Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คดีชุมนุมหอนาฬิกาเชียงราย: ศาลฎีกาลงโทษปรับ 4,000 บาท ยืนยันอำนาจรัฐคุมเสี่ยงโรคระบาด

ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์เชียงราย: ศาลฎีกายืนคำพิพากษา “สุปรียา ใจแก้ว” ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกิจกรรมชุมนุมปี 2563 — ศาลชี้ “แออัดแม้พื้นที่โล่งแจ้ง” ยามโรคระบาด รัฐใช้อำนาจคุมเข้มได้เพื่อสุขภาพสาธารณะ

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568 — เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในคดีของ สุปรียา ใจแก้ว หรือ “แซน” อดีตนักกิจกรรมจังหวัดเชียงราย จากเหตุเป็นพิธีกรในการชุมนุมทางการเมืองบริเวณ ห้าแยกหอนาฬิกา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 คำพิพากษาศาลฎีกา ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าจำเลยมีความผิดฐานฝ่าฝืน ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ คำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย โดยปรับ 4,000 บาท (จำเลยชำระค่าปรับแล้วตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ คดีจึงสิ้นสุดหลังต่อสู้ยาวนานกว่า 5 ปี)

สาระสำคัญของคำพิพากษาอยู่ที่การตีความว่า “สถานที่แออัด” ในบริบทโรคระบาด มิได้จำกัดอยู่ที่สภาพทางกายภาพ ของสถานที่เท่านั้น แต่หมายรวมถึง การรวมตัวของบุคคลจำนวนมาก ในพื้นที่เดียวกันโดยมิได้เว้นระยะห่าง ซึ่งทำให้มี “ความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค” แม้กิจกรรมจะจัดในที่โล่งแจ้งก็ตาม

คดีเล็กในเมืองรองที่กลายเป็นคำพิพากษาอ้างอิงระดับชาติ

เหตุของคดีเริ่มจากการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เชียงรายในช่วงกลางปี 2563 ท่ามกลางกระแสเรียกร้องทางการเมืองทั่วประเทศ รายงานพยานหลักฐานของโจทก์ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมราว 700 คน กระจุกตัวหน้าเวทีรถบรรทุก 6 ล้อในระยะใกล้ หลายคน ไม่ได้เว้นระยะห่าง 1 เมตร และ “บางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย” การคัดกรองโรค ณ จุดจัดกิจกรรม “ไม่มีมาตรการป้องกันครบถ้วน” ตามหลักเกณฑ์ควบคุมโรคในขณะนั้น

เส้นทางคดีผ่านหลายด่าน:

  • ศาลชั้นต้น พิพากษา ยกฟ้อง โดยเห็นว่าแม้จำเลยมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม แต่สภาพพื้นที่โล่งและหลักฐานด้านสาธารณสุขหลังการชุมนุม “ยังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดต่อเนื่องกว่า 133 วัน” ทำให้ความเสี่ยง ไม่ถึงระดับแออัดอันตราย
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อ 16 ส.ค. 2566 พิพากษากลับ เห็นว่าพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุ “เข้าลักษณะสถานที่แออัดและเสี่ยงสูง” แม้เป็นที่โล่ง แจ้งลงโทษปรับ 4,000 บาท โดย ยืนยกฟ้อง เฉพาะข้อหายุยงให้เกิดความไม่สงบ
  • ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม วันนี้ พิพากษายืน ตามศาลอุทธรณ์ พร้อมวินิจฉัยหลักการสำคัญ 3 ประเด็น: อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ, และนิยาม “สถานที่แออัด” ในสถานการณ์โรคระบาด

อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ

1) อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ: “ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุม” เมื่อจำเป็นต่อความปลอดภัยสาธารณะ

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจรัฐ จำกัดการชุมนุม ในสถานการณ์พิเศษเพื่อป้องกันเหตุร้าย/โรคระบาด โดยนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในส่วนความมั่นคง ซึ่งมีอำนาจวางมาตรการป้องกันไม่ให้ฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว (หลักการเรื่องอำนาจและขอบเขตการจำกัดสิทธิภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกอธิบายโดยนักกฎหมายและองค์กรสิทธิพลเมืองจำนวนมาก

2) อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ: “สั่งงดกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก”

ศาลย้ำว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด มีอำนาจ ออกคำสั่งป้องกันโรค รวมถึงสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค ซึ่งเป็นอำนาจตาม มาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และคำสั่งดังกล่าวถือเป็น “คำสั่งห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง” ได้ในตัว เมื่อมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั้งอาณาจักร

นัยสำคัญทางนิติศาสตร์: ศาลรับรอง โครงสร้างอำนาจคู่ขนาน” ระหว่างกลไกความมั่นคง (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และกลไกสาธารณสุข (พ.ร.บ.โรคติดต่อ) ว่าสามารถใช้ “ควบ” กันได้ในห้วงเวลาวิกฤตโรคระบาด หากเจตนารมณ์เพื่อปกป้องสุขภาพสาธารณะและความปลอดภัยของประชาชน

จุดหักเหของคดี: คำว่า “แออัด” ไม่ได้หมายถึง “คับแคบ”

หัวใจคำพิพากษาอยู่ที่การขยายความว่า ความแออัดของสถานที่มิได้จำกัดอยู่เพียงสถานภาพทางกายภาพ” หากแต่หมายถึง “สภาพแวดล้อมที่เกิดจากการรวมตัวของคนจำนวนมากโดยไม่เว้นระยะห่าง” แม้จะเป็นลานถนนเปิดโล่งหน้า หอนาฬิกาเชียงราย แต่อากาศบริเวณหน้าเวที ถ่ายเทไม่สะดวก” จากการเบียดเสียดและการหายใจ/ละอองฝอยของผู้คน จึงเข้าลักษณะ “สถานที่แออัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ”

คำ “แออัด” จึงมี ขอบเขตยืดหยุ่นตามบริบทการแพร่โรค ไม่ใช่คงที่ตามแบบแปลนพื้นที่หรือผังเมือง—นี่คือเหตุผลที่ทำให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา “กลับคำ” จากศาลชั้นต้น แม้จะมีรายงานด้านสาธารณสุขช่วงหลังเหตุการณ์ว่า “ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่” ในจังหวัดในช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม เพราะกฎหมายพิจารณา ความเสี่ยงขณะเกิดเหตุ” และ มาตรการป้องกันเชิงระบบ” มากกว่าผลตามมาที่อาจเกิดหรือไม่เกิด

สิทธิเสรีภาพกับข้อยกเว้นในภาวะฉุกเฉิน: เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ตรวจสอบรัฐ” และ “ทำผิดข้อกำหนด”

ศาลฎีกาย้ำหลักการว่า รัฐธรรมนูญคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่สิทธิดังกล่าว อาจถูกจำกัดชั่วคราว ด้วยกฎหมายเฉพาะกรณีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยสาธารณะ หรือเพื่อสุขภาพประชาชน เช่น กฎหมายภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎหมายควบคุมโรคติดต่อ—ซึ่งทั้งหมด ต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วน ต่อสถานการณ์

ในส่วนข้อหาว่า “ยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” ศาล ยืนยกฟ้อง เหมือนชั้นอุทธรณ์ โดยเห็นว่า สาระคำปราศรัย แม้จะวิพากษ์การทำงานรัฐบาล เรียกร้องให้ลาออก ยุบสภา หรือแก้รัฐธรรมนูญ แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบ “การตรวจสอบโดยสันติวิธี” ตามวิถีประชาธิปไตย ไม่ถึงขั้นปลุกปั่นให้ทำผิดกฎหมาย จึง ไม่เข้าลักษณะยุยงปลุกปั่น

อ่านให้ขาด: คดีนี้จึง แยกแกนสิทธิออกเป็นสองชั้น — ชั้นเนื้อหา (speech) ไม่ผิด แต่ชั้น รูปแบบการรวมตัว (assembly) ผิดข้อกำหนดควบคุมโรค ตามกฎหมายพิเศษในห้วงฉุกเฉิน

ลำดับเหตุการณ์ (Timeline) และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • 25 ก.ค. 2563: ชุมนุมที่ห้าแยกหอนาฬิกาเชียงราย ขณะมี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั่วประเทศ
  • 2564–2566: คดีผ่านศาลชั้นต้น (ยกฟ้อง) ต่อด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 (พิพากษากลับ ปรับ 4,000 บาท)
  • 5 พ.ย. 2568: ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม พิพากษายืน “ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ + คำสั่งโรคติดต่อ” ยืนยกฟ้องข้อหายุยง
  • กฎหมายที่ศาลหยิบใช้:
    1. พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 — ให้อำนาจจำกัดการชุมนุม/มั่วสุมโดยออก ข้อกำหนดตามมาตรา 9 เพื่อควบคุมเหตุร้าย/โรคระบาด
    2. พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 — ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

บรรทัดฐาน “ความแออัด” กับการจัดกิจกรรมสาธารณะหลังยุคโควิด

  1. หลักคิด “แออัด” แบบพลวัต (Dynamic Crowding):
    คำพิพากษาตอกย้ำว่า คำว่า แออัด จะถูกอ่านร่วมกับ บริบทความเสี่ยงทางสาธารณสุข ในขณะนั้น ไม่ใช่ยึดติดแต่เพียง “ผนัง–หลังคา–ผังพื้น” ของสถานที่ ผู้จัดกิจกรรมสาธารณะ—ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุม การแสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาล—ควร คิดเชิงความเสี่ยง (risk-based) ตั้งแต่การออกแบบทางเข้า-ออก, การเว้นระยะ, ระบบคัดกรอง, การสื่อสารสุขภาพ, ไปจนถึงแผนรองรับฉุกเฉิน
  2. เสรีภาพกับมาตรการพิเศษ: เส้นแบ่งที่ต้องพิสูจน์ความจำเป็น–ได้สัดส่วน
    แม้คำพิพากษารับรองการใช้ อำนาจพิเศษของรัฐ ในยามโรคระบาด แต่ก็ตอกย้ำด้วยว่าการจำกัดสิทธิต้อง สัมพันธ์โดยตรง กับวัตถุประสงค์คุ้มครองสุขภาพประชาชน และต้องอยู่ ในกรอบกฎหมาย ที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ประสบการณ์หลายประเทศสะท้อนปัญหาการ “ทำให้มาตรการฉุกเฉินกลายเป็นปกติใหม่” ซึ่งวงวิชาการและสิทธิมนุษยชนเตือนให้ ทบทวนเมื่อพ้นวิกฤต
  3. บทเรียนสำหรับ “ผู้จัดกิจกรรม” และ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย”
  • ฝั่งผู้จัด: ควรจัดทำ มาตรฐานสุขภาพสาธารณะ เป็นเช็กลิสต์ (pre-event, on-site, post-event) ที่ตรวจสอบได้ เช่น แผนเว้นระยะคน, ช่องทางเข้า-ออกแบบ one-way, ระบบคัดกรอง, อุปกรณ์ป้องกัน, ทีมแพทย์อาสา ฯลฯ
  • ฝั่งรัฐ: การบังคับใช้ควร สื่อสารเกณฑ์ความเสี่ยงที่ชัดเจน และเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ประชาชนทำตามได้จริง นอกจากนี้ควรแยก การจัดรูปแบบกิจกรรม” ออกจาก เนื้อหาการแสดงออก” เพื่อลดข้อครหาการใช้กฎหมายพิเศษไปกระทบ สาระของเสรีภาพการเมือง

คำพิพากษานี้ยืนยันอะไร และไม่ยืนยันอะไร

  • ยืนยัน อำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ใช้ควบกันได้ในห้วงโรคระบาด เพื่อจำกัดการรวมกลุ่มในลักษณะเสี่ยง
  • ยืนยัน นิยาม “แออัด” แบบกว้างตามบริบทการแพร่โรค แม้เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง
  • ยืนยัน ว่า เนื้อหา การวิพากษ์เชิงการเมือง (เช่น เรียกร้องยุบสภา/แก้รัฐธรรมนูญ) ไม่ใช่ความผิด ถ้ายังอยู่ในกรอบสันติวิธี
  • ไม่ยืนยัน ว่าทุกการชุมนุมช่วงโควิดผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติ—ขึ้นกับ “ข้อเท็จจริงของความแออัด/มาตรการ” ในแต่ละกรณี
  •  ไม่ยืนยัน ว่ารัฐมีอำนาจไม่จำกัด—การจำกัดสิทธิต้องมี ความจำเป็น–ได้สัดส่วน–มีกฎหมายรองรับ

เสียงสะท้อนจากภาคสนาม ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ราคาที่แท้จริงคือ “บรรทัดฐาน”

แม้โทษในทางคดีลงท้ายเพียง ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ “ราคาทางบรรทัดฐาน” สูงกว่านั้นมาก เพราะคำพิพากษาศาลฎีกา กำหนดมาตรฐานตีความ ที่จะถูกอ้างถึงในคดีอนาคตซึ่งเกี่ยวข้องกับ การรวมกลุ่มสาธารณะในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข รวมทั้งงานอีเวนต์ สังสรรค์ มหรสพ หรือแม้แต่งานชุมชนขนาดใหญ่

นักกฎหมายจำนวนหนึ่งชี้ว่า ประเด็น “บริบทความเสี่ยง” ซึ่งศาลหยิบพิจารณาอย่างละเอียด เป็นสัญญาณว่าในอนาคต—แม้ไม่อยู่ในห้วงโควิด—หากเกิด ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขรูปแบบอื่น (เช่น โรคระบบทางเดินหายใจสายพันธุ์ใหม่) บรรทัดฐานนี้อาจถูกนำมาใช้ประกอบการ จำกัดการรวมกลุ่มชั่วคราว อีกครั้ง เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่าง สิทธิพลเมือง กับ ความปลอดภัยสาธารณะ

นัยทางนโยบายสาธารณะจึงชี้ไปยังการ เตรียมเครื่องมือกฎหมายปกติ ให้เพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพามาตรการฉุกเฉินยืดเยื้อ เช่น ระเบียบอนามัยงานอีเวนต์, กฎกระทรวงด้าน crowd management, ระบบเตือนภัยสุขภาพในงานชุมนุม—ทั้งหมดนี้เพื่อให้การคุ้มครองสุขภาพประชาชน ไม่กลายเป็นใบอนุญาตครอบคลุมไปจำกัดสิทธิเกินจำเป็น

เรื่องนี้จบแล้ว แต่บทสนทนาสังคมเพิ่งเริ่ม”

คดีสุปรียา ใจแก้ว สิ้นสุดในทางคดี—แต่ในทางสังคม คำถามเรื่อง ขอบเขตการใช้มาตรการพิเศษ ยังต้องการคำตอบต่อไป เราจะสร้าง สูตรคงที่ สำหรับจำกัดหรือผ่อนปรนเสรีภาพไม่ได้ เพราะวิกฤตแต่ละชนิดมีพลวัตต่างกัน สิ่งที่ทำได้คือ ความโปร่งใส, การอธิบายเหตุผลเชิงข้อมูล, และ การมีส่วนร่วม ของสาธารณะในทุกขั้นตอน—เพื่อให้วันที่สังคมต้องเลือกความปลอดภัยเหนือความสะดวก เสรีภาพของเราจะ ไม่ถูกลืม ระหว่างทาง

สรุปย่อ (Key Takeaways)

  • ศาลฎีกา พิพากษายืน: สุปรียา ใจแก้ว ผิดข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และคำสั่งโรคติดต่อ จากเหตุชุมนุม 25 ก.ค. 2563 ที่เชียงราย โทษปรับ 4,000 บาท (คดีสิ้นสุด)
  • ศาลชี้ว่า “แออัด” หมายถึงสภาพการรวมตัว โดยไม่เว้นระยะห่าง แม้พื้นที่จัดกิจกรรมเป็น ที่โล่งแจ้ง ก็เข้าลักษณะเสี่ยงแพร่โรคได้
  • ยืนยกฟ้อง ข้อหายุยงปลุกปั่น—เนื้อหาวิพากษ์การเมืองอยู่ในขอบเขตเสรีภาพการแสดงออก
  • คำพิพากษาวาง บรรทัดฐานการตีความ สำหรับกิจกรรมสาธารณะในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข: รัฐจำกัดได้เมื่อ จำเป็น–ได้สัดส่วน–มีฐานกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • iLaw
  • Fortify Rights, “Thailand: Ensure COVID-19-Response Protects Basic Rights” (9 กันยายน 2564)
  • ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หลักฐานจากแม่น้ำ! “เอี่ยนหู” โผล่เชียงของหลังหาย 20 ปี ตอกย้ำวิกฤตเขื่อน-การบริหารน้ำโขง

เชียงราย “เอี่ยนหู” กลับมาหลังหายไป 20 ปี – ปลาตูหนาหนัก 2.2 กิโลกรัมโผล่เชียงของ จุดประกายคำถามใหญ่ต่ออนาคตแม่น้ำโขง และแรงกดดันเขื่อนพลังน้ำ

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ปลาที่ไม่มีใครคิดว่าจะเห็นอีก การจับปลาตูหนา (Anguilla bicolor) หรือ “เอี่ยนหู” ได้จากแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาดของชาวประมงพื้นบ้าน แต่กำลังกลายเป็นหลักฐานเชิงนิเวศที่ตั้งคำถามกลับไปยังระบบบริหารจัดการแม่น้ำโขงทั้งสาย ว่าการสร้างเขื่อน การควบคุมระดับน้ำ และการใช้ประโยชน์ทางการค้าในปลายน้ำ กำลังผลักสัตว์น้ำอพยพระยะไกลให้ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” ในตอนบนของลุ่มน้ำโขงหรือไม่ ขณะที่เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงปลายพฤศจิกายนนี้ ชาวบ้านตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ต่างรุมดู “ปลาแปลก” ที่ชาวประมงพื้นบ้านจับได้บริเวณหาดแฮ่ จุดหาปลาริมชายแดนไทย–ลาว ปลาตัวนั้นไม่ใช่ปลาบึก ไม่ใช่ปลากระเบนยักษ์ แต่เป็นปลาไหลรูปร่างอวบป้อม ผิวสีน้ำตาลอ่อน ครีบออกสีคล้ำ ท้องสีขาว น้ำหนักกว่า 2.2 กิโลกรัม “เอี่ยนหู” คนเฒ่าเรียกแบบนั้น

 

ชื่อในภาษาวิชาการคือ “ปลาตูหนา” หรือ Anguilla bicolor ปลาสองน้ำที่ขึ้นชื่อว่าหายากที่สุดชนิดหนึ่งของแม่น้ำโขงตอนบน และแทบไม่มีใครในพื้นที่ได้เห็นของจริงมานานเกือบสองทศวรรษ

“ในรอบ 20 ปี ไม่มีใครเจอของจริงแถวนี้แล้ว” หนึ่งในคนหาปลาท้องถิ่นเล่ายืนยันพร้อมน้ำเสียงครึ่งตื่นเต้นครึ่งเกรงใจธรรมชาติ เพราะในความเชื่อท้องถิ่น ปลาตูหนาเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพญานาค บางคนไม่กล้ากิน ไม่กล้าเก็บ และมีธรรมเนียม “ต้องปล่อย” ด้วยซ้ำ ด้านหนึ่ง นี่คือเรื่องเล่าในชุมชนริมโขงอีกด้านหนึ่ง นักอนุรักษ์และนักวิจัยสิ่งแวดล้อมบอกว่า “นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดในรอบหลายปี”

ปลาตูหนา สัตว์ดัชนีของแม่น้ำที่ยังเชื่อมถึงทะเล

ปลาตูหนาไม่ใช่ปลาธรรมดาในเชิงนิเวศ เพราะมันเป็น “ปลาสองน้ำ” (catadromous / diadromous) ที่มีวงจรชีวิตซับซ้อนกว่าปลาแม่น้ำทั่วไป

  • วางไข่ในทะเลหรือน้ำเค็ม
  • เมื่อตัวอ่อนฟัก (ระยะ glass eel) จะอพยพทวนน้ำขึ้นแม่น้ำจืด ใช้ชีวิตเติบโตหลายปีในแหล่งน้ำลึก วังน้ำ พื้นก้นแม่น้ำ
  • เมื่อถึงวัยสืบพันธุ์ (yellow eel / silver eel) จึงจะอพยพกลับลงสู่ทะเลอีกครั้ง เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่

กล่าวง่าย ๆ ปลาตูหนาต้องการ “แม่น้ำที่ไม่ถูกตัดขาดจากทะเล” จึงจะมีชีวิตครบวงจรได้ เพราะฉะนั้น การที่ยังพบปลาตูหนาขนาดกว่า 2 กิโลกรัมในเชียงของ ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ใกล้ทะเลหลายพันกิโลเมตร แปลความได้สองทางที่ขัดแย้งกันเองอย่างน่าคิด ระบบนิเวศแม่น้ำโขงยังไม่ตายสนิท ยังเหลือช่องทางการอพยพให้สัตว์น้ำระยะไกลเล็ดรอดขึ้นมาได้ หากนี่เป็นเพียงตัวที่รอดขึ้นมาจากระบบที่กำลังแตกสลาย นี่อาจเป็น “รุ่นสุดท้าย” มากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวจริง

 

ข้อมูลจากบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List, สถานะล่าสุดเมื่อปี 2019) ระบุให้ Anguilla bicolor อยู่ในกลุ่ม “ใกล้ถูกคุกคาม” (Near Threatened) ระดับโลก หมายถึงยังไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในเชิงสถิติทั่วโลก แต่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชุมชนเตือนว่า การมองเฉพาะสถานะระดับโลกอาจทำให้เข้าใจผิด เพราะในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะแม่น้ำโขงตอนบนบริเวณเชียงราย สถานการณ์อาจอยู่ในระดับ “เกือบสูญพันธุ์ในพื้นที่” ไปแล้ว หรืออย่างน้อยก็ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” กล่าวคือ ถึงแม้สายพันธุ์ยังมีอยู่บนโลก แต่ระบบนิเวศท้องถิ่นนั้นไม่ทำหน้าที่รองรับสายพันธุ์นั้นได้อีกต่อไป

 

“ปลาตูหนาคือบททดสอบว่าแม่น้ำโขงยังเป็นแม่น้ำเดียวกันหรือไม่” นักอนุรักษ์ท้องถิ่นจากเครือข่ายลุ่มน้ำโขงตอนบนให้ความเห็น

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จาก 4 ตัวสุดท้าย (2546–2547) ถึงการหายสาบสูญ

ข้อมูลภาคสนามเชิงระบบครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายในพื้นที่เชียงของ–เวียงแก่น เกิดขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2546 ถึงมิถุนายน 2547 เป็นงานวิจัยไทบ้านซึ่งอาศัยการเฝ้าสังเกตของชาวประมงพื้นบ้านร่วมกับภาคประชาสังคม ที่ต่อมาถูกนำเสนอโดยกลุ่มและเครือข่ายอย่างสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

ตัวเลขที่ได้ในเวลานั้นคือ “4 ตัว” — จำนวนปลาตูหนาที่ถูกจับหรือพบเห็นตลอดช่วงหลายเดือนการสำรวจ

  • 2 ตัว ถูกบันทึกในพื้นที่คอนผีหลง
  • 2 ตัว ถูกบันทึกในบริเวณแจ๋มผาดินแดงและหาดฮ่อน

พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่จุดจับปลาแบบสุ่ม แต่เป็น “วังน้ำลึก / ครก” คือหลุมลึกตามร่องน้ำที่ชาวบ้านรู้จักกันมานานในฐานะแหล่งหลบภัยของปลาใหญ่ในฤดูน้ำน้อย วังน้ำลึกยังเป็นแหล่งของสัตว์หน้าดินหรือสัตว์พื้นน้ำ (benthic fauna) เช่น ไส้เดือนน้ำ หนอนแดง ตัวอ่อนแมลง ซึ่งเป็นอาหารหลักของปลาตูหนาวัยโต

หลังปี 2547 เป็นต้นมา การพบปลาตูหนาในเชียงของแทบไม่มีรายงานอย่างเป็นระบบอีก จนคนส่วนหนึ่งในพื้นที่เริ่มพูดกันตรง ๆ ว่า “มันหายไปแล้ว” และตีความว่าแม่น้ำโขงตอนบน “ถูกตัดขาด” ตั้งแต่นั้น

ดังนั้น การปรากฏตัวของปลาน้ำหนัก 2.2 กิโลกรัมจากหาดแฮ่ในปลายเดือนตุลาคม 2568 จึงเชื่อมเส้นเวลาตรงกลับไปยังข้อมูลปี 2546–2547 และตั้งคำถามว่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อะไรเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง

สายโซ่ของปัญหา เขื่อน การไหลผิดธรรมชาติ และการค้าลูกปลาไหล

นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากอธิบายปัจจัยเชิงโครงสร้างไว้สอดคล้องกัน ว่าการลดลงของปลาตูหนาในแม่น้ำโขงตอนบนไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากแรงกดดันหลายชั้นที่ซ้อนทับกัน

เขื่อนและโครงสร้างกีดขวางการอพยพ

เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์หลังปี 2558 ถูกมองว่าเป็น “กำแพง” ของปลาสองน้ำอย่างปลาตูหนา

ปลาตูหนาที่อยู่ระยะโตเต็มวัยต้องการอพยพขึ้นน้ำจืดตอนบนเพื่อเจริญเติบโต แต่โครงสร้างของเขื่อนระดับสูงทำให้การผ่านขึ้นตามธรรมชาติแทบเป็นไปไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อต้องอพยพกลับลงสู่ทะเลในฐานะปลาไหลวัยสืบพันธุ์ (silver eel) หรือเมื่อตัวอ่อน (glass eel) เคลื่อนลงตามกระแสน้ำ ปลาวัยอ่อนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการตายจากกังหันผลิตไฟฟ้าในเขื่อน

กล่าวอีกแบบ เขื่อนหนึ่งแห่งสามารถตัดทั้งเส้นทางขึ้น (ไปเติบโต) และเส้นทางลง (ไปสืบพันธุ์) ในคราวเดียว

รูปแบบการไหลของน้ำที่ผิดธรรมชาติ

ระบบการบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อน โดยเฉพาะจากเขื่อนตอนบนในแม่น้ำโขงสายหลักและสาขา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงขึ้น–ลงแบบรวดเร็วฉับพลัน ไม่เป็นไปตามฤดูกาลธรรมชาติ เหตุการณ์น้ำขึ้นเร็วหรือลดฮวบในเวลาไม่ถึงวัน ส่งผลให้ตลิ่งพัง วังน้ำลึกถูกกัดเซาะ ทรายและตะกอนเปลี่ยนรูปหน้าก้นแม่น้ำ

สำหรับปลาตูหนาที่อาศัยพื้นน้ำลึกเป็นแหล่งหากินและหลบภัย การสูญเสีย “ครก” หรือ “วัง” ไม่ได้หมายถึงแค่เสียบ้าน แต่คือการสูญเสียพื้นที่หลบภัยจากกระแสน้ำเชี่ยว และเสียแหล่งอาหารเชิงระบบ

การใช้ประโยชน์ลูกปลาไหลเชิงพาณิชย์
ปลากลุ่ม Anguillid eel รวมถึงปลาตูหนา มีมูลค่าสูงในตลาดเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะระยะลูกปลาใส ๆ ที่เรียกว่า glass eel ซึ่งถูกจับในปริมาณมากในปลายน้ำ (โดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำโขงและพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาค) เพื่อเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

การจับหนักในช่วงต้นวงจรชีวิต หมายถึงจำนวนน้อยลงของปลาไหลวัยอ่อนที่จะสามารถอพยพขึ้นไปถึงตอนบน เช่น เชียงของ ผลลัพธ์คือ แม้พื้นที่ตอนบนจะยังมีบางหลุมธรรมชาติที่ดีพอสำหรับปลาโต แต่ประชากรใหม่กลับไม่ถูกเติมเข้าไปอีกแล้ว

ช่องว่างในการคุ้มครองเชิงนโยบาย

ในทางนโยบาย ปลาตูหนาไม่ใช่ “ดารา” ของแม่น้ำโขง สายตาสาธารณะและโครงการอนุรักษ์หลายโครงการมักมุ่งไปที่ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เช่น ปลาบึก หรือปลากระเบนแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่เล่าเรื่องได้ง่าย

ปลาตูหนาในทางกลับกันเป็นปลาที่ออกหากินยามค่ำ อยู่ก้นแม่น้ำ ไม่ค่อยถูกพบเห็นโดยคนทั่วไป ไม่ได้มีตลาดบริโภคใหญ่ในท้องถิ่น (คนจำนวนมากไม่นิยมกิน และบางพื้นที่ยังมีความเชื่อเชิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ผลคือ สปีชีส์นี้แทบไม่ถูกผลักขึ้นสู่วาระเชิงนโยบาย

ช่องว่างนี้สะท้อนชัดในมาตรการบรรเทาผลกระทบของเขื่อนหลายแห่ง ที่มักออกแบบ “ทางปลาผ่าน” (fish passage) โดยเน้นปลาบางชนิดที่ว่ายทวนน้ำแรง แต่ยังไม่ตอบคำถามสำคัญว่า “ลูกปลาไหลขนาดเล็กจะลงทะเลได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกกังหันบดหรือไม่” คำตอบจนถึงวันนี้ ยังไม่ชัด

เส้นบางระหว่าง “หวังได้” กับ “สายเกินไป”

สิ่งที่ทำให้ปลาตูหนาตัวเดียวถูกจับตามองอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงความหายาก แต่คือจังหวะเวลา

เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นเวทีที่รัฐสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาจะหารือเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน ท่ามกลางประเด็นอ่อนไหวอย่างการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ การจัดสรรระดับน้ำ และผลกระทบต่อชุมชนริมน้ำ นักอนุรักษ์ในพื้นที่มองว่า ปรากฏการณ์ปลาตูหนาครั้งนี้คือ “สัญญาณให้มนุษย์หยุดและฟังแม่น้ำก่อนจะสายไปกว่านี้”

อีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่าห้ามโรแมนติไซส์ความหวังจนเกินจริง หากมองในเชิงประชากร การเจอปลาน้ำหนักกว่า 2 กิโลกรัมเพียงตัวเดียว ไม่สามารถตีความว่า “ประชากรปลากำลังฟื้น” ได้โดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม มันอาจสะท้อนว่าแม่น้ำโขงตอนบนกำลังเหลือเพียง “ตัวสุดท้ายของรุ่นสุดท้าย” ที่ยังไม่กลับลงทะเลไปสืบพันธุ์ และถ้าปัจจัยคุกคามยังเหมือนเดิม ประชากรใหม่ก็แทบไม่มีโอกาสเดินทางขึ้นมาเติมอีก

อีกความเสี่ยงหนึ่งคือ การทำให้เหตุการณ์นี้ถูกใช้เชิงการสื่อสารว่า “เห็นไหม แม่น้ำยังดีอยู่ ยังมีปลาอยู่” ซึ่งอาจถูกนำไปเป็นข้ออ้างว่าการพัฒนาโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนบนลำน้ำโขงสายหลักและสาขา ไม่ได้ทำลายระบบนิเวศจริงจังเท่าที่ภาคประชาชนอ้าง

นักวิชาการด้านนิเวศน้ำจืดบางรายจึงใช้คำแรงว่า ปลาตูหนาคือ “หลักฐานของการยื้อชีวิตครั้งสุดท้าย มากกว่าหลักฐานการฟื้นตัว” และเสนอว่า นี่ควรเป็นจุดตั้งต้นของการปรับนโยบาย ไม่ใช่จุดจบของการสนทนา

ทางออกเชิงระบบ จากวังน้ำลึกสู่โต๊ะนโยบาย

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ถูกหยิบยกต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ออกแบบมาตรการ “ทางผ่านลงสู่ปลายน้ำ” ให้จริงจัง

นโยบายการจัดการเขื่อนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต้องยกระดับจากการพูดถึง “ทางปลาขึ้น” ไปสู่ “ทางปลาลง” อย่างจริงจัง ปัจจุบันโครงสร้างทางปลาผ่านจำนวนมากยังไม่ได้ออกแบบเพื่อช่วยลูกปลาไหลวัยอ่อนให้กลับลงสู่ทะเลโดยปลอดภัย ยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกกังหันผลิตไฟฟ้าทำให้ตายหรือบาดเจ็บสาหัส

ในมุมนี้ นักวิจัยเสนอว่า ควรนิยามความสำเร็จของทางปลาผ่านในเขื่อนสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ไม่ใช่แค่ “ปลาอะไรขึ้นมาได้กี่ตัว” แต่ต้องรวมถึง “ปลาไหลวัยอ่อนสามารถลงได้กี่เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ถูกทำลาย”

ติดตามปลาสองน้ำเป็นตัวชี้วัดบังคับ

มีข้อเสนอให้กำหนด “ปลาตูหนา (Anguilla bicolor)” เป็นสัตว์ตัวชี้วัด (indicator species) ในการประเมินประสิทธิภาพของการบริหารจัดการเขื่อนและทางปลาผ่าน ไม่ใช่ประเมินเพียงปลาชนิดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หรือเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเท่านั้น

การติดตามประชากรปลาตูหนาทั้งระยะตัวอ่อน (glass eel) และตัวเต็มวัย ควรถูกทำเป็นเงื่อนไขทางวิชาการร่วมในระดับลุ่มน้ำโขงตอนล่าง แทนที่จะเป็นเพียงการเฝ้าดูโดยชุมชนท้องถิ่นที่ขาดทรัพยากร

รักษาแหล่งอาศัยที่ยังเหลืออยู่ – วังน้ำลึก, คอนผีหลง, แจ๋มผาดินแดง

ชุมชนท้องถิ่นในเชียงของและเวียงแก่นได้ผลักดันพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ปลา (Fish Conservation Zones: FCZs) เช่น พื้นที่คอนผีหลง ให้เป็นเสมือน “เขตพักฟื้น” ของปลา วังน้ำลึกเหล่านี้เป็นโครงสร้างธรรมชาติที่ระบบนิเวศสร้างขึ้นเองมาหลายชั่วคน และเป็นที่หลบภัยของสัตว์น้ำที่ไม่สามารถอยู่ในน้ำตื้นที่ถูกกระแสน้ำปรับขึ้นลงฉับพลันได้

แม้มาตรการแบบ FCZ จะยังไม่สามารถ “ดึง” ปลาตูหนากลับมาจำนวนมากได้ หากเส้นทางอพยพทั้งระบบยังถูกตัดขาด แต่มันถือเป็นการรักษาพื้นที่รองรับในอนาคต หากการเจรจานโยบายในระดับลุ่มน้ำสามารถปรับปรุงเส้นทางการเชื่อมต่อของแม่น้ำได้จริง

จำกัดการดูดทรัพยากรตั้งแต่ปลายทาง

ความร่วมมือระดับภูมิภาคจำเป็นต่อการควบคุมการจับลูกปลาไหลสีแก้วจากธรรมชาติในปริมาณสูงเพื่อป้อนการเพาะเลี้ยงในเชิงอุตสาหกรรม การลดการตัดทอนประชากรตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้ จะช่วยให้มีปลาไหลวัยอ่อนมากพอจะอพยพขึ้นมาสู่ตอนบนในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการฟื้นตัว

จากเรื่องเล่าชาวบ้านสู่เวทีการเมืองน้ำโขง

ในเชิงสัญลักษณ์ เหตุการณ์ปลาตูหนาที่เชียงของเกิดขึ้นในจังหวะที่ลุ่มน้ำโขงกำลังจะถูกจับตามองในระดับนานาชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กำลังเตรียมต้อนรับคณะรัฐมนตรีน้ำของประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่จังหวัดเชียงราย

สำหรับชุมชนริมน้ำ นี่คือโอกาสที่จะส่งเสียงไปยังโต๊ะเจรจาระดับรัฐ ว่า “ปลาไหลตัวเดียวของเรา” อาจกำลังบอกอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวมันเองรู้ สำหรับหน่วยงานรัฐและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือบททดสอบความจริงใจ ว่าจะมองแม่น้ำโขงเป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าและการควบคุมน้ำเชิงวิศวกรรม หรือจะมองในความหมายที่ลึกกว่านั้น คือความมั่นคงทางอาหาร วัฒนธรรม วิถีชีวิต และสิทธิในการดำรงชีพของผู้คนริมฝั่ง และสำหรับนักวิชาการ บทเรียนจากปลาตูหนายังคงเหมือนเดิม ถ้าแม่น้ำไม่เชื่อมต่อ เมืองก็ไม่ยั่งยืน

 

ปลาตูหนาหนักกว่า 2.2 กิโลกรัมที่ถูกจับได้ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “ปลาแปลกในรอบ 20 ปี” แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าระบบนิเวศของแม่น้ำโขงตอนบนยังไม่ตายสนิท ทว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต

ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์จากงานวิจัยไทบ้านปี 2546–2547 ระบุการพบปลาตูหนาเพียง 4 ตัวในพื้นที่คอนผีหลงและแจ๋มผาดินแดง ขณะที่ช่วงยาวกว่า 20 ปีหลังจากนั้นแทบไม่มีการพบอีกเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2568 สิ่งนี้สะท้อนทั้งความอึดของธรรมชาติ และความเปราะบางของระบบ

ปัจจัยกดดันหลัก ได้แก่ การตัดขาดเส้นทางอพยพตามแนวยาวของแม่น้ำจากเขื่อนพลังน้ำ การขึ้นลงของน้ำผิดฤดูกาลที่ทำลายวังน้ำลึก แรงกดดันเชิงการค้าต่อปลาวัยอ่อน และช่องว่างของนโยบายที่มองข้ามชนิดพันธุ์ที่ไม่ดังทางการสื่อสาร คำถามในตอนนี้จึงไม่ใช่แค่ว่า “แม่น้ำโขงยังมีปลาหายากอยู่ไหม” แต่คือ “เราจะยอมให้ปลาตัวนี้เป็นรุ่นสุดท้ายหรือไม่”

ปลาตูหนาไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่มันกำลังบอกเราว่า หากไม่มีการจัดการเชิงระบบที่มองเห็นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และทะเล แม่น้ำโขงอาจเดินข้ามจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว การประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายปลายพฤศจิกายน 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีทางการทูตด้านน้ำ หากแต่เป็นบทพิสูจน์ว่าเสียงจากวังน้ำลึก คอนผีหลง หาดแฮ่ และชุมชนริมโขง จะถูกฟังจริงหรือไม่

16 เมษายน 2563 พรานเบ็ดแห่งแม่น้ำโขง ชาวเขมราฐ จับปลาตูหนา (รูปร่างคล้าย ปลาไหล) ซึ่งเป็นปลาแม่น้ำโขง ที่หายาก หนัก 7.7 ก.ก. ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในเขต เขมราฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ฮักนะเขมราฐ.com
  • ทรายโขง ณผาถ่าน
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สกัดขบวนการ “ทะลุไทย”! ตำรวจท่องเที่ยวทลายรังแก๊งค์จีน 19 ราย คาดโยง “คอลเซ็นเตอร์”

สกัดขบวนการ “ทะลุไทย”! ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายทลายรังแก๊งค์จีน 19 ราย คาดโยง “คอลเซ็นเตอร์” ใช้ไทยเป็นทางผ่านหนีภัยกวาดล้าง ก่อนซัดทอดเตรียมข้ามไป สปป.ลาว

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 –   ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายภายใต้ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมบุกจับกลุ่มชาวจีน 19 คน ซุกซ่อนตัวในบ้านเช่า อ.เมืองเชียงราย หลังลักลอบเข้าไทยจากชายแดนแม่สอด คาดหนีภัยกวาดล้างอาชญากรรมจากเมียนมา ก่อนใช้ไทยเป็น “ทางผ่าน” สู่ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ รวบหญิงไทยเจ้าของบ้านเช่าในข้อหาให้ความช่วยเหลือ

ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายเปิดปฏิบัติการ! ทลายเครือข่ายลักลอบเข้าเมืองและสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2568 สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2) ได้รับรายงานกลุ่มคนต่างชาติต้องสงสัยจำนวนมากเช่าบ้านในพื้นที่ ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย จึงนำกำลังร่วมกับ ตม.เชียงราย เข้าตรวจสอบ

 

ในช่วงที่พื้นที่ชายแดนมีการกวาดล้างอย่างเข้มข้น กลุ่มคนต่างชาติกลุ่มนี้เปรียบเสมือน ผู้อพยพทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังหาทางหลบหนีจากพื้นที่กวาดล้างในเมียนมา โดยใช้ประเทศไทยเป็น ทางเดินลับ” สู่ประเทศที่สามอย่าง สปป.ลาว การค้นพบพวกเขาในบ้านเช่าที่แม่นยำและเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงขบวนการลักลอบนำพาที่มีการจัดตั้งอย่างชัดเจน

พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2 เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.โอฬาร เอี่ยมประภาส ผบก.ทท.2 ภายใต้นโยบายระดมกวาดล้างอาชญากรรมในฐานความผิด 10 กลุ่มต้องห้าม ตามนโยบาย ผบ.ตร. ในห้วงวันที่ 18-25 ต.ค. 68

ผลการตรวจสอบและสถิติการจับกุม:

  • สถานที่: บ้านเลขที่ 12 บ้านพลูทอง หมู่ 11 ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
  • ผู้ต้องหา: ชาวจีนชายอายุ 18-37 ปี รวม 19 คน
  • หลักฐาน: โทรศัพท์มือถือจำนวนมาก
  • สถานะการเข้าเมือง:
    • Overstay (อยู่เกินวีซ่า): 6 ราย (มีพาสปอร์ต)
    • ลักลอบเข้าเมือง: 13 ราย (ไม่มีเอกสารประจำตัว)

เส้นทางหลบหนีและจุดหมายปลายทาง “สปป.ลาว”

จากการสอบปากคำชาวจีนผ่านล่าม ได้ข้อมูลว่าทั้งหมดเดินทางมาจากชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยการ ลักลอบเข้าช่องทางธรรมชาติ ก่อนจะมีคนนำมาพักที่เชียงราย และเตรียมจะมีคนมารับตัวไปส่งต่อเพื่อ ข้ามไปทำงานฝั่งประเทศ สปป.ลาว

พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ ยืนยันว่า เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ หลบหนีการกวาดล้างอย่างหนักจากประเทศเมียนมาทางด้านชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก” และตั้งข้อสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มทำงานหลอกลวงด้านออนไลน์อีกด้วย” การจับกุมครั้งนี้จึงเป็นการสกัดกั้นกลุ่มคนที่ลักลอบเข้าเมืองและอาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

บทบาทของหญิงไทยและข้อกล่าวหา

  • ผู้ถูกจับกุม: น.ส.ชัชฎา อายุ 35 ปี (ชาว อ.แม่สรวย จ.เชียงราย)
  • หน้าที่: ให้การว่าตนเองมีหน้าที่เช่าบ้าน จัดหาอาหาร และทำความสะอาด โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายหัว 200 บาทต่อวัน
  • ข้อกล่าวหาต่อ น.ส.ชัชฎา: ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม”

ความท้าทายของ “พรมแดนไทย”—ด่านสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

การจับกุมกลุ่มชาวจีน 19 คนในพื้นที่เชียงรายตอกย้ำถึงความท้าทายของประเทศไทยในฐานะ ทางผ่าน” สำคัญของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ (Call Center Scam) ที่ถูกกวาดล้างอย่างหนักในประเทศเพื่อนบ้าน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • ช่องทางธรรมชาติ: การลักลอบเข้าไทยจากชายแดนแม่สอด จ.ตาก (ฝั่งตะวันตก) เพื่อเดินทางต่อไปยัง สปป.ลาว (ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ) แสดงให้เห็นถึงเส้นทางขนย้ายมนุษย์ที่มีการวางแผนและครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด
  • มาตรการสกัดกั้น: ความสำเร็จของตำรวจท่องเที่ยวและ ตม.เชียงราย ในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังขบวนการลักลอบนำพา และเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานข่าวเชิงรุกและบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาทั้งหมด และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2)
  •  ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย (ตม.เชียงราย)
  •  กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

โขน-ผ้าไทย-ป่า! 9 พระราชกรณียกิจที่ยังขับเคลื่อนเมืองไทย สู่ Soft Power ยั่งยืน

9 พระราชกรณียกิจ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โอบอุ้มประชาราษฎร์ให้ยั่งยืน—จากศิลปาชีพ ผืนป่า น้ำ และการศึกษา สู่ภูมิคุ้มกันสังคมไทยระยะยาว

ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนดอยสูงอันชื้นเย็นของภาคเหนือ เราเห็นเงาคนงานชุมชนเดินเรียงในแสงแรก หลายคนสวมซิ่นทอลวดลายดั้งเดิม บางคนอุ้มตะกร้าใส่เมล็ดพันธุ์แห้ง เตรียมลงแปลงผักตามรอยคันนาที่ถูกจัดแบบขั้นบันไดอย่างประณีต ภาพเล็กๆ เช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในหมู่บ้านนับพันทั่วประเทศ และล้วนมี “เส้นด้าย” เดียวกันผูกโยง—พระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงบุกป่าฝ่าดอย โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปเยี่ยมราษฎรทุกภาคส่วนต่อเนื่องหลายทศวรรษ วางรากฐาน “อยู่ดีกินดี” ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ครอบคลุมศิลปวัฒนธรรม อาชีพ สุขภาพ ป่าไม้ น้ำ การศึกษา และการคุ้มครองผู้เปราะบาง

บนโอกาสแห่งการระลึกพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานแนวทางพัฒนา ผู้สื่อข่าวได้ถอดบทเรียน 9 พระราชกรณียกิจ ที่ยังคงขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่จริง—ตั้งแต่ลุ่มน้ำที่ไหลลงทุ่ง ไปจนถึงเข็มทอที่เคลื่อนไปบนกี่—เพื่อชี้ให้เห็น “แกนหลักของเรื่อง” ว่าพระราชกรณียกิจเหล่านี้ไม่ใช่เพียงงานการกุศลเฉพาะหน้า หากคือ “ระบบนิเวศการพัฒนา” ที่ทำให้ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันยั่งยืน

1) “ศิลปาชีพ” และการฟื้นผ้าไทย: จากงานบ้านเป็น “อุตสาหกรรมสร้างคุณค่า”

ในยามที่ผ้าไหมและหัตถกรรมพื้นบ้านเคยถูกเมิน พระองค์ทรงหยิบยกให้กลับมามีศักดิ์ศรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ พระองค์มี พระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งงานส่งเสริมการทอผ้าไหม เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ท่ามกลางวิกฤต ก่อเกิดโครงสร้าง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT)” เป็นกลไกขับเคลื่อนอาชีพทั่วประเทศ

ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม—ในระดับ “อัตลักษณ์ชาติ”—คือการที่ผ้าไทยก้าวพ้นความเป็นเครื่องนุ่งห่มท้องถิ่น สู่แฟชั่นร่วมสมัยที่คนทั้งโลกชื่นชม (พระองค์ทรงได้รับการยกย่องใน พ.ศ. 2505 ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งพระองค์งามที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นนานาชาติ) ขณะเดียวกัน นโยบายรัฐช่วงหลังยังต่อยอดการสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน (คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย” ให้หน่วยงานส่งเสริมการแต่งผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทอผ้า—ปั่นไหม–ย้อมสีธรรมชาติ–ออกแบบ–แปรรูป—คึกคักขึ้น ผู้ทอมีอำนาจต่อรองมากขึ้น และชุมชนสามารถรักษาลวดลายเฉพาะถิ่นไว้ได้โดยมีตลาดรองรับ

แกนสำคัญ ไม่ใช่เพียง “ขายได้” แต่คือการยกระดับ “ความรู้-มาตรฐาน-การตลาด” จนผ้าไทยกลายเป็นสินค้าคุณภาพสูง ส่งมูลค่าเพิ่มกลับสู่มือชุมชน เป็น Soft Power ที่ทรงพลังกว่าการประชาสัมพันธ์ใดๆ

2) พระราชทานความคุ้มครองด้านสาธารณสุข: จากหน่วยแพทย์พระราชทานถึงยุคโรคอุบัติใหม่

การเดินทางไปทุกพื้นที่ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น “ช่องว่างสุขภาพ” ของชนบท พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัด คณะแพทย์ตามเสด็จ วางฐานสู่ หน่วยแพทย์พระราชทาน” ที่ยังทำงานอยู่จนปัจจุบัน ควบคู่การสนับสนุนโครงการ หมอหมู่บ้าน” ให้ชาวบ้านรู้จักการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ใช้ยาถูกวิธี และส่งต่อผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงที

ในยุคโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 พระองค์ยังทรง พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และ อุปกรณ์ PAPR ให้โรงพยาบาลของรัฐหลายสังกัด เพื่อคุ้มครองบุคลากรด่านหน้า สะท้อน หลักคิด “คุ้มครองผู้คุ้มครองเรา” ที่ลดความสูญเสียเชิงระบบ หากคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพ การป้องกันบุคลากรหนึ่งคนให้ปลอดภัยย่อมแปลเป็นศักยภาพการดูแลผู้ป่วยนับร้อย—คือผลตอบแทนต่อสังคมที่สูงอย่างยิ่ง

3) “บ้านเล็กในป่าใหญ่”: ปรัชญาป่ากับน้ำ และการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ

พระราชดำรัสที่ชาวไทยคุ้นหู พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำไพเราะ แต่คือ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่จับต้องได้ โครงการ บ้านเล็กในป่าใหญ่” (Small House in the Big Forest) เริ่มที่ บ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ (พ.ศ. 2534) เป็นต้นแบบการจัดการพื้นที่สูง: รักษาป่าดั้งเดิม ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม จัดพื้นที่ทำกินให้ชัดเจน ส่งเสริมเกษตรที่ไม่ทำลายป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้พอเพียง

จากต้นแบบดังกล่าว ขยายไปยังหลายจังหวัด—บ้านอุดมทรัพย์ (กำแพงเพชร), บ้านหนองห้า (พะเยา), ดอยฟ้าห่มปก (เชียงใหม่)—ผลสำคัญคือ “ยุติแรงดึงให้บุกรุกป่า” ด้วยการสร้างทางเลือกอาชีพที่มั่นคงกว่า และทำให้ป่ากลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ” ที่ชุมชนร่วมดูแล ไม่ใช่ทรัพยากรที่ถูกช่วงชิง

4) ฟื้น “โขน” สู่มรดกภูมิปัญญามนุษยชาติ: เมื่อศิลปะและอัตลักษณ์คือภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าศิลปะระดับชั้นสูงอย่าง โขน” กำลังเผชิญความเสี่ยงสูญหาย จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ ศึกษารากเหง้าเครื่องแต่งกาย–ดนตรี–ท่ารำ ตามราชประเพณี สร้างองค์ความรู้และฝึกช่างฝีมือรุ่นใหม่ให้ครบห่วงโซ่ จนเกิด โขนพระราชทาน” เรื่องรามเกียรติ์ (พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา) ที่ยกระดับมาตรฐานทั้งศิลป์และระบบจัดการเบื้องหลัง

จุดคลี่คลายปม ในเวทีโลกเกิดขึ้นเมื่อ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พ.ศ. 2561 ไม่เพียงยืนยันความงาม หากยืนยัน “ความมีชีวิต” ของศิลปะไทยที่ยังถ่ายทอดต่อไปได้ พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมจึงไม่ใช่การห่อหุ้มของเก่า แต่คือการต่อชีวิตให้วัฒนธรรมยืนหยัดได้จริงในตลาดร่วมสมัย

5) ทรงอุปถัมภ์ศาสนา—เสริม “ทุนทางจิตใจ” ให้สังคมพหุวัฒนธรรม

พระองค์ทรงแสดงบทบาท ธรรมราชินี” ผ่านการเคารพและอุปถัมภ์ ทุกศาสนา—พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู ซิกข์—เพราะทรงเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและชี้นำพฤติกรรมพลเมือง พระองค์โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้ง พระราชทานปัจจัยบำรุงสงฆ์ ดูแลพระภิกษุอาพาธ สนับสนุนโรงพยาบาลที่ให้บริการพระสงฆ์ และให้ความสำคัญกับมารยาทข้ามศาสนาในทุกพื้นที่ที่เสด็จฯ

เมื่อสังคมเผชิญความหลากหลายสูงขึ้น “ทุนทางจิตใจ” และ ทักษะอยู่ร่วมกัน คือภูมิคุ้มกันเชิงสถาบัน พระราชกรณียกิจด้านศาสนาจึงเป็นรากที่ทำให้สังคมไทยยืนตัวอยู่ได้ท่ามกลางความแตกต่าง

6) “สถาบันสิริกิติ์” และพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”: หล่อเลี้ยงฝีมือคน สร้างตลาดศิลป์ไทย

ผลงานประณีตศิลป์จาก โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา ที่พัฒนาต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ได้ยกระดับเป็น สถาบันสิริกิติ์” (ตั้งแต่ 21 กันยายน 2553) ทำหน้าที่ทั้งพัฒนา–อนุรักษ์–เผยแพร่งานช่างไทยชั้นสูง เช่น ปักเส้นไหมโบราณ งานคร่ำ งานสานย่านลิเภา งานถนิมพิมพาภรณ์ ไปจนถึง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง อันวิจิตร

ปลายทางของการพัฒนาไม่หยุดที่ “ชิ้นงาน” แต่คือ พื้นที่เรียนรู้และตลาด อย่างพิพิธภัณฑ์ ศิลป์แผ่นดิน” (อ.ย.) ที่จัดแสดงงานช่างให้คนไทย–ชาวโลกได้สัมผัส สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และทำให้ลูกหลานชาวไร่ชาวนากลายเป็นช่างฝีมืออาชีพ—นี่คือการยกระดับ “ทุนมนุษย์” ผ่านศิลป์และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

7) “ฟาร์มตัวอย่าง” ตามพระราชดำริ: ศูนย์เรียนรู้เกษตรครบวงจรและความมั่นคงในยามวิกฤต

ก่อกำเนิดที่ บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ฟาร์มตัวอย่างทำหน้าที่เป็น ห้องเรียนกลางแจ้ง ให้ประชาชนเข้าใจระบบเกษตรครบวงจร—ปลูกพืชผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ ทำประมง ระบบน้ำ—โดยยึดหลัก พอเพียง–พึ่งตนเอง–หมุนเวียนทรัพยากร เมื่อถึงวิกฤตอย่างโควิด-19 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสืบสานพระราชดำริและพระราชทานอนุญาตนำพื้นที่ ฟาร์มตัวอย่าง 30 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาใช้ จ้างงานประชาชน ภายใต้โครงการ “ต้านภัยโควิด-19” ช่วยพยุงครัวเรือนที่ตกงานให้มีรายได้ระยะสั้น พร้อมถ่ายทอดทักษะอาชีพระยะยาว

ผลสะท้อนเชิงนโยบายคือ ฟาร์มไม่ใช่ “แปลงสาธิต” เฉยๆ แต่เป็น “เครื่องมือเสถียรภาพ” ของเศรษฐกิจชุมชนในช่วงผันผวน—เมล็ดพันธุ์ ความรู้ และตลาดชุมชนถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน จนคนสามารถยืนได้ด้วยตัวเองหลังวิกฤต

8) พระเมตตาด้านสังคมสงเคราะห์: ปกป้องผู้เปราะบางในและนอกพรมแดน

ตั้งแต่การช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยยากไร้ ไปจนถึงเหตุการณ์ผู้ลี้ภัยชายแดน—เช่น เหตุเขาล้าน จ.ตราด—พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง พระราชทานอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และ โปรดเกล้าฯ ให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากล เข้าไปช่วยอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสนับสนุน การศึกษาทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนในระยะยาว

สำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัครผู้พลีชีพหรือบาดเจ็บ พระองค์ทรงก่อตั้ง มูลนิธิสายใจไทย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย–จิตใจ–อาชีพ ให้สามารถกลับมาเป็นพลังครอบครัวอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิยังเป็นทั้งรายได้และศักดิ์ศรีให้กับผู้เสียสละเหล่านี้

9) การศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส: “โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์” และทุนการศึกษา

พระองค์ทรงเจาะจงดูแลพื้นที่ ห่างไกล ที่เด็กมีโอกาสน้อย ผ่านการพระราชทานทุนเริ่มต้นจัดตั้ง โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ ในพื้นที่ชายแดนและดอยสูง (เช่น บ้านห้วยขาน อ.ฝาง และ ต.แม่ริม จ.เชียงใหม่) โดยประสาน ตำรวจตระเวนชายแดน ดูแล ต่อมาขยายการสอนถึงระดับมัธยมต้น และที่สำคัญ—พระองค์ทรง รับนักเรียนยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เกือบ 2,000 คน รวมถึงเด็กพิการให้เข้าศึกษาในโรงเรียนเฉพาะความสามารถ จนสามารถประกอบอาชีพดูแลตนเองได้

การศึกษาที่พระราชทานโอกาสเช่นนี้ แก้โจทย์ “ความเหลื่อมล้ำรุ่นสู่รุ่น” โดยตรง—เมื่อลูกหลานบนดอยอ่านออกเขียนได้ มีวิชาชีพ และกลับมาพัฒนาชุมชนตนเอง—ความมั่นคงชายแดนและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมก็แข็งแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

เชียงรายในกระจกพระราชกรณียกิจ: จากป่า–ผ้า–พหุชนเผ่า สู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

หากซูมลงพื้นที่เชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีทั้งป่าเขาสลับซับซ้อนและความหลากหลายทางชาติพันธุ์—เราพบรอยพิมพ์ชัดเจนของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้าน

  • ป่าและน้ำ: แนวทาง “บ้านเล็กในป่าใหญ่” และการอนุรักษ์ดิน–น้ำถูกใช้เป็นต้นแบบในหลายลุ่มน้ำชายแดน ช่วยชะลอปัญหาดินถล่ม–น้ำหลาก และทำให้แปลงเกษตรบนพื้นที่สูงทำกินได้โดยไม่บุกรุกป่า
  • ศิลปาชีพ: ผ้าทอลวดลายล้านนาปรับตัวเป็นสินค้า Q (คุณภาพ) และสินค้าเชิงท่องเที่ยว สร้างรายได้เสริมให้ผู้หญิงและผู้สูงอายุในชนบท
  • การศึกษา: โรงเรียนในเครือข่ายตำรวจตระเวนชายแดนและโรงเรียนท้องถิ่นได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เด็กชาติพันธุ์เข้าถึงภาษาไทยและทักษะอาชีพมากขึ้น
  • สังคมสงเคราะห์และสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่–โครงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ—ถูกใช้จริงในฤดูฝนยืดเยื้อของภาคเหนือ

เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบกัน เชียงรายจึงมี “ทุนสังคม” สำคัญในการก้าวสู่ เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” อย่างที่จังหวัดพยายามผลักดันในช่วงไฮซีซัน—นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริงจะพบทั้งป่าแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ ศิลป์ผ้าและกาแฟพิเศษของชุมชน และเรื่องเล่าการพัฒนาที่มีคนท้องถิ่นเป็นพระเอก

พลังที่ต่อยอดได้ของ “พระราชกรณียกิจแบบระบบ”

หัวใจของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้านคือ ความต่อเนื่อง” และ “การทำงานเชิงระบบ”—ไม่ใช่โครงการฉาบฉวย แต่เป็น แพลตฟอร์ม ที่ให้คนตัวเล็กสามารถลุกขึ้นยืนได้ ท่ามกลางโลกที่ผันผวนกว่าเดิม

  • ถ้าต้องการลดความยากจนอย่างถาวร: ต้องสร้างทั้ง รายได้ (ศิลปาชีพ–ฟาร์มตัวอย่าง–ตลาดสร้างสรรค์) และ ลดความเสี่ยง (สุขภาพ–การอนุรักษ์ป่า–การศึกษา)
  • ถ้าต้องการคุมวิกฤตสาธารณสุข: ต้องเสริม ระบบคุ้มครองด่านหน้า และ ความรู้ชุมชน ให้รับมือได้ก่อนป่วยหนัก
  • ถ้าต้องการให้วัฒนธรรมอยู่ได้: ต้องทำให้ ศิลป์–การตลาด–การถ่ายทอดช่าง เชื่อมกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อสังคมไทยเดินหน้าสู่นโยบายพัฒนารอบใหม่ บทเรียนจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงคือ ทำเล็กให้ลึก ทำช้าให้ยั่งยืน” แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ขยายตัวด้วยพลังของชุมชนเอง

เสียงทอผ้าบนกี่ไม้ยังดังแผ่วในยามสาย ขณะน้ำที่ไหลตามฝายชะลอค่อยๆ เติมความชุ่มชื้นสู่ทุ่ง หากมองเครือข่ายเหล่านี้จากบนฟ้า เราจะเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยของประเทศ—เส้นเลือดที่พระราชกรณียกิจได้วางไว้ให้หล่อเลี้ยง “หัวใจ” ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT Foundation)
  • สถาบันสิริกิติ์ (โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาเดิม) / พิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”
  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม / UNESCO
  • สำนักนายกรัฐมนตรี / กรมประชาสัมพันธ์
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • สำนักงานตำรวจตระเวนชายแดน / กระทรวงศึกษาธิการ
  • สภากาชาดไทย / คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
  • มูลนิธิสายใจไทย
  • สำนักราชเลขาธิการ / สำนักพระราชวัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดไทยแรง เงินลงทุนพุ่ง 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี”

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดก่อสร้างไทยแรง—เงินลงทุนพุ่งเฉลี่ยปีละ 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี” สร้างสมดุลเปิดรับต่างชาติปกป้องผู้ประกอบการไทย

ประเทศไทย, 22 ตุลาคม 2568 – กระแสเงินทุนและแรงงานก่อสร้างจากจีนกำลังไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นชัดคือป้ายโครงการขนาดกลางใหญ่จำนวนมากที่มีรายชื่อบริษัทจีนในฐานะคู่ร่วมทุนหรือผู้รับเหมาหลัก ขณะที่ผู้รับเหมาไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า “การแข่งขันยุติธรรมเพียงใด” และ “กติกาบ้านเราปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศมากพอหรือยัง”


รายงานล่าสุดของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ยืนยันแนวโน้มดังกล่าวด้วยตัวเลข การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) 21% ตลอดปี 2020–2024 และเฉพาะปี 2567 (2024) มีมูลค่า 3,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การร่วมลงทุนของผู้รับเหมาจีนในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย คิดเป็น 34% ของมูลค่าร่วมทุนผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569 และยังเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อจีน “อ่อนแรงในบ้าน” จึง “มองนอกบ้าน” — ไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ

วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ลากยาวตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทำให้กิจกรรมก่อสร้างภายในประเทศจีนชะลอตัว รัฐบาลจีนจึงเร่ง “ทางออกนอกบ้าน” ทั้งผ่านการผลักดันโครงการต่างประเทศภายใต้แนวคิด Belt and Road Initiative (BRI) การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก่อสร้างให้ไปลุยตลาดต่างแดน และการสนับสนุนทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผู้รับเหมาของตน


ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทย อยู่ในช่วงเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่ระบบราง รถไฟฟ้าภูมิภาค สนามบิน ท่าเรือ คลังสินค้า ไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่—จึงไม่แปลกที่ผู้รับเหมาจีนจะ “ปักหมุด” ประเทศไทยเป็นสนามแข่งขันสำคัญ

รูปแบบที่นิยม ตามรายงาน SCB EIC คือ การร่วมลงทุน (Joint Venture) กับบริษัทไทย โดยเฉพาะกลุ่ม อาคารเพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงงาน อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ท่าอากาศยาน และคลังสินค้า เหตุผลหลักคือผู้รับเหมาจีนต้องการพันธมิตรที่รู้กติการะบบอนุญาตในไทย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องการเงินทุน ความเร็ว และเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เพื่อแข่งขันในตลาดที่ตึงตัว

ภาพใหญ่ของตัวเลข การเงินโต…แต่ “คุณภาพการแข่งขัน” ต้องถูกตั้งคำถาม

ตัวเลขเติบโต 21% CAGR ในช่วง 5 ปี และการขยายตัว 14% ในปีล่าสุด สะท้อนว่า “เค้กก่อสร้าง” ของไทยมีความน่าดึงดูดและยังขยายได้ แต่การเติบโตดังกล่าวก็มาพร้อมคำถามใหญ่ 3 ข้อที่ SCB EIC กระตุกเตือน

  1. การแข่งขันยุติธรรมหรือไม่  มีสัญญาณ “เสนอราคาต่ำผิดปกติ” เพื่อชนะงาน จากนั้นค่อยบริหารความเสี่ยงด้วยการลดสเปกหรือกดต้นทุนแรงงาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาคุณภาพงาน ความปลอดภัย และความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาช่วง
  2. การใช้ “นอมินี” บางกรณีมีการอาศัยผู้ประกอบการไทยเป็นเพียง “นอมินี” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายและความรับผิดชอบจริงในโครงการ เมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องมาตรฐานวัสดุ อุบัติเหตุ ความล่าช้า ผู้ว่าจ้างและรัฐกลับหาตัว “ผู้รับผิดชอบจริง” ยากกว่าที่ควร
  3. ความเสี่ยงทิ้งงาน ค้างจ่าย  การเสนอราคาระดับต่ำมากอาจทำให้โครงการเผชิญภาวะขาดทุน สภาพคล่องตึงจนเกิด การทิ้งงาน หรือ ค้างจ่ายค่าจ้าง แก่แรงงานและผู้รับเหมาช่วง สร้าง “ต้นทุนทางสังคม” ที่สูงกว่ามูลค่าโครงการเดิม

ประโยคชวนคิด “ราคาถูกวันนี้ อาจหมายถึงค่าซ่อม ค่าชดเชยที่แพงกว่าในวันหน้า” — แก่นปัญหาที่รายงานของ SCB EIC ต้องการชี้ให้เห็น

เจาะโครงสร้างความเสี่ยง จากไซต์งานถึงระบบนิเวศก่อสร้าง

  • ความปลอดภัยและมาตรฐานวัสดุ
    เมื่องานถูกกดราคาไม่สมเหตุสมผล ความเสี่ยงแรกคือ “ลดสเปก” วัสดุโครงสร้างและระบบความปลอดภัย รายงานเตือนว่ากรณีลักษณะนี้อาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุที่ไม่ควรเกิด” ทั้งกับแรงงาน ผู้สัญจร และทรัพย์สินรอบโครงการ
  • ระบบแรงงานและผู้รับเหมาช่วง
    การกดราคาต้นทางส่งผลต่อห่วงโซ่ทั้งระบบ ผู้รับเหมาช่วง แรงงานมักเป็นผู้ “รับแรงกระแทก” ทั้งจากการเจรจาต่อราคาหนัก การค้างจ่าย และภาระความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในไซต์งาน
  • ความรับผิดชอบตามกฎหมาย
    โครงสร้าง “นอมินี” ทำให้การติดตามความรับผิดหลังเกิดเหตุทำได้ยาก ผลคือการเยียวยา ซ่อมแซมล่าช้า และความเชื่อมั่นของตลาด ชุมชนโดยรอบลดลง

ทางรอดฝั่งไทย แข่งด้วย “คุณภาพ+เทคโนโลยี” และสร้าง “กติกาแฟร์”

รายงานของ SCB EIC ไม่ได้หยุดที่การเตือน แต่เสนอ สองแกนยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพผู้รับเหมาไทยด้วยเทคโนโลยี และ (2) ให้ภาครัฐวางกติกาที่สร้างสมดุลระหว่างการดึงดูดต่างชาติและการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ

1) ยกระดับเทคโนโลยี—ขยับ Productivity ให้ชนะ “สงครามราคา”

เครื่องมือที่ถูกชี้เป้าชัด ได้แก่

  • BIM (Building Information Modeling)  ทำให้การออกแบบปริมาณงานการประสานแบบของทุกวิชาเป็นแพลตฟอร์มเดียว ลดความผิดพลาดหน้างานและเคลมงาน
  • Prefabrication / Modular Construction   ย้ายงานจากไซต์ไปโรงงาน ลดเวลา ของเสีย ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • AI / Data Analytics   วางแผนทรัพยากร ควบคุมตารางงาน และคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
  • Drone / LiDAR / เซนเซอร์ความปลอดภัย   ตรวจความก้าวหน้า คุณภาพความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
  • 3D Printing / หุ่นยนต์ก่อสร้าง  สำหรับชิ้นงานซ้ำ ๆ และพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน

ประโยชน์ตรงคือ เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนผิดฝั่ง (ของเสีย/งานแก้/ดีเลย์) จนทำให้ผู้รับเหมาไทย “แข่งขันแบบคุณภาพ” ได้ ไม่ต้อง “ตัดราคา” เพื่อแย่งงาน

2) กติกาภาครัฐ—รับต่างชาติอย่างมี “เงื่อนไขถ่ายทอด”

SCB EIC ชี้ว่ารัฐควรสร้าง “สมดุล” ระหว่างการเปิดรับผู้รับเหมาต่างชาติที่นำเงินเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่เข้ามา กับการ ปกป้องฐานอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านมาตรการเชิงหลักการ 5 ข้อ

  1. บังคับ JV อย่างมีความหมาย  โครงการระดับหนึ่งควรกำหนดการ ร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาไทย ไม่ใช่เพียง “ชื่อ” แต่ต้องมีสัดส่วนงานจริงและถ่ายทอดองค์ความรู้
  2. ข้อกำหนดถ่ายทอดเทคโนโลยี  ผูก “ตัวชี้วัดการถ่ายทอด” เข้ากับสัญญา เช่น จำนวนช่างเทคนิคที่ได้รับอบรม BIM/Prefabrication/มาตรฐานความปลอดภัย
  3. การใช้แรงงานไทยและวัสดุภายในประเทศ  สร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ไทย พร้อมเงื่อนไขยืดหยุ่นตามความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
  4. เข้มงวดโครงสร้าง “นอมินี” ตรวจสอบผู้รับผิดชอบแท้จริง ตั้ง “บทลงโทษ” ชัดเจน และให้ผู้ควบคุมงาน/ที่ปรึกษาไทยมีอำนาจรายงานสั่งแก้
  5. คุมข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  นำแนวทาง “Abnormally Low Bid” มาใช้จริงจัง กำหนดหลักฐานต้นทุนวิธีการก่อสร้างรองรับก่อนให้เซ็นสัญญา

เปิดรับต่างชาติได้—แต่ต้อง “รับอย่างฉลาด” ให้เกิด การยกระดับ อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการว่าจ้างราคาถูก

เลนส์ระดับพื้นที่ โอกาสความเสี่ยงในจังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองอุตสาหกรรม

แม้ตัวเลขการลงทุนเป็นภาพระดับประเทศ แต่ผลกระทบ “ตกตะกอน” ลงสู่ หัวเมืองชั้นสอง–สาม ที่กำลังขยายตัวแรง ทั้งเมืองท่องเที่ยวโลจิสติกส์ชายแดน และนิคมอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ตัวอย่างเช่น

  • ภาคเหนือ เมืองท่องเที่ยว/ชายแดนบางแห่งเริ่มมีโครงการโรงแรมคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ที่ใช้ผู้รับเหมาจีนร่วมกับผู้ประกอบการไทย
  • ภาคตะวันออก/อีอีซี โครงการโรงงาน คลังสินค้าอัจฉริยะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสำเร็จรูปและผู้รับเหมาจากต่างชาติที่เชี่ยวชาญระบบอัตโนมัติ

โอกาสคือ เทคโนโลยี มาตรฐานใหม่ จะเข้ามาเร็วขึ้นพร้อมเงินทุน แต่ความเสี่ยงคือ ระบบกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องตามทัน ทั้งด้าน ความปลอดภัยไซต์งาน สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์แรงงาน หากปล่อยให้โครงการขยายตัวโดยกติกาหลวม บังคับใช้ไม่ทั่วถึง ปัญหาทิ้งงาน ค้างจ่าย ความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานจะตามมาในที่สุด

เคสตัวอย่างเชิงนโยบาย (จากข้อเสนอของรายงาน) ทำให้ “กติกามีฟัน”

เพื่อให้ข้อเสนอไม่หยุดอยู่บนกระดาษ รายงานเสนอ “เครื่องมือปฏิบัติ” ที่รัฐและผู้ว่าจ้าง (โดยเฉพาะภาครัฐ) สามารถหยิบใช้ได้ทันที ได้แก่

  • สเปกสัญญาแบบผูก KPI การถ่ายทอด  ระบุจำนวนชั่วโมงอบรม/ตำแหน่งงานเทคนิคของคนไทยที่ต้องถูกยกระดับทักษะ พร้อมกลไกตรวจรับ
  • ระบบ e-Procurement ตรวจข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  หากราคาต่ำกว่าเกณฑ์ ให้ผู้เสนอแนบ “แผนเทคนิค ทรัพยากร ตารางงาน ที่มาของวัสดุ” เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้
  • บัญชีรายชื่อผู้รับเหมาช่วงที่ผ่านคุณสมบัติ   ลดการว่าจ้าง “ผู้รับเหมาช่วงลับ” ที่ไม่มีมาตรฐานและทำให้การควบคุมปลายทางล้มเหลว
  • กองทุนค้ำประกันแรงงาน/ผู้รับเหมาช่วง  สำรองเพื่อจ่ายกรณีค้างค่าจ้างจากการทิ้งงาน แล้วไปไล่เบี้ยกับผู้รับเหมาหลักภายหลัง
  • บูรณาการตรวจไซต์ร่วม ระหว่าง ผู้ว่าจ้าง วิศวกรรมสถาน หน่วยงานท้องที่ ผูกกับแผนความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อมเชิงรุก

มุมของผู้ประกอบการไทย “ปรับก่อนถูกปรับออกข้างสนาม”

แม้การแข่งขันจะเข้มขึ้น แต่ทางรอดของผู้รับเหมาไทยไม่ได้ปิดตาย รายงานชี้ “สามทิศทาง” ที่ควรปรับโดยเร็ว

  1. เชี่ยวชาญเฉพาะทาง   เลือกนิชที่มีความต้องการสูง เช่น ระบบอาคารประหยัดพลังงาน งานคลีนรูม โรงงานอัตโนมัติ โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป
  2. มาตรฐาน ความปลอดภัย ความตรงเวลา   ทำให้เป็น “จุดขาย” ด้วยการรับรองมาตรฐานสากลและการใช้ดิจิทัลไซต์
  3. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์   หากต้อง JV ให้เลือกคู่ที่เสริมกันจริง มีสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีและเปิดพื้นที่ให้ทีมไทยได้ลงมือ ไม่ใช่เพียงถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์

ผลที่ได้คือ ความสามารถชนะงานคุณภาพ ไม่ต้องพึ่งการกดราคา และลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

สรุปภาพรวม “เปิดประเทศได้ แต่ต้องเปิดอย่างรู้เท่าทัน”

  • ข้อเท็จจริง: เงินลงทุนผู้รับเหมาจีนในไทย โตแรงและยังโตต่อ   21% CAGR (2020–2024), ปี 2567 อยู่ที่ 3,052 ล้านบาท (+14%YoY), สัดส่วน JV ในอาคารไม่ใช่ที่พักอาศัย 34% ณ ก.ย. 2568/2569
  • ข้อท้าทาย: ความเสี่ยง นอมินี ข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ คุณภาพงาน ทิ้งงาน ค้างจ่าย
  • ทางออก: รัฐ ออกกติกา “ถ่ายทอด ใช้แรงงานไทย วัสดุไทย คุม ALB ปราบนอมินี” / เอกชนไทย ยกระดับด้วย BIM Prefab AI หุ่นยนต์ Drone และเลือก JV ที่มีความหมาย

ถ้าทำได้ “เม็ดเงินต่างชาติ” จะกลายเป็น “เครื่องเร่งการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” แทนที่จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยถอยหลัง

ตัวเลขสำคัญจากรายงาน SCB EIC (เผยแพร่ 18 ต.ค. 2568)

  • การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทย (2020–2024): CAGR 21%
  • ปี 2567 (2024): 3,052 ล้านบาท เพิ่ม 14% จากปี 2566
  • สัดส่วนมูลค่า JV ของผู้รับเหมาจีน ในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย เมื่อเทียบกับผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569: 34% (+21% จากปีก่อน)
  • ความเสี่ยงหลัก: การใช้ “นอมินี”, เสนอราคาต่ำผิดปกติ, ทิ้งงานค้างจ่าย, มาตรฐานวัสดุความปลอดภัย

 

การเข้ามาของผู้รับเหมาจีนเป็น “ความจริงใหม่” ของตลาดก่อสร้างไทย จะปิดประเทศก็ไม่ได้ จะปล่อยเสรีจนระบบเสียสมดุลก็ไม่ควร ทางออกมีเพียง การออกแบบกติกาที่ทันยุค และ ยกระดับผู้เล่นในประเทศ ให้แข่งขันได้ในสนามสากล
หากรัฐทำให้ “ทุกบาทของเงินลงทุนจากต่างชาติ” ผูกกับ “การถ่ายทอดความรู้ให้คนไทย” และ “การสร้างมูลค่าในห่วงโซ่ไทย” ในขณะที่เอกชนไทย “ลงทุนในเทคโนโลยีมาตรฐานคน” อย่างจริงจัง ภาพฝัน “อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยคุณภาพสูง ปลอดภัย ตรงเวลา ต้นทุนเหมาะสม” ก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ราคาทรุด! ปลาเศรษฐกิจแม่น้ำกกดิ่งเหว ชุมชนปากน้ำร้องรัฐวางแผนน้ำสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุณภาพวิจัย-นานาชาติ! มฟล. อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน ขยับสู่ Top 1200 โลก

มฟล. ผงาดเวทีโลก คว้า “ดับเบิลแชมป์ไทย” ด้านคุณภาพงานวิจัย–ความเป็นนานาชาติ ขยับกลุ่ม 1001–1200 ของโลก ตอกย้ำเชียงรายสู่ศูนย์กลางวิชาการนานาชาติ

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฝนพรำที่ดอยแม่ฟ้าหลวง ลมหอบกลิ่นดินชื้นพัดผ่านสวนสวยและอาคารเรียนทรงร่วมสมัย นักศึกษาต่างชาติกลุ่มเล็กกำลังยืนถ่ายภาพกับชุดครุยจำลองหน้าป้ายมหาวิทยาลัย ขณะที่นักวิจัยรุ่นใหม่ผลัดกันหิ้วกล่องตัวอย่างขึ้นตึกทดลอง บนสันเขาที่ทอดยาวนี้ “เมืองมหาวิทยาลัย” กำลังขยับตัว—และในสัปดาห์นี้การขยับตัวนั้นก้องไกลไปถึงแวดวงอุดมศึกษาทั่วโลก เมื่อ Times Higher Education (THE) ประกาศผล THE World University Rankings 2026 ให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ขึ้นไปอยู่ในช่วง 1001–1200 ของโลก ขยับจากปีที่ผ่านมา และก้าวขึ้นเป็น อันดับ 4 ร่วมของประเทศไทย ในภาพรวม

มากกว่าตัวเลขอันดับโลก สอง “คะแนนยุทธศาสตร์” ยืนยันความก้าวกระโดดของ มฟล. แบบมี “ฐาน” และ “ความต่อเนื่อง” คือ
(1) Research Qualityอันดับ 1 ของประเทศ คะแนน 61.4 พุ่งจาก 49.3 และ
(2) International Outlookอันดับ 1 ของไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 คะแนน 64.1 เพิ่มจาก 58.2

ทั้งสองแกนชี้ชัดว่า มฟล. มิได้เพียง “สวยงาม” ในเชิงภูมิทัศน์ หาก “เข้มแข็ง” ในระบบวิจัยและเครือข่ายนานาชาติที่ปลี่ยนเป็น “ทุนเชิงยุทธศาสตร์” ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

“การเติบโตของคะแนน ‘คุณภาพงานวิจัย’ สะท้อนการยกระดับมาตรฐานเชิงวิชาการที่วัดผลได้ และการครองที่หนึ่งด้าน ‘ความเป็นนานาชาติ’ ต่อเนื่องหลายปี คือหลักฐานของโครงข่ายความร่วมมือที่ขยายตัวจริง” — ความเห็นเชิงวิเคราะห์จากแหล่งวิชาการในพื้นที่

เมื่อคะแนนไม่ใช่แค่คะแนน สัญญะของ “คุณภาพงานวิจัย” และ “ความเป็นนานาชาติ”

การจัดอันดับของ THE วัดสมรรถนะหลักผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่ Teaching, Research Environment, Research Quality, International Outlook, และ Industry (การเชื่อมกับภาคอุตสาหกรรม) ในมิตินี้ การที่ มฟล. ครองที่หนึ่งของไทยด้าน Research Quality พร้อมกับยืนหนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง สื่อถึงสองพลังคู่ขนาน

  1. คุณภาพงานวิจัย—ไม่ใช่แค่จำนวนบทความ แต่รวมถึงผลกระทบเชิงวิชาการ (citation/field-weighted impact) ความเข้มแข็งของ peer recognition และมาตรฐานการตีพิมพ์ที่สม่ำเสมอ การขยับจาก 49.3 เป็น 61.4 คะแนน ภายในรอบปี คือการไต่ระดับที่ต้องมี “ฐานข้อมูล–ฐานคน–ฐานห้องปฏิบัติการ” รองรับ
  2. ความเป็นนานาชาติ—สะท้อนความร่วมมือข้ามพรมแดนในมิติการร่วมวิจัย (co-publication) ความหลากหลายของคณาจารย์–นักศึกษา การเคลื่อนย้ายนักวิชาการ และศักยภาพการดึงดูดทุนวิจัยต่างประเทศ คะแนนที่เพิ่มจาก 58.2 เป็น 64.1 พร้อมสถิติ อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน คือหลักฐานของเครือข่ายที่หนาแน่นขึ้น ไม่ใช่ความสำเร็จเฉพาะกิจ

หากพิจารณาเชิงระบบ การขยับจากช่วง 1201–1500 ไปสู่ 1001–1200 ในปี 2026 (ในบริบทที่ THE จัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ) แปลว่า มฟล. แข่งขันได้ในสนามที่ “แน่นขึ้นและยากขึ้น” กว่าทุกปี—การติด “ดับเบิลแชมป์ไทย” จึงให้สัญญะว่า “เชียงราย” ไม่ได้เป็นแค่เมืองปลายทางท่องเที่ยว แต่กำลังก้าวเป็น เมืองฐานความรู้” ในเชิงปฏิบัติ

เชียงรายในแผนที่อุดมศึกษาโลก เมื่อ “ภูมิศาสตร์ชายแดน” กลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์ความรู้”

ผลการจัดอันดับมาถึงพร้อมข่าวใหญ่อีกชิ้น เชียงราย ถูกเลือกเป็นเจ้าภาพประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 (4–7 พ.ย. 2568) ของ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหมายความว่า เมืองมหาวิทยาลัยบนภูเขาแห่งนี้จะต้อนรับผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขจากทั่วภูมิภาค ในหัวข้อ “ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

ในแง่เศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) และงานประชุมสัมมนานานาชาติ (MICE) การมี มหาวิทยาลัยที่มีอันดับโลกขยับขึ้น และ ถือธงความเป็นนานาชาติ เป็นตัวดึงดูดสำคัญทั้งวิทยากร–ทุนวิจัย–ผู้เข้าร่วมระดับผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งท้ายที่สุดจะเปลี่ยนเป็น การจับจ่าย–การจ้างงาน–และชื่อเสียงเมือง ในระยะกลาง–ยาว

ทำไม “Research Quality” ถึงสำคัญต่อจังหวัด?

ในระดับมหภาค “คุณภาพงานวิจัย” คือสมการที่แปลงเป็น ทุนทางปัญญา–นวัตกรรม–และอุตสาหกรรมใหม่ ได้จริง ยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เกษตรมูลค่าสูง ชีวเวชภัณฑ์ และ BCG เป็นโอกาส มฟล. ที่มีคะแนนวิจัยขยับเด่นจึงเป็น “เข็มทิศ” ให้จังหวัดจัดวางยุทธศาสตร์ จับคู่ ห้องปฏิบัติการ–ศูนย์วิจัย–สตาร์ทอัพ–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

  • เกษตร–อาหาร–สุขภาพ งานวิจัยด้านสมุนไพร การแปรรูปอาหารฟังก์ชัน การแพทย์แม่นยำ และสาธารณสุขชายแดน สามารถเชื่อมกับห่วงโซ่คุณค่าในพื้นที่
  • ท่องเที่ยวคุณภาพสูง ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ/สิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มมาตรฐาน “ปลายทางสุขภาพ–ธรรมชาติ–วัฒนธรรม” ของเชียงรายให้ต่างชาติมั่นใจ
  • ความร่วมมือ GMS ฐานวิชาการนานาชาติของ มฟล. ทำให้เชียงรายเป็นจุดนัดหมายใหม่ของนักวิจัย–ผู้กำหนดนโยบายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง จากคะแนน…สู่ความหมายเชิงระบบ

  • กลุ่มอันดับโลกของ มฟล.: จาก 1201–1500 (ปีก่อน) → 1001–1200 (ปี 2026)
  • อันดับในไทย (รวม): อันดับ 4 ร่วม (ในบรรดา 21 สถาบัน ที่ติดอันดับปีนี้)
  • Research Quality: ที่ 1 ของไทย คะแนน 61.4 (↑ จาก 49.3)
  • International Outlook: ที่ 1 ของไทย ต่อเนื่องปีที่ 6 คะแนน 64.1 (↑ จาก 58.2)
  • กรอบการแข่งขันโลก: มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับ 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้แปลว่าอะไร? ในภาษาที่เข้าใจง่าย—งานวิจัยของ มฟล. ถูกอ่าน อ้างอิง และยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ ความสัมพันธ์กับโลกภายนอกแน่นแฟ้นขึ้น ทำให้การชวน “พันธมิตรต่างชาติ” มาร่วมทดลอง–ลงทุน–หรือเปิดหลักสูตรร่วม มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น และนี่เองคือ “ทุนมองไม่เห็น” ที่เมืองมหาวิทยาลัยต้องใช้เป็นคันโยก

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ นักศึกษาต่างชาติ–อาจารย์–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

แม้รายงานอันดับไม่ได้รวบรวมคำให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณในพื้นที่สะท้อนคล้ายกัน—นักศึกษาต่างชาติ ให้ความสนใจหลักสูตรที่บูรณาการ “สุขภาพ–ความยั่งยืน–ธุรกิจ” มากขึ้น ขณะที่ อาจารย์–นักวิจัย เห็นโอกาสยื่นทุนข้ามพรมแดนชัดเจนขึ้น เช่น กองทุนวิจัยร่วมในอาเซียนและ GMS ส่วน ผู้ประกอบการท้องถิ่น เริ่มจับมือมหาวิทยาลัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ–อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง เพื่อสร้างแบรนด์สู่ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่สนามจริง “The University for Well-being and Sustainable Future”

คำประกาศวิสัยทัศน์ของ มฟล.—“The University for Well-being and Sustainable Future”—มองเผินๆ อาจเป็นเพียงถ้อยคำสวยงาม แต่เมื่อเทียบกับคะแนนที่พุ่งใน Research Quality และการครองเบอร์หนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง หลายโครงการของมหาวิทยาลัยเริ่มมี “ฟันเฟือง” ที่หมุนจริง เช่น

  • การบูรณาการทุนวิชาการกับทุนท้องถิ่น โครงการวิจัยที่ดึงผู้ประกอบการและชุมชนเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ผลวิจัยต่อยอดได้จริง
  • จับมือภาคอุตสาหกรรม ยกระดับงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์/บริการ เชื่อมโยงกับแนวทาง BCG (Bio–Circular–Green) ที่สอดคล้องกับภูมิประเทศเชียงราย
  • หลักสูตรสอดรับความยั่งยืน สอดแทรกประเด็นสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–ดิจิทัล เข้าในรายวิชา เพื่อผลิตบัณฑิตที่พร้อมตอบโจทย์ตลาดแรงงานสมัยใหม่

APACPH 2025 เวทีพิสูจน์ “บทบาทชายแดน” ในสาธารณสุขโลก

การที่ APACPH เลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมครั้งที่ 56 ภายใต้หัวข้อ “Public Health Challenges in a Disruptive World” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตำแหน่งที่ตั้งของเชียงราย—บรรจบเมียนมา–ลาว อยู่ในหัวใจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง—ทำให้ประเด็น สุขภาพข้ามพรมแดน–ชนกลุ่มน้อย–ผู้อพยพ–ระบบสุขภาพชายแดน–ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะเจรจาโดยมี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็น “เวทีวิชาการกลาง” การมีอันดับและคะแนนที่สะท้อนศักยภาพด้านวิจัย–นานาชาติ จึงเป็น “ตราประทับความน่าเชื่อถือ” เพิ่มเติม

ในทางปฏิบัติ เมืองเจ้าภาพอย่างเชียงรายต้องจัดการ โลจิสติกส์–ความปลอดภัย–การสื่อสารสองภาษา–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้พร้อม การมีมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยกับความร่วมมือข้ามชาติอยู่แล้วช่วยลดแรงเสียดทานและยกระดับมาตรฐานงานประชุมโดยรวม

เงื่อนไขความยั่งยืน จากปีแห่ง “ชัยชนะ” สู่ “ระบบที่ชนะต่อเนื่อง”

คำถามสำคัญหลังเสียงปรบมือคือ “จะรักษา–และขยาย–ความสำเร็จอย่างไร” นักวิเคราะห์ชี้ 4 เงื่อนไขสำคัญ

  1. ทุนวิจัยที่ต่อเนื่องและพอเพียง คะแนน Research Quality จะทรุดเร็วหากแหล่งทุนสะดุด ต้องวางพอร์ตโฟลิโอทุนในประเทศ–ต่างประเทศที่หลากหลาย และใช้ระบบ guidance/mentoring ให้นักวิจัยรุ่นใหม่ยื่นขอทุนได้สำเร็จ
  2. คน–โครงสร้าง–อุปกรณ์ ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือซ่อมบำรุงเร็ว และการเติมคนรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ คือฐานที่ทำให้งานวิจัย “วิ่ง” ต่อ
  3. พันธมิตรนานาชาติที่ลึกขึ้น จาก MOU สู่ co-author และจาก co-author สู่ co-fund/co-lab—เอาความเป็นอันดับ 1 ด้านนานาชาติมาแปลงเป็นโครงการที่วัดผลได้
  4. การสื่อสารสาธารณะ ดึงผลวิจัยออกไปสู่สังคมและตลาด—สร้าง “วงจรศรัทธา” ให้คนเชียงรายเห็นว่างานวิจัยช่วยชีวิต–ช่วยอาชีพอย่างไร

เมืองมหาวิทยาลัยที่ “จับต้องได้” เชียงรายในสายตานักลงทุนและนักวิจัยต่างชาติ

ด้วยสนามบินนานาชาติและความพร้อมของเมือง (โรงแรม ศูนย์ประชุม โครงข่ายการเดินทาง) การประกาศอันดับ THE ปีนี้เป็น “สัญญาณเชิญชวน” อย่างไม่เป็นทางการสำหรับ บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพ–อาหาร–ท่องเที่ยวคุณภาพ–ดิจิทัลคอนเทนต์ ที่มองหา “ฐานวิจัย–ทดลองตลาด–ทดสอบผลิตภัณฑ์” ในเมืองที่ค่าใช้จ่ายเหมาะสมและมีบุคลากรพร้อม เชียงราย–มฟล. จึงมีโอกาสก่อรูปเป็น เขตนวัตกรรมระดับภูมิภาค ที่อิงศาสตร์สุขภาพและความยั่งยืนได้จริง

จากคะแนนบนกระดาษ…สู่การเปลี่ยนชีวิตผู้คนบนภูเขา

ท้ายที่สุด การได้ “ดับเบิลแชมป์ไทย” ของ มฟล. ไม่ใช่เพียงกล่องเช็คในเอกสารรับรองคุณภาพ หากคือ จุดเริ่มต้นของการใช้มหาวิทยาลัย “ขับเคลื่อนเมือง”—เมื่อห้องทดลองเชื่อมกับไร่กาแฟ–ไร่ชา–ชุมชนบนดอย งานประชุมวิชาการนานาชาติเดินทางมาที่ชายแดน และนักศึกษาไทย–ต่างชาติร่วมกันสร้างนวัตกรรมเล็กๆ ทุกวัน เมืองมหาวิทยาลัยบนสันเขาแห่งนี้จะค่อยๆ สะสม “ทุนความเชื่อมั่น” จนกลายเป็น ศูนย์กลางวิชาการระดับสากลของภาคเหนือ อย่างสมบูรณ์

ปีนี้ มฟล. ได้พิสูจน์ว่าคะแนนวิจัยและความเป็นนานาชาติ “แปล” เป็นความหมายที่จับต้องได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการทำให้ความสำเร็จนี้ สถิต อยู่ในระบบ—ไม่ใช่เพียง สถิติ ในรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แก้วิกฤตแม่น้ำกก รัฐ-วิชาการ-ประชาชน ผนึกกำลังหาแหล่งน้ำสำรองและหยุดมลพิษ

ปฏิบัติการลุ่มน้ำกก” รัฐ–ประชาชน–วิชาการ ร่วมคลี่ปมมลพิษข้ามพรมแดน รองนายกฯ สุชาติ เปิดเวทีรับฟัง–สั่งเร่งตรวจน้ำ–หาแหล่งน้ำสำรอง เดินเกมบูรณาการ “ข้อมูล–ความเชื่อมั่น–การทูตน้ำ”

เชียงราย/เชียงใหม่, 9 ตุลาคม 2568นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก่อนเปลี่ยนเป็นอากาศยานปีกหมุนขึ้นสำรวจแนวลำน้ำกกต่อเนื่อง จากเชียงใหม่ถึงเชียงราย โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารในสังกัดร่วมภารกิจ และได้รับการต้อนรับ รายงานสถานการณ์จาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่–เชียงราย ตลอดจนหน่วยงานทรัพยากรน้ำ สาธารณสุข และปกครองท้องถิ่น

“สิ่งที่มารับฟังในวันนี้คือ ความตั้งใจจริง ของรัฐบาล เราจะเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม”—นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ำต่อหน้าชาวบ้านและผู้นำชุมชนที่บ้านท่าตอน

น้ำ–ดิน–อาหาร–วิถีชีวิต ใต้เงามลพิษข้ามพรมแดน

ปมปัญหาที่ซับซ้อนเริ่มจาก ข้อกังวลเรื่องสารหนูและโลหะหนัก ในแม่น้ำกก–สาขา (รวก–สาย) ที่ไหลลงโขง สะท้อนผ่านความไม่มั่นใจของชุมชนต่อการ อุปโภค–บริโภค และผลกระทบ เศรษฐกิจท้องถิ่น–การท่องเที่ยว นานเดือน จนเกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐ “เร่ง ตรงจุด โปร่งใส” โดยเฉพาะการตรวจวัดที่ “เร็วถึงพื้นที่” ไม่ต้องส่งตัวอย่างเข้าเมืองหลวงให้เสียเวลา

ด้านข้อมูลเชิงสุขภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่าจากการเฝ้าระวังช่วงที่ผ่านมา ค่าคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภค (ประปาผิวดิน–ภูเขา–บาดาล–บ่อน้ำตื้น) รวมทั้งการตรวจ ค่าสารหนูในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง อยู่ในเกณฑ์ ไม่เกินมาตรฐาน เช่นเดียวกับผลตรวจ สารหนู–ตะกั่ว–ปรอท ในพืชผักและปลาในลุ่มน้ำ (ปริมาณ ไม่เกินค่ามาตรฐาน) ขณะ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย ยืนยันว่าการบริโภคปลาในแม่น้ำ “ทานได้ไม่เป็นอันตราย” ในเงื่อนไขที่พบโดยทั่วไปและร่างกายขับออกได้ตามธรรมชาติ

แต่ ผลตรวจ “ไม่เกินมาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า ความเชื่อมั่น” จะกลับมาในทันที—ตัวแทนชาวบ้านสะท้อน ราคาพืชผลตกต่ำ–นักท่องเที่ยวชะลอ–ธุรกิจย่อยต้องควักเงินสำรอง ขณะข้อเสนอบางแนวทางโครงสร้าง (เช่น ฝายดักตะกอน) ยังก่อคำถาม “จะซ้ำเติมระบบนิเวศหรือไม่” และ “จะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นหนูทดลองหรือเปล่า”

เวทีเดียว หลายเสียง 10 ข้อเสนอประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ

จุดแข็งของวันลงพื้นที่คือ “การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้พูด” ในเวทีเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม (ฝ่ายค้าน) ร่วมภารกิจตามคำเชิญของรองนายกฯ พร้อมยื่น 10 ข้อเสนอ ตั้งแต่การ จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ ทดแทนแม่น้ำกก–รวก–สาย–โขง สำหรับเมืองหลักของเชียงราย (อ.เมือง–เวียงชัย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) การ จัดหาแหล่งน้ำใหม่/ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำ การ ตรวจคุณภาพดิน–ผลผลิต ในลุ่มน้ำกก (พื้นที่ลุ่ม 12,000 ไร่ ใน ต.ท่าตอน) และ ข้าวนาปีมากกว่า 100,000 ไร่ ในเขตชลประทาน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สาระสำคัญยังรวมถึงการตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย–เชียงใหม่ เพื่อให้การเฝ้าระวังใน น้ำ–ตะกอน–ดิน–ผลผลิตเกษตร–ปลา–สัตว์น้ำ–มนุษย์ ทำได้ ใกล้–เร็ว–ต้นทุนต่ำ พ่วง “กลไกข้ามแดน” เช่น ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่เชื่อมโยงต้นเหตุ, ตั้ง คณะทำงานร่วม รัฐ–วิชาการ–ประชาชน เพื่อเฝ้าระวัง เยียวยาฟื้นฟูลุ่มน้ำ และการเปิดเวที การทูตน้ำ กับเมียนมา–จีน รวมถึงยกประเด็นสู่กรอบ GMS/ACMECS และเวทีโลกอย่าง COP (UNFCCC) เพื่อกดดันเชิงนโยบาย หยุดต้นตอมลพิษข้ามพรมแดน อย่างยั่งยืน

“เราเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารัฐบาลเชิญเพื่อประโยชน์ประชาชน เรายินดีไป และย้ำ 10 ข้อข้อเสนอเพื่อคืนความปลอดภัยน้ำ–ดิน–อาหารให้พี่น้อง”—นายกัณวีร์ สืบแสง

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้เฉพาะพื้นที่เกษตร ~130,000 ไร่ ที่กำลังออกผลผลิต ต้องตรวจโลหะหนักเร่งด่วน ขณะที่ ภาคประชาสังคม สะท้อนภาพเหมืองฝั่งต้นน้ำในรัฐฉานที่ “มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า” ใกล้ชายแดนไทย—ตอกย้ำว่าทางออกจำเป็นต้อง คิดเชื่อมแดน–เชื่อมสถาบัน–เชื่อมข้อมูล” ไม่ใช่แก้เฉพาะหน้าฝั่งไทยเท่านั้น

คำตอบจากรัฐ เร่งตรวจ–เร่งน้ำ–เร่งข้อมูล และ “ไม่ยึดติดฝ่าย”

ต่อหน้าข้อเสนอและเสียงสะท้อน นายสุชาติ ขีดเส้น 3 งานเร่งด่วนที่ กระทรวง ทส. ทำได้ทันที

  1. งานข้อมูล–คุณภาพน้ำ มอบหมาย กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตั้ง ชุดตรวจประจำจุด ในพื้นที่ให้ผลตรวจ “รวดเร็วและสื่อสารได้” ลดเวลารอจากการส่งเข้ากรุงเทพฯ และให้ผลระดับที่ประชาชน “อ่านเข้าใจได้”
  2. งานน้ำเร่งด่วน ให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.) สำรวจ–ขุดแหล่งน้ำบาดาลฉุกเฉิน และให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.) ประสาน การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) หา แหล่งน้ำดิบสำรอง เพื่อกระบวนการผลิตน้ำประปาที่มีต้นทุน–สารเคมีต่ำลง ตอบโจทย์ “ปลอดภัย–เพียงพอ–ยืดหยุ่น”
  3. งานมีส่วนร่วม–โครงสร้าง กรณีโครงการ ฝายดักตะกอน ยืนยันต้องผ่าน เวทีรับฟัง/ประชาพิจารณ์ และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน “อาจสร้าง–ไม่สร้าง–หรือปรับวิธีแก้” ก็ได้—ไม่ใช้ชาวบ้านเป็นหนูทดลอง

“เราไม่ยึดติดว่าใครฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนที่เก่งกว่าเรายังมี—เชิญมาให้ความรู้ แล้วเอาไปใช้เพื่อประชาชน” — สุชาติ ชมกลิ่น เน้นวัฒนธรรมการทำงาน “ไร้เส้นแบ่ง” ระหว่างรัฐ–ฝ่ายค้าน–เอ็นจีโอ–นักวิชาการ

ขณะเดียวกัน รองนายกฯ ระบุได้พูดคุยกับ รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อบูรณาการภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าหากประชาชน ไม่ต้องการฝาย” เจ้าหน้าที่รัฐก็ ทำไม่ได้” เพราะคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด

บ่ายเชียงราย กำลังใจแนวหน้า–ตั้งหลัก PM2.5 ก่อนฤดูไฟป่า

จากแม่อายสู่เมืองเชียงราย บ่ายวันเดียวกัน นายสุชาติ เดินทางไป ศูนย์ฝึกอบรมที่ 4 (เชียงราย) มอบเสบียง–ถุงยังชีพให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ กรมป่าไม้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ “แนวหน้าดูแลผืนป่า” พร้อมเน้นการทำงานเชิงบูรณาการ อนุรักษ์–ฟื้นฟู–ใช้ประโยชน์อย่างสมดุล และการเตรียม แผนรับมือไฟป่า–หมอกควัน–PM2.5 ที่จะวนกลับมาในฤดูแล้ง

ภาพการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ “เสือไฟ–ชุดควบคุมไฟป่า–อนุรักษ์สัตว์ป่า” ไม่ได้เป็นเพียงพิธี หากเชื่อมกับ บริบทคุณภาพอากาศ ที่ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญเป็นประจำ และเชื่อมกับ บริบทคุณภาพน้ำ ที่กำลังแก้ไข—เพราะท้ายที่สุด น้ำ–ดิน–อากาศ–ป่า คือระบบเดียวกัน

ตัวเลขสำคัญ เหตุผลที่ “เร็ว–ชัด–ร่วม” จำเป็น

  • 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำกก–รวก–โขง (ฝั่งเชียงใหม่–เชียงราย) ที่ต้องปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน–แหล่งน้ำใหม่
  • 12,000 ไร่ (ที่ราบลุ่มน้ำกก ต.ท่าตอน) และ >100,000 ไร่ (ข้าวนาปีในเขตชลประทานลุ่มน้ำกก–สาย–รวก) ที่ภาควิชาการเสนอให้ตรวจโลหะหนักก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อ ความปลอดภัยของผู้บริโภค–ความมั่นใจของตลาด
  • การตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักระดับจังหวัด จะลด “ค่าใช้จ่าย–เวลา–ระยะทาง” เมื่อเทียบกับการส่งตรวจในกรุงเทพฯ ทำให้ ข้อมูลทันการสื่อสารสาธารณะ
  • งาน แหล่งน้ำดิบสำรอง/บาดาลฉุกเฉิน ลดการพึ่งน้ำผิวดินช่วง “สภาวะเสี่ยง” และลด ต้นทุนสารเคมี ในกระบวนการทำประปา
  • มาตรการ การทูตน้ำ และ การค้าระหว่างประเทศ (เช่น หยุดนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่โยงแหล่งเหมืองเสี่ยง) ทำให้ การแก้ต้นเหตุ เป็นไปได้จริงในระยะกลาง–ยาว

บทสนทนาที่เริ่มแล้ว จากฝั่งฟ้าถึงฝั่งน้ำ

ช่วงท้ายวัน นายสุชาติ เข้าร่วมประชุมที่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย กับผู้ว่าฯ เครือข่ายภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่า คพ. จะเป็น “แม่งานตรวจน้ำ” เพื่อให้ผลตรวจ เร็วและสม่ำเสมอ ส่วนงานประมง–ความปลอดภัยอาหาร ให้ สาธารณสุข ช่วยสื่อสาร “เกณฑ์–บริบท” อย่างเข้าใจง่ายและต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากพื้นที่—ถนนกัดเซาะจากน้ำท่วม, ครัวเรือนต้องจัดหาน้ำเอง, พืชผล–การท่องเที่ยวสะดุด—ล้วนถูก จด–จำ–จับคู่หน่วย เพื่อให้การเยียวยา–กอบกู้ความเชื่อมั่นเดินคู่กับการเฝ้าระวังเชิงระบบ และการวาง แผนน้ำดิบระยะยาว (เช่น แนวทางปรับไปใช้แหล่งน้ำอื่นของ กปภ. ในบางจุด พร้อมกรอบก่อสร้างที่หน่วยงานแจ้งไทม์ไลน์ของตน)

“ปัญหาแม่น้ำกกเกี่ยวข้องความมั่นคงมนุษย์ เราต้องสู้เพื่อประชาชน ด้วยข้อมูล–ความร่วมมือ–และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา”—สารสำคัญที่รองนายกฯ ทิ้งไว้

เส้นทาง “สามขาความเชื่อมั่น” น้ำปลอดภัย–ข้อมูลโปร่งใส–ทูตน้ำเชิงรุก

  1. ความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ (Operational Safety) การตั้ง “จุดตรวจถี่–ผลเร็ว–อธิบายได้” ของ คพ. คือกุญแจเรียกความเชื่อมั่นกลับมา งานบาดาลฉุกเฉิน–แหล่งน้ำสำรองเป็น กันชนความเสี่ยง ให้ระบบประปาเดินได้แม้ในภาวะไม่แน่นอน
  2. ความโปร่งใสเชิงสื่อสาร (Risk Communication) ผล “ไม่เกินมาตรฐาน” ต้องมาคู่ บริบท–คำอธิบาย–คู่มือใช้ชีวิต (เช่น แนวทางบริโภคปลา, การล้าง–ปรุง, การคัดเลือกแหล่งน้ำในครัวเรือน) และ แดชบอร์ดสาธารณะ ที่อัปเดตรายวัน/รายสัปดาห์
  3. การทูตน้ำ–เศรษฐกิจ (Transboundary Governance) การยกระดับประเด็นสู่ GMS/ACMECS/COP และกลไกการค้า (หยุดนำเข้าแร่จากเหมืองเสี่ยง) คือ “แรงส่งต้นน้ำ” ที่ไทยต้องขับเคลื่อนคู่การแก้ปลายน้ำ เพื่อไม่ให้ “ลุ่มน้ำไทย” กลายเป็นผู้รับภาระฝ่ายเดียว

ลำน้ำเดียวกัน–ผลลัพธ์เดียวกัน

ภาพเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามลำน้ำกกในเช้าวันนี้ เป็นทั้ง สัญลักษณ์ และ สัญญา ว่า “ลำน้ำเดียวกัน” ต้องได้ ผลลัพธ์เดียวกัน — น้ำที่ปลอดภัย อาหารที่ไว้วางใจได้ เศรษฐกิจชุมชนที่ฟื้นตัว และการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจนบนฐานข้อมูล รัฐ–ฝ่ายค้าน–นักวิชาการ–เอ็นจีโอ–ชุมชนต่างเห็นพ้อง “สู้ร่วมกันได้” หาก เป้าหมายคือประชาชน และ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ / จังหวัดเชียงราย และศาลากลางจังหวัด
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 / หน่วยงานปกครองท้องถิ่น
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย กระทรวงสาธารณสุข
  • ภาคประชาสังคมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–รวก–สาย และผู้แทนชุมชน
  • นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

STRONG ต้านทุจริตฯ เปิดข้อมูลเชิงลึก การปั่นยอดนักเรียนเพื่อล็อกสเปกครู

ปั่นยอด–ขายตำแหน่ง” เขย่าระบบครูไทย เปิดข้อมูลเชิงลึกจากเครือข่าย STRONG ต้านทุจริตฯ พร้อมตรวจสภาพจริงโรงเรียนเล็กภาระตกสู่ชุมชน

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 – กลางเสียงเรียกร้องให้ “ปฏิรูปการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ” ปัญหาอีกด้านที่เงียบและฝังลึก “การทุจริตอัตรากำลังครู” ถูกผลักขึ้นสู่หน้าสังคมอีกครั้ง เมื่อชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย เครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยสัญญาณเตือนเรื่อง การปั่นยอดนักเรียนเพื่อดันอัตราครู จนนำไปสู่ การล็อกสเปกและซื้อขายตำแหน่ง ในบางพื้นที่ของประเทศ ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากกลับต้องดิ้นรนหาเงินชุมชนมาจ้างครูอัตราจ้าง เพื่อให้ “ชั่วโมงเรียนยังเดินต่อ” อย่างไม่สะดุด

ข้อมูลที่เครือข่าย STRONG นำเสนอ ระบุ กระบวนการเป็นระบบ ตั้งแต่การย้ายรายชื่อนักเรียนเข้า–ออกทะเบียนในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้ ตัวเลขถึงเกณฑ์” ที่ใช้ประกอบการจัดสรรอัตรากำลัง ไปจนถึง การกำหนดวิชาเอกตรงกับผู้ต้องการย้ายเข้า ซึ่ง “พร้อมจ่าย” เพื่อได้ทำงานในโรงเรียนทำเลดี ภาระสุดท้ายคือ ทรัพยากรถูกดูดไปกองรวม ขณะที่โรงเรียนเล็กที่มีนักเรียนจริง “ไม่ถึงเกณฑ์” กลับ ขาดครูในชั้นเรียน และต้อง ทอดผ้าป่าจ้างครู ด้วยเงินของชุมชนเอง

ภาพแรกของเรื่อง โรงเรียนเล็กที่เงียบเกินไป

“หากไม่จ้างครูอัตราจ้างเพิ่มสองคนเด็กชั้น ป.2 และ ป.5 จะไม่มีครูประจำชั้น” นี่คือเสียงสะท้อนจากครูโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในภาคเหนือที่ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจ ต่อให้โรงเรียนนี้มีนักเรียนอยู่ราว ร้อยกว่าคน จริง แต่ก็ “ไม่ถึงเกณฑ์” ที่ระบบใช้นับเพื่อจัดสรรอัตราครูเพิ่ม ทว่าห่างออกไปไม่กี่อำเภอ โรงเรียนบางแห่งกลับมี จำนวนครูมากพอ โดยมีข้อสงสัยว่าตัวเลขนักเรียนที่ใช้ประกอบการขออัตรากำลัง “สูงผิดปกติในบางช่วงเวลา”

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจุด หากนำไปเทียบกับโครงสร้างการศึกษาของไทยที่มี โรงเรียนขนาดเล็ก” อยู่เป็นจำนวนมากมานานนับทศวรรษ งานวิจัยและรายงานสาธารณะหลายชิ้นชี้ตรงกันว่า โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า ~120 คน (เกณฑ์ที่มักถูกใช้เป็นหมุดหมายการบริหาร) ยังคงเป็นโจทย์เชิงโครงสร้างของระบบ เพราะ ต้นทุนต่อหัวสูง คุณภาพเสี่ยง และครูไม่ครบชั้น หากการจัดสรรครู “เบี่ยงเบน” ไปอยู่ที่โรงเรียนตัวเลขสวยความเหลื่อมล้ำจึงยิ่งถ่างกว้าง

 จาก “ตัวเลขบนกระดาษ” สู่อัตรากำลังในชั้นเรียน

การจัดสรรอัตรากำลังครูของการศึกษาขั้นพื้นฐานไทยอาศัย เกณฑ์ด้านจำนวนนักเรียนและกรอบอัตรากำลัง เป็นหลัก โดยมีระเบียบและหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เป็นกรอบกำกับ เช่น การโอนย้าย/บรรจุแต่งตั้งตามตำแหน่งว่าง วิชาเอก และโครงสร้างอัตรากำลังของโรงเรียน

จุดเสี่ยง คือ หากมีผู้ไม่สุจริต ปั่นยอดนักเรียนให้ถึงเกณฑ์”  เช่น ดึงนักเรียนย้ายเข้า–ย้ายออกในช่วงสั้น ๆ เพื่อให้ทะลุเส้นจำนวนที่กำหนดโรงเรียนก็อาจ ยื่นขออัตราครูเพิ่มได้ ทั้งที่จำนวนผู้เรียนจริงไม่มั่นคง เมื่ออัตราเปิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การล็อกคุณสมบัติ (เช่น วิชาเอก) ให้ “ตรงผู้สมัคร” ที่ต้องการย้ายเข้า และท้ายที่สุดเกิด แรงจูงใจเชิงคอร์รัปชัน ในรูปแบบ “เรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกตำแหน่ง”

ชมรม STRONG ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชนในโครงการ “STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต” ภายใต้การสนับสนุนของ ป.ป.ช. ระบุว่า ชุดพฤติกรรมดังกล่าว บ่อนทำลายธรรมาภิบาลการศึกษา และควรถูกตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ทั้งเชิงข้อมูลและเชิงกระบวนการ

รอยแตกร้าวเชิงโครงสร้าง เมื่อ “โรงเรียนเล็ก” คือด่านแรกของความเหลื่อมล้ำ

แม้สังคมไทยจะรับรู้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กมาอย่างยาวนาน แต่โจทย์ใหญ่ไม่ใช่แค่จำนวนโรงเรียน หากคือ ความเป็นธรรมเชิงทรัพยากร ครูหนึ่งคนหมายถึงวิชาหลักหนึ่งวิชาที่จะ “เกิดขึ้นจริง” หรือ “หายไป” จากตารางเรียนของเด็กทั้งชั้นเรียน การเบี่ยงเบนของอัตรากำลังจึงส่งผลทันทีต่อ คุณภาพการเรียนรู้ การมีครูครบชั้น ครบวิชา และความต่อเนื่องของการนิเทศ

รายงานเชิงนโยบายหลายฉบับ รวมถึงงานศึกษาของภาควิชาการและหน่วยงานสาธารณะ สะท้อนปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง ว่าโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากมี ชั้นเรียนผสม ครูสอนไม่ตรงเอก และภาระครูสูง จนกระทบคุณภาพผู้เรียน นี่คือบริบทเชิงโครงสร้างที่ทำให้การ “โยกครูตามตัวเลข” ยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ

เชิงปฏิบัติการของขบวนการ (ตามข้อกล่าวอ้างของเครือข่ายภาคประชาชน)

1) ปั่นยอด–ล็อกเกณฑ์
นำชื่อนักเรียน ย้ายเข้า–ย้ายออกชั่วคราว เพื่อให้จำนวนถึงเส้นเกณฑ์ที่ระบบใช้อิงจัดสรรอัตรากำลัง (เช่น ให้เกิน 120–121 คน) เมื่อ ตัวเลขผ่าน” โรงเรียนก็มีเหตุผลทางเอกสารในการของบ/ของอัตราเพิ่ม

2) สร้างอัตราล็อกคุณสมบัติ
เมื่อมีอัตราใหม่ เปิดช่องให้กำหนดคุณสมบัติหรือ “วิชาเอกเฉพาะ” ให้ตรงกับบุคลากรที่ต้องการย้ายเข้า (และพร้อม “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์”) เกิด ห่วงโซ่แรงจูงใจ ตั้งแต่โรงเรียน–เขตพื้นที่–ผู้สมัคร

3) ความสูญเสียปลายน้ำ
อัตรากำลัง กองรวม ในโรงเรียน “ตัวเลขงาม” แต่โรงเรียนเล็กที่ “ตัวเลขจริง” ไม่ถึงเกณฑ์กลับ ขาดครู ต้อง พึ่งเงินชุมชน เช่น การทอดผ้าป่าเพื่อจ้างครูอัตราจ้าง 1–2 ตำแหน่ง เพื่อประคองชั่วโมงเรียนให้ครบถ้วน

ทั้งหมดนี้คือข้อกล่าวอ้างที่ต้องการ “กลไกตรวจสอบ”  ไม่ใช่คำพิพากษา ทีมข่าวจึงตรวจสอบกรอบนโยบายและระบบคุ้มกันความเสี่ยงที่รัฐมีอยู่ในปัจจุบัน

รัฐมีเครื่องมืออะไรและช่องโหว่อยู่ตรงไหน

  1. กรอบอัตรากำลังและการบริหารตำแหน่ง
    สพฐ. และ ก.ค.ศ. มีกติกาการโอน–ย้าย–บรรจุแต่งตั้งที่อิงตำแหน่งว่าง วิชาเอก และกรอบอัตรากำลังของสถานศึกษา เพื่อสมดุลระหว่าง “จำนวนครู” กับ “จำนวนนักเรียน” ในพื้นที่จริง
  2. ข้อมูลดิจิทัลและทะเบียนนักเรียน
    ภาคการศึกษามีระบบฐานข้อมูลโรงเรียนและนักเรียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น EMIS/ระบบทะเบียน) เพื่อบันทึกการย้ายเข้า–ย้ายออก หาก “ข้อมูลไม่สะท้อนความจริง” ก็จะบิดการจัดสรรทั้งห้องเรียน–ครู–งบประมาณลงได้ทั้งแผง (หน่วยงานจึงถูกคาดหวังให้ตรวจจับ “พฤติกรรมผิดปกติของข้อมูล” แบบเรียลไทม์)
  3. เครือข่ายเฝ้าระวังภาคประชาชน
    เครือข่าย STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต ภายใต้การสนับสนุนของ ป.ป.ช. ถูกออกแบบให้เป็น “ตาข่ายพลเมือง” ในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส ยกระดับการมีส่วนร่วม และขยายพื้นที่ปลอดทุจริตในระดับจังหวัด/ชุมชน

ช่องโหว่สำคัญ คือ เมื่อกระบวนการพึ่งพา “ตัวเลข” เป็นหลัก หากไม่มีการ ตรวจยืนยันภาคสนามแบบสุ่ม (spot check) หรือการ เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายฐาน เพื่อจับความผิดปกติ เช่น จำนวนที่เพิ่ม–ลดผิดฤดูกาล สัดส่วนย้ายเข้า–ย้ายออกพุ่งเฉพาะช่วงยื่นอัตรา ระบบก็ยังเสี่ยงถูก “เล่นกับตัวเลข” ได้

เหยื่อที่มองไม่เห็น เด็ก ครู และชุมชน

  • เด็ก – เมื่อครูไม่ครบชั้น/ไม่ตรงเอก เด็กชั้นเล็กต้องเรียนรวมชั้น คุณภาพการเรียนรู้อ่าน–เขียน–คำนวณพื้นฐานอาจถดถอย ความฝันในวิชาที่สนใจ “เกิดไม่เต็มที่”
  • ครู – ครูโรงเรียนเล็กต้องสอนหลายชั้น หลายวิชา แบกภาระธุรการมากขึ้น ขณะที่การย้าย/การพัฒนาอาชีพกลับไม่ชัดเจน
  • ชุมชน – เมื่อรัฐจัดสรรครูไม่พอ โรงเรียนเล็กจำต้อง เปิดระดมทุน เช่น ผ้าป่าการศึกษา ภาระจึงตกแก่ผู้ปกครองฐานรายได้ต่ำ ผู้ที่ “ควรได้รับการช่วยเหลือ” กลับต้องช่วย “อุดช่องว่างรัฐ”

งานศึกษาด้านนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็กสะท้อนซ้ำ ๆ ว่าการจัดสรรทรัพยากรที่ ยุติธรรมและโปร่งใส คือกุญแจสำคัญ หากระบบปล่อยให้ ตัวเลขสวย” ชนะ “ตัวเลขจริง” โรงเรียนเล็กทั้งประเทศจะถูกบีบให้ “อยู่ด้วยแรงศรัทธาของชุมชน” มากกว่ากลไกงบประมาณที่ควรเป็นหน้าที่ของรัฐ

กรอบข้อเสนอเชิงระบบ ปิดประตู “ตัวเลขลวง” เปิดทาง “ครูถึงชั้นเรียน”

1) ทำ Data Integrity ให้เป็นวาระแห่งชาติด้านการศึกษา

  • เชื่อมโยงฐานข้อมูลนักเรียน (EMIS/ทะเบียน) กับ ฐานสิทธิ์สวัสดิการเด็ก/ดิจิทัลไอดี เพื่อยืนยันตัวตน ลดโอกาส “ชื่อซ้ำ/ย้ายหลอก”
  • กำหนด ตัวชี้วัดความผิดปกติของข้อมูล (red flags) เช่น การย้ายเข้า–ย้ายออกพุ่งผิดฤดูกาลใกล้รอบพิจารณาอัตรา, สัดส่วน “เด็กผี” เทียบกับค่าเฉลี่ยจังหวัด
  • มอบหมายทีมสุ่มตรวจภาคสนาม แบบไม่แจ้งล่วงหน้า ในโรงเรียนที่ “สัญญาณผิดปกติ” พร้อมรายงานสาธารณะรายไตรมาส

2) ปรับเกณฑ์จัดสรรอัตรากำลังให้ยืดหยุ่น–สะท้อนบริบทโรงเรียนเล็ก

  • ใช้ สูตรน้ำหนัก (weighting) เฉพาะพื้นที่กันดาร/ห่างไกล เพื่อไม่ให้ “ตกหลุมตัวเลขแข็ง”
  • เพิ่มเครื่องมือ อัตรากำลังหมุนเวียน (ครูสหวิชา/ครูเดินสอนร่วมกลุ่มโรงเรียนเล็ก) เพื่อค้ำประกันชั่วโมงวิชาหลัก
  • ปรับ “โควตาครูผู้ช่วย” ให้ตอบโจทย์ วิชาขาดแคลน ในโรงเรียนเล็กก่อนเมืองใหญ่ (ตามกรอบอัตรากำลังของ สพฐ. และก.ค.ศ.)

3) ทำให้การโอน–ย้าย–บรรจุ “ตรวจสอบได้แบบเปิดเผย”

  • เปิดระบบติดตามตำแหน่งว่าง วิชาเอก ผู้สมัคร และผลการคัดเลือก แบบเรียลไทม์ (Open Recruitment Dashboard)
  • บังคับใช้ มาตรการผลประโยชน์ทับซ้อน และการเปิดเผยทรัพย์สิน/รายได้จากงานนอกของผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการสรรหา
  • วาง บทลงโทษทางวินัย–อาญา ที่ชัดเจนสำหรับการเรียกรับผลประโยชน์ รวมทั้งช่องทางร้องเรียนที่ปกป้องผู้เปิดโปง

4) เสริมบทบาทเครือข่าย STRONG–พลเมืองต้านทุจริต

  • สนับสนุนงบประมาณและสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เป็นความลับ เพื่อการ ติดตามเชิงระบบ
  • จัด ศูนย์รับแจ้งเบาะแสระดับจังหวัด และเวิร์กช็อปความรู้เรื่อง “การอ่านข้อมูลผิดปกติ” ให้กับคณะกรรมการสถานศึกษา–ผู้นำชุมชน

คำถามใหญ่สู่ผู้กำหนดนโยบาย จะปล่อยให้ “ตัวเลขกำหนดชะตาเด็ก” ไปอีกนานเท่าใด

นโยบายด้านครูคือ หัวใจของคุณภาพการเรียนรู้ โรงเรียนเล็กจำนวนมากในภาคเหนือรวมถึงเชียงราย คือโรงเรียน “เส้นเลือดฝอย” ที่ดูแลเด็กในชนบท กระจายอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาและแนวชายแดน ดังนั้น ทุกหนึ่งอัตราที่ เบี่ยงจากข้อเท็จจริง คือหนึ่งชั้นเรียนที่ หายไป และหนึ่งชุมชนที่ ต้องระดมเงิน มาทดแทน

ประเทศไทยมีกรอบระเบียบและสถาบันที่พร้อมตั้งแต่ สพฐ./ก.ค.ศ. ที่กำหนดเกณฑ์อัตรากำลังและการสรรหา ไปจนถึงเครือข่าย STRONG–ป.ป.ช. ที่ทำงานเชิงเฝ้าระวัง หาก “ข้อมูลจริง” ถูกยกให้เป็นศูนย์กลาง และ “การเปิดเผย–ตรวจสอบได้” กลายเป็นวัฒนธรรมประจำ การปั่นยอด–ซื้อขายตำแหน่งจะ ยากขึ้นทุกวัน และ “ครูถึงชั้นเรียน” จะ ง่ายขึ้นทุกปี

มุมมองจากภาคสนาม สิ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาขอ (และไม่อยากขอ)

ผู้บริหารโรงเรียนเล็กหลายแห่งสะท้อนตรงกันว่า สิ่งที่ต้องการไม่ใช่ “เงินบริจาค” หากคือ ครูที่เพียงพอและตรงวิชา” พร้อมระบบสนับสนุนที่ทำให้ครูอยู่ได้มีโอกาสพัฒนาและมี ศักดิ์ศรีวิชาชีพ ไม่แพ้เมืองใหญ่ โรงเรียนเล็กไม่ต้องการ “อภิสิทธิ์” เพียงขอให้ระบบ เห็นเด็กจริง ครูจริง ตารางเรียนจริง มากกว่า “ตัวเลขบนกระดาษ”

 

สัญญาณจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

  • ป.ป.ช. และเครือข่าย STRONG – ย้ำบทบาท “ภาคีพลเมือง” ในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตเชิงระบบ ตั้งแต่ต้นทางนโยบายถึงปลายทางการจัดสรรทรัพยากรในโรงเรียน
  • สพฐ./ก.ค.ศ. – มีกรอบกติกาเรื่องอัตรากำลัง–วิชาเอก–การย้าย–การบรรจุที่ชัดเจน และถูกคาดหวังให้ ยกระดับการเปิดเผยข้อมูล พร้อม เพิ่มกลไกสุ่มตรวจภาคสนาม และ audit ข้อมูลดิจิทัล ร่วมกับพื้นที่
  • งานนโยบายด้านโรงเรียนขนาดเล็ก – สะท้อนความจำเป็นของการจัดสรรทรัพยากรแบบยืดหยุ่น ช่วย “ค้ำประกัน” ชั่วโมงเรียนในวิชาหลักสำหรับเด็กชนบท

ทวงคืนความเป็นธรรมจาก “ตัวเลขลวง” สู่ “ครูในชั้นเรียน”

เรื่องเล่านี้เริ่มจากโรงเรียนเล็กที่ต้องทอดผ้าป่าจ้างครู และจบลงที่คำถามใหญ่ของระบบ เราจะปล่อยให้ ข้อมูลที่บิด” ชี้นำการจัดสรรอนาคตของเด็กไทยอีกนานเท่าใด

หากประเทศไทยต้องการ “การศึกษาที่เท่าเทียม” การปิดช่องทุจริตในกระบวนการ จัดสรรอัตรากำลังครู คือ เงื่อนไขจำเป็น ความจริงเรื่อง “ปั่นยอด–ขายตำแหน่ง” ที่เครือข่าย STRONG นำขึ้นสาธารณะ ไม่ได้มีไว้เพื่อกล่าวหาใครรายบุคคล หากเพื่อ ยกธงแดง ให้สังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงมือแก้เชิงระบบ ตั้งแต่การทำความสะอาดข้อมูล ไปจนถึงการเปิดเผย–ตรวจสอบได้ และการลงโทษผู้กระทำผิด

เด็กในโรงเรียนเล็ก คือผู้รับผลลัพธ์โดยตรงของนโยบาย ถ้ารัฐ วางครูให้ถูกที่ถูกชั้น บนฐานข้อมูลจริง–โปร่งใส ความเหลื่อมล้ำก็ลดลงทันที หากปล่อยให้ “ตัวเลขสวย” นำทางต่อไป เราอาจกำลัง “ซื้อ” ความเงียบชั่วคราว ด้วย “อนาคตของทั้งรุ่น”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปิดดีลการเมืองใหม่! “อนุทิน” นายกฯ คนที่ 32 ด้วยเสียงสนับสนุน 311 เสียง

อนุทิน ชาญวีรกูล” คว้าเก้าอี้นายกฯ คนที่ 32 ด้วย 311 เสียง—ดีลการเมืองใหม่เปิดทางแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาในกรอบเวลาเร่งด่วน

บทวิเคราะห์เบื้องต้น

กรุงเทพฯ , 5 ก.ย. 2568 –  การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยในวันนี้สะท้อนจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างทางการเมืองอย่างชัดเจน 1) ตัวเลข 311 เสียง บ่งชี้การรวมตัวของหลายพรรคที่ข้ามสมการแบ่งขั้วเดิม และเปิด “พื้นที่ปฏิบัติการ” ให้รัฐบาลชุดใหม่เดินตามเงื่อนไขทางการเมืองเฉพาะกิจ 2) เงื่อนไขจากพรรคประชาชนว่าด้วยกรอบเวลาเพื่อยุบสภาและเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้วาระหลักของรัฐบาลกลายเป็น “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเชิงสถาบัน” มากกว่ารัฐบาลนโยบายแบบวาระยาว 3) คะแนนเสียงข้างมากที่ชัดเจนช่วยคลี่คลายสุญญากาศการเมืองหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ก็วางรัฐบาลไว้บนสนามที่ต้องบริหาร “เวลา ความคาดหวัง และความไว้วางใจ” พร้อมกัน โดยมีเดดไลน์ทางการเมืองเป็นตัวกำกับผลลัพธ์สุดท้ายของประเทศใน 4–6 เดือนข้างหน้า (ตามเงื่อนไขที่ถูกสื่อรายงานอย่างกว้างขวาง)

ฉากเปิดในสภาเลื่อนวาระ-ปูทางลงมติประวัติศาสตร์

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษเริ่มเวลาเช้า โดยวาระสำคัญคือการเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 หลังเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่างลงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 29 ส.ค. 2568 ที่ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พ้นตำแหน่ง บรรยากาศในห้องประชุมเริ่มตึงตั้งแต่ญัตติ “เลื่อนวาระโหวตนายกรัฐมนตรีขึ้นมาพิจารณาก่อน” ถูกหยิบยก ซึ่งที่ประชุมลงมติ “เห็นชอบ” 313 ต่อ 142 เสียง ปูทางสู่การลงคะแนนชี้ขาดช่วงบ่าย สะท้อนฉันทามติว่าประเทศต้องมีรัฐบาลใหม่โดยเร็วเพื่อลดความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ

คู่ชิงผู้นำ “อนุทิน” ปะทะ “ชัยเกษม” และแรงกดดันด้านจริยธรรม-ความเหมาะสม

เมื่อเข้าสู่วาระเสนอชื่อ นายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคเพื่อไทยเสนอ “นายชัยเกษม นิติสิริ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นคู่ชิง การอภิปรายคุณสมบัติและความเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการย้ำประเด็นมาตรฐานจริยธรรม ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการนำพาประเทศฝ่าความผันผวน ทั้งในสภาและพื้นที่สื่อสาธารณะ สะท้อนเดิมพันทางความชอบธรรมที่สูงเป็นพิเศษต่อผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ในสถานการณ์เปราะบางนี้

สัญญาทางการเมืองรูปแบบใหม่ เงื่อนไขของ “พรรคประชาชน”

จุดหักเหสำคัญอยู่ที่บทบาท “พรรคประชาชน” ซึ่งประกาศสนับสนุน “อนุทิน” ด้วยกรอบเงื่อนไขเพื่อเร่งแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาภายในกรอบเวลาที่กำหนด โดยสาระสำคัญคือการผลักดันกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่าน “สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง” และยืนยันบทบาทฝ่ายค้านต่อไปเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นดีลทางการเมืองที่ “จำกัดวาระและภารกิจ” ของรัฐบาลอย่างชัดเจน และสะท้อนยุทธศาสตร์ “โหวตเพื่อยุบสภา” ซึ่งสื่อทั้งในและต่างประเทศจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะต้นแบบการใช้เสียงข้างมากเพื่อเปิดประตูสู่การปฏิรูปเชิงสถาบัน มากกว่าจะเป็นการตั้งรัฐบาลบริหารแบบเต็มวาระ

ผลลงมติ 311 เสียง—สัญญาณคลี่คลายสุญญากาศและเริ่มนับถอยหลัง

เวลาเย็นของวันเดียวกัน ผลลงมติเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ 311 เสียง เหนือกว่าคะแนน 152 เสียงของ “ชัยเกษม นิติสิริ” อย่างชัดเจน ตัวเลขดังกล่าวเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ และมากกว่าคะแนนขั้นต่ำ 247 เสียงที่ต้องการ ส่งผลให้ประมุขฝ่ายบริหารคนใหม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอน ขณะเดียวกัน ช่องทางสื่อสารของหน่วยงานสาธารณะและสื่อหลักรายงานสอดคล้องกันถึงผลรวมคะแนน รวมถึงการยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยลงคะแนนสนับสนุนทั้งพรรค ยกเว้นหัวหน้าพรรคที่งดออกเสียงตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ถูกเสนอชื่อ

คำกล่าวหลังได้รับเลือก “เวลามีไม่มาก ต้องทำงานให้คุ้มค่าที่สุด”

หลังทราบผล “นายอนุทิน” กล่าวกับสื่อมวลชนถึงความตั้งใจเดินหน้าทำงานทันที พร้อมย้ำว่าจะใช้ทุกวันอย่างคุ้มค่าในกรอบเวลาที่จำกัด และเดินหน้าจัดทำคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ข้อความนี้สอดรับกับสถานะ “รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องบริหารงานคู่ขนานกับการผลักดันวาระเชิงสถาบันให้เป็นรูปธรรม โดยมีเส้นตายทางการเมืองรออยู่ข้างหน้า ทั้งในมิติยุบสภาและการริเริ่มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ตามกลไกที่กฎหมายกำหนด

บริบทแวดล้อม ผลสะเทือนต่อภูมิทัศน์ “ตระกูลการเมือง” และแรงสั่นสะเทือนเชิงสัญลักษณ์

สื่อสากลจำนวนมากเชื่อมโยงผลการลงมติครั้งนี้กับความเปลี่ยนแปลงของ “ภูมิทัศน์อำนาจ” โดยเฉพาะบทบาทของเครือข่ายการเมืองที่เคยกำหนดทิศทางมาตลอดสองทศวรรษ กระแสข่าวการเดินทางออกนอกประเทศของ “นายทักษิณ ชินวัตร” ก่อนหน้าการลงมติไม่นานยิ่งเพิ่มมิติทางสัญลักษณ์ต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว แม้รายละเอียดจะยังต้องติดตาม แต่ก็เป็นฉากหลังที่ทำให้ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องเผชิญกับความคาดหวัง-ข้อกังขา พร้อมกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย

นัยต่อเศรษฐกิจ-การต่างประเทศ เวลาจำกัด งานล้นมือ

แม้รัฐบาลใหม่จะถูกกำหนดภารกิจหลักด้าน “ปฏิรูปเชิงสถาบัน” แต่ภาคเศรษฐกิจและการต่างประเทศไม่อาจรอได้ การท่องเที่ยว การส่งออก และความเชื่อมั่นตลาดทุนต้องการสัญญาณนโยบายที่ต่อเนื่อง ขณะที่ประเด็นความมั่นคงชายแดนและความร่วมมือเศรษฐกิจระดับภูมิภาคยังเป็นโจทย์ท้าทาย หากรัฐบาลสามารถสื่อสาร “แผนงาน 120 วัน” ที่ชัดเจนทั้งด้านปากท้องและโรดแมปการเมือง ควบคู่กลไกตรวจสอบ-ถ่วงดุลที่โปร่งใส จะช่วยลดเบี้ยความเสี่ยงและพยุงความคาดหวังของภาคส่วนต่าง ๆ ในระยะสั้นได้มาก โดยมีจุดตัดสินอยู่ที่ “ความไว้วางใจ” และ “การส่งมอบผลลัพธ์ทันเวลา” ซึ่งตลาดและประชาชนจับตาอย่างเข้มข้น

สถิติและจุดสังเกตสำคัญของวันลงมติ

  • คะแนนเสียงเห็นชอบ “อนุทิน” 311 เสียง มากกว่าเกณฑ์ 247 เสียงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ “ชัยเกษม” ได้ 152 เสียง สร้างระยะห่างชัดเจนต่อฉันทามติในสภา
  • ก่อนหน้านั้น สภาลงมติ “เลื่อนวาระโหวตนายกรัฐมนตรี” ขึ้นมาพิจารณาก่อน 313 ต่อ 142 เสียง ช่วยเร่งขั้นตอนให้ประเทศมีรัฐบาลใหม่ได้ภายในวันเดียวกัน ลดความยืดเยื้อทางการเมืองที่อาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้น
  • ช่องทางสาธารณะของสื่อสาธารณะและสำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลตรงกัน ทั้งจำนวนเสียงและกรอบบริบทของดีลทางการเมืองที่โยงสู่เงื่อนไขยุบสภาและโรดแมปการแก้รัฐธรรมนูญ

กรอบเวลา 4–6 เดือน โจทย์กำกับการเมืองไทยระยะสั้น

การสนับสนุนจากพรรคประชาชนมาพร้อม “เงื่อนไขเวลา” ซึ่งสื่อรายงานอย่างกว้างขวางว่าเกี่ยวข้องกับการยุบสภาหลังแถลงนโยบายภายในกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมการเดินหน้ากระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้กลไก ส.ส.ร. เงื่อนไขดังกล่าวเปลี่ยน “ธรรมชาติของรัฐบาล” ให้เป็นรูปแบบเปลี่ยนผ่านที่มีเส้นตายเชิงนิติบัญญัติชัดเจน นั่นหมายถึงทุกวันนับจากนี้มีต้นทุนโอกาสสูง จึงต้องกำหนด “แผนสั้น-กลาง” ที่วัดผลได้จริง ทั้งด้านการคลายกังวลเศรษฐกิจประชาชนและกรอบขั้นตอนปฏิรูปที่สังคมตรวจสอบได้

ความเสี่ยงและโอกาส บริหารสมดุล 3 มิติ

  1. ความชอบธรรม: รัฐบาลต้องเดินตามกติกาและสื่อสารอย่างโปร่งใส ชี้แจงเหตุผล-ขั้นตอนยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าใจ ลดข้อครหา-ควันหลงทางการเมือง
  2. ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย: แม้เป็นรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน แต่ “ความเดือดร้อนเร่งด่วน” ต้องได้รับการบรรเทา เช่น ค่าครองชีพ แรงกระทบผู้ประกอบการท่องเที่ยว-ส่งออก เพื่อคงความเชื่อมั่นระยะสั้นของเศรษฐกิจมหภาค
  3. การประสานกับฝ่ายค้าน: การยืนยันเป็นฝ่ายค้านของพรรคประชาชนช่วยคงกลไกตรวจสอบ แต่รัฐบาลต้องรักษาช่องทางเจรจาทางเทคนิคในเรื่องกฎหมายลูกและกระบวนการ ส.ส.ร. เพื่อไม่ให้โรดแมปสะดุดจากความขัดแย้งขั้นตอน

จุดคลี่คลายปม ทางออกสู่การเลือกตั้งใหม่ที่ “ชัด-เร็ว-ชอบธรรม”

สัญญาประชาคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่าง “รัฐบาล-สภา-สังคม” ในห้วงเวลานี้คือ การทำให้ “การเปลี่ยนผ่าน” มีเสถียรภาพพอสมควร และไม่ทำให้ประเทศหลุดจากรางปฏิรูปที่สังคมเรียกร้อง หากรัฐบาลสามารถแสดงความคืบหน้าเชิงขั้นตอน เช่น กำหนดกรอบเวลาชัดเจนสำหรับการแถลงนโยบาย การยื่นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และการชี้แจงสาธารณะเรื่อง “วันยุบสภาโดยประมาณ” อย่างโปร่งใส จะช่วยปิดดีเบตเรื่องความไม่จริงใจ และแปความคาดหวังสังคมให้เป็น “การให้โอกาส” ในการตัดสินผลงานตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น

การที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง คือการปิดฉากสุญญากาศการเมืองและเปิดฉาก “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเชิงสถาบัน” ที่มีภารกิจหลักสองประการคือ 1) พยุงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและประคับประคองนโยบายปากท้องในระยะสั้น และ 2) เดินหน้าโรดแมปยุบสภา-แก้รัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขที่สังคมจับตา ด้วยเส้นตายทางการเมืองที่กระชับ ขณะที่ฉากหลังระดับโครงสร้างสะท้อนการปรับสมดุลเครือข่ายอำนาจเดิมอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้าย ดัชนีตัดสินผลลัพธ์ของช่วงเวลา 4–6 เดือนข้างหน้าจะไม่ใช่ “วาทกรรม” หากแต่เป็น “การส่งมอบ” ขั้นตอนที่จับต้องได้และตรวจสอบได้—นั่นคือบทพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและความหวังของสังคมต่อการเมืองที่เดินหน้าได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Reuters, “Thailand’s Anutin Charnvirakul elected PM by parliament” (Bangkok, Sept 5, 2025)
  • Bangkok Post, “Anutin confirmed as Thailand’s new prime minister”
  • Thai PBS,
  • Al Jazeera
  • Thai PBS World, “Making sense of People’s Party’s conditions for Anutin”
  • AP
  • Xinhua, “Thailand’s parliament elects Anutin Charnvirakul as new PM”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News