Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ตำนานเชียงราย! ภัตตาคารยูนนานฝ่าวิกฤต สร้างรสชาติแท้รับปีทองไทย-จีน

“ภัตตาคารยูนนาน หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของทายาทรุ่นสอง สร้างตำนานอาหารจีนยูนนานแท้ที่เชียงราย ในปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ในปีที่ไทยและจีนเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ที่ขนานนามว่า “ปีทองแห่งมิตรภาพ” (Golden Year of Friendship) มีเรื่องราวหนึ่งที่สะท้อนถึงพลังแห่งการฟื้นคืนและความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีน ผ่านหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ “นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์” ทายาทรุ่นที่ 2 ของ “ภัตตาคารยูนนาน” ร้านอาหารจีนยูนนานเก่าแก่คู่เมืองเชียงรายกว่า 35 ปี ที่ประสบความสำเร็จในการดำรงรสชาติแท้และวัฒนธรรมจีนท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ

วิกฤตที่หลอมรวมจิตวิญญาณบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นแบบครอบครัว

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563-2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบความอดทนของธุรกิจอาหารทั่วโลก ภัตตาคารยูนนานก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น “ร้านต้องปิดให้บริการนานถึง 2 เดือน รายได้หดหายไปเกือบทั้งหมด แต่ค่าใช้จ่ายยังคงเดิม” คุณนิธิพงษ์เล่าถึงสถานการณ์ในวันนั้นด้วยความทรงจำอันหนักหนา

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในช่วงวิกฤตนี้ คือการจัดการที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของความเป็นครอบครัว “ผมพยายามช่วยกันประคับประคองพนักงานเท่าที่ทำได้ บางคนให้ช่วยปรับปรุงร้าน หรือช่วยจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ ส่วนคนที่ไม่สะดวกก็ต้องให้พักงานไปก่อน บางคนก็ขอกลับบ้านไปทำสวน พอสถานการณ์ปกติก็กลับมาทำงานด้วยกันครับ”

ไม่นานหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ภัตตาคารต้องเผชิญกับอีกหนึ่งบททดสอบครั้งใหญ่ คือวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเชียงราย “หลังจากน้ำลด ร้านเราใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะกลับมาเปิดได้ปกติครับ เพราะต้องซ่อมแซมหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์ในครัว พื้นร้าน และระบบไฟฟ้าที่เสียหายทั้งหมดเลยครับ”

ความท้าทายที่มาพร้อมกับวิกฤตน้ำท่วมนี้ กลับเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างชัดเจน “ช่วงนั้นพนักงานที่ได้รับผลกระทบก็ให้กลับบ้านไปซ่อมแซม ทำความสะอาดบ้าน ส่วนคนที่ไม่ได้รับผลกระทบก็มาช่วยกันทำความสะอาดและซ่อมร้านด้วยกันครับ”

เชียงรายประตูสู่มิตรภาพไทย-จีนและศูนย์กลางวัฒนธรรมยูนนาน

การเลือกเชียงรายเป็นฐานของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “เริ่มจากความชอบทำอาหารและความหลงใหลในอาหารจีนของคุณพ่อ ประกอบกับเชียงรายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ทั้งภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมที่หลากหลาย และประชากรที่เปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ”

ในบริบทของปี 2568 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เชียงรายได้รับการยอมรับในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือไทย-จีน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภาสกร บุญญะลักษณ์ เคยกล่าวว่า “ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่จะได้รับประโยชน์จากโอกาสต่างๆ”

จังหวัดเชียงรายมีประวัติศาสตร์ความเชื่อมโยงกับชุมชนชาวจีนยูนนานมายาวนาน และในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจสำคัญภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

ถอดรหัสเอกลักษณ์ความแตกต่างของอาหารยูนนานที่ไม่เหมือนใคร

อาหารยูนนานมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากอาหารจีนภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “อาหารยูนนานมีรสชาติที่กลมกล่อมแต่ชัดเจน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การใช้สมุนไพรจีน การหมักดอง และกลิ่นหอมของพริกแห้งหรือผักพื้นบ้านที่หาได้จากแถบยูนนาน”

เมนูเด็ดที่เป็นตัวแทนของร้าน คือ “ขาหมูน้ำแดงยูนนาน” ซึ่งคุณนิธิพงษ์อธิบายกรรมวิธีการทำด้วยความภาคภูมิใจว่า “เมนูนี้สะท้อนรากวัฒนธรรมการกินของชาวจีนยูนนานได้อย่างลึกซึ้ง เราใช้เวลาตุ๋นนานหลายชั่วโมงจนหนังและเนื้อเปื่อยนุ่ม รสชาติกลมกล่อม หอมสมุนไพร และเสิร์ฟพร้อมหมั่นโถวนึ่ง อร่อยกลมกล่อมมากครับ”

ในด้านการคัดเลือกวัตถุดิบ ภัตตาคารยูนนานนำเสนอแนวทางการผสมผสานระหว่างความเป็นสากลกับการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น “เรานำเข้าวัตถุดิบบางตัวจากจีน เช่น พริกหอม และเครื่องเทศบางชนิด แต่เราก็ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นของเชียงรายด้วย เช่น ผักสด เนื้อสด และเครื่องเทศ เพราะเราอยากสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ด้วย”

บรรยากาศวัฒนธรรมส่งผ่านประสบการณ์จีนผ่านทุกรายละเอียด

การเข้าใจถึงความสำคัญของ “ประสบการณ์รวม” ทำให้ภัตตาคารยูนนานให้ความสำคัญกับการตกแต่งและบรรยากาศอย่างมีเอกลักษณ์ “ร้านตกแต่งสไตล์จีน โดยเน้นโทนสีแดงและทองซึ่งสื่อถึงความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองตามความเชื่อของชาวจีน เสริมด้วยประติมากรรมมังกรและหงส์ที่คุณพ่อให้ช่างท้องถิ่นปั้นด้วยมืออย่างประณีต ซึ่งอยู่คู่กับร้านมานานกว่า 35 ปี กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม”

คุณนิธิพงษ์มองว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่รสชาติอาหารเท่านั้น “ผมอยากให้ลูกค้ารู้สึกถึงรสชาติอาหารจีนแท้ๆ และการได้มาทานอาหารที่ให้ความรู้สึกเหมือนทานอยู่ที่บ้าน แล้วใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในมื้ออาหารสุดพิเศษ รวมถึงการต้อนรับแบบเป็นกันเอง และเรื่องราวของอาหารแต่ละจานครับ”

การปรับตัวสู่ยุคใหม่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่

ในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ คุณนิธิพงษ์ได้พัฒนาเมนูใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว “ทางร้านจึงได้เพิ่มเมนูสุกี้ยูนนาน ซึ่งเป็นอาหารที่เน้นผัก และใช้ไก่ดำในการต้มซุป ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นเมนูที่อยากให้สายสุขภาพได้ลองครับ”

การปรับตัวนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมกับการตอบสนองความต้องการใหม่ๆ

โอกาสทางธุรกิจในปีทองแห่งมิตรภาพ

ในบริบทของปี 2568 ที่ประเทศไทยและจีนกำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพ” คุณนิธิพงษ์มองเห็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ชัดเจน “ความท้าทายหลักคือการทำให้คนรู้จักและเข้าใจอาหารจีนยูนนาน เพราะบางคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะเชียงรายเป็นเมืองที่เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าทำให้ดี คนจะบอกต่อกันเองครับ”

การที่รัฐบาลไทยและจีนได้ลงนาม “ข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและการสร้างชุมชนไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน” ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-จีน

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการสร้างสะพานเชื่อมวัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “people-to-people connectivity” ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative

จากการศึกษาของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พบว่าชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย กลายเป็นกลุ่มศูนย์กลางสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในพื้นที่ภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative

มรดกแห่งรสชาติและแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการ

“อยากชวนทุกท่านมาเปิดใจลองอาหารยูนนานครับ หวังว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และความอบอุ่นเหมือนได้ไปประเทศจีนจริงๆ” คุณนิธิพงษ์กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มที่สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของกิจการ

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เพียงเรื่องราวของร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เป็นตัวอย่างของการสานต่อมรดกวัฒนธรรม การปรับตัวเผชิญวิกฤต และการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไทย-จีนในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

ในปีที่ทั้งไทยและจีนเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งมิตรภาพ เรื่องราวของคุณนิธิพงษ์และภัตตาคารยูนนานเป็นเครื่องยืนยันว่า ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศไม่ได้เกิดขึ้นจากการเจรจาระดับรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในระดับชุมชน ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องนานหลายทศวรรษ

17 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ ประเทศจีน เข้ามาที่ภัตตาคารยูนนาน เชียงราย

ข้อมูลติดต่อ:

  • ภัตตาคารยูนนาน
    นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์
    211/6 ถ.แควหวาย ต.รอบเวียง
    อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
    โทร. 086-429-7949 , 053-713-263, 053-714-992

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Yunnan Restaurant ภัตตาคารยูนนาน
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการจีนโพ้นทะเล กระทรวงการต่างประเทศ
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
  • สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
  • ศูนย์ศึกษาจีน คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • สำนักข่าวสินหัว (เอเชียพลัส)
  • องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • หอการค้าไทย-จีน
  • สมาคมผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

“แม่จันใต้เฟส” กาแฟอาข่าผสาน ปีใหม่ไข่แดง โอกาสท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน

เทศกาลกาแฟแม่จันใต้ 2568 เมื่อวัฒนธรรมอาข่าผสานกาแฟสู่โอกาสท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่ยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านฤดูกาลของชาวอาข่าบนดอยแม่จันใต้ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับงาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 เมษายน 2568 งานนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ไข่แดงอันเก่าแก่ของชาวอาข่า แต่ยังเป็นเวทีที่นำเสนอกาแฟคุณภาพสูงจากดอยแม่จันใต้ สะท้อนถึงการหลอมรวมวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านกาแฟและวิถีชีวิตของชาวอาข่า

จากวงกาแฟเล็กๆ สู่เทศกาลระดับชุมชน

ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ชาวบ้านแม่จันใต้เริ่มหันมาปลูกกาแฟอย่างจริงจังในปี 2545 โดยใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบาย ดินที่อุดมสมบูรณ์ และระดับความสูงกว่า 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟอาราบิก้า ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านได้พัฒนากาแฟที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยเน้นการปลูกแบบยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรวมตัวกันใน “วงกาแฟ” ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการปลูกและแปรรูปกาแฟ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชุมชน

จากวงกาแฟเล็กๆ ในวันนั้น สู่การจัดงาน Mae Jantai Coffee Fest ในวันนี้ ชุมชนแม่จันใต้ได้ก้าวข้ามความท้าทายมากมาย ทั้งการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ การพัฒนาเทคนิคการแปรรูปกาแฟ และการรักษาวัฒนธรรมอาข่าไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การจัดงานเทศกาลกาแฟครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งคนในชุมชนและผู้มาเยือน ทำให้ในปี 2568 นี้ ชาวบ้านตั้งใจยกระดับงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยผสานประเพณีปีใหม่ไข่แดงเข้ากับการชิมกาแฟและการประกวดเมล็ดกาแฟที่มีมาตรฐานสากล

ประเพณีปีใหม่ไข่แดง หรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว” ในภาษาอาข่า เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงบรรพบุรุษ รวมถึงการเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ การที่ชุมชนแม่จันใต้นำประเพณีนี้มารวมกับการชิมกาแฟแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมเก่ากับโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ งานนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นการเปิดประตูให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวอาข่า

เทศกาลกาแฟแม่จันใต้และการประกวดเมล็ดกาแฟ

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 24-25 เมษายน 2568 ณ หมู่บ้านแม่จันใต้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับกาแฟของชุมชนให้เป็นที่รู้จักในระดับที่กว้างขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่ยั่งยืน หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือการประกวดเมล็ดกาแฟ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ชุมชนท้องถิ่นจัดการแข่งขันด้วยมาตรฐานสากล โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรต่างๆ เช่น SCATH, CCL และทีมดอยตุง เข้ามาช่วยประเมินคุณภาพกาแฟ

ในปีที่ผ่านมา การประกวดเมล็ดกาแฟได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีกาแฟทั้งหมด 32 ตัวอย่างจากทั้งในหมู่บ้านแม่จันใต้และหมู่บ้านใกล้เคียง แบ่งเป็นกระบวนการแปรรูปแบบ Wash (10 ตัวอย่าง), Honey (9 ตัวอย่าง) และ Dry/Natural (13 ตัวอย่าง) การคัดเลือกกาแฟเริ่มต้นจากการรวบรวมสารกาแฟโดยทีมงานในชุมชน ซึ่งกำหนดให้แต่ละครัวเรือนส่งกาแฟตัวอย่าง 1 กิโลกรัม จากนั้นกาแฟจะถูกส่งไปคั่วโดยผู้เชี่ยวชาญจาก “เจ้าไม้-มือคั่วแห่งอาข่าอ่ามา” ซึ่งต้องคั่วทั้งหมด 48 รอบเพื่อให้ได้กาแฟที่พร้อมสำหรับการชิม

วันที่ 24 เมษายน 2568 จะเป็นวันชิมกาแฟ (Cupping Day) โดยคณะกรรมการ 9 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์นิวัตรจาก SIXSENSE, คุณสาโรจน์จาก The Roastery By Roj CCL, และตัวแทนจากดอยตุง จะชิมกาแฟทั้งหมดใน 5 รอบ ได้แก่ รอบ Calibrate, Wash, Honey, Dry และรอบพิเศษ การชิมดำเนินการตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 18.00 น. โดยใช้แนวทางการประเมินของ SCATH ซึ่งเน้นความเข้มข้นและความแม่นยำ กรรมการต้องบันทึกรสชาติและให้คะแนนอย่างละเอียด เพื่อให้ผลการตัดสินมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปพัฒนาคุณภาพกาแฟในอนาคต

ผลการแข่งขันในปีที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงความหลากหลายและศักยภาพของกาแฟแม่จันใต้ โดย 5 อันดับแรกประกอบด้วย:

  1. เกชา เนเชอรัล โดยคุณอาทู เบเชกู่ (88.79 คะแนน) – กาแฟจากสายพันธุ์เกชาที่เพาะจากเมล็ดจากปานามา มีรสชาติซับซ้อนและเป็นที่จับตามอง
  2. ซุนด้า เนเชอรัล โดยคุณกฤตเมธ โยเบี๊ยะ (87.93 คะแนน) – สายพันธุ์ใหม่จากเกาะชวา โดดเด่นด้วยกลิ่นดอกไม้และความหวาน
  3. ส้มผานกกก (ออเร้นจ์เบอร์บอน) ฮันนี่ โดยคุณสินธพ จือปา (86.75 คะแนน) – สายพันธุ์เก่าแก่ที่ถูกค้นพบใหม่และได้รับความนิยม
  4. ลูกเหลืองรวม เนเชอรัล โดยคุณสิงหา จือปา (86.68 คะแนน) – การผสมผสานของสายพันธุ์คาติมอร์, คาทุย, คาทูร่า และเบอร์บอน
  5. บาเที่ยน โดยคุณสุรพล มณีเอกพันธุ์ (86.63 คะแนน) – สายพันธุ์ใหม่จากเคนยาที่มีศักยภาพสูง

ผลการแข่งขันนี้ไม่เพียงแสดงถึงคุณภาพของกาแฟแม่จันใต้ แต่ยังสะท้อนถึงความทุ่มเทของเกษตรกรในการพัฒนาการปลูกและแปรรูปกาแฟ คำแนะนำจากคณะกรรมการจะถูกส่งกลับไปยังเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตต่อไป

วันที่ 25 เมษายน 2568 จะเป็นวันประกาศผลรางวัล ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกับการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ไข่แดง ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสวัฒนธรรมอาข่าผ่านการแต่งกายพื้นเมือง การสาธิตการตำข้าวปุก (ข้าวเหนียวตำผสมงา) และการแสดงดนตรีและการเต้นรำพื้นเมือง การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและกาแฟทำให้งานนี้เป็นมากกว่าการชิมกาแฟ แต่เป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงผู้คนกับชุมชน 

โอกาสและความท้าทายของแม่จันใต้

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 เป็นมากกว่าเทศกาลกาแฟ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนแม่จันใต้ก้าวสู่เวทีที่กว้างขึ้นในอุตสาหกรรมกาแฟและการท่องเที่ยว การที่ชุมชนสามารถจัดการแข่งขันเมล็ดกาแฟด้วยมาตรฐานสากลแสดงถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพในการยกระดับกาแฟของตนเองให้เทียบชั้นกับแหล่งปลูกกาแฟชั้นนำอื่นๆ ในประเทศไทย เช่น ดอยช้างหรือน่าน อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้งานนี้เติบโตอย่างยั่งยืน

หนึ่งในความท้าทายหลักคือข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขาดแคลนไฟฟ้าในหมู่บ้าน ซึ่งทำให้ต้องคั่วกาแฟล่วงหน้า 2 วัน แทนที่จะเป็น 1 วันตามมาตรฐานสากล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งระบบไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานและดึงดูดผู้มาเยือนได้มากขึ้น นอกจากนี้ การขาดแคลนทรัพยากรด้านการประชาสัมพันธ์ทำให้งานนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นหรือองค์กรด้านการท่องเที่ยวจะช่วยขยายการรับรู้เกี่ยวกับงานนี้ไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

อีกหนึ่งความท้าทายคือการรักษาวัฒนธรรมอาข่าในยุคที่ชุมชนบางแห่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ชุมชนแม่จันใต้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาประเพณีปีใหม่ไข่แดงไว้ได้อย่างดี แต่การผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้สูญเสียอัตลักษณ์ของชุมชน การอบรมทักษะด้านการท่องเที่ยวให้กับเยาวชนในชุมชนจะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการสืบสานวัฒนธรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

โอกาสที่สำคัญของงานนี้คือการสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ่านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายกาแฟ การที่กาแฟแม่จันใต้ได้รับรางวัลในระดับชุมชนและเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการกาแฟ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเกษตรกร การพัฒนาแบรนด์กาแฟแม่จันใต้และการสร้างเครือข่ายกับร้านกาแฟหรือผู้จัดจำหน่ายจะช่วยให้กาแฟของชุมชนเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่เน้นการเรียนรู้วิถีชีวิตและการปลูกกาแฟจะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์ที่แท้จริงและยั่งยืน 

ศักยภาพของกาแฟและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนแม่จันใต้ในการใช้กาแฟและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การที่ชุมชนสามารถจัดการแข่งขันเมล็ดกาแฟด้วยมาตรฐานสากลเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อมในการแข่งขันในอุตสาหกรรมกาแฟที่มีการแข่งขันสูง สายพันธุ์กาแฟที่หลากหลาย เช่น เกชา, ซุนด้า, และบาเที่ยน รวมถึงเทคนิคการแปรรูปที่พัฒนาขึ้น เช่น Natural และ Anaerobic Process แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ของเกษตรกร

ในแง่ของการท่องเที่ยว งานนี้มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจทั้งกาแฟและวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว โดยมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างวัดร่องขุ่นและดอยตุง การเพิ่มแม่จันใต้เข้าไปในแผนที่การท่องเที่ยวของจังหวัดจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนห่างไกล การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงไร่กาแฟ ไร่ชา และชุมชนชาวเขาจะสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าจดจำสำหรับนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชุมชนต้องคำนึงถึงความยั่งยืน การจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับขนาดของชุมชนจะช่วยป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้าน การฝึกอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่พักและร้านอาหาร จะช่วยเพิ่มความพร้อมของชุมชนในการต้อนรับนักท่องเที่ยว การร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น เทศบาลนครเชียงราย หรือองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จะช่วยให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความรู้

ในแง่ของเศรษฐกิจ การที่กาแฟแม่จันใต้เริ่มได้รับการยอมรับในระดับชุมชนและมีศักยภาพในระดับชาติ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร การสร้างแบรนด์กาแฟแม่จันใต้และการพัฒนาช่องทางการจำหน่าย เช่น การขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ออนไลน์หรือการร่วมมือกับร้านกาแฟในเมืองใหญ่ จะช่วยให้กาแฟของชุมชนเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนในการพัฒนาการตลาดและบรรจุภัณฑ์จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกาแฟแม่จันใต้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของบริบทงาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 และศักยภาพของกาแฟแม่จันใต้ ต่อไปนี้คือสถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จำนวนตัวอย่างกาแฟในการประกวด: 32 ตัวอย่าง (Wash 10, Honey 9, Dry/Natural 13)
    ที่มา: รายงานการแข่งขันเมล็ดกาแฟ Mae Jantai Coffee Fest 2024, ทีมงานชุมชนแม่จันใต้
  • ระดับความสูงของดอยแม่จันใต้: 1,312-1,521 เมตรจากระดับน้ำทะเล
    ที่มา: เอกสารข้อมูลภูมิศาสตร์, องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ, 2567
  • พื้นที่ปลูกกาแฟในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 180,000 ไร่ (กาแฟอาราบิก้าประมาณ 80%)
    ที่มา: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย, 2567
  • จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย (2566): 2.5 ล้านคน (ในประเทศ 2.2 ล้านคน, ต่างประเทศ 0.3 ล้านคน)
    ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • รายได้จากกาแฟในภาคเหนือของประเทศไทย: ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567
  • จำนวนครัวเรือนในหมู่บ้านแม่จันใต้: ประมาณ 200 ครัวเรือน (ส่วนใหญ่เป็นชาวอาข่า)
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • เปอร์เซ็นต์พื้นที่ปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ในแม่จันใต้: เกือบ 100%
    ที่มา: รายงานการวิจัยโดย ผศ.วิสูตร อาสนวิจิตร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, 2567

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของกาแฟและการท่องเที่ยวในฐานะเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนแม่จันใต้และจังหวัดเชียงราย การที่ชุมชนสามารถรักษาพื้นที่ป่าสมบูรณ์และปลูกกาแฟใต้ร่มไม้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นและองค์กรด้านกาแฟจะช่วยให้งาน Mae Jantai Coffee Fest กลายเป็นงานประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและยกระดับชื่อเสียงของกาแฟแม่จันใต้ในระดับชาติและนานาชาต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • มนรัตน์ ก.บัวเกษร  ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • Galleryกาแฟดริป เชียงใหม่
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิสูตร อาสนวิจิตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และนักวิจัยภายใต้โครงการวิจัยย่อยที่ 1
  • Sinthop Sumio Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

MFU Coffee Fest 2025 ยกระดับกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน

มฟล. จัดงาน MFU Coffee Fest 2025 ดันอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเกษตร-ธุรกิจ-นวัตกรรม

เชียงราย, 22 มีนาคม 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม สถาบันวิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “MFU Coffee Fest 2025” อย่างคึกคัก ณ โรงแรมแสนโฮเทล จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟอะราบิกาและยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชกาแฟอะราบิกาผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟในระดับชุมชนให้มีศักยภาพในระดับประเทศและสากล

ภาคเหนือ: หัวใจของกาแฟอะราบิกาไทย

จากข้อมูลของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งครอบคลุมจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟอะราบิกาที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟอะราบิการวมประมาณ 9,000 ตัน และกว่า 3,000 ตันมาจากกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือตอนบนนี้

นายชรินทร์กล่าวว่า “การพัฒนากาแฟไทยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เกษตรกร และภาคธุรกิจ โดยการใช้องค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาจะช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟให้ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

กิจกรรมวิชาการเข้มข้น เสริมทักษะผู้ประกอบการ-นักวิจัย

ภายในงาน MFU Coffee Fest 2025 มีกิจกรรมทางวิชาการที่หลากหลาย เช่น การประชุมวิชาการเรื่อง “ทิศทางการวิจัยกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” การเสวนาในหัวข้อสำคัญ เช่น การจัดการสวนกาแฟภายใต้ภาวะโลกร้อน การใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูป และการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกาแฟเพื่อเพิ่มมูลค่า

อีกทั้งยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้มีส่วนร่วม เช่น การผสมน้ำหอมจากกลิ่นกาแฟ การทำเทียนหอม และบอดี้ออยล์จากสารสกัดกาแฟ รวมถึงคราฟต์โซดาจากเปลือกเชอร์รี่กาแฟ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดการใช้วัตถุดิบอย่างครบวงจร ลดของเสีย เพิ่มมูลค่าอย่างสร้างสรรค์

เวทีแข่งขันสร้างความตื่นตัว “MFU ท้าชงชวนดริป”

สำหรับผู้ชื่นชอบการชงกาแฟ งานนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษอย่างการแข่งขันดริปกาแฟ “MFU ท้าชงชวนดริป 2025” ที่เปิดโอกาสให้นักชงกาแฟทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้ประชันฝีมือและสร้างชื่อเสียง พร้อมกับกิจกรรม Sensory Test และ Cupping Lab ที่เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์วิเคราะห์รสชาติและกลิ่นของกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด

Coffee Connect เวทีจับคู่ธุรกิจเชื่อมโยงตลาด-เกษตรกร

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานคือกิจกรรม Coffee Connect ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และชา ได้พบปะ เจรจาธุรกิจ และสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์และการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดสากล

ตลอดสองวันของการจัดงาน มีผู้ประกอบการกว่า 40 รายจากทั่วประเทศมาออกร้านแสดงสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกาแฟคั่วบด เมล็ดกาแฟสด ผลิตภัณฑ์แปรรูป รวมถึงอุปกรณ์การชงกาแฟและสินค้าจากวัตถุดิบท้องถิ่นในภาคเหนือ

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย: โอกาส-ความท้าทายของกาแฟไทย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเวทีให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการกาแฟได้แสดงศักยภาพของตน ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อก้าวสู่ตลาดที่มีการแข่งขันสูง อีกทั้งการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการเผาป่า และเป็นเกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน

ในอีกด้านหนึ่ง นักวิชาการบางรายมีความเห็นว่า แม้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างนวัตกรรม แต่เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังขาดเครื่องมือและทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าว อีกทั้งตลาดกาแฟในประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาราคาผันผวน และความท้าทายในการเจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งต้องการมาตรฐานและคุณภาพระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ผลผลิตกาแฟอะราบิกาทั่วประเทศ ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 9,000 ตัน
    (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2567)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟภาคเหนือตอนบน 2 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 35% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ
    (ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567)
  • แนวโน้มการบริโภคกาแฟในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, 2567)
  • การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้สามารถช่วยลดการเผาป่าได้ถึง 60% และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ปลูก
    (ที่มา: สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้, 2566)
  • ประเทศไทยมีผู้ประกอบการกาแฟรายย่อยกว่า 10,000 ราย ทั่วประเทศ
    (ที่มา: สมาคมกาแฟพิเศษไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

Four Hands Dinner เชียงราย ร่วมสัมผัสไฟน์ไดนิ่งกับเชฟมิชลินสตาร์

สัมผัสประสบการณ์ Four Hands Dinner โดยเชฟมิชลินสตาร์ที่อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย

อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย เชิญคุณร่วมเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดพิเศษกับ Four Hands Dinner ที่ผสานเสน่ห์ของอาหารฝรั่งเศสระดับไฟน์ไดนิ่งเข้ากับเอกลักษณ์ของอาหารพื้นเมืองล้านนา นำเสนอโดยเชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังระดับโลก

เชฟผู้สร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษ

ร่วมดื่มด่ำกับ 6 คอร์สเมนูที่รังสรรค์โดย เชฟอาร์โนด์ ดูนองด์ (Arnaud Dunand) เชฟเจ้าของร้าน Maison Dunand ที่คว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวจาก The MICHELIN Guide Thailand ในปี 2023 และอดีตหัวหน้าเชฟร้าน Le Normandie ระดับมิชลิน 2 ดาว พร้อมด้วย เชฟพิสิษฐ์ จิโนพงค์ (เชฟจีโน่) เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟผู้มากประสบการณ์กว่า 30 ปี

เชฟอาร์โนด์ นำเสนอกลิ่นอายของแคว้น Savoie ประเทศฝรั่งเศส บ้านเกิดของเขา ด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูงจากฝรั่งเศส ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นเชียงราย ในขณะที่เชฟจีโน่จะเน้นการประยุกต์และยกระดับอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ ให้เป็นเมนูระดับห้าดาว

รายละเอียดของงาน

  • วันจัดงาน: 24 มกราคม 2568
  • เวลา: 18.00 น.
  • สถานที่: ห้องอาหารแสมสาร โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย
  • ราคา: 5,500++ บาทต่อท่าน (รวมไวน์แพร์ริ่ง)

เสน่ห์แห่งอาหาร 6 คอร์สระดับไฟน์ไดนิ่ง

ทุกเมนูถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อถ่ายทอดเอกลักษณ์และความพิถีพิถันของอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย และอาหารล้านนาแบบประยุกต์ ให้คุณดื่มด่ำกับรสชาติที่กลมกล่อม พร้อมสัมผัสบรรยากาศริมแม่น้ำโขงในช่วงค่ำคืน

การสำรองที่นั่ง

หากคุณไม่อยากพลาดโอกาสพิเศษนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 053-784-084

สรุป

Four Hands Dinner ครั้งนี้เป็นโอกาสพิเศษที่รวมตัวเชฟระดับมิชลินสตาร์และเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟผู้เชี่ยวชาญ มอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ผสานเสน่ห์อาหารฝรั่งเศสและล้านนาในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟริมแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

เที่ยวฐานทหาร ‘เชียงราย’ ดื่มด่ำกาแฟ ชมวิวทะเลหมอก ‘เชียงราย’

“วิวสวย กาแฟเลิศรส” กองกำลังผาเมือง เชิญเที่ยวฐานทหารชมทะเลหมอก เชียงราย

เชียงราย – ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนท้องถิ่น กองทัพภาคที่ 3 โดยกองกำลังผาเมือง ได้เปิดตัวสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในเขตชายแดนไทย-เมียนมา ณ ฐานปฏิบัติการในจังหวัดเชียงราย ที่มีทั้งจุดชมวิวทะเลหมอก ร้านกาแฟ และลานกางเต็นท์ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูหนาวนี้

จุดท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจ

กองกำลังผาเมืองได้พัฒนา 2 สถานที่สำคัญ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีทั้งความงดงามตามธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ชุมชนดังนี้:

  1. จุดชมวิวดอยช้างมูบ
    ตั้งอยู่ที่ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 20 นาที ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมี Phamuang Coffee @DoichangMub ร้านกาแฟคุณภาพที่ใช้เมล็ดกาแฟจากชุมชนท้องถิ่น และพื้นที่ลานกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
  2. จุดชมวิวด่านป่าสัก
    ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาของทั้งฝั่งไทยและเมียนมา ร้าน Phamuang Coffee Danpasak นำกาแฟคุณภาพสูง เช่น Phamuang Coffee และกาแฟม้าดอย มาบริการให้ผู้มาเยือนได้ลิ้มลองรสชาติกาแฟแท้ในบรรยากาศยามเช้าที่สดชื่น

สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน

การเปิดตัวสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ไม่เพียงช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นให้มีรายได้เพิ่มขึ้นผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟและสินค้าชุมชน

เชิญชวนสัมผัสธรรมชาติในฤดูหนาว

แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพภาคที่ 3 ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยว ข้าราชการในสังกัดกองทัพ และประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ชมวิวทะเลหมอกที่งดงาม และลิ้มรสกาแฟคุณภาพในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความปลอดภัย

อย่าพลาดโอกาสที่จะสัมผัสธรรมชาติอันงดงามของเชียงรายในฤดูหนาวนี้ พร้อมสนับสนุนชุมชนในพื้นที่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิดให้บริการ: ทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น
  • การเดินทาง: ใช้ถนนหมายเลข 1 และ 1149 เพื่อเข้าถึงสถานที่ทั้งสองแห่ง
  • หมายเหตุ: นักท่องเที่ยวควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนการเดินทาง

สอบถามเพิ่มเติม: Phamuang Coffee Doichangmub

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Phamuang Coffee Doichangmub

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FOOD

Bus Cafe คาเฟ่สร้างโอกาสในเรือนจำกลางเชียงราย

“เรือนจำกลางเชียงราย เปิดตัว ‘Bus Cafe’ คาเฟ่สร้างโอกาสผู้ต้องขัง”

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เรือนจำกลางเชียงราย โดย นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เปิดตัว “Bus Cafe” โครงการส่วนขยายของร้าน “หับเผยคาเฟ่ by กลางเชียงราย” ที่ตั้งอยู่บนรถบัสปลดระวางอายุการใช้งานกว่า 20 ปี พร้อมตกแต่งใหม่ทั้งหมดเพื่อสร้างบรรยากาศสำหรับการนั่งจิบกาแฟ ชมผลงานศิลปะ และเพลิดเพลินกับเมนูอาหารและเครื่องดื่ม

ภายใน Bus Cafe นอกจากจะมีพื้นที่นั่งพักผ่อนแล้ว ยังจัดแสดงผลงานภาพวาดและงานปักผ้าจากฝีมือผู้ต้องขัง เพื่อสร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับผู้ต้องขัง โดยนายพัศพงศ์ได้โชว์การดริปกาแฟให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับชม พร้อมนำเสนอเมนูเด่น เช่น ชาเลือดมังกร กาแฟสดจากยอดดอย และเบเกอรี่มาตรฐาน Clean Food Good Taste

โครงการเพื่อฟื้นฟูผู้ต้องขังและสังคม

นายพัศพงศ์ กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการว่า Bus Cafe เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมวิชาชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังใกล้พ้นโทษ ให้มีทักษะสำหรับการกลับคืนสู่สังคมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้แสดงฝีมือและสร้างรายได้ในระหว่างการฟื้นฟู นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่เชื่อมโยงให้ประชาชนได้สนับสนุนและให้กำลังใจผู้ต้องขัง

จาก “หับเผยคาเฟ่” สู่ “Bus Cafe”

“หับเผยคาเฟ่ by กลางเชียงราย” ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ด้วยบรรยากาศร่มรื่นใต้ร่มเงาไม้ฉำฉา โครงการ “Bus Cafe” นี้จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการนำรถบัสที่ปลดระวางมาปรับปรุงเป็นพื้นที่ฝึกอบรมและให้บริการ โดยเน้นที่คุณภาพสินค้าและบริการ

สร้างทักษะใหม่และความหวัง

Bus Cafe ไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่สำหรับการพักผ่อน แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้พัฒนาทักษะและสร้างโอกาสในชีวิตใหม่ โครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีส่วนร่วมในการผลิตสินค้าและบริการ โดยฝึกฝนฝีมือผ่านการทำอาหาร เครื่องดื่ม และงานศิลปะที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์

ชุมชนมีส่วนร่วม

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนถือเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นฟูผู้ต้องขัง Bus Cafe เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมาเยี่ยมเยือน ชิมกาแฟ และสนับสนุนผลงานศิลปะของผู้ต้องขังได้

เชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์

เรือนจำกลางเชียงราย ขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม “Bus Cafe” เพื่อชิมกาแฟคุณภาพจากยอดดอย เพลิดเพลินกับผลงานศิลปะ และร่วมสนับสนุนการพัฒนาทักษะผู้ต้องขังเพื่อก้าวสู่ชีวิตใหม่

โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรือนจำกลางเชียงรายในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักยภาพ สร้างความเข้าใจในสังคม และช่วยฟื้นฟูจิตใจให้ผู้ต้องขังพร้อมเผชิญอนาคตด้วยความหวังและกำลังใจใหม่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

‘พราวตะวัน’ เชียงราย ผสานอาหาร เหนือ-ไทย ท่ามกลางธรรมชาติ

“พราวตะวัน เชียงราย” ร้านอาหารใหม่ริมอ่างเก็บน้ำห้วยสัก สะท้อนวิถีเหนือในบรรยากาศทันสมัย

เชียงรายเปิดตัวร้านอาหารใหม่ล่าสุด “พราวตะวัน” โดยเป็นผลงานต่อยอดจากทีมผู้สร้างความสำเร็จของ พันดาว 1000 Stars ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยสัก โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามและเงียบสงบ

การตกแต่งและบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์

พราวตะวัน ถูกออกแบบให้สะท้อนความเป็นชนบท ชนเผ่า และวิถีชีวิตท้องถิ่นของคนเหนือ ผสมผสานกับความทันสมัยอย่างลงตัว โดยไฮไลท์ของร้านคือทางเดินไม้ไผ่สานมือที่ลดหลั่นคล้ายกับนาขั้นบันได พร้อมด้วยแปลงดอกดาวเรืองสีส้มทองที่สะท้อนความสวยงามของชนบท

เมนูอาหารที่ผสานวัฒนธรรมเหนือและไทย

พราวตะวันนำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลาย โดยมีทั้งอาหารเหนือพื้นเมืองและอาหารไทยที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน เช่น

  • เซ็ตขันโตก ‘s Story’ ที่เล่าเรื่องราวประเพณีและวัฒนธรรมผ่านอาหาร 4 เซ็ต ได้แก่ โปรยข้าวตอกดอกข้าวขวัญพราวตะวัน, ละอองจันทร์ขึ้นเปียงฟ้าวันปีใหม่, สืบชะตาตานบุปผาปักตุงไชย และฟ้อนสาวไหมใจดีดซึงรำพึงเพียงเธอ
  • อาหารไทย เช่น ผัดไทย ยำใบพลูทอด ปลาทอดสมุนไพร และปลาผัดฉ่า

บาร์น้ำชาดอกไม้ไทยและเครื่องดื่มซิกเนเจอร์

บาร์น้ำของพราวตะวันเน้นใช้วัตถุดิบธรรมชาติจากท้องถิ่น โดยมีเซ็ตเครื่องดื่มแนะนำ เช่น

  • “อยู่เพียงดิน” น้ำสมุนไพรจากดอกไม้ 3 ชนิด เช่น อัญชัน ข้าวคั่ว และตะไคร้
  • น้ำผลไม้ปั่น แรงบันดาลใจจากบทกลอน เช่น
      • น้ำหว่านดอกไม้
      • น้ำกล่อมเดือนหงาย
      • น้ำถักทอฝัน
      • น้ำเกี่ยวสายรุ้ง
      • น้ำพราวตะวัน
      • น้ำพันดารา
      • น้ำนภาพราย
  • เซ็ตซิกเนเจอร์ อย่าง น้ำซ่อนรักไว้ในนภา (น้ำมะขาม) และน้ำซ่อนห่วงหาในสายลม (น้ำผลไม้รวม

แรงบันดาลใจและความหวังใน “พราวตะวัน”

พราวตะวันถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดแห่งความหวังที่สวยงามดั่งแสงตะวัน โดยร้านนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการรับประทานอาหาร แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการเติมเต็มกำลังใจและความสุขใจ

สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

พราวตะวันให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ เช่น การสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการให้พื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เวลาเปิดให้บริการและตำแหน่งที่ตั้ง

ร้านพราวตะวันเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 21.00 น. ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยสัก จังหวัดเชียงราย เพียงไม่กี่นาทีจากตัวเมือง

แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/o27m6mAJ58XT2DZ57 

บทสรุป

“พราวตะวัน เชียงราย” คือร้านอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมและความทันสมัยอย่างลงตัว พร้อมบรรยากาศธรรมชาติที่งดงาม เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่ต้องการพักผ่อนจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
Facebook: พันดาว 1000 Stars

คอลัมน์โดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

อาหารบนกระเช้าลอยฟ้า Canopy หนึ่งเดียวที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย

 
อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย เปิดตัว Canopy กระเช้าลอยฟ้าที่จะนำคุณขึ้นไปสัมผัสประสบการณ์อีกขั้นของการรับประทานอาหารแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ท่ามกลางทิวทัศน์ของสามประเทศ พร้อมรื่นรมย์กับมนต์เสน่ห์ของแม่น้ำโขงในแบบ 360 องศา ได้ทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อค่ำ
 
Canopy ตั้งอยู่บนยอดไม้ บนความสูงกว่า 52 เมตร ถูกออกแบบมาในรูปทรงของแคปซูล คล้ายกับรวงผึ้งที่โอบล้อมต้นไม้ตามธรรมชาติ โดยเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติและสีเอิร์ธโทนเป็นหลัก เพื่อให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับบรรยากาศของผืนป่าและสภาพแวดล้อมของรีสอร์ทสุดหรู โดยคุณสามารถใช้เวลาในการรับประทานอาหาร ดื่มด่ำรับแสงแรกยามเช้า และอาทิตย์อัศดงยามพลบค่ำ ไปพร้อมๆกับชมความงดงามของทิวเขา และลำน้ำโขง รวมถึงยังสามารถส่องวิถีชีวิตของเหล่าโขลงช้างที่ออกหากินในปางช้างอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
 
 
สำหรับอาหาร ทางโรงแรมจะจัดสำรับพร้อมเสิร์ฟมาในภาชนะปิ่นโตแบบตำรับไทย ซึ่งเชฟได้สร้างสรรค์เมนูทั้งคาวและหวานอย่างพิถีพิถัน ให้เลือก 3 เซ็ทเมนูตามความชอบได้แก่ Mekong Discovery ที่นำเสนอความโดดเด่นของเมนูอาหารพื้นถิ่น ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรอยต่อ 3 แผ่นดิน ไทย ลาว และพม่า อาทิ ไคแผ่น สแนคของลาวเสิร์ฟพร้อมกับลาบปลาทูน่ารสจัดจ้าน, แกงฮังเลหมู อาหารขึ้นชื่อของภาคเหนือ ฯลฯ Culinary Adventure เมนูที่ผสมผสานระหว่างอาหารตะวันออก และตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและน่าลิ้มลอง เช่น ซี่โครงวากิวเนื้อนุ่ม เสิร์ฟบนขนมปังโฮลวีตโฮมเมดแบบดั้งเดิม, ล็อบสเตอร์ภูเก็ตคุณภาพพรีเมียม เสิร์ฟพร้อมสลัดอโวคาโด หรือของหวานอย่าง เครมบูเล่ ท็อปด้วยลูกฟิก จากมูลนิธิโครงการหลวง, ชูว์ครีมสตรอเบอรี่สดจากไร่ ฯลฯ และ Gourmet Odyssey ที่ชูอาหารพื้นถิ่นเมืองเหนือ กับวัตถุดิบชั้นเลิศมารังสรรค์ให้กลายเป็นเซ็ทเมนูที่โดดเด่นและพิเศษยิ่งขึ้น อาทิ เนื้อวากิว M5, หอยเชลล์ยักษ์นำเข้า และคาเวียร์โครงการหลวง หรือของหวานรสเลิศอย่าง Financier ฟินองเซียของฝรั่งเศส รสชาตินุ่มนวล, เค้กมูสกุหลาบ และฟักทอง หรือ เครมบูเล่มะพร้าวน้ำหอมจากภาคเหนือ ฯลฯ
 
เชฟพิสิษฐ์ จิโนพงป์ หรือ เชฟจีโน่ เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟจากอนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมากว่า 30 ปีกล่าวว่า “หัวใจสำคัญที่ลูกค้าจะได้รับนอกจากการพักผ่อนสุดพิเศษในรีสอร์ทที่ดีที่สุดของเชียงรายแล้ว ก็คือประสบการณ์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตระหว่างคนเมืองกับธรรมชาติให้อยู่กันอย่างสมดุล ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน ดังนั้น Canopy จึงเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความใส่ใจของเรา ด้วยการมอบพื้นที่ให้แขกได้มีโอกาสสัมผัส และมีส่วนร่วมรื่นรมย์กับธรรมชาติ ในระหว่างรับประทานอาหารแต่ละมื้ออย่างมีคุณค่ามากที่สุด”
 
สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารเหนือระดับที่ Canopy โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปราคาเริ่มต้น ที่ 14,000++บาท ต่อ 2 ท่าน เปิดให้บริการทุกวัน สำหรับมื้อเช้า เวลา 7.30-11.00 น. มื้อกลางวัน เวลา 12.30-16.30 น. และมื้อค่ำ เวลา 17.30-19.00 น. 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งโทร.053-784-084
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

Triple C คาเฟ่ริมน้ำกกเชียงราย พร้อมสู้ครั้งใหม่ หลังน้ำท่วมใหญ่

 

คาเฟ่ใต้ต้นฉำฉายักษ์ ริมแม่น้ำกก กับ Triple C Campsite & Cafe ฟื้นตัวหลังน้ำท่วมหนัก

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ลงพื้นที่สำรวจร้าน Triple C Campsite & Cafe (ทริปเปิ้ล ซี แคมป์ไซต์ แอนด์ คาเฟ่) คาเฟ่บรรยากาศดี ริมแม่น้ำกกในตัวเมืองเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ำท่วมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567

คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่แสนสงบร่มรื่น มีสนามเด็กเล่น บ่อทรายขนาดเล็ก และพื้นที่กว้างขวางที่เหมาะกับครอบครัวและเด็กๆ นอกจากนี้ยังมีวิวแม่น้ำกกที่สวยงามและบรรยากาศสดชื่น แต่ด้วยสถานการณ์น้ำกกล้นตลิ่งจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเข้าท่วมพื้นที่คาเฟ่

 

ทางทีมข่าวได้พูดคุยกับ คุณฟ้า เจ้าของร้าน Triple C Campsite & Cafe เธอเล่าให้ฟังว่า “น้ำเริ่มเข้ามาตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน คืนนั้นเทศบาลมีการเปิดไซเรนเตือนภัย แต่ตอนนั้นระดับน้ำยังดูไม่น่ากลัวมากนัก วันนั้นเป็นวันหยุดของร้านพอดีเลยไม่มีพนักงานช่วยขนของ ฉันเองก็ท้องแก่ เลยทำอะไรไม่ค่อยได้ ทำได้แค่พาแมว 9 ตัว กับกระต่าย 2 ตัวออกมาเท่านั้น”

คุณฟ้าเล่าต่อว่า ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในคืนนั้น น้ำบนถนนหน้าร้านท่วมถึงอก ส่วนในร้านน้ำสูงประมาณต้นขา แม้ว่าร้านจะยกพื้นสูงกว่าถนน แต่ก็ยังไม่พ้นที่จะได้รับความเสียหาย เครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทั้งหมดในร้านเสียหาย รวมถึงเปียโนอายุกว่า 100 ปี และรถคลาสสิคอย่าง Land Rover และ Ford Transit ก็จมไปครึ่งคัน มูลค่าความเสียหายโดยประมาณอยู่ที่ 400,000-500,000 บาท

 

หลังน้ำลดลง ร้านก็เริ่มทำการฟื้นฟูพื้นที่และสวนทันที คุณฟ้าเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า “วันนี้ (25 กันยายน 2567) เราเริ่มลงสวนใหม่แล้วค่ะ เพราะอยากเปิดร้านให้เร็วที่สุด เราคาดว่าวันที่ 27 กันยายน 2567 จะทดลองเปิดขายเฉพาะเครื่องดื่ม และเปิดให้นั่งได้ในโซนภายในอาคาร ส่วนโซนนอกอาคารและสวนจะต้องใช้เวลาอีกนิด แต่เราหวังว่าจะพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 โดยจะมีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เค้ก และเบเกอรี่เหมือนเดิม”

นอกจากการฟื้นฟูร้าน Triple C Campsite & Cafe ยังได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือชุมชนที่ประสบภัยด้วยการบริจาคอุปกรณ์ทำความสะอาดให้กับชาวบ้าน คุณฟ้ากล่าวว่า “ครั้งนี้หนักมากค่ะ หลายๆ ร้านในเชียงรายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หวังว่าช่วงหน้าไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึงจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและค้าขายในพื้นที่ได้บ้าง”

 

ร้าน Triple C Campsite & Cafe เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 09:00-17:00 น. โดยจะหยุดทุกวันพุธ ยกเว้นวันพุธที่ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ ร้านตั้งอยู่ใกล้สะพานขัวพญามังราย หากเดินทางจากแยก สภ.เมืองเชียงราย มุ่งหน้าสู่ตลาดบ้านใหม่ ให้ลงสะพานขัวพญามังรายแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยบ้านใหม่ ซอย 21 ขับเข้ามาตามป้ายร้าน

คุณฟ้าทิ้งท้ายด้วยความหวังว่า “ตอนนี้กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและสภาพเศรษฐกิจหลังจากนี้ค่ะ เพราะก่อนน้ำท่วมหลายร้านในเชียงรายก็เงียบอยู่แล้ว หวังว่าการฟื้นตัวของร้านจะกลับมาได้ไวๆ และขอเชิญชวนลูกค้าทุกท่านแวะมาพักผ่อนที่ร้านของเรา เมื่อเรากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งค่ะ”

 

การเดินทางมายังร้าน Triple C Campsite & Cafe

  • ร้านใกล้สะพานขัวพญามังราย, ซอยบ้านใหม่ 21, เชียงราย
  • พิกัด : https://g.co/kgs/4vPhzZT 
  • เปิดบริการ: ทุกวัน 09:00-17:00 น. (หยุดวันพุธ)
  • เบอร์โทรศัพท์: 091-594-6669

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

Polar เชียงราย ฟื้นตัวหลังน้ำท่วม ชวนอุดหนุนอีกหนึ่งร้านดังในท้องถิ่น

 

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้มีโอกาสพูดคุยกับร้าน Polar Boulangerie and Patisserie (โพลาร์ บูแลงเกอรี่ แอนด์ พาทิซเซอรี่) เชียงราย หลังจากที่ประสบอุทกภัยจากน้ำท่วมในช่วงวันที่ 11 กันยายน 2567 ซึ่งน้ำจากแม่น้ำกกได้ไหลเข้าท่วมบริเวณสะพานหนองด่าน สะพานข้ามแม่น้ำกก บ้านป่าอ้อ-บ้านหนองด่าน เป็น 1 ใน 6 สะพานข้ามแม่น้ำกกในบริเวณตัวเมืองเชียงราย  ที่เจอปัญหาเดียวกัน คือ น้ำเอ่อล้นตลิ่ง ทำให้เชิงลาดสะพานน้ำท่วม รถผ่านไม่ได้

 

และอีกหนึ่งร้านที่อยู่ติดประเวณสะพานคือ Polar Boulangerie and Patisserie (โพลาร์ บูแลงเกอรี่ แอนด์ พาทิซเซอรี่) เชียงราย ร้านได้รับผลกระทบอย่างหนัก คุณเอ๋ เจ้าของร้านให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า “น้ำท่วมเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เราหาข่าวเองจากโซเชียล ตอนนั้นเก็บของทันแค่บางส่วน วัตถุดิบในตู้เย็นเสียทั้งหมด รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เตรียมขายก็เสียหาย แต่โชคดีที่น้องๆ พนักงานช่วยกันเก็บของและทยอยนำไปเก็บที่อื่น หลังจากที่น้ำเริ่มลดลงในวันที่ 14 กันยายน ทีมงานร้านก็เริ่มล้างโคลนและฟื้นฟูพื้นที่ แต่จุดที่หนักที่สุดคือบริเวณสต๊อกสินค้าและโกดังเก็บบรรจุภัณฑ์ที่น้ำท่วมสูงถึงระดับเอว ส่งผลให้ความเสียหายรวมประมาณ 500,000 – 700,000 บาท

 

 
“ตอนนี้ร้านกลับมาเปิดให้บริการแล้ว แต่ยังไม่ 100% เพราะยังต้องซ่อมแซมบริเวณที่นั่งภายนอกและลานจอดรถ ส่วนในร้านที่ท่วมสูงถึงหน้าแข้งก็ทำความสะอาดไปได้ครึ่งทาง เหลือโคลนในบางจุดที่ยังไม่สามารถเคลียร์ได้ และเป็นกังวลเกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม เพื่อมาใช้ในการซ่อมแซมร้านและซื้อวัตถุดิบที่เรียกได้ว่าเสียหายมากที่สุด”  คุณเอ๋กล่าวเพิ่มเติม
 

ทางสำนักข่าวนครเชียงรายอยากเชิญชวนให้ นักท่องเที่ยวมาอุดหนุนร้านในช่วงฟื้นฟูนี้ เพื่อให้ร้าน Polar Boulangerie and Patisserie ยังคงเป็นหนึ่งในร้านเบเกอรี่ที่ดีของเชียงราย”

 

 ร้าน Polar Boulangerie and Patisserie เป็นร้านเบเกอรี่เล็กๆ แต่คุณภาพสูง ด้วยเมนูขนมอบหลากหลาย ทั้งจากวัตถุดิบในประเทศและต่างประเทศ อาหารทุกชนิดปลอดสารกันเสีย นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟอาราบิก้าคุณภาพดีที่ปลูกและคั่วในเชียงรายเอง บรรยากาศของร้านเงียบสงบ อบอุ่นเหมือนนั่งจิบกาแฟอยู่ในบ้านส่วนตัว
 

พิกัดร้านเปิดทุกวัน
https://g.co/kgs/1Kef6EU
ที่ตั้ง: 266 หมู่ 1 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
โทรศัพท์: 087-366-9366
เวลาเปิด-ปิด :  08:00 – 16:30 น.

เชิญชวนทุกท่านมาช่วยอุดหนุนร้านเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูร้านเบเกอรี่ที่ได้รับรางวัล USER’S CHOICE ติดต่อกันหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News