องเที่ยว โดยมีนโยบาย “นักท่องเที่ยวปลอดภัย” ซึ่งเป็น 1 ใน 13 Quick Win ที่เร่งรัดดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมใน 100 วัน ในประเด็นต่างๆ อาทิ การสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดโรคพิษสุนัขบ้า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ การพัฒนาอาสาฉุกเฉินทางทะเล/อาสาฉุกเฉินชุมชน การเฝ้าระวังคัดกรองโรคในผู้เดินทางระหว่างประเทศ เป็นต้น สำหรับด้านการดูแลรักษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขมีหน่วยบริการตั้งแต่ระดับปฐมภูมิในตำบล มีโรงพยาบาลชุมชนในทุกอำเภอ และมีโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปที่มีศักยภาพสูงกระจายในทุกเขตสุขภาพรวมกว่า 40 แห่ง ประสานการทำงานเป็นเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ในการรับส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงมีทีม Sky Doctor รองรับการขนส่งนักท่องเที่ยวที่เจ็บป่วยในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่เกาะด้วย

 

 

          “กระทรวงสาธารณสุข ยังให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารปลอดภัย โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยว โดยดูแลมาตรฐานอาหารปลอดภัยทั้งร้านอาหารและบาทวิถี รวมถึงควบคุม กำกับ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เช่น นวดไทย สปา Wellness center ตลอดจนผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศได้อีกทางหนึ่ง” นายแพทย์สุรโชคกล่าว

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชาวเชียงราย มีศูนย์รังสีรักษา รพ.เชียงรายฯ เปิด Quick Win “มะเร็งครบวงจร”

 
17 ธันวาคม 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอาคารรังสีรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย โดยมี พญ.นวลสกุล บำรุงพงษ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารร่วม
 
          นพ.ชลน่านกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ “มะเร็งครบวงจร” เป็น 1 ในนโยบายมุ่งเน้นที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การส่งเสริมป้องกัน คัดกรอง ตรวจวินิจฉัย รักษา และดูแลฟื้นฟูกายใจ โดยเฉพาะในมะเร็ง 5 ชนิด ที่พบมากและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งการเปิดศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมมีทีม Cancer Warrior ช่วยดูแล เพิ่มความรอบรู้ สร้างพฤติกรรมป้องกันมะเร็งให้กับประชาชนจังหวัดเชียงราย ตามแนวทาง Quick Win “มะเร็งครบวงจร” จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งของจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา ที่มีประมาณ 2,400 ราย/ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยการฉายรังสี (ข้อมูล 3 ปีย้อนหลัง) ได้เข้าถึงบริการ ลดการกลับเป็นซ้ำของโรคมะเร็ง และบรรเทาอาการของโรคในระยะแพร่กระจาย ส่งผลให้มีโอกาสหายจากโรคมะเร็งได้มากขึ้น ทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวก ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย
 
          ด้าน พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 758 เตียง รับผิดชอบผู้ป่วยโรคมะเร็งจังหวัดเชียงรายและพะเยา โดยมะเร็งที่พบบ่อยในเพศชาย ได้แก่ 1.มะเร็งตับ 2.มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง 3.มะเร็งปอด ส่วนในเพศหญิงพบมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ตามลำดับ ส่วนมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายสูงสุด คือ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม ตามลำดับ ซึ่งเดิมผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาด้วยรังสี ส่วนใหญ่ประมาณ 900 รายต่อปี ต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง ทำให้มีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 25 ที่ไม่เดินทางไปรับการรักษา เนื่องจากมีภาระด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ประมาณ 15,000 บาทต่อราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์จึงได้ก่อสร้างอาคารรังสีรักษา 6 ชั้น เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 123,900,000  บาท เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งได้เข้าถึงบริการด้านรักษา ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและครอบครัว โดยได้เริ่มทยอยเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
 
          นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาศักยภาพบุคลากรในการให้บริการด้านรังสีรักษา และพัฒนาระบบสารสนเทศรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานบริการในเครือข่าย เพื่อความต่อเนื่องในการดูแลผู้ป่วย และนำข้อมูลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบและบริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อประสิทธิภาพการบริการและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
 

โดยทางด้าน “หมอเอก”  นายแพทย์ เอกภพ เพียรพิเศษ เฟซบุ๊ก หมอเอก Ekkapob Pianpises ได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องเกี่ยวกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลผู้ป่วยมะเร็งชาวเชียงราย-พะเยา ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการฉายรังสีประมาณ 1,200 รายต่อปี พร้อมจัดทีม Cancer Warrior เพิ่มความรอบรู้ สร้างพฤติกรรมป้องกันมะเร็ง ว่า

ข่าวดีสุดๆ !!!!!!! จากนี้ไปชาวเชียงรายไม่ต้องลำบากข้ามเขาไปรักษามะเร็งถึงที่ลำปาง ที่เชียงใหม่แล้ว !!!!!
อาคารรักษามะเร็ง พร้อมทีมบุคลากรรักษามะเร็ง และเครื่องมือรักษามะเร็งพร้อมสำหรับชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงแล้วครับ
 
และในเดือนมีนาคม-เมษายน เครื่องรักสีรักษามะเร็งจะได้มาติดตั้งพร้อมให้การรักษาแล้วครับ
ต่อจากนี้คนไข้มะเร็งและครอบครัวไม่ต้องเลือกอีกแล้วว่าจะต้องเดินทางไปรักษาไกลบ้าน หรือต้องยอมยุติการรักษาเพื่อไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัว
 
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ได้เคยนำเสนอปัญหาของผู้ป่วยมะเร็งในพื้นที่ให้กับ #พี่หนู ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
 
ร่วมกับการขับเคลื่อนของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทั้งในสมัยพี่ไชยเวช มาถึงสมัยพี่อัจฉรา และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และการสนับสนุนของผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่ชาวเชียงรายเรียกว่า โฮงยาไทย ได้มีการพัฒนาศักยภาพเพื่อ คุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเชียงราย
 
วันนี้ขณะนั่งร่วมอยู่ในพิธีเปิดอาคาร ผมมีความรู้สึกดีใจและอิ่มใจกับอาคารที่จะช่วยชีวิตชาวเชียงรายต่อเนื่องไปอีกนาน 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

หน่วยงานสธ.ในพื้นที่ร่วมบูรณาการมาตรการรองรับเปิดสถานบริการผับ บาร์ถึงตี 4

 

16 ธ.ค.2566  รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย หน่วยงานสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่จัดมาตรการรองรับเปิดสถานบริการผับ บาร์ ถึงตี 4 โดยเชียงใหม่ มีการจัดเตรียมที่พักคอยคนเมา ประสานรถสาธารณะบริการนักท่องเที่ยว ขณะที่ชลบุรี ภูเก็ตออกตรวจตราสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เตรียมระบบการแพทย์และสาธารณสุขพร้อมดูแลเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ


        นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกรณีมีการขยายเวลาเปิดสถานบริการผับ บาร์ถึงตี 4 นำร่องใน กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งเริ่มเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ในการดำเนินมาตรการต่างๆ รองรับเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ มีสถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายรวม 27 แห่ง ใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงใหม่ 24 แห่ง อ.ฝาง อ.เชียงดาว อ.สันทราย อำเภอละ 1 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับอำเภอ ตำรวจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดเตรียมที่พักคอยสำหรับผู้ขับขี่ยานพาหนะที่มีระดับแอลกอฮอล์สูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ขนส่งจังหวัดได้ประสานเครือข่ายรถสาธารณะคอยให้บริการนักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งทีมออกตรวจตรา ควบคุมสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย


         จังหวัดชลบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้นำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อตรวจตราสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนจังหวัดภูเก็ต เบื้องต้นมีสถานบริการจดทะเบียนเปิดถึงตี 4 เฉพาะที่ซอยบางลา ตำบลป่าตอง อำเภอกระทู้ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการผ่านหมายเลข 1669 ได้เตรียมพร้อมดูแลตลอด 24 ชม. และยังมีคณะทำงานวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อสอบสวนสาเหตุพฤติกรรมเสี่ยงและจุดเสี่ยงในพื้นที่ เป็นต้น

 

        “หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เฝ้าระวังสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ส่วนระบบการแพทย์และสาธารณสุข ทั้ง 3 จังหวัดมีความพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งจากนี้จนถึงช่วงปีใหม่ จะเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆไว้ด้วย เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นายแพทย์สุรโชคกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ข่าวดี! ส่งท้ายปี หญิงไทยกว่า 1 ล้านคน ได้รับภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูก

 
 

วันที่ 9 ธันวาคม 2566 ข่าวดี! ส่งท้ายปี หญิงไทยกว่า 1 ล้านคน ได้รับภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูกเกินเป้าหมาย “หมอชลน่าน” มอบของขวัญปีใหม่คนไทยก่อนใคร ฉีดวัคซีน HPV เกิน 1 ล้านโดส ให้ผู้หญิงไทยอายุ 11-20 ปี ครบแล้ว เดินหน้าวางมาตรการสานต่อนโยบาย “มะเร็งครบวงจร” จัดหาวัคซีนเพิ่มเป็นเข็มที่ 2 ในอีก 6 เดือน ควบคู่กับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงอายุ 30-60 ปี

 

           จากนโยบายมะเร็งครบวงจร ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win ที่ต้องทำให้สำเร็จภายใน 100 วัน วันนี้ (9 ธันวาคม 2566) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศชัยชนะของหนึ่งในโครงการภายใต้นโยบายมะเร็งครบวงจรที่ประสบความสำเร็จล่วงหน้าไปแล้ว ก่อนที่จะครบ 100 วัน คือ การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ในผู้หญิงไทยอายุ 11-20 ปี โดยกล่าวว่า หลังจากเริ่ม kick-off การฉีดวัคซีน HPV 1 ล้านโดสภายใน 100 วัน ไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา โดยมอบหมายให้ทุกจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครจัดให้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีน HPV ให้กับนักเรียนหญิงกลุ่มเป้าหมายอายุ 11-20 ปีอย่างต่อเนื่อง และขยายการฉีดไปกลุ่มอายุเดียวกันที่อยู่นอกระบบโรงเรียนในเดือนธันวาคม ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ส่งผลให้วันนี้กระทรวงสาธารณสุขสามารถฉีดวัคซีนได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 ล้านโดสแล้ว โดยตัวเลขล่าสุด ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2566 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 1,036,891 โดส ถือเป็นความสำเร็จที่เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเร็วกว่ากำหนดที่คิดว่าจะทำให้สำเร็จ

 

          “เดิมเราคิดว่าจะพยายามฉีดวัคซีน HPV ให้ครบล้านโดสภายในสิ้นปี 2566 แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทำให้เราประสบความสำเร็จเกินคาด วันนี้ผู้หญิงไทยอายุ 11-20 ปี มากกว่า 1 ล้านคน ได้รับการปกป้องจากมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งของผู้หญิงเป็นอันดับหนึ่งแล้ว อยากให้ทุกคนร่วมยินดีในความสำเร็จครั้งนี้ด้วยกัน และขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานที่ช่วยกันจัดหาวัคซีน ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค” นพ.ชลน่าน กล่าว

 

           ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กนักเรียนหญิงอายุ 11-20 พร้อมกัน 1 ล้านคน เป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งผลดีไปในภายหน้าหลายสิบปี ทำให้ประชากรกลุ่มฉีดวัคซีนนี้มีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกลดลงมากกว่า 10,000 ราย และหากกลุ่มเป้าหมายได้รับวัคซีน HPV เข็มที่ 2 โดยห่างจากเข็มที่ 1 อย่างน้อย 6 เดือน จะมีภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มเป้าหมายหญิง 11-20 ปีในประเทศไทยมีจำนวน 3.8 ล้านคน ได้รับวัคซีนในปีนี้รวมกับที่เคยได้วัคซีนมาแล้วในอดีตทั้งหมด 2.2 ล้านคน จึงเหลือกลุ่มเป้าหมายเพียง 1.6 ล้านคน ที่จะทยอยเข้ารับวัคซีนต่อ รวมถึงการจัดหาวัคซีนเพิ่มเป็นเข็มที่ 2 ในอีก 6 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ จะมีการรณรงค์ให้ผู้หญิงอายุ 30-60 ปี เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกควบคู่กันไปด้วย เพื่อเป้าหมายสตรีไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัยจากมะเร็งปากมดลูก ตามนโยบายมะเร็งครบวงจรของกระทรวงสาธารณสุข

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“ชลน่าน” เผย มกราคมนี้ 4 จังหวัดพร้อมใช้ “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่”

 
เมื่อวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ที่ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมระดับชาติด้านเวชสารสนเทศ ครั้งที่ 12 และการประชุมวิชาการสมาคมเวชสารสนเทศไทย ครั้งที่ 32 ประจำปี พ.ศ. 2566 ภายใต้แนวคิด “สุขภาพดิจิทัลเพื่อชาวไทย คลื่นลูกใหม่ของการขยายบริการสุขภาพถ้วนหน้า” ว่า เรื่องดิจิทัลสุขภาพ เป็น 1 ในนโยบายกระทรวงสาธารณสุขที่ตอบสนองนโยบายยกระดับ 30 บาท เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนของรัฐบาล ถือเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาระบบบริการให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ครอบคลุมมิติด้านสุขภาพ ทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งงานเวชสารสนเทศจะมีส่วนช่วยให้สามารถนำข้อมูลทางสุขภาพมาใช้วางแผนการจัดการและปรับปรุงบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การเข้ารับการรักษาด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากหน่วยบริการทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การจัดทำ Home Ward หรือสถานชีวาภิบาล เพื่อรองรับความต้องการบริการจากการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบของประเทศไทย เป็นต้น          
 
โดยกระทรวงสาธารณสุข จะประกาศนำร่องการใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ระยะที่ 1 ในต้นเดือนมกราคมนี้ 4 จังหวัด คือแพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส สามารถใช้ได้ทุกสิทธิการรักษาทั้งโรงพยาบาลรัฐทุกสังกัด โรงพยาบาลเอกชน คลินิกและร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ ส่วน เดือนเมษายน 2567 ทุกจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 1, 4, 9 และ 12 จะสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวรับบริการในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ทุกแห่ง และจะขยายผลครอบคลุมทั้งประเทศให้ได้ภายใน 1 ปี
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐบาล / กทม.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยยังคงเฝ้าระวัง การระบาด โรคปอดอักเสบในเด็กที่จีน

 

25 พฤศจิกายน 2566 จากการระบาดของโรคปอดอักเสบในเด็กที่ประเทศจีน ทำให้มีข้อกังวลเรื่องการแพร่ระบาดมายังประเทศไทย ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข ระดมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ได้แก่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ, ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ และ รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ และหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรครองรับ

           โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ยืนยันชัดเจนว่า โรคปอดอักเสบในเด็กที่ประเทศจีน เกิดจากเชื้อก่อโรคตัวเดิมที่ว่างเว้นการระบาดช่วง 3 ปีในช่วงของการเข้มงวดมาตรการโควิด แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ล่าสุดได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อมาหารือ เพื่อเตรียมมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคแล้ว

          รมว.สาธารณสุข ระบุว่า หากสถานการณ์มีความจำเป็น จะเพิ่มความเข้มข้นใน 4 มาตรการ คือ 1.มาตรการเฝ้าระวังโรค ให้ทุกจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ติดตามสถานการณ์โรคปอดอักเสบในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด กรณีพบผู้ป่วยปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุ ให้เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเชื้อก่อโรค หากพบผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวนมากผิดปกติ หรือบุคลากรทางการแพทย์เป็นปอดอักเสบ หรือพบผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลันหรือเสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุให้รีบสอบสวนและเก็บตัวอย่างส่งตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและควบคุมโรคต่อไป

          2.มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล ให้สื่อสารความเสี่ยงกับประชาชน ทั้งเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยการล้างมือบ่อยๆ สำหรับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจและผู้ที่ใกล้ชิดผู้ป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ 3.มาตรการด้านการรักษา ให้โรงพยาบาลเตรียมชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง ยา เวชภัณฑ์และเตียง เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินตามแผนการตอบโต้สถานการณ์ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เมืองท่องเที่ยว และ 4.กรณีพบการระบาดของโรคปอดอักเสบรุนแรงไม่ทราบสาเหตุเป็นวงกว้างในต่างประเทศ จะยกระดับการเฝ้าระวัง ตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรค โดยด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศที่สนามบินนานาชาติคัดกรองผู้มีอาการทางเดินหายใจและเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อก่อโรค รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที

          ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนตระหนักเพื่อระมัดระวังป้องกันแต่ไม่ต้องวิตกกังวล ติดตามข้อมูลสถานการณ์ และคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นระยะต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายส่ง เมืองผู้สูงวัย ตำบลม่วงคำ นำร่อง Healthy City Model

 

วัน 24 พฤศจิกายน 2566  เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ โครงการ HEALTHY CITY MODELs “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน คนอายุยืน” ณ วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มจร.เฉลิมพระเกียรติฯ อ.ภูเพียง จ.น่าน ภายใต้นโยบายสร้างเศรษฐกิจสุขภาพ1 ใน 13 นโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การนำของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีเป้าหมาย Quick Win ใน 100 วัน เขตสุขภาพละ 1 เมือง ล่าสุด มีพื้นที่ชุมชนสุขภาพดีในจังหวัดต่างๆ นำร่องครบทั้ง 12 เขต รวม 20 เมือง

 


          นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยถึงแนวคิดเมืองสุขภาพดี ว่า คือเมืองที่เอื้อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย ตอบสนอง ความต้องการพื้นฐาน เปิดโอกาสให้คนมีปฏิสัมพันธ์จากการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่ง Healthy City Models ประกอบด้วย 7 ดี คือ กินดี อยู่ดี อารมณ์ดี สติปัญญาดี สิ่งแวดล้อมดี สังคมดี และระบบบริการสุขภาพดี 

 


          นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีพื้นที่นำร่อง Healthy City Models ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ รวม 20 แห่ง โดยเขตสุขภาพที่ 1 นำร่องครบทุกจังหวัด ได้แก่ 

1) “Nan City Models” พื้นที่เทศบาลเมืองน่าน ต.ในเวียง จ.น่าน 

2) “ชุมชนแม่จั๊วะ” พื้นที่ชุมชนแม่จั๊วะ หมู่ 8 ต.แม่จั๊วะ อ.เด่นชัย จ.แพร่ 

3) “เมืองมางน่าอยู่” ต.บ้านมาง อ.เชียงม่วน  จ.พะเยา 

4) “The old man town เมืองผู้สูงวัย” ตำบลม่วงคำ พื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลม่วงคำ อ.พานจ.เชียงราย 

5) “ต้นแบบเมืองสุขภาพจังหวัดเชียงใหม่” พื้นที่บ้านวังธาร หมู่ 1 ต.ร้องวัวแดง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ 

6) บ้านท่าส้มป่อย หมู่ 1 ต.ทุ่งฝาย อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง 

7) “คนวังมุยสุขภาพดี” พื้นที่ชุมชนบ้านวังมุย หมู่ 1 ต.ประตูป่า อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน 

8) “ชุมชนคนแม่ฮี้สุขภาพดี” พื้นที่บ้านแม่ฮี้ หมู่ 5 ต แม่ฮี้ อ.ปายจ.แม่ฮ่องสอน

 

          ส่วนเขตสุขภาพที่เหลือ ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 2 ชุมชนบ้านหาดเสี้ยวเหนือ หมู่ 2 ต.หาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เขตสุขภาพที่ 3 บ้านนา ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร เขตสุขภาพที่ 4 “Nakhon Nayok Healthy City Models อยู่ดี มีแฮง บ้านพวนหนองแสง นครนายก” พื้นที่บ้านหนองหัวลิงใน หมู่ 3 ต.หนองแสง อ.ปากพลีจ.นครนายก เขตสุขภาพที่ 5 “ชุมชนสุขภาพดี วิถีบ้านคลองเหมืองใหม่” พื้นที่ชุมชนบ้านคลองวัว ต.เหมืองใหม่
อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เขตสุขภาพที่ 6 “Khoa-Ta-Nuay Model Way of Life Balance สมดุลชีวิตวิถีชุมชน คนเขาตาหน่วย” พื้นที่ชุมชนบ้านเขาตาหน่วย ต.เกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เขตสุขภาพที่ 7 “การจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน CHAIR Model” พื้นที่บ้านหนองแวง หมู่ 8 ต.แวงน่างอ.เมือง จ.มหาสารคาม เขตสุขภาพที่ 8 “Banchiang Community Healthy  Models ชุมชนบ้านเชียงเมืองต้นแบบ สุขภาวะดี” พื้นที่บ้านพิพิธภัณฑ์ หมู่ 13 ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เขตสุขภาพที่ 9 “ยอดน้ำซับสู่เศรษฐกิจสุขภาพ ชัยภูมิ” พื้นที่บ้านซับรวงไทร หมู่ 4 ต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ และ “เบาหวานสงบได้..ที่ขามสะแกแสง” โรงเรียนอ่อนหวานวิทยา อ.ขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา เขตสุขภาพที่ 10 พื้นที่ชุมชนเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ต.พิบูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เขตสุขภาพที่ 11 “NCDs หายได้ที่สุราษฎร์ธานี” พื้นที่บ้านไกรสร หมู่ 4 ต.เขาพัง อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี และ เขตสุขภาพที่ 12 “บ้านดินลาน ชุมชนดี กินดีอยู่ดี สู่ชีวีที่ยั่งยืน” พื้นที่บ้านดินลาน หมู่ 15 ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา


          “ภายใน 1 ปี จะพยายามผลักดันให้เกิด เมืองสุขภาพดี Healthy City Models เพิ่มขึ้นจนครบทุกจังหวัด เพื่อให้เมืองไทยเป็นเมืองสุขภาพดี คนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง อย่างแท้จริง” นพ.ชลน่านกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รมว.สธ. นำคณะวางพานพุ่มถวายราชสักการะ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

 

 

วันนี้ (21 ตุลาคม 2566) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รศ.ดร.สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ นายกสภาการพยาบาล และ ศ.ดร.ศิริอร สินธุ นายกสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ และคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่สภาการพยาบาล สภาวิชาชีพด้านสุขภาพ สถานพยาบาล สถาบันทางการศึกษาด้านการพยาบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร/เทศบาลเมือง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประดิษฐานบนแท่นฐานเดียวกัน

 


          นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ในประเทศไทย เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และวันพยาบาลแห่งชาติ กองการพยาบาล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมกับสภาการพยาบาล และสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ จัดพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติพระราชภารกิจเพื่อพัฒนาสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเฉพาะในชนบทที่ห่างไกล อีกทั้งทรงมีพระเมตตาต่อวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์อย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงสำเร็จการศึกษาด้านวิชาการพยาบาล จากโรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์แลการพยาบาลไข้ (ปัจจุบันคือ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) จากนั้นทรงศึกษาเพิ่มเติมที่วิทยาลัยซิมมอนส์ และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซทท์ เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตลอดพระชนม์ชีพพระองค์ทรงมีส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างและพัฒนางานด้านสุขอนามัยแก่ประชาชนในประเทศไทย ด้วยทรงตระหนักในปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนด้านสุขอนามัยโรคภัยต่างๆ ของประชาชน 

 


          ในทุกปี ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ทั่วประเทศ จึงพร้อมใจกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตลอดจนจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติให้แผ่ไพศาล โดยในปีนี้ สภาการพยาบาลได้จัดกิจกรรมรณรงค์บริจาคโลหิต ในโครงการ “พยาบาลไทยบริจาคโลหิต ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ปีที่ 2” จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม – 21 ตุลาคม 2566 เพื่อแสดงพลังของพยาบาลนิสิต/นักศึกษาพยาบาลทั่วประเทศ ในการบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย พร้อมทั้งเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมบริจาคโลหิตได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดประจำจังหวัด และศูนย์รับบริจาคโลหิตประจำจังหวัด โดยถ่ายภาพตนเองขณะบริจาคโลหิตและถือป้ายกิจกรรม และเขียนข้อความเชิญชวนสั้น ๆ โพสต์ลง Social Media อาทิ Facebook, Instagram, Twitter, TikTok พร้อมติดแฮชแท็กโครงการ คือ #Nationalnursesday #Bloodforlife #พยาบาลไทยบริจาคโลหิตช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ปีที่ 2 เพื่อร่วมทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News