Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อย่าเสี่ยง! อุทยานฯ ถ้ำหลวงเตือนบุกรุกดอยผาฮุ้งผิดกฎหมายและอันตรายถึงชีวิต

อุทยานฯ ถ้ำหลวง เตือนภัยบุกรุก “ดอยผาฮุ้ง” เขตหวงห้าม IUCN-Ia

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – เหตุการณ์เตือนภัยกลางกระแสท่องเที่ยวผจญภัย อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ออกประกาศเตือนภัยเร่งด่วน หลังเจ้าหน้าที่พบกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าเขต “ดอยผาฮุ้ง” ซึ่งเป็นเขตธรรมชาติหวงห้ามตามมาตรฐานสากล IUCN Category Ia การกระทำนี้ไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและระบบนิเวศสำคัญของชาติ

ดอยผาฮุ้งสมบัติธรรมชาติระดับโลก

ดอยผาฮุ้งตั้งอยู่บนเทือกเขาดอยนางนอน มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นแหล่งพืชและสัตว์ป่าหายากหลายชนิด พื้นที่นี้ถูกกำหนดเป็น IUCN Category Ia ซึ่งเป็นระดับการคุ้มครองสูงสุด ห้ามกิจกรรมใดๆ ยกเว้นการวิจัยที่ได้รับอนุญาตอย่างเคร่งครัด การบุกรุกจึงถือเป็นการละเมิดทั้งกฎหมายภายในประเทศและหลักการอนุรักษ์ระดับโลก

เหตุการณ์พบผู้บุกรุกและการดำเนินการ

ขณะลาดตระเวน เจ้าหน้าที่พบกลุ่มบุคคลเข้าพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมพฤติกรรมที่อาจกระทบระบบนิเวศ จึงได้ตักเตือนและชี้แจงบทลงโทษ ก่อนให้ทั้งหมดออกจากพื้นที่ทันที เหตุการณ์นี้สะท้อนความจำเป็นของการบังคับใช้กฎหมายและสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

ภัยซ่อนเร้นความเสี่ยงต่อชีวิตและกฎหมาย

  • ความปลอดภัย: ดอยผาฮุ้งมีภูมิประเทศซับซ้อน หน้าผาสูง เส้นทางลึกลับ และสัตว์ป่าดุร้าย
  • กฎหมาย: การบุกรุกพื้นที่หวงห้ามมีโทษทั้งจำคุกและปรับตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
    ความเสี่ยงทั้งสองด้านนี้ทำให้ผู้บุกรุกอาจได้รับอันตราย และเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

ความสนใจท่องเที่ยวเชิงผจญภัยที่เพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายของการบริหารพื้นที่อนุรักษ์ อุทยานฯ จึงควรดำเนินการดังนี้

  1. สื่อสารเชิงรุก: ใช้สื่อออนไลน์ ป้ายเตือน และสื่อชุมชน สร้างความเข้าใจเรื่องพื้นที่ IUCN-Ia
  2. เพิ่มการลาดตระเวน: ตรวจตราเข้มข้นเพื่อลดโอกาสบุกรุก
  3. สร้างความร่วมมือกับชุมชน: ให้ชุมชนช่วยแจ้งเหตุและเฝ้าระวัง

ข้อเสนอเพื่อการอนุรักษ์ยั่งยืน

นักท่องเที่ยวควรสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง เคารพกฎเพื่อความปลอดภัยและปกป้องสมบัติธรรมชาติร่วมกัน การอนุรักษ์ที่ได้ผลต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานและประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ)
  • หลักการสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โปร่งใสกว่าเดิม อำเภอแม่สายเปิดให้ยื่นขอสัญชาติโดยตรงหลังมีข่าวร้องเรียนเรื่องเรียกรับเงิน

ที่ว่าการอำเภอแม่สายปฏิรูประบบ “ยื่นขอสัญชาติไทย” เปิดทางประชาชนเข้าถึงบริการตรง ลดทุจริต-เพิ่มความโปร่งใส

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การขอสัญชาติไทยในพื้นที่ชายแดนไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง และมีประชาชนจำนวนมากยังขาดสถานะทางทะเบียนหรือสถานะทางสัญชาติ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการของรัฐ

ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยว่า ต้องผ่านตัวกลางอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บางรายที่อาจเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของคนที่ต้องการเพียงแค่ “การรับรองว่าเขาคือคนไทย”

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศฉบับสำคัญที่อาจถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของระบบราชการชายแดน” โดยระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยจะต้อง “เดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองเท่านั้น” ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และขอรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้นำชุมชนอีกต่อไป เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเสียงร้องเรียน สู่การปรับระบบ

การประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีที่มาจากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งในโซเชียลมีเดียและการยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่ามีการเรียกรับเงินในการดำเนินเรื่องสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้สถานะซึ่งอยู่ในสถานะเปราะบางและเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในระดับอำเภอ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยนายวรายุทธ  ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ที่ได้เร่งสั่งการเปิด “ห้องสถานะบุคคลและสัญชาติ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และจัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ OSS (One Stop Service) เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ โดยไม่ต้องผ่านระบบเดิมที่เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใส

ระบบใหม่ชัดเจน โปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อำเภอแม่สายได้วางแนวทางดำเนินการไว้ 3 ประการหลัก ได้แก่:

  1. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง: ผู้มีความประสงค์ต้องเดินทางมาด้วยตนเองและรับบัตรคิวที่อำเภอ โดยไม่มีการลงชื่อจองคิวล่วงหน้า
  2. จำกัดจำนวนผู้ยื่นคำร้อง: เปิดรับเพียง 50 รายต่อวัน โดยเริ่มแจกคิวเวลา 08.00 น. เพื่อควบคุมปริมาณและรักษาคุณภาพของการบริการ
  3. ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ: มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบเอกสาร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้กระจายจุดบริการ OSS ไปยังตำบลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและกระจายภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • ห้องทะเบียนราษฎร: สำหรับตำบลแม่สายและเกาะช้าง
  • อาคาร OSS กลาง: สำหรับตำบลเวียงพางคำและโป่งงาม
  • สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยไคร้: สำหรับตำบลห้วยไคร้และบ้านแซว

วิเคราะห์มิติของการเปลี่ยนแปลงก้าวใหม่ของระบบราชการไทย

  1. การต่อสู้กับทุจริตระดับรากหญ้า

การที่อำเภอแม่สายตัดระบบ “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการรับคำร้อง คือการหักวงจรแห่งการเรียกรับผลประโยชน์อย่างจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติจริงจังตามนโยบายของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับท้องถิ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ “กลไกจากข้างล่าง” มาสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ

  1. ยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การได้สถานะทางทะเบียนและสัญชาติไทย หมายถึงสิทธิในการได้รับการรักษาในระบบสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา และการเข้าถึงสวัสดิการอื่น ๆ จากรัฐ สำหรับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศมานานโดยไม่ได้รับสถานะ สิ่งนี้คือการ “เปลี่ยนชีวิต” อย่างแท้จริง

  1. นวัตกรรมการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ

การนำระบบ OSS มาใช้ เป็นสัญญาณว่า ราชการในระดับอำเภอกำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และมีแนวโน้มขยายแนวทางนี้ไปยังอำเภออื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มศักยภาพของกลไกรัฐ

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากความหวัง สู่ความเป็นจริง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มเป้าหมาย 37,987 ราย ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน บางรายเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนหรือทะเบียนบ้าน การได้สัญชาติไทยอย่างถูกต้องคือการได้ตัวตนทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ เช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และนักพัฒนาสังคม ก็จะสามารถทำงานช่วยเหลือผู้ไม่มีสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้

ข้อคิดและแนวทางในอนาคต

แม้การปฏิรูประบบในครั้งนี้จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีในการนำระบบราชการให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น การตัดวงจรการทุจริตด้วยนโยบายเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐได้โดยตรง คือแนวทางที่ควรได้รับการยกย่องและขยายผลในระดับนโยบาย

หากหน่วยงานอื่นในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการในระดับรากฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายไม่ประมาท! เสริมแนวป้องกันน้ำกก พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

เชียงรายระทึก! น้ำแม่น้ำกกจ่อล้นตลิ่งกลางดึก เทศบาลนครเร่งอุดช่องน้ำ-เตรียมรถสูบน้ำ วอนประชาชนเฝ้าระวังสูงสุด

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกของจังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อมีการคาดการณ์ว่ามวลน้ำจำนวนมากจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำของเขตเมืองได้

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระดมทรัพยากรทุกชนิดเข้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างเร่งด่วน หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ประสานเฝ้าระวังรายงานสถานการณ์วิกฤต

เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองจังหวัดเชียงราย และส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ ได้รายงานสถานการณ์ร่วมกันว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะจากสถานีแม่นาวาง-ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นน้ำของระบบ

การประเมินจากทีมวิจัยระบุว่า มวลน้ำจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ภายในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีระดับน้ำประมาณ 6.00 เมตร และอัตราการไหลราว 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

หากแนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันต่อไป อาจส่งผลให้แม่น้ำกกล้นตลิ่งในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะบริเวณลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกน้ำท่วม

คาดการณ์วิกฤตสูงสุดในช่วงกลางดึก

การคาดการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. ระบุว่า แม้ระดับน้ำที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอนจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงมาเป็นชั่วโมงละ 5 เซนติเมตร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในเวลา 21.00 น. คืนนี้ ระดับน้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งที่ 6.50 เมตร มีปริมาณน้ำ 619 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ผลกระทบจะส่งไปยังสถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงถึงระดับตลิ่ง 6.00 เมตร มีปริมาณน้ำ 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงเวลา 06.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (29 กรกฎาคม 2568)

ทีมผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ระดับน้ำจะสูงสุดที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งรายในช่วงระดับประมาณ 6.10-6.30 เมตร ในตอนสายของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งระดับน้ำดังกล่าวจะล้นตลิ่งในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งอย่างแน่นอน

เทศบาลนครเชียงรายเร่งมาตรการป้องกันด่วน

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึง เทศบาลนครเชียงรายได้ดำเนินการป้องกันอย่างเร่งด่วนในหลายมาตรการ

เจ้าหน้าที่ได้นำทรายจำนวนมากเข้ามาอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านป่าแดง ซอยหลังโรงเรียนเทศบาล 6 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศูนย์ราชการจังหวัดเชียงราย ที่ว่าการอำเภอเมือง และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อป้องกันการไหลย้อนของน้ำจากแม่น้ำกกเข้ามาสู่ชุมชน

นอกจากนี้ ทางเทศบาลยังได้เตรียมรถสูบน้ำจำนวน 2 คัน เพื่อพร้อมปฏิบัติงานหากสถานการณ์แนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน และมีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

การบริหารจัดการประตูน้ำอย่างเป็นระบบ

เทศบาลนครเชียงรายยังคงเฝ้าระวังระดับน้ำและประตูน้ำในจุดสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยที่ประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองได้ถูกปิดทั้งหมดแล้ว เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่เขตเมือง

ส่วนประตูน้ำฝั่งหนองด่าน ซึ่งเป็นทางระบายน้ำจากแม่น้ำกรณ์ลงสู่แม่น้ำกก ได้เปิดทั้ง 4 บาน เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประตูน้ำดอยสะเก็น ซึ่งอยู่บนแม่น้ำกรณ์ ก็เปิดระบายน้ำ 5 บาน ทำให้น้ำไหลได้ตามปกติ

สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ณ เวลา 17.00 น. วันนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำกกที่สะพานพ่อขุนเม็งราย วัดได้ 5.24 เมตร แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเข้าใกล้ระดับเฝ้าระวังที่ 5.50 เมตร

ในขณะที่สถานีสะพานขัวพญามังราย ในชุมชนบ้านใหม่ ระดับน้ำอยู่ที่ 3.90 เมตร แม้จะยังอยู่ในระดับปลอดภัย แต่ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทศบาลนครเชียงรายขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์และติดตามข้อมูลอัปเดตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

การบูรณาการวิทยาศาสตร์กับการบริหารจัดการท้องถิ่น

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกที่กำลังเพิ่มระดับอย่างน่าเป็นห่วงในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและคาดเดาได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับทีมวิจัยและหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และกลไกการบริหารจัดการท้องถิ่นมาใช้ในการรับมือเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ

การคาดการณ์ที่แม่นยำและการแจ้งเตือนเชิงรุกเป็นจุดเด่นสำคัญ การที่ทีมวิจัยสามารถคาดการณ์ระดับน้ำและเวลาที่มวลน้ำจะถึงจุดสำคัญได้อย่างละเอียด เช่น เวลา 02.00 น. ที่สะพานพ่อขุนเม็งราย และเวลา 06.00 น. ที่ระดับตลิ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ การแจ้งเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ทำให้เทศบาลและประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับมือ

การบูรณาการข้อมูลและกลไกการทำงานระหว่างเทศบาลนครเชียงรายกับทีมวิจัยระบบเตือนภัยและส่วนอุทกวิทยาของกรมทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการปฏิบัติการในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่แม่นยำและทันท่วงที

มาตรการป้องกันเฉพาะจุด เช่น การนำทรายไปอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ และการเตรียมรถสูบน้ำ บ่งชี้ถึงการวางแผนป้องกันที่ละเอียดอ่อนและตรงจุด โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำไหลย้อน

การบริหารจัดการประตูระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำในแต่ละจุดอย่างเหมาะสม เป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อลดผลกระทบในเขตเมือง แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำของเทศบาล

ความท้าทายที่ยังคงอยู่

ความรุนแรงของสถานการณ์ในคืนนี้และเช้าพรุ่งนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด การที่น้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งและอาจล้นในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งในช่วงกลางดึกถึงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

ผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสำคัญผันผวนและรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณที่เชียงรายอาจต้องพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำระยะยาวที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

การประสานงานกับพื้นที่ต้นน้ำ แม้จะมีการติดตามข้อมูลจากต้นน้ำ แต่การประสานงานเชิงลึกกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อให้มีการควบคุมการระบายน้ำอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความรุนแรงของมวลน้ำที่จะไหลเข้าสู่พื้นที่ปลายน้ำ

การเตรียมพร้อมและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องประชาชน และเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวิทยาศาสตร์มาผนวกกับการบริหารจัดการท้องถิ่นเพื่อเผชิญกับภัยธรรมชาติในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดติดตามด่วน หลังแม่สายท่วมซ้ำ นักวิชาการย้ำขาดแผนรับมือ “น้ำพิษ”

วิกฤตแม่สาย “แม่น้ำสาย” ทะลักซ้ำปี 67 แนวป้องกันชั่วคราวรับไม่ไหว ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดบัญชาการด่วน นักวิชาการเตือนขาดแผน “น้ำพิษ” ข้ามพรมแดน

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ซ้ำรอยวิกฤติเมื่อปลายปี 2567 สร้างความเสียหายและความวิตกกังวลให้แก่ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายทั้งฝั่งไทยและเมียนมา การระบายน้ำที่ล้นตลิ่งจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือของไทยและรัฐฉานตะวันออกของเมียนมา กลายเป็นบททดสอบสำคัญของทุกหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อแนวป้องกันชั่วคราวที่ตั้งขึ้นโดยกรมการทหารช่างไม่สามารถรับมือมวลน้ำได้ ทำให้หลายชุมชนใน อ.แม่สาย และ จ.ท่าขี้เหล็ก ต้องรับเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง

ผู้ว่าฯ เชียงราย บัญชาการเหตุการณ์ ย้ำเร่งอพยพ-จัดการอุปสรรคทางน้ำ

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ จุดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกับนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หลังมวลน้ำเหนือหลากทะลักเข้าท่วมหลายจุดของชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย ตลาดสายลมจอย ตลาดไม้ลุงขน ตลอดจนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ฝ่ายไทยและเมียนมาระดมกำลังเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายสิ่งของอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังจุดปลอดภัยตั้งแต่เช้ามืด

ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้บูรณาการระหว่างกรมการทหารช่าง เทศบาลแม่สาย และหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ออกปฏิบัติการนำเครื่องจักรกลหนัก เช่น รถแบ็คโฮ เข้าเคลียร์เศษขยะและท่อนซุงที่ไหลมาติดสะพาน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางทางน้ำให้ระบายไม่สะดวกจนเอ่อท่วมถนนและพื้นที่ชุมชน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้นายอำเภอแม่สายเร่งประสานเจ้าของอาคารริมน้ำที่ยังไม่ได้รื้อถอน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีช่องว่างใต้อาคารซึ่งกลายเป็นทางให้น้ำทะลุเข้าพื้นที่ชุมชน แม้จะวางแนวพนังบิ๊กแบ็คไว้แล้วก็ตาม พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เร่งอพยพประชาชนจากจุดเสี่ยงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และย้ำถึงความจำเป็นในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ฝนเหนือ-น้ำเมียนมา ทำระดับน้ำพุ่งเกิน 100 มม. สะพานมิตรภาพฯ ทะลัก 115%

ข้อมูลสถานการณ์น้ำเช้าวันที่ 28 ก.ค. 68 ระบุว่าฝนที่ตกในบ้านโจตาดา จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา สูงถึง 118.8 มิลลิเมตร ในเวลา 08.00 น. ส่งผลให้มวลน้ำล้นเข้าสู่ชายแดนไทยในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ระดับน้ำที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 วัดได้ 115.15% ของระดับตลิ่ง สร้างความวิตกให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านว่าระลอกใหม่ของน้ำจะเข้าท่วมอีกในช่วงบ่าย

ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำและรายงานพื้นที่เสี่ยงในฝั่งไทย อาทิ ซอย 7 เกาะทราย ถ.หน้าหมู่บ้านปิยะพร และคลองชลประทาน เริ่มเกิดน้ำล้นตลิ่งและเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างต่อเนื่อง

ขยะ-ท่อนซุงปิดสะพาน อุปสรรคซ้ำเติมสถานการณ์

ปัญหาขยะ เศษไม้ ท่อนซุงที่ไหลตามกระแสน้ำมาจากต้นน้ำเมียนมาและพื้นที่รอยต่อ ติดค้างใต้สะพานและแนวป้องกันน้ำชั่วคราว กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำ โดยนายอำเภอแม่สายสั่งปิดด่านชั่วคราว เปิดทางให้แบ็คโฮจัดการสิ่งกีดขวาง ลดความเสี่ยงสะพานเสียหายและเร่งการระบายน้ำออกนอกพื้นที่

เสียงสะท้อนนักวิชาการ – วิกฤตซ้ำซ้อน “น้ำพิษ” ขาดแผนรับมือจริงจัง

วิกฤตในแม่สายรอบนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายเริ่มตระหนักมากขึ้น คือ “น้ำพิษข้ามพรมแดน” ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ตั้งคำถามและข้อเสนอแนะเร่งด่วนถึงหน่วยงานภาครัฐให้จัดทำแผนรับมือและเฝ้าระวังสารโลหะหนักและมลพิษที่มากับน้ำท่วมข้ามพรมแดน หลังจากปัญหาเหมืองแร่ในรัฐฉานส่งผลต่อต้นน้ำของแม่น้ำสายในเขตแม่สายมาอย่างต่อเนื่อง

คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ชัด ได้แก่

  1. หน่วยงานใดจะตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำท่วม?
  2. ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะรู้ผล?
  3. เจ้าหน้าที่และประชาชนควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสัมผัสน้ำท่วมที่อาจปนเปื้อนสารพิษ?
  4. ประชาชนจะล้างบ้านและโคลนที่มีสารพิษได้อย่างไร?

ทั้งนี้ ดร.สืบสกุล ยังย้ำให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ทำหน้าที่ตรวจสอบสารโลหะหนักให้เร็วที่สุด เนื่องจากเป็นห้องแล็บที่มีมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่

วิกฤต “น้ำท่วม-น้ำพิษ” บททดสอบการบริหารจัดการข้ามพรมแดน

แม่สายในวันนี้ คือภาพสะท้อนความซับซ้อนของภัยพิบัติยุคใหม่ที่เกินขีดจำกัดของแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉินเฉพาะหน้า หลายประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่นับเป็นบทเรียนสำคัญ:

  • แนวป้องกันน้ำต้องยกระดับ: เหตุการณ์ซ้ำซ้อนแสดงว่าจำเป็นต้องพัฒนาแนวป้องกันน้ำถาวร ลดจุดอ่อนที่ทำให้น้ำล้นผ่านได้ง่าย
  • การจัดการขยะ-ท่อนซุงในแม่น้ำต้นน้ำ: ต้องวางระบบและแผนร่วมมือข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา เพื่อลดขยะจากต้นน้ำมิให้ซ้ำเติมวิกฤติในเขตเมือง
  • แผนรับมือ “น้ำพิษ” ต้องมีจริง: ควรจัดทำคู่มือ แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด สื่อสารกับประชาชนอย่างรัดกุม และจัดตั้งระบบแจ้งเตือนเชิงรุก
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: ปัญหาต้นน้ำที่เมียนมาต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยอาศัยกลไกทางการทูตและข้อตกลงร่วม

บทสรุป

น้ำท่วมแม่สายปีนี้ไม่ได้เป็นแค่วิกฤตธรรมชาติซ้ำรอย แต่เป็นการสะท้อนโจทย์ใหญ่ด้านนโยบายและการบริหารภัยพิบัติข้ามพรมแดน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งมือออกมาตรการเชิงรุกทั้งด้านโครงสร้างและระบบเฝ้าระวังสารพิษ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

  • อำเภอแม่สาย

  • กรมการทหารช่าง

  • เทศบาล ต.แม่สาย

  • เทศบาล ต.เวียงพางคำ

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1

  • อ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, ม.แม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงรายระดมพลช่วยชีวิตสัตว์! เร่งขนย้ายหมู-ไก่กว่า 1,000 ตัวหนีน้ำท่วมเทิง

อบจ.เชียงรายระดมพลช่วยชีวิตสัตว์! เร่งขนย้ายหมู-ไก่กว่า 1,000 ตัว หนีน้ำท่วมเทิง หลังพายุ “วิภา” ถล่มหนัก

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – ภัยพิบัติซ้อนภัย วิกฤตน้ำท่วมเทิง-สัตว์เศรษฐกิจตกอยู่ในอันตราย อบจ.เชียงรายลุยช่วยทุกชีวิต สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายช่วงนี้ รุนแรงและซับซ้อนกว่าทุกปีจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พัดผ่าน ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนปริมาณน้ำป่าล้นไหลหลากท่วมเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ หมู่ที่ 6 อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสุกรและไก่สำคัญของจังหวัด สร้างความเดือดร้อนต่อเกษตรกรและชาวบ้านอย่างหนัก

น้ำป่าทะลัก-สัตว์เศรษฐกิจตกค้างในเขตอันตราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พบว่ามีฟาร์มสุกรและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ ที่เกษตรกรต้องเร่งอพยพเพื่อป้องกันการสูญเสีย

ซึ่งได้สั่งการให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สนธิกำลังกับหน่วยงานท้องถิ่น อาสาสมัคร และชาวบ้าน เร่งเข้าช่วยเหลือทั้งชีวิตคนและสัตว์อย่างแข็งขัน ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงค่ำ ด้วยความหวังว่าจะลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด

ภารกิจช่วยเหลือสุดระทึก “เรือยนต์-เรือท้องแบน” ขาดแคลน ชาวเน็ตระดมเครือข่ายช่วยด่วน

สถานการณ์ล่าสุด ข้อมูลจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Chaiwat Yawirad ระบุว่า มีการช่วยขนย้ายหมูออกไปแล้ว 100 ตัว แต่ยังเหลือหมูอีกกว่า 1,000 ตัวในพื้นที่อันตราย ต้องการเรือยนต์และเรือท้องแบนเป็นจำนวนมากเพื่อการอพยพอย่างเร่งด่วน สร้างปรากฏการณ์ “ระดมทรัพยากร” ผ่านโซเชียลฯ ซึ่งเปิดสายตรงให้ผู้ที่พร้อมช่วยเหลือติดต่อมายังบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้ที่เบอร์ 081-002-9110

ไม่เพียงแค่ปศุสัตว์ที่ถูกคุกคาม ชาวบ้านจำนวนหนึ่งยังต้องการความช่วยเหลือในการอพยพคนชรา เด็ก และผู้ป่วยออกจากพื้นที่เสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง อบจ.เชียงรายจึงจัดทีมลงพื้นที่แบบต่อเนื่อง ประสานหน่วยงานในและนอกพื้นที่ ขอกำลังเสริม เรือยนต์ เรือท้องแบน อุปกรณ์ยกย้าย และถุงยังชีพเพิ่ม

มุมวิเคราะห์ “น้ำท่วมสัตว์” บทพิสูจน์ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติและ “ความใส่ใจในทุกชีวิต”

  1. เจตนารมณ์ใหม่ของการช่วยเหลือ:
    การที่ อบจ.เชียงราย ขยายภารกิจจากการอพยพคน สู่การช่วยชีวิตสัตว์เศรษฐกิจสะท้อนถึงแนวคิด “One Health – สุขภาพเดียวกันของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม” เพราะการสูญเสียปศุสัตว์นอกจากกระทบจิตใจ ยังเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและปากท้องของเกษตรกรโดยตรง
  2. ประสิทธิภาพการตอบสนองฉุกเฉิน:
    การมอบหมายเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่และประสานอาสาสมัครทันทีหลังเกิดเหตุ แสดงให้เห็นความพร้อมและว่องไวของกลไกช่วยเหลือในภาวะวิกฤต แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านทรัพยากรและการเข้าถึงจุดอพยพ
  3. บทบาทสื่อโซเชียล:
    การใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ขอความช่วยเหลือถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การระดมทรัพยากรทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยเติมเต็มการช่วยเหลือของภาครัฐในจุดที่ขาดแคลน
  4. ความท้าทายด้านทรัพยากร:
    กรณีนี้สะท้อนว่าการบริหารภัยพิบัติในพื้นที่ห่างไกลยังต้องอาศัยอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น เรือยนต์ เรือท้องแบน รวมถึงทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการอพยพสัตว์จำนวนมาก ซึ่งควรจัดเตรียมและบูรณาการไว้ล่วงหน้าก่อนฤดูน้ำหลาก
  5. แนวทางฟื้นฟูหลังน้ำลด:
    เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย หน่วยงานควรมีมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูทั้งทุนทรัพย์ อุปกรณ์ฟาร์ม พันธุ์สัตว์ทดแทน และองค์ความรู้ด้านสุขภาพสัตว์ เพื่อลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและช่วยเกษตรกรฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ภัยพิบัติครั้งนี้กลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินของไทยพัฒนาขึ้นทั้งในเชิงระบบและจิตวิญญาณ “ทุกชีวิตมีค่า” ไม่ใช่เพียงสโลแกน หากแต่เป็นพันธกิจที่ อบจ.เชียงรายและเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่กำลังปฏิบัติจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • ข้อมูลจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Chaiwat Yawirad

  • ข่าวและข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่จังหวัดเชียงราย (เช่น กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย ขุนตาลเผชิญน้ำป่าถล่ม เร่งแจกกระสอบทราย-สำรวจความเสียหาย

ขุนตาล! น้ำป่าหลากท่วม 3 ตำบล นายอำเภอขุนตาลสั่งเฝ้าระวัง 24 ชม. เร่งแจกกระสอบทราย-สำรวจความเสียหายช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำป่าไหลหลากในอำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดวันที่ 22 กรกฎาคม ส่งผลให้น้ำจากเทือกเขาและลำห้วยสายต่าง ๆ ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนใน 3 ตำบล ได้แก่ ป่าตาล ต้า และยางฮอม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก ขณะที่นายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล/ผู้อำนวยการศูนย์อำเภอ พร้อมด้วยทีมงานฝ่ายปกครอง และหน่วยงานท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อให้กำลังใจ สำรวจสถานการณ์ และออกมาตรการป้องกัน-บรรเทาความเสียหายอย่างเร่งด่วน

น้ำป่าทะลักกลางดึก แจกกระสอบทรายสกัดน้ำ – สั่งเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

น้ำป่าที่ไหลหลากลงจากภูเขา ได้ท่วมพื้นที่อยู่อาศัยในทั้ง 3 ตำบลของอำเภอขุนตาล ทำให้บ้านเรือนจำนวนหนึ่งต้องอพยพขึ้นที่สูง หลายครัวเรือนเสียหายทั้งทรัพย์สินและพืชผลการเกษตร นายอำเภอขุนตาลพร้อมทีมงานได้เร่งแจกจ่ายกระสอบทรายเพื่อสกัดน้ำเข้าสู่บ้านเรือน ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด สั่งการให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน รายงานสถานการณ์ทุกชั่วโมงและเตรียมความพร้อมเฝ้าระวังน้ำป่า 24 ชั่วโมง

เบื้องต้น ฝ่ายความมั่นคงและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่สำรวจจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผนช่วยเหลือและเยียวยาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็มีการเร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับความเสียหาย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการขนส่ง

ขุนตาลเมืองศักยภาพสูงแต่เปราะบางต่อภัยน้ำท่วม

อำเภอขุนตาล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงราย ห่างตัวเมืองเพียง 62 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 31,000 คน (ข้อมูลปี 2564) เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ-สังคมของภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงภูมิภาคกับลาวและจีน พื้นที่นี้โดดเด่นด้วยเทือกเขาสูง อย่างดอยพญาพิภักดิ์ และมีแม่น้ำอิงเป็นเส้นเลือดหลักของการเกษตรและชุมชน

เศรษฐกิจหลักของอำเภอขุนตาลคือภาคเกษตรกรรม เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด ชา กาแฟ ผลไม้เมืองหนาว ฯลฯ ขณะที่ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เช่น กลุ่มชาวม้ง บ้านพญาพิภักดิ์ ตำบลยางฮอม สะท้อนถึงมิติทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และโอกาสพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชุมชนเชิงอนุรักษ์

อย่างไรก็ตาม อำเภอขุนตาลยังคงเปราะบางต่อปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในฤดูฝน เมื่อฝนตกหนักระดับน้ำในแม่น้ำอิงและลำห้วยสายต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมักเกิดน้ำป่าไหลหลาก แม้จะมีการปรับปรุงถนนสายหลักเช่น ทางหลวง 1421 และ 1020 และแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเสริมศักยภาพการค้า แต่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบยั่งยืนและระบบเตือนภัยล่วงหน้ายังคงเป็นประเด็นสำคัญ

ขุนตาล…บทเรียนการพัฒนาเมืองเปราะบาง

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการพัฒนาเมืองอย่างสมดุลและคำนึงถึงความเปราะบางทางสิ่งแวดล้อม แม้อำเภอขุนตาลจะมีศักยภาพสูงในเชิงเศรษฐกิจ เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว หากแต่การเติบโตอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ การวางผังเมือง การใช้ที่ดินอย่างสมดุลระหว่างเกษตร อนุรักษ์ป่า และพื้นที่ชุมชน ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียม

  1. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์
    การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนนสายหลักและโครงข่ายเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน เป็นโอกาสสำคัญในการขยายเศรษฐกิจและการค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ
  2. เกษตรกรรมและการแปรรูป
    ภาคเกษตรยังเป็นหัวใจหลักของชุมชน การเพิ่มมูลค่าโดยการแปรรูปและพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่น จะช่วยกระจายรายได้และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    อำเภอขุนตาลมีศักยภาพการท่องเที่ยวสูง ทั้งวัดวาอาราม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ การพัฒนาเชิงกลยุทธ์โดยเน้นการสร้างอัตลักษณ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยว
  4. การบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ
    การตอบสนองฉับไวของนายอำเภอขุนตาลในการแจกกระสอบทราย สำรวจความเสียหาย และสั่งการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต แต่สิ่งที่จำเป็นในระยะยาวคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการวางแผนบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งระดับอำเภอและภูมิภาค

ข้อเสนอแนะสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • สร้างระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านและตำบล
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ ในกระบวนการตัดสินใจและรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม
  • พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าในชุมชน
  • ใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการวางแผนการใช้ที่ดินและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในอำเภอขุนตาลครั้งนี้ สะท้อนทั้งความเปราะบางและศักยภาพของพื้นที่ในเวลาเดียวกัน การตอบสนองของนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น แต่การพัฒนาที่ยั่งยืนของขุนตาลต้องอาศัยการวางแผนระยะยาวที่บูรณาการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสถานการณ์อุทกภัย อำเภอขุนตาล วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 (อำเภอขุนตาล)
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กรมทางหลวง
  • เว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

“วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” ย้ำเตือนภัยล่วงหน้าสูงสุดรับมือ

เชียงรายอ่วม! พายุ “วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” สั่ง War Room ชาติ เน้น “แจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” สำคัญสูงสุด

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเผชิญวิกฤตอุทกภัยและดินถล่มครั้งใหญ่ หลังได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พาดผ่านภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่องนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 400 ครัวเรือน ครอบคลุม 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน โรงเรียน 2 แห่ง ถนน 3 สายได้รับความเสียหาย ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม โดยล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

 

ภัยธรรมชาติถล่มหนัก ฝนไม่หยุด-น้ำท่วมซ้ำซากในหลายอำเภอ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงรายรายงานสถานการณ์ล่าสุด (23 ก.ค. 68 เวลา 12.00 น.) พบว่าปริมาณฝนสะสมในรอบ 24 ชั่วโมงยังสูงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอเวียงแก่น เทิง พญาเม็งราย ขุนตาล ป่าแดด เวียงชัย แม่สรวย เมือง เวียงเชียงรุ้ง เชียงของ พาน ดอยหลวง เวียงป่าเป้า แม่สาย แม่จัน เชียงแสน แม่ลาว และแม่ฟ้าหลวง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในบางจุด ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพขึ้นที่สูง ขณะที่ทางหลวงและถนนสายรองบางสายถูกตัดขาดหรือเสียหาย ชาวบ้านขาดแคลนไฟฟ้า น้ำสะอาด และเครื่องยังชีพ

แม้พายุ “วิภา” จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ กรมอุตุนิยมวิทยายังคงแจ้งเตือนว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะโซนตะวันตกของภาคเหนือ (แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ตาก) รวมถึงเชียงราย พะเยา น่าน ปริมาณน้ำฝนสะสมยังสูงมาก เช่น อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน วัดได้ 291.6 มม., อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 264 มม., อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย 185 มม.

แนวโน้มสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง มีโอกาสเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำอีกใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า หน่วยงานในพื้นที่ต้องเตรียมกำลังพล เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ และระบบแจ้งเตือนเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินอย่างเต็มที่

 

ศูนย์บัญชาการ War Room ชาติ “แจ้งเตือนล่วงหน้า” คือหัวใจ

เวลา 09.30 น. 23 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานประชุม War Room ชาติ ณ กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ และผู้บริหารส่วนกลาง ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 30 จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

นายภูมิธรรม เน้นย้ำว่า “การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเป็นเรื่องจำเป็นสูงสุด” โดยเฉพาะการนำระบบ Cell Broadcast มาใช้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้มีเวลาตั้งรับ อพยพ และเตรียมการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ขอให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ 24 ชั่วโมง จัดเตรียมกำลังคน เครื่องมือ และเครื่องจักรกลสำหรับพื้นที่เสี่ยง พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการกันเต็มที่ ภารกิจการป้องกันภัยต้องมาก่อนเยียวยา แต่การเยียวยาก็จำเป็นเพื่อฟื้นขวัญประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เสริมว่า การสื่อสารสร้างความเข้าใจและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่จริงอย่างทันท่วงที คือกุญแจสำคัญในการป้องกันความตื่นตระหนก พร้อมมอบ 6 แนวทางสำคัญ เช่น การเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดตั้งโรงครัวคุณภาพสูง เยียวยาผู้ประสบภัย การดูแลจุดเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้า และการสำรวจรายงานความเสียหายอย่างโปร่งใส

 

กรมป้องกันฯ พร้อมเต็มพิกัด – “เครื่องมือ/ยุทโธปกรณ์-คน” เข้าพื้นที่ทันที

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยว่า กรม ปภ. ได้ตั้ง War Room ประสานการช่วยเหลือกับทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมแจ้งเตือนล่วงหน้าทาง Cell Broadcast แล้ว 24 ครั้ง (เตือนอุทกภัย 15 ครั้ง เตือนดินโคลนถล่ม 9 ครั้ง) นอกจากนี้ยังระดมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดรวมพล พร้อมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เรือท้องแบน อากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ที่พร้อมขึ้นบินทุกเวลาในจุดที่เข้าถึงยาก

“ภารกิจแรกคือต้องปกป้องชีวิตประชาชน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและฟื้นฟู เราเตรียมความพร้อมทั้งคนและเครื่องมืออย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด” อธิบดี ปภ. กล่าว

 

วิภา” อ่อนกำลัง แต่ “ร่องมรสุม” ยังเฝ้าระวัง

นายสมควร ต้นจาน จากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า พายุโซนร้อน “วิภา” ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเหนือประเทศลาวและน่าน แต่พื้นที่ภาคเหนือยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก โดยเฉพาะร่องมรสุมและความกดอากาศต่ำจากฟิลิปปินส์ที่อาจพัฒนาเป็นพายุลูกใหม่ แม้พายุจะสลายตัวแต่ฝนตกต่อเนื่องก็ยังคงก่อให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำ

 

เชียงราย – บทเรียน “รวมศูนย์-เชิงรุก” จัดการภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่มครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงรายมีความเปราะบางสูงต่อภัยธรรมชาติ ประเด็นที่น่าสนใจและควรขยายผลต่อเนื่อง ได้แก่

  • การรวมศูนย์บัญชาการและตอบสนองรวดเร็ว: War Room ส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมระบบสื่อสารฉุกเฉิน Cell Broadcast เป็นเครื่องมือสำคัญในการสั่งการและแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า
  • การบูรณาการทรัพยากร: ภาครัฐทุกหน่วยระดมเครื่องมือ กำลังคน และเทคโนโลยีทันทีเมื่อเกิดเหตุ แสดงถึงศักยภาพของกลไกการจัดการภัยพิบัติไทยที่พัฒนาไปไกล
  • การสื่อสารอย่างเข้าใจง่าย: เน้นย้ำการแจ้งเตือนที่ชัดเจน ลดความตื่นตระหนก และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเชื่อฟังเจ้าหน้าที่

ประเด็นรอง

  • การสำรวจความเสียหาย-เยียวยา: ต้องทำให้ครอบคลุมและรวดเร็ว เพื่อฟื้นขวัญประชาชน
  • สภาพภูมิประเทศที่ท้าทาย: เชียงรายเป็นภูเขาสูง ชายแดน น้ำไหลแรง ตะกอนสูง ต้องวางแผนระยะยาวในการขุดลอก พร่องน้ำ และสร้างระบบเตือนภัยที่แม่นยำ
  • บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน: การตอบสนองระยะสั้นต้องควบคู่กับแผนบริหารน้ำระยะยาว เพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำซากในอนาคต

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นทั้งบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบรวมศูนย์และเชิงรุก เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กฤตศรัทธาพระสงฆ์! นิด้าโพลเผยสังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

นิด้าโพลชี้ชัด! “วิกฤตพระพุทธศาสนา” จุดเปลี่ยนศรัทธาไทย สังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

กรุงเทพมหานคร, 20 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ข่าวพระสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสมยังคงปรากฏบนหน้าสื่อแทบไม่ขาดสาย “ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ “วิกฤตพระพุทธศาสนา!” ซึ่งทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวพุทธทั่วประเทศ 1,310 ราย ระหว่างวันที่ 14–16 กรกฎาคม 2568 สะท้อนความวิตกกังวลของสังคมไทยที่ต้องการปฏิรูปและฟื้นฟูศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างจริงจัง

พระสงฆ์ตัดไม่ขาดทางโลก

ข้อมูลเชิงลึกจากผลโพล ระบุชัดว่าสาเหตุสำคัญที่กัดกินศรัทธาในพระพุทธศาสนา คือพฤติกรรมของพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ “ตัดไม่ขาดจากทางโลก” โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด เหล้า การพนัน ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว รวมถึงการแสวงหาลาภยศและหลงในวัตถุนิยมมากกว่าการมุ่งปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น (76.11% ให้ความเห็นเช่นนี้) ขณะที่อีกกว่า 45% มองว่า พระหลงในตำแหน่งและอำนาจ ทั้งยังมีอีกไม่น้อยที่เห็นว่าวัดกลายเป็น “พุทธพาณิชย์” เน้นธุรกิจ-ผลประโยชน์ มากกว่าการเป็นศูนย์รวมศรัทธา

ในประเด็นการบริหารจัดการวัดร้อยละ 27.63 เห็นว่าขาดความโปร่งใส ขณะที่อีก 25.42% สะท้อนว่าหน่วยงานรัฐและองค์กรดูแลศาสนา “ขาดประสิทธิภาพ” ในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาเหล่านี้

ศรัทธาต่อ “พระสงฆ์” ตกต่ำ แต่รากศรัทธาใน “ศาสนา” ยังมั่นคง

ท่ามกลางมรสุมข่าวฉาว พระสงฆ์ถูกลดศรัทธาลงอย่างชัดเจน – 58.40% ระบุว่าศรัทธาในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่อีก 41.60% ยังคงศรัทธาเท่าเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่ง 68.55% ยังศรัทธาในแก่นแท้ของศาสนาพุทธเท่าเดิม สะท้อนภาพ “ความมั่นคงของหลักธรรม” ท่ามกลางความเปราะบางของบุคคล

ประชาชนหนุน “กฎหมายเข้ม” สะสางพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ผลโพลชี้ชัดว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนสนับสนุนร่าง “พระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ที่จะกำหนดโทษทางกฎหมายทั้งกับพระและฆราวาสที่กระทำผิด เช่น

  • 80.76% เห็นด้วยกับโทษหนักต่อพระสงฆ์ที่ผิดปาราชิก
  • 63.00% เห็นด้วยต่อบทลงโทษพระอวดอุตริมนุสธรรม
  • 44.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน
  • 35.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้ล้อเลียนศาสนา

ขณะที่ประเด็นการลงโทษหญิง-ชายที่สมัครใจเสพเมถุนกับพระ กลับมีเพียง 17% ที่เห็นด้วยอย่างมาก สะท้อนความเห็นที่ยังหลากหลายในสังคม

รากปัญหา-แนวทางแก้ไข

จากผลสำรวจนี้สามารถสังเคราะห์แกนกลางของวิกฤตศรัทธาว่าเกิดจาก

  • พฤติกรรมส่วนบุคคลของพระสงฆ์: การตัดไม่ขาดจากทางโลก การหลงในอำนาจ วัตถุนิยม และการมองศาสนาเป็นอาชีพ มากกว่าเป็นภารกิจแห่งจิตวิญญาณ
  • องค์กรศาสนาอ่อนแอ: ระบบกำกับตรวจสอบพระสงฆ์ วัด และทรัพย์สินยังไร้ประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส
  • ช่องว่างระหว่างหลักธรรมกับการปฏิบัติ: ความเชื่อมั่นในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่ความศรัทธาต่อหลักคำสอนยังมั่นคง

สิ่งที่สังคมต้องการเห็นจากนี้คือ “กลไกจัดการ” ที่เข้มแข็ง – ทั้งการตรวจสอบภายในวัด องค์กรคณะสงฆ์และภาคประชาชนที่สามารถมีส่วนร่วมสอดส่องความโปร่งใส รวมถึงมาตรการทางกฎหมายที่บังคับใช้จริงจังสำหรับทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่มีส่วนสร้างภาพลบให้ศาสนา

ความท้าทาย – ก้าวต่อไป

การสำรวจนี้คือกระจกสะท้อนความคาดหวังของสังคมไทยในวันที่พระพุทธศาสนาอยู่บนทางแยกสำคัญ ถ้ารัฐบาลและองค์กรศาสนาไม่เร่งปฏิรูป–ฟื้นฟูมาตรฐานคุณธรรมของพระสงฆ์–สร้างระบบตรวจสอบโปร่งใส–และยกระดับการใช้กฎหมายที่จริงจัง วิกฤตศรัทธาย่อมยากจะคลี่คลาย

การฟื้นฟูศรัทธาให้กลับมาแข็งแรง ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่คือการสร้างวัฒนธรรมคุณธรรม-ธรรมาภิบาลในองค์กรศาสนา ตลอดจนเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและสื่อมีบทบาทในการตรวจสอบอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำสาย-รวก-โขง สารหนูเกินมาตรฐานคุกคามชีวิต คนเชียงรายจี้รัฐเร่งเจรจาเมียนมา

แม่น้ำสาย-รวก-โขง สารหนูเกินมาตรฐานคุกคามชีวิต คนเชียงรายรวมพลังจี้รัฐบาลไทยเร่งเจรจาเมียนมา

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – วิกฤต “สารหนู” สะท้อนวิกฤตข้ามพรมแดน โดยเฉพาะ “สารหนู” ในแม่น้ำสาย รวก โขง และกก ของจังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สะท้อนถึงความเปราะบางของทรัพยากรน้ำและวิถีชีวิตประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยแม่น้ำเหล่านี้เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตและการเกษตรของคนเชียงราย ซึ่งปัจจุบันต้องเผชิญภัยเงียบที่คาดว่ามีต้นตอจากเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา

ประชุมเวทีรับฟังเสียงประชาชนจุดเริ่มต้นของการผลักดันเชิงนโยบาย


ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ได้มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำปนเปื้อนโลหะหนัก โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ท่ามกลางผู้เข้าร่วมอย่างคับคั่งจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน เวทีนี้ได้เปิดพื้นที่ให้ชุมชนระบายความกังวลและเรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

รองผู้ว่าฯ เชียงรายยืนยันว่า หน่วยงานราชการไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งในแม่น้ำสายหลักและสาขา รวมถึงน้ำประปาและพืชผลทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชนผ่านช่องทางเพจประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และศูนย์ข้อมูล AIM เพื่อสร้างความมั่นใจในความโปร่งใสของภาครัฐ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และสุขภาพ

แม้จะได้รับคำยืนยันเรื่องคุณภาพน้ำประปาและพืชผลว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่ชาวบ้านและนักวิชาการยังคงวิตกกังวลถึงผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะช้าง ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ชาวบ้านเกรงว่าการใช้น้ำปนเปื้อนโลหะหนักจะกระทบต่อคุณภาพพืชผลและสุขภาพในอนาคต

เวทีนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึง “โครงการเขื่อนปากแบง” ซึ่งอาจทำให้สารพิษตกตะกอนสะสมมากขึ้น เมื่อแม่น้ำโขงนิ่งตัว เกิดอ่างน้ำขนาดใหญ่ นักวิชาการและประชาชนจึงเสนอให้รัฐให้ความสำคัญกับการวิจัยและหามาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว

บทบาทของชุมชนและความโปร่งใสของข้อมูล

ภาคประชาชนและนักวิชาการเสนอแนวทางให้รัฐเร่งวิจัยหาต้นตอและแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในระยะยาว รวมถึงสร้างฐานข้อมูลคุณภาพน้ำและดินที่เป็นระบบ สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังมลพิษ และเสนอให้รัฐรายงานสถานการณ์ต่อเนื่องและโปร่งใส

สิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน ยื่นหนังสือถึง AICHR – ก้าวสู่เวทีเจรจาระดับภูมิภาค

ในช่วงท้ายของเวที ได้มีการยื่นหนังสือผ่าน ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง จาก AICHR (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights) เพื่อขอให้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนอาเซียนเข้าตรวจสอบกรณีนี้ ถือเป็นการยกระดับปัญหาจากพื้นที่ท้องถิ่นสู่เวทีระดับภูมิภาค โดย AICHR พร้อมสนับสนุนพื้นที่ต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในกรอบอาเซียน

นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากฝั่งรัฐบาลไทย เมื่อ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า รัฐบาลเมียนมาตอบรับคำเชิญของไทยในการหารือที่กรุงเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ 4-8 สิงหาคมนี้ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทน นับเป็นการแสดงความสำคัญของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน กับอนาคตความมั่นคงของชุมชนลุ่มน้ำ

กรณีสารหนูปนเปื้อนในลุ่มน้ำชายแดนเชียงรายนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ข้อมูลจากทั้งฝั่งไทยและเมียนมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในมาตรฐานและแนวทางตรวจวัดคุณภาพน้ำ ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับการเจรจาระดับรัฐและอาเซียน พร้อมทั้งต้องสร้างระบบฐานข้อมูลและเครือข่ายเฝ้าระวังที่แข็งแกร่งให้ประชาชนมีบทบาทนำ

ขณะที่ความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐ จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย และสร้างแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่ลดผลกระทบในระยะสั้น แต่ยังปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของคนลุ่มน้ำในระยะยาว

ในอนาคต หากสามารถยกระดับกลไกการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และมนุษยชนได้จริง เชียงรายและลุ่มน้ำชายแดนไทย-เมียนมาจะเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการปัญหาข้ามพรมแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลจาก เวทีฟังเสียงประชาชนลุ่มน้ำสาย รวด โขง ผลกระทบจากสายน้ำปนเปื้อน เหมืองแร่ที่ต้นน้ำ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เพจ AIM ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ที่ปรึกษาศูนย์ฯ ชงแผนเด็ด แก้มลพิษน้ำเชียงราย ผสานสื่อสาร-เยียวยา-ข้ามแดน

 “สารปนเปื้อนในน้ำ” วิกฤตซ้ำซ้อนของลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการฯ เสนอแนวคิดสื่อสาร-เยียวยา พร้อมดันมาตรการข้ามพรมแดน

น้ำที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลของคนเชียงราย

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 — ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ทว่าแทนที่จะนำความชุ่มชื้นและชีวิตชีวาสู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ สายน้ำในปีนี้กลับกลายเป็นแหล่งแห่งความวิตกกังวล เมื่อสารปนเปื้อนที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าสู่แม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อสรุปข้อเสนอเชิงลึกที่หวังจะแก้ไขวิกฤตน้ำที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ประเด็นร้อนกลางวงประชุม “ประชาชนต้องการชัดเจน-มีส่วนร่วม”

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และตัวแทนภาคเอกชนต่างเน้นย้ำว่า “ข้อมูลที่โปร่งใส-เข้าถึงได้” คือหัวใจสำคัญของการจัดการวิกฤตน้ำครั้งนี้ โดยเฉพาะ 5 คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบเร่งด่วนจากภาครัฐ

  • รัฐบาลมีไทม์ไลน์ชัดเจนหรือไม่ในการควบคุมมลพิษที่ต้นทาง?
  • จะลดสารหนูและสารพิษอื่นในแม่น้ำด้วยวิธีใด?
  • จะมีคู่มือรับมือภาวะน้ำปนเปื้อนสำหรับประชาชนหรือไม่?
  • แหล่งน้ำทางเลือกและการเข้าถึงน้ำสะอาดมีทางออกอย่างไร?
  • จะมีเวทีวงสนทนาเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างไร?

คณะที่ปรึกษาฯ ยังเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ “Social Listening” รับฟังเสียงและความกังวลจากโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลปัญหาและแนวทางแก้ไขที่แท้จริง

สื่อสาร-แก้ข้ามพรมแดน-เยียวยาอย่างยั่งยืน

การประชุมมีข้อเสนอสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อน ดังนี้

  1. สื่อสารความเสี่ยงแบบโปร่งใสและจริงใจ

ที่ประชุมเน้นให้ภาครัฐเผยแพร่แผนตรวจสอบและรายงานคุณภาพน้ำฉบับเต็มบนเว็บไซต์หน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา สื่อสารข้อมูลให้สม่ำเสมอและชัดเจน รวมถึงอธิบายข้อจำกัดและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและประชาชน

  1. เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา

สารพิษจำนวนมากในแม่น้ำมีต้นกำเนิดข้ามพรมแดน คณะที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลไทยผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งที่ตั้ง จำนวน และประเภทของเหมือง เพื่อวางแผนรับมือและเจรจากับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

  1. แผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

เสนอให้สำรวจผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง ชาวประมงที่ต้องหยุดกิจการ ผู้ประกอบการร้านอาหารและแพท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดมาตรการเยียวยาและชดเชยภายใน 2 เดือน

  1. แผนรับมือน้ำท่วมที่มีสารพิษ

ทุกชุมชนควรได้รับคู่มือและความรู้ในการป้องกันตัวเมื่อต้องเผชิญน้ำท่วมที่มีสารโลหะหนัก เช่น วิธีหลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำปนเปื้อน การล้างบ้านหลังน้ำลด และการจัดการโคลนที่มีสารพิษ

  1. เฝ้าระวังผลผลิตทางการเกษตร

แผนเฝ้าระวังและตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่มีสารปนเปื้อน เช่น การจัดทำห่วงโซ่อุปทาน และการตรวจสอบผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด โดยเฉพาะข้าวนาปี หากพบการปนเปื้อนต้องมีมาตรการเยียวยาและดึงผลผลิตออกจากระบบ

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัด

ยกระดับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ตรวจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่มศักยภาพการตรวจสอบในจังหวัด ลดเวลารอผลและต้นทุน

  1. สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์-แก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

ผลักดันการสอนวิชาพลเมืองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมสัปดาห์เรียนรู้สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในคณะทำงาน แทนที่จะเน้นประชาสัมพันธ์ ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

วิกฤตข้ามพรมแดนต้องอาศัยพลังของ “ความโปร่งใส-ความร่วมมือ”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในเชียงรายไม่ใช่เรื่องในประเทศอีกต่อไป หากแต่โยงใยกับมลพิษข้ามพรมแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อุปสรรคสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูลและการเจรจากับเมียนมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกัน แม้จะมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่หลากหลาย การผลักดันให้เป็นรูปธรรมยังต้องการทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“ความเชื่อมั่น” ของประชาชนในพื้นที่จะฟื้นคืนได้ ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นความโปร่งใส จริงใจ และสามารถขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดผลจริงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จุดเปลี่ยนของลุ่มน้ำเชียงรายบนเส้นทางความร่วมมือใหม่

การประชุมครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการจัดการปัญหาน้ำในเชียงรายอย่างบูรณาการ ทุกข้อเสนอจะต้องถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค หากคุณคือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอใดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News