Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทางออกวิกฤตความเชื่อมั่นที่ทำได้! ย้ายแหล่งน้ำดิบ หนี แม่น้ำกกปนเปื้อน ปกป้อง 1.2 แสนชีวิต

วิกฤตน้ำกกสู่แม่น้ำลาว กปภ.เชียงรายเร่งย้ายแหล่งน้ำดิบ หนีสารหนู–โลหะหนัก ปกป้องสิทธิในน้ำสะอาดของคนกว่า 1.2 แสนชีวิต

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – สำหรับคนเชียงรายจำนวนมาก “น้ำประปา” เคยเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำสะอาดจากลุ่มน้ำกก แต่ในวันนี้ ภาพจำดังกล่าวกำลังถูกแทนที่ด้วยความกังวลและความไม่เชื่อมั่น เมื่อข้อมูลการปนเปื้อน “สารหนูและโลหะหนัก” ในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ถูกยืนยันผ่านทั้งผลตรวจจากหน่วยงานรัฐ ห้องแล็บอิสระ และเสียงสะท้อนจากชุมชนที่เริ่ม “เลิกดื่ม เลิกใช้น้ำประปา” ทีละหลังคาเรือน

แม้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย จะยืนยันว่าคุณภาพน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกรมอนามัย (สารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร จากเกณฑ์ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) แต่สำหรับประชาชนจำนวนไม่น้อย ตัวเลขดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจ วิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ “วิกฤตมลพิษ” หากแต่เป็น “วิกฤตความเชื่อมั่น” ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาดของประชาชนกว่า 120,000 คนในเขตเทศบาลนครเชียงรายและพื้นที่ปลายน้ำ

ในบริบทเช่นนี้ แผนของ กปภ.เชียงราย ที่จะ ย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตประปาจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว ด้วยงบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท จึงถูกจับตามองในฐานะ “ทางออกเดียวที่ทำได้ทันที” ท่ามกลางปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ซับซ้อนเกินกว่าท้องถิ่นจะรับมือได้เพียงลำพัง

แม่น้ำกกปนเปื้อน–ชุมชนริมเขื่อนเชียงรายลุกขึ้นถาม “น้ำที่ใช้ยังปลอดภัยหรือไม่”

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ฉางข้าวบ้านท่าบนได หมู่ที่ 1 อำเภอเวียงชัย จ.เชียงราย กลุ่มผู้ใช้น้ำเขื่อนเชียงรายฝั่งขวาที่ 1 จัดประชุมสามัญประจำปี 2568/2569 เพื่อหยิบยก “ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนัก” ขึ้นสู่เวทีอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการเข้าร่วมของ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นำโดย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาหลักที่กลุ่มผู้ใช้น้ำฯ นำโดยนายประถมพงษ์ ฤทธิแผง ประธานกลุ่มฯ รายงานต่อที่ประชุม คือ การตรวจพบการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขาหลายจุด มีค่าเกินมาตรฐานในบางพื้นที่ และมีข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญว่า ต้นตอของมลพิษมาจาก “เหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่หายาก” บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

สำหรับเกษตรกรผู้ใช้น้ำกว่า 750 ครัวเรือน ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่กระทบโดยตรงต่อความมั่นคงด้านอาหารและรายได้ เมื่อมีความกังวลว่า สารพิษอาจตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร ขณะเดียวกันราคาข้าวที่ตกต่ำก็ทำให้ภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นจากทั้งมลพิษและภาวะเศรษฐกิจ

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ยืนยันในที่ประชุมว่า อบจ.เชียงราย “ไม่นิ่งนอนใจ” และจะเข้าไปเป็นแกนนำประสานข้อมูลทุกหน่วยงาน ทั้งด้านคุณภาพน้ำ สิ่งมีชีวิตในแม่น้ำ และผลกระทบต่อชุมชน เพื่อผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ โดยย้ำว่า นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่คือปัญหา “สิทธิด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน” ของคนเชียงรายทั้งลุ่มน้ำ

เหมืองต้นน้ำเมียนมา–ทุนข้ามชาติ และสัญญาณเตือนจากข้อมูลดาวเทียม

วิกฤตแม่น้ำกกไม่ได้เกิดขึ้นโดดเดี่ยว รายงานของ Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ เปิดเผยในเดือนพฤศจิกายน 2568 ว่า ทั่วภูมิภาคแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหมืองที่อาจปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำสายหลักมากกว่า 2,400 แห่ง โดยอาศัยภาพถ่ายดาวเทียมระบุพื้นที่เหมืองแบบ alluvial, เหมืองแบบ heap leach และเหมืองแร่หายากแบบ in-situ leaching (ISL) รวมอย่างน้อย 366 แห่ง, 359 แห่ง และ 77 แห่ง ตามลำดับ

รายงานดังกล่าวเตือนว่า กิจกรรมเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีอันตราย เช่น ไซยาไนด์ ปรอท แอมโมเนียมซัลเฟต และสารอีกหลากหลายชนิด ซึ่งเมื่อไหลลงสู่แม่น้ำ จะสะสมในตะกอนและห่วงโซ่อาหาร สร้างความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อสุขภาพของประชาชนในลุ่มน้ำโขง–สาละวิน–กก–สาขาต่าง ๆ ในระยะยาว

องค์กรสิทธิมนุษยชนในรัฐฉาน เช่น Shan Human Rights Foundation รวมทั้งเอกสารวิจัยของมหาวิทยาลัยต่างประเทศและศูนย์วิจัยคะฉิ่น ยังระบุว่า เหมืองแร่หายากและทองคำหลายแห่งบริเวณต้นน้ำแม่น้ำกกเป็นของบริษัทและนักลงทุนสัญชาติจีน โดยคนจีนทำหน้าที่บริหารและควบคุมเทคนิค ขณะที่แรงงานในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติงานและสัมผัสสารพิษโดยตรง

บริบทดังกล่าวสอดคล้องกับข้อสังเกตของ รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำกก ที่ชี้ว่า การทำเหมืองแร่หายากและทองคำในรัฐฉานใช้เทคโนโลยีการทำเหมืองแบบสกปรกที่ “จีนเลิกใช้ในประเทศแล้ว” แต่กลับถูกส่งออกมาตั้งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีมาตรการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอ่อนแอกว่า

เมื่อผนวกกับแนวโน้มจาก บันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่สำคัญระหว่างไทย–สหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพิ่มปริมาณแร่หายากในห่วงโซ่อุปทานโลก นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงเตือนว่า ปัจจัยด้านความมั่นคงทางพลังงานและอุตสาหกรรมสีเขียว อาจกลายเป็นแรงผลักให้การสำรวจและทำเหมืองในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น และยิ่งซ้ำเติมความเสี่ยงต่อสิทธิชุมชนปลายน้ำ หากไม่มีมาตรการกำกับที่เข้มแข็งควบคู่กัน

กปภ.เชียงราย “ระบบยังเอาอยู่ แต่ต้องย้ายแหล่งน้ำ เพราะประชาชนไม่ยอมรับ”

ในฝั่งของผู้ให้บริการน้ำประปา นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า แผนการย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว เริ่มต้นจากการตรวจพบ “สารหนู” ในแม่น้ำกกเมื่อปีก่อน แม้ค่าที่ตรวจวัดได้จะต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัย แต่ก็สร้างความไม่สบายใจให้ประชาชนอย่างกว้างขวาง

เดิม กปภ.เชียงรายใช้กระบวนการผลิตน้ำประปามาตรฐานทั่วไป ใช้สารส้มและปูนขาวเป็นหลัก แต่หลังพบโลหะหนัก จึง เพิ่มขั้นตอน “พรีคลอรีน (Pre-chlorination)” เติมคลอรีนก่อนการตกตะกอนเพื่อช่วยแยกโลหะหนัก พร้อมเสริมสารเคมี โพลีอะลูมิเนียมคลอไรด์ (PACl) และ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เพื่อเร่งให้ตะกอนที่เกาะสารหนูตกลงสู่ก้นถัง ก่อนจะผ่านขั้นตอน “อินเตอร์คลอรีน” และระบบกรองอีกชั้นหนึ่ง

จากคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกที่เคยมีค่าความขุ่นสูงถึง 10,000 NTU ในช่วงน้ำท่วม และเฉลี่ยราว 180 NTU ในสถานการณ์ปกติ กปภ.เชียงรายควบคุมให้ ค่าความขุ่นก่อนกรองไม่เกิน 4 NTU และหลังกรองน้ำต้องมีค่าความขุ่นไม่เกิน 1 NTU ตามเกณฑ์ที่เข้มกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ

นายอภิศักดิ์ย้ำว่า สารเคมีที่ใช้ “เป็นสารปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ปลอดภัยตามมาตรฐานผลิตน้ำประปา” อยู่ภายใต้การควบคุมของห้องแล็บ และส่งผลตรวจให้กรมอนามัยตรวจสอบเป็นระยะ

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เหตุผลสำคัญคือประชาชนไม่ยอมรับแหล่งน้ำจากแม่น้ำกก แม้กระบวนการผลิตของเราจะควบคุมคุณภาพได้ แต่เมื่อคนในพื้นที่รู้สึกไม่มั่นใจ กปภ.ก็ต้องปรับตัวตามข้อเรียกร้องนั้น เราไม่ได้ย้ายเพราะผลิตไม่ได้ แต่เพราะอยากให้ประชาชนมั่นใจที่สุด”

ในมุมของคนทำงานด้านระบบประปา เขายังคงเชื่อว่ากระบวนการผลิตสามารถรับมือกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกได้ แต่ก็ยอมรับว่า การฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาสะอาดในเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งกินเวลายาวนานเกินกว่าจะปล่อยให้ประชาชนเสี่ยงรอ

ย้ายสู่ “แม่น้ำลาว” งบ 2,176 ล้านบาท การลงทุน 100 ปีเพื่อสิทธิในน้ำสะอาด

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบของ กปภ.เชียงราย กำหนดให้ตั้งจุดสูบน้ำและผลิตน้ำประปาใหม่บริเวณฝายแม่ลาว แล้วส่งน้ำผ่านท่อแรงดันเข้าสู่เขตเมืองเชียงราย ระยะทางราว 34 กิโลเมตร โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเสนอของบประมาณในปีงบประมาณ 2571 หากผ่านความเห็นชอบ จะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปี 2571–2572

นอกจากจะเป็นการ “หนีน้ำกกปนเปื้อน” แผนดังกล่าวยังถูกออกแบบให้ ขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปา ตามเส้นทางท่อจากฝายแม่ลาวเข้าสู่ตัวเมือง ทำให้ชุมชนที่อยู่นอกเขตบริการเดิมสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้มากขึ้น โดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้น้ำจะเพิ่มจาก 41,539 ครัวเรือนในปี 2568 เป็น 66,639 ครัวเรือนในปี 2589

ในระยะสั้น กปภ.เชียงรายได้ของบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและติดตั้งระบบจ่ายสารเคมีที่สถานีผลิตน้ำวังคํา ให้ควบคุมปริมาณสารได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อเสริมความมั่นใจระหว่างรอแผนระยะยาว

รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร มองว่า การใช้งบประมาณระดับพันล้านบาทเพื่อย้ายแหล่งน้ำดิบครั้งนี้ แม้ดูสูง แต่เมื่อเทียบกับการป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพในระยะยาวของประชาชนทั้งจังหวัด ถือเป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต 100 ปี” ที่คุ้มค่า

“งบฯ พันล้านซื้อความปลอดภัยให้คนทั้งจังหวัดได้ 100 ปี มันคุ้มค่ามากกว่าการรอให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา”

เมื่อคนเชียงราย “เลิกดื่ม–เลิกใช้น้ำประปา” วิกฤตความเชื่อมั่นที่ตัวเลขมาตรฐานอธิบายไม่พอ

วิกฤตครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์ หากไม่ฟังเสียงของผู้ใช้น้ำตัวจริง

มธุรส เปล่งใส ชาวบ้านในเขตอำเภอเมืองเชียงราย เล่าว่า หลังเกิดข่าวการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก ครอบครัวของเธอ “หยุดใช้น้ำประปาดื่มมาหลายเดือน”

“น้ำประปาเราใช้ในชีวิตประจำวันทุกอย่างเลย ทั้งล้างหน้า แปรงฟัน รดน้ำต้นไม้ ให้น้ำสัตว์เลี้ยง ยกเว้นแค่น้ำดื่มเท่านั้นที่เราไม่กล้าใช้… เรารู้ว่าเขาพยายามชี้แจง มีคนออกมาชิมน้ำ โชว์ล้างหน้า แต่ไม่มีผลวิจัยยืนยันเลยว่า ถ้าเราดื่มน้ำแบบนี้ไป 10 ปี 20 ปี จะไม่เป็นมะเร็ง”

ทางเลือกของครอบครัวจึงเหลือเพียง “ต้องซื้อน้ำดื่มทั้งหมด” ทั้งดื่มและทำอาหาร เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ครัวเรือนในช่วงเศรษฐกิจตึงตัว

ด้าน รัตติกร แสงสุวรรณ เจ้าของร้านอาหารในเขตเทศบาลนครเชียงราย สะท้อนปัญหาคล้ายกัน เธอระบุว่า จากเดิมที่ใช้ “น้ำประปากรอง” เพื่อประกอบอาหารและบริการลูกค้า ปัจจุบันต้องหันไปใช้น้ำโรงงานทั้งหมด เพราะไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำ แม้จะผ่านการกรองแล้วก็ตาม

“ตอนนี้ต้องซื้อน้ำทั้งหมด ทั้งน้ำดื่มสำหรับลูกค้า และน้ำที่ใช้ประกอบอาหาร… แม้จะกรองน้ำประปาแล้ว กลิ่นคลอรีนก็ยังแรง บางครั้งแม้ต้มน้ำ กลิ่นก็ยังไม่หาย”

รัตติกรยังพบปัญหาผิวหนังหลังอาบน้ำประปา จนแพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำดังกล่าวโดยตรง เธอจึงต้องหาวิธีเก็บน้ำให้ตกตะกอนก่อนใช้ หรือหันไปใช้น้ำจากแหล่งอื่นเท่าที่หาได้

ในระดับชุมชน ปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว เล่าว่า หมู่บ้านริมกกซึ่งเคยใช้น้ำประปาหมู่บ้านจากแม่น้ำกก ต้องหยุดใช้น้ำมานานกว่าหนึ่งปี ทั้งจากความเสียหายของระบบประปาหมู่บ้านในเหตุภัยพิบัติปี 2567 และจากความกังวลเรื่องสารหนูปนเปื้อน

ชาวบ้านกว่า 400 ครัวเรือนในพื้นที่ ต้องหันมาซื้อน้ำดื่มใช้เอง จากที่เคยใช้น้ำแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย กลายเป็นต้องจ่ายเดือนละ 500–1,000 บาท ซึ่งเป็นภาระหนักต่อครัวเรือนรายได้น้อย

“ชาวบ้านไม่รู้ว่าน้ำที่เทศบาลนำมาเติมเป็นน้ำจากไหน แต่ก็จำเป็นต้องใช้ เพราะคนเราขาดน้ำไม่ได้ มันเป็นภาวะจำยอมจริง ๆ”

เสียงสะท้อนเหล่านี้ยืนยันว่า แม้ตัวเลขค่ามาตรฐานน้ำจะ “อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย” แต่เมื่อความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องหา “ระบบความปลอดภัยของตัวเอง” ผ่านการซื้อน้ำ โรงงาน กักเก็บน้ำ หรือเปลี่ยนรูปแบบการใช้น้ำประปา ซึ่งแปลตรง ๆ เป็น “ต้นทุนแฝง” ทางเศรษฐกิจและสุขภาพ ที่ไม่ปรากฏในบิลค่าน้ำ

น้ำไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่คือ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” และโจทย์การทูตข้ามพรมแดน

รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร ย้ำหลายครั้งว่า ปัญหาน้ำกกไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคของระบบกรองน้ำ หากแต่เป็น สิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาด และ “สิทธิชุมชน” ในการกำหนดอนาคตของทรัพยากรธรรมชาติที่เลี้ยงดูตนเอง

เขาชี้ว่า จากข้อมูลการตรวจวัดต่อเนื่อง 8 เดือนที่ผ่านมา เห็นชัดว่า สารโลหะหนักแม้จะต่ำกว่าค่ามาตรฐาน แต่เมื่อบริโภคทุกวัน ย่อมมีโอกาสสะสมในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง หรือโรคระบบประสาท

ขณะเดียวกัน เขาเชื่อมโยงกรณีแม่น้ำกกกับลุ่มน้ำอื่น ๆ ทั้งสาละวิน กระบุรี และโขง ซึ่งต่างเริ่มตรวจพบปัญหาปนเปื้อนโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เตือนถึงการเพิ่มขึ้นของโลหะหนักในบางช่วงของแม่น้ำโขงในแขวงเกาะแก้ว สปป.ลาว

สำหรับเขาและเครือข่าย ภาพรวมทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญวิกฤต “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” ที่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยความร่วมมือข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการกดดันทุนข้ามชาติ ระบบตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของแร่หายากในตลาดโลก หรือการใช้เวทีภูมิภาค เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เป็นพื้นที่เจรจากับประเทศต้นน้ำและจีน

แต่ในขณะที่กระบวนการทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศยังต้องใช้เวลา ประชาชนปลายน้ำ “ไม่อาจรอได้” ทางออกที่ทำได้ทันที จึงกลับมาที่โจทย์เดิม – ย้ายแหล่งน้ำดิบเพื่อหยุดความเสี่ยงโดยตรงต่อชีวิตผู้คนก่อน

ย้ายแหล่งน้ำ ทางหนีไฟที่จำเป็น แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

สำหรับจังหวัดเชียงรายซึ่งกำลังถูกผลักดันให้เป็น “เมืองเศรษฐกิจและศูนย์กลางชายแดน” การมีระบบน้ำประปาที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และรองรับการเติบโตของครัวเรือนจากราวสี่หมื่นกว่าครัวเรือนสู่หกหมื่นกว่าครัวเรือนในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ไม่ใช่เพียงประเด็นเทคนิคด้านสาธารณูปโภค แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานของความเชื่อมั่น” ต่อเมืองทั้งระบบ

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปแม่น้ำลาวจึงเปรียบเสมือน “ทางหนีไฟ” ของเมืองเชียงรายในภาวะวิกฤต เป็นมาตรการที่ต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อปกป้องสิทธิในการมีชีวิตและน้ำสะอาดของประชาชน

อย่างไรก็ดี นักวิชาการ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นล้วนเห็นพ้องว่า การย้ายแหล่งน้ำไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากปราศจากการจัดการต้นตอปัญหาในรัฐฉานและลุ่มน้ำเพื่อนบ้าน ผ่านการเจรจาระดับรัฐต่อรัฐ การกดดันทุนข้ามชาติ และการสร้างกลไกตรวจสอบแหล่งแร่ในห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างจริงจัง

สุดท้าย ความสำเร็จของมาตรการครั้งนี้จะไม่ได้วัดเพียงจากตัวเลขงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ หรือจำนวนครัวเรือนที่เชื่อมต่อระบบประปาเพิ่มขึ้น หากแต่วัดจาก “จำนวนคนเชียงรายที่กลับมากล้าเปิดก๊อกดื่มน้ำในบ้านตัวเอง” และจากวันที่แม่น้ำกกจะไม่ถูกกล่าวถึงในฐานะ “แม่น้ำที่ต้องหนี” หากแต่กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตคนเชียงรายอีกครั้ง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สถาบัน Stimson Center
  • The Active – บทสัมภาษณ์ รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์, มธุรส เปล่งใส, รัตติกร แสงสุวรรณ, ปรัตถกร การเร็ว และชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำกก
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สภาผู้บริโภครับลูกชาวบ้าน ทวงถามความรับผิดชอบปม “ขยะฝังดินล่องหน” ทต.แม่ยาว

สังคมเงียบงันทต.แม่ยาวยังไร้คำตอบ ปม “ขยะฝังดินล่องหน” หลังสภาองค์กรของผู้บริโภค รับลูกชาวบ้าน ยื่นหนังสือจี้ความรับผิดชอบและความโปร่งใส

เชียงราย, 22 พฤศจิกายน 2568 — เสียงเรียกร้อง “ขอคำตอบที่ตรงไปตรงมา” จากชาวตำบลแม่ยาว จังหวัดเชียงราย กำลังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบของหน่วยงานท้องถิ่น เมื่อกรณี “ขยะฝังดินล่องหน” ที่ถูกกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาว (ทต.แม่ยาว) นำไปฝังกลบโดยมิชอบ ยังไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจนต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่ สภาองค์กรของผู้บริโภคจังหวัดเชียงราย ได้รับเรื่องร้องเรียนและประกาศจะส่งหนังสือสอบถามอย่างเป็นทางการแล้ว

“หลังชาวบ้านมาร้องเรียน เราจะทำหนังสือถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว ขอคำชี้แจงและติดตามคำตอบเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปตามลำดับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค” — ธนชัย ฟูเฟื่อง หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดเชียงราย สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวย้ำต่อทีมข่าว

แม้ทต.แม่ยาวจะมีแนวทางแก้ไขระยะยาว เช่น การเตรียมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เรื่องการขนและปลายทางของขยะกับหน่วยงานอื่น แต่สำหรับชาวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ บ้านห้วยทรายขาว หมู่ 4 คำถามเร่งด่วนกลับอยู่ที่ “ต้นสายปลายเหตุ” ใครเป็นผู้สั่งการให้ฝังกลบ, ขยะที่ฝังกลบนั้นคืออะไร, และ มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยได้ทำจริงหรือไม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบสาธารณะจากผู้มีอำนาจในเทศบาล

ฉากหลังของความเงียบ เมื่อ “การจัดการระยะยาว” เดินหน้า แต่ “คำอธิบายอดีต” ยังไม่มี

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อชาวบ้านในพื้นที่พบการนำขยะมาพักและฝังกลบในบริเวณใกล้ชุมชนและแหล่งน้ำ โดยอ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลังการย้ายเขตการปกครองของชุมชนบางแห่ง อย่างไรก็ดี การดำเนินการลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามด้าน ความชอบด้วยกฎหมาย, ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข, และ ความรับผิดชอบทางปกครอง ในหลายมิติ

“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คำถามว่า ‘ต่อจากนี้ขยะจะไปไหน’ แต่คือคำถามว่า ‘ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ใครรับผิดชอบ’” ตัวแทนชาวบ้านสะท้อนประเด็นหลัก หลังทราบข่าวการทำ MOU จัดการขยะในอนาคต แต่ยังไม่เห็นการชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่

ในหนังสือร้องเรียนของชาวบ้านที่ส่งถึงนายกเทศบาลตำบลแม่ยาวและคณะผู้บริหาร มี 3 คำถามสำคัญ ที่ต้องการคำตอบเป็นลำดับแรก ได้แก่

  1. ขยะที่ถูกฝังกลบไปแล้วและถูกขุดขึ้นมา มีสิ่งของอันตรายหรือไม่   หากมี ต้องเปิดเผยรายการและผลตรวจอย่างโปร่งใส
  2. ขยะที่ยังเหลืออยู่ ได้ตรวจสอบแล้วหรือยังว่าเป็นขยะอันตรายหรือไม่   ต้องมีเอกสารและหน่วยตรวจสอบที่เชื่อถือได้
  3. ขอรายละเอียดวัน เวลา สถานที่ และวิธีการขนทิ้ง   เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์หรือรับรู้ข้อมูลได้โดยตรง ลดความกังวลและข้อสงสัย

ขณะที่ฝ่ายชุมชนเห็นว่า “การทำ MOU เรื่องปลายทางของขยะ” เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหา ปลายเหตุ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นจำเป็นต้องเริ่มที่ การอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และ การแสดงความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจ ในฐานะผู้ดูแลพื้นที่สาธารณะ

บทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภค  กดปุ่มตรวจสอบ “สิทธิผู้บริโภคด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”

การที่ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาฯ) เข้ามารับเรื่องถือเป็น “กลไกภายนอก” ที่ช่วยตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการในระดับท้องถิ่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครอง สิทธิผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา เมื่อปัญหาอาจกระทบต่อคุณภาพน้ำ อากาศ สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของประชาชน

ธนชัย ฟูเฟื่อง ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า สภาฯ จังหวัดเชียงรายจะดำเนินการทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึงทต.แม่ยาว เพื่อขอคำชี้แจงในประเด็นที่ประชาชนร้องเรียน พร้อมติดตามคำตอบและ เปิดเผยความคืบหน้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้หน่วยงานรัฐ อธิบายเหตุผล-ข้อเท็จจริง และ ระบุผู้รับผิดชอบ ต่อการตัดสินใจในอดีตให้ชัดเจน

ในหนังสือร้องเรียนเดียวกัน ชุมชนยังระบุรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นายกเทศบาล ปลัดเทศบาล ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเรียกร้อง “การแสดงความจริงใจ” ในการแก้ไขปัญหา โดยให้ ชี้แจงต่อประชาชนในที่ประชุมอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การสื่อสารผ่านช่องทางไม่เป็นทางการเพียงอย่างเดียว

ทำไม “คำอธิบายต้นเหตุ” จึงสำคัญกว่าการประกาศแนวทางใหม่

1) ความเชื่อมั่นของสาธารณะ

ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอยและแหล่งน้ำ ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญที่สุด การสื่อสารแต่ “มาตรการในอนาคต” โดยไม่ทบทวน “บทเรียนที่ผ่านมา” จะไม่สามารถกู้ความเชื่อมั่นได้เต็มที่ เพราะประชาชนยังไม่ทราบว่า ความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นได้ถูกประเมินและแก้ไขอย่างไร และ ใครรับผิดชอบทางนโยบาย-ปฏิบัติ

2) การป้องกันซ้ำรอยเชิงระบบ

การอธิบายต้นเหตุอย่างโปร่งใสทำให้สังคมเห็น ช่องโหว่อำนาจ-ขั้นตอน-ความรู้ ที่ต้องอุด เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดซ้ำ อาทิ ช่องว่างการสื่อสารระหว่างหน่วยงาน การอนุญาตการใช้พื้นที่ผิดประเภท การขาดระบบตรวจสอบภายใน หรือการประเมินความเสี่ยงต่อแหล่งน้ำที่ไม่เพียงพอ

3) ฐานข้อมูลเพื่อการเยียวยา

หากมีผู้ประกอบการหรือประชาชนได้รับผลกระทบ (เช่น ยอดสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง หรือค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำสะอาด) การมี “คำอธิบายต้นเหตุ” และ “ข้อมูลตรวจสอบขยะ” ที่เป็นลายลักษณ์อักษร จะช่วยให้การเยียวยาเป็นไป บนหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก

ภาพใหญ่ว่าด้วย “ขยะกับแหล่งน้ำ”  ความเสี่ยงที่ชาวบ้านกังวล

แม้ปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบ และชนิดของขยะในกรณีนี้ยังรอผลตรวจที่เป็นทางการ แต่ความกังวลของชุมชนสะท้อนความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง การฝังกลบโดยไม่มีมาตรการทางวิศวกรรม (เช่น พื้นรองกันรั่วซึม ระบบรวบรวมน้ำชะขยะ และระบบบำบัด) อาจก่อให้เกิด น้ำชะขยะ (leachate) ไหลปะปนลงสู่ดินและแหล่งน้ำผิวดิน/ใต้ดิน จนส่งผลต่อคุณภาพน้ำในครัวเรือน การเกษตร และสุขภาพสาธารณะ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่แหล่งน้ำอยู่ใกล้ชุมชน

ความเสี่ยงอีกด้านคือ การสับสนของข้อมูล   หากหน่วยงานไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าขยะที่ฝังเป็น “ขยะทั่วไป” หรือ “ขยะอันตราย” และไม่ได้มีผลตรวจจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ความหวาดระแวงของประชาชนจะสูงขึ้น และกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนในระยะยาว

องค์ประกอบของคำชี้แจงที่สังคมคาดหวัง (และตรวจสอบได้)

เพื่อให้ข้อเท็จจริงเดินหน้าและความเชื่อมั่นกลับคืน การชี้แจงของทต.แม่ยาวควรมีองค์ประกอบ ครบ-ชัด-ตรวจสอบได้ อย่างน้อย 7 ข้อ ดังนี้

  1. ไทม์ไลน์เหตุการณ์ — วันที่ เวลา สถานที่ การตัดสินใจ และผู้สั่งการในแต่ละช่วง
  2. ชนิดและปริมาณขยะ — เอกสารกำกับการขนถ่าย (ถ้ามี) พร้อมผลตรวจวิเคราะห์จากหน่วยงาน/ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง
  3. ผลตรวจพื้นที่ฝังกลบ/พื้นที่โดยรอบ — คุณภาพน้ำดิบ ดิน และกลิ่น ในระยะก่อน-ระหว่าง-หลังการขุดคืน พร้อมแผนติดตาม
  4. มาตรการควบคุมความเสี่ยงทันที (containment) — วิธีการเก็บกู้ออกจากพื้นที่ การป้องกันน้ำฝนชะล้าง การจัดพื้นที่พักวัสดุชั่วคราวอย่างถูกวิธี
  5. ปลายทางของขยะที่ขุดคืน — โรงงาน/สถานที่ปลายทางที่ได้รับอนุญาต รอบเวลา/เส้นทางขนส่ง และหลักฐานการรับมอบ
  6. การมีส่วนร่วมของประชาชน — ช่องทางสังเกตการณ์ รายงานผล และการรับข้อร้องเรียนพร้อมกำหนดเวลาตอบสนอง (SLA)
  7. ผู้รับผิดชอบและบทเรียน — ระบุบทเรียนเชิงกระบวนการ/บุคลากร และแผนป้องกันซ้ำ

หากสาระสำคัญทั้ง 7 ข้อนี้ปรากฏอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร กอปรกับการพบปะชี้แจงสาธารณะ จะช่วย “ปลดล็อก” วิกฤตความเชื่อมั่นที่กำลังเกิดขึ้นได้มาก

จากประเด็นท้องถิ่น สู่บรรทัดฐานธรรมาภิบาล

กรณีแม่ยาวมิได้เป็นเพียงเรื่อง “ขยะกองหนึ่ง” แต่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะในระดับท้องถิ่น กฎหมายและมาตรฐานมีอยู่แล้ว แต่การสื่อสารและการบังคับใช้ต้องปรากฏจริง การนำขยะไปฝังกลบในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะใกล้แหล่งน้ำหรือชุมชน เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานทราบดีว่ามีความเสี่ยงสูง การตัดสินใจดังกล่าวจึงต้องมี หลักฐานทางวิชาการ และ กระบวนการมีส่วนร่วม รองรับอย่างเคร่งครัด

ในทางปกครอง หลักธรรมาภิบาลกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเกิดเหตุที่กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะในชุมชน หน่วยงานรัฐต้อง ชี้แจง-รับฟัง-แก้ไข-ติดตาม อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันชุมชนเองก็มีหน้าที่ ตั้งคำถามบนข้อเท็จจริง และร่วมตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งบทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภคในครั้งนี้จึงถือเป็น “สะพาน” เชื่อมข้อเรียกร้องของประชาชนกับกระบวนการราชการให้เดินหน้า

ทางออกเชิงระบบ  ไม่ใช่แค่ “ย้ายที่ทิ้ง” แต่ต้อง “ยกระดับทั้งห่วงโซ่”

แม้การทำ MOU กับหน่วยงานปลายทางจะช่วยลดแรงกดดันเฉพาะหน้า แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนควรมองทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ แหล่งกำเนิด-การคัดแยก-การขนส่ง-สถานที่พักชั่วคราว-ปลายทางกำจัด รวมถึงการบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ฉุกเฉิน แนวทางที่จับต้องได้ อาทิ

  • ระบบคัดแยกต้นทางระดับชุมชน พร้อมการเก็บแยกประเภทและรอบเวลาที่แน่นอน ลดภาระฝังกลบ
  • สถานที่พักขยะชั่วคราวมาตรฐาน มีหลังคา พื้นรองกันรั่วซึม รางรวบรวมน้ำชะขยะ และบ่อบำบัด
  • แผนขนส่งโปร่งใส ระบุเส้นทาง-เวลาขนย้าย พร้อมบันทึก/หลักฐานการรับมอบปลายทาง
  • แดชบอร์ดข้อมูลสาธารณะ รายงานตัวชี้วัด (จำนวน/ชนิดขยะ ผลตรวจคุณภาพน้ำ/กลิ่น/เสียง ข้อร้องเรียน และการแก้ไข)
  • เวทีพบปะชุมชนรายไตรมาส เพื่อติดตามผล ข้อเสนอแนะ และสรุป “แก้แล้ว-กำลังดำเนินการ-เสร็จเมื่อไร”

การยกระดับเช่นนี้ทำให้ “ความเสี่ยง” ถูกจัดการเป็นระบบ ไม่ขึ้นกับดุลยพินิจรายบุคคล และที่สำคัญคือ ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย

จากความเงียบ สู่ความจริง

ความเงียบของหน่วยงานรัฐในประเด็นที่กระทบต่อ น้ำที่ดื่ม-อากาศที่หายใจ-ผืนดินที่เพาะปลูก ไม่ใช่ทางออกในปี 2568 ที่ข้อมูลเดินทางเร็วกว่าเดิม สังคมคาดหวังคำชี้แจงอย่างเป็นทางการที่มี ข้อมูลรองรับ และ แผนแก้ไขที่ตรวจสอบได้ ยิ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคเข้าสู่กระบวนการแล้ว ยิ่งเป็นโอกาสของทต.แม่ยาวที่จะ เปิดข้อมูล-รับฟัง-ลงมือ เพื่อพาเรื่องนี้ไปสู่ จุดคลี่คลาย อย่างมีศักดิ์ศรีทุกฝ่าย

ในระยะสั้น สังคมต้องการคำตอบ 3 ข้อของชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ในระยะกลาง ต้องการเห็นไทม์ไลน์รับผิดชอบ-แก้ไข-ติดตาม ในระยะยาว ต้องการเห็นระบบจัดการขยะที่ไม่นำพาความเสี่ยงกลับมาวนซ้ำ

เมื่อคำตอบเกิดขึ้นบนข้อมูลและความโปร่งใส ความสงสัยจะกลายเป็นความร่วมมือ และแม่ยาวจะได้ทั้ง “สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย” และ “การบริหารที่น่าเชื่อถือ” ควบคู่กัน

Fact Box ประเด็นที่ต้องจับตา 

  • หนังสือสอบถามของสภาองค์กรของผู้บริโภค ถึงทต.แม่ยาว ออกเมื่อใด เนื้อหาขอข้อมูลอะไร และกำหนดเวลาตอบภายในกี่วัน
  • ผลตรวจชนิดขยะและพื้นที่ ใครเป็นผู้ตรวจ ห้องปฏิบัติการใด มาตรฐานอะไร และเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อใด
  • ปลายทางขยะที่ขุดคืน ชื่อสถานที่/โรงงานที่ได้รับอนุญาต รอบเวลาขนย้าย หลักฐานการรับมอบ
  • การสื่อสารสาธารณะ มีเวทีชี้แจง/ระบบรับข้อร้องเรียน/แดชบอร์ดข้อมูลแบบเปิดหรือไม่
  • บทเรียนและผู้รับผิดชอบ มีการระบุ/ทบทวนกระบวนการตัดสินใจเดิม และมาตรการป้องกันซ้ำรอยหรือไม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หน่วยงานประจำจังหวัดเชียงราย สภาองค์กรของผู้บริโภค
  • หนังสือร้องเรียนของชาวบ้านบ้านห้วยทรายขาว หมู่ 4 ถึงนายกเทศบาลตำบลแม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กำนันแม่ยาวตั้ง 7 คำถามจี้ “นายกพงษ์” เคลียร์ปม “บ่อขยะเถื่อน” ใกล้โรงน้ำดื่ม

วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว กำนันตั้ง 7 คำถามจี้ “นายกพงษ์” เคลียร์ปม “บ่อขยะเถื่อน” ใกล้โรงน้ำดื่ม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ?

เชียงราย, 20 พ.ย. 2568 – ความขัดแย้งเรื่องการจัดการขยะในตำบลแม่ยาวปะทุสู่ “วิกฤตศรัทธา” หลังมีข้อกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาวนำขยะไป “พัก/ฝังกลบ” ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน ตั้งแต่ 11 พ.ย. 2568 จนประชาชนขาดความเชื่อมั่น กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” ทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามเร่งด่วน ตั้งหลักธรรมาภิบาลและการเยียวยาผู้เสียหาย ขณะที่กรอบกฎหมายไทยชี้ชัด หากการกระทำเข้าข่ายละเมิดหรือทุจริต หน่วยงานรัฐต้องชดใช้–แก้ไข และอาจเรียกคืนความเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้

กลิ่นขยะที่ลอยมากับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ

บทเรียนเรื่อง “ขยะ” มักเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คนพยายามมองข้าม แต่ผลสะสมกลับใหญ่เกินปล่อยผ่าน เมื่อชุมชนบ้านดอยถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงรายไปสังกัดเทศบาลตำบลแม่ยาว การเปลี่ยนมือ “ผู้รับผิดชอบ” กลายเป็นรอยต่อที่สะดุด จนขยะไม่ถูกเก็บตามรอบ เกิดการกองสุม ส่งกลิ่น และนำไปสู่ข้อกล่าวหาว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในพื้นที่เทศบาลแม่ยาวใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มของชุมชน

นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 กระแสวิตกในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ศรัทธา” ต่อกลไกท้องถิ่นที่ควรปกป้องสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจน้ำดื่มชุมชน วิสาหกิจชุมชนน้ำดื่มปกครองตำบลแม่ยาว ถูกลูกค้ายกเลิกออเดอร์จากความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำ คำถามจึงไม่ใช่เพียง “ทิ้งที่ไหน” แต่คือ “ใครสั่ง ใครทำ และใครรับผิดชอบ”

ไทม์ไลน์ จาก “ย้ายเขต” สู่ “บ่อขยะเถื่อน” และหนังสือ 7 คำถาม

  • ก่อน ต.ค.–พ.ย. 2568 ชุมชนบ้านดอยเดิมอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครเชียงราย มีการเก็บขยะถี่เป็นประจำ
  • ช่วงย้ายเขตการปกครอง บ้านดอยถูกจัดให้อยู่ในหมู่ 17 ตำบลแม่ยาว การเก็บขยะปรับเป็นทุก 7–10 วัน ส่งผลให้ขยะตกค้างริมทางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • 11 พ.ย. 2568 เกิดเหตุที่ชาวบ้านและฝ่ายปกครองชี้ว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในเขตเทศบาลตำบลแม่ยาว บริเวณใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน
  • 12 พ.ย. 2568 ความกังวลสาธารณะพุ่งสูง วิสาหกิจชุมนุมน้ำดื่มได้รับผลกระทบจากการยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก สะท้อน “ความเชื่อมั่นที่หายไป”
  • ถัดมา กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” โพสต์และเตรียมทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามหลัก เพื่อขอคำชี้แจง–มาตรการ–เยียวยา และเร่งวาระ MOU ด้านการจัดการขยะกับเทศบาลนครเชียงราย

ไทม์ไลน์นี้ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนผ่าน “ผู้รับผิดชอบ” โดยไม่มีระบบรองรับที่รัดกุมเพียงพอ และการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการที่ขาดหลักวิชาการ จนพาไปสู่วิกฤตศรัทธาที่จับต้องได้

จุดแตกหัก ความเสียหายที่มองเห็นและความกลัวที่มองไม่เห็น

ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ เกิดขึ้นทันทีและชัดเจน โรงน้ำดื่มชุมชนซึ่งเป็นแหล่งน้ำบริโภคสำคัญของชาวบ้านต้องเผชิญการยกเลิกออเดอร์ “จากความกังวล” ไม่ว่าผลตรวจจะออกมาว่าอย่างไรในภายหลัง “ความกลัว” ได้ทำงานก่อนแล้ว

ความเสียหายเชิงสังคม คือความเสื่อมถอยของความไว้วางใจต่อรัฐท้องถิ่น ประชาชนตั้งคำถามว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ก่อปัญหาเสียเอง” แล้วกลไกไหนจะปกป้องพวกเขา

ความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แม้ยังรอการยืนยันจากผลตรวจผู้เชี่ยวชาญภายนอก แต่บทเรียนทั่วประเทศชี้ให้เห็นแนวโน้มเดียวกัน การพัก/ฝังขยะโดยไม่ผ่านระบบมาตรฐาน มักนำไปสู่ น้ำชะขยะ (Leachate) ปนเปื้อนลงดินและน้ำ รุกล้ำห่วงโซ่อาหารและสุขภาวะในระยะยาว

7 คำถามของกำนัน แผนที่ทางออกด้วย “ธรรมาภิบาล”

กำนันปรัตถกร การเร็ว ยื่น 7 คำถาม ถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว เป็นหมุดหมายสำคัญของการทวงคืนความเชื่อมั่น

  1. จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ต่อการจัดการขยะที่ผิดพลาด ทั้งระดับนโยบายและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ
  2. มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น แล้วหรือยัง และผลจะสื่อสารสาธารณะอย่างโปร่งใสเมื่อใด
  3. มีหนังสือชี้แจงผู้บริโภคน้ำดื่ม ของโรงน้ำดื่มแม่ยาวแล้วหรือยัง เพื่อคลี่คลายความวิตก
  4. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ให้กับผู้บริโภคน้ำดื่มคืออะไร จะจัดระบบสุ่มตรวจ/ประกาศผลถี่เพียงใด
  5. การเยียวยาผู้ประกอบการโรงน้ำดื่ม ที่ถูกยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก จะประเมิน–จ่าย–ติดตามอย่างไร
  6. แผนจัดการขยะระยะยาวของบ้านดอย หลังย้ายเขต จะใช้วิธีใด ที่ไหน ใครกำกับ และมีการรับฟังชุมชนหรือไม่
  7. ความคืบหน้า MOU ระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว–เทศบาลนครเชียงราย จะลงนามเมื่อใด และมีข้อกำหนดบริการ/ความถี่/งบประมาณที่ชัดเจนเพียงใด

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการ “ทวงคำตอบ” แต่คือ มาตรวัดธรรมาภิบาล ความโปร่งใส (Transparency) ความรับผิดรับชอบ (Accountability) และการมีส่วนร่วม (Participation) ที่จะพาชุมชนกลับสู่สภาวะไว้วางใจ

กฎหมายว่าอย่างไร เมื่อ “ทิ้งถูก” แต่ “ที่ทิ้งไม่ถูก”

จากข้อมูลเชิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมักถูกอ้างถึงในคดีลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ แนวทางตีความความรับผิดมี 3 มิติ ซ้อนทับกัน

1) อาญา ฐานละเว้น/ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

หากพบว่ามีการ สั่งการ/ยินยอม/รู้เห็น ให้พักหรือฝังกลบขยะในที่ที่ไม่เหมาะสมหรือใกล้แหล่งน้ำ อาจเข้าข่าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต) และกรณีที่มีพยานหลักฐานเรื่อง ทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้างหรือใช้ดุลยพินิจโดยทุจริต อาจเข้าข่ายกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 172 ได้

2) วินัย ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลหรือปรากฏข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ การลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงสามารถดำเนินการได้ แม้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งแล้ว (ภายใต้กรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด)

3) ปกครอง/ละเมิด ชดใช้ความเสียหายให้ประชาชน

ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากการกระทำของเจ้าหน้าที่ก่อความเสียหายแก่ประชาชน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบชดใช้ก่อน จากนั้น หากเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานรัฐมีสิทธิ “เรียกคืน” จากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้บางส่วน นี่คือ กลไกยับยั้งเชิงการเงิน ที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้องระวังต่อการตัดสินใจผิดหลักวิชาการ

บทเรียนจากคดีตัวอย่าง (ตามข้อมูลที่ผู้ให้ข่าวอ้างถึง)

  • คดีบ่อขยะเกาะสมุย (ศาลปกครอง นศ. คดีแดง ส.1/2566) ศาลสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำจัดขยะคงค้าง–บำบัดน้ำเสียให้เสร็จภายใน 120 วัน เน้นย้ำหน้าที่รัฐต้องแก้ไขเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อส.2/2564 วินิจฉัยให้ อปท. ชดใช้ค่าสินไหม จากกรณีก่อให้เกิดน้ำเสียไหลลงพื้นที่เกษตรของประชาชน ถือเป็น “ละเมิด” จากการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความระมัดระวังตามหลักวิชาการ

สองกรณีข้างต้น ตามที่ถูกยกเป็นกรอบอ้างอิงในข้อมูล สะท้อนหลักกว้างๆ ว่า หากการกระทำของรัฐ/เจ้าหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายจริง ศาลสามารถบังคับให้แก้ไข–ชดใช้–และปรับปรุงระบบ เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ

บ่อขยะเถื่อนใกล้แหล่งน้ำ” ทำไมถึงเสี่ยง? วิทยาศาสตร์ของน้ำชะขยะ

การพัก/ฝังกลบขยะโดยไม่ผ่านระบบป้องกันมาตรฐาน (เช่น แผ่นรองกันซึม, ระบบเก็บน้ำชะขยะ, บ่อบำบัด, แนวกันน้ำท่วม) มีความเสี่ยงอย่างน้อย 3 ชั้น

  1. น้ำชะขยะ (Leachate) ละลายสารอินทรีย์–โลหะหนัก ไหลซึมลงดิน เข้าสู่แหล่งน้ำตื้น
  2. การกระจายกลิ่น–เชื้อโรค–แมลง สร้างภาวะรบกวนและเสี่ยงต่อสุขภาพชุมชน
  3. ความเสียหายต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ธุรกิจที่พึ่งพา “ความสะอาด–ความเชื่อมั่น” อย่างน้ำดื่ม–อาหาร–ท่องเที่ยว จะถูกกระทบทันทีแม้ยังไม่ยืนยันผลตรวจ

ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานสากลและกฎหมายไทยจึงเข้มงวดต่อที่ตั้งบ่อฝังกลบ ห้ามใกล้แหล่งน้ำ และต้องออกแบบรองรับตั้งแต่วันแรก

ทางออกที่จับต้องได้ 5 ชุดมาตรการ “หยุดเลือด–เยียวยา–ป้องกันซ้ำ”

เพื่อคลี่คลายวิกฤตศรัทธาและกู้ระบบให้เดินต่ออย่างยั่งยืน บทความนี้สรุปทางเลือกเชิงปฏิบัติการจากประสบการณ์พื้นที่อื่นและกรอบกฎหมายที่มีอยู่ ดังนี้

1) มาตรการฉุกเฉิน (ภายใน 7–14 วัน)

  • หยุดทันที ต่อการพัก/ฝังกลบขยะในพื้นที่เสี่ยงใกล้แหล่งน้ำ พร้อมปิดกั้นทางน้ำผิวดิน–ผิวใต้ดินชั่วคราว
  • ดึงผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น ตามจุดเสี่ยง และประกาศผลแบบเปิดเผยเป็นระยะ (เช่น รายสัปดาห์ใน 1–2 เดือนแรก)
  • หนังสือชี้แจงต่อผู้บริโภคน้ำดื่ม อธิบายมาตรการ–ผลตรวจ–แนวทางป้องกันซ้ำ พร้อมตั้ง ศูนย์สื่อสารความเสี่ยง กลางชุมชน

2) การเยียวยาเศรษฐกิจท้องถิ่น

  • สำรวจความเสียหายเชิงธุรกิจ ของวิสาหกิจน้ำดื่ม (ออเดอร์ที่ถูกยกเลิก–ต้นทุนตรวจเพิ่ม–ค่าใช้จ่ายฟื้นความเชื่อมั่น) และกำหนดเกณฑ์เยียวยาที่ชัดเจน
  • กองทุนชั่วคราว ร่วมภาครัฐ–ท้องถิ่น เพื่อบรรเทาผลกระทบเฉียบพลัน พร้อมแผน กู้ภาพลักษณ์ ด้วยตรารับรองคุณภาพน้ำ (ผ่านแล็บกลาง) 3–6 เดือนติดต่อกัน

3) สัญญาประชาคม–MOU จัดการขยะ

  • ลงนาม MOU ระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว–เทศบาลนครเชียงราย ระบุความถี่เก็บขยะ, เส้นทาง, จุดทิ้งปลายทางที่ได้มาตรฐาน, งบประมาณ, กลไกตรวจสอบ และ ผู้รับผิดชอบชัดเจน
  • ตั้ง แดชบอร์ดสาธารณะ แสดงตารางเก็บ–ปริมาณขยะ–ผลตรวจ–ข้อร้องเรียน–สถานะการแก้ไข ให้ชาวบ้านติดตามแบบเรียลไทม์

4) ปรับโครงสร้างระยะยาว

  • ยึดหลักวิชาการ ในการเลือกจุดพัก/ฝังกลบ–สถานีคัดแยก–ศูนย์รวบรวม รีไซเคิล และสัญญากำจัดปลายทาง
  • ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน มีสิทธิร่วมตรวจสถานที่–สัญญา–รายงานผลการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม
  • สร้างวินัยต้นทาง ผ่านอบรม/แรงจูงใจคัดแยกครัวเรือน–ผู้ประกอบการ ลดปริมาณขยะเป้าหมายรายไตรมาส

5) ธรรมาภิบาลและความรับผิด

  • หากผลสอบชี้ว่ามีการสั่งการ/รู้เห็นที่มิชอบ ให้ ดำเนินการตามกฎหมาย ครบทุกมิติ อาญา, วินัย, ละเมิด และพิจารณา เรียกคืนความเสียหาย จากผู้เกี่ยวข้อง
  • ตั้ง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม–สาธารณสุข–ผังเมือง–ตัวแทนชุมชน พร้อมกำหนดกรอบเวลา–เผยแพร่รายงานต่อสาธารณะ

เสียงจากพื้นที่ “ปัญหาอาจจบ แต่ความรู้สึกยังอยู่”

สารจากกำนันปรัตถกรสะท้อนความจริงเชิงสังคมที่สำคัญ ความเชื่อใจสร้างยากและพังง่าย แม้การจัดการเชิงเทคนิคจะกลับเข้ารูปเร็วเพียงใด แต่หากไม่มี “สำนึกความรับผิดและการสื่อสารที่โปร่งใส” วิกฤตศรัทธาจะค้างคาและกลายเป็น ต้นทุนความร่วมมือ ที่แพงยิ่งกว่าค่าจัดการขยะเสียอีก

วิกฤตครั้งนี้คือ “โอกาสทบทวนระบบ”

เหตุการณ์ในแม่ยาวไม่ได้ถามเพียงว่า “ขยะอยู่ไหน” แต่ถามลึกไปถึง ระบบรับผิดชอบร่วม ของรัฐท้องถิ่น ตั้งแต่การวางแผน การสื่อสาร การตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัด ไปจนถึงการยอมรับความผิดพลาดและการเยียวยา

ทางออกที่ยั่งยืนจึงต้องทำพร้อมกัน 3 ชั้น

  1. หยุดความเสี่ยงทันที (Stop the bleeding) ด้วยการห้ามพัก/ฝังกลบในพื้นที่เสี่ยง ตรวจ–ประกาศผล–สื่อสารความเสี่ยง
  2. เยียวยาความเสียหายจริง (Make it right) ชดเชยเศรษฐกิจชุมชน กู้ความเชื่อมั่นด้วยผลตรวจต่อเนื่องและตรารับรอง
  3. ป้องกันซ้ำด้วยระบบ (Fix the system) ผ่าน MOU ที่มีเขี้ยวเล็บ, แดชบอร์ดโปร่งใส, การมีส่วนร่วมของประชาชน และกลไกความรับผิดตามกฎหมาย

สุดท้าย “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ” คำตอบในกรอบกฎหมายไทยชัดเจน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะก่อน และหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานมีสิทธิ เรียกคืนจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ นี่คือหลักความเป็นธรรมที่ต้องเดินคู่กับหลักวิชาการและหัวใจของชุมชน

วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว จึงอาจกลายเป็น จุดพลิกระบบ หากทุกฝ่ายยืนอยู่บนความจริง กล้ารับผิด แก้ไขอย่างโปร่งใส และให้ชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลและอนาคตร่วมกัน

ภาคผนวก 7 คำถามของกำนันตำบลแม่ยาว (สรุปสาระ)

  1. รูปธรรมการแสดงความรับผิดชอบของเทศบาลต่อเหตุผิดพลาดครั้งนี้
  2. ผลตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น โดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก และการสื่อสารต่อสาธารณะ
  3. หนังสือชี้แจงผู้บริโภคน้ำดื่มของโรงน้ำดื่มแม่ยาว
  4. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว (เช่น แผนตรวจถี่/ประกาศผล/ตรารับรอง)
  5. รูปแบบ–เกณฑ์การเยียวยาผู้ประกอบการน้ำดื่มที่ถูกยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก
  6. แผนจัดการขยะระยะยาวของบ้านดอยหลังย้ายเขต (วิธี–สถานที่–ผู้รับผิดชอบ–การมีส่วนร่วม)
  7. โรดแมป MOU กับเทศบาลนครเชียงราย (วันลงนาม–ข้อกำหนดบริการ–ความถี่–งบประมาณ–กลไกตรวจสอบ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คำถาม 7 ข้อของ นายปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว
  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ)
  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 172 (การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต)
  • พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (หลักการชดใช้และสิทธิเรียกคืนจากเจ้าหน้าที่เมื่อมีเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง)
  • คดีบ่อขยะเกาะสมุย ศาลปกครองนครศรีธรรมราช คดีหมายเลขแดงที่ ส.1/2566 (คำสั่งให้ อปท. กำจัดขยะ–บำบัดน้ำเสียภายใน 120 วัน)
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อส.2/2564 (ยืนยันความรับผิดทางละเมิดของ อปท. จากน้ำเสียไหลกระทบพื้นที่เกษตร)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ขยะล้นชุมชนบ้านดอย ทต.แม่ยาว จ่าย ทน.เชียงราย เก็บ 2 ปี สะท้อนช่องว่างกฎหมายเมื่อ “เส้นทางเก็บขน” ไม่ย้ายตามเขต

ขยะล้นชุมชนบ้านดอย วิกฤต “ย้ายเขตปกครอง” สู่บทเรียนความรับผิดชอบเชิงระบบ—นครเชียงราย–แม่ยาวเตรียมทำ MOU เก็บสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พร้อมยกระดับคัดแยกต้นทาง

เชียงราย,19 พฤศจิกายน 2568ภาพรวมสถานการณ์  เมื่อ “การย้ายเขต” ทำให้ขยะกลายเป็นตัวชี้วัดความล้มเหลวเชิงระบบ  หลัง “ย้ายเขตปกครอง” ทำชุมชนบ้านดอย หมู่ 17 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ไม่มีหน่วยงานเข้าเก็บขยะต่อเนื่อง ชาวบ้านร้องทุกข์เพราะกองขยะ 7–10 วันต่อครั้ง กลายเป็นปัญหาสุขภาวะฉับพลันและศักดิ์ศรีความเป็นอยู่ หน่วยงานท้องถิ่นเร่งประชุมหลายระลอก จนได้ข้อสรุปจับมือทำ MOU  นครเชียงรายเข้าเก็บสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ยาว 2–3 ปี ค่าธรรมเนียมยัง 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน โดยเทศบาลตำบลแม่ยาวเป็นผู้จัดสรรงบจ่ายให้นครเชียงราย ควบคู่อบรมคัดแยกขยะในครัวเรือน ขณะเดียวกัน บทเรียนครั้งนี้สะท้อน “ช่องว่างกฎหมาย–ปฏิบัติ” เมื่อย้ายเขตแล้วแต่ “เส้นทางเก็บขน–ปลายทางกำจัด” ไม่ได้ย้ายตามมาตรฐาน ประชาชนตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบที่ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม

ปัญหาขยะกองสุมตามข้างทางในชุมชนบ้านดอย หมู่ 17 ต.แม่ยาว ปะทุสู่ “วิกฤตสุขภาวะ” จากเดิมที่ เทศบาลนครเชียงราย เก็บขยะ ทุกวัน กลับกลายเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ เทศบาลตำบลแม่ยาว ภายหลังการแบ่งเขตการปกครองใหม่ แต่การจัดวางระบบเก็บ–ขน–กำจัดไม่ต่อเนื่อง ทำให้ความถี่ลดลงเหลือ 7–10 วันต่อครั้ง ส่งผลให้ขยะตกค้างจำนวนมาก เกิดกลิ่นเหม็น หนู–แมลงวัน–สุนัขจรจัดเพิ่มขึ้น ชาวบ้านจำนวนหนึ่งเริ่มมีอาการไอ แสบคอ ระคายเคือง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กและผู้สูงอายุ (คำให้ข้อมูลของชุมชน)

ตัวแทนชาวบ้าน “นายนรินทร์” อธิบายว่า เดิมชุมชนบ้านดอยอยู่ หมู่ 3 ต.ริมกก อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครเชียงราย มีรถเข้าจัดเก็บทุกวัน เมื่อถูกย้ายมา หมู่ 17 ต.แม่ยาว ระบบเก็บขยะใหม่ยังไม่ลงตัว ทำให้ขยะกองสุมต่อเนื่อง เส้นทางซอย 4, 5, 7 และหมู่บ้านลลิตา 5 ได้รับผลกระทบรุนแรง

สัญญาณเสี่ยงทางสุขภาพ  การปล่อยให้ขยะสะสมหรือเผาแบบไม่เป็นระบบเพิ่มความเสี่ยงฝุ่นละเอียดและมลพิษหลายชนิด ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขและองค์ความรู้สากลเตือนต่อเนื่อง การเผาขยะกลางแจ้งเป็นแหล่งกำเนิดสารพิษ เช่น ไดออกซิน–ฟิวแรน–ฝุ่น PM กระทบระบบทางเดินหายใจและหัวใจและหลอดเลือด (องค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศและเอกสารเชิงเทคนิคของสหประชาชาติ/สิ่งแวดล้อม สนับสนุนข้อเท็จจริงนี้)

ไทม์ไลน์ข้อเท็จจริง  จาก “ร้องเรียน–ลงพื้นที่–ประชุม” สู่ข้อสรุปทำ MOU

ต.ค.–พ.ย. 2568 มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของฝ่ายปกครองท้องถิ่นและตัวแทนชุมชน เพื่อหาทางออกเร่งด่วนและถาวร ดังนี้ (ยึดข้อมูลพื้นที่ที่ผู้สื่อข่าวรวบรวม)

  • 22 ต.ค. 2568 เทศบาลตำบลแม่ยาวแจ้งกำหนดการออกหน่วยรับชำระค่าธรรมเนียมขยะ ประจำปีงบประมาณ 2569 เพื่อจัดระเบียบฐานข้อมูลผู้ชำระและรายรับท้องถิ่นในพื้นที่ใหม่
  • 24 ต.ค. 2568 นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาวมอบหมายคณะผู้บริหาร–ปลัดเทศบาล–กองสาธารณสุข ประชุมแผนบริหารจัดการขยะระดับตำบล ณ ห้องประชุม 248 อนุสรณ์
  • 27–31 ต.ค. 2568 และ 3–7 พ.ย. 2568 ฝ่ายจัดเก็บรายได้และกองคลัง ลงพื้นที่บริการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในหมู่บ้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบการเงิน–การคลังรองรับการให้บริการในพื้นที่ใหม่
  • 28 ต.ค. 2568 เลขานุการนายกเทศมนตรีลงพื้นที่ดูการแก้ไขปัญหาขยะของชุมชนบ้านดอย (ติดคอขวดเรื่องความถี่เก็บ–ขน)
  • 3 พ.ย. 2568 (เช้า) ผู้บริหารทต.แม่ยาว–กองสาธารณสุขฯ เข้าประชุมหาแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านดอย หมู่ 17 อย่างเฉพาะเจาะจง
  • 5 พ.ย. 2568 สองการประชุมสำคัญ  (1) ฝ่ายสาธารณสุขท้องถิ่นร่วมประชุมชี้แจงโครงการจัดการขยะ–สิ่งปฏิกูลในเขตป่าสงวน ระดับจังหวัด ณ ศาลากลาง จ.เชียงราย (2) ผู้บริหารทต.แม่ยาวหารือผู้แทนชุมชนบ้านดอย ณ ร้าน Leehu Cafe เพื่อรับฟังปัญหาหน้างาน
  • 6–7 พ.ย. 2568 เจ้าหน้าที่การคลังและคณะผู้บริหารยังคงลงพื้นที่รับชำระและติดตามสถานการณ์
  • 10 พ.ย. 2568 (เช้า) คณะผู้บริหารทต.แม่ยาวเข้าหารือกับ เทศบาลนครเชียงราย โดยตรง เพื่อหากลไกร่วมกัน
  • 10 พ.ย. 2568 (เย็น) ประชุมร่วมกันที่อาคารอเนกประสงค์บ้านดอย เพื่อสื่อสารข้อยุติกับชุมชน
  • 16 พ.ย. 2568 เปิด “หมู่บ้านต้นแบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ปีงบ 2569” ที่อาคารอเนกประสงค์ชุมชนบ้านดอย สะท้อนความพยายามยกระดับ “คัดแยกต้นทางและความถี่เก็บขน” ให้กลับเข้าสู่มาตรฐานอย่างยั่งยืน

ข้อสรุปเชิงปฏิบัติการ (เบื้องต้น)  ภายใน ประมาณ 2 สัปดาห์ นับจากการตกผลึกแนวคิดร่วมกัน สองเทศบาลจะทำ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดย เทศบาลนครเชียงราย จะเข้ามาเก็บขยะในชุมชนบ้านดอยและชุมชนทวีรัตน์ สัปดาห์ละ 2 วัน เป็นเวลา 2–3 ปี เพื่อ “อุดช่องว่างบริการ” ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ขณะที่ ค่าธรรมเนียม ยังเป็น 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน เหมือนเดิม แต่ เทศบาลตำบลแม่ยาว จะเป็นผู้จัดสรรงบประมาณมาชำระให้เทศบาลนครเชียงราย โดยไม่เก็บเงินเพิ่มจากชาวบ้าน พร้อมทั้งมีการลงพื้นที่ อบรมคัดแยกขยะในครัวเรือน ภายในสัปดาห์เดียวกัน

ประเด็นที่ต้องการคำตอบ  “ฝังกลบแบบไหน—ใครทำ—ทำไม—ใครบอกให้ทำ?”

เพื่อไม่ให้ “หลงทางของเรื่อง” ดังที่ชุมชนตั้งคำถาม ผู้สื่อข่าวสรุป “โซ่อุปทานขยะมูลฝอยชุมชน” และกรอบกฎหมาย–มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

โซ่บริการขยะ (เก็บ–ขน–กำจัด) และความรับผิดชอบ

  • จุดตั้งต้น (บ้าน–ร้าน–ตลาด)  เจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยต้อง “คัดแยก–เก็บรักษาขยะให้เรียบร้อย” และชำระค่าธรรมเนียมตามที่ท้องถิ่นกำหนด
  • การเก็บ–ขน  เป็น “หน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)” ในเขตพื้นที่นั้น ๆ ตาม พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้อปท.มีหน้าที่ดูแลการกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเพื่อคุ้มครองสุขอนามัยของประชาชน (อปท.สามารถมอบหมาย–ทำสัญญา–หรือทำ MOU ให้หน่วยงานอื่นช่วยดำเนินการได้)
  • ปลายทางกำจัด  ต้องเป็นวิธีที่ ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมาย เช่น นำไปสู่โรงคัดแยก/ศูนย์กำจัด, ฝังกลบแบบสุขาภิบาล (Sanitary Landfill), ทำปุ๋ยอินทรีย์ (Organic/Composting), แปรรูปพลังงาน หรือเทคโนโลยีอื่นที่ผ่านการอนุญาตและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีมาตรฐานและคู่มือวิชาการจาก กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)

แปลว่า  เมื่อ “เก็บ–ขน” สะดุดเพราะย้ายเขต ความผิดปกติเกิด ตั้งแต่กลางทาง ทำให้ปลายทาง “กำจัดอย่างถูกต้อง” ไม่เกิดขึ้นตามรอบเวลา ขยะจึงล้นสะสมและบางกรณีถูกเผาหรือทิ้งไม่ถูกที่โดยปัจเจก ซึ่ง ผิดกฎหมายและเสี่ยงสุขภาพ (ดู 3.3)

3.2 “ฝังกลบแบบสุขาภิบาล” คืออะไร ต่างจาก “หลุมฝังกลบธรรมดา” อย่างไร

  • ฝังกลบสุขาภิบาล (Sanitary Landfill)  เป็นระบบฝังกลบที่ ควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี ชั้นปูรองก้นหลุม (Liner), ระบบรวบ–บำบัดน้ำชะขยะ (Leachate), ระบบรวบ–ระบายก๊าซมีเทน, และ การกลบหน้าดินเป็นชั้น ๆ พร้อมมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิน–น้ำใต้ดิน ตามคู่มือ/แนวทางวิชาการของ กรมควบคุมมลพิษ และมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อ
  • ฝังกลบแบบไม่ควบคุม (เปิดทิ้ง–หลุมธรรมดา)  ขาดระบบปูรอง–จัดการน้ำชะขยะและก๊าซ จึงเสี่ยงต่อ ปนเปื้อนน้ำใต้ดิน, กลิ่น–แมลง–สัตว์พาหะ, และ ไฟไหม้กองขยะ จัดเป็น การกำจัดไม่ถูกต้อง ขัดต่อหลักสุขาภิบาลและกฎหมายสิ่งแวดล้อม

สรุปชัด ๆ  คำตอบเรื่อง “เอาขยะไปฝังดินแบบไหน” ต้องดูว่า ปลายทางได้รับอนุญาตและเป็น “หลุมฝังกลบสุขาภิบาล” จริงหรือไม่ มีระบบรองรับครบหรือเปล่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบสถานที่นั้น หากเป็น บ่อทิ้ง/ฝังกลบที่ไม่ได้มาตรฐาน ย่อมเข้าข่าย ไม่ถูกต้อง และ ต้องยุติ–แก้ไข ตามอำนาจควบคุมของอปท.และหน่วยงานกำกับ

ใครทำ–ทำไม–และใครบอกให้ทำ (เชิงหลักการกฎหมาย)

  • ใครทำ  โดยหลักกฎหมาย อปท.ตามเขตพื้นที่ ต้องจัดให้มีการเก็บ–ขน–กำจัด หรือทำข้อตกลงให้หน่วยอื่นทำแทน และต้องรับผิดชอบมาตรฐานบริการ รวมถึงกำกับไม่ให้เกิดการทิ้ง–เผา–ฝังที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ตน
  • ทำไม  เพราะเป็น “ภารกิจถ่ายโอน” ที่กฎหมายกำหนดให้ท้องถิ่นดูแลมูลฝอย–สิ่งปฏิกูล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสุขลักษณะสาธารณะและสิ่งแวดล้อม (พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ / พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ)
  • ใครบอกให้ทำ  การกำจัดแบบใด ๆ ต้องเป็นไปตาม ระเบียบ–มาตรฐาน–ใบอนุญาต ที่เกี่ยวข้อง (เช่น โรงกำจัด/บ่อฝังกลบที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย) อปท.และจังหวัด/หน่วยกำกับต้องตรวจสอบให้การดำเนินการ เป็นไปตามคู่มือวิชาการของ คพ. และกฎหมายสิ่งแวดล้อม การเผาขยะกลางแจ้งหรือทิ้งในที่สาธารณะ ไม่ใช่วิธีที่ “ใครบอกให้ทำ” แต่เป็น การกระทำต้องห้าม เนื่องจากก่อมลพิษอันตราย (หลักฐานวิชาการระหว่างประเทศยืนยันอันตรายจาก “open burning”)

ทำไมค่าธรรมเนียม 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน “จ่ายเท่าเดิม” แต่บริการต้อง “ดีขึ้น”

การคงค่าธรรมเนียม 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน สะท้อนหลักการ “ผู้ก่อขยะต้องมีส่วนร่วมจ่าย” (Pay-As-You-Throw – PAYT) ซึ่งเป็นแนวโน้มเชิงนโยบายที่หลายพื้นที่ทั่วโลกใช้ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจคัดแยก–ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ทั้งนี้ อัตราที่เหมาะสมขึ้นกับต้นทุนเก็บ–ขน–กำจัดจริงของพื้นที่ (เช่น ราคาน้ำมัน ระยะทางไปปลายทางกำจัด ประสิทธิภาพคัดแยก) โดยงานวิชาการไทยและต่างประเทศอธิบายว่า โครงสร้างค่าธรรมเนียมที่สอดคล้องต้นทุนจริง ทำให้บริการมีเสถียรภาพ และลดการทิ้งไม่เป็นที่หรือการเผานอกระบบ

ในกรณีบ้านดอย  แม้ชาวบ้านจ่ายเท่าเดิม แต่ “ผู้รับผิดชอบบริการ” ถูกจัดวางใหม่ผ่าน MOU ให้ นครเชียงราย เข้ามาเก็บสัปดาห์ละ 2 วัน ช่วง 2–3 ปี โดย ทต.แม่ยาว เป็นผู้จัดสรรงบประมาณจ่าย “ค่าจัดการ” ให้ นี่คือ กลไกชั่วคราวที่จับต้องได้ เพื่อลดระยะเวลาตกค้าง ลดกลิ่น–สัตว์พาหะ–ความเสี่ยงสุขภาพ และซื้อเวลาให้ระบบถาวรลงตัว

ทำไม “คัดแยกต้นทาง” ต้องเริ่มทันที และเกี่ยวอะไรกับหลุมฝังกลบ

ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนระดับหลายสิบล้านตันต่อปี แนวโน้มคงที่–เพิ่มขึ้นตามขนาดเมืองและพฤติกรรมบริโภค หากไม่คัดแยกต้นทาง ขยะอินทรีย์ (เศษอาหาร) จะไปลงหลุมฝังกลบ ทำให้เกิด น้ำชะขยะ และ ก๊าซมีเทน มากขึ้น เพิ่มต้นทุนควบคุม–บำบัด และทำให้ ฝังกลบสุขาภิบาล บริหารยากขึ้น คู่มือ/รายงานของ กรมควบคุมมลพิษ ย้ำแนวทาง “ลำดับขั้นการจัดการของเสีย (3Rs–Circular)” คัดแยก–รีไซเคิล–ทำปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดปริมาณที่ต้องกำจัดจริงให้เหลือน้อยที่สุดก่อนฝังกลบ

ผลลัพธ์ที่คาดหวังในบ้านดอย  ถ้า ความถี่เก็บเพิ่ม + ชาวบ้านคัดแยกเศษอาหาร–รีไซเคิล ตั้งแต่ครัวเรือน ปริมาณ “ขยะต้องฝังกลบ” จะลดลงรวดเร็ว กองขยะริมถนนหายไป กลิ่น–สัตว์พาหะลดลง ขณะเดียวกัน ต้นทุนรวมของระบบจะค่อย ๆ สมเหตุสมผลขึ้น

จุดรับผิดชอบที่ “จับต้องได้”  ใครต้องทำอะไร “ต่อจากนี้”

เพื่อให้เรื่องไม่วนลูป ผู้สื่อข่าวสรุป “เช็กลิสต์รับผิดชอบ” ที่วัดผลได้ ดังนี้ เทศบาลตำบลแม่ยาว (เจ้าของพื้นที่ใหม่)

  1. ลงนาม MOU กับเทศบาลนครเชียงรายให้ทันกรอบเวลา และประกาศ ตารางเก็บ–ขน รายสัปดาห์/รายซอย ให้ประชาชนเข้าถึงง่าย
  2. จัดสรรงบประมาณ ชำระค่าบริการตาม MOU อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด
  3. กำกับปลายทางกำจัด ให้ถูกต้องตามกฎหมาย/มาตรฐาน (เช็คสถานะสถานที่กำจัด–บ่อฝังกลบ–โรงคัดแยก) ตามคู่มือ คพ. และรายงานต่อสาธารณะเป็นระยะ
  4. อบรมคัดแยกต้นทาง ต่อเนื่อง ทำ “ธนาคารขยะชุมชน/เศษอาหารทำปุ๋ย” ในหมู่บ้านต้นแบบที่เพิ่งเปิด เพื่อให้เป็นโมเดลขยายผล

เทศบาลนครเชียงราย (ผู้ปฏิบัติการเก็บ–ขนตาม MOU)

  1. วางเส้นทาง–ความถี่เก็บ ให้ครอบคลุมซอยวิกฤต (ซอย 4,5,7, ลลิตา 5) และสื่อสารเวลารถเข้าชัดเจน
  2. มาตรฐานรถ–คน–อุปกรณ์ ป้องกันรั่วไหล–กลิ่น–น้ำชะขยะระหว่างขนส่ง
  3. รายงานผลบริการรายเดือน (เที่ยววิ่ง–ปริมาณเก็บ–ปลายทางกำจัด) เพื่อความโปร่งใส

ชุมชนบ้านดอย/คณะกรรมการชุมชน

  1. ทำ ปฏิทินคัดแยก ง่าย ๆ (อินทรีย์–รีไซเคิล–ทั่วไป) และ จุดรวมขยะที่ปลอดภัย
  2. ประสาน “จิตอาสา–เครือข่ายร้านรีไซเคิล” ให้รับซื้อ/รับคืน
  3. เปิด ช่องทางร้องเรียน–ติดตาม กับเทศบาลทั้งสองแบบเรียลไทม์ (ไลน์กลุ่ม/เพจ) เพื่อยืนยันปัญหา–แจ้งเคสเฉพาะหน้า

จังหวัด/หน่วยกำกับ (เช่น ท้องถิ่นจังหวัด–สาธารณสุขจังหวัด)

  1. กำกับ MOU ให้เดินจริงตามกรอบเวลา–มาตรฐาน
  2. สุ่มตรวจปลายทางกำจัด ว่าเป็น ฝังกลบสุขาภิบาล/โรงงานที่ได้รับอนุญาต
  3. หากพบ ฝังกลบไม่ถูกต้อง–เผากลางแจ้ง–ทิ้งไม่เป็นที่ ให้ใช้มาตรการทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ/พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ ทันที

วิกฤต “ย้ายเขต” สอนอะไร และจะไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร

การเปลี่ยนเขต = ต้องเปลี่ยนระบบบริการจริง บทเรียนชี้ชัดว่า การแจ้งย้ายเขตบนแผนที่ ไม่เพียงพอ หาก “เส้นทางรถเก็บ–ขน–สัญญาผู้รับจ้าง–งบประมาณ–ข้อมูลผู้ชำระค่าธรรมเนียม–ปลายทางกำจัด” ไม่ถูกย้าย–โอน–ทำสัญญาใหม่ ให้สอดคล้อง ในวันแรกที่เปลี่ยนเขต ผลลัพธ์คือ “ภาวะไร้หน่วยรับผิดชอบ” ชั่วคราวที่ทำให้ขยะสะสม และความถี่เก็บคือเส้นเลือดฝอยของเมือง
จาก ทุกวัน 7–10 วัน/ครั้ง ทำให้ปริมาณตกค้างพุ่ง และผู้คนเริ่ม “แก้ปัญหาเอง” ด้วยการเผาหรือนำไปทิ้งไม่ถูกที่ ซึ่งเป็น การผลักภาระสุขภาพสู่ชุมชน และก่อค่าความเสียหายในภาพรวมสูงกว่า “ต้นทุนบริการที่เพียงพอ” อย่างมาก

ความโปร่งใสด้านปลายทางกำจัด คือหัวใจความไว้วางใจ คำถาม “ฝังกลบแบบไหน–ใครบอกให้ทำ” สะท้อนความไม่แน่ใจของประชาชน MOU ต้องระบุ ปลายทางกำจัด ชัดเจน (ชื่อสถานที่/ใบอนุญาต/มาตรฐาน) และเปิดเผยรายงาน “เที่ยววิ่ง–ปริมาณ–ปลายทาง” แบบรายเดือน เพื่อให้ชุมชนตรวจสอบได้ว่าขยะถูกนำไปกำจัดแบบ ฝังกลบสุขาภิบาล หรือวิธีที่ถูกต้องจริง ไม่ใช่เพียง “เอาไปทิ้ง–ฝัง–เผา” ใด ๆ โดยไม่มีมาตรฐาน คัดแยกต้นทาง + ค่าธรรมเนียมที่สะท้อนต้นทุน = ระบบยั่งยืน
เมื่อครัวเรือนคัดแยก เศษอาหารไปทำปุ๋ยได้ รีไซเคิลขายได้ ปริมาณที่ต้องเก็บ–ฝังกลบจะลดฮวบ และเมื่อท้องถิ่นคำนวณต้นทุน–โครงสร้างค่าธรรมเนียมสอดคล้องจริง ระบบจะ “เดินได้เอง” ไม่สะดุด

 “ความรับผิดชอบที่จับต้องได้” ต้องเริ่มวันนี้ ไม่ใช่สัญญาในกระดาษ

ชาวบ้านดอยไม่ได้ต้องการเพียงคำขอโทษ แต่ต้องการ บริการที่กลับมาทันเวลา และ การกำจัดที่ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นอยู่ที่ปลอดภัยและเมืองที่น่าอยู่ MOU นครเชียงราย–แม่ยาว เป็นก้าวแรกที่ จับต้องได้  เก็บขยะ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วง 2–3 ปี, ค่าธรรมเนียมไม่เพิ่ม, อบรมคัดแยกทันที แต่ความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นจริง ก็ต่อเมื่อ (1) ตารางเก็บ–ขนเดินตรงเวลา, (2) ปลายทางเป็น “ฝังกลบสุขาภิบาล/วิธีถูกกฎหมาย” มีเอกสารยืนยัน, และ (3) รายงานผลต่อสาธารณะ อย่างสม่ำเสมอ

สุดท้าย บทเรียน “ย้ายเขตแล้วขยะล้น” ควรถูกยกระดับเป็น มาตรฐานปฏิบัติกรณีเปลี่ยนเขต ของทั้งจังหวัด  ต้องมี “แผนส่งมอบบริการ (Service Handover Plan)” ที่ครอบคลุม เส้นทาง–ความถี่–สัญญา–งบ–ปลายทาง–การสื่อสารกับชุมชน ล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งรอบตารางเก็บ เพื่อตัดวงจรวิกฤตตั้งแต่ต้นน้ำ

ตอบคำถามชุมชนแบบสั้น–ตรงประเด็น

  • ที่เอาขยะไปฝังดินนั้นเป็นแบบไหน?
    คำตอบ: ต้องเป็น ฝังกลบสุขาภิบาล มีชั้นปูรอง ระบบน้ำชะขยะ–ก๊าซ–เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ไม่ใช่การขุดหลุมธรรมดาแล้วกลบ ซึ่งถือว่า ไม่ถูกต้อง และเสี่ยงสิ่งแวดล้อม (อ้างแนวทาง คพ.)
  • ใครทำ–ทำไม–ใครบอกให้ทำ?
    คำตอบ: โดยหลักกฎหมายเป็นหน้าที่ อปท.ตามเขตพื้นที่ จะทำเอง ทำสัญญา หรือทำ MOU ให้หน่วยอื่นดำเนินการแทนก็ได้ แต่ ทุกวิธีต้องถูกกฎหมายและตามมาตรฐาน (พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ / พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ) และ ห้ามเผากลางแจ้ง/ทิ้งไม่เป็นที่ เพราะทำลายสุขภาพชุมชน
  • ถ้าพบการทิ้ง–เผา–ฝังไม่ถูกต้อง ทำอย่างไร?
    คำตอบ: แจ้ง ทต.แม่ยาว ในฐานะเจ้าของพื้นที่ และสำเนาถึง ทน.เชียงราย (ผู้ปฏิบัติการตาม MOU) และ ท้องถิ่นจังหวัด/สาธารณสุขจังหวัด เพื่อใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งระงับ–แก้ไข–ดำเนินคดี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • พระราชบัญญัติการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไข, พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2535
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้าน-สท. ร้องนายกฯ เทศบาล ปม “ลับ-ลวง-พราง” การจัดการขยะที่ไม่โปร่งใส

วิกฤตขยะแม่ยาว “ลับ–ลวง–พราง” ชาวบ้านร่าร้อง “นายก–ปลัด” ชี้แจง ปม “บ่อขยะเถื่อน” ติดแม่น้ำกก–โรงน้ำดื่ม เสี่ยงปนเปื้อนแหล่งน้ำ ชี้หัวใจคือ “ความจริงใจ–ความปลอดภัยสาธารณะ”

เชียงราย, 14 พฤศจิกายน 2568 – กลางความเงียบของคืนฝนพรำ รถแบคโฮคันหนึ่งเลาะร่องทางเข้าสำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว มุ่งสู่แนวพงหญ้าหลังอาคาร ก่อนฟันดินเปิดโพรงขนาดใหญ่ “กองกลบ” ที่กำลังรอคอย—คือขยะเปียก–ขยะแห้ง–ถุงดำ–เศษอาหาร—ทั้งหมดถูกทยอยเทลงไปในความมืด ชาวบ้านเล่าว่า การขุด–ทิ้ง–กลบ เกิดขึ้นซ้ำยามค่ำ/วันหยุดราชการคล้ายการทำงานของ “เงามืด” มากกว่างานราชการ

เช้าวันถัดมา กลิ่นคลุ้งตีเข้าหน้า—ชี้นำสายตาไปยัง โรงผลิตน้ำดื่มชุมชนแม่ยาว ที่อยู่ใกล้กัน และ แนวแม่น้ำกก ห่างไม่ถึงร้อยเมตรตามที่ชุมชนระบุ พนักงานโรงน้ำดื่มตัดสินใจ หยุดผลิตชั่วคราว เพื่อส่งน้ำเข้าห้องปฏิบัติการตรวจสอบ “เราอยากให้ลูกค้ามั่นใจ เราไม่เคยทำให้ใครเสีย” ผู้จัดการโรงน้ำดื่มกล่าว บอกถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทันทีจากเหตุการ์ณ “ชั่วคราวเพื่อดับกลิ่น” ของภาครัฐ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ใช่จุดเริ่มต้น หากคือ ผลลัพธ์ปลายทาง ของการจัดการขยะที่สะดุดยาวนานนับเดือนนับแต่ ชุมชนบ้านดอย–หมู่บ้านลลิตา 5 ถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงรายเข้าสู่เขตเทศบาลตำบลแม่ยาว โดยปราศจากการชี้แจงชัดเจน ทำให้เกิดภาวะ “ไร้เจ้าภาพแน่ชัด” ในการเก็บขน ขยะจึงล้นซอย ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2568 ชาวชุมชนร้องเรียน ศูนย์ดำรงธรรม และเข้าหารือหลายครั้ง แต่ “รถเก็บขยะที่รอคอย” ยังมาไม่ทัน กลิ่นเหม็น–ควันเผา–หนู–แมลงวัน–สัตว์จรจัด จึงกลายเป็นภาพคุ้นชินใหม่ของชีวิตรายวัน

ปฏิบัติการกลางคืนหลักฐานกลางวัน “ความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่ฝัง”

การลงพื้นที่ของ สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) เขต 1–2 และชาวบ้าน นำไปสู่การค้นพบ “หลุมฝังกลบ” ในเขตปฏิบัติการเทศบาลเอง พร้อมหลักฐาน ขยะที่ฝังไปแล้วบางส่วน และ ขยะค้างปากหลุม ที่กำลังรอคิว เมื่อถูกชี้ถาม “ใครสั่ง?” คำตอบจากเจ้าหน้าที่ชั้นต้นคือ “ไม่ทราบ” ขณะที่นายกเทศมนตรีแจ้งกับชาวบ้านว่า “ติดภารกิจที่ลำปาง” และได้รับรายงานจากทีมบริหารว่าจะเร่งแก้ไขร่วมกัน

ณัฐธยาน์ ตันติอัศวเวชกุล สมาชิกสภาเทศบาล เขต 1 เทศบาลตำบลแม่ยาว ตั้งข้อกล่าวหาอย่างตรงไปตรงมา

  • สองมาตรฐาน ในการจัดเก็บ—ทำไม “บ้านดอย” ได้รับการดูแลพิเศษ ขณะที่ “สายบนดอย” ที่ขยะล้นใกล้แม่น้ำกกกลับไร้การจัดเก็บที่ทันกาล
  • ความโปร่งใส ในการใช้งบ–อนุมัติ รถแบคโฮ “ทำไมกรณีช่วยเหลือชาวบ้านอนุมัติไม่ไวเท่านี้?”

ข้อเท็จจริงที่ตรวจนับได้ หลังถูกจับได้ คืนพุธ มีการขุด–ขนออก 2 เที่ยวรถ วันถัดมาขนออก 12 เที่ยวรถ 6 ล้อ แล้วยัง “เหลือค้าง” สะท้อนปริมาณขยะที่มากเกินกว่าจะเรียกว่า “ซ่อนชั่วคราวเพื่อลดกลิ่น” อย่างไร้แผนรองรับ

เสียงชุมชน–เสียงโรงน้ำดื่ม “ความหวังดี” ที่สวนทาง “ความปลอดภัย”

“ทำไมต้องเลือกทิ้งที่นี่? …ทั้งที่ ติดโรงน้ำดื่ม–ติดแม่น้ำกก” ชาวบ้านตั้งคำถาม ขณะที่ ผู้จัดการโรงน้ำดื่ม ยืนยันว่าโรงงาน หยุดผลิตชั่วคราว และจะ ส่งน้ำตรวจแล็บ ก่อนกลับมาดำเนินงาน เพื่อไม่ให้คำว่า “สะอาด” กลายเป็นคำที่ไร้ความหมาย

“เรามีออร์เดอร์ แต่ต้องหยุดไว้ก่อน …กลิ่นมันแรง ลูกค้าจะมองเราไม่ดี” —ประโยคสั้นๆ แต่สะท้อน “ต้นทุนความเชื่อมั่น” ที่ธุรกิจชุมชนต้องจ่ายแทนรัฐ

คำชี้แจงเทศบาลแม่ยาว “ฝังชั่วคราว–ดับกลิ่น–รอผู้รับเหมา”

ทวิช ยะปะนันท์. ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลแม่ยาว ชี้แจงกับสื่อและชุมชนว่า เทศบาล แบ่งการแก้ปัญหาเป็น 3 ระยะ

  1. เฉพาะหน้า จ้างเอกชนเก็บขยะตกค้างในชุมชน (บ้านดอย–ทวีรักษ์–โรงเรียน) โดยขอความร่วมมือเทศบาลนครเชียงราย
  2. ยาวขึ้น ทำ MOU ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย กำหนดกรอบการจัดการขยะร่วมกัน
  3. สื่อสาร–ลดขยะต้นทาง ลงพื้นที่ให้ความรู้ คัดแยกขยะ กับชุมชน

ส่วน การขุดหลุม–ฝัง ผอ.ชี้แจงว่าเป็น เพื่อลดกลิ่นชั่วคราว ระหว่างรอผู้รับเหมา พร้อม ฉีดพ่นดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ และยืนยันว่า ไม่ได้จะทิ้งถาวร”

คำชี้แจงดังกล่าว แม้บอกเจตนาดี แต่กลับ สวนทางหลักสุขาภิบาล อย่างชัดเจนในสายตาชุมชน เพราะ ทำเล ที่เลือกคือ ข้างโรงน้ำดื่ม–ชิดแม่น้ำ และการทำโดย ไม่แจ้ง ไม่ประชาคม จึงกลายเป็นบาดแผลความเชื่อมั่นที่ลึกยิ่งกว่ากลิ่นขยะ

กฎหมาย–มาตรฐาน เมื่อ “ความเร่งด่วน” ต้องไม่ข้าม “ความปลอดภัย”

การตั้ง/ฝังกลบมูลฝอยให้ถูกหลักสุขาภิบาล ต้องผ่าน การอนุญาตออกแบบวิศวกรรม มี ระบบบ่อรับน้ำชะขยะ–บ่อบำบัด–บ่อติดตามคุณภาพน้ำใต้ดิน และ ตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน/ใต้ดินอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวคือ กันน้ำชะขยะไม่ให้ไหลสู่แหล่งน้ำกิน–ใช้ของประชาชน และต้อง ไม่ตั้งในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม หรือใกล้แหล่งน้ำดื่มบาดาลในระยะต้องห้าม/ต้องมีมาตรการป้องกันเข้มงวด

เหนือกว่านั้น โครงการรัฐที่กระทบสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูล–เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง (เช่น ชาวบ้าน–ผู้ประกอบการโรงน้ำดื่ม) ก่อนเริ่มดำเนินการ การ “แอบทำ” ในยามวิกาล จึงมิใช่เพียงความผิดพลาดทางเทคนิค แต่คือ ความไม่ชอบด้วยกฎหมายทางขั้นตอน และอาจพัฒนาไปสู่ความรับผิดทั้ง ทางวินัย–ทางอาญา–ทางปกครอง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ–ละเลยมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

มุมมองทางกฎหมาย การละเมิดที่ร้ายแรง ความผิดสำเร็จแล้ว ตั้งแต่มีการฝังกลบขยะโดยปราศจาก การอนุญาต–ประชาคม และละเมิดหลักสุขาภิบาล (กรณีห้ามตั้ง/ฝังกลบใกล้แหล่งน้ำดื่ม–บาดาลในระยะที่กำหนด)

จากการศึกษาเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พบว่าการดำเนินการฝังกลบขยะในกรณีนี้มีประเด็นที่น่ากังวลหลายประการ

ประการแรก ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2560 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่ตั้งสำหรับฝังกลบมูลฝอยอย่างชัดเจน โดยสถานที่ฝังกลบต้องมีความลึกของก้นบ่อสูงกว่าระดับน้ำใต้ดินสูงสุดไม่ต่ำกว่า 1 เมตร และต้องไม่เป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง เว้นแต่จะมีระบบหรือมาตรการป้องกันที่เหมาะสม การฝังกลบขยะใกล้แหล่งน้ำโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอจึงเป็นการละเมิดข้อกำหนดดังกล่าว

ประการที่สอง สถานที่ฝังกลบที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลจะต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน และมีบ่อติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินอย่างน้อย 3 บ่อ พร้อมการตรวจสอบอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี การฝังกลบอย่างลับๆ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางเทคนิคเหล่านี้ได้

ประการที่สาม กฎหมายกำหนดให้โครงการของรัฐที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย หรือชุมชนท้องถิ่น ต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเริ่มดำเนินการ การ “แอบ” ดำเนินการโดยปราศจากกระบวนการดังกล่าวถือเป็นการละเลยขั้นตอนสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด

บทเรียนจาก “สงครามขยะ” เมืองเชียงราย วิกฤตเชิงโครงสร้างไม่ควรแก้ด้วย “ทางลัด”

กรณีพิพาทขยะในพื้นที่อื่นของเชียงรายในอดีต—อย่าง เทศบาลตำบลบ้านดู่ ที่เคยถูกสั่งปิดบ่อขยะในเขตป่าสงวน จนนำรถขยะไปหน้าศาลากลางร้องผู้ว่าฯ และเสนอทำ โรงขยะชีวมวล ทว่ายึดติดกับปัญหาผังเมือง—ชี้ให้เห็นว่า การจัดการขยะคือโจทย์โครงสร้าง ต้องการ พื้นที่–เทคโนโลยี–งบประมาณ–การยอมรับของชุมชน “ทางลัด” อย่างการฝังกลบฉุกเฉินใกล้แหล่งน้ำ เพียงย้ายปัญหา จากกลิ่น–ทัศนียภาพ ไปสู่ ความเสี่ยงสารพิษในน้ำ ที่อาจแพงกว่ามากในการเยียวยา

คำถามที่ผู้บริหารต้องตอบ (เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่น)

  1. ใครสั่งการ? มีคำสั่ง/บันทึกอนุมัติใช้งบ–ว่าจ้างรถแบคโฮหรือไม่? ใครรับผิดชอบหน้างาน?
  2. ทำไมเลือกทำเลข้างโรงน้ำดื่ม–ใกล้แม่น้ำกก? ได้ประเมินความเสี่ยงการปนเปื้อนหรือยัง?
  3. ได้แจ้ง–ทำประชาคมหรือไม่? หากไม่ เหตุใดจึงละเลยกระบวนการที่กฎหมายกำหนด?
  4. ผู้รับเหมาเก็บขยะคือใคร? TOR/สัญญา/กำหนดส่งมอบ–ค่าปรับ–แผนสำรองอยู่ที่ใด?
  5. ปริมาณขยะที่ฝัง–ขนย้ายทั้งหมดเท่าใด? หลักฐานการชั่ง–บันทึกเที่ยวรถ–ปลายทางกำจัดอยู่ไหน?
  6. ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ–โรงน้ำดื่ม ประเมินอย่างไร? ใครเป็นผู้ตรวจ? จะเปิดผลแล็บเมื่อไร?
  7. มาตรการเยียวยา ต่อธุรกิจชุมชน–ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ (รายได้–สุขภาพ–ทรัพย์สิน) คืออะไร?
  8. แผนถาวร จัดการขยะบ้านดอย–ลลิตา 5 และทั้งตำบลคืออะไร? ใครเป็นเจ้าภาพ–กรอบเวลา–งบประมาณ?

ทางออก “ตรงกลาง” ที่ปลอดภัย แผน 72 ชั่วโมง–โปร่งใส–ตรวจได้

เพื่อหยุดยั้งความเสี่ยงและฟื้นไว้วางใจในระยะสั้น ควรมี คณะกรรมการร่วมแบบ Incident Command นำโดย นายอำเภอ–ผู้ว่าราชการจังหวัด ประสาน เทศบาลแม่ยาว–เทศบาลนคร–สท.–ตัวแทนชุมชน–โรงน้ำดื่ม–สาธารณสุข–หน่วยงานกำกับ ปฏิบัติการ ภายใน 72 ชั่วโมง ดังนี้
(1) ความปลอดภัยแหล่งน้ำ กั้นเขต–ป้องกันน้ำผิวดินไหลผ่าน, เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน–น้ำใต้ดิน–น้ำประปา ตรวจแล็บโดยหน่วยอิสระ/มหาวิทยาลัยท้องถิ่น และประกาศผล รายวัน ใน 14 วันแรก
(2) ขนย้าย–ฟื้นฟูพื้นที่ บันทึกพิกัด–ปริมาณ–เที่ยวรถ, ย้ายไปสถานที่กำจัดที่ได้รับอนุญาต, เกลี่ย–อัด–ปิดผิว–ปลูกหญ้า, วาง บ่อติดตามน้ำใต้ดิน ชั่วคราวอย่างน้อย 2 จุดท้ายน้ำ
(3) เอกสาร–สัญญา–งบ เปิด TOR/สัญญา/ไทม์ไลน์/ผู้รับเหมา ต่อสาธารณะ, ระบุบทลงโทษกรณีผิดนัด, ตั้ง เบอร์ฮอตไลน์/ช่องทางร้องเรียนออนไลน์
(4) เยียวยา–สื่อสาร กองทุนเยียวยาธุรกิจชุมชน/โรงน้ำดื่มตามหลักฐานเสียหาย, แถลงข่าว ทุก 24 ชม. ในสัปดาห์แรก, ทำ Q&A ตอบข้อสงสัยสาธารณะ
(5) แผนถาวร เลือก สถานที่กำจัดขยะ ตามหลักสุขาภิบาล–เว้นระยะจากแหล่งน้ำ, ประเมิน เทคโนโลยี (คัดแยก–หมัก–เชื้อเพลิงขยะ–ศูนย์ถ่ายลำเลียง), ทำ ประชาคม รอบด้าน, วาง กรอบเวลา–งบประมาณ–ตัวชี้วัด, และตั้ง บอร์ดอิสระ ติดตามรายไตรมาส

มุมมองเชิงระบบ “ไม่ให้เกิดอีก” ต้องเริ่มที่ “ความไว้วางใจ”

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ชัดว่า ความเร่งด่วน ของกลิ่น–กองขยะ ไม่อาจเป็นเหตุผลให้ข้าม ความปลอดภัย–ความโปร่งใส การ “แอบทำ” คืนหนึ่งอาจดูง่าย แต่ค่าเสียหายระยะยาว—ทั้งต่อ สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–ธุรกิจชุมชน–ความเชื่อมั่นภาครัฐ—แพงกว่ามาก

หากเทศบาลแม่ยาวสามารถ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” ด้วยการ ยอมรับ–เปิดข้อมูล–แก้ไขเชิงระบบ กับเทศบาลนครเชียงรายและชุมชนคู่ขนานกัน เมืองจะได้ แบบอย่างใหม่ ของการจัดการขยะที่ ตรงกลาง–ปลอดภัย–ตรวจสอบได้ และยุติวัฏจักร “ลับ–ลวง–พราง” ไม่ให้ย้อนกลับมาอีก

กล่องสรุป (สำหรับประชาชน–ผู้ประกอบการ)

  • เหตุเกิดจาก ช่องว่างการเก็บขยะ หลังย้ายเขตการปกครอง ชุมชนร้องเรียนตั้งแต่ ต้น ต.ค. 2568
  • พบการ ขุด–ทิ้ง–ฝังกลบ กลางคืน/วันหยุด ในที่ตั้งเทศบาล ติดโรงน้ำดื่ม–ใกล้แม่น้ำกก
  • หลังถูกจับได้ ขุดย้ายออก ≥12 เที่ยวรถ 6 ล้อ แต่ ยังเหลือค้าง
  • โรงน้ำดื่ม หยุดผลิตชั่วคราว–ส่งน้ำตรวจแล็บ เพื่อคงความเชื่อมั่น
  • เทศบาลอ้าง ฝังชั่วคราว–ดับกลิ่น–รอผู้รับเหมา พร้อมแผน 3 ระยะ
  • ชุมชน–สท. เรียกร้อง ชี้แจง–เปิดเอกสาร–ตั้งคณะกรรมการร่วม–ตรวจน้ำอิสระ
  • ข้อเสนอเร่งด่ว แผน 72 ชั่วโมง ปกป้องแหล่งน้ำ–ขนย้าย–ฟื้นฟู–เปิดข้อมูล–เยียวยา

สังคมท้องถิ่นไม่เคยปฏิเสธความหวังดีของรัฐท้องถิ่น แต่ ความหวังดีที่ไม่ยอมกอดคอ “กฎหมาย–วิชาการ–ประชาชน” ย่อมเดินไม่ไกล การยอมรับว่า “ทำผิด” และ แก้ให้ถูก ซ่อมให้โปร่งใส” คือเงื่อนไขแรกของการกลับมาเจอกัน “ตรงกลาง” ที่ปลอดภัย—เพื่อให้แม่น้ำกกยังไหลใส และน้ำดื่มชุมชนยังคงชื่อว่า “สะอาดจริง” ไม่ใช่เพียงฉลาก

ทางแยกระหว่างความไว้วางใจกับความสงสัย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัดเชียงราย เป็นบททดสอบที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยท้องถิ่น เป็นการทดสอบว่าระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลยภาพในระดับท้องถิ่นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด การที่สมาชิกสภาเทศบาลกล้าออกมาตั้งคำถามและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร และการที่ชาวบ้านกล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง แสดงให้เห็นว่าระบบประชาธิปไตยท้องถิ่นยังมีชีวิตและพลัง

ขณะเดียวกัน การตอบสนองของฝ่ายบริหารต่อข้อกังวลเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชนจะถูกสร้างขึ้นหรือทำลายลง การเลือกที่จะเปิดเผยความจริง รับผิดชอบต่อความผิดพลาด และดำเนินการแก้ไขอย่างโปร่งใส จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ดังที่นายสีเมือง ธำมา รองประธานชุมชนห้วยปลากั้ง เคยกล่าวไว้ในบริบทของการเรียกร้องเรื่องการแบ่งเขตการปกครอง “คนที่มารวมตัวในวันนี้ ทุกคนมาด้วยใจ ไม่มีใครบังคับให้มา ทุกคนมาเพื่อแสดงเจตนารมณ์”

ชาวบ้านตำบลแม่ยาวไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก พวกเขาต้องการเพียงแค่ความปลอดภัยในการดำรงชีวิต น้ำสะอาดที่ไม่ปนเปื้อน และความมั่นใจว่าผู้บริหารท้องถิ่นของตนจะทำงานเพื่อประโยชน์ของพวกเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำงานโดยลับๆ ในเวลากลางคืน คำถามสุดท้ายที่ยังค้างคาใจคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ชาวบ้าน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการปกครองท้องถิ่น และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต สำหรับตอนนี้ ชาวบ้านตำบลแม่ยาวยังคงรอคำตอบ รอความชัดเจน และรอการดำเนินการที่แสดงถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ในขณะที่แม่น้ำกกยังคงไหลผ่าน พาเอาความหวังและความกังวลของชุมชนไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คดีชุมนุมหอนาฬิกาเชียงราย: ศาลฎีกาลงโทษปรับ 4,000 บาท ยืนยันอำนาจรัฐคุมเสี่ยงโรคระบาด

ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์เชียงราย: ศาลฎีกายืนคำพิพากษา “สุปรียา ใจแก้ว” ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกิจกรรมชุมนุมปี 2563 — ศาลชี้ “แออัดแม้พื้นที่โล่งแจ้ง” ยามโรคระบาด รัฐใช้อำนาจคุมเข้มได้เพื่อสุขภาพสาธารณะ

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568 — เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในคดีของ สุปรียา ใจแก้ว หรือ “แซน” อดีตนักกิจกรรมจังหวัดเชียงราย จากเหตุเป็นพิธีกรในการชุมนุมทางการเมืองบริเวณ ห้าแยกหอนาฬิกา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 คำพิพากษาศาลฎีกา ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าจำเลยมีความผิดฐานฝ่าฝืน ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ คำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย โดยปรับ 4,000 บาท (จำเลยชำระค่าปรับแล้วตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ คดีจึงสิ้นสุดหลังต่อสู้ยาวนานกว่า 5 ปี)

สาระสำคัญของคำพิพากษาอยู่ที่การตีความว่า “สถานที่แออัด” ในบริบทโรคระบาด มิได้จำกัดอยู่ที่สภาพทางกายภาพ ของสถานที่เท่านั้น แต่หมายรวมถึง การรวมตัวของบุคคลจำนวนมาก ในพื้นที่เดียวกันโดยมิได้เว้นระยะห่าง ซึ่งทำให้มี “ความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค” แม้กิจกรรมจะจัดในที่โล่งแจ้งก็ตาม

คดีเล็กในเมืองรองที่กลายเป็นคำพิพากษาอ้างอิงระดับชาติ

เหตุของคดีเริ่มจากการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เชียงรายในช่วงกลางปี 2563 ท่ามกลางกระแสเรียกร้องทางการเมืองทั่วประเทศ รายงานพยานหลักฐานของโจทก์ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมราว 700 คน กระจุกตัวหน้าเวทีรถบรรทุก 6 ล้อในระยะใกล้ หลายคน ไม่ได้เว้นระยะห่าง 1 เมตร และ “บางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย” การคัดกรองโรค ณ จุดจัดกิจกรรม “ไม่มีมาตรการป้องกันครบถ้วน” ตามหลักเกณฑ์ควบคุมโรคในขณะนั้น

เส้นทางคดีผ่านหลายด่าน:

  • ศาลชั้นต้น พิพากษา ยกฟ้อง โดยเห็นว่าแม้จำเลยมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม แต่สภาพพื้นที่โล่งและหลักฐานด้านสาธารณสุขหลังการชุมนุม “ยังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดต่อเนื่องกว่า 133 วัน” ทำให้ความเสี่ยง ไม่ถึงระดับแออัดอันตราย
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อ 16 ส.ค. 2566 พิพากษากลับ เห็นว่าพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุ “เข้าลักษณะสถานที่แออัดและเสี่ยงสูง” แม้เป็นที่โล่ง แจ้งลงโทษปรับ 4,000 บาท โดย ยืนยกฟ้อง เฉพาะข้อหายุยงให้เกิดความไม่สงบ
  • ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม วันนี้ พิพากษายืน ตามศาลอุทธรณ์ พร้อมวินิจฉัยหลักการสำคัญ 3 ประเด็น: อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ, และนิยาม “สถานที่แออัด” ในสถานการณ์โรคระบาด

อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ

1) อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ: “ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุม” เมื่อจำเป็นต่อความปลอดภัยสาธารณะ

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจรัฐ จำกัดการชุมนุม ในสถานการณ์พิเศษเพื่อป้องกันเหตุร้าย/โรคระบาด โดยนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในส่วนความมั่นคง ซึ่งมีอำนาจวางมาตรการป้องกันไม่ให้ฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว (หลักการเรื่องอำนาจและขอบเขตการจำกัดสิทธิภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกอธิบายโดยนักกฎหมายและองค์กรสิทธิพลเมืองจำนวนมาก

2) อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ: “สั่งงดกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก”

ศาลย้ำว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด มีอำนาจ ออกคำสั่งป้องกันโรค รวมถึงสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค ซึ่งเป็นอำนาจตาม มาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และคำสั่งดังกล่าวถือเป็น “คำสั่งห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง” ได้ในตัว เมื่อมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั้งอาณาจักร

นัยสำคัญทางนิติศาสตร์: ศาลรับรอง โครงสร้างอำนาจคู่ขนาน” ระหว่างกลไกความมั่นคง (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และกลไกสาธารณสุข (พ.ร.บ.โรคติดต่อ) ว่าสามารถใช้ “ควบ” กันได้ในห้วงเวลาวิกฤตโรคระบาด หากเจตนารมณ์เพื่อปกป้องสุขภาพสาธารณะและความปลอดภัยของประชาชน

จุดหักเหของคดี: คำว่า “แออัด” ไม่ได้หมายถึง “คับแคบ”

หัวใจคำพิพากษาอยู่ที่การขยายความว่า ความแออัดของสถานที่มิได้จำกัดอยู่เพียงสถานภาพทางกายภาพ” หากแต่หมายถึง “สภาพแวดล้อมที่เกิดจากการรวมตัวของคนจำนวนมากโดยไม่เว้นระยะห่าง” แม้จะเป็นลานถนนเปิดโล่งหน้า หอนาฬิกาเชียงราย แต่อากาศบริเวณหน้าเวที ถ่ายเทไม่สะดวก” จากการเบียดเสียดและการหายใจ/ละอองฝอยของผู้คน จึงเข้าลักษณะ “สถานที่แออัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ”

คำ “แออัด” จึงมี ขอบเขตยืดหยุ่นตามบริบทการแพร่โรค ไม่ใช่คงที่ตามแบบแปลนพื้นที่หรือผังเมือง—นี่คือเหตุผลที่ทำให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา “กลับคำ” จากศาลชั้นต้น แม้จะมีรายงานด้านสาธารณสุขช่วงหลังเหตุการณ์ว่า “ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่” ในจังหวัดในช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม เพราะกฎหมายพิจารณา ความเสี่ยงขณะเกิดเหตุ” และ มาตรการป้องกันเชิงระบบ” มากกว่าผลตามมาที่อาจเกิดหรือไม่เกิด

สิทธิเสรีภาพกับข้อยกเว้นในภาวะฉุกเฉิน: เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ตรวจสอบรัฐ” และ “ทำผิดข้อกำหนด”

ศาลฎีกาย้ำหลักการว่า รัฐธรรมนูญคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่สิทธิดังกล่าว อาจถูกจำกัดชั่วคราว ด้วยกฎหมายเฉพาะกรณีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยสาธารณะ หรือเพื่อสุขภาพประชาชน เช่น กฎหมายภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎหมายควบคุมโรคติดต่อ—ซึ่งทั้งหมด ต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วน ต่อสถานการณ์

ในส่วนข้อหาว่า “ยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” ศาล ยืนยกฟ้อง เหมือนชั้นอุทธรณ์ โดยเห็นว่า สาระคำปราศรัย แม้จะวิพากษ์การทำงานรัฐบาล เรียกร้องให้ลาออก ยุบสภา หรือแก้รัฐธรรมนูญ แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบ “การตรวจสอบโดยสันติวิธี” ตามวิถีประชาธิปไตย ไม่ถึงขั้นปลุกปั่นให้ทำผิดกฎหมาย จึง ไม่เข้าลักษณะยุยงปลุกปั่น

อ่านให้ขาด: คดีนี้จึง แยกแกนสิทธิออกเป็นสองชั้น — ชั้นเนื้อหา (speech) ไม่ผิด แต่ชั้น รูปแบบการรวมตัว (assembly) ผิดข้อกำหนดควบคุมโรค ตามกฎหมายพิเศษในห้วงฉุกเฉิน

ลำดับเหตุการณ์ (Timeline) และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • 25 ก.ค. 2563: ชุมนุมที่ห้าแยกหอนาฬิกาเชียงราย ขณะมี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั่วประเทศ
  • 2564–2566: คดีผ่านศาลชั้นต้น (ยกฟ้อง) ต่อด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 (พิพากษากลับ ปรับ 4,000 บาท)
  • 5 พ.ย. 2568: ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม พิพากษายืน “ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ + คำสั่งโรคติดต่อ” ยืนยกฟ้องข้อหายุยง
  • กฎหมายที่ศาลหยิบใช้:
    1. พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 — ให้อำนาจจำกัดการชุมนุม/มั่วสุมโดยออก ข้อกำหนดตามมาตรา 9 เพื่อควบคุมเหตุร้าย/โรคระบาด
    2. พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 — ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

บรรทัดฐาน “ความแออัด” กับการจัดกิจกรรมสาธารณะหลังยุคโควิด

  1. หลักคิด “แออัด” แบบพลวัต (Dynamic Crowding):
    คำพิพากษาตอกย้ำว่า คำว่า แออัด จะถูกอ่านร่วมกับ บริบทความเสี่ยงทางสาธารณสุข ในขณะนั้น ไม่ใช่ยึดติดแต่เพียง “ผนัง–หลังคา–ผังพื้น” ของสถานที่ ผู้จัดกิจกรรมสาธารณะ—ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุม การแสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาล—ควร คิดเชิงความเสี่ยง (risk-based) ตั้งแต่การออกแบบทางเข้า-ออก, การเว้นระยะ, ระบบคัดกรอง, การสื่อสารสุขภาพ, ไปจนถึงแผนรองรับฉุกเฉิน
  2. เสรีภาพกับมาตรการพิเศษ: เส้นแบ่งที่ต้องพิสูจน์ความจำเป็น–ได้สัดส่วน
    แม้คำพิพากษารับรองการใช้ อำนาจพิเศษของรัฐ ในยามโรคระบาด แต่ก็ตอกย้ำด้วยว่าการจำกัดสิทธิต้อง สัมพันธ์โดยตรง กับวัตถุประสงค์คุ้มครองสุขภาพประชาชน และต้องอยู่ ในกรอบกฎหมาย ที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ประสบการณ์หลายประเทศสะท้อนปัญหาการ “ทำให้มาตรการฉุกเฉินกลายเป็นปกติใหม่” ซึ่งวงวิชาการและสิทธิมนุษยชนเตือนให้ ทบทวนเมื่อพ้นวิกฤต
  3. บทเรียนสำหรับ “ผู้จัดกิจกรรม” และ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย”
  • ฝั่งผู้จัด: ควรจัดทำ มาตรฐานสุขภาพสาธารณะ เป็นเช็กลิสต์ (pre-event, on-site, post-event) ที่ตรวจสอบได้ เช่น แผนเว้นระยะคน, ช่องทางเข้า-ออกแบบ one-way, ระบบคัดกรอง, อุปกรณ์ป้องกัน, ทีมแพทย์อาสา ฯลฯ
  • ฝั่งรัฐ: การบังคับใช้ควร สื่อสารเกณฑ์ความเสี่ยงที่ชัดเจน และเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ประชาชนทำตามได้จริง นอกจากนี้ควรแยก การจัดรูปแบบกิจกรรม” ออกจาก เนื้อหาการแสดงออก” เพื่อลดข้อครหาการใช้กฎหมายพิเศษไปกระทบ สาระของเสรีภาพการเมือง

คำพิพากษานี้ยืนยันอะไร และไม่ยืนยันอะไร

  • ยืนยัน อำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ใช้ควบกันได้ในห้วงโรคระบาด เพื่อจำกัดการรวมกลุ่มในลักษณะเสี่ยง
  • ยืนยัน นิยาม “แออัด” แบบกว้างตามบริบทการแพร่โรค แม้เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง
  • ยืนยัน ว่า เนื้อหา การวิพากษ์เชิงการเมือง (เช่น เรียกร้องยุบสภา/แก้รัฐธรรมนูญ) ไม่ใช่ความผิด ถ้ายังอยู่ในกรอบสันติวิธี
  • ไม่ยืนยัน ว่าทุกการชุมนุมช่วงโควิดผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติ—ขึ้นกับ “ข้อเท็จจริงของความแออัด/มาตรการ” ในแต่ละกรณี
  •  ไม่ยืนยัน ว่ารัฐมีอำนาจไม่จำกัด—การจำกัดสิทธิต้องมี ความจำเป็น–ได้สัดส่วน–มีกฎหมายรองรับ

เสียงสะท้อนจากภาคสนาม ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ราคาที่แท้จริงคือ “บรรทัดฐาน”

แม้โทษในทางคดีลงท้ายเพียง ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ “ราคาทางบรรทัดฐาน” สูงกว่านั้นมาก เพราะคำพิพากษาศาลฎีกา กำหนดมาตรฐานตีความ ที่จะถูกอ้างถึงในคดีอนาคตซึ่งเกี่ยวข้องกับ การรวมกลุ่มสาธารณะในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข รวมทั้งงานอีเวนต์ สังสรรค์ มหรสพ หรือแม้แต่งานชุมชนขนาดใหญ่

นักกฎหมายจำนวนหนึ่งชี้ว่า ประเด็น “บริบทความเสี่ยง” ซึ่งศาลหยิบพิจารณาอย่างละเอียด เป็นสัญญาณว่าในอนาคต—แม้ไม่อยู่ในห้วงโควิด—หากเกิด ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขรูปแบบอื่น (เช่น โรคระบบทางเดินหายใจสายพันธุ์ใหม่) บรรทัดฐานนี้อาจถูกนำมาใช้ประกอบการ จำกัดการรวมกลุ่มชั่วคราว อีกครั้ง เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่าง สิทธิพลเมือง กับ ความปลอดภัยสาธารณะ

นัยทางนโยบายสาธารณะจึงชี้ไปยังการ เตรียมเครื่องมือกฎหมายปกติ ให้เพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพามาตรการฉุกเฉินยืดเยื้อ เช่น ระเบียบอนามัยงานอีเวนต์, กฎกระทรวงด้าน crowd management, ระบบเตือนภัยสุขภาพในงานชุมนุม—ทั้งหมดนี้เพื่อให้การคุ้มครองสุขภาพประชาชน ไม่กลายเป็นใบอนุญาตครอบคลุมไปจำกัดสิทธิเกินจำเป็น

เรื่องนี้จบแล้ว แต่บทสนทนาสังคมเพิ่งเริ่ม”

คดีสุปรียา ใจแก้ว สิ้นสุดในทางคดี—แต่ในทางสังคม คำถามเรื่อง ขอบเขตการใช้มาตรการพิเศษ ยังต้องการคำตอบต่อไป เราจะสร้าง สูตรคงที่ สำหรับจำกัดหรือผ่อนปรนเสรีภาพไม่ได้ เพราะวิกฤตแต่ละชนิดมีพลวัตต่างกัน สิ่งที่ทำได้คือ ความโปร่งใส, การอธิบายเหตุผลเชิงข้อมูล, และ การมีส่วนร่วม ของสาธารณะในทุกขั้นตอน—เพื่อให้วันที่สังคมต้องเลือกความปลอดภัยเหนือความสะดวก เสรีภาพของเราจะ ไม่ถูกลืม ระหว่างทาง

สรุปย่อ (Key Takeaways)

  • ศาลฎีกา พิพากษายืน: สุปรียา ใจแก้ว ผิดข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และคำสั่งโรคติดต่อ จากเหตุชุมนุม 25 ก.ค. 2563 ที่เชียงราย โทษปรับ 4,000 บาท (คดีสิ้นสุด)
  • ศาลชี้ว่า “แออัด” หมายถึงสภาพการรวมตัว โดยไม่เว้นระยะห่าง แม้พื้นที่จัดกิจกรรมเป็น ที่โล่งแจ้ง ก็เข้าลักษณะเสี่ยงแพร่โรคได้
  • ยืนยกฟ้อง ข้อหายุยงปลุกปั่น—เนื้อหาวิพากษ์การเมืองอยู่ในขอบเขตเสรีภาพการแสดงออก
  • คำพิพากษาวาง บรรทัดฐานการตีความ สำหรับกิจกรรมสาธารณะในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข: รัฐจำกัดได้เมื่อ จำเป็น–ได้สัดส่วน–มีฐานกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • iLaw
  • Fortify Rights, “Thailand: Ensure COVID-19-Response Protects Basic Rights” (9 กันยายน 2564)
  • ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หลักฐานจากแม่น้ำ! “เอี่ยนหู” โผล่เชียงของหลังหาย 20 ปี ตอกย้ำวิกฤตเขื่อน-การบริหารน้ำโขง

เชียงราย “เอี่ยนหู” กลับมาหลังหายไป 20 ปี – ปลาตูหนาหนัก 2.2 กิโลกรัมโผล่เชียงของ จุดประกายคำถามใหญ่ต่ออนาคตแม่น้ำโขง และแรงกดดันเขื่อนพลังน้ำ

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ปลาที่ไม่มีใครคิดว่าจะเห็นอีก การจับปลาตูหนา (Anguilla bicolor) หรือ “เอี่ยนหู” ได้จากแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาดของชาวประมงพื้นบ้าน แต่กำลังกลายเป็นหลักฐานเชิงนิเวศที่ตั้งคำถามกลับไปยังระบบบริหารจัดการแม่น้ำโขงทั้งสาย ว่าการสร้างเขื่อน การควบคุมระดับน้ำ และการใช้ประโยชน์ทางการค้าในปลายน้ำ กำลังผลักสัตว์น้ำอพยพระยะไกลให้ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” ในตอนบนของลุ่มน้ำโขงหรือไม่ ขณะที่เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงปลายพฤศจิกายนนี้ ชาวบ้านตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ต่างรุมดู “ปลาแปลก” ที่ชาวประมงพื้นบ้านจับได้บริเวณหาดแฮ่ จุดหาปลาริมชายแดนไทย–ลาว ปลาตัวนั้นไม่ใช่ปลาบึก ไม่ใช่ปลากระเบนยักษ์ แต่เป็นปลาไหลรูปร่างอวบป้อม ผิวสีน้ำตาลอ่อน ครีบออกสีคล้ำ ท้องสีขาว น้ำหนักกว่า 2.2 กิโลกรัม “เอี่ยนหู” คนเฒ่าเรียกแบบนั้น

 

ชื่อในภาษาวิชาการคือ “ปลาตูหนา” หรือ Anguilla bicolor ปลาสองน้ำที่ขึ้นชื่อว่าหายากที่สุดชนิดหนึ่งของแม่น้ำโขงตอนบน และแทบไม่มีใครในพื้นที่ได้เห็นของจริงมานานเกือบสองทศวรรษ

“ในรอบ 20 ปี ไม่มีใครเจอของจริงแถวนี้แล้ว” หนึ่งในคนหาปลาท้องถิ่นเล่ายืนยันพร้อมน้ำเสียงครึ่งตื่นเต้นครึ่งเกรงใจธรรมชาติ เพราะในความเชื่อท้องถิ่น ปลาตูหนาเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพญานาค บางคนไม่กล้ากิน ไม่กล้าเก็บ และมีธรรมเนียม “ต้องปล่อย” ด้วยซ้ำ ด้านหนึ่ง นี่คือเรื่องเล่าในชุมชนริมโขงอีกด้านหนึ่ง นักอนุรักษ์และนักวิจัยสิ่งแวดล้อมบอกว่า “นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดในรอบหลายปี”

ปลาตูหนา สัตว์ดัชนีของแม่น้ำที่ยังเชื่อมถึงทะเล

ปลาตูหนาไม่ใช่ปลาธรรมดาในเชิงนิเวศ เพราะมันเป็น “ปลาสองน้ำ” (catadromous / diadromous) ที่มีวงจรชีวิตซับซ้อนกว่าปลาแม่น้ำทั่วไป

  • วางไข่ในทะเลหรือน้ำเค็ม
  • เมื่อตัวอ่อนฟัก (ระยะ glass eel) จะอพยพทวนน้ำขึ้นแม่น้ำจืด ใช้ชีวิตเติบโตหลายปีในแหล่งน้ำลึก วังน้ำ พื้นก้นแม่น้ำ
  • เมื่อถึงวัยสืบพันธุ์ (yellow eel / silver eel) จึงจะอพยพกลับลงสู่ทะเลอีกครั้ง เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่

กล่าวง่าย ๆ ปลาตูหนาต้องการ “แม่น้ำที่ไม่ถูกตัดขาดจากทะเล” จึงจะมีชีวิตครบวงจรได้ เพราะฉะนั้น การที่ยังพบปลาตูหนาขนาดกว่า 2 กิโลกรัมในเชียงของ ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ใกล้ทะเลหลายพันกิโลเมตร แปลความได้สองทางที่ขัดแย้งกันเองอย่างน่าคิด ระบบนิเวศแม่น้ำโขงยังไม่ตายสนิท ยังเหลือช่องทางการอพยพให้สัตว์น้ำระยะไกลเล็ดรอดขึ้นมาได้ หากนี่เป็นเพียงตัวที่รอดขึ้นมาจากระบบที่กำลังแตกสลาย นี่อาจเป็น “รุ่นสุดท้าย” มากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวจริง

 

ข้อมูลจากบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List, สถานะล่าสุดเมื่อปี 2019) ระบุให้ Anguilla bicolor อยู่ในกลุ่ม “ใกล้ถูกคุกคาม” (Near Threatened) ระดับโลก หมายถึงยังไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในเชิงสถิติทั่วโลก แต่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชุมชนเตือนว่า การมองเฉพาะสถานะระดับโลกอาจทำให้เข้าใจผิด เพราะในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะแม่น้ำโขงตอนบนบริเวณเชียงราย สถานการณ์อาจอยู่ในระดับ “เกือบสูญพันธุ์ในพื้นที่” ไปแล้ว หรืออย่างน้อยก็ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” กล่าวคือ ถึงแม้สายพันธุ์ยังมีอยู่บนโลก แต่ระบบนิเวศท้องถิ่นนั้นไม่ทำหน้าที่รองรับสายพันธุ์นั้นได้อีกต่อไป

 

“ปลาตูหนาคือบททดสอบว่าแม่น้ำโขงยังเป็นแม่น้ำเดียวกันหรือไม่” นักอนุรักษ์ท้องถิ่นจากเครือข่ายลุ่มน้ำโขงตอนบนให้ความเห็น

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จาก 4 ตัวสุดท้าย (2546–2547) ถึงการหายสาบสูญ

ข้อมูลภาคสนามเชิงระบบครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายในพื้นที่เชียงของ–เวียงแก่น เกิดขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2546 ถึงมิถุนายน 2547 เป็นงานวิจัยไทบ้านซึ่งอาศัยการเฝ้าสังเกตของชาวประมงพื้นบ้านร่วมกับภาคประชาสังคม ที่ต่อมาถูกนำเสนอโดยกลุ่มและเครือข่ายอย่างสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

ตัวเลขที่ได้ในเวลานั้นคือ “4 ตัว” — จำนวนปลาตูหนาที่ถูกจับหรือพบเห็นตลอดช่วงหลายเดือนการสำรวจ

  • 2 ตัว ถูกบันทึกในพื้นที่คอนผีหลง
  • 2 ตัว ถูกบันทึกในบริเวณแจ๋มผาดินแดงและหาดฮ่อน

พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่จุดจับปลาแบบสุ่ม แต่เป็น “วังน้ำลึก / ครก” คือหลุมลึกตามร่องน้ำที่ชาวบ้านรู้จักกันมานานในฐานะแหล่งหลบภัยของปลาใหญ่ในฤดูน้ำน้อย วังน้ำลึกยังเป็นแหล่งของสัตว์หน้าดินหรือสัตว์พื้นน้ำ (benthic fauna) เช่น ไส้เดือนน้ำ หนอนแดง ตัวอ่อนแมลง ซึ่งเป็นอาหารหลักของปลาตูหนาวัยโต

หลังปี 2547 เป็นต้นมา การพบปลาตูหนาในเชียงของแทบไม่มีรายงานอย่างเป็นระบบอีก จนคนส่วนหนึ่งในพื้นที่เริ่มพูดกันตรง ๆ ว่า “มันหายไปแล้ว” และตีความว่าแม่น้ำโขงตอนบน “ถูกตัดขาด” ตั้งแต่นั้น

ดังนั้น การปรากฏตัวของปลาน้ำหนัก 2.2 กิโลกรัมจากหาดแฮ่ในปลายเดือนตุลาคม 2568 จึงเชื่อมเส้นเวลาตรงกลับไปยังข้อมูลปี 2546–2547 และตั้งคำถามว่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อะไรเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง

สายโซ่ของปัญหา เขื่อน การไหลผิดธรรมชาติ และการค้าลูกปลาไหล

นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากอธิบายปัจจัยเชิงโครงสร้างไว้สอดคล้องกัน ว่าการลดลงของปลาตูหนาในแม่น้ำโขงตอนบนไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากแรงกดดันหลายชั้นที่ซ้อนทับกัน

เขื่อนและโครงสร้างกีดขวางการอพยพ

เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์หลังปี 2558 ถูกมองว่าเป็น “กำแพง” ของปลาสองน้ำอย่างปลาตูหนา

ปลาตูหนาที่อยู่ระยะโตเต็มวัยต้องการอพยพขึ้นน้ำจืดตอนบนเพื่อเจริญเติบโต แต่โครงสร้างของเขื่อนระดับสูงทำให้การผ่านขึ้นตามธรรมชาติแทบเป็นไปไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อต้องอพยพกลับลงสู่ทะเลในฐานะปลาไหลวัยสืบพันธุ์ (silver eel) หรือเมื่อตัวอ่อน (glass eel) เคลื่อนลงตามกระแสน้ำ ปลาวัยอ่อนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการตายจากกังหันผลิตไฟฟ้าในเขื่อน

กล่าวอีกแบบ เขื่อนหนึ่งแห่งสามารถตัดทั้งเส้นทางขึ้น (ไปเติบโต) และเส้นทางลง (ไปสืบพันธุ์) ในคราวเดียว

รูปแบบการไหลของน้ำที่ผิดธรรมชาติ

ระบบการบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อน โดยเฉพาะจากเขื่อนตอนบนในแม่น้ำโขงสายหลักและสาขา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงขึ้น–ลงแบบรวดเร็วฉับพลัน ไม่เป็นไปตามฤดูกาลธรรมชาติ เหตุการณ์น้ำขึ้นเร็วหรือลดฮวบในเวลาไม่ถึงวัน ส่งผลให้ตลิ่งพัง วังน้ำลึกถูกกัดเซาะ ทรายและตะกอนเปลี่ยนรูปหน้าก้นแม่น้ำ

สำหรับปลาตูหนาที่อาศัยพื้นน้ำลึกเป็นแหล่งหากินและหลบภัย การสูญเสีย “ครก” หรือ “วัง” ไม่ได้หมายถึงแค่เสียบ้าน แต่คือการสูญเสียพื้นที่หลบภัยจากกระแสน้ำเชี่ยว และเสียแหล่งอาหารเชิงระบบ

การใช้ประโยชน์ลูกปลาไหลเชิงพาณิชย์
ปลากลุ่ม Anguillid eel รวมถึงปลาตูหนา มีมูลค่าสูงในตลาดเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะระยะลูกปลาใส ๆ ที่เรียกว่า glass eel ซึ่งถูกจับในปริมาณมากในปลายน้ำ (โดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำโขงและพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาค) เพื่อเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

การจับหนักในช่วงต้นวงจรชีวิต หมายถึงจำนวนน้อยลงของปลาไหลวัยอ่อนที่จะสามารถอพยพขึ้นไปถึงตอนบน เช่น เชียงของ ผลลัพธ์คือ แม้พื้นที่ตอนบนจะยังมีบางหลุมธรรมชาติที่ดีพอสำหรับปลาโต แต่ประชากรใหม่กลับไม่ถูกเติมเข้าไปอีกแล้ว

ช่องว่างในการคุ้มครองเชิงนโยบาย

ในทางนโยบาย ปลาตูหนาไม่ใช่ “ดารา” ของแม่น้ำโขง สายตาสาธารณะและโครงการอนุรักษ์หลายโครงการมักมุ่งไปที่ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เช่น ปลาบึก หรือปลากระเบนแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่เล่าเรื่องได้ง่าย

ปลาตูหนาในทางกลับกันเป็นปลาที่ออกหากินยามค่ำ อยู่ก้นแม่น้ำ ไม่ค่อยถูกพบเห็นโดยคนทั่วไป ไม่ได้มีตลาดบริโภคใหญ่ในท้องถิ่น (คนจำนวนมากไม่นิยมกิน และบางพื้นที่ยังมีความเชื่อเชิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ผลคือ สปีชีส์นี้แทบไม่ถูกผลักขึ้นสู่วาระเชิงนโยบาย

ช่องว่างนี้สะท้อนชัดในมาตรการบรรเทาผลกระทบของเขื่อนหลายแห่ง ที่มักออกแบบ “ทางปลาผ่าน” (fish passage) โดยเน้นปลาบางชนิดที่ว่ายทวนน้ำแรง แต่ยังไม่ตอบคำถามสำคัญว่า “ลูกปลาไหลขนาดเล็กจะลงทะเลได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกกังหันบดหรือไม่” คำตอบจนถึงวันนี้ ยังไม่ชัด

เส้นบางระหว่าง “หวังได้” กับ “สายเกินไป”

สิ่งที่ทำให้ปลาตูหนาตัวเดียวถูกจับตามองอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงความหายาก แต่คือจังหวะเวลา

เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นเวทีที่รัฐสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาจะหารือเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน ท่ามกลางประเด็นอ่อนไหวอย่างการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ การจัดสรรระดับน้ำ และผลกระทบต่อชุมชนริมน้ำ นักอนุรักษ์ในพื้นที่มองว่า ปรากฏการณ์ปลาตูหนาครั้งนี้คือ “สัญญาณให้มนุษย์หยุดและฟังแม่น้ำก่อนจะสายไปกว่านี้”

อีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่าห้ามโรแมนติไซส์ความหวังจนเกินจริง หากมองในเชิงประชากร การเจอปลาน้ำหนักกว่า 2 กิโลกรัมเพียงตัวเดียว ไม่สามารถตีความว่า “ประชากรปลากำลังฟื้น” ได้โดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม มันอาจสะท้อนว่าแม่น้ำโขงตอนบนกำลังเหลือเพียง “ตัวสุดท้ายของรุ่นสุดท้าย” ที่ยังไม่กลับลงทะเลไปสืบพันธุ์ และถ้าปัจจัยคุกคามยังเหมือนเดิม ประชากรใหม่ก็แทบไม่มีโอกาสเดินทางขึ้นมาเติมอีก

อีกความเสี่ยงหนึ่งคือ การทำให้เหตุการณ์นี้ถูกใช้เชิงการสื่อสารว่า “เห็นไหม แม่น้ำยังดีอยู่ ยังมีปลาอยู่” ซึ่งอาจถูกนำไปเป็นข้ออ้างว่าการพัฒนาโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนบนลำน้ำโขงสายหลักและสาขา ไม่ได้ทำลายระบบนิเวศจริงจังเท่าที่ภาคประชาชนอ้าง

นักวิชาการด้านนิเวศน้ำจืดบางรายจึงใช้คำแรงว่า ปลาตูหนาคือ “หลักฐานของการยื้อชีวิตครั้งสุดท้าย มากกว่าหลักฐานการฟื้นตัว” และเสนอว่า นี่ควรเป็นจุดตั้งต้นของการปรับนโยบาย ไม่ใช่จุดจบของการสนทนา

ทางออกเชิงระบบ จากวังน้ำลึกสู่โต๊ะนโยบาย

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ถูกหยิบยกต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ออกแบบมาตรการ “ทางผ่านลงสู่ปลายน้ำ” ให้จริงจัง

นโยบายการจัดการเขื่อนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต้องยกระดับจากการพูดถึง “ทางปลาขึ้น” ไปสู่ “ทางปลาลง” อย่างจริงจัง ปัจจุบันโครงสร้างทางปลาผ่านจำนวนมากยังไม่ได้ออกแบบเพื่อช่วยลูกปลาไหลวัยอ่อนให้กลับลงสู่ทะเลโดยปลอดภัย ยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกกังหันผลิตไฟฟ้าทำให้ตายหรือบาดเจ็บสาหัส

ในมุมนี้ นักวิจัยเสนอว่า ควรนิยามความสำเร็จของทางปลาผ่านในเขื่อนสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ไม่ใช่แค่ “ปลาอะไรขึ้นมาได้กี่ตัว” แต่ต้องรวมถึง “ปลาไหลวัยอ่อนสามารถลงได้กี่เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ถูกทำลาย”

ติดตามปลาสองน้ำเป็นตัวชี้วัดบังคับ

มีข้อเสนอให้กำหนด “ปลาตูหนา (Anguilla bicolor)” เป็นสัตว์ตัวชี้วัด (indicator species) ในการประเมินประสิทธิภาพของการบริหารจัดการเขื่อนและทางปลาผ่าน ไม่ใช่ประเมินเพียงปลาชนิดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หรือเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเท่านั้น

การติดตามประชากรปลาตูหนาทั้งระยะตัวอ่อน (glass eel) และตัวเต็มวัย ควรถูกทำเป็นเงื่อนไขทางวิชาการร่วมในระดับลุ่มน้ำโขงตอนล่าง แทนที่จะเป็นเพียงการเฝ้าดูโดยชุมชนท้องถิ่นที่ขาดทรัพยากร

รักษาแหล่งอาศัยที่ยังเหลืออยู่ – วังน้ำลึก, คอนผีหลง, แจ๋มผาดินแดง

ชุมชนท้องถิ่นในเชียงของและเวียงแก่นได้ผลักดันพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ปลา (Fish Conservation Zones: FCZs) เช่น พื้นที่คอนผีหลง ให้เป็นเสมือน “เขตพักฟื้น” ของปลา วังน้ำลึกเหล่านี้เป็นโครงสร้างธรรมชาติที่ระบบนิเวศสร้างขึ้นเองมาหลายชั่วคน และเป็นที่หลบภัยของสัตว์น้ำที่ไม่สามารถอยู่ในน้ำตื้นที่ถูกกระแสน้ำปรับขึ้นลงฉับพลันได้

แม้มาตรการแบบ FCZ จะยังไม่สามารถ “ดึง” ปลาตูหนากลับมาจำนวนมากได้ หากเส้นทางอพยพทั้งระบบยังถูกตัดขาด แต่มันถือเป็นการรักษาพื้นที่รองรับในอนาคต หากการเจรจานโยบายในระดับลุ่มน้ำสามารถปรับปรุงเส้นทางการเชื่อมต่อของแม่น้ำได้จริง

จำกัดการดูดทรัพยากรตั้งแต่ปลายทาง

ความร่วมมือระดับภูมิภาคจำเป็นต่อการควบคุมการจับลูกปลาไหลสีแก้วจากธรรมชาติในปริมาณสูงเพื่อป้อนการเพาะเลี้ยงในเชิงอุตสาหกรรม การลดการตัดทอนประชากรตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้ จะช่วยให้มีปลาไหลวัยอ่อนมากพอจะอพยพขึ้นมาสู่ตอนบนในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการฟื้นตัว

จากเรื่องเล่าชาวบ้านสู่เวทีการเมืองน้ำโขง

ในเชิงสัญลักษณ์ เหตุการณ์ปลาตูหนาที่เชียงของเกิดขึ้นในจังหวะที่ลุ่มน้ำโขงกำลังจะถูกจับตามองในระดับนานาชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กำลังเตรียมต้อนรับคณะรัฐมนตรีน้ำของประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่จังหวัดเชียงราย

สำหรับชุมชนริมน้ำ นี่คือโอกาสที่จะส่งเสียงไปยังโต๊ะเจรจาระดับรัฐ ว่า “ปลาไหลตัวเดียวของเรา” อาจกำลังบอกอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวมันเองรู้ สำหรับหน่วยงานรัฐและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือบททดสอบความจริงใจ ว่าจะมองแม่น้ำโขงเป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าและการควบคุมน้ำเชิงวิศวกรรม หรือจะมองในความหมายที่ลึกกว่านั้น คือความมั่นคงทางอาหาร วัฒนธรรม วิถีชีวิต และสิทธิในการดำรงชีพของผู้คนริมฝั่ง และสำหรับนักวิชาการ บทเรียนจากปลาตูหนายังคงเหมือนเดิม ถ้าแม่น้ำไม่เชื่อมต่อ เมืองก็ไม่ยั่งยืน

 

ปลาตูหนาหนักกว่า 2.2 กิโลกรัมที่ถูกจับได้ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “ปลาแปลกในรอบ 20 ปี” แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าระบบนิเวศของแม่น้ำโขงตอนบนยังไม่ตายสนิท ทว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต

ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์จากงานวิจัยไทบ้านปี 2546–2547 ระบุการพบปลาตูหนาเพียง 4 ตัวในพื้นที่คอนผีหลงและแจ๋มผาดินแดง ขณะที่ช่วงยาวกว่า 20 ปีหลังจากนั้นแทบไม่มีการพบอีกเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2568 สิ่งนี้สะท้อนทั้งความอึดของธรรมชาติ และความเปราะบางของระบบ

ปัจจัยกดดันหลัก ได้แก่ การตัดขาดเส้นทางอพยพตามแนวยาวของแม่น้ำจากเขื่อนพลังน้ำ การขึ้นลงของน้ำผิดฤดูกาลที่ทำลายวังน้ำลึก แรงกดดันเชิงการค้าต่อปลาวัยอ่อน และช่องว่างของนโยบายที่มองข้ามชนิดพันธุ์ที่ไม่ดังทางการสื่อสาร คำถามในตอนนี้จึงไม่ใช่แค่ว่า “แม่น้ำโขงยังมีปลาหายากอยู่ไหม” แต่คือ “เราจะยอมให้ปลาตัวนี้เป็นรุ่นสุดท้ายหรือไม่”

ปลาตูหนาไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่มันกำลังบอกเราว่า หากไม่มีการจัดการเชิงระบบที่มองเห็นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และทะเล แม่น้ำโขงอาจเดินข้ามจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว การประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายปลายพฤศจิกายน 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีทางการทูตด้านน้ำ หากแต่เป็นบทพิสูจน์ว่าเสียงจากวังน้ำลึก คอนผีหลง หาดแฮ่ และชุมชนริมโขง จะถูกฟังจริงหรือไม่

16 เมษายน 2563 พรานเบ็ดแห่งแม่น้ำโขง ชาวเขมราฐ จับปลาตูหนา (รูปร่างคล้าย ปลาไหล) ซึ่งเป็นปลาแม่น้ำโขง ที่หายาก หนัก 7.7 ก.ก. ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในเขต เขมราฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ฮักนะเขมราฐ.com
  • ทรายโขง ณผาถ่าน
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สกัดขบวนการ “ทะลุไทย”! ตำรวจท่องเที่ยวทลายรังแก๊งค์จีน 19 ราย คาดโยง “คอลเซ็นเตอร์”

สกัดขบวนการ “ทะลุไทย”! ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายทลายรังแก๊งค์จีน 19 ราย คาดโยง “คอลเซ็นเตอร์” ใช้ไทยเป็นทางผ่านหนีภัยกวาดล้าง ก่อนซัดทอดเตรียมข้ามไป สปป.ลาว

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 –   ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายภายใต้ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมบุกจับกลุ่มชาวจีน 19 คน ซุกซ่อนตัวในบ้านเช่า อ.เมืองเชียงราย หลังลักลอบเข้าไทยจากชายแดนแม่สอด คาดหนีภัยกวาดล้างอาชญากรรมจากเมียนมา ก่อนใช้ไทยเป็น “ทางผ่าน” สู่ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ รวบหญิงไทยเจ้าของบ้านเช่าในข้อหาให้ความช่วยเหลือ

ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายเปิดปฏิบัติการ! ทลายเครือข่ายลักลอบเข้าเมืองและสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2568 สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2) ได้รับรายงานกลุ่มคนต่างชาติต้องสงสัยจำนวนมากเช่าบ้านในพื้นที่ ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย จึงนำกำลังร่วมกับ ตม.เชียงราย เข้าตรวจสอบ

 

ในช่วงที่พื้นที่ชายแดนมีการกวาดล้างอย่างเข้มข้น กลุ่มคนต่างชาติกลุ่มนี้เปรียบเสมือน ผู้อพยพทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังหาทางหลบหนีจากพื้นที่กวาดล้างในเมียนมา โดยใช้ประเทศไทยเป็น ทางเดินลับ” สู่ประเทศที่สามอย่าง สปป.ลาว การค้นพบพวกเขาในบ้านเช่าที่แม่นยำและเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงขบวนการลักลอบนำพาที่มีการจัดตั้งอย่างชัดเจน

พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2 เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.โอฬาร เอี่ยมประภาส ผบก.ทท.2 ภายใต้นโยบายระดมกวาดล้างอาชญากรรมในฐานความผิด 10 กลุ่มต้องห้าม ตามนโยบาย ผบ.ตร. ในห้วงวันที่ 18-25 ต.ค. 68

ผลการตรวจสอบและสถิติการจับกุม:

  • สถานที่: บ้านเลขที่ 12 บ้านพลูทอง หมู่ 11 ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
  • ผู้ต้องหา: ชาวจีนชายอายุ 18-37 ปี รวม 19 คน
  • หลักฐาน: โทรศัพท์มือถือจำนวนมาก
  • สถานะการเข้าเมือง:
    • Overstay (อยู่เกินวีซ่า): 6 ราย (มีพาสปอร์ต)
    • ลักลอบเข้าเมือง: 13 ราย (ไม่มีเอกสารประจำตัว)

เส้นทางหลบหนีและจุดหมายปลายทาง “สปป.ลาว”

จากการสอบปากคำชาวจีนผ่านล่าม ได้ข้อมูลว่าทั้งหมดเดินทางมาจากชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยการ ลักลอบเข้าช่องทางธรรมชาติ ก่อนจะมีคนนำมาพักที่เชียงราย และเตรียมจะมีคนมารับตัวไปส่งต่อเพื่อ ข้ามไปทำงานฝั่งประเทศ สปป.ลาว

พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ ยืนยันว่า เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ หลบหนีการกวาดล้างอย่างหนักจากประเทศเมียนมาทางด้านชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก” และตั้งข้อสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มทำงานหลอกลวงด้านออนไลน์อีกด้วย” การจับกุมครั้งนี้จึงเป็นการสกัดกั้นกลุ่มคนที่ลักลอบเข้าเมืองและอาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

บทบาทของหญิงไทยและข้อกล่าวหา

  • ผู้ถูกจับกุม: น.ส.ชัชฎา อายุ 35 ปี (ชาว อ.แม่สรวย จ.เชียงราย)
  • หน้าที่: ให้การว่าตนเองมีหน้าที่เช่าบ้าน จัดหาอาหาร และทำความสะอาด โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายหัว 200 บาทต่อวัน
  • ข้อกล่าวหาต่อ น.ส.ชัชฎา: ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม”

ความท้าทายของ “พรมแดนไทย”—ด่านสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

การจับกุมกลุ่มชาวจีน 19 คนในพื้นที่เชียงรายตอกย้ำถึงความท้าทายของประเทศไทยในฐานะ ทางผ่าน” สำคัญของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ (Call Center Scam) ที่ถูกกวาดล้างอย่างหนักในประเทศเพื่อนบ้าน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • ช่องทางธรรมชาติ: การลักลอบเข้าไทยจากชายแดนแม่สอด จ.ตาก (ฝั่งตะวันตก) เพื่อเดินทางต่อไปยัง สปป.ลาว (ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ) แสดงให้เห็นถึงเส้นทางขนย้ายมนุษย์ที่มีการวางแผนและครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด
  • มาตรการสกัดกั้น: ความสำเร็จของตำรวจท่องเที่ยวและ ตม.เชียงราย ในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังขบวนการลักลอบนำพา และเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานข่าวเชิงรุกและบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาทั้งหมด และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2)
  •  ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย (ตม.เชียงราย)
  •  กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

โขน-ผ้าไทย-ป่า! 9 พระราชกรณียกิจที่ยังขับเคลื่อนเมืองไทย สู่ Soft Power ยั่งยืน

9 พระราชกรณียกิจ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โอบอุ้มประชาราษฎร์ให้ยั่งยืน—จากศิลปาชีพ ผืนป่า น้ำ และการศึกษา สู่ภูมิคุ้มกันสังคมไทยระยะยาว

ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนดอยสูงอันชื้นเย็นของภาคเหนือ เราเห็นเงาคนงานชุมชนเดินเรียงในแสงแรก หลายคนสวมซิ่นทอลวดลายดั้งเดิม บางคนอุ้มตะกร้าใส่เมล็ดพันธุ์แห้ง เตรียมลงแปลงผักตามรอยคันนาที่ถูกจัดแบบขั้นบันไดอย่างประณีต ภาพเล็กๆ เช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในหมู่บ้านนับพันทั่วประเทศ และล้วนมี “เส้นด้าย” เดียวกันผูกโยง—พระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงบุกป่าฝ่าดอย โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปเยี่ยมราษฎรทุกภาคส่วนต่อเนื่องหลายทศวรรษ วางรากฐาน “อยู่ดีกินดี” ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ครอบคลุมศิลปวัฒนธรรม อาชีพ สุขภาพ ป่าไม้ น้ำ การศึกษา และการคุ้มครองผู้เปราะบาง

บนโอกาสแห่งการระลึกพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานแนวทางพัฒนา ผู้สื่อข่าวได้ถอดบทเรียน 9 พระราชกรณียกิจ ที่ยังคงขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่จริง—ตั้งแต่ลุ่มน้ำที่ไหลลงทุ่ง ไปจนถึงเข็มทอที่เคลื่อนไปบนกี่—เพื่อชี้ให้เห็น “แกนหลักของเรื่อง” ว่าพระราชกรณียกิจเหล่านี้ไม่ใช่เพียงงานการกุศลเฉพาะหน้า หากคือ “ระบบนิเวศการพัฒนา” ที่ทำให้ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันยั่งยืน

1) “ศิลปาชีพ” และการฟื้นผ้าไทย: จากงานบ้านเป็น “อุตสาหกรรมสร้างคุณค่า”

ในยามที่ผ้าไหมและหัตถกรรมพื้นบ้านเคยถูกเมิน พระองค์ทรงหยิบยกให้กลับมามีศักดิ์ศรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ พระองค์มี พระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งงานส่งเสริมการทอผ้าไหม เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ท่ามกลางวิกฤต ก่อเกิดโครงสร้าง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT)” เป็นกลไกขับเคลื่อนอาชีพทั่วประเทศ

ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม—ในระดับ “อัตลักษณ์ชาติ”—คือการที่ผ้าไทยก้าวพ้นความเป็นเครื่องนุ่งห่มท้องถิ่น สู่แฟชั่นร่วมสมัยที่คนทั้งโลกชื่นชม (พระองค์ทรงได้รับการยกย่องใน พ.ศ. 2505 ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งพระองค์งามที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นนานาชาติ) ขณะเดียวกัน นโยบายรัฐช่วงหลังยังต่อยอดการสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน (คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย” ให้หน่วยงานส่งเสริมการแต่งผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทอผ้า—ปั่นไหม–ย้อมสีธรรมชาติ–ออกแบบ–แปรรูป—คึกคักขึ้น ผู้ทอมีอำนาจต่อรองมากขึ้น และชุมชนสามารถรักษาลวดลายเฉพาะถิ่นไว้ได้โดยมีตลาดรองรับ

แกนสำคัญ ไม่ใช่เพียง “ขายได้” แต่คือการยกระดับ “ความรู้-มาตรฐาน-การตลาด” จนผ้าไทยกลายเป็นสินค้าคุณภาพสูง ส่งมูลค่าเพิ่มกลับสู่มือชุมชน เป็น Soft Power ที่ทรงพลังกว่าการประชาสัมพันธ์ใดๆ

2) พระราชทานความคุ้มครองด้านสาธารณสุข: จากหน่วยแพทย์พระราชทานถึงยุคโรคอุบัติใหม่

การเดินทางไปทุกพื้นที่ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น “ช่องว่างสุขภาพ” ของชนบท พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัด คณะแพทย์ตามเสด็จ วางฐานสู่ หน่วยแพทย์พระราชทาน” ที่ยังทำงานอยู่จนปัจจุบัน ควบคู่การสนับสนุนโครงการ หมอหมู่บ้าน” ให้ชาวบ้านรู้จักการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ใช้ยาถูกวิธี และส่งต่อผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงที

ในยุคโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 พระองค์ยังทรง พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และ อุปกรณ์ PAPR ให้โรงพยาบาลของรัฐหลายสังกัด เพื่อคุ้มครองบุคลากรด่านหน้า สะท้อน หลักคิด “คุ้มครองผู้คุ้มครองเรา” ที่ลดความสูญเสียเชิงระบบ หากคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพ การป้องกันบุคลากรหนึ่งคนให้ปลอดภัยย่อมแปลเป็นศักยภาพการดูแลผู้ป่วยนับร้อย—คือผลตอบแทนต่อสังคมที่สูงอย่างยิ่ง

3) “บ้านเล็กในป่าใหญ่”: ปรัชญาป่ากับน้ำ และการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ

พระราชดำรัสที่ชาวไทยคุ้นหู พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำไพเราะ แต่คือ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่จับต้องได้ โครงการ บ้านเล็กในป่าใหญ่” (Small House in the Big Forest) เริ่มที่ บ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ (พ.ศ. 2534) เป็นต้นแบบการจัดการพื้นที่สูง: รักษาป่าดั้งเดิม ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม จัดพื้นที่ทำกินให้ชัดเจน ส่งเสริมเกษตรที่ไม่ทำลายป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้พอเพียง

จากต้นแบบดังกล่าว ขยายไปยังหลายจังหวัด—บ้านอุดมทรัพย์ (กำแพงเพชร), บ้านหนองห้า (พะเยา), ดอยฟ้าห่มปก (เชียงใหม่)—ผลสำคัญคือ “ยุติแรงดึงให้บุกรุกป่า” ด้วยการสร้างทางเลือกอาชีพที่มั่นคงกว่า และทำให้ป่ากลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ” ที่ชุมชนร่วมดูแล ไม่ใช่ทรัพยากรที่ถูกช่วงชิง

4) ฟื้น “โขน” สู่มรดกภูมิปัญญามนุษยชาติ: เมื่อศิลปะและอัตลักษณ์คือภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าศิลปะระดับชั้นสูงอย่าง โขน” กำลังเผชิญความเสี่ยงสูญหาย จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ ศึกษารากเหง้าเครื่องแต่งกาย–ดนตรี–ท่ารำ ตามราชประเพณี สร้างองค์ความรู้และฝึกช่างฝีมือรุ่นใหม่ให้ครบห่วงโซ่ จนเกิด โขนพระราชทาน” เรื่องรามเกียรติ์ (พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา) ที่ยกระดับมาตรฐานทั้งศิลป์และระบบจัดการเบื้องหลัง

จุดคลี่คลายปม ในเวทีโลกเกิดขึ้นเมื่อ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พ.ศ. 2561 ไม่เพียงยืนยันความงาม หากยืนยัน “ความมีชีวิต” ของศิลปะไทยที่ยังถ่ายทอดต่อไปได้ พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมจึงไม่ใช่การห่อหุ้มของเก่า แต่คือการต่อชีวิตให้วัฒนธรรมยืนหยัดได้จริงในตลาดร่วมสมัย

5) ทรงอุปถัมภ์ศาสนา—เสริม “ทุนทางจิตใจ” ให้สังคมพหุวัฒนธรรม

พระองค์ทรงแสดงบทบาท ธรรมราชินี” ผ่านการเคารพและอุปถัมภ์ ทุกศาสนา—พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู ซิกข์—เพราะทรงเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและชี้นำพฤติกรรมพลเมือง พระองค์โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้ง พระราชทานปัจจัยบำรุงสงฆ์ ดูแลพระภิกษุอาพาธ สนับสนุนโรงพยาบาลที่ให้บริการพระสงฆ์ และให้ความสำคัญกับมารยาทข้ามศาสนาในทุกพื้นที่ที่เสด็จฯ

เมื่อสังคมเผชิญความหลากหลายสูงขึ้น “ทุนทางจิตใจ” และ ทักษะอยู่ร่วมกัน คือภูมิคุ้มกันเชิงสถาบัน พระราชกรณียกิจด้านศาสนาจึงเป็นรากที่ทำให้สังคมไทยยืนตัวอยู่ได้ท่ามกลางความแตกต่าง

6) “สถาบันสิริกิติ์” และพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”: หล่อเลี้ยงฝีมือคน สร้างตลาดศิลป์ไทย

ผลงานประณีตศิลป์จาก โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา ที่พัฒนาต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ได้ยกระดับเป็น สถาบันสิริกิติ์” (ตั้งแต่ 21 กันยายน 2553) ทำหน้าที่ทั้งพัฒนา–อนุรักษ์–เผยแพร่งานช่างไทยชั้นสูง เช่น ปักเส้นไหมโบราณ งานคร่ำ งานสานย่านลิเภา งานถนิมพิมพาภรณ์ ไปจนถึง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง อันวิจิตร

ปลายทางของการพัฒนาไม่หยุดที่ “ชิ้นงาน” แต่คือ พื้นที่เรียนรู้และตลาด อย่างพิพิธภัณฑ์ ศิลป์แผ่นดิน” (อ.ย.) ที่จัดแสดงงานช่างให้คนไทย–ชาวโลกได้สัมผัส สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และทำให้ลูกหลานชาวไร่ชาวนากลายเป็นช่างฝีมืออาชีพ—นี่คือการยกระดับ “ทุนมนุษย์” ผ่านศิลป์และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

7) “ฟาร์มตัวอย่าง” ตามพระราชดำริ: ศูนย์เรียนรู้เกษตรครบวงจรและความมั่นคงในยามวิกฤต

ก่อกำเนิดที่ บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ฟาร์มตัวอย่างทำหน้าที่เป็น ห้องเรียนกลางแจ้ง ให้ประชาชนเข้าใจระบบเกษตรครบวงจร—ปลูกพืชผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ ทำประมง ระบบน้ำ—โดยยึดหลัก พอเพียง–พึ่งตนเอง–หมุนเวียนทรัพยากร เมื่อถึงวิกฤตอย่างโควิด-19 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสืบสานพระราชดำริและพระราชทานอนุญาตนำพื้นที่ ฟาร์มตัวอย่าง 30 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาใช้ จ้างงานประชาชน ภายใต้โครงการ “ต้านภัยโควิด-19” ช่วยพยุงครัวเรือนที่ตกงานให้มีรายได้ระยะสั้น พร้อมถ่ายทอดทักษะอาชีพระยะยาว

ผลสะท้อนเชิงนโยบายคือ ฟาร์มไม่ใช่ “แปลงสาธิต” เฉยๆ แต่เป็น “เครื่องมือเสถียรภาพ” ของเศรษฐกิจชุมชนในช่วงผันผวน—เมล็ดพันธุ์ ความรู้ และตลาดชุมชนถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน จนคนสามารถยืนได้ด้วยตัวเองหลังวิกฤต

8) พระเมตตาด้านสังคมสงเคราะห์: ปกป้องผู้เปราะบางในและนอกพรมแดน

ตั้งแต่การช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยยากไร้ ไปจนถึงเหตุการณ์ผู้ลี้ภัยชายแดน—เช่น เหตุเขาล้าน จ.ตราด—พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง พระราชทานอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และ โปรดเกล้าฯ ให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากล เข้าไปช่วยอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสนับสนุน การศึกษาทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนในระยะยาว

สำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัครผู้พลีชีพหรือบาดเจ็บ พระองค์ทรงก่อตั้ง มูลนิธิสายใจไทย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย–จิตใจ–อาชีพ ให้สามารถกลับมาเป็นพลังครอบครัวอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิยังเป็นทั้งรายได้และศักดิ์ศรีให้กับผู้เสียสละเหล่านี้

9) การศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส: “โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์” และทุนการศึกษา

พระองค์ทรงเจาะจงดูแลพื้นที่ ห่างไกล ที่เด็กมีโอกาสน้อย ผ่านการพระราชทานทุนเริ่มต้นจัดตั้ง โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ ในพื้นที่ชายแดนและดอยสูง (เช่น บ้านห้วยขาน อ.ฝาง และ ต.แม่ริม จ.เชียงใหม่) โดยประสาน ตำรวจตระเวนชายแดน ดูแล ต่อมาขยายการสอนถึงระดับมัธยมต้น และที่สำคัญ—พระองค์ทรง รับนักเรียนยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เกือบ 2,000 คน รวมถึงเด็กพิการให้เข้าศึกษาในโรงเรียนเฉพาะความสามารถ จนสามารถประกอบอาชีพดูแลตนเองได้

การศึกษาที่พระราชทานโอกาสเช่นนี้ แก้โจทย์ “ความเหลื่อมล้ำรุ่นสู่รุ่น” โดยตรง—เมื่อลูกหลานบนดอยอ่านออกเขียนได้ มีวิชาชีพ และกลับมาพัฒนาชุมชนตนเอง—ความมั่นคงชายแดนและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมก็แข็งแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

เชียงรายในกระจกพระราชกรณียกิจ: จากป่า–ผ้า–พหุชนเผ่า สู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

หากซูมลงพื้นที่เชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีทั้งป่าเขาสลับซับซ้อนและความหลากหลายทางชาติพันธุ์—เราพบรอยพิมพ์ชัดเจนของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้าน

  • ป่าและน้ำ: แนวทาง “บ้านเล็กในป่าใหญ่” และการอนุรักษ์ดิน–น้ำถูกใช้เป็นต้นแบบในหลายลุ่มน้ำชายแดน ช่วยชะลอปัญหาดินถล่ม–น้ำหลาก และทำให้แปลงเกษตรบนพื้นที่สูงทำกินได้โดยไม่บุกรุกป่า
  • ศิลปาชีพ: ผ้าทอลวดลายล้านนาปรับตัวเป็นสินค้า Q (คุณภาพ) และสินค้าเชิงท่องเที่ยว สร้างรายได้เสริมให้ผู้หญิงและผู้สูงอายุในชนบท
  • การศึกษา: โรงเรียนในเครือข่ายตำรวจตระเวนชายแดนและโรงเรียนท้องถิ่นได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เด็กชาติพันธุ์เข้าถึงภาษาไทยและทักษะอาชีพมากขึ้น
  • สังคมสงเคราะห์และสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่–โครงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ—ถูกใช้จริงในฤดูฝนยืดเยื้อของภาคเหนือ

เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบกัน เชียงรายจึงมี “ทุนสังคม” สำคัญในการก้าวสู่ เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” อย่างที่จังหวัดพยายามผลักดันในช่วงไฮซีซัน—นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริงจะพบทั้งป่าแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ ศิลป์ผ้าและกาแฟพิเศษของชุมชน และเรื่องเล่าการพัฒนาที่มีคนท้องถิ่นเป็นพระเอก

พลังที่ต่อยอดได้ของ “พระราชกรณียกิจแบบระบบ”

หัวใจของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้านคือ ความต่อเนื่อง” และ “การทำงานเชิงระบบ”—ไม่ใช่โครงการฉาบฉวย แต่เป็น แพลตฟอร์ม ที่ให้คนตัวเล็กสามารถลุกขึ้นยืนได้ ท่ามกลางโลกที่ผันผวนกว่าเดิม

  • ถ้าต้องการลดความยากจนอย่างถาวร: ต้องสร้างทั้ง รายได้ (ศิลปาชีพ–ฟาร์มตัวอย่าง–ตลาดสร้างสรรค์) และ ลดความเสี่ยง (สุขภาพ–การอนุรักษ์ป่า–การศึกษา)
  • ถ้าต้องการคุมวิกฤตสาธารณสุข: ต้องเสริม ระบบคุ้มครองด่านหน้า และ ความรู้ชุมชน ให้รับมือได้ก่อนป่วยหนัก
  • ถ้าต้องการให้วัฒนธรรมอยู่ได้: ต้องทำให้ ศิลป์–การตลาด–การถ่ายทอดช่าง เชื่อมกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อสังคมไทยเดินหน้าสู่นโยบายพัฒนารอบใหม่ บทเรียนจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงคือ ทำเล็กให้ลึก ทำช้าให้ยั่งยืน” แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ขยายตัวด้วยพลังของชุมชนเอง

เสียงทอผ้าบนกี่ไม้ยังดังแผ่วในยามสาย ขณะน้ำที่ไหลตามฝายชะลอค่อยๆ เติมความชุ่มชื้นสู่ทุ่ง หากมองเครือข่ายเหล่านี้จากบนฟ้า เราจะเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยของประเทศ—เส้นเลือดที่พระราชกรณียกิจได้วางไว้ให้หล่อเลี้ยง “หัวใจ” ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT Foundation)
  • สถาบันสิริกิติ์ (โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาเดิม) / พิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”
  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม / UNESCO
  • สำนักนายกรัฐมนตรี / กรมประชาสัมพันธ์
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • สำนักงานตำรวจตระเวนชายแดน / กระทรวงศึกษาธิการ
  • สภากาชาดไทย / คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
  • มูลนิธิสายใจไทย
  • สำนักราชเลขาธิการ / สำนักพระราชวัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดไทยแรง เงินลงทุนพุ่ง 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี”

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดก่อสร้างไทยแรง—เงินลงทุนพุ่งเฉลี่ยปีละ 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี” สร้างสมดุลเปิดรับต่างชาติปกป้องผู้ประกอบการไทย

ประเทศไทย, 22 ตุลาคม 2568 – กระแสเงินทุนและแรงงานก่อสร้างจากจีนกำลังไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นชัดคือป้ายโครงการขนาดกลางใหญ่จำนวนมากที่มีรายชื่อบริษัทจีนในฐานะคู่ร่วมทุนหรือผู้รับเหมาหลัก ขณะที่ผู้รับเหมาไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า “การแข่งขันยุติธรรมเพียงใด” และ “กติกาบ้านเราปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศมากพอหรือยัง”


รายงานล่าสุดของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ยืนยันแนวโน้มดังกล่าวด้วยตัวเลข การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) 21% ตลอดปี 2020–2024 และเฉพาะปี 2567 (2024) มีมูลค่า 3,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การร่วมลงทุนของผู้รับเหมาจีนในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย คิดเป็น 34% ของมูลค่าร่วมทุนผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569 และยังเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อจีน “อ่อนแรงในบ้าน” จึง “มองนอกบ้าน” — ไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ

วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ลากยาวตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทำให้กิจกรรมก่อสร้างภายในประเทศจีนชะลอตัว รัฐบาลจีนจึงเร่ง “ทางออกนอกบ้าน” ทั้งผ่านการผลักดันโครงการต่างประเทศภายใต้แนวคิด Belt and Road Initiative (BRI) การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก่อสร้างให้ไปลุยตลาดต่างแดน และการสนับสนุนทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผู้รับเหมาของตน


ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทย อยู่ในช่วงเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่ระบบราง รถไฟฟ้าภูมิภาค สนามบิน ท่าเรือ คลังสินค้า ไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่—จึงไม่แปลกที่ผู้รับเหมาจีนจะ “ปักหมุด” ประเทศไทยเป็นสนามแข่งขันสำคัญ

รูปแบบที่นิยม ตามรายงาน SCB EIC คือ การร่วมลงทุน (Joint Venture) กับบริษัทไทย โดยเฉพาะกลุ่ม อาคารเพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงงาน อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ท่าอากาศยาน และคลังสินค้า เหตุผลหลักคือผู้รับเหมาจีนต้องการพันธมิตรที่รู้กติการะบบอนุญาตในไทย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องการเงินทุน ความเร็ว และเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เพื่อแข่งขันในตลาดที่ตึงตัว

ภาพใหญ่ของตัวเลข การเงินโต…แต่ “คุณภาพการแข่งขัน” ต้องถูกตั้งคำถาม

ตัวเลขเติบโต 21% CAGR ในช่วง 5 ปี และการขยายตัว 14% ในปีล่าสุด สะท้อนว่า “เค้กก่อสร้าง” ของไทยมีความน่าดึงดูดและยังขยายได้ แต่การเติบโตดังกล่าวก็มาพร้อมคำถามใหญ่ 3 ข้อที่ SCB EIC กระตุกเตือน

  1. การแข่งขันยุติธรรมหรือไม่  มีสัญญาณ “เสนอราคาต่ำผิดปกติ” เพื่อชนะงาน จากนั้นค่อยบริหารความเสี่ยงด้วยการลดสเปกหรือกดต้นทุนแรงงาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาคุณภาพงาน ความปลอดภัย และความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาช่วง
  2. การใช้ “นอมินี” บางกรณีมีการอาศัยผู้ประกอบการไทยเป็นเพียง “นอมินี” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายและความรับผิดชอบจริงในโครงการ เมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องมาตรฐานวัสดุ อุบัติเหตุ ความล่าช้า ผู้ว่าจ้างและรัฐกลับหาตัว “ผู้รับผิดชอบจริง” ยากกว่าที่ควร
  3. ความเสี่ยงทิ้งงาน ค้างจ่าย  การเสนอราคาระดับต่ำมากอาจทำให้โครงการเผชิญภาวะขาดทุน สภาพคล่องตึงจนเกิด การทิ้งงาน หรือ ค้างจ่ายค่าจ้าง แก่แรงงานและผู้รับเหมาช่วง สร้าง “ต้นทุนทางสังคม” ที่สูงกว่ามูลค่าโครงการเดิม

ประโยคชวนคิด “ราคาถูกวันนี้ อาจหมายถึงค่าซ่อม ค่าชดเชยที่แพงกว่าในวันหน้า” — แก่นปัญหาที่รายงานของ SCB EIC ต้องการชี้ให้เห็น

เจาะโครงสร้างความเสี่ยง จากไซต์งานถึงระบบนิเวศก่อสร้าง

  • ความปลอดภัยและมาตรฐานวัสดุ
    เมื่องานถูกกดราคาไม่สมเหตุสมผล ความเสี่ยงแรกคือ “ลดสเปก” วัสดุโครงสร้างและระบบความปลอดภัย รายงานเตือนว่ากรณีลักษณะนี้อาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุที่ไม่ควรเกิด” ทั้งกับแรงงาน ผู้สัญจร และทรัพย์สินรอบโครงการ
  • ระบบแรงงานและผู้รับเหมาช่วง
    การกดราคาต้นทางส่งผลต่อห่วงโซ่ทั้งระบบ ผู้รับเหมาช่วง แรงงานมักเป็นผู้ “รับแรงกระแทก” ทั้งจากการเจรจาต่อราคาหนัก การค้างจ่าย และภาระความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในไซต์งาน
  • ความรับผิดชอบตามกฎหมาย
    โครงสร้าง “นอมินี” ทำให้การติดตามความรับผิดหลังเกิดเหตุทำได้ยาก ผลคือการเยียวยา ซ่อมแซมล่าช้า และความเชื่อมั่นของตลาด ชุมชนโดยรอบลดลง

ทางรอดฝั่งไทย แข่งด้วย “คุณภาพ+เทคโนโลยี” และสร้าง “กติกาแฟร์”

รายงานของ SCB EIC ไม่ได้หยุดที่การเตือน แต่เสนอ สองแกนยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพผู้รับเหมาไทยด้วยเทคโนโลยี และ (2) ให้ภาครัฐวางกติกาที่สร้างสมดุลระหว่างการดึงดูดต่างชาติและการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ

1) ยกระดับเทคโนโลยี—ขยับ Productivity ให้ชนะ “สงครามราคา”

เครื่องมือที่ถูกชี้เป้าชัด ได้แก่

  • BIM (Building Information Modeling)  ทำให้การออกแบบปริมาณงานการประสานแบบของทุกวิชาเป็นแพลตฟอร์มเดียว ลดความผิดพลาดหน้างานและเคลมงาน
  • Prefabrication / Modular Construction   ย้ายงานจากไซต์ไปโรงงาน ลดเวลา ของเสีย ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • AI / Data Analytics   วางแผนทรัพยากร ควบคุมตารางงาน และคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
  • Drone / LiDAR / เซนเซอร์ความปลอดภัย   ตรวจความก้าวหน้า คุณภาพความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
  • 3D Printing / หุ่นยนต์ก่อสร้าง  สำหรับชิ้นงานซ้ำ ๆ และพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน

ประโยชน์ตรงคือ เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนผิดฝั่ง (ของเสีย/งานแก้/ดีเลย์) จนทำให้ผู้รับเหมาไทย “แข่งขันแบบคุณภาพ” ได้ ไม่ต้อง “ตัดราคา” เพื่อแย่งงาน

2) กติกาภาครัฐ—รับต่างชาติอย่างมี “เงื่อนไขถ่ายทอด”

SCB EIC ชี้ว่ารัฐควรสร้าง “สมดุล” ระหว่างการเปิดรับผู้รับเหมาต่างชาติที่นำเงินเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่เข้ามา กับการ ปกป้องฐานอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านมาตรการเชิงหลักการ 5 ข้อ

  1. บังคับ JV อย่างมีความหมาย  โครงการระดับหนึ่งควรกำหนดการ ร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาไทย ไม่ใช่เพียง “ชื่อ” แต่ต้องมีสัดส่วนงานจริงและถ่ายทอดองค์ความรู้
  2. ข้อกำหนดถ่ายทอดเทคโนโลยี  ผูก “ตัวชี้วัดการถ่ายทอด” เข้ากับสัญญา เช่น จำนวนช่างเทคนิคที่ได้รับอบรม BIM/Prefabrication/มาตรฐานความปลอดภัย
  3. การใช้แรงงานไทยและวัสดุภายในประเทศ  สร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ไทย พร้อมเงื่อนไขยืดหยุ่นตามความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
  4. เข้มงวดโครงสร้าง “นอมินี” ตรวจสอบผู้รับผิดชอบแท้จริง ตั้ง “บทลงโทษ” ชัดเจน และให้ผู้ควบคุมงาน/ที่ปรึกษาไทยมีอำนาจรายงานสั่งแก้
  5. คุมข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  นำแนวทาง “Abnormally Low Bid” มาใช้จริงจัง กำหนดหลักฐานต้นทุนวิธีการก่อสร้างรองรับก่อนให้เซ็นสัญญา

เปิดรับต่างชาติได้—แต่ต้อง “รับอย่างฉลาด” ให้เกิด การยกระดับ อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการว่าจ้างราคาถูก

เลนส์ระดับพื้นที่ โอกาสความเสี่ยงในจังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองอุตสาหกรรม

แม้ตัวเลขการลงทุนเป็นภาพระดับประเทศ แต่ผลกระทบ “ตกตะกอน” ลงสู่ หัวเมืองชั้นสอง–สาม ที่กำลังขยายตัวแรง ทั้งเมืองท่องเที่ยวโลจิสติกส์ชายแดน และนิคมอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ตัวอย่างเช่น

  • ภาคเหนือ เมืองท่องเที่ยว/ชายแดนบางแห่งเริ่มมีโครงการโรงแรมคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ที่ใช้ผู้รับเหมาจีนร่วมกับผู้ประกอบการไทย
  • ภาคตะวันออก/อีอีซี โครงการโรงงาน คลังสินค้าอัจฉริยะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสำเร็จรูปและผู้รับเหมาจากต่างชาติที่เชี่ยวชาญระบบอัตโนมัติ

โอกาสคือ เทคโนโลยี มาตรฐานใหม่ จะเข้ามาเร็วขึ้นพร้อมเงินทุน แต่ความเสี่ยงคือ ระบบกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องตามทัน ทั้งด้าน ความปลอดภัยไซต์งาน สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์แรงงาน หากปล่อยให้โครงการขยายตัวโดยกติกาหลวม บังคับใช้ไม่ทั่วถึง ปัญหาทิ้งงาน ค้างจ่าย ความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานจะตามมาในที่สุด

เคสตัวอย่างเชิงนโยบาย (จากข้อเสนอของรายงาน) ทำให้ “กติกามีฟัน”

เพื่อให้ข้อเสนอไม่หยุดอยู่บนกระดาษ รายงานเสนอ “เครื่องมือปฏิบัติ” ที่รัฐและผู้ว่าจ้าง (โดยเฉพาะภาครัฐ) สามารถหยิบใช้ได้ทันที ได้แก่

  • สเปกสัญญาแบบผูก KPI การถ่ายทอด  ระบุจำนวนชั่วโมงอบรม/ตำแหน่งงานเทคนิคของคนไทยที่ต้องถูกยกระดับทักษะ พร้อมกลไกตรวจรับ
  • ระบบ e-Procurement ตรวจข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  หากราคาต่ำกว่าเกณฑ์ ให้ผู้เสนอแนบ “แผนเทคนิค ทรัพยากร ตารางงาน ที่มาของวัสดุ” เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้
  • บัญชีรายชื่อผู้รับเหมาช่วงที่ผ่านคุณสมบัติ   ลดการว่าจ้าง “ผู้รับเหมาช่วงลับ” ที่ไม่มีมาตรฐานและทำให้การควบคุมปลายทางล้มเหลว
  • กองทุนค้ำประกันแรงงาน/ผู้รับเหมาช่วง  สำรองเพื่อจ่ายกรณีค้างค่าจ้างจากการทิ้งงาน แล้วไปไล่เบี้ยกับผู้รับเหมาหลักภายหลัง
  • บูรณาการตรวจไซต์ร่วม ระหว่าง ผู้ว่าจ้าง วิศวกรรมสถาน หน่วยงานท้องที่ ผูกกับแผนความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อมเชิงรุก

มุมของผู้ประกอบการไทย “ปรับก่อนถูกปรับออกข้างสนาม”

แม้การแข่งขันจะเข้มขึ้น แต่ทางรอดของผู้รับเหมาไทยไม่ได้ปิดตาย รายงานชี้ “สามทิศทาง” ที่ควรปรับโดยเร็ว

  1. เชี่ยวชาญเฉพาะทาง   เลือกนิชที่มีความต้องการสูง เช่น ระบบอาคารประหยัดพลังงาน งานคลีนรูม โรงงานอัตโนมัติ โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป
  2. มาตรฐาน ความปลอดภัย ความตรงเวลา   ทำให้เป็น “จุดขาย” ด้วยการรับรองมาตรฐานสากลและการใช้ดิจิทัลไซต์
  3. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์   หากต้อง JV ให้เลือกคู่ที่เสริมกันจริง มีสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีและเปิดพื้นที่ให้ทีมไทยได้ลงมือ ไม่ใช่เพียงถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์

ผลที่ได้คือ ความสามารถชนะงานคุณภาพ ไม่ต้องพึ่งการกดราคา และลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

สรุปภาพรวม “เปิดประเทศได้ แต่ต้องเปิดอย่างรู้เท่าทัน”

  • ข้อเท็จจริง: เงินลงทุนผู้รับเหมาจีนในไทย โตแรงและยังโตต่อ   21% CAGR (2020–2024), ปี 2567 อยู่ที่ 3,052 ล้านบาท (+14%YoY), สัดส่วน JV ในอาคารไม่ใช่ที่พักอาศัย 34% ณ ก.ย. 2568/2569
  • ข้อท้าทาย: ความเสี่ยง นอมินี ข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ คุณภาพงาน ทิ้งงาน ค้างจ่าย
  • ทางออก: รัฐ ออกกติกา “ถ่ายทอด ใช้แรงงานไทย วัสดุไทย คุม ALB ปราบนอมินี” / เอกชนไทย ยกระดับด้วย BIM Prefab AI หุ่นยนต์ Drone และเลือก JV ที่มีความหมาย

ถ้าทำได้ “เม็ดเงินต่างชาติ” จะกลายเป็น “เครื่องเร่งการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” แทนที่จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยถอยหลัง

ตัวเลขสำคัญจากรายงาน SCB EIC (เผยแพร่ 18 ต.ค. 2568)

  • การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทย (2020–2024): CAGR 21%
  • ปี 2567 (2024): 3,052 ล้านบาท เพิ่ม 14% จากปี 2566
  • สัดส่วนมูลค่า JV ของผู้รับเหมาจีน ในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย เมื่อเทียบกับผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569: 34% (+21% จากปีก่อน)
  • ความเสี่ยงหลัก: การใช้ “นอมินี”, เสนอราคาต่ำผิดปกติ, ทิ้งงานค้างจ่าย, มาตรฐานวัสดุความปลอดภัย

 

การเข้ามาของผู้รับเหมาจีนเป็น “ความจริงใหม่” ของตลาดก่อสร้างไทย จะปิดประเทศก็ไม่ได้ จะปล่อยเสรีจนระบบเสียสมดุลก็ไม่ควร ทางออกมีเพียง การออกแบบกติกาที่ทันยุค และ ยกระดับผู้เล่นในประเทศ ให้แข่งขันได้ในสนามสากล
หากรัฐทำให้ “ทุกบาทของเงินลงทุนจากต่างชาติ” ผูกกับ “การถ่ายทอดความรู้ให้คนไทย” และ “การสร้างมูลค่าในห่วงโซ่ไทย” ในขณะที่เอกชนไทย “ลงทุนในเทคโนโลยีมาตรฐานคน” อย่างจริงจัง ภาพฝัน “อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยคุณภาพสูง ปลอดภัย ตรงเวลา ต้นทุนเหมาะสม” ก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News