Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กองร้อยน้ำส้ม” เชียงของ สตรีอาสาผนึกกำลังสู่ชุมชนเข้มแข็งและสันติสุข

อบจ.เชียงราย–มทบ.37 ผนึกกำลัง “กองร้อยน้ำส้ม อ.เชียงของ” ปลุกพลังผู้นำสตรีจากฐานราก สร้างชุมชนเข้มแข็ง–สันติสุข–ยั่งยืน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568เวลา 09.00 น. ค่ายเม็งรายมหาราช บริเวณหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) อำเภอเมืองเชียงราย เสียงต้อนรับและรอยยิ้มของสตรีกว่า 100 คนจากอำเภอเชียงของดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพบทบาทสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย: กิจกรรมส่งเสริมพลังสตรีจิตอาสา ก่อเกิดชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างสันติสุขสู่สังคม” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้มอบหมายภารกิจและกำชับเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน

ตลอดสองวันของการอบรมระหว่าง 6–7 กันยายน 2568 ผู้เข้าร่วม—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำสตรี ชมรมสตรีแม่บ้าน และตัวแทนชุมชนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอชายแดน—จะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายทำงานเชิงอาสาสมัคร โดยมีทีมบุคลากรจากกองสวัสดิการสังคม อบจ.เชียงราย นำโดย นางสาวนิโลบล ชาติเงิน ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ร่วมกับภาคีจาก มทบ.37 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับบริบทพื้นที่และโจทย์จริงที่สตรีเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเทียบที่เปลี่ยนเป็นพลังจริง

จากความสดชื่น–มีชีวิตชีวา สู่ระเบียบวินัย–ความเข้มแข็งของการทำงานเป็นทีม

ผู้จัดเรียกกลุ่มสตรีเชียงของชุดนี้ด้วยนามเรียกที่น่ารักและจำง่าย—กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเปรยที่มีสองมิติในตัวเอง หนึ่งคือ “พลังความสดชื่น” ของสตรีที่เติมความหวังให้ครอบครัวและชุมชนเสมอ สองคือ “ระเบียบวินัยและความเข้มแข็ง” แบบกองร้อยที่สอดประสานกันเพื่อพิชิตเป้าหมายร่วม เมื่อความหมายทั้งสองมาบรรจบ โครงการจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ให้ความรู้แล้วจบ” แต่ตั้งใจ “สร้างแกนกลางผู้นำสตรี” ที่มีทั้งหัวใจอาสาและวินัยของการทำงานสาธารณะ

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมสมาชิกสภา อบจ. ได้เดินทางไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อ มอบเกียรติบัตร ให้ผู้เข้าร่วม และกล่าวให้กำลังใจด้วยสารสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้างของการพัฒนาสตรีในจังหวัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่า

การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี มิใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีเท่านั้น หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมโดยรวม เพราะสตรีมีบทบาทเชื่อมโยงทั้งในฐานะผู้ดูแลครอบครัว ผู้ประกอบอาชีพ และผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่น… เมื่อสตรีมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับไปสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนก้าวหน้า และสังคมที่ยั่งยืน”

สารดังกล่าวคือ “นัทกราฟ” (แก่นเรื่อง) ของโครงการนี้—การยืนยันว่าการลงทุนกับสตรีคือการลงทุนกับสังคมทั้งระบบ

ทำไมต้องเริ่มที่ชายแดน โจทย์จริง–พื้นที่จริง–ผู้เล่นจริง

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชุมชนชายแดนที่ต้องรับมือกับโจทย์หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจฐานรากที่ผูกกับเกษตร–บริการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว การย้ายถิ่นเพื่อทำงาน รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงบริการภาครัฐในบางโซนชนบทห่างไกล เมื่อมองผ่านเลนส์ “เพศภาวะ” ปัญหาเหล่านี้สะเทือนต่อ สตรีและเด็ก ก่อนเสมอ—ทั้งในฐานะแกนกลางครัวเรือน ผู้ดูแล ผู้หารายได้เสริม และผู้เป็นเสาหลักยามเกิดวิกฤต

การฝึกอบรมและรวมเครือข่ายที่เชียงของ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ “จุดกำเนิด” ไม่ใช่ “ปลายเหตุ” เป้าหมายของโครงการชี้ชัดว่าจะ สร้างเวทีให้สตรีได้พัฒนาความรู้–ทักษะ–เครือข่าย แล้วส่งต่อเป็นพลังจิตอาสาที่ขยายไปถึงงานชุมชน เช่น การดูแลผู้เปราะบาง กิจกรรมเยาวชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารสาธารณะในระดับหมู่บ้าน–ตำบล

บทบาท “สองขา” ท้องถิ่น–ทหาร โมเดลบูรณาการเพื่อคนตัวเล็ก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการทำงานแบบ “สองขา” ระหว่าง อบจ.เชียงราย (ท้องถิ่น–สังคม) และ มทบ.37 (ความมั่นคง–ระเบียบวินัย–ทรัพยากรสถานที่) การได้ใช้พื้นที่ฝึกของหน่วยทหารที่มีระบบระเบียบ เครื่องมือพร้อม และบุคลากรด้านการฝึกวินัย นำมาปรับใช้กับ หลักสูตรพลังสตรีจิตอาสา ทำให้รูปแบบกิจกรรมมีทั้งความกระชับ จริงจัง และเป็นมิตรกับผู้เรียน

  • ขาแรก—อบจ.เชียงราย: กำหนดนโยบายและเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องโจทย์ชุมชน ดูแลเนื้อหาด้านสังคมและสวัสดิการ เชื่อมเครือข่ายระดับตำบล–อำเภอ
  • ขาที่สอง—มทบ.37: หนุนทรัพยากรสถานที่และกำลังพล สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีวินัย และต่อเนื่อง เสริมภาพ “ทหารเพื่อประชาชน” ในมิติการพัฒนาสังคม

ผลลัพธ์คือ “สนามฝึกเชิงสังคม” ที่คนตัวเล็กเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เวทีรับฟัง แต่เป็นพื้นที่ ลงมือทำและต่อยอด หลังอบรม

โครงเรื่องการอบรมจากการตื่นรู้สู่การจัดตั้งทีมภาคสนาม

ตลอดสองวันของกิจกรรม (ตามกำหนดการที่ผู้ใช้จัดเตรียม) โครงการย้ำ “สามเสาหลัก” ที่ต่อกันเป็นเรื่องเดียว

  1. ตระหนักรู้บทบาทสตรี – ทำความเข้าใจศักยภาพและอุปสรรคเชิงโครงสร้างของสตรีในครอบครัว–ชุมชน
  2. เสริมสมรรถนะผู้นำจิตอาสา – ฝึกการสื่อสารสาธารณะ การทำงานเป็นทีม การประสานภาคี การจัดกิจกรรมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก–ผู้สูงอายุ
  3. ตั้งทีมปฏิบัติการชุมชน – แตกกลุ่มตั้ง “ทีมงานย่อย” และ “ภารกิจนำร่อง” ที่จะกลับไปทดลองในหมู่บ้าน/เขตเมืองของตนเอง (เช่น ทีมดูแลผู้เปราะบาง ทีมสิ่งแวดล้อม ทีมเยาวชน)

เนื้อหาทั้งหมดถูกยึดโยงกับบริบทเชียงของโดยตรง และมี พิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อยืนยันการเริ่มต้นบทบาทผู้นำสตรีอย่างเป็นทางการ

วาทะที่ชูประเด็น—และเดินหน้าไปข้างหน้า

คำกล่าวของนายก อบจ.เชียงราย ในช่วงบ่าย เป็นเหมือน “รหัสผ่าน” ที่เปิดประตูบทใหม่ของบทบาทสตรีในจังหวัด “สตรีไม่ใช่ผู้รับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ ‘ผู้สร้าง’ นโยบายระดับฐานราก” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกประกาศต่อหน้าแกนนำสตรีและภาคีภาครัฐ–ทหาร ความหมายจึงไปไกลกว่าคำให้กำลังใจ แต่คือ การอนุมัติทางสังคม ให้สตรีออกมายืนแถวหน้าของการเปลี่ยนแปลง

ในมุมปฏิบัติการ โครงการยังส่งสัญญาณชัดว่าการขับเคลื่อนต่อจากนี้ต้องอาศัย ผู้นำหลายชั้น—ตั้งแต่ผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ผู้นำวัยรุ่น ไปจนถึงครูและ อสม. เพื่อเชื่อม “กองร้อยน้ำส้ม” ให้เป็น เครือข่ายสตรีจิตอาสาเชียงของ ที่ทำงานได้ต่อเนื่องทั้งปี

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • วัน–เวลา–สถานที่: เปิดโครงการ 6 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย
  • กรอบเวลาโครงการ: 6–7 กันยายน 2568 (สองวันเต็ม)
  • ผู้เข้าร่วม: กลุ่มสตรีในเขตอำเภอเชียงของ กว่า 100 คน
  • ผู้ร่วมพิธีเปิดและภาคีหลัก: รองนายก อบจ.เชียงราย / ผอ.กองสวัสดิการสังคม อบจ. / พันเอกสิงหนาท โลสุยา เสนาธิการ มทบ.37 / หัวหน้าส่วนราชการ มทบ.37
  • ภารกิจช่วงบ่าย: นายก อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เดินทางพบปะกลุ่มสตรีเชียงของ มอบเกียรติบัตร และกล่าวนโยบาย–วิสัยทัศน์

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าการพัฒนาสตรีได้ก้าวพ้นรูปแบบ “เวทีเชิญวิทยากร–เวทีกล่าวเปิด” ไปสู่ โครงสร้างร่วมรับผิดชอบ ระหว่างท้องถิ่น–ทหาร–ประชาชน ที่ลงมือทำจริง

ทำอย่างไรให้ “กองร้อยน้ำส้ม” เติบโตได้ตลอดปี

เพื่อให้พลังที่จุดติดแล้วเดินหน้าอย่างยั่งยืน ทีมข่าวสรุปข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนกิจกรรมและข้อเท็จจริงหน้างาน ดังนี้

  1. ตั้งศูนย์ประสานงานสตรีจิตอาสา (ระดับอำเภอ) – ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ออกแบบปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส รับปัญหาจริงจากหมู่บ้าน จับคู่ภารกิจกับหน่วยงาน
  2. คลังความรู้ท้องถิ่นออนไลน์ – รวมคู่มือกิจกรรมชุมชน ป้ายความปลอดภัยสำหรับงานสาธารณะ แบบฟอร์มประสานงานราชการ ให้สตรีเข้าถึงง่าย
  3. งบสนับสนุนจุดเล็ก–เร็ว–เห็นผล – มอบทุนย่อย (micro-grant) สำหรับทีมย่อย 3–5 คนที่พร้อมทำภารกิจนำร่อง เช่น พื้นที่ปลอดภัยเด็ก น้ำดื่มงานชุมชน การคัดแยกขยะคืนรายได้
  4. พี่เลี้ยงข้ามภาคส่วน – จับคู่ “พี่เลี้ยง” จาก อบจ./ มทบ.37/ สภาเด็กและเยาวชน/ สาธารณสุข ให้คำปรึกษารายทีมต่อเนื่อง 3–6 เดือน
  5. ตัวชี้วัดที่คนชุมชนกำหนด – ให้ชุมชนร่วมออกแบบตัวชี้วัด เช่น จำนวนกิจกรรมที่เกิดจริง จำนวนเครือข่ายที่ร่วมมือ หรือจำนวนครัวเรือนที่ได้ประโยชน์ โดยไม่เพิ่มภาระเอกสารเกินจำเป็น

ข้อเสนอนี้มุ่งให้ ภารกิจเล็ก” กลายเป็น “อิฐก้อนเล็ก” ที่ร่วมกันก่อกำแพงความเข้มแข็งของชุมชนได้ทั้งปี

เมื่อสตรีลุกขึ้นนำ—ชุมชนก็ไปต่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาชนบทและพื้นที่ชายแดนมักสะดุดเพราะ “ระยะห่าง” ระหว่างนโยบายกับชีวิตจริง โครงการในครั้งนี้เลือกวิธี ลดระยะห่าง ด้วยการดึง ผู้หญิงที่เป็นหัวใจของครอบครัวและชุมชน เข้ามาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” บนเวทีสาธารณะ สนามฝึกที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ ปลอดภัย–เป็นระบบ–มีวินัย ให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเมื่อ อบจ.เชียงราย แสดงเจตจำนงชัดว่าจะ “เปิดทาง–เปิดเวที–เปิดโอกาส” อย่างต่อเนื่อง พลังสตรีก็มี “รางวิ่ง” ที่ไปได้ไกลกว่าครั้งใด

ในทางข่าว ความเคลื่อนไหววันนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพของพิธีเปิดหรือภาพมอบเกียรติบัตร หากคือ การเปิดฉากบทใหม่ของการพัฒนาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ที่ให้สตรีเป็นแกนกลาง ขับเคลื่อนด้วยวินัยแบบกองร้อยและความสดชื่นแบบน้ำส้ม—รวมเป็น “กองร้อยน้ำส้ม” ที่พร้อมทำงานยาวทั้งปีให้เห็นผลในครัวเรือน–หมู่บ้าน–อำเภอ และในท้ายที่สุด สร้าง สันติสุข ที่จับต้องได้บนแผ่นดินเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบต.ทานตะวัน เดินหน้าขุดลอก “แก้มลิงปางควาย” สานต่อแนวพระราชดำริแก้วิกฤตน้ำ

เชียงรายเดินหน้า “แก้มลิงปางควาย” สร้างความมั่นคงทางน้ำและคุณภาพชีวิตชุมชน ก้าวสำคัญของการจัดการน้ำในเชียงราย

เชียงราย – วันที่ 3 กันยายน 2568 องค์การบริหารส่วนตำบลทานตะวัน (อบต.ทานตะวัน) อำเภอพาน ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าโครงการขุดลอก “แก้มลิงปางควาย” บ้านห้วยบง หมู่ที่ 7 ซึ่งเป็นการนำแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการน้ำมาปรับใช้ เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและภัยแล้งในฤดูแล้ง โดยมีนายราเชน ดาสา นายก อบต.ทานตะวัน พร้อมเจ้าหน้าที่กองช่างเข้าร่วมติดตามโครงการ

แนวพระราชดำริแก้มลิง จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ

โครงการนี้ใช้แนวคิด “แก้มลิง” ที่เปรียบเสมือนกระพุ้งแก้มที่กักเก็บอาหาร หลักการคือกักเก็บน้ำส่วนเกินในฤดูฝนและนำมาใช้ในฤดูแล้ง ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบปัญหาวงจรน้ำหลากและน้ำแล้งซ้ำซาก หากดำเนินการสำเร็จจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำสำรองอย่างมีนัยสำคัญและลดความเสียหายต่อพื้นที่เกษตร

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน

การขุดลอกจะเพิ่มความจุน้ำได้หลายหมื่นลูกบาศก์เมตร ตัวอย่างเช่น โครงการแก้มลิงหนองขอนดอก จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถเพิ่มปริมาณน้ำจาก 261,000 ลูกบาศก์เมตร เป็น 397,000 ลูกบาศก์เมตร และส่งน้ำให้พื้นที่เพาะปลูกกว่า 240 ไร่ในฤดูฝน ซึ่งโครงการในอำเภอพานคาดว่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ชาวบ้านจะมีน้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอ เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี และยังอาจสร้างรายได้เสริมจากการประมง

บทเรียนจากโครงการที่เคยล้มเหลว

แม้โครงการจะมีศักยภาพ แต่บทเรียนจากพื้นที่อื่นชี้ให้เห็นว่ามีความเสี่ยงหลายด้าน เช่น

  • ความผิดพลาดทางเทคนิค เช่น คันดินสูงเกินไปหรือติดตั้งท่อรับน้ำไม่เหมาะสม
  • ความไม่โปร่งใส เช่น ไม่ติดป้ายแจ้งงบประมาณและผู้รับเหมา
  • ความขัดแย้งในชุมชน หากไม่มีการสื่อสารที่เพียงพออาจเกิดการประท้วงเหมือนในจังหวัดนครนายก

กลยุทธ์เพื่อความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม

อบต.ทานตะวันควรเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างครบถ้วน พร้อมติดป้ายโครงการในพื้นที่ เพื่อสร้างความไว้วางใจในชุมชน ควรตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลที่มีตัวแทนชาวบ้านและเกษตรกรร่วมด้วย รวมทั้งจัดเวทีประชาคมสม่ำเสมอให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ

การประเมินผลกระทบเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม

การขุดลอกอาจกระทบระบบนิเวศในระยะสั้น แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยการนำดินที่ขุดไปใช้ประโยชน์และฟื้นฟูพื้นที่รอบบึงด้วยการปลูกป่าและปล่อยพันธุ์ปลาเมื่อโครงการเสร็จสิ้น นอกจากนี้ควรวางแผนให้พื้นที่แก้มลิงกลายเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

สถานะปัจจุบันของโครงการ

ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และอยู่ระหว่างการพิจารณา รายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณ ราคากลาง และผู้รับเหมาจะต้องได้รับการเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างจริง

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

เพื่อให้โครงการสำเร็จอย่างยั่งยืน จำเป็นต้อง:

  • เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
  • กำกับดูแลคุณภาพการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด
  • จัดประชุมเวทีชุมชนอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างแผนบำรุงรักษาแหล่งน้ำหลังโครงการเสร็จ เพื่อคงสภาพการกักเก็บน้ำในระยะยาว

โครงการขุดลอกแก้มลิงปางควายไม่เพียงเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้ง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การมีส่วนร่วมของชุมชนและความโปร่งใสในการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ และอาจกลายเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นในเชียงรายดำเนินรอยตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลทานตะวัน (ประกาศประกวดราคา 26 พฤษภาคม 2568)
  • กรมชลประทาน, รายงานโครงการแก้มลิงหนองขอนดอก จ.ร้อยเอ็ด
  • กรมทรัพยากรน้ำ, รายงานสถานการณ์น้ำภาคเหนือ 2567
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.), แผนยุทธศาสตร์การจัดการน้ำ 2566-2570
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย Kick Off พัฒนา “น้ำพุร้อนป่าตึง” ดันสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

อบจ.เชียงราย Kick Off พัฒนา “น้ำพุร้อนป่าตึง” สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมาตรฐาน ยกระดับการท่องเที่ยวเชียงรายสู่เมืองสุขภาพ

เชียงราย,3 กันยายน 2568 –  องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้จัดการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันโครงการพัฒนา “น้ำพุร้อนป่าตึง” ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมาตรฐานระดับจังหวัด การประชุมจัดขึ้น ณ ห้องประชุม อบจ.เชียงราย โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมเจ้าหน้าที่จากกองการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักช่าง อบจ.เชียงรายเข้าร่วม

การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” โดยมุ่งสร้างจุดหมายปลายทางใหม่ที่มีคุณภาพด้านสุขภาพและการพักผ่อน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

สอดคล้องกับนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย

การพัฒนาน้ำพุร้อนป่าตึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ นโยบายเรือธงที่ 5 คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี” ซึ่งเน้นการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวในทุกอำเภอให้มีเอกลักษณ์ สร้างความหลากหลาย และรองรับการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี การดำเนินโครงการนี้จึงเป็นการบูรณาการระหว่างภาครัฐและชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงในเชิงเศรษฐกิจและสังคม

การวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตขึ้นเฉลี่ย 7-8% ต่อปี และมีมูลค่ารวมกว่า 150,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนความต้องการของนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสุขภาพและคุณภาพชีวิต

น้ำพุร้อนป่าตึงเป็นจุดเด่นทางธรรมชาติที่เหมาะสมกับกระแสนี้ เพราะนอกจากจะมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ใช้เพื่อการบำบัดแล้ว ยังสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนารีสอร์ท สปา และโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและชุมชน

อบจ.เชียงรายคาดว่าการพัฒนาครั้งนี้จะสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่

  • การสร้างงานและรายได้: คาดว่าจะเกิดการจ้างงานในพื้นที่กว่า 200 อัตรา ทั้งด้านก่อสร้าง การให้บริการ และธุรกิจชุมชน
  • กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น: รายได้จากนักท่องเที่ยวจะหมุนเวียนเข้าสู่ชุมชน เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจย่อยในตำบลป่าตึง
  • ยกระดับสิ่งแวดล้อม: การปรับภูมิทัศน์ให้ได้มาตรฐานและเป็นมิตรต่อธรรมชาติ จะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและเพิ่มความน่าอยู่ของพื้นที่

การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

ความร่วมมือระหว่างกองการท่องเที่ยวและกีฬา กับสำนักช่าง อบจ.เชียงราย เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ กองการท่องเที่ยวจะกำหนดแนวทางและวางแผนเชิงกลยุทธ์ ขณะที่สำนักช่างจะรับผิดชอบด้านโครงสร้างพื้นฐานและการออกแบบภูมิทัศน์

การทำงานแบบบูรณาการจะช่วยให้โครงการดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน

ความเห็นจากผู้บริหาร

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า

“การพัฒนาน้ำพุร้อนป่าตึงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงสถานที่ แต่เป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้กับคนในพื้นที่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิต เรามุ่งหวังให้น้ำพุร้อนป่าตึงกลายเป็นต้นแบบของแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ยั่งยืนของเชียงราย”

มุมมองต่ออนาคต

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ น้ำพุร้อนป่าตึงจะกลายเป็นจุดหมายสำคัญที่รองรับทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ที่แสวงหาการพักผ่อนเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โดยคาดว่าจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 50,000 คนต่อปี

นอกจากนี้ โครงการยังมีเป้าหมายในการสร้างกิจกรรมชุมชน เช่น ตลาดสุขภาพ การแสดงวัฒนธรรม และกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกาย เพื่อสร้างคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่

การ Kick Off โครงการพัฒนาน้ำพุร้อนป่าตึงของ อบจ.เชียงราย เป็นการก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการยกระดับจังหวัดเชียงรายให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้มาตรฐาน และเป็นการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของประชาชน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • กองการท่องเที่ยวและกีฬา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • สำนักช่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ลงสายลงดิน”: เชียงรายเร่งยกระดับภูมิทัศน์เมือง สู่ Smart City อย่างยั่งยืน

เชียงรายเร่ง “ลงสายลงดิน” ยกเครื่องภูมิทัศน์เมืองสู่ Smart City เป้าหมาย เม.ย. 2569—แต่เส้นทางสู่ความทันสมัยยังติดขัดด้วย “สายเก่า” และความล่าช้าเชิงโครงสร้าง

เชียงราย, 1 กันยายน 2568 — เมืองเชียงรายตื่นอีกครั้งกับคำถามซ้ำเดิมของคนเมือง: เมื่อไรเสาไฟฟ้าและพะเนินพะย่อของสายสื่อสารจะหายไปจากท้องฟ้าเมืองเก่าแก่แห่งนี้เสียที คำตอบเริ่มมีรูปธรรม เมื่อจังหวัดเดินหน้าติดตามความคืบหน้า “โครงการนำสายไฟฟ้า–สายสื่อสารลงใต้ดิน” และวางหมุดเวลาแล้วเสร็จไว้ที่ กลางเดือนเมษายน 2569 เพื่อให้ทันรับฤดูกาลท่องเที่ยวและยกระดับภาพลักษณ์เมืองให้ “สะอาด สวยงาม และอัจฉริยะ” อย่างที่วางวิสัยทัศน์ร่วมกันไว้

การประชุมความคืบหน้าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้แทนหน่วยงานหลักทั้ง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ./PEA) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยย้ำเป้าหมายผูกกับวาระใหญ่ระดับชาติ ทั้งการพลิกโฉมเชียงรายสู่ Smart City และการหนุนบทบาท “เชียงราย–แม่สาย” ใน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ที่รัฐบาลมุ่งผลักดันให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเทศ

ฉากปฏิบัติการเร่งเก็บเสา–ย้ายสาย รับไฮซีซันท่องเที่ยว

ความคืบหน้าที่จับต้องได้เริ่มเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน—บริเวณ ห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมหาราช และพื้นที่โดยรอบดำเนินการลงสายใต้ดินแล้ว ขณะที่แนวถนนยุทธศาสตร์ในเขตเมือง เช่น ถนนธนาลัย–กำแพงเมือง และช่วง จากแยก สภ.เมืองเชียงราย ถึงสถานีขนส่งแห่งที่ 1 กำลังทยอยนำสายลงท่อและรื้อถอนเสาไฟฟ้า เพื่อคลี่คลายภาพจำ “เมืองสายระโยงระยาง” ให้หมดไปตามกรอบเวลาที่วางไว้

“เมื่อโครงการแล้วเสร็จ เมืองจะโล่งตา สะอาด และเป็นระเบียบมากขึ้น” คือสารที่ทีมบริหารท้องถิ่นส่งถึงประชาชนควบคู่กับแผนย่อย ปรับไฟส่องสว่าง–ทำถนน–ทำฟุตปาธใหม่ และตั้ง ศูนย์จัดการอัจฉริยะ เพื่อดูแลระบบเมืองหลังงานโยธาจบครบวงจร เป้าหมายไม่ใช่เพียง “ความสวยงาม” แต่คือการยกระดับ ความปลอดภัย–คุณภาพชีวิต–ศักยภาพเศรษฐกิจเมือง ในแพ็กเกจเดียว

โครงสร้างโครงการ 2 เส้นเรื่อง 2 พื้นที่ งบรวมแตะเกือบ 800 ล้านบาท

ภาพใหญ่ของเชียงรายไม่ได้มีเพียงงานในเขตเทศบาลนคร หากยังมีโครงการคู่ขนานที่ อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นด่านการค้า–ท่องเที่ยวสำคัญติดชายแดนเมียนมา ทั้งสองโครงการมีรูปแบบลงทุนและไทม์ไลน์ต่างกัน แต่ประสงค์ปลายทางเดียวกันคือ “ท้องฟ้าสะอาด เมืองทันสมัย ระบบสื่อสารเสถียร”

  • โครงการเขตเทศบาลนครเชียงราย — งบประมาณภาพรวมที่สื่อท้องถิ่นและเอกสารทางการระบุอยู่ราว 488.76–500 ล้านบาท โดยเป็นความร่วมมือร่วมลงทุน PEA ~55% : เทศบาล ~45% ครอบคลุมเส้นทางนำร่อง 5 เส้น ระยะทางรวมประมาณ 4.65 กม. (เช่น ถ.รัตนาเขต ถ.บรรพปราการ ถ.ธนาลัย ถ.ประสพสุข และแนวเชื่อมโบราณสถาน–จุดสัญลักษณ์เมือง) ก่อนขยายผลสู่โซนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวอื่นต่อเนื่อง
  • โครงการเขตอำเภอแม่สาย — รูปแบบร่วมทุน PEA ~60% : เทศบาลตำบลแม่สาย ~40% ครอบคลุมแนวถนนสายหลักราว 2.8–3 กม. จากด่านพรมแดนสู่โซนพาณิชยกรรม โดยเทศบาลแม่สายยืนยันการเดินเครื่องร่วมกับ PEA และหน่วยงานรัฐตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา

ตัวเลขงบประมาณสะท้อน “ขนาดงาน” และความคาดหวัง: โครงสร้างพื้นฐานใต้ดินราคาแพงกว่าระบบอากาศหลายเท่า แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือ ความปลอดภัย–ความทนทานต่อพายุ–และความพร้อมด้านสื่อสาร สำหรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลและการท่องเที่ยวคุณภาพ

ความล่าช้าเชิงโครงสร้าง และ “มรดกสายเก่า” บนเสาเดียว

แม้เป้าหมายชัด แต่เส้นทางสู่เส้นชัยไม่ได้ราบรื่น โครงการในพื้นที่เมืองเคยสะดุดจนต้อง “คืนงบ” ย้อนไปเมื่อ 2–3 ปีก่อน จากนั้นจึงเริ่มตั้งหลักใหม่ ลงนาม MOU และสัญญาจ้างจริงในช่วงกลางปี 2565 ทำให้ดีเลย์จากแผนเดิมไปกว่า 2 ปี ส่วนแม่สาย แม้เริ่มขุดเจาะตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่สถานะล่าสุดคาดหมายแล้วเสร็จยืดไปถึง เมษายน 2569 หรือช้ากว่าแผนเดิม 4–5 ปี ปัจจัยหลักไม่ใช่ความตั้งใจ หากเป็น “ปมโครงสร้าง” ที่ซ้อนกันหลายชั้น ทั้งการประสานหลายหน่วยงาน งบประมาณ และข้อจำกัดเชิงเทคนิค—โดยเฉพาะ ปัญหาสายสื่อสารค้างเก่า จากผู้ประกอบการหลายค่ายที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ยังพาดคาราวะบนเสาร่วมกับสายใช้งานจริงจนจัดระเบียบลำบาก หน่วยงานกำกับและท้องถิ่นต่างยอมรับว่า “สายที่รกรุงรังจำนวนมาก” เป็นอุปสรรคสำคัญในการย้ายลงดินและรื้อเสาในเฟสสุดท้ายของงาน

ภาพ “สายจำนวนมากบนเสาต้นเดียว” ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะเชียงราย กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน จนเกิดการทบทวน มาตรการจัดระเบียบสายสื่อสาร และแบบแผนการรื้อสายที่เลิกใช้อย่างจริงจังในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา—ทั้งผ่านบทบาทของ กสทช., รัฐบาลท้องถิ่น และความร่วมมือกับผู้ประกอบการเอกชน

นโยบาย–แรงหนุนระดับชาติ “ลงดิน” ไม่ใช่แค่สวย แต่คือยุทธศาสตร์

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ส่งสัญญาณเชิงนโยบายชัด หลายครั้งรัฐมนตรีดีอีเอสลงพื้นที่เชียงรายและแม่สายด้วยตนเอง เพื่อเร่งรัด “จัดระเบียบสาย–นำลงท่อร่วม” ในจุดยุทธศาสตร์ของ NEC–Creative Lanna ผลลัพธ์ที่รัฐมองหาไม่ใช่เพียงวิวเมืองสะอาด หากรวมไปถึง ระบบสื่อสารที่เสถียร รองรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การค้า–การลงทุนชายแดน และท่องเที่ยวระดับสากล โดยโมเดลรายได้ในอนาคตยังสามารถเปิดให้เช่า “ท่อร้อยสาย” ใต้ดินแก่ผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อกระจายต้นทุนและสร้างความคุ้มในการลงทุนระยะยาวด้วย

บนเส้นนโยบายเดียวกัน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ถูกออกแบบให้บูรณาการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกับวัฒนธรรม–การท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ เพื่อยกระดับศักยภาพจังหวัดหัวเมืองเหนืออย่างเชียงรายให้เป็น “แพลตฟอร์ม” เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และชายแดน สัญญาณเหล่านี้ทำให้ “ลงสายลงดิน” ไม่ใช่งานโยธาโดด ๆ แต่คือ ฐานราก Smart City ที่ต้องรีบปักหมุดให้ทันเวลา

ผลกระทบวันนี้–ประโยชน์วันหน้า ตัวเลข–ความรู้สึก–และความคุ้มค่า

วันนี้ งานลงดินหลีกเลี่ยงผลกระทบด้วยการทำงานกลางคืน ปิด–เปิดการจราจรเป็นช่วง ๆ และติดตั้งป้ายเตือนเพื่อความปลอดภัย แต่ไม่ว่าจัดการดีเพียงใด ผลกระทบชั่วคราวต่อผู้ค้าริมทางและการสัญจรย่อมเกิดขึ้น พรุ่งนี้ เมื่อรื้อเสาออกหมด เมืองจะได้ 3 ผลลัพธ์หลัก:

  1. ทัศนียภาพ — “ฟ้าโล่ง–เมืองโล่ง” เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องหลบสาย
  2. ความปลอดภัยและความทนทาน — ลดความเสี่ยงเสาล้ม สายขาด วาตภัย และไฟไหม้จากการลักลอบเกี่ยวสาย
  3. ความพร้อมดิจิทัล — สัญญาณสื่อสารเสถียร รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ร้านค้า–บริการ–อีคอมเมิร์ซ และงานอีเวนต์ไมซ์

กรอบคิด “คุ้ม–ไม่คุ้ม” จึงต้องมองฐานะ “สินทรัพย์สาธารณะระยะยาว” ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่าย ณ ปีงบประมาณเดียว—โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลัก ด่านพรมแดน และย่านท่องเที่ยวที่ค่าประโยชน์แฝง (externalities) สูงกว่าค่าใช้จ่ายงานโยธา

ทำอย่างไรให้ “เม.ย. 69” ไม่ใช่แค่นัดหมายบนกระดาษ

ปลดล็อก “สายเก่า” ให้จริง—ต้องมี มาตรการบังคับใช้ ชัดเจนให้ผู้ประกอบการร่วมรื้อถอนสายเลิกใช้งานในจุดที่จะลงดิน มิฉะนั้นงานจะค้างอยู่ที่เสาและหน้าตู้สื่อสารปลายทางไม่จบสิ้น กรอบร่วมมือรูปแบบ “ท่อร้อยสายร่วม” และอัตราค่าใช้ท่อที่เป็นธรรม จะช่วยให้เอกชนเต็มใจย้ายเร็วขึ้น การสื่อสารสาธารณะให้โปร่งใส—เผย แผนที่เส้นทาง–สถานะก่อสร้าง–กำหนดรื้อเสา แบบรายถนน และแจ้งผลกระทบล่วงหน้า ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างก่อสร้างและเพิ่มความร่วมมือจากภาคธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งมีการวาง มาตรการคุมงานขุดในอนาคต—เมื่อมีท่อใต้ดินมากขึ้น เมืองต้องมีกติกา “ขุดอย่างไรไม่ทำเคเบิลเสียหาย” และศูนย์ข้อมูลสาธารณูปโภคร่วม (one map) สำหรับผู้รับเหมาภาครัฐ–เอกชน เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุเสียหายและงานซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญกับ “ย่านเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว” ก่อน—จัดลำดับความสำคัญ (phasing)ถนนที่ให้ผลกระทบเชิงบวกระดับเมืองสูงสุด แล้วค่อยไล่ขยายไปสายรอง เพื่อสร้าง “ชัยชนะระยะสั้น” (quick wins) และความเชื่อมั่นของสาธารณะ

เสียงสะท้อนจาก “สนามจริง” บทเรียนที่ต้องจำ

บทเรียนจากหลายเมืองชี้ชัดว่าปัญหาสายสื่อสารที่รกรุงรังเกิดจาก การติดตั้งใหม่โดยไม่รื้อของเก่า และ ความเป็นเจ้าของสายกระจัดกระจาย กสทช. และหน่วยงานท้องถิ่นจึงร่วมกันจัดทำแนวทางและปฏิบัติการ “จัดระเบียบสาย” ในหลายจังหวัด พร้อมผลักดันการย้ายลงท่อร่วมตามความพร้อมของถนนและงบประมาณ ยิ่งในเชียงรายที่มีความหมายเชิง เศรษฐกิจชายแดน + ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแก้ปมนี้ให้เด็ดขาดคือ เงื่อนไขความสำเร็จ ที่ต้องทำคู่ขนานกับงานโยธาใต้ดิน

จาก “ฟ้าโล่ง” สู่ “เมืองอัจฉริยะ” ถาวร

เชียงรายกำลังเดินจาก “ภาพจำเสา–สาย” ไปสู่ “ภาพจริงเมืองสะอาด–ปลอดภัย–เชื่อมต่อฉลาด” หากทำได้ตามเป้าหมาย เมษายน 2569 เมืองจะได้ทั้ง ภูมิทัศน์ใหม่, โครงสร้างสื่อสารพร้อมใช้, และ ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว–นักลงทุน ในฐานะจุดหมายระดับภูมิภาคที่พึ่งพาได้ แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้วัดด้วยความเร็วในการขุดเพียงอย่างเดียว—มันวัดด้วย คุณภาพการประสานงาน ความเข้มแข็งของ กติกาเชิงกำกับ ต่อ “สายเก่า” และ ความโปร่งใสในการสื่อสารกับประชาชน ตลอดทาง

เมื่อ “สายบนฟ้า” ลงดิน—สิ่งที่ลอยขึ้นแทนคือ ความหวังของเมือง ที่จะก้าวสู่ Smart City บนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของ NEC อย่างเต็มภาคภูมิ

แผนที่ข้อมูล (สำหรับผู้นำไปใช้ตัดสินใจ–ปฏิบัติการ)

  • ขอบเขตโครงการเมืองเชียงราย: นำร่อง 5 เส้นทาง ระยะรวม ~4.65 กม. สัดส่วนลงทุน PEA ~55% : เทศบาล ~45%—ขยายผลตามย่านเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวสำคัญ (ข้อมูลภาพรวมจากการลงพื้นที่ติดตามและถ้อยคำของ รมว.ดีอีเอส ต่อพื้นที่เชียงราย/แม่สาย)
  • แม่สาย: แนวถนนสายหลักราว 2.8–3 กม. เริ่มกระบวนการร่วมกับ PEA ตั้งแต่ปลายปี 2563—เร่งรัดย้ายสาย–จัดระเบียบ คาดเสร็จ เม.ย. 2569 (ยืนยันจากเทศบาลแม่สายและรายงานสื่อเศรษฐกิจ)
  • นโยบาย–ยุทธศาสตร์: ดีอีเอสผลักดันย้ายสายลงดินในจุดยุทธศาสตร์ NEC–Creative Lanna เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–การลงทุน และใช้ “ท่อร้อยสายร่วม” เป็นกลไกคุ้มทุนระยะยาว
  • ข้อจำกัดที่ต้องจัดการ: สายสื่อสารค้างเก่าจำนวนมาก—ต้องเร่งมาตรการร่วมรื้อถอน–ย้ายลงท่อ และคุมมาตรฐานเดินงานขุดในอนาคต (แนวทางกสทช., ภาครัฐท้องถิ่น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล/ดีอีเอส–สื่อเศรษฐกิจ” ฐานเศรษฐกิจ (มองโครงการในกรอบ NEC–Creative Lanna และบทบาท NT/ผู้ให้บริการสื่อสาร)
  • สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3/กรมประชาสัมพันธ์
  • ThaiPBS / ป.ป.ช.
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โมเดล Co-Learning Space: รมช.ศึกษาฯ ยกระดับห้องสมุดเชียงรายสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต

 “การศึกษาคือโอกาส” รมช.ศึกษาฯ ลงพื้นที่ ย้ำโมเดล “Co-Learning Space” ยกระดับห้องสมุด–ฟื้นฟู สกร. หลังน้ำท่วม สร้างระบบเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เข้าถึงได้จริง

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 – การลงพื้นที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ มีนัยสำคัญเชิงนโยบายอย่างน้อย 3 มิติ ได้แก่ (1) สานต่อกฎหมาย “ส่งเสริมการเรียนรู้” ที่ยกระดับงานการศึกษาตลอดชีวิตจากอดีต กศน. สู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะตลอดชีวิตมีฐานกฎหมายและงบประมาณชัดเจน (2) เร่งแปลง “ห้องสมุดประชาชน” ให้เป็น Co-Learning Space หรือ “พื้นที่เรียนรู้ร่วม” เชื่อมอ่าน-ทำ-อาชีพ ตามแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและเมืองแห่งการเรียนรู้สากล เพื่อยกระดับคุณภาพ (value) แทนการวัดผลด้วยปริมาณผู้ใช้บริการอย่างเดียว และ (3) ฟื้นฟูความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการเรียนรู้หลังภัยพิบัติ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ที่กระทบหลายจังหวัดทางเหนือ รวมถึงเชียงราย ซึ่งสะท้อนโจทย์ “ความยืดหยุ่นของระบบการเรียนรู้ (learning resilience)” ที่ต้องรับมือได้ทั้งยามปกติและยามวิกฤต

เมื่อวางเหตุการณ์ลงบนแผนที่นโยบายระดับประเทศ จะเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบสากลของยูเนสโกเรื่อง “เมืองแห่งการเรียนรู้” (Learning Cities) ที่ผลักดันระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านสถานที่เรียนรู้สาธารณะ เช่น ห้องสมุด ศูนย์ชุมชน และพื้นที่สร้างสรรค์ โดยเน้นคุณค่าเชิงทักษะและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และชุมชนภูเขา—ยิ่งทำให้โมเดล Co-Learning Space เป็นเครื่องมือที่ “ตรงโจทย์พื้นที่” มากกว่านโยบายส่วนกลางเชิงเส้น

ห้องสมุดที่ไม่ใช่แค่ชั้นหนังสือ

ยามบ่ายวันเสาร์ แสงแดดลอดกระจกใสของห้องสมุดประชาชนกลางเมืองเชียงราย โต๊ะยาวถูกจัดเป็นเวิร์กช็อปสาธิตอาหารพื้นถิ่น ด้านข้างเป็นโซนงานฝีมือและมุมสื่อดิจิทัลที่ผู้เรียนเปิดดูคลิปวิธีทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างตั้งใจ เสียงพูดคุยสลับกับเสียงคลิกเมาส์—ภาพที่บอกว่า “ห้องสมุด” ไม่ได้มีบทบาทแค่ที่เก็บหนังสืออีกต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ เดินชมผลงานของผู้เรียนภายใต้การดูแลของ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ระดับอำเภอเมืองเชียงราย ทั้งงานศิลปะ งานฝีมือ และอาหารท้องถิ่นที่ต่อยอดเป็นอาชีพได้จริง ก่อนประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ครู และบุคลากร สกร. โดยเน้นวิสัยทัศน์ให้ห้องสมุดประชาชนพัฒนาไปสู่ “Co-Learning Space”—พื้นที่ที่คนทุกวัยเข้ามาเรียนร่วมกัน แบ่งปันความรู้ ต่อทักษะเป็นอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้ทุกคนที่ได้รับการศึกษาคือคนที่โชคดี และการได้เรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน… การเรียน สกร. คือการสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง และทำให้มีทักษะอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”
— ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ กล่าวระหว่างมอบนโยบาย

จาก “กฎหมายส่งเสริมการเรียนรู้” สู่ สกร. เครื่องยนต์การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการศึกษาตลอดชีวิตไทยคือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ซึ่งยกระดับงานด้านการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยสู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะประชาชนตลอดช่วงชีวิตมีฐานะทางกฎหมาย โครงสร้าง และพันธกิจที่ชัดเจนกว่าเดิม ทั้งในแง่การจัดหลักสูตรยืดหยุ่น การเทียบโอนผลการเรียนรู้ และการเชื่อมต่อการเรียนกับอาชีพในพื้นที่ โดยเอกสารวิชาการและข้อมูลสาธารณะให้ภาพรวมพัฒนาการของกฎหมายฉบับนี้และทิศทางของหน่วยงานใหม่ไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ในวันนี้.

ในระดับพื้นที่ เชียงรายมีหน่วยงาน สกร.จังหวัด-อำเภอ และเครือข่ายห้องสมุดประชาชน/ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนทำงานเชิงรุกอยู่แล้ว เอกสารแนะนำหน่วยงาน สกร.เชียงรายสะท้อนภาพรวมการบริการความรู้และกิจกรรมสาธารณะหลายมิติ—ตั้งแต่มุมอ่านหนังสือ สื่อดิจิทัล เวิร์กช็อปทักษะอาชีพ ไปจนถึงกิจกรรมวัฒนธรรม—ซึ่งเป็นฐานพร้อมต่อยอดสู่ Co-Learning Space เต็มรูปแบบ

ทำไมต้อง “Co-Learning Space” จากแนวคิดสากลสู่การใช้งานจริง

แนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและพื้นที่เรียนรู้ร่วม ไม่ใช่แฟชั่นระยะสั้น แต่คือ “สถาปัตยกรรมการเรียนรู้” ที่สอดคล้องกับกรอบสากลของ UNESCO Institute for Lifelong Learning (UIL) ที่ผลักดันเครือข่าย “เมืองแห่งการเรียนรู้ (Global Network of Learning Cities)” เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ในชุมชนผ่านพื้นที่สาธารณะ—ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม—ให้เป็นฐานพลังทุนมนุษย์และความยืดหยุ่นของเมือง

ด้านการออกแบบเชิงปฏิบัติ หน่วยงานไทยอย่าง TK Park – สถาบันอุทยานการเรียนรู้ ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบห้องสมุดมีชีวิต” ที่พัฒนากรอบคิด Good Library Space และนวัตกรรมบริการอ่าน-คิด-ทำ ให้ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ (creative commons) สำหรับทุกวัย ซึ่งเป็นประสบการณ์โดยตรงที่พื้นที่อย่างเชียงรายสามารถหยิบไปปรับใช้ได้ทันที ทั้งการจัดโซนทำงานร่วม (co-working/co-making) การเชื่อมดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจกรรมเสริมทักษะอาชีพที่ตอบโจทย์ชุมชน.

ความหลากหลาย + ชายแดน + ฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ทั้งชุมชนไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ลาหู่ ฯลฯ งานวิจัยท้องถิ่นสะท้อนภาพ “ความต่างที่อยู่ร่วมกัน” ในหลายอำเภอ เช่น อำเภอเชียงแสนที่พบชุมชนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นทั้งทุนทางวัฒนธรรมและโจทย์ด้านภาษากับสื่อการเรียนรู้ที่ต้องออกแบบให้เข้าถึงจริง.

อีกด้านหนึ่ง เชียงรายได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ในช่วงมรสุมปี 2567 จากอิทธิพลพายุ “ยากิ” และร่องมรสุม ส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ-อีสานเผชิญน้ำหลาก-ดินถล่ม หน่วยงานประสานความร่วมมือภัยพิบัติภูมิภาคอาเซียน (AHA Centre) ระบุสถานการณ์และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบชัดเจน รวมถึงพื้นที่เชียงราย ซึ่งในมิติการศึกษาต้องเร่งฟื้นฟูทั้งสถานที่และระบบบริการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ห้องคลังสื่อ ศูนย์ e-exam) ให้กลับมาพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัยและยืดหยุ่น.

ด้วยภูมิศาสตร์แบบประตูการค้าชายแดนและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โมเดล Co-Learning Space จึงไม่ใช่แค่การ “ทำห้องสวย” แต่คือการวางแพลตฟอร์มบริการความรู้ที่เชื่อม อ่าน–ทำ–อาชีพ–ดิจิทัล ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ตั้งแต่วัยเรียน แรงงานนอกระบบ ไปจนถึงผู้สูงวัยและผู้พิการ

แผนที่สู่การปฏิบัติ 4 กลไกเร่งด่วนที่ “ทำได้เลย”

1) ปรับห้องสมุดเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วม
จัดโซน co-working/co-making พร้อมอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับฝึกอาชีพเบื้องต้น (งานช่างฝีมือ อาหาร แปรรูปสินค้า) และมุมดิจิทัลสื่อการสอน/ให้คำปรึกษาอาชีพออนไลน์ เชื่อมแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตของ TK Park เข้ากับสภาพจริงของห้องสมุดชุมชน—ชั้นหนังสือน้อยลง พื้นที่กิจกรรมมากขึ้น บริการ “ครูพี่เลี้ยง” และอาสาสมัครรู้จริงในทักษะอาชีพ.

2) เปิดหลักสูตรยืดหยุ่น–เทียบโอนผลการเรียนรู้
ใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ 2566 ผลักดันการเทียบโอนทักษะจากงานจริง (RPL: Recognition of Prior Learning) ให้คนทำงานและผู้เรียนกลุ่มเปราะบาง “จบหลักสูตร” ได้เร็วขึ้น และเชื่อมต่อสู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ/ประกาศนียบัตรระยะสั้นที่ตลาดแรงงานต้องการ ลดต้นทุนเวลาและโอกาสที่หลุดจากระบบ.

3) ฟื้นฟู–ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม
เร่งซ่อมแซม/ย้ายจุดเสี่ยงของศูนย์บริการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุดคลังสื่อและศูนย์ e-exam ให้ปลอดภัยรองรับน้ำท่วมซ้ำซาก ออกแบบระบบสำรองไฟ-สำรองข้อมูล-ระบบออนไลน์ให้สลับโหมดได้ทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้การสอบ การเทียบโอน และการเรียนออนไลน์ “ไม่สะดุด” ในภาวะวิกฤต.

4) ปิดช่องว่างดิจิทัล (digital divide)
อาศัยข้อมูลสำรวจไอซีทีครัวเรือนของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เป็นฐานวิเคราะห์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต-อุปกรณ์ เริ่มจากตำบล/อำเภอที่มีอัตราการเข้าถึงต่ำสุด จัด “จุดเชื่อมต่อเรียนรู้ดิจิทัล” และคลินิกทักษะดิจิทัลเบื้องต้นควบคู่กับ Co-Learning Space เพื่อให้ผู้เรียนทุกวัยใช้บริการภาครัฐ/สมัครงาน/เรียนออนไลน์ได้จริง. Royal

ห้องสมุด = เวิร์กช็อปอาชีพ + ศูนย์รวมชุมชน

ผู้เรียนวัยทำงานที่นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาวางสาธิต เล่าว่าเดิม “เข้าห้องสมุด” เพื่อยืมหนังสือ แต่เมื่อมีคลินิกอาชีพและมุมดิจิทัล ก็เริ่มค้นสูตร ทดลองทำสินค้า ถ่ายภาพ-ตัดต่อคลิป สร้างตัวตนบนออนไลน์ และนำความรู้ไปขายจริงในตลาดนัดชุมชน “ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่ทำงานและที่ปรึกษา” ขณะที่ครูอาสา สกร. ย้ำว่าการมีพื้นที่ให้เรียนรู้ร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนหลากวัยช่วยกันเติมเต็ม—คนรุ่นพี่ถ่ายทอดภูมิปัญญา คนรุ่นใหม่เสริมดิจิทัล—เกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ (learning community) ที่ยั่งยืนกว่าชั้นเรียนสั้น ๆ

แม้รายละเอียด “อันดับการใช้งาน” ของห้องสมุดแต่ละจังหวัดอาจต่างกันไปตามเดือนและดัชนีที่ใช้วัด แต่แนวโน้มเชิงนโยบายและต้นแบบบริการของไทย-ต่างประเทศชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ห้องสมุดยุคใหม่ต้องเป็น แพลตฟอร์ม มากกว่าสถานที่—แพลตฟอร์มที่ประชาชนเข้ามา “อ่าน-เรียน-ทำ-เชื่อมงาน” ได้ในจุดเดียว และหากผูกเข้ากับการเทียบโอน/วุฒิบัตรระยะสั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าต่อเวลาและรายได้ของผู้เรียน

เชื่อมระดับพื้นที่กับระดับโลก เมืองแห่งการเรียนรู้คือความยั่งยืน

ยูเนสโกเสนอว่าการเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” จะทำให้เมืองยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจชุมชนหลากหลายขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำ เพราะทุกคนมีช่องทางเติมทักษะตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง—ห้องสมุด โรงเรียน ศูนย์ชุมชน และดิจิทัลทำงานร่วมกันเป็นระบบนิเวศเดียว ในมุมนี้ เชียงรายมีทุนพร้อม ทั้งภาคการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เครือข่ายชุมชนชาติพันธุ์ และเป็นจุดเชื่อมชายแดน หาก Co-Learning Space ขยายจากตัวเมืองสู่ตำบล-หมู่บ้าน พร้อมวัดผลด้วยตัวชี้วัดเชิงมูลค่า (เช่น รายได้ต่อครัวเรือนจากทักษะใหม่ จำนวนผู้เทียบโอนสำเร็จ หรือเวลาเข้าถึงบริการรัฐที่ลดลง) เมืองจะ “เห็นผล” ได้เร็วกว่าการวัดเพียงจำนวนคนเข้าใช้ห้องสมุด

จากคำประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” สู่การเปลี่ยนพื้นที่ให้เรียนรู้ได้จริง

สารสำคัญจากเชียงรายวันนี้คือ การประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” ไม่ได้หยุดอยู่ที่เวทีสัมมนา แต่ถูกวางเป็น พิมพ์เขียวปฏิบัติการ ผ่าน 4 กลไก—แปลงห้องสมุดเป็น Co-Learning Space, เทียบโอนทักษะ-หลักสูตรยืดหยุ่น, ฟื้นฟูโครงสร้างหลังภัยพิบัติ, และปิดช่องว่างดิจิทัล—ทั้งหมดสอดรับทั้งกฎหมายไทยด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวคิดสากลของยูเนสโก และภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย

คำกล่าวของ รมช.ศึกษาฯ ที่ว่า “การเรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน” จึงไม่ใช่เพียงประโยคให้แรงบันดาลใจ แต่เป็นกรอบคิดเชิงนโยบายที่เรียกร้อง “การลงมือทำ” ต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานออกแบบพื้นที่ บริการ และข้อมูล ไปจนถึงการประสานภาคีในจังหวัด หากเชียงรายเดินตามพิมพ์เขียวนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีโอกาสก้าวสู่ Learning City ที่คนทุกวัย “เข้าไปแล้วมีทางออก”—ทางออกสู่ทักษะใหม่ งานใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงราย (สกร.)
  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่
  • สถิติการใช้งานห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ”: มรภ.เชียงรายมอบหมวกพยาบาล 79 คน ก้าวสู่หอผู้ป่วย

แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ” มรภ. เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี ให้นักศึกษาพยาบาล “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” 79 คน ก้าวแรกสู่หอผู้ป่วยอย่างมีศักดิ์ศรี–จริยธรรม

ในช่วงรอยต่อการฟื้นตัวของระบบบริการสุขภาพและสังคมไทย ภูมิภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายต้องการ “คน” และ “คุณค่า” มากพอๆ กับ “เครื่องมือ” และ “งบประมาณ” สถานพยาบาลปลายทางต้องรองรับผู้ป่วยหลากหลายมิติ ขณะที่ชุมชนต้องการบุคลากรที่มีทั้งความรู้เชิงวิชาการ ทักษะการปฏิบัติ และหัวใจของความเป็นมนุษย์ พิธี “มอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี” ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ หากเป็น “พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ที่ประกาศต่อสาธารณะว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่แถวหน้าการดูแลสุขภาพอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ

รายงานนี้หยิบ “สาระความหมายบริบท” ของพิธีครั้งล่าสุด (22 สิงหาคม 2568) มาคลี่ให้เห็นทั้งภาพพิธีการ สัญลักษณ์หลัก และนัยต่อระบบสุขภาพท้องถิ่น ผ่านเลนส์การสื่อสารที่เป็นกลาง และรองรับด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

พิธีที่เป็นมากกว่าความภาคภูมิใจจุดเปลี่ยนสู่การปฏิบัติจริง

เชียงราย,22 สิงหาคม 2568 –  อาคารเรียนรวม 101 ของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย คลาคล่ำไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา และความคาดหวังของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” จำนวน 79 คน พร้อมครอบครัวและคณาจารย์ผู้ปลูกฝังวิชาชีพ พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี เป็นธรรมเนียมอันทรงเกียรติที่สืบทอดมายาวนานในแวดวงการพยาบาลไทย ใช้ยืนยันว่า นักศึกษากลุ่มนี้ได้ผ่านรากฐานทางทฤษฎีที่จำเป็น และพร้อมก้าวเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วย โดยมีระบบพี่เลี้ยงและสถาบันคู่ความร่วมมือทางคลินิกคอยกำกับคุณภาพอย่างใกล้ชิด

พิธีได้รับเกียรติจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับรองอธิการบดีเป็นประธาน พร้อมด้วยคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ตอกย้ำความสำคัญของ “คนดีคนเก่งคนกล้าเปลี่ยนแปลง” ที่สังคมต้องการ ยิ่งในบริบทจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตด้านประชากร สุขภาวะ และวัฒนธรรมแตกต่างหลากหลาย การหล่อหลอมบัณฑิตให้ “รู้เท่าทันข้อมูลเข้าใจผู้คนเชื่อมต่อระบบ” คือสิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง

สัญลักษณ์สามประการหลักยึดของการดูแลด้วยหัวใจมนุษย์

สาระสำคัญของพิธีประกอบด้วย “สามสัญลักษณ์” ซึ่งล้วนมีที่มาและความหมายลึกซึ้งในวิชาชีพพยาบาล

  1. หมวกพยาบาล – หมวกสีขาวบริสุทธิ์คือเครื่องหมายเชิงจริยธรรมที่ย้ำถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน วินัย และการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้ในงานบริการสุขภาพยุคใหม่จะไม่ได้สวมหมวกในทุกสถานการณ์ แต่หมวกในพิธีคือ “สัญญาใจ” ที่เตือนผู้สวมให้รักษามาตรฐานวิชาชีพ–มาตรฐานความเป็นมนุษย์เสมอ
  2. ดวงประทีปไนติงเกล – ตะเกียงส่องทางที่สืบเรื่องราวจากฟลอเรนซ์ ไนติงเกล สตรีผู้ได้รับฉายา “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ยุคสงครามไครเมีย แสงจากประทีปมิใช่เพียงประกายไฟ หากเป็น “แสงแห่งความหวัง” ที่พยาบาลถือไปหาและอยู่เคียงข้างผู้ป่วยในห้วงมืดมนของความเจ็บปวด
  3. เข็มชั้นปี – เครื่องหมายความก้าวหน้าทางวิชาการของนักศึกษา ผู้ผ่านการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานและมีคุณสมบัติตามหลักสูตร พร้อมเข้าสู่สนามจริงในหอผู้ป่วย เข็มชั้นปีจึงเป็นทั้ง “เกียรติยศ” และ “ภาระรับผิดชอบ” ในคราวเดียวกัน

ลำดับพิธี–สายใยเครือข่าย

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การจุดเทียนไนติงเกลและส่งมอบตะเกียงแก่ผู้แทนนักศึกษา ก่อนเข้าสู่ช่วงติดหมวกและประดับเข็มชั้นปีโดยคณาจารย์และตัวแทนภาคีเครือข่ายโรงพยาบาลในจังหวัด อาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลหลักที่รับนักศึกษาเข้าฝึกปฏิบัติ สะท้อน “สะพานเชื่อม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและบริการสุขภาพจริง ทำให้การเรียนรู้ไม่ขาดช่วงระหว่างทฤษฎีกับคลินิก

ในงานยังมีการมอบทุนการศึกษา–เกียรติบัตรแก่นักศึกษาที่โดดเด่นด้านจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมบทเพลงเครื่องทองเหลืองโดยวง Crru Brass Project สร้างบรรยากาศขรึมขลังและอบอุ่นไปพร้อมกัน

ตัวเลขชวนคิด

  • นักศึกษาที่เข้ารับหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี: 79 คน
  • ช่วงเวลาพิธีที่สถาบันประกาศกำหนดในปฏิทินกิจกรรมประจำปี: 08.30–11.00 น.

ทำไมพิธีนี้จึงสำคัญ “ตอนนี้”?

คำตอบอยู่ที่โจทย์ของระบบสุขภาพและแนวโน้มกำลังคนพยาบาลระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยประเมินในรายงาน State of the World’s Nursing 2020 ว่าโลกยังขาดแคลนพยาบาลราว 5.9 ล้านคน โดยกระจุกตัวในประเทศรายได้ปานกลาง–ต่ำ การสร้างและรักษากำลังคนพยาบาลคุณภาพจึงเป็นวาระเร่งด่วนของทุกประเทศ รวมถึงไทยด้วย การที่สถาบันท้องถิ่นอย่างมรภ.เชียงราย ย้ำ “คุณธรรม–จริยธรรม–ความเป็นมืออาชีพ” ตั้งแต่ก้าวแรก ย่อมช่วยวางรากฐานให้การบริการสุขภาพเชิงชุมชนมีความเชื่อถือและเข้าถึงได้จริงในระยะยาว

ยิ่งในเชียงรายจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ชายแดน การเดินทางของแรงงานข้ามแดน และโครงสร้างประชากรชนเผ่า–กลุ่มชาติพันธุ์บทบาทของพยาบาลที่ “สื่อสารได้ เข้าใจบริบทได้ ไวต่อความต่างทางวัฒนธรรม” จึงเป็นหัวใจของการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิอย่างแท้จริง

สัญญาใจของวิชาชีพ จาก “คำปฏิญาณ” สู่ “การกระทำ”

แก่นแท้ของพิธีไม่ได้หยุดอยู่ที่เครื่องแบบ หากอยู่ที่ “คำปฏิญาณ” และบรรทัดฐานวิชาชีพที่ต้องยึดถือ สภาการพยาบาลไทยระบุกรอบจริยธรรมไว้อย่างชัดเจน อาทิ ความซื่อสัตย์ การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรักษาความลับผู้ป่วย และการอุทิศตนเพื่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง ICN Code of Ethics for Nurses (2021) ของสภาการพยาบาลนานาชาติที่เน้น “พยาบาลกับผู้รับบริการ–กับการปฏิบัติวิชาชีพ–กับวิชาชีพพยาบาล–กับสุขภาพโลก” เป็นสี่เสาหลักสำคัญในการตัดสินใจและการกระทำของพยาบาลทุกคน (เอกสารฉบับภาษาไทยโดยสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สช.มหิดล และฉบับสากลโดย ICN)

การที่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ได้รับเข็มชั้นปีและเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาล จึงเท่ากับถือ “ใบเบิกทาง” ที่มาพร้อมพันธสัญญาจะยึดมั่นกรอบจริยธรรมดังกล่าว—จากถ้อยคำในพิธี สู่การกระทำจริงข้างเตียงผู้ป่วย

พิธีกรรมเชื่อมอดีต–ปัจจุบัน สืบสายไนติงเกล

เพื่อให้ “ดวงประทีป” มีชีวิตในใจคนรุ่นใหม่ รายละเอียดของพิธีในไทยหลายสถาบันยังคงยึดโยงกับประวัติศาสตร์ไนติงเกลในฐานะผู้บุกเบิกการพยาบาลสมัยใหม่สัญลักษณ์ “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ที่ถือโคมไฟเดินตรวจทหารบาดเจ็บยามวิกาล กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาพยาบาลทั่วโลกใช้ “แสง” เป็นเครื่องหมายของความหวัง ความเอื้ออาทร และความไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยในห้วงยากลำบาก (สาระอ้างอิงจากสารานุกรมบริแทนนิกา).

ในระดับสถาบัน มรภ.เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ทั้งในมิติ “พิธีหลวง” และ “ชีวิตนักศึกษา” สื่อสาธารณะของมหาวิทยาลัยและคณะพยาบาลศาสตร์สะท้อนภาพความต่อเนื่องดังกล่าวไว้หลายครั้งในปีที่ผ่านมา ช่วยยืนยันว่า พิธีนี้คือ “วัฒนธรรมองค์กร” ที่สถาบันยึดถือเพื่อพัฒนาคนก่อนปล่อยสู่สนามจริงของการพยาบาลคลินิกและชุมชน

ความหมายเชิงระบบ เมื่อพิธีปั้น “คน” ให้รองรับเมือง

  1. สร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ – เมื่อก้าวสู่หอผู้ป่วย นักศึกษาจะต้องเผชิญสถานการณ์จริงที่ซับซ้อน การมี “กรอบคิด–กรอบใจ” ที่มาจากพิธีและหลักจริยธรรมชัดเจน ช่วยให้การตัดสินใจในพื้นที่คลุมเครือทำได้อย่างเป็นระบบและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  2. เสริมสมรรถนะอ่อน (soft skills) – พยาบาลต้องสื่อสารกับผู้ป่วย ครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ และชุมชน พิธีและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าคลินิกช่วยปลูกฝังความสุภาพ อดทน เห็นอกเห็นใจ และพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต—คุณสมบัติที่ไม่อาจวัดได้ด้วยคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  3. เชื่อมมหาวิทยาลัย–ชุมชน–โรงพยาบาล – รายละเอียดพิธีที่มีตัวแทนโรงพยาบาลหลักของจังหวัดเข้าร่วม สะท้อนความร่วมมือเชิงโครงสร้างระหว่างสถาบันผลิตกับหน่วยบริการ ซึ่งเป็นหัวใจของการแก้โจทย์กำลังคนสุขภาพอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
  4. รับมือบริบทชายแดน – เชียงรายมีความต้องการบริการสุขภาพหลากหลาย พยาบาลที่เข้าใจวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นจึงทำหน้าที่เป็น “สะพานใจ” ของระบบบริการได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในบริการปฐมภูมิ การสร้างประสบการณ์ฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงตั้งแต่ต้นช่วยให้บัณฑิต “พร้อมใช้” มากขึ้นเมื่อสำเร็จการศึกษา

เล่าเรื่องด้วยตัวเลข จากรหัสวิชาสู่ชั่วโมงจริง

  • ผ่านหลักสูตรทฤษฎีตามกรอบสภาการพยาบาล  เข้าสู่การฝึกภาคปฏิบัติในหอผู้ป่วย (clinical placement) ภายใต้การนิเทศของคณาจารย์และพี่เลี้ยงพยาบาล
  • ประกอบพิธีกลางสถาบัน (เช้า–สาย) เพื่อให้ออกเดินทางสู่ภาคสนามทันรอบตารางฝึก
  • ตอกย้ำความร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่ภาคี ซึ่งตามโครงสร้างปกติมักเป็นโรงพยาบาลจังหวัด/โรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย เพื่อให้เกิด “วงจรเรียนรู้–ปรับปรุงบริการ” อย่างต่อเนื่อง

แม้ในพิธีจะไม่ทยอยประกาศตัวเลขกำลังคนระดับชาติ แต่หากวางไว้บนฉากหลังรายงาน WHO ที่ชี้ปัญหา “ขาดแคลนพยาบาลทั่วโลกหลายล้านคน” การได้เห็น “คนรุ่นใหม่” สวมหมวก รับดวงประทีป และกลัดเข็มชั้นปี จึงเป็นภาพที่มีทั้งความหวังและความรับผิดชอบซ่อนอยู่—สำหรับตัวนักศึกษา ครอบครัว สถาบัน และสังคมร่วมกัน.

จากห้องพิธีสู่หอผู้ป่วย—รักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างยาวนาน

พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย ในปีการศึกษา 2568 เป็นมากกว่าพิธีเฉลิมฉลอง มันคือ “สัญญาสาธารณะ” ที่บอกกับสังคมว่า คนรุ่นใหม่ 79 คนพร้อมออกเดินทางสู่พื้นที่จริงของการดูแลสุขภาพ โดยมีแสงประทีปเป็นสัญลักษณ์เตือนใจ และมีเข็มชั้นปีเป็นเครื่องหมายความรับผิดชอบ

จากนี้ไป ทุกชั่วโมงในหอผู้ป่วยจะเป็นบททดสอบจริงของความรู้ ทักษะ และคุณธรรมที่ได้รับการหล่อหลอมมา หากรักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างไสวเหมือนในพิธีได้ยาวนาน พยาบาลรุ่นนี้ย่อมจะเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ทำให้ระบบสุขภาพของเชียงรายและภาคเหนือ “อบอุ่น–เข้าถึง–เชื่อถือได้” มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • International Council of Nurses (ICN)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) / Hfocus (สื่อสุขภาพ)
  • สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย – คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (เอกสารจรรยาบรรณภาษาไทย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมีทางออก! MRC จัดเวทีระดมสมองแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก-โขง

เปิดฉาก “โต๊ะกลม MRC–ภาคประชาสังคม” เชียงราย วางหมุดหมายแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดนแม่น้ำกก–โขง ดัน “ชุมชนเป็นแกนกลาง” คุมคุณภาพน้ำและจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 –ร้าน “Melt In Your Mouth” ริมน้ำกกค่อยๆ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหน้าตาคุ้นในแวดวงน้ำของภาคเหนือ—เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการผืนดินล้านนา ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาสังคม ไปจนถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว—ที่ต่างแบก “โจทย์เดียวกัน” มาพูดคุยบนโต๊ะเดียว: จะร่วมกันแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา และเชื่อมโยงออกสู่แม่น้ำโขงได้อย่างไรให้ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และ “นำโดยชุมชน”

เวทีวันนี้จัดโดย สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) ในรูปแบบ MRC–CSO Roundtable Discussion โดยมี นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) MRCS และ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมดำเนินวงเสวนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วย งานวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–โขงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อ “ต่อจิ๊กซอว์” ข้ามพรมแดนและระดับมาตรการ ตั้งแต่ข้อมูลคุณภาพน้ำเชิงประจักษ์ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในชุมชน และการเชื่อมกับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของ MRC ที่กำลังเตรียมฉบับถัดไปปี 2026–2030

“เวทีนี้มีคุณค่าเพราะเปิดกว้างให้เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ บนฐานของความเคารพและการเป็นหุ้นส่วน” ผู้บริหาร MRCS ย้ำบนเวทีถึงบทบาทของพื้นที่กลางเช่นนี้ที่ตั้งใจให้ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน “ได้ฟังกันจริงๆ” ก่อนขยับไปสู่แนวทางร่วมที่ทำได้ในชีวิตจริง

แม่น้ำกกในภาวะกดดันหลายมิติ

คำถามชวนคิด: เมื่อ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้ทำนา เลี้ยงปลา และพานักท่องเที่ยวล่องแพ เป็นแหล่งเดียวกัน เราจะตรวจวัด–แจ้งเตือน–และตัดสินใจใช้อย่างไรให้ “ปลอดภัยพอ” สำหรับแต่ละกิจกรรม?

ตลอดปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกและตอนล่างที่ไหลลงโขงถูกจับตาเข้มข้นจากสังคมไทยและนานาชาติจาก รายงานสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ในหลายจุดตรวจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผลตรวจที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ผ่านสื่อ ระบุว่า พบค่า As เกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค (0.01 มก./ลิตร) ใน 11 จุดตรวจ บางช่วงมีค่าสูงถึง 0.187–0.200 มก./ลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์น้ำดื่มอย่างมีนัยสำคัญ สร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยเร่งตั้ง “ระบบตรวจติดตามร่วม–แจ้งเตือน–และฟื้นฟู” ทั้งในและข้ามพรมแดนอย่างเป็นระบบมากกว่าที่เคยทำมา

ปัจจัยกดดันของแม่น้ำกกไม่ได้มาจากมิติเดียว หากเป็น “ชั้นๆ” ของกิจกรรมมนุษย์ที่ซ้อนทับกัน—ตั้งแต่ขยะชุมชนที่ไหลลงลำน้ำ การชะล้างสารเคมีเกษตรจากพื้นที่ต้นน้ำ ไปจนถึงแรงเหวี่ยงจากการท่องเที่ยว และ มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งถูกจับตาว่าเกี่ยวเนื่องกับการพบโลหะหนักในช่วงก่อนหน้าและทำให้รัฐบาลไทยต้องเดินเกมทวิ–พหุภาคีคู่ขนานกับมาตรการภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นต่างให้เป็นพลัง” รูปแบบเสวนาที่พาชุมชนยืนกลางเวที

เวทีโต๊ะกลมครั้งนี้ออกแบบให้มี 2 ช่วงหลัก:

  • ช่วงปรึกษาหารือ (Consultation) เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่อยู่ “หน้าด่าน” ของปัญหา—เกษตรกร ชาวประมง บุคลากรสาธารณสุข และหน่วยงานประปา—เล่า “ความจริงในพื้นที่” ทั้งสัญญาณเตือนและช่องว่างที่พบ
  • ช่วงร่วมกันแก้ (Joint Solutions) นำเสนอทางออกสั้นกระชับจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ชุมชน องค์กรทั้งใน–ต่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ก่อนแตกกลุ่มย่อยแปลง “ความเห็นร่วม” เป็น ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (actionable) ที่จับต้องได้

ประเด็นใหญ่ ที่เด่นชัดคือ “การทำให้ข้อมูลไหลลื่น” ระหว่างพื้นที่–จังหวัด–ส่วนกลาง–ระดับลุ่มน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายสำหรับชุมชน โดยเฉพาะในเวลาวิกฤตที่ปริมาณฝนสูง น้ำหลากเร็ว และจำเป็นต้อง “ตัดสินใจในหลักชั่วโมง” เช่น การงดใช้น้ำดิบบางจุดชั่วคราว การตั้งจุดจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแผนให้น้ำการเกษตรตามคุณภาพน้ำจริง

เชื่อมพื้นที่สู่ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำบทของ MRC และกลไกระดับชาติ

หลายความเห็นในเวทีชี้ว่า การจะ “ข้ามพรมแดน” ให้ได้จริงต้องมีกลไกกลางที่ทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงยอมรับร่วมกัน MRC ในฐานะองค์กรระหว่างรัฐบาลของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ถูกออกแบบมาเพื่อบทบาทนั้น—เป็น เวทีทางการทูตน้ำ (water diplomacy) และ คลังความรู้ ให้การบริหารลุ่มน้ำโขงอิงหลักฐานและความร่วมมือมากกว่าความรู้สึกหรือการเมืองระยะสั้น

กรอบวางแผนลุ่มน้ำของ MRC ปัจจุบันยึด Basin Development Strategy (BDS) 2021–2030 ซึ่งต่างจากฉบับก่อนหน้าเพราะวางระยะยาว 10 ปี มุ่ง “การลงมือ” เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม–สังคมจากการพัฒนาในลุ่มน้ำ พร้อมเร่งเครื่องระบบข้อมูลและการเตือนภัย โดยหลังปี 2025 จะก้าวสู่ แผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ 2026–2030 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นและเตรียมยกร่าง เวทีเชียงรายครั้งนี้จึงเป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญในการนำเสียงชุมชนเข้ากรอบยุทธศาสตร์ภูมิภาคตั้งแต่ต้นน้ำของนโยบาย

ฝั่งไทย บทบาทของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee) คือการเชื่อมข้อเสนอ–ข้อมูลจากพื้นที่เข้าสู่โต๊ะเจรจาระดับประเทศและ MRC ควบคู่กับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในประเทศให้สอดรับกัน เช่น ระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่และแผนฟื้นฟูคุณภาพน้ำเชิงรุกในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากเร็ว

ตัวเลขที่ทำให้การตัดสินใจ “ไวขึ้น–แม่นขึ้น”

  • 11 จุดตรวจ ในแม่น้ำกกที่พบ สารหนูเกินมาตรฐานน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) โดยบางช่วงมีค่าสูงสุด ราว 0.187–0.200 มก./ลิตร — สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของ มาตรการเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แทนการสื่อสาร “ห้าม/ได้” แบบเหมารวม เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน (เช่น ประมง–ท่องเที่ยว) ในวงกว้าง
  • ท่าทีรัฐไทย: รัฐบาลสั่ง เร่งติดตามคุณภาพน้ำ–ฟื้นฟู–และหารือข้ามแดน อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายวิกฤตและคืนความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำหลักของชีวิตภาคเหนือและลุ่มโขงตอนล่าง
  • สถานะ MRC: เป็น แพลตฟอร์มการทูตน้ำและองค์ความรู้ ของ 4 ประเทศลุ่มโขง ตามความตกลงแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งสนับสนุนการวางแผน–พัฒนาลุ่มน้ำบนฐานหลักฐาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

5 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติจากวงเสวนาทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผล

  1. แปลงข้อมูลให้ใช้การได้ในพื้นที่ – จัดทำ แดชบอร์ดคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่ ที่ “อ่านง่าย ตัดสินใจไว” แยกตามประเภทการใช้ (อุปโภคบริโภค–เพาะปลูก–ประมง–นันทนาการ) พร้อมสีสัญญาณแบบเดียวกันทั้งจังหวัด และ ลิงก์ข้อมูลแบบเปิด ไปยังระดับลุ่มน้ำเพื่อเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  2. เตือนภัยแบบรวมศูนย์–กระจายเสียงแบบกระจายศูนย์ – เมื่อผลตรวจพบ “สัญญาณเสี่ยง” ให้ ประกาศเตือนรายตำบล/รายจุด ผ่านช่องทางราชการและชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มอสม.–เทศบาล) อีกชั้น เพื่อให้การปรับพฤติกรรมเกิดขึ้นจริงในครัวเรือนและฟาร์ม
  3. ตั้ง “อาสาน้ำชุมชน” คู่กับหน่วยงาน – ชุมชนจัดทีม เก็บตัวอย่าง–อ่านค่าเบื้องต้น–รายงานผล ร่วมกับ อบต./เทศบาล–สาธารณสุข–ประปา เพื่ออุดช่องว่าง “เวลา-พื้นที่” ของการตรวจทางการ และสร้างความไว้วางใจในข้อมูล
  4. เชื่อมการทูตชุมชน–ชาติ–ภูมิภาค – เมื่อปัญหามีมิติข้ามพรมแดน ให้ สทนช. และ กต. ใช้เสียงจากเวทีชุมชนเป็น “ข้อมูลเชิงสังคม” ส่งเข้าสู่ โต๊ะ MRC ควบคู่กับข้อมูลเทคนิค เพื่อเร่งกลไกติดตาม–แจ้งเตือนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยึดหลักความโปร่งใสและประโยชน์ร่วม
  5. เยียวยา–พยุงเศรษฐกิจฐานน้ำ – ระหว่างคลี่คลายคุณภาพน้ำ ต้องมีมาตรการชั่วคราวสำหรับครัวเรือน–ผู้ประกอบการที่พึ่งพาน้ำ เช่น จุดจ่ายน้ำสะอาด–กองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูประมง–มาตรการตลาดช่วยเหลือ เพื่อกันความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็น “ปัญหาใหม่”

บทบาทคีย์แมนและ “จังหวะ” เชิงยุทธศาสตร์

การที่ MRCS หยิบเวทีเชียงรายขึ้นมาในจังหวะที่กำลังเตรียม ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำชุดใหม่ (2026–2030) ทำให้ข้อเสนอจากพื้นที่ “มีทางไป” สู่เอกสารนโยบายภูมิภาคตั้งแต่ต้นทาง—เป็นโอกาสแปลง เสียงของชุมชน เป็น มาตรการระดับลุ่มน้ำ ไม่ใช่เพียงเวที “รายงานปัญหาแล้วแยกย้าย” เหมือนที่หลายชุมชนคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกัน การนำโดยผู้บริหาร MRCS คนไทยอย่าง คุณบุษฎี สันติพิทักษ์ (CEO) ซึ่งเข้ารับบทบาทเมื่อช่วงต้นปีนี้ ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างเวทีท้องถิ่น–ชาติ–ภูมิภาคได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งในแง่การสื่อสารสาธารณะและการประสานงานหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขง

ด้าน สทนช. ในฐานะผู้ถือพวงมาลัยด้านนโยบายน้ำของประเทศและฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีภารกิจเร่งรัด ระบบเตือนภัย–การฟื้นฟู–และการเจรจาร่วม ให้ “ทันฤดูกาล” โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดู–น้ำหลากเร็วที่ความเสี่ยงเพิ่มทวี เพื่อปกป้องชีวิต–สุขภาพ–และฐานเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำกก–โขงไปพร้อมกัน

จาก “เวทีพูดคุย” สู่ “ข้อตกลงทำจริง”

ท้ายเวที ผู้จัดสรุป “การบ้าน” 3 แพ็กเกจที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมในหลักการ และเริ่ม ตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ นำไปสู่การทดลองปฏิบัติ (pilot) ใน จุดเสี่ยงสำคัญของแม่น้ำกก ทันทีในฤดูฝนนี้ ได้แก่

  1. แพลตฟอร์มข้อมูล/สื่อสารความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ของจังหวัด ที่ดึงข้อมูลจากทุกหน่วยเข้า “หน้าจอเดียวกัน” เปิดสาธารณะและส่งเข้าลุ่มน้ำ,
  2. อาสาน้ำชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเพิ่มความถี่การเฝ้าระวังและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อมูล, และ
  3. โรดแมปประสานข้ามแดน เชื่อมไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางทวิภาคีและช่องทาง MRC อย่างต่อเนื่อง

คำถามปลายเปิดที่ยังทิ้งไว้ให้ทำร่วมกันคือ: เราจะทำให้ข้อมูลไหลไปเร็วเท่าน้ำหลากได้อย่างไร? และ จะทำให้การเตือนภัยกลายเป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรมจริง” ในครัวเรือน–ไร่นา–ท่าเรือท่องเที่ยว ได้อย่างไร—คำถามเหล่านี้อาจไม่ใช่ “โจทย์เทคนิค” ล้วนๆ แต่เป็นโจทย์ความไว้เนื้อเชื่อใจและการออกแบบการสื่อสารกับมนุษย์ ที่ต้องทำซ้ำๆ ให้ติดมือ ติดตา และ “ติดนิสัย” ของทั้งรัฐและชุมชน

อย่างไรก็ดี การมีทั้ง แพลตฟอร์มการทูตน้ำระดับภูมิภาค (MRC) และ กลไกชาติ–จังหวัด–ชุมชน ที่ยอมรับร่วมกัน กำลังทำให้ “ข้อเสนอจากเชียงราย” วันนี้มี ทางเดินชัดเจน สู่การเป็น มาตรการจริง ที่ช่วยให้คน–ปลา–และสายน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เชิงอรรถนโยบายทำไม “กรอบ MRC” จึงสำคัญกับแม่น้ำกก

  • บทบาท MRC: ทำหน้าที่เวทีกลางการทูตน้ำและคลังความรู้ภายใต้ความตกลงปี 1995 ของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ช่วยลดความเสี่ยงจากโครงการพัฒนาและสร้างระบบเตือนภัย–ข้อมูลร่วมทั้งลุ่มน้ำ
  • BDS 2021–2030: ยุทธศาสตร์ 10 ปีฉบับแรกของลุ่มน้ำโขง วางทิศทาง “ลงมือจริง” ในประเด็นคุณภาพน้ำ ระบบข้อมูล และการมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกำลังป้อนเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ 2026–2030 ผ่านเวทีรับฟังหลายระดับรวมถึงเวทีเชียงรายครั้งนี้
  • โครงสร้างไทย: สทนช. เชื่อมเสียงพื้นที่เข้าสู่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และโต๊ะ MRC ควบคู่ขับเคลื่อนแผนในประเทศ—ตั้งแต่เตือนภัยเฉพาะพื้นที่ถึงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ—ให้สอดรับกับฤดูกาลและวิถีชุมชนลุ่มน้ำกก–โขง

สรุปสำหรับผู้อ่านเชิงลึก

  • ประเด็นหลัก: เวที MRC–CSO Roundtable เชียงราย สร้าง “ทางร่วม” ระหว่างชุมชน–รัฐ–นักวิชาการ–เอกชน สำหรับแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกที่โยงสู่โขง โดยเน้นข้อมูล–เตือนภัย–และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
  • ความเร่งด่วน: ข้อมูลสารหนูปนเปื้อน 11 จุด กับค่าสูงสุดราว 0.2 มก./ลิตร เทียบมาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ลิตร ทำให้การตัดสินใจเชิงพื้นที่–เชิงเวลา และการสื่อสารความเสี่ยงแบบเข้าใจง่าย “จำเป็นทันที”
  • โอกาสเชิงโครงสร้าง: การยกร่างยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำฉบับใหม่ของ MRC 2026–2030 เปิดหน้าต่างให้เสียงชุมชนจากเชียงราย ถูกฝัง ลงในนโยบายภูมิภาคที่มีผลจริง
  • ทางเดินต่อไป: ตั้งทีมทำงานทดลอง แดชบอร์ดข้อมูล–เตือนภัย–อาสาน้ำชุมชน และเชื่อมทวิ–พหุภาคีผ่าน สทนช.–MRC เพื่อคลี่คลายปัญหาเชิงระบบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุม

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงเทิงโมเดล! นายก อบจ.เชียงราย ชูพลังผู้สูงวัย สร้างสังคมคุณภาพอย่างยั่งยืน

วันแม่–วันยิ้มของชุมชน” นายก อบจ.เชียงราย ร่วมกิจกรรมผู้สูงวัยเวียงเทิง เชื่อม “น้ำใจ–นโยบาย” สู่สังคมสูงวัยคุณภาพ

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 —  เสียงหัวเราะและทำนองเพลงเบา ๆ ดังสอดรับกับจังหวะยืดเหยียดของแขนขาในศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เก้าอี้ถูกจัดวางเป็นวงกว้าง เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงวัยกว่าเต็มศาลาได้ขยับร่างกายและใจไปพร้อมกัน บรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้นเมื่อ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินทักทาย จับมือไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อม นายสุชัด เสนคำ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.เทิง เขต 2 และ นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ขณะ นายสิงห์ทอง หนุนนำสิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เจ้าภาพงาน ยืนเคียงข้างทีมงานท้องถิ่นที่เตรียมกิจกรรมอย่างประณีต

กิจกรรม “วันแม่กับผู้สูงวัยเวียงเทิง” เป็นมากกว่า “งานรื่นเริง” — มันคือจุดนัดพบระหว่าง น้ำใจในชุมชน กับ นโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย ผ่านรูปธรรมง่าย ๆ แต่ทรงพลัง: การละเล่นเพื่อสุขภาพ การร้องเพลงร่วมกัน เวิร์กช็อปงานประดิษฐ์ และวงสนทนาสั้น ๆ ว่าด้วยการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน

“การจัดกิจกรรมวันแม่ไม่เพียงเป็นการระลึกถึงพระคุณแม่ หากยังเป็นเวทีสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่งสร้าง สังคมผู้สูงอายุที่มีความสุข’” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างพบปะผู้สูงวัย

ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” จากพื้นที่ประชุม สู่แพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” ตั้งอยู่ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2557 ด้วยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จุดตั้งต้นไม่ใช่ “ทำกิจกรรมให้ครบ” แต่คือ “ออกแบบพื้นที่เรียนรู้” ตามความต้องการจริงของผู้สูงอายุในชุมชน เน้นการพัฒนา 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม

ในช่วงเริ่มต้นปี 2558 ศูนย์ฯ ทดลองเปิดการเรียนรู้ เดือนละ 1 ครั้ง ต่อมามีเสียงเรียกร้องจากผู้สูงวัยให้เพิ่มความถี่ จึงค่อย ๆ ขยับมาเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ โดยเฉพาะ ทุกวันพุธ ซึ่งกลายเป็น “วันนัดพบของเพื่อนร่วมรุ่น” ที่ไม่ใช่แค่มาออกกำลังกายหรือทำงานประดิษฐ์ แต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต เชื่อมโยงไปถึงกิจกรรมระหว่างรุ่นกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเทศบาล—ให้ “วัยเด็ก” ได้เห็น “ภูมิปัญญา” และให้ “วัยเกษียณ” ได้เห็น “พลังสดใหม่” ในชุมชนเดียวกัน

เหนือกว่านั้น ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่ ศูนย์ต้นแบบ” ให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากพื้นที่อื่นเข้ามาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดวิธีคิด วิธีทำ และวิธีประเมินผล นับเป็นการขยายผลเชิงนโยบายที่จับต้องได้ โดยศูนย์ฯ เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของโครงการนวัตกรรมพื้นที่สาธารณะ ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ซึ่งวางกรอบพัฒนาท้องถิ่นระยะ 5 ปี อย่างเป็นระบบ เชื่อมกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในมิติสุขภาวะและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เมื่อเสียงเพลงกลายเป็น “ดัชนีความสุข”

ในกิจกรรมวันนี้ ช่วงที่ทำให้หลายคนยิ้มกว้างที่สุด คือวินาทีที่เพลงลูกกรุงยุคคลาสสิกดังขึ้น ผู้สูงวัยจับคู่รำวงเบา ๆ มีเสียงเชียร์จากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ กลายเป็นภาพ “ฟื้นวัย” ที่งดงาม การละเล่นเพื่อสุขภาพ—ยืดเส้นยืดสาย ชวนหัวเราะ—ทำให้อุณหภูมิของงานอุ่นขึ้นอย่างทันทีทันใด

สำหรับผู้จัด งานแบบนี้คือ “ดัชนีความสุข” ที่อ่านค่าจากแววตาและรอยยิ้ม ไม่ใช่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ในมุมของนโยบายสาธารณะ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากและเสียงหัวเราะคือ “กลไกป้องกันโรค” ที่จะลดความโดดเดี่ยว ซึมเศร้า และภาวะถดถอยทางกาย—สิ่งที่มักคืบคลานเข้าหาผู้สูงวัยอย่างเงียบ ๆ

โจทย์ใหญ่ของเชียงรายสังคมสูงวัยที่ “มาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ข้อมูลด้านประชากรสะท้อนภาพใหญ่ที่ท้องถิ่นหลีกเลี่ยงไม่ได้—เชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ อย่างต่อเนื่อง ปี 2566 จังหวัดมีประชากรผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ราว 290,547 คน คิดเป็น 22.4% ของทั้งจังหวัด ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2567 อยู่ที่ราว 20% ประเทศไทยโดยรวมเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แล้ว และหลายจังหวัดภาคเหนือ—รวมถึงเชียงราย—กำลังก้าวเร็วสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัยไม่ได้สะท้อนแค่ “อายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” แต่ยังหมายถึง อัตราส่วนพึ่งพิง ของวัยแรงงานที่สูงขึ้น—ตั้งคำถามเชิงนโยบายทันทีว่าเราจะจัดระบบ สุขภาพ–สวัสดิการ–การเรียนรู้ตลอดชีวิต–และโอกาสการทำงาน ให้คนรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าได้อย่างไร

นั่นทำให้กิจกรรมเชิงสังคมอย่างวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะมันขยับ “ปลายเหตุ” ในระดับพฤติกรรมสุขภาพ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางขยับ “ต้นเหตุ” ผ่านงบประมาณ การจัดบริการสุขภาพ การส่งเสริมอาชีพเสริม และหลักสูตรดิจิทัลรู้เท่าทันสื่อเพื่อกันภัยหลอกลวงที่พุ่งเป้าไปยังผู้สูงวัย

จากกิจกรรมสู่ระบบ 3 วงล้อ “ผู้สูงวัยคุณภาพ”

เพื่อให้การดูแลผู้สูงวัยยั่งยืนและไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ “งานครั้งคราว” ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุในจังหวัดเสนอกรอบทำงาน 3 วงล้อ ที่ต้องหมุนไปพร้อมกัน

  1. วงล้อสุขภาพ — เสริม “ทุนสุขภาพ” ที่บ้านและชุมชน ผ่านออกกำลังกายเหมาะวัย กายภาพบำบัดเบื้องต้น การคัดกรองโรคไม่ติดต่อ (ความดัน เบาหวาน) และทักษะดูแลตนเอง รวมถึงบริการเยี่ยมบ้านร่วม อปท.–สาธารณสุข
  2. วงล้อทักษะ–เศรษฐกิจ — หลักสูตรงานประดิษฐ์ งานครัว งานบริการชุมชน และ ทักษะดิจิทัล สำหรับผู้สูงวัย เพื่อเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย ขายของออนไลน์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรับงานพาร์ทไทม์ที่เหมาะวัย เปิดประตูสู่ “เศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy)” ในระดับครัวเรือน
  3. วงล้อสังคม–การเรียนรู้ — ระบบโรงเรียนผู้สูงอายุประจำสัปดาห์ กิจกรรมข้ามรุ่น (intergenerational) ระหว่างผู้สูงวัยกับเด็กและเยาวชน พื้นที่สาธารณะสร้างสรรค์อย่าง “ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ที่เปิดให้ทุกวัยมาใช้ร่วมกัน

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัยเวียงเทิงทำหน้าที่ “จุดรวมแรง” ของทั้งสามวงล้อนี้—เป็นทั้งสถานที่ กำลังคน วิธีการ และชุมชนปฏิบัติ (community of practice) ที่ขับเคลื่อนโดยเทศบาลตำบลเวียงเทิง สนับสนุนโดยเครือข่ายจังหวัดและหน่วยงานระดับชาติ

ทำไม “การลงทุนกับผู้สูงวัย” คุ้มค่ากว่า “ค่ารักษา”

  • 22.4% — สัดส่วนผู้สูงวัยของเชียงราย (ปี 2566) สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (ปี 2567 ที่ 20%)
  • แนวโน้ม 4–5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทะลุ 300,000 คน ในเวลาไม่นาน
  • โครงสร้างช่วงวัยของผู้สูงอายุ—วัยต้น (60–69 ปี) เป็นสัดส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าหากเสริมทักษะและสุขภาพตอนนี้ จะ “คืนทุนสังคม” ในระยะยาว
  • ผู้ดูแลหลักของผู้สูงวัยในเชียงรายส่วนใหญ่คือ บุตรหลานและคู่สมรส ความเข้มแข็งของครอบครัวท้องถิ่นจึงเป็น “ทุนสังคม” ที่ต้องเสริม ไม่ใช่แทนที่

คำถามชวนคิด หากกิจกรรมเชิงรุกอย่างวันนี้สามารถลดการเข้ารพ.จากโรคไม่ติดต่อได้แม้เพียง 5–10% ต่อปี เม็ดเงินค่ารักษาที่ลดลงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้สูงวัย คุ้มค่ากับการลงทุนใน “พื้นที่เรียนรู้” มากเพียงใด?

บทบาท อบจ.–เทศบาล จากโมเดลเวียงเทิงสู่การขยายผลทั้งจังหวัด

งานวันนี้สะท้อน “รูปธรรม–นโยบาย–เครือข่าย” ที่เดินไปด้วยกัน—นายก อบจ.เชียงราย มองบทบาทท้องถิ่นว่าไม่ใช่เพียง “จัดงบ–จัดงาน” แต่ต้องเป็น ผู้อำนวยความสะดวก ให้ภาคีทั้งสาธารณสุข การศึกษา ภาคเอกชน และชุมชน ร้อยเรียงเป็น “ระบบบริการชุมชนผู้สูงวัย” ที่ใช้งานได้จริง

เทศบาลตำบลเวียงเทิง ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ชูจุดเด่นการปรับกิจกรรม ตามคนจริง ๆ” ไม่ใช่ตามแบบฟอร์ม—ตั้งแต่การออกกำลังกายเบา ๆ กิจกรรมงานฝีมือ ไปจนถึงเวิร์กช็อปพื้นฐานดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย ขณะที่ อบจ.เชียงราย พร้อมหนุนการยกระดับบทเรียนจากเวียงเทิงไปยังพื้นที่อื่นในจังหวัด ผ่านเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ และ ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย ของ อปท. ต่าง ๆ

เสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากภาคสนาม

  1. เพิ่มทักษะยุคใหม่ — หลักสูตร “รู้เท่าทันสื่อ–ดิจิทัล–การเงินพื้นฐาน” เพื่อลดความเสี่ยงหลอกลวงทางออนไลน์ และเปิดช่องทางหารายได้ยืดหยุ่นสำหรับผู้สูงวัย
  2. เชื่อมโรงพยาบาล–อบต.–อสม. — ตั้ง “คลินิกผู้สูงวัยชุมชน” เดือนละครั้งในศูนย์ฯ ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง ปรับยาเบื้องต้น สอนการกายภาพง่าย ๆ และให้คำปรึกษาภาวะซึมเศร้า
  3. ประเมินผลเป็นระบบ — เก็บข้อมูลผลลัพธ์ทั้งเชิงปริมาณ (สุขภาพกาย–ใจ, การเข้าร่วม, ความพึงพอใจ) และเชิงคุณภาพ (เรื่องเล่าความเปลี่ยนแปลง) เพื่อใช้ “งบตามผลลัพธ์” (result-based) ในปีถัดไป
  4. เปิดพื้นที่ข้ามรุ่น — จับคู่โรงเรียน–ศูนย์ผู้สูงวัย ทำกิจกรรมร่วมเดือนละครั้ง อาทิ เล่านิทานพื้นบ้าน สอนงานฝีมือ แลกเปลี่ยนทักษะดิจิทัล (เด็กสอนมือถือ–ผู้สูงวัยสอนภูมิปัญญา)

ยิ้มวันนี้—แผนพรุ่งนี้” คลี่คลายปมสังคมสูงวัยด้วยชุมชนเป็นฐาน

ภาพผู้สูงวัยรำวงคู่กับนายก อบจ.เชียงรายในเช้าวันนี้ อาจดูเรียบง่าย แต่มันคือ “คำตอบนโยบาย” ที่จับต้องได้—เพราะชี้ให้เห็นว่า หากชุมชนมีพื้นที่ มีคน มีงานที่ออกแบบตามความต้องการจริง ให้ผู้สูงวัย ได้ออกจากบ้าน–ได้พบปะ–ได้เรียนรู้–ได้สร้างคุณค่า วงจรสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สังคมจะหมุนไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่งใหญ่จากส่วนกลาง

สุดท้าย การขับเคลื่อนสังคมสูงวัยในเชียงรายไม่ได้ขึ้นกับ “งานใหญ่ปีละครั้ง” แต่เกิดจาก งานเล็กทุกสัปดาห์ ที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง—และนั่นคือบทเรียนจากเวียงเทิงที่ควรส่งต่อ

กล่องข้อมูล “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” คืออะไร

  • สถานที่: ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย
  • ภารกิจ: พื้นที่เรียนรู้ผู้สูงวัย 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
  • กำเนิด: เริ่มปี 2557 ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.
  • รูปแบบ: กิจกรรมประจำสัปดาห์ (ทุกวันพุธ), เวิร์กช็อปงานฝีมือ, กิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพ, พื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น
  • บทบาทเพิ่มเติม: ศูนย์ต้นแบบศึกษาดูงานของ อปท. และหน่วยงานรัฐจากพื้นที่อื่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง 
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) 
  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) 
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) / กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 
  • เอกสารเผยแพร่ระดับจังหวัดเชียงราย 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐาน นศท.เชียงราย ฝึกกู้ชีพ-เฝ้าระวังฮีทสโตรก เพื่อสังคม

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย “นักศึกษาวิชาทหารเชียงราย” ฝึกเข้มปฐมพยาบาล–กู้ชีพ–เฝ้าระวังฮีทสโตรก สอดรับบทบาท “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามเช้าอวลเมฆฝนบนสนามฝึกของ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เสียงนกหวีดกับจังหวะนับก้าวถูกแทนที่ด้วยจังหวะกดหน้าอก “หนึ่ง–สอง–สาม…” จากห้องฝึกเฉพาะกิจที่จัดวางหุ่นจำลองพร้อมเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ในวันฝึกเชิงปฏิบัติการด้านการปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกันของ นักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 1 กว่า 190 นาย กิจกรรมครั้งนี้จัดโดย โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 จังหวัดเชียงราย ภายใต้โจทย์ใหญ่ของยุคสภาพอากาศแปรปรวนที่เสี่ยงต่อ ฮีทสโตรก” (Heat Stroke) และเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์กลางแจ้ง

หัวใจของการฝึกคือ “สร้างนักรบที่ปลอดภัยและเป็นที่พึ่งของสังคม” ไม่ใช่เพียงความแข็งแรงเชิงยุทธวิธี แต่รวมถึง ทักษะช่วยชีวิตและการดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า “ต่างเสี้ยวนาที — ต่างผลลัพธ์” สำหรับชีวิตของเพื่อนร่วมทีมและประชาชน

ทำไม “ฮีทสโตรก” จึงเป็นหัวข้อเร่งด่วนของการฝึกภาคสนาม

ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การฝึกภาคสนามกลางแจ้งต่อเนื่อง การสวมอุปกรณ์ การเคลื่อนที่พร้อมน้ำหนักบรรทุก รวมทั้งความชื้นสัมพัทธ์สูง ล้วนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความเครียดจากความร้อน ความเสี่ยงไม่ได้วัดจากอุณหภูมิอย่างเดียว แต่ต้องมองผ่านดัชนีความร้อน/ค่าความเครียดความร้อนและสภาวะร่างกายรายบุคคล

การฝึกของ มทบ.37 จึงเริ่มต้นด้วย โมดูลความรู้ความเสี่ยงจากความร้อน ครบวงจร ตั้งแต่

  • การแยกแยะ กลุ่มอาการจากความร้อน” (เป็นลมแดด/ตะคริวจากความร้อน/ภาวะเพลียแดด/ฮีทสโตรก)
  • สัญญาณเตือน ที่ต้องจับตา: อ่อนแรง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อนจัด เหงื่อหยุดไหล สับสน พูดไม่รู้เรื่อง ชัก
  • ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล: ขาดน้ำ พักผ่อนไม่พอ ภาวะน้ำตาลต่ำ น้ำหนักเกิน โรคประจำตัว ยาบางชนิด/คาเฟอีน/แอลกอฮอล์
  • หลักป้องกัน 4 ข้อ: (1) ดื่มน้ำสม่ำเสมอ—ก่อน–ระหว่าง–หลังฝึก (2) ปรับตัวค่อยเป็นค่อยไป (acclimatization) (3) สลับงาน–พักตามดัชนีความร้อน (4) ใช้ระบบ buddy check คอยสังเกตกัน
  • แนวทางปฐมพยาบาลฮีทสโตรก: โทรขอความช่วยเหลือ–ย้ายผู้ป่วยเข้าร่ม–คลายอุปกรณ์–เริ่ม ลดอุณหภูมิทันที” (active cooling) เช่น ประคบเย็น จุดเลือดผ่านมาก/พัดลม/พ่นละอองน้ำ/ถ้าอุปกรณ์พร้อมให้แช่น้ำเย็นทั้งตัว (cold-water immersion) จนกว่าจะถึงมือแพทย์

การบูรณาการความรู้ลักษณะนี้ช่วยให้ นศท. รู้เร็ว–ตัดสินใจเร็ว–ลงมือเร็ว ลดโอกาสไหลลื่นจากภาวะเพลียแดดไปสู่ฮีทสโตรกซึ่งเสี่ยงต่อชีวิต โดยเน้นว่า เวลา = อวัยวะ” การลดอุณหภูมิภายในนาทีแรก ๆ คือเส้นแบ่งสำคัญระหว่างการฟื้นตัวและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

การกู้ชีพ “CPR + AED” ให้เป็น—ให้ไว—ให้ถูกต้อง

ในห้องฝึกกู้ชีพ นศท. รอบต่อรอบถูกจัดเข้าสถานี Basic Life Support (BLS) เรียนรู้ตาม “ห่วงโซ่การรอดชีวิต” (Chain of Survival) ตั้งแต่การประเมินความปลอดภัย การเรียกขอความช่วยเหลือ การกดหน้าอกคุณภาพ ไปจนถึงการใช้ AED ที่ตั้งวางตามจุดยุทธศาสตร์ของพื้นที่ฝึก

สิ่งที่เน้นย้ำ

  • คุณภาพการกดหน้าอก: ลึก 5–6 ซม. จังหวะ ~100–120 ครั้ง/นาที ปล่อยหน้าอกคืนตัวเต็มที่ ลดเวลาหยุดกด (no-flow time)
  • การเป่าปาก/ช่วยหายใจ: ปรับตามบริบทการฝึกและความพร้อมอุปกรณ์ (mask/BVM) โดยไม่ให้รบกวนคุณภาพการกดหน้าอก
  • การใช้ AED: เปิดเครื่อง–ติดแผ่นนำไฟฟ้าตามตำแหน่ง–ทำตามเสียงเครื่อง—ช็อกโดยเร็วเมื่อเครื่องแนะนำ และ เริ่มกดต่อทันที หลังช็อก

หลักฐานจากแนวทางสากลชี้ว่า การเริ่ม CPR ภายในไม่กี่นาทีแรก เพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ หลายเท่าตัว และถ้าได้ ช็อกไฟฟ้าภายใน 3–5 นาทีแรก อัตรารอดชีวิตอาจสูงถึง ราว 50–70% ขึ้นกับบริบทและความพร้อมของระบบกู้ชีพ

เพื่อให้ ทำได้จริงในสนามจริง” ทีมครูฝึกจากโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชกำกับ feedback แบบทันที ผ่านหุ่นที่วัดความลึก–จังหวะ–การคืนตัว ช่วยปรับท่วงท่าให้ได้มาตรฐาน ลด “นิสัยเสีย” ตั้งแต่วันแรก และจำลองเหตุการณ์สั้น ๆ เช่น ล้มหมดสติกลางแดด หรือ ช็อกไฟดูดจากอุปกรณ์สนาม เพื่อฝึกการตัดสินใจ–การสั่งงาน–การแบ่งบทบาทของทีม

มากกว่า “วิชาพยาบาลสนาม” สกิลชีวิตสำหรับทหารและพลเมือง

โปรแกรมที่ มทบ.37 ใช้ไม่หยุดอยู่แค่ CPR/AED และฮีทสโตรก แต่ขยายไปถึง การจัดชุดปฐมพยาบาลฉบับสนาม (IFAK) การห้ามเลือดด้วย ผ้าพันห้ามเลือดแรงรัด (tourniquet) การทำแผลเปิด–ปิด การดามกระดูก การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอย่างปลอดภัย ตลอดจน สุขาภิบาล–น้ำ–อาหาร ระหว่างค่ายฝึก เพื่อ ลดเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ภาวะขาดน้ำรุนแรง ติดเชื้อทางเดินอาหาร ผื่น–ราขาหนีบ พร้อมวินัยเรื่อง การนอนหลับ–โภชนาการ–การยืดเหยียด–การฟื้นตัว ซึ่งพิสูจน์ว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการฝึกและการบาดเจ็บซ้ำซ้อน

ภาพรวมสะท้อน สามมิติ ของ “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

  1. ทหารปลอดภัย — ปกป้องกำลังพลด้วยมาตรฐานสาธารณสุขและเวชศาสตร์การกีฬา
  2. ทหารช่วยชีวิตได้ — เป็น first responder ในชุมชนได้จริงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
  3. ทหารสื่อสารความเสี่ยงเป็น — ถ่ายทอดความรู้ให้ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ลดการสูญเสียเชิงป้องกัน

เมื่อสนามฝึกคือห้องเรียนด้านสาธารณสุขเชิงรุก

การลงทุนเวลาและทรัพยากรของ มทบ.37 เพื่อสร้าง สมรรถนะด้านกู้ชีพ–ปฐมพยาบาล–เวชกรรมป้องกัน ให้ นศท. ปี 1 ตั้งแต่วัยเริ่มต้น มีนัยสำคัญอย่างน้อย 4 ประการ ยกระดับความปลอดภัยการฝึก การมี ระบบเฝ้าระวังความร้อน (work–rest cycle, hydration plan) พร้อม ครูฝึกที่รู้เส้นแดง ลดเหตุร้ายแรงได้จริง ขณะเดียวกันการมี AED และคนใช้เป็นในพื้นที่ฝึกเพิ่ม buffer ความปลอดภัย ทันที

การสร้างทุนมนุษย์ด้านกู้ชีพระดับชุมชนนักศึกษาวิชาทหารปีละหลายร้อยคนที่ผ่าน BLS/AED จะกระจายกลับสู่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และชุมชน กลายเป็น เครือข่ายผู้ช่วยชีวิต ในเหตุการณ์จริง—ตั้งแต่อุบัติเหตุจราจรจนถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นในบ้านและสถานที่สาธารณะ เพื่อต่อท่อ “ความเชื่อมั่น” ระหว่างทหาร–ประชาชนเมื่อประชาชนเห็นทหารเข้ามาหนุน ความปลอดภัยเชิงป้องกัน ภาพจำเชิงบวกและความไว้วางใจจะเติบโต โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดนอย่างเชียงรายที่กิจกรรมกลางแจ้งมีมากตลอดปีสอดคล้องมาตรฐานและแนวโน้มสากล หลักสูตรที่เน้น Chain of Survival การใช้ AED อย่างแพร่หลาย และ active cooling ในฮีทสโตรก เป็นแนวโน้มเดียวกับคำแนะนำขององค์กรวิชาชีพทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนว่า “สนามฝึกไทย” เชื่อมโยงกับ มาตรฐานโลก มากขึ้น

เครื่องมือ–กระบวนการที่ทำให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “สมรรถนะจริง”

เพื่อไม่ให้การฝึกจบแค่วันกิจกรรม มทบ.37 และโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชวาง วงจรคุณภาพ (Quality Loop) ดังนี้

  • มาตรฐานอุปกรณ์: ตรวจเช็ก AED รายเดือน แบตเตอรี่–แผ่นนำไฟฟ้า ชุด IFAK ครบและพร้อมใช้
  • พัฒนาครูฝึก: ครูฝึกภาคสนามต้องผ่านอบรม BLS Provider/Instructor ตามเกณฑ์ของสภาวิชาชีพในไทย
  • ซ้อมแผนฉุกเฉิน: ทำ drill สั้น ๆ รายเดือน (collapse in heat, cardiac arrest scenario) ใช้เวลา 10–15 นาที แต่คงไหวพริบ
  • บันทึกและสะท้อนผล: เก็บข้อมูล near-miss/เหตุการณ์จริง มาสรุปบทเรียนทุกไตรมาส
  • สื่อสารกับชุมชน: ร่วม รพ.สต./โรงเรียน จัดคลินิกความรู้ mini-workshop นอกค่าย (เมื่อมีโอกาสและความพร้อม)

ผลลัพธ์ที่คาดหวังไม่ใช่เพียง สถิติลดเหตุฉุกเฉิน ในสนามฝึก แต่รวมถึง ตัวชี้วัดสังคม เช่น จำนวนผู้ผ่านการรับรอง BLS, จำนวนจุดติดตั้ง AED ในพื้นที่สาธารณะรอบค่าย, และกรณีช่วยชีวิตที่รายงานโดยชุมชน

คำถามชวนคิดสำหรับนโยบายระดับจังหวัด

  1. เชียงรายพร้อมแค่ไหนกับ “โครงข่าย AED สาธารณะ” ในสถานที่คนหนาแน่น (สนามกีฬา สถานศึกษา ตลาด จุดท่องเที่ยว)? แผนที่ AED เข้าถึงง่ายหรือยัง?
  2. หลักสูตรกู้ชีพพื้นฐาน ควรขยายไปยัง ครู–ผู้นำชุมชน–อาสาสมัคร อย่างไรให้เกิดความต่อเนื่อง?
  3. ในฤดูร้อนปีหน้า จังหวัดจะมี ระบบเตือนภัยความร้อน (Heat Alert) ที่ผูกกับ แผนงาน–พัก–ดื่มน้ำ ของกิจกรรมกลางแจ้งทุกภาคส่วนหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะชี้ว่าความพยายามของ มทบ.37 จะต่อยอดเป็น สมรรถนะด้านความปลอดภัยของทั้งจังหวัด” ได้มากเพียงใด

จาก “นักศึกษาวิชาทหาร” สู่ “พลเมืองผู้ช่วยชีวิต”

วันฝึกหนึ่งวันอาจดูสั้นเมื่อเทียบกับวินัยทหารทั้งปี แต่ ความจำของกล้ามเนื้อ (muscle memory) และ ทัศนคติ “ลงมือก่อน–ช่วยก่อน” ที่นศท. ได้รับ จะอยู่ยาวนานกว่านั้น ท่ามกลางสภาพอากาศสุดขั้วและความเสี่ยงฉุกเฉินในชีวิตประจำวัน คนที่กล้าเข้าหาเหตุ–รู้วิธีประเมิน–เริ่มกดหน้าอก–หยิบ AED—คือ “ความต่าง” ระหว่าง ข่าวร้าย กับ ข่าวดี ที่ชุมชนอยากได้ยิน

การตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา มทบ.37 ที่ให้ความสำคัญกับภารกิจนี้ สะท้อนวิสัยทัศน์ ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม” อย่างแท้จริง และเป็นแบบอย่างที่ขยายผลได้ในค่ายทหารและสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช / มณฑลทหารบกที่ 37 (เชียงราย): ข้อมูลโครงการฝึกปฐมพยาบาล–กู้ชีพ และการอบรม นศท. ประจำปี (ข่าวประชาสัมพันธ์หน่วย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: แนวทางป้องกันและเฝ้าระวังภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน (Heat-Related Illness) และเอกสารความรู้เรื่อง “ฮีทสโตรก” สำหรับประชาชนและหน่วยงาน
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.): แนวทางการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) และการใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) สำหรับบุคลากรด่านหน้าและประชาชน
  • สมาคมกู้ชีพไทย / Thai Resuscitation Council (TRC): เอกสารอบรม BLS Provider/Instructor และคำแนะนำเชิงปฏิบัติด้านกู้ชีพตามมาตรฐานสากล
  • American Heart Association (AHA): Guidelines for CPR and ECC (ฉบับปรับปรุงล่าสุด) — หลักฐานเชิงระบบเกี่ยวกับประสิทธิผลของ CPR คุณภาพสูงและการช็อกไฟฟ้าเร็วต่ออัตรารอดชีวิต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO): แนวทาง Heat–Health Action Plans และคำแนะนำการจัดการภาวะเจ็บป่วยจากความร้อนในชุมชน
  • กรมอุตุนิยมวิทยา: บริบทสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยและคำเตือนภัยร้อนระดับพื้นที่ (ประกอบการวางแผน work–rest และ hydration plan)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming” จุดประกายเยาวชน ปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย”

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จุดประกายเยาวชนแดนโขง พร้อมปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย” ยกระดับเมืองสร้างสรรค์

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – เช้าวันเสาร์ริมโขงที่อำเภอเชียงของมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ลานกิจกรรมของโรงเรียนอนุบาลเชียงของคึกคักด้วยสีสันและเสียงดนตรี เด็กๆ ซ้อมท่าเต้น ขณะทีมครัวพื้นถิ่นขยับครกตำเครื่องลาบอย่างพร้อมเพรียง “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงงานสนุกสุดสัปดาห์ หากเป็นเวทีทดสอบพลังความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนชายแดน และเป็น “สะพานนโยบาย” ไปสู่การจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบรูปแบบใหม่ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังจ่อคิวเกิดขึ้นจริงในจังหวัดนี้ตามกรอบการขยายเครือข่ายของ CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์) ซึ่งประกาศคัดเลือก 10 จังหวัดตั้งแต่ปี 2567–2568 รวมถึงเชียงรายด้วยโดยตรง

ทำไม “งานเยาวชน 1 วัน” จึงสำคัญต่อภูมิทัศน์สร้างสรรค์ทั้งจังหวัด

หนึ่ง งานนี้ย้าย “เวที” ออกนอกเมืองไปยัง เชียงของ เมืองชายแดนที่ไกลศูนย์กลาง แต่ล้อมด้วยทุนทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ นั่นทำให้เด็กนอกตัวเมืองเข้าถึงพื้นที่ปล่อยของได้จริง สอง กิจกรรมออกแบบให้ “บันเทิง + เรียนรู้” ไปพร้อมกัน เช่น Cover Dance และ ลาบหมูลีลา ที่แทรกศาสตร์พื้นถิ่นกับศิลปะร่วมสมัย เด็กจึงฝึกทำงานเป็นทีม ฝึกนำเสนอ และฝึกสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อผู้ชม สาม งานนี้เชื่อมตรง “เวทีชั่วคราว” กับ “โครงสร้างถาวร” คือ NEW TCDC ที่ CEA ขับเคลื่อนในระดับประเทศ—หากโครงสร้างนี้ตั้งในเชียงรายจริง ชุดประสบการณ์จากงานเยาวชนจะไหลต่อไปเป็นผู้ใช้พื้นที่ประจำในอนาคต ไม่ใช่เพียงความทรงจำหนึ่งวัน

เปิดฉากเชียงของ เวทีกลางแจ้งที่เยาวชนได้เป็น “ตัวจริง”

พิธีเปิด จัดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลเชียงของ โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน กล่าวต้อนรับและให้กำลังใจเยาวชนจากพื้นที่โซนชายแดนโขง พร้อมตัวแทนท้องถิ่นและครูอาจารย์เข้าร่วมอย่างคับคั่ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยพลังบวก เด็กๆ จากหลายอำเภอมารวมตัวกันเพื่อ “ปล่อยของ” บนเวทีเดียวกันและแลกเปลี่ยนกันแบบข้ามโรงเรียน ข้ามชุมชน กิจกรรมไฮไลต์ของงานมีทั้งเวที แข่งขัน Cover Dance ที่จัดระบบประกวดจริงจัง และกิจกรรม ลาบหมูลีลา ที่ผสานการครัวพื้นบ้านกับโชว์สเตจอย่างเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจน บูธเวิร์กช็อป และ นิทรรศการผลงานเยาวชน ที่เล่าความภูมิใจในท้องถิ่นด้วยภาษาของคนรุ่นใหม่ ข้อมูลกำหนดการและคำเชิญชวนถูกสื่อสารโดยเพจศูนย์เยาวชน อบจ. มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม จนถึงถ่ายทอดสดหน้างานในวันจริง

สิ่งที่เห็นชัด คือ การจัดระบบ “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เด็กได้ลอง-พลาด-เรียนรู้บนเวทีจริง มีทีมครู โค้ช และเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลทั้งหลังบ้านและหน้าเวที จุดรับสมัครและเอกสารประจำทีมถูกทำเป็นระบบตั้งแต่ก่อนวันงาน ซึ่งสะท้อนวิธีคิดแบบ “ศูนย์เยาวชนมืออาชีพ” ที่เพจของศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย สื่อสารมาต่อเนื่องในหลายโซนก่อนถึงคิวเชียงของ

จากลานโรงเรียนสู่ “สถาปัตยกรรมความคิด” ทางด่วนเชื่อมสู่ NEW TCDC เชียงราย

เบื้องหลังงานเยาวชนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมโดดๆ หากเชื่อมกับ “ภาพใหญ่” ของนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับประเทศอย่างแนบแน่น CEA ประกาศเดินหน้าโครงการ NEW TCDC เพื่อกระจายศูนย์เรียนรู้-ทดลอง-สร้างเครือข่ายสู่ 10 จังหวัด โดยสื่อกระแสหลักยืนยันรายชื่อที่คัดเลือก รวมเชียงราย หรือ “เมืองศิลปะบนสายน้ำโขง” ไว้ชัดเจน ขณะที่ Bangkok Post และ Nation Thailand รายงานไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่กลางปี 2567 ว่า NEW TCDC จะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่านการอัปสกิล–รีสกิลคนท้องถิ่นและย่านสร้างสรรค์ในภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ทางการของโครงการ NEW TCDC ยังแสดง “การเตรียมตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเชียงราย” โดยระบุชัดถึงหน่วยงานพาร์ตเนอร์ในจังหวัด (อบจ.เชียงราย) ควบคู่กับจังหวัดเพื่อนบ้านในภาคเหนือ ซึ่งสะท้อนสถาปัตยกรรมความร่วมมือแบบ เครือข่ายจังหวัด ไม่ใช่เกาะเดี่ยวของเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียว

ออกแบบเพื่อทุกคน” คอนเซ็ปต์ TCDC เชียงรายตามแบบ CEA

ข้อมูลเชิงแนวคิดจาก CEA เปิดเผยภาพฝันของ “TCDC เชียงราย” ไว้อย่างน่าสนใจ พื้นที่จะตั้งอยู่บริเวณ หน้าศาลากลางหลังเก่า (ใจกลางเมืองที่คนคุ้น) ทีมสถาปนิกเสนอให้ศูนย์เป็น “Creative Space for All” โดยตั้งใจเชื่อมพื้นที่อาคารกับ ลานกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อดึงคนหลากวัยเข้าใช้จริง ไม่ใช่พื้นที่จัดแสดงเฉพาะกิจ คอนเซ็ปต์ดังกล่าวสอดรับวิธีจัดงานเยาวชนที่เชียงของในวันนี้ ซึ่งใช้สนามโล่งเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ให้เด็กได้ทดลองโชว์และสร้างงานร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้นทาง

มหกรรม 1 วัน…ที่วางรางวิ่งให้ “ระบบนิเวศสร้างสรรค์” ทั้งจังหวัด

เชื่อมชุมชน–โรงเรียน–ท้องถิ่น: งานนี้ผลักดันการทำงานเป็นเครือข่าย ทุกฝ่าย “มีบท” ทั้งหน่วยงานท้องถิ่น โรงเรียน กลุ่มผู้ปกครอง และเอกชนในพื้นที่ เด็กเห็นภาพโครงสร้างสนับสนุนครบวงจร ไม่ใช่เวทีที่มาแล้วก็จบ

เชื่อม “ออฟไลน์” เข้ากับ “ออนไลน์” การสื่อสารและรับสมัครผ่านเพจศูนย์เยาวชน ทำให้เด็กต่างอำเภอรับรู้ได้ไว มีการปล่อยคลิปและไลฟ์เพื่อกระตุ้นชุมชนให้เข้ามีส่วนร่วมต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนงานจนถึงวันจริง ซึ่งคือทักษะสื่อสารร่วมสมัยที่เด็กยุคนี้ต้องใช้ในการพัฒนางานสร้างสรรค์ของตนเอง

เชื่อม “กิจกรรม” กับ “โครงสร้างถาวร”: จุดหมายปลายทางคือให้เด็กวันนี้เติบโตเป็น ผู้ใช้พื้นที่ TCDC วันพรุ่งนี้ เมื่อศูนย์ฯ เปิดใช้งาน พวกเขาจะกลับมาในฐานะผู้จัดนิทรรศการ นักออกแบบ นักทำคอนเทนต์ หรือผู้ประกอบการตัวเล็กที่ใช้ศูนย์เป็นห้องทดลองทางธุรกิจ สิ่งนี้ทำให้การลงทุนด้านโครงสร้างมี “เจ้าของร่วม” ตั้งแต่วัยเรียน

ตัวเลข–ไทม์ไลน์ที่ต้องรู้ จากนโยบายส่วนกลางสู่การขับเคลื่อน ณ พรมแดนโขง

  • 10 จังหวัด ที่ CEA คัดเลือกให้เป็น NEW TCDC เพื่อจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ กระจายจุดเรียนรู้และเครือข่ายในภูมิภาค มี เชียงราย อยู่ในรายชื่อร่วมกับนครราชสีมา แพร่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ปัตตานี และภูเก็ต สื่อหลักรายงานสอดคล้องกันในกลางปี 2567
  • สถานะเชียงราย: เว็บไซต์โครงการ NEW TCDC แสดงสถานะ “จังหวัดคู่พัฒนา” และระบุพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ชี้แนวโน้มความคืบหน้าจริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษ
  • ดีไซน์คอนเซ็ปต์เชียงราย: CEA เผยแนวคิดสถาปัตยกรรมที่ยึดหัวใจ “Creative Space for All” บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า เน้นเชื่อมพื้นที่ใน–นอกอาคารให้เป็น ลานสร้างสรรค์ของทุกคน
  • ฐานกิจกรรมเยาวชนในพื้นที่: เพจศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย โพสต์กำหนดการ–เปิดรับสมัคร–ไลฟ์สด และภาพบรรยากาศงาน Homecoming โซน 4 วันที่ 16 ส.ค. 2568 ที่ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพื้นที่กิจกรรมเยาวชนกำลังถูกสร้าง “อย่างสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง

ความท้าทายที่ต้องมองตรง จาก “เวทีเดียว” สู่ “ระบบนิเวศที่ยั่งยืน”

หนึ่ง งบประมาณ–บุคลากร: ศูนย์ถาวรต้องการทีมคิวเรเตอร์ ครูเวิร์กช็อป และผู้จัดการพื้นที่ที่เข้าใจทั้งเด็กและธุรกิจสร้างสรรค์ การปลูกคนควบคู่กับปลูกอาคารจึงจำเป็น เพื่อไม่ให้พื้นที่กลายเป็น “ห้องว่างสวยๆ” ที่เปิดเพียงบางเทศกาล

สอง การเข้าถึงของเด็กชายแดน: เชียงของ–เวียงแก่น–เวียงแก้ว มีต้นทุนระยะทางและรายได้ครัวเรือน การทำให้ศูนย์อยู่ “ใกล้มือ” แม้อยู่ในเมือง ต้องใช้โมเดลบริการนอกศูนย์ เช่น คลินิกออกแบบเคลื่อนที่, ห้องสมุดวัสดุเดินทาง, หรือ บัตรสมาชิกเยาวชน ที่ลดต้นทุนการเข้าร่วมกิจกรรม

สาม เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น: โอกาสของเชียงรายอยู่ที่ “วัฒนธรรมชาติพันธุ์–หัตถกรรม–เกษตรสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวชุมชน” ศูนย์ต้องแปลทุนวัฒนธรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย สอดรับกับแผนการขยาย TCDC ที่มุ่งยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ภูมิภาคอยู่แล้ว

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “เด็ก ได้เวที—ผู้ใหญ่ ได้เห็น”

คำบอกเล่าของครูและผู้ปกครองที่หน้างานสรุปภาพเดียวกันว่า เมื่อมีเวทีที่จับต้องได้ เด็กกล้าแสดงออกมากขึ้น และเรียนรู้การทำงานกับคนต่างโรงเรียนต่างอำเภอ งานแบบนี้ไม่ใช่การแข่งชิงถ้วยเพียงอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่เป็น “ห้องทดลองทักษะชีวิต” ตั้งแต่การซ้อม การบริหารเวลา ไปจนถึงการรับคำวิจารณ์บนเวที ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นของคนทำงานสร้างสรรค์ในโลกจริง—ทักษะที่ TCDC จะต้องรองรับต่อยอดในชั้นเรียนและเวิร์กช็อปที่เป็นระบบในอนาคต (บนฐานแนวคิด “Creative Space for All”)

ทางเดินต่อ ใช้ “เทศกาลเยาวชน” เป็นรางพาเข้าสู่ศูนย์ถาวร

  1. ปักปฏิทินรายปี – จัด Homecoming ให้ครบทุกโซน เชื่อมกับปฏิทินนิทรรศการ–คลาสสั้นในเมือง เพื่อดึงเด็กจากชายแดนเข้าศูนย์ในรอบปี
  2. สร้างพาสปอร์ตทักษะ – ให้ผู้เข้าร่วมเก็บสะสมคลาส–ชั่วโมงอาสา แลกสิทธิใช้สตูดิโอ/วัสดุ/ที่ปรึกษาในศูนย์
  3. แมตช์เมกกิ้งกับภาคธุรกิจ – จับคู่ทีมเยาวชนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้ทำงานจริงขนาดเล็ก ตั้งแต่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ร้านชุมชนถึงคอนเทนต์โปรโมตเส้นทางท่องเที่ยว
  4. เผยแพร่โอเพ่นดาต้า – เก็บและเปิดข้อมูลผลลัพธ์งานเยาวชนและเวิร์กช็อป เช่น จำนวนผู้เข้าร่วม ผลงานต่อยอด เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายประเมินความคุ้มค่าการลงทุนได้โปร่งใส

จาก “พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” สู่ “บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์”

ภาพของเด็กๆ เต้นด้วยความมั่นใจข้างครกเครื่องลาบ คือสัญลักษณ์ของเชียงรายที่ก้าวไปพร้อมกัน ทั้งความเป็นพื้นถิ่นและความร่วมสมัย “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จึงไม่ได้ปิดฉากที่การประกาศผลรางวัล แต่เปิดฉากให้เห็น ทางเดินจริง จากลานโรงเรียนสู่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ทุกคน เมื่อเวทีชั่วคราวกับโครงสร้างถาวรเชื่อมกันครบวงจร เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีทุนมนุษย์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียง “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว” แต่เป็น บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์ บนลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย: โพสต์เปิดรับสมัคร–กำหนดการ–ถ่ายทอดสดงาน “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” วันเสาร์ที่ 16 ส.ค. 2568 ณ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมแต่ละโซนก่อนถึงวันงาน
  • อบจ.เชียงราย: โพสต์ภาพและคำบรรยายระบุวัน เวลา สถานที่ และบทบาทประธานพิธีเปิดโดยนายก อบจ.เชียงราย ในงานโซน 4 ที่เชียงของ
  • เว็บไซต์ทางการ NEW TCDC (CEA): หน้ารวมจังหวัดและพาร์ตเนอร์ ระบุ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เชียงราย โดย อบจ.เชียงราย พร้อมคู่จังหวัดภาคเหนืออื่นในเครือข่าย
  • บทความ CEA: “เปิดแนวคิด 10 ทีมนักออกแบบ NEW TCDC” ระบุคอนเซ็ปต์ TCDC เชียงราย “Creative Space for All” และตำแหน่งที่ตั้งบริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า
  • เพจ TCDC Chiang Rai (ข้อมูลสื่อสารสาธารณะของเครือข่าย TCDC จังหวัด): บทบาทและความร่วมมือกับ อบจ.เชียงราย ในการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News