Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“นายกวันชัย” ชนะ “ดร.แซน” นั่งเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครเชียงราย อีกสมัย

วันชัย” คว้าชัยขาดลอยนั่งนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมยกทีม สท. ทั้ง 4 เขต

บรรยากาศเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงรายคึกคัก ประชาชนตื่นตัว

เชียงราย, 11 พฤษภาคม 2568 – ได้จัดให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย โดยตั้งแต่ช่วงเช้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ประชาชนต่างทยอยเดินทางมาใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งทั้ง 87 หน่วย ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 เขตเลือกตั้งในเขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 60,000 คน

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างผู้สมัคร 2 ราย คือ นายวันชัย จงสุทธานามณี ผู้สมัครอิสระ “ทีมวันชัย” อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงรายหลายสมัย และนายศราวุธ สุตะวงค์ ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีการลงพื้นที่หาเสียงและประชาสัมพันธ์นโยบายของตนเองอย่างจริงจังต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ติดตามใกล้ชิด

ในระหว่างการเลือกตั้ง นายจรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ออกตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเรียบร้อย พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประจำหน่วยเลือกตั้งทุกคน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้แสดงความพอใจต่อความเรียบร้อยของหน่วยเลือกตั้งที่ได้ตรวจเยี่ยมทั้งหมด

กกต.เชียงรายระบุไม่มีปัญหาร้ายแรง

ด้านพันจ่าเอกอัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลนครเชียงราย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งทั้ง 87 หน่วย ได้รับการอบรมและจัดเตรียมการมาอย่างดีเยี่ยม ทำให้การดำเนินงานในวันเลือกตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการลงคะแนนเสียง

ขณะเดียวกัน นายชูชาติ สุขสงวน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดเชียงราย ระบุเพิ่มเติมว่า ยังไม่พบปัญหาอุปสรรคที่ร้ายแรงในการจัดการเลือกตั้ง มีเพียงปัญหาเล็กน้อย เช่น มีผู้สมัครถูกถอนชื่อออก 1 ราย ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น เนื่องจากขาดคุณสมบัติด้านสัญชาติ และมีผู้สมัครเสียชีวิตก่อนเลือกตั้ง 3 ราย ส่วนเรื่องร้องเรียนมีเพียงไม่กี่กรณี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาเรื่องการให้เงินประชาชนก่อนครบวาระดำรงตำแหน่งเดิม โดย กกต.เชียงรายจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

วันชัย” ชนะท่วมท้น คะแนนทิ้งห่างชัดเจน

หลังจากปิดหีบบัตรเลือกตั้งในเวลา 17.00 น. ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการจากกว่า 100% ของจำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งหมด ปรากฏว่า นายวันชัย จงสุทธานามณี หมายเลข 2 จาก “ทีมวันชัย” ได้รับคะแนนสูงถึง 17,243 คะแนน เอาชนะนายศราวุธ สุตะวงค์ หมายเลข 1 จากพรรคประชาชน ซึ่งได้คะแนนประมาณ 12,362 คะแนน ทำให้คะแนนห่างกันอย่างชัดเจน

นอกจากนายวันชัยจะได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงรายอีกสมัยแล้ว ทีมผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย (สท.) จาก “ทีมวันชัย” ยังสามารถกวาดที่นั่งได้ครบทุกเขตเลือกตั้งทั้ง 4 เขตด้วยคะแนนที่นำโด่งเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน

ประชาชนมั่นใจในผลงานชัดเจน

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวหลังทราบผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการว่า ขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจตนและทีมงานอีกครั้ง โดยพร้อมเดินหน้านโยบายที่เคยสัญญาไว้ โดยเฉพาะด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองเชียงราย การส่งเสริมการท่องเที่ยว การยกระดับการศึกษา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนครเชียงรายให้ดีขึ้นต่อไป

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า ชัยชนะครั้งนี้สะท้อนถึงผลงานที่เป็นรูปธรรมของนายวันชัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งด้านการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการบริหารจัดการปัญหาภัยพิบัติ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนยังคงมั่นใจและเลือกสนับสนุนเขากลับมาอีกครั้ง

วิเคราะห์การเลือกตั้งนครเชียงราย

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า นายวันชัยยังคงครองใจชาวนครเชียงรายได้เป็นอย่างดี แม้ผู้ท้าชิงจะมีฐานเสียงที่ไม่ธรรมดา แต่นโยบายและผลงานที่จับต้องได้ของนายวันชัยยังคงเหนือกว่า และสะท้อนถึงการเมืองท้องถิ่นเชียงรายที่ยังยึดติดกับผลงานที่ประชาชนสามารถประเมินผลได้ชัดเจน มากกว่ากระแสการเมืองในระดับประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงาน กกต.จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2564 มีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 71.52 จากจำนวนผู้มีสิทธิทั้งหมด ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ (ที่มา: รายงานสรุปผลการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.จังหวัดเชียงราย ปี 2564) และคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีสัดส่วนการออกมาใช้สิทธิไม่ต่ำกว่าครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสรุปผลการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.จังหวัดเชียงราย ปี 2564
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คืบหน้า! รื้ออาคารริมน้ำสาย สร้างกำแพง ขุดลอก ไทย-เมียนมา

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย: ความคืบหน้าการรื้อถอนและก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงราย, 10 พฤษภาคม 2568 – ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสำคัญระหว่างอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย และจังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียนมา ได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อชุมชนริมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ส่งผลให้ทั้งสองประเทศตกลงร่วมกันดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันภัยพิบัติในอนาคต การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ได้กลายเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้ทันก่อนฤดูฝนปี 2568

ความท้าทายจากน้ำท่วมและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ

แม่น้ำสาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เป็นทั้งเส้นชีวิตและภัยคุกคามต่อชุมชนในอำเภอแม่สายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก ในช่วงฤดูฝน แม่น้ำสายมักเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยและย่านการค้า สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและการดำรงชีวิตของประชาชน เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ ประเทศไทยและเมียนมาได้ตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 เพื่อดำเนินโครงการขุดลอกแม่น้ำและก่อสร้างพนังกั้นน้ำตลอดแนวที่เคยเกิดน้ำท่วม โดยกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานระหว่างวันที่ 15 เมษายนถึง 20 มิถุนายน 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการที่เจ้าของอาคารหลายแห่งริมแม่น้ำสายในฝั่งไทยปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการรื้อถอน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารจากกรมการทหารช่างไม่สามารถเข้าปรับพื้นที่เพื่อตอกเสาเข็มและวางพนังกั้นน้ำได้ตามแผน

ความคืบหน้าในการรื้อถอนและก่อสร้าง

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ทีมงานนำโดยนายสิทธิศักดิ์ อินใจคำ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง และนายปวเรศ ปัญญายงค์ ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมที่ดิน กรมป่าไม้ และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเจ้าของอาคารแห่งหนึ่งในหมู่ 7 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย ได้ยินยอมให้รื้อถอนบางส่วนของอาคารเพื่อเป็นการนำร่อง ช่วยให้ลำน้ำสายกว้างขึ้นและเอื้อต่อการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

ผลจากการประชุม เจ้าหน้าที่ได้จัดทำ “บันทึกแสดงความยินยอมให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เพื่อบันทึกความยินยอมของเจ้าของอาคาร โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้เจรจากับเจ้าของอาคาร 14 รายบริเวณฝั่งซ้ายของสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ซึ่งข้ามแม่น้ำสาย โดยสามารถเจรจาสำเร็จกับ 11 ราย และส่งจดหมายแจ้งเตือนถึง 3 รายที่เหลือ หลังพบว่าอาคารเหล่านี้ตั้งอยู่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาเช่าเดิมและดำเนินการรื้อถอนเพื่อเริ่มก่อสร้าง

ความคืบหน้าในการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ 0.18% เจ้าหน้าที่กรมการทหารช่างได้ปรับพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและเริ่มตอกเสาเข็ม โดยเสาเข็มแต่ละต้นห่างกันประมาณ 1 เมตร ลึกลงในดิน 4 เมตร และสูงเหนือพื้นดิน 3 เมตร ครอบคลุมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร การดำเนินงานนี้มุ่งเน้นที่การสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวกึ่งถาวรเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

ในส่วนของการรื้อถอน หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการรื้อถอนอาคารที่ใช้เป็นโกดังเก็บรถในซอยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเก่า ตลาดสายลมจอย อำเภอแม่สาย ซึ่งตั้งอยู่ติดลำน้ำสาย การรื้อถอนนี้ดำเนินการโดยทีมทหารช่างและได้รับความร่วมมือจากเจ้าของอาคาร ช่วยคืนพื้นที่ให้กับลำน้ำและสนับสนุนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

ความท้าทายจากฝั่งเมียนมาและการขุดลอกแม่น้ำ

ในขณะที่ฝั่งไทยมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด การดำเนินงานในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะการขุดลอกแม่น้ำสายในพื้นที่รับผิดชอบระยะทาง 12.8 กิโลเมตร ยังไม่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม จากการประสานงานล่าสุดระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทางการเมียนมาได้ยืนยันว่าจะดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายไทย กรมการทหารช่างและกองทัพภาคที่ 3 ได้แบ่งหน้าที่กันขุดลอกในระยะทางรวม 32 กิโลเมตร โดยกองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบ 14 กิโลเมตร และกรมการทหารช่างรับผิดชอบ 18 กิโลเมตร ปัจจุบันการขุดลอกมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 9% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน 0.51% ดินที่ขุดได้ถูกนำขึ้นมาฝั่งไทยเพื่อใช้ในการปรับพื้นที่และสนับสนุนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

การตรวจติดตามและการวิเคราะห์

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้แทนจากนายอำเภอแม่สาย กรมการทหารช่าง และเทศบาลตำบลแม่สาย ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันตลิ่งชั่วคราวกึ่งถาวรบริเวณลำน้ำสาย ตั้งแต่ตลาดสายลมจอยถึงหัวฝาย การตรวจครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝน รวมถึงการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง

การวิเคราะห์สถานการณ์ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเจ้าของอาคารริมน้ำ การที่เจ้าของอาคารบางรายเริ่มให้ความร่วมมือถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ความล่าช้าในฝั่งเมียนมาอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการป้องกันน้ำท่วมในภาพรวม นอกจากนี้ การเร่งดำเนินการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและขุดลอกแม่น้ำให้ทันก่อนฤดูฝนจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของความพยายามนี้

จุดแข็งของโครงการคือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในฝั่งไทย ซึ่งรวมถึงฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยงานท้องถิ่น ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดการกับสิ่งปลูกสร้างที่เหลือและการรับประกันว่าฝั่งเมียนมาจะดำเนินการตามที่สัญญาไว้ การใช้เทคโนโลยีและการวางแผนอย่างรอบคอบ เช่น การตอกเสาเข็มที่ออกแบบมาเพื่อความแข็งแรงและความยั่งยืน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถต้านทานภัยพิบัติในอนาคตได้

มุ่งสู่อนาคตที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม

ความคืบหน้าในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำในฝั่งไทย รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำรวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย การตอกเสาเข็มต้นแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการปกป้องชุมชนจากภัยพิบัติในอนาคต การที่เจ้าของอาคารเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้นและการประสานงานข้ามพรมแดนที่เริ่มเห็นผล บ่งชี้ถึงศักยภาพของโครงการนี้ในการสร้างความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดน

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาวจะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากทั้งสองประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ฝั่งเมียนมารับปากว่าจะดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามกำหนดเป็นความหวังสำหรับความสำเร็จของโครงการนี้ แต่ความท้าทายในด้านการเมืองและการบริหารภายในเมียนมาอาจเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา

ในอนาคต การสร้างพนังกั้นน้ำที่สมบูรณ์และการขุดลอกแม่น้ำสายให้ครอบคลุมทั้งสองฝั่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำไม่เพียงแต่คืนพื้นที่ให้กับธรรมชาติ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรอย่างรับผิดชอบเพื่อประโยชน์ของชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  1. ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทย:
    • ความคืบหน้า: 20% (เร็วกว่าแผนงาน 0.18%)
    • ระยะทาง: 3 กิโลเมตร
    • รายละเอียดเสาเข็ม: ห่างกัน 1 เมตร ลึก 4 เมตร สูงเหนือพื้นดิน 3 เมตร
    • แหล่งที่มา: รายงานจากกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  2. การขุดลอกแม่น้ำรวก (ฝั่งไทย):
    • ความคืบหน้า: 9% (เร็วกว่าแผนงาน 0.51%)
    • ระยะทางรวม: 32 กิโลเมตร (กองทัพภาคที่ 3: 14 กิโลเมตร, กรมการทหารช่าง: 18 กิโลเมตร)
    • แหล่งที่มา: รายงานจากกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  3. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง:
    • เจรจากับเจ้าของอาคาร: 14 ราย (สำเร็จ 11 ราย, ส่งจดหมาย 3 ราย)
    • ตัวอย่าง: การรื้อถอนโกดังเก็บรถในซอยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเก่า ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งที่มา: รายงานจากอำเภอแม่สาย, 10 พฤษภาคม 2568
  4. ความรับผิดชอบฝั่งเมียนมา:
    • ระยะทางขุดลอก: 12.8 กิโลเมตร (ยังไม่เริ่มดำเนินการ)
    • แหล่งที่มา: รายงานการประสานงานระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก, 10 พฤษภาคม 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจากกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานจากกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานจากอำเภอแม่สาย, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานการประสานงานระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก, 10 พฤษภาคม 2568
  • สมบัติ คำลือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โล่งอก! ผื่นควาญช้างเชียงราย ไม่เกี่ยวสารหนู แม่น้ำกก

เชียงรายชี้แจงกรณีควาญช้างมีผื่นผิวหนัง ไม่พบพิษสารหนูจากแม่น้ำกก – ยืนยันไม่สอดคล้องอาการสัมผัสสารพิษ

จุดเริ่มต้นของความกังวลในชุมชนริมแม่น้ำกก

เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568จากกรณีที่มีรายงานข่าวในพื้นที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กรณีชายรายหนึ่งซึ่งประกอบอาชีพเป็นควาญช้าง มีอาการผื่นขึ้นตามร่างกายและรอยโรคผิวหนังผิดปกติ ส่งผลให้ชาวบ้านในบริเวณหมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรเกิดความกังวลว่าอาจเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านชุมชนและใช้ประโยชน์จากแม่น้ำนี้ทั้งในชีวิตประจำวันและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

สถานการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากทั้งหน่วยงานท้องถิ่น นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวเรื่องสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำกกอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่มีรายงานผลตรวจคุณภาพน้ำจากหลายหน่วยงานในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยชัด ไม่ใช่อาการของพิษสารหนู

เพื่อความชัดเจนในทางการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ โดย นพ.วิชช ธรรมปัญญา แพทย์เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม สาขาโรคผิวหนัง ซึ่งได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ของจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยรายดังกล่าว

จากการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด นพ.วิชช ระบุว่า:

“ลักษณะของผื่นและรอยโรคที่ตรวจพบ ไม่สอดคล้องกับอาการของพิษสารหนูทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง”
“อาการทั่วไปของผู้ที่ได้รับพิษสารหนูแบบเรื้อรัง มักปรากฏลักษณะเฉพาะ เช่น ผิวหนังคล้ำและมีจุดขาวดำคล้ายหยดน้ำบนถนนฝุ่น (rain drop on a dusty road), ผิวหนังหนาตัวบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า, อาการชา, ผมร่วง และแผลพุพองตามร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่พบในผู้ป่วยรายดังกล่าว”

ทั้งนี้ แพทย์ยังเน้นว่า การเกิดพิษสารหนูเรื้อรังมักต้องมีการสัมผัสสารหนูต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และจะมีอาการทางระบบอื่นร่วมด้วย อาทิ ระบบประสาท ระบบหายใจ หรือระบบทางเดินอาหาร ซึ่งกรณีของควาญช้างรายนี้ไม่มีพยานแวดล้อมหรือพฤติกรรมเสี่ยงที่บ่งชี้ถึงการสัมผัสสารหนูในลักษณะนั้น

หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่ตรวจสอบสิ่งแวดล้อม

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โดยทีมสหวิชาชีพ ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมจากบริเวณรอบบ้านผู้ป่วย รวมถึงแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และจะส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานในส่วนกลาง เพื่อความแม่นยำของผลวิเคราะห์ โดยจะรายงานผลอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชนทันทีที่ทราบผล

นอกจากนี้ ยังได้จัดทีมสื่อสารสุขภาพเข้าให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับอาการของพิษสารหนู แนวทางการป้องกันเบื้องต้น และการใช้แหล่งน้ำอย่างปลอดภัย พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ารับคำปรึกษาหรือการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ปัญหาสารหนูในลำน้ำกก และความเสี่ยงด้านสุขภาพ

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายหลักของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะแม่น้ำกก ได้กลายเป็นประเด็นที่หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก หลังมีรายงานจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมในช่วงต้นปี 2568 ว่าพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานบางช่วงของแม่น้ำ โดยเฉพาะช่วงปลายน้ำที่รับน้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งต้นน้ำมีต้นกำเนิดในเขตเมียนมา

จากข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1 (เชียงใหม่) พบว่า สารหนูในแม่น้ำกกบางจุดสูงถึง 0.036 มิลลิกรัมต่อลิตร ขณะที่ค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงให้ความเห็นว่า การได้รับพิษสารหนูจากการใช้น้ำในแม่น้ำโดยตรงยังต้องมีการพิสูจน์หลายขั้นตอน เช่น ปริมาณน้ำที่สัมผัส ระยะเวลาการสัมผัส ความเข้มข้นของสาร และลักษณะทางชีวภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยข้อมูลจากการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการควบคู่กับการเฝ้าระวังทางคลินิกอย่างใกล้ชิด

ข้อแนะนำต่อประชาชนจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางราชการ พร้อมทั้งแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรงในการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง
  2. ใช้น้ำที่ผ่านการกรองและต้มสุกก่อนบริโภค
  3. หากพบอาการผิดปกติของผิวหนัง หรือระบบอื่น ๆ ให้รีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน
  4. ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการ และหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง ณ พฤษภาคม 2568

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่มตาม WHO: ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • ค่าพบสารหนูเฉลี่ยในแม่น้ำกก (จุดวิกฤต): 0.036 มิลลิกรัมต่อลิตร (สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1)
  • จำนวนผู้ที่เข้ารับการตรวจโรคผิวหนังใน รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ปี 2567: 2,984 ราย (กรมการแพทย์)
  • จำนวนผู้ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในอำเภอเมืองเชียงราย: ประมาณ 4,700 ครัวเรือน (สำนักทรัพยากรน้ำภาค 10)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1 (เชียงใหม่)
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • WHO – Drinking-water Guidelines (Arsenic)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“รังสิมันต์” ชี้เหมืองเมียนมาต้นตอ จี้รัฐบาลใช้การทูตและความมั่นคงแก้ไข

เชียงรายเร่งแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก การประชุมระดับชาติเพื่อสุขภาพประชาชนและความมั่นคงลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำสาขาในจังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น การประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน การท่องเที่ยว และความมั่นคงของลุ่มน้ำโขงในระยะยาว

วิกฤตมลพิษจากชายแดนสู่ใจกลางชุมชน

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตรวจพบสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักอย่างสารหนู ในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่น การสอบสวนเบื้องต้นระบุว่าต้นตอของปัญหามาจากการทำเหมืองทองที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในเขตรัฐฉานระหว่างเมืองยอนและเมืองสาด ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มว้า ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะขยายวงไปถึงแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การประชุมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ร่วมด้วยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการทูตระหว่างประเทศ

ต้นตอปัญหาและผลกระทบที่รุนแรง

นายรังสิมันต์ โรม เปิดเผยว่า สารพิษในแม่น้ำกกมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองทองที่ผิดกฎหมายกว่า 30 แห่งในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกลุ่มว้ามีบทบาทสำคัญในการควบคุมพื้นที่ดังกล่าว การใช้สารเคมีในกระบวนการสกัดทองได้ปล่อยสารพิษ เช่น สารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ลงสู่ลำน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำกก ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนในระบบนิเวศและกระทบต่อประชาชนที่พึ่งพาแหล่งน้ำนี้ในการดำรงชีวิต

ผลกระทบจากมลพิษนี้ครอบคลุมหลายมิติ:

  • สุขภาพประชาชน: การปนเปื้อนของสารหนูในน้ำอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคผิวหนังและมะเร็ง ประชาชนในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการบริโภคและการเกษตร
  • การเกษตรและประมง: เกษตรกรและชาวประมงในจังหวัดเชียงรายเผชิญกับความสูญเสีย เนื่องจากน้ำที่ปนเปื้อนส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรและสัตว์น้ำ
  • การท่องเที่ยว: จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาจสูญเสียความน่าสนใจหากปัญหามลพิษในแม่น้ำกกไม่ได้รับการแก้ไข
  • ความมั่นคงของชาติ: การปนเปื้อนข้ามพรมแดนไม่เพียงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของลุ่มน้ำโขง ซึ่งประเทศไทยมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมาก

ในที่ประชุม นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ การเจรจากับทางการเมียนมาและกลุ่มว้ายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายผลักภาระความรับผิดชอบต่อกัน เขาเสนอว่ารัฐบาลไทยควรใช้ความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเฉพาะกับประเทศจีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อกลุ่มว้าในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อกดดันให้มีการควบคุมการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

มาตรการรับมือและแนวทางแก้ไข

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา ดังนี้:

  1. การตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษ หน่วยงานท้องถิ่นได้ตรวจสอบการปล่อยน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และชุมชนเมือง เพื่อควบคุมแหล่งมลพิษภายในประเทศ
  2. การประชาสัมพันธ์เพื่อลดความตื่นตระหนก การประปาส่วนภูมิภาคและประปาหมู่บ้านยืนยันว่าน้ำประปามีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค พร้อมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับระดับความเป็นพิษของสารหนูในน้ำ
  3. การเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่จะตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
  4. การจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับลุ่มน้ำโขงเหนือจะประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขในระยะยาว
  5. การศึกษาโครงสร้างฝายดักตะกอน มีการเสนอแนวคิดในการสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำกก โดยแบ่งเป็นฝายชั่วคราว ฝายกึ่งถาวร และฝายถาวร เพื่อลดการสะสมของสารพิษและสนับสนุนการใช้น้ำในภาคการเกษตร

นายรังสิมันต์เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และการทูต เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการเจรจาระหว่างประเทศและการจัดการภายในประเทศ เขายังเรียกร้องให้มีการใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีผลประโยชน์ในภูมิภาค เพื่อกดดันกลุ่มว้าให้ยุติการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

โอกาสและความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาข้ามพรมแดน ซึ่งต้องการความร่วมมือในหลายระดับ การที่ต้นตอของปัญหาอยู่ในเมียนมา ซึ่งมีข้อจำกัดด้านการควบคุมอำนาจในพื้นที่รัฐฉาน ทำให้การเจรจาโดยตรงกับทางการเมียนมาไม่เพียงพอ การใช้ความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาค อาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ แต่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี

ในระดับท้องถิ่น มาตรการที่จังหวัดเชียงรายดำเนินการ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำและการประชาสัมพันธ์ เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระยะยาวต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฝายดักตะกอน และระบบบำบัดน้ำ ซึ่งอาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การระดมทุนจากรัฐบาลกลางหรือความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) อาจช่วยลดภาระงบประมาณของจังหวัด

โอกาสสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือการยกระดับความตระหนักรู้ในระดับภูมิภาคเกี่ยวกับความสำคัญของลุ่มน้ำโขง การที่ปัญหานี้มีศักยภาพที่จะกระทบต่อแม่น้ำโขงอาจกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกในคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการกดดันให้มีการควบคุมการทำเหมืองในเมียนมา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการขาดความชัดเจนในการเจรจากับกลุ่มว้า ซึ่งมีอำนาจควบคุมพื้นที่รัฐฉานอย่างไม่เป็นทางการ การที่กลุ่มว้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่นๆ เช่น ยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้การเจรจาต้องครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทูตและความมั่นคงจะช่วยให้การเจรจามีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกและบริบทที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือสถิติที่สำคัญ:

  • จำนวนเหมืองทองที่ผิดกฎหมายในรัฐฉาน: มากกว่า 30 แห่ง
    ที่มา: รายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ, 2568
  • ความยาวของแม่น้ำกก: ประมาณ 130 กิโลเมตร
    ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567
  • ประชากรที่พึ่งพาแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 200,000 คน
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย (2566): 2.5 ล้านคน (ในประเทศ 2.2 ล้านคน, ต่างประเทศ 0.3 ล้านคน)
    ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • ปริมาณสารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำกก (2567): สูงกว่ามาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในบางพื้นที่
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่, 2567
  • พื้นที่เกษตรกรรมในลุ่มน้ำกก: ประมาณ 150,000 ไร่
    ที่มา: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย, 2567

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของแม่น้ำกกในฐานะทรัพยากรหลักของจังหวัดเชียงราย และความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษอย่างเร่งด่วน การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องทั้งสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ, 2568
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567
  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูทะลักแม่น้ำกก “โรม” จี้รัฐบาลแก้เหมืองทองว้า

วิกฤตแม่น้ำกก สารพิษจากเหมืองทองคำฝั่งเมียนมาคุกคามความมั่นคงและสุขภาพคนไทย

สถานการณ์คุณภาพน้ำกกและแม่น้ำสายพบสารหนูเกินมาตรฐานหลายเท่า

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำฝาง ซึ่งเก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 21-24 เมษายน 2568 ครอบคลุม 15 จุดในเชียงรายและเชียงใหม่ โดยพบว่าน้ำมีความขุ่นผิดปกติและตรวจพบ “สารหนู” (Arsenic) เกินค่ามาตรฐานในหลายจุดอย่างน่าตกใจ

ตัวอย่างเช่นที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 อำเภอเมืองเชียงราย พบค่าสารหนู 0.012 mg/L และสูงสุดที่บ้านจะเด้อ ตำบลดอยฮาง ที่ระดับ 0.019 mg/L ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐาน 0.01 mg/L ถึงเกือบสองเท่า ขณะที่ในเขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีจุดหนึ่งที่มีค่าถึง 0.037 mg/L

ร่วมลงพื้นที่ ย้ำภัยเงียบที่ต้องเร่งจัดการ

พระอาจารย์มหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน ให้สัมภาษณ์ว่า การปนเปื้อนของโลหะหนักในลำน้ำกกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่ปริมาณน้ำน้อยลง สารพิษจึงเข้มข้นขึ้น ซึ่งกระทบทั้งการเกษตรและอาหารประจำวันของประชาชน โดยขอให้รัฐตรวจสอบสัตว์น้ำและพืชผลที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกอย่างเร่งด่วน

ในวันเดียวกัน รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ได้เดินทางลงพื้นที่แม่อายและเชียงราย เพื่อติดตามปัญหาดังกล่าว พร้อมระบุว่าสารหนูและตะกั่วมีค่าที่น่าเป็นห่วงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ต้นตอปัญหาเหมืองทองผิดกฎหมายในเขตอิทธิพลของกลุ่มว้าในเมียนมา

ข้อมูลจากการตรวจสอบพบว่าแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำกกและสาย ไหลมาจากพื้นที่เขตอิทธิพลของกลุ่มว้า (UWSA) ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีเหมืองทองคำผิดกฎหมายกว่า 30 แห่ง ปล่อยตะกอนสารพิษลงแม่น้ำโดยไม่มีมาตรการควบคุม ส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งอยู่ปลายน้ำรับผลกระทบเต็ม ๆ

นายโรมกล่าวว่า ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อคุณภาพน้ำ แต่ยังลุกลามไปถึงเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

หน่วยงานรัฐยืนยันไม่มีการทำเหมืองในเขตประเทศไทย

นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ชี้แจงว่า การตรวจสอบในพื้นที่แม่อายไม่พบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะหนัก พร้อมเน้นย้ำว่าอำเภอแม่อายไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหา การแก้ไขต้องทำในระดับประเทศ โดยปัจจุบันมีการแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดให้ชาวบ้านฟรีและเร่งตรวจสอบปลาและดินตะกอนเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องเร่งใช้การทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศ

นายรังสิมันต์ โรม กล่าวอย่างหนักแน่นว่า แม้สถานการณ์ในเมียนมาจะซับซ้อนจากสงครามกลางเมือง แต่รัฐบาลไทยต้องแสดงความชัดเจน ใช้ช่องทางการทูต รวมถึงประเทศที่มีสัมพันธ์ดีกับกลุ่มว้า เพื่อกดดันให้ยุติกิจกรรมเหมืองทองที่เป็นต้นเหตุของปัญหา

“ถ้าไม่แก้วันนี้ ปัญหาจะลุกลามต่อเนื่อง คนไทยจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างปลอดภัย” นายโรมกล่าว

เหมืองทองฝั่งเมียนมาปล่อยตะกอนลงแม่น้ำกก

ผู้สื่อข่าวยังได้รับคลิปวิดีโอจากชาวบ้าน ซึ่งเผยให้เห็นภาพการระบายตะกอนจากเหมืองทองในเขตรัฐฉานลงสู่แม่น้ำกกอย่างชัดเจน ยืนยันถึงการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายของเหมืองดังกล่าวที่ยังดำเนินอยู่

กมธ.มั่นคงฯ นัดถกแนวทางร่วมกับส่วนราชการในเชียงราย

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ มีกำหนดประชุมร่วมกับหน่วยงานราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อสรุปสถานการณ์และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง สาธารณสุข และการต่างประเทศ

วิกฤตนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือความมั่นคงระดับชาติ

กรณีสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำกก ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม แต่สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ทั้งกลยุทธ์ระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อแก้ปัญหานี้

หากยังปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายข้ามพรมแดนต่อไปโดยไม่มีการควบคุม สถานการณ์จะยิ่งซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าสารหนูในแม่น้ำกกสูงสุด: 0.037 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
  • ค่าสารตะกั่วในแม่น้ำกก: 0.076 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.05 mg/L)
  • เหมืองทองผิดกฎหมายในรัฐฉาน: กว่า 30 แห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1
  • สส.ปั๋น – ชิตวัน ชินอนุวัฒน์
  • พรรคประชาชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

มท.4 ลุยแม่สาย ตามปม สารหนู-ตะกั่ว เร่งสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน สารหนู-ตะกั่วปนเปื้อนแม่น้ำสาย กระทบประชาชนกว่าแสนคน

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 — จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง หลังจากการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วปนเปื้อนในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของพื้นที่ โดยมีการตรวจพบสารหนูในระดับสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า

การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.30 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย รวมถึงการตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจติดตามราชการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ณ อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตลาดสายลมจอย รวมถึงตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม

การปนเปื้อนของสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำสายต้องเผชิญกับปัญหาผื่นคันและอาการผิดปกติทางผิวหนังหลังจากสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน นอกจากนี้ ร้านอาหารและธุรกิจที่พึ่งพาแม่น้ำสายต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารและน้ำ

ต้นเหตุของการปนเปื้อน

จากการสืบสวนพบว่า ต้นเหตุของการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ต้นน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่โดยนักลงทุนชาวจีนที่ไม่มีระบบการจัดการน้ำเสียอย่างเหมาะสม ทำให้สารพิษจากการสกัดแร่ไหลลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกก

มาตรการของภาครัฐ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง และแจ้งเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำจากแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงการเร่งสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข

นักวิชาการและภาคประชาชนได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเน้นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมกิจกรรมการทำเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของการปนเปื้อน รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พบสารหนูในแม่น้ำสายสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า
  • ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมีจำนวนมากกว่า 120,000 คน
  • มีการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในหลายจุด โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน

บทสรุป

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เริ่มวิกฤต หลัง ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน พบชาวบ้านแสบตา ปลาผิดปกติ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำสาขาโขง เรียกร้องรัฐบาลเร่งเจรจาระหว่างประเทศแก้ปัญหาเหมืองต้นน้ำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 –  เพจ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานว่า จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่กำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอันเนื่องจากการปนเปื้อนของสารหนู (Arsenic) ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานในพื้นที่และนักวิชาการยืนยันว่าสารหนูมีระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยสาเหตุหลักเชื่อว่ามาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อน้ำอุปโภคบริโภค การประมง และการเกษตรของชุมชนในพื้นที่ สร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำ

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง และจีน) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อจัดการมลพิษอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศยังคงเป็นศูนย์ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำกก

แม่น้ำกกเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ด้วยความยาวรวมประมาณ 285 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไหลผ่านอำเภอเมือง เวียงชัย ดอยหลวง แม่จัน และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน รวมความยาวในประเทศไทยประมาณ 145 กิโลเมตร แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งมีต้นน้ำในพื้นที่เดียวกัน ก็เป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชุมชนในอำเภอแม่สายและเชียงแสนพึ่งพา

ลุ่มน้ำกกมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตบันทึกว่ามีพันธุ์ปลา 71 ชนิด รวมถึงปลาท้องถิ่น 64 ชนิดและปลาต่างถิ่น 7 ชนิด ปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลากดคัง ปลาแข้ ปลาคางเบือน และปลาดังแดง เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชน นอกจากนี้ ยังพบปลาที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN เช่น ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย รวมถึงนากใหญ่ธรรมดาที่อาศัยอยู่ชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำกก ลุ่มน้ำกกยังประกอบด้วยลำห้วยสาขา 24 แห่ง และมีลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย เช่น เกาะดอน แก่งหิน หาดทราย และหนองน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยน้ำมีลักษณะขุ่นขาวและเปลี่ยนสีผิดปกติ แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใส การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงรายรายงานว่าน้ำดิบจากแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในปี 2567 และพุ่งสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568 ความผิดปกติเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลในหมู่ชุมชน โดยเฉพาะเมื่อน้ำที่เก็บในขวดยังคงขุ่นขาวและตกตะกอนช้า แม้วางทิ้งไว้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จากอิทธิพลของพายุยางิเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล ส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่และภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างละเอียด

การปนเปื้อนสารหนูและผลกระทบต่อชุมชน

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ผลการตรวจสอบยืนยันว่าแม่น้ำกกอยู่ในสภาพพอใช้ถึงเสื่อมโทรม และมีการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า ตะกอนดินในแม่น้ำกกก็พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสัตว์หน้าดินอย่างรุนแรง

ผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูส่งผลต่อชุมชนในหลายมิติ:

  1. น้ำอุปโภคบริโภค เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสยามเชียงราย จุดริมกก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย ว่ามีอาการปวดแสบและตาบวมหลังลงงมหาของในคลองที่ผันน้ำจากแม่น้ำกก เหตุการณ์นี้ทำให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง และแนะนำให้ล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ
  2. การประมง ชาวประมงในพื้นที่ เช่น ที่บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน และใต้ฝายป่ายางมน ตำบลริมกก อำเภอเมือง รายงานว่าปลาที่จับได้มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีผื่นหรือสีผิวผิดปกติ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวที่จับได้ระหว่างวันที่ 28 เมษายน ถึง 4 พฤษภาคม 2568 ไปตรวจหาสารปนเปื้อนที่สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย โดยผลคาดว่าจะทราบภายใน 3 สัปดาห์ ชาวบ้านหลายคนไม่กล้าบริโภคหรือจำหน่ายปลา ส่งผลให้รายได้จากการประมงลดลงอย่างมาก
  3. การเกษตร ดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เจริญเติบโต ชาวบ้านในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่และลาหู่ รายงานว่าดินโคลนมีลักษณะเหนียวแน่นและแห้งแข็ง ซึ่งแตกต่างจากดินร่วนที่เคยอุดมสมบูรณ์หลังน้ำท่วมในอดีต
  4. สุขภาพประชาชน การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งหรือโรคผิวหนังในระยะยาวหากมีการสะสมในร่างกาย กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กและผู้สูงอายุ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า “แม่น้ำกกเคยเป็นแหล่งชีวิตของชุมชน แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นแหล่งภัยคุกคาม การปนเปื้อนสารหนูไม่เพียงกระทบต่อน้ำและปลา แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์ที่พึ่งพาแม่น้ำมาแต่โบราณ รัฐบาลต้องเร่งเจรจา 4 ฝ่ายเพื่อหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองในรัฐฉาน”

มาตรการรับมือและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤต หน่วยงานและภาคประชาชนได้ดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำและปลา: คพ.1 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายกำลังเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเพื่อวิเคราะห์สารโลหะหนักอย่างละเอียด สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวไปตรวจหาสารปนเปื้อน โดยผลการตรวจจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการบริโภคและการจัดการมลพิษ
  2. การแจ้งเตือนประชาชน: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย และล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการทางประสาท ควรพบแพทย์ทันที การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
  3. ข้อเสนอจากภาคประชาชน สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง เสนอแผนรับมือ 3 ระยะ:
    • ระยะเร่งด่วน: ตรวจสอบสารปนเปื้อนในน้ำ ปลา และสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำมะ
    • ระยะกลาง: ขยายการตรวจสอบไปยังแม่น้ำโขงและลำห้วยสาขา 28 แห่งในลุ่มน้ำกก ตั้งแต่อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ถึงปากแม่น้ำกก
    • ระยะยาว: ตรวจสอบแม่น้ำคำ แม่น้ำอิง และแม่น้ำงาว ในระยะ 10 กิโลเมตรจากปากแม่น้ำ เพื่อสร้างฐานข้อมูลสำหรับการจัดการมลพิษ
  4. ข้อเรียกร้อง 7 ข้อ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้:
    • แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขมลพิษข้ามพรมแดน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ
    • จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ภายใน 30 วัน
    • เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย
    • สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ
    • พัฒนาระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใสเพื่อแจ้งข้อมูลคุณภาพน้ำ
    • ขยายการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
    • เปิดเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ และจีน) โดยใช้กลไกระดับอาเซียนบวกจีน
  5. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนไปยังฝั่งเมียนมา แต่การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นและขาดความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและสาขาจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง การผลักดันให้ปัญหานี้เข้าสู่เวทีอาเซียนและกลไกระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มแรงกดดันต่อการควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน

การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาเป็นปัญหาที่มีมิติซับซ้อน ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกและสาขามีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การปนเปื้อนสารหนูอาจรบกวนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งสัตว์น้ำและมนุษย์ การจัดการมลพิษต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดในรัฐฉาน และพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โรคผิวหนัง และความผิดปกติของระบบประสาทหากสะสมในร่างกายในระยะยาว การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้ การแจ้งเตือนและให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับวิธีป้องกันการสัมผัสสารหนูเป็นสิ่งสำคัญ

  • มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการประมงและการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชุมชนชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำกก การลดลงของผลผลิตทางการเกษตรและรายได้จากการประมงทำให้ชุมชนเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

การทำเหมืองในรัฐฉานอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กองกำลังว้า และได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศ ทำให้การเจรจาเพื่อควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองเป็นเรื่องซับซ้อน ความขัดแย้งทางการเมืองภายในเมียนมาทำให้การประสานงานข้ามพรมแดนเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม การผลักดันปัญหานี้สู่เวทีอาเซียนหรือกลไกระดับภูมิภาคอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการแก้ไข

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงการสนับสนุนชุดตรวจสารปนเปื้อนราคาประหยัด จะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การยกระดับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนสู่เวทีระหว่างประเทศจะช่วยสร้างความตระหนักและความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กิจกรรมเหมืองแร่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการวิกฤตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐาน และการแจ้งเตือนประชาชนเป็นการป้องกันที่เหมาะสมในระยะสั้น การเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด

  • ภาคประชาชนและนักวิชาการ

ภาคประชาชนและนักวิชาการเห็นว่าการจัดการที่ต้นตอ เช่น การยุติการทำเหมืองในรัฐฉาน เป็นสิ่งจำเป็น การตรวจสอบน้ำและปลาเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้ พวกเขาต้องการให้มีการเจรจาระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาระบบสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคุณภาพน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและสาขา: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) สูงสุดที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่, รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำ, 2568
  2. ความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำกก: พบพันธุ์ปลา 71 ชนิดในแม่น้ำกก รวมถึงปลาในบัญชีแดงของ IUCN อย่างน้อย 2 ชนิด (ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย) และนากใหญ่ธรรมดาที่กระจายตัวชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำ
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานการสำรวจสัตว์น้ำในแม่น้ำกก, 2567
  3. ผลกระทบต่อการประมง: รายได้จากการประมงในลุ่มน้ำกกและโขงในจังหวัดเชียงรายลดลง 25% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน จากเดิมที่มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  4. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในลุ่มน้ำกกในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 200,000 คน โดยรวม 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่ ลาหู่ และปกาเกอะญอ
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่, ข้อมูลประชากร, 2567
  5. ความยาวและลักษณะของแม่น้ำกก: แม่น้ำกกมีความยาวในประเทศไทย 145 กิโลเมตร แบ่งเป็นตอนบน 62 กิโลเมตร ตอนกลาง 21 กิโลเมตร และตอนปลาย 62 กิโลเมตร มีลำห้วยสาขา 24 แห่ง
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำกก, 2567
  6. ปริมาณตะกอนดินจากน้ำท่วม: การน้ำท่วมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 นำตะกอนดินโคลนที่มีสารหนูในระดับสูงถึง 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมในบางจุด ซึ่งเกินค่ามาตรฐานสำหรับการอยู่อาศัย
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), 5 พฤษภาคม 2568

  • ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายแม่น้ำเพื่อชีวิต, เมษายน – พฤษภาคม 2568

  • การศึกษาพันธุ์ปลาของสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, 2567–2568

  • ประกาศเตือนประชาชนจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • มูลนิธิสยามเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านผวาปลาแม่น้ำโขง หลังพบโลหะหนัก กปภ. เร่งตรวจน้ำดิบ

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง หลังพบสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านหวั่นผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนานาชาติและเส้นเลือดหลักของชุมชนในจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย-เชียงแสน ประกาศแผนเร่งด่วนในการตรวจสอบน้ำดิบจากแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอเชียงแสนและเชียงของ หลังทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงพบสารหนูในระดับสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยหลายคนไม่กล้าบริโภคปลาและกังวลต่อผลกระทบต่อการเกษตรจากตะกอนดินโคลนที่อาจปนเปื้อน

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและวางมาตรการแก้ไข เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในแม่น้ำโขง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในจังหวัดเชียงราย แม่น้ำโขงได้รับน้ำจากแม่น้ำสาขาหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลมาจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พื้นที่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งทำเหมืองแร่ที่มีกิจกรรมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำสายมีลักษณะขุ่นขาวและมันวาวเมื่อกระทบแสงแดด แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใสกว่าปกติ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายรายงานว่าระบบผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองน้ำให้ใสได้ตามปกติ โดยน้ำดิบมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลากของปี 2567 และสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จากอิทธิพลของพายุยางิ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพื่อหาคำตอบว่าสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปถึงแม่น้ำโขงหรือไม่

การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงและผลกระทบ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดยอาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง รวม 9 จุด ตั้งแต่บริเวณหัวฝาย อำเภอแม่สาย ไปจนถึงเทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ผลการตรวจเบื้องต้นโดยใช้ชุดตรวจ Intelligent Heavy Metal Quantification Kit (IQUAN) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ในทุกจุด โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า

ผลการตรวจในจุดต่างๆ มีดังนี้:

  • จุดที่ 1: แม่น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม-หัวฝาย อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 3: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 4: คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.18 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 5: แม่น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 6: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 7: แม่น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 8: แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 9: แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร

การค้นพบสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกในพื้นที่เชียงราย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในการประมง การเกษตร และการผลิตน้ำประปาในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ที่บ้านแก่งทรายมูล อำเภอเชียงแสน รายงานว่าไม่กล้าบริโภคปลาจากแม่น้ำโขง หลังกรมประมงเก็บตัวอย่างปลาเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนเมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ความกังวลนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายพบว่าดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่เจริญเติบโต

นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการ กปภ. สาขาแม่สาย-เชียงแสน ระบุว่า ทาง กปภ. มีแผนเก็บตัวอย่างน้ำดิบจากแม่น้ำโขงในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นตรวจสอบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งจะดำเนินการถี่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง และปรับตามสถานการณ์ในฤดูน้ำหลาก เขายืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปามีกระบวนการทางเคมีและการกรองที่สามารถกำจัดสารโลหะหนักได้ แต่การตรวจสอบน้ำดิบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า “การพบสารหนูในแม่น้ำโขงไม่ใช่แค่ปัญหาของเชียงราย แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาค เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ สารหนูที่สะสมในปลาหรือพืชผลทางการเกษตรอาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากไม่มีการจัดการที่ต้นตอ”

มาตรการแก้ไขและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤตการปนเปื้อนในแม่น้ำโขง หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ จะลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงภายในสัปดาห์นี้ ตามคำสั่งจากรองนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผลการตรวจจะใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
  2. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนน้ำไปยังฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก การเจรจานี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสารหนู
  3. การส่งเสริมการเฝ้าระวังโดยชุมชน: มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่และไทใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินและติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย: อาจารย์ ดร.สืบสกุล เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรในจังหวัดเชียงราย เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีชุดตรวจคุณภาพน้ำราคาประหยัด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อปกป้องระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีมิติหลากหลาย ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

การพบสารหนูในแม่น้ำโขงบ่งชี้ถึงความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ สารหนูที่สะสมในดินและสัตว์น้ำอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า การจัดการปัญหานี้ต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคผิวหนังหากสะสมในร่างกายในระยะยาว ชาวบ้านที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการประมงและการเกษตรมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การตรวจสอบและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำนานาชาติ ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว การเจรจากับเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่เป็นไปได้ยาก

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับปัญหานี้สู่เวทีระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและการสนับสนุนชุดตรวจราคาประหยัดจะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำของตนเอง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบน้ำประปาของ กปภ. เป็นมาตรการที่จำเป็น แต่การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงต้องเน้นที่การจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องแหล่งน้ำและสุขภาพประชาชน

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตมีความปลอดภัย และการตรวจสอบน้ำดิบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

  • ชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ

ชาวบ้านและนักวิชาการกังวลว่าการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพและการเกษตร พวกเขาต้องการให้มีการจัดการที่ต้นตอ โดยเฉพาะการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ และการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับชุมชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำโขง: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำโขง บริเวณเทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน ที่ระดับ 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดที่สามเหลี่ยมทองคำที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร (เกินมาตรฐาน 19 เท่า)
    ที่มา: สถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานการตรวจสอบน้ำ, 2568
  2. ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสาย: ในปี 2568 ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสายสูงถึง 7,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลาก และ 1,000 NTU ในช่วงปกติ เทียบกับ 3,000-4,000 NTU ในปี 2567
    ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย-เชียงแสน, รายงานคุณภาพน้ำ, 2568
  3. ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567: น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ส่งผลให้มีตะกอนดินโคลนปนเปื้อนสารหนูในระดับที่อาจกระทบสัตว์หน้าดินใน 4 จาก 5 จุดที่ตรวจสอบ
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567
  4. การประมงในแม่น้ำโขง: ชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่พึ่งพาการประมงในแม่น้ำโขงมีรายได้เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อปี แต่ลดลง 20% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  5. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในอำเภอแม่สายและเชียงแสนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 150,000 คน
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลประชากร, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: WHO < 0.01 mg/L

  • ค่าสารหนูสูงสุดที่พบ: 0.19 mg/L (สามเหลี่ยมทองคำ)

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • กรมทรัพยากรธรณี

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1)

  • ข้อมูลตรวจน้ำประปาแม่สาย: กปภ.แม่สาย, เมษายน 2568 พบค่าสารหนู 0.014 mg/L

  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายขยับ ตรวจน้ำสายด่วน และน้ำกกเพิ่ม 14 จุด

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย หลังพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า จังหวัดเชียงรายได้ยกระดับการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างเข้มข้น หลังพบสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนในระดับที่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่ การดำเนินการครั้งนี้เป็นผลจากการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน

การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เพื่อวิเคราะห์ระดับโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น อาการผื่นคัน ระคายเคืองผิวหนัง และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหากมีการสะสมในร่างกาย การดำเนินการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลายภาคส่วน รวมถึงสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปกครองอำเภอแม่สาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความท้าทายด้านคุณภาพน้ำในเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชุมชน ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณภาพน้ำในแม่น้ำเหล่านี้เริ่มเผชิญกับความท้าทายจากมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะจากกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มรายงานถึงความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เช่น น้ำขุ่นผิดปกติและมีอาการระคายเคืองผิวหนังหลังสัมผัสน้ำ รายงานเหล่านี้จุดประกายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ และพบว่ามีสารหนูในระดับที่สูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามมาตรฐานของประเทศไทย

จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายสูงถึง 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานถึง 2.6 เท่า ขณะที่การตรวจสอบในแม่น้ำสายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พบสารหนูในบางจุดสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐาน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ

ปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการประมง ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำกก เช่น นายธวัช อายุ 56 ปี เจ้าของเรือหางยาวบริเวณท่าเรือเชียงราย รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมากตั้งแต่มีการรายงานข่าวการปนเปื้อนสารหนู ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก

การดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายได้จัดการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบและแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ ที่ประชุมมีมติให้เพิ่มจุดตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกจากเดิม 3 จุดเป็น 9 จุด และเพิ่มการตรวจในลำน้ำสาขาอีก 5 จุด รวมทั้งสิ้น 14 จุด พร้อมทั้งเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักอย่างละเอียด

นอกจากนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปกครองอำเภอแม่สาย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สาขาวิชาสารสนเทศภูมิศาสตร์ ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำสายจำนวน 3 จุด ได้แก่:

  • จุดที่ 1 (Sa01): บ้านป่าซางงาม หมู่ 6 ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย
  • จุดที่ 2 (Sa02): สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย
  • จุดที่ 3 (Sa03): บ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย

ตัวอย่างน้ำที่เก็บได้จะถูกส่งไปยังศูนย์ปฏิบัติการวิเคราะห์มลพิษและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ เพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับโลหะหนัก โดยคาดว่าจะทราบผลภายในสัปดาห์หน้า ผลการวิเคราะห์จะเป็นข้อมูลสำคัญในการแจ้งเตือนประชาชนและกำหนดมาตรการป้องกันต่อไป

ด้านสำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้วางแผนเก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกใน 3 ช่วง คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จุดละ 2 ตัวอย่าง เพื่อตรวจหาการสะสมของสารปนเปื้อนในสัตว์น้ำ ขณะที่สำนักงานเกษตรจังหวัดได้เก็บตัวอย่างพืช 5 ชนิด และดินจากพื้นที่เกษตร 8 แห่งที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนเช่นกัน ผลการตรวจทั้งหมดจะถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อจัดทำรายงานกลางสำหรับเผยแพร่สู่สาธารณะ

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า “ผลการตรวจคุณภาพน้ำจะต้องยึดตามผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากกว่าการใช้ชุดตรวจแบบเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ” นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเสนอให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มเติม เพื่อยืนยันระดับการปนเปื้อนและสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่

มาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไข

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าสาเหตุหลักของการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายน่าจะมาจากกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารหนูจากการสกัดแร่ลงสู่แม่น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานกับหน่วยงานในระดับชาติและนานาชาติ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานคณะทำงานด้านคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน คณะทำงานนี้จะมีตัวแทนจากกองทัพที่ 37 หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูลและกำหนดแนวทางแก้ไข

ในระยะสั้น จังหวัดเชียงรายได้ออกคำเตือนให้ประชาชนงดใช้และสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้จนกว่าผลการตรวจจะยืนยันความปลอดภัย หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้จัดตั้งจุดรับแจ้งอาการผิดปกติจากประชาชนที่อาจสัมผัสน้ำในแม่น้ำ เช่น ผื่นคันหรืออาการทางเดินอาหาร เพื่อให้การรักษาทันท่วงที

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายมีแผนขอรับงบประมาณเพื่อติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนและลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้กระทรวงการต่างประเทศไทยเจรจากับรัฐบาลเมียนมาและกองทัพว้า เพื่อควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองทองในรัฐฉาน ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา

ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของเชียงราย ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากข่าวการปนเปื้อนสารหนู ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น นางสาวกัญญา หวังจงกลาง พ่อค้าที่ชายหาดโยนก ระบุว่า “ตั้งแต่มีข่าวสารหนู นักท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด รายได้ลดลงจนแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าที่” เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จังหวัดเชียงรายกำลังพิจารณาแนวทางการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว โดยอาจจัดกิจกรรมที่เน้นความปลอดภัยและความยั่งยืน เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ไม่พึ่งพาแหล่งน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นปัญหาที่ซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติ การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองทองในเมียนมา เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งการทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่จังหวัดเชียงรายสามารถระดมหน่วยงานในพื้นที่และจัดตั้งคณะทำงานอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับวิกฤต

มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสัมผัสน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง คลื่นไส้ และท้องเสีย ส่วนการสะสมในร่างกายในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและมะเร็งอวัยวะภายใน การตรวจสอบและแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีจึงเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยง

มิติด้านสิ่งแวดล้อม

สารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ที่ปนเปื้อนในแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะสัตว์น้ำและพืชที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหาร การพบสารหนูในตะกอนดินของแม่น้ำกกในระดับที่สูงถึง 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (เกินมาตรฐานที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อสัตว์หน้าดินและปลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและการประมงในพื้นที่

มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการประมง ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย การลดลงของนักท่องเที่ยวและการจำกัดการจับสัตว์น้ำทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความสูญเสียทางรายได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์และการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้จังหวัดเชียงรายพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพน้ำและการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และนานาชาติจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการรับมือกับมลพิษในอนาคต นอกจากนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและกิจกรรมที่ไม่พึ่งพาแหล่งน้ำในแม่น้ำอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการกระจายรายได้ของชุมชน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

หน่วยงานภาครัฐและนักวิชาการ
หน่วยงานภาครัฐและนักวิชาการ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้นและการประสานงานกับหน่วยงานนานาชาติเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา การใช้ผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
ชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าตามชายหาดโยนก แสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจและความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พวกเขาต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมมลพิษจากเหมืองทองในเมียนมา และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

ทัศนคติเป็นกลาง การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบและการแจ้งเตือนประชาชนเป็นมาตรการที่จำเป็นในการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การควบคุมมลพิษจากเหมืองทองในเมียนมา ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือในระดับนานาชาติ การสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนและการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจะช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการรักษาเศรษฐกิจท้องถิ่น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำสายบางจุดสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ขณะที่แม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายพบสารหนูที่ระดับ 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร
    ที่มา: สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์, รายงานจากการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการ, 1 พฤษภาคม 2568
  2. ระดับสารหนูในตะกอนดิน: การตรวจสอบตะกอนดินในแม่น้ำกกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2568 พบสารหนูในระดับ 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกินมาตรฐานที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), รายงานคุณภาพตะกอนดิน, 25 เมษายน 2568
  3. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายลดลง 30% ในช่วงเดือนเมษายน 2568 หลังมีการรายงานข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำเดือนเมษายน 2568
  4. การพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: ชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายกว่า 50,000 ครัวเรือนพึ่งพาแหล่งน้ำเหล่านี้ในการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปา
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, รายงานการใช้น้ำดิบ, 2568
  5. ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากสารหนู: การสัมผัสสารหนูในระดับที่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและมะเร็งอวัยวะภายในได้ถึง 10%
    ที่มา: องค์การอนามัยโลก (WHO), รายงานความเสี่ยงจากสารหนู, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมเเละควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News