Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” ลุยนโยบาย ขยาย “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” กู้ชีพหนองหลวงรับฤดูกาลท่องเที่ยว

นายกนก” ลุยนโยบายท่องเที่ยวทั้งจังหวัด อบจ.เชียงรายจับมือเวียงชัย จัด “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” ควบคู่ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” เร่งเคลียร์ผักตบ 40% ภายใน 28 วัน รับฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อเสียงลมหนาวกระทบยอดดอยและแม่น้ำกกเริ่มนิ่งสงบ เมืองเชียงรายก็กำลังเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลปลายปีด้วย “สองภารกิจใหญ่” ที่เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างมีทิศทาง—ภารกิจแรกคือการ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย ออกจากตัวเมืองสู่ระดับ “โซนอำเภอ” โดยเลือก อำเภอเวียงชัย เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อแผ่รัศมีเศรษฐกิจสร้างสรรค์และท่องเที่ยวไปให้ถึงชุมชนฐานราก; ภารกิจที่สองคือ ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” แหล่งน้ำสำคัญของเวียงชัยที่ถูกวัชพืชน้ำรุกคืบยาวนาน—วันนี้เริ่มเห็นทางออกด้วยตัวเลขก้าวกระโดด กำจัดผักตบชวาแล้วกว่า 40% ภายใน 28 วัน

การขับเคลื่อนครั้งนี้นำโดย อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากเรียกว่า “นายกนก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งย้ำทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ว่าต้องไปไกลกว่า “อีเวนต์สวยงาม” และต้องลงถึง “พื้นที่จริง” เพื่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้

มหกรรมไม้ดอก “โซนอำเภอ” จุดติดเศรษฐกิจฐานราก

ภาพจำของงานไม้ดอกเชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมามักผูกอยู่กับพื้นที่ใจกลางเมือง—สวนไม้งามริมน้ำกก—ซึ่งจะยังคงเป็น “เวทีหลัก” ของเทศกาลปลายปีนี้ ระหว่าง 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 แต่ปีนี้ อบจ.เชียงรายเพิ่มเดิมพันด้วยการ “แตกจุดจัด” ไปยัง อำเภอเวียงชัย เปิดโซนใหม่ภายใต้ชื่อ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย โซนอำเภอ เวียงชัย” ในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อกระจาย “นักท่องเที่ยว–รายได้–โอกาส” ออกจากตัวเมืองสู่ชุมชน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ของการย้ายบางกิจกรรมไปโซนอำเภอมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  1. กระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น—ตั้งแต่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ไปจนถึงสินค้าชุมชน
  2. เพิ่มจุดหมาย สำหรับนักท่องเที่ยวให้เดินทาง “วนรอบจังหวัด” แทนการเที่ยวเพียงย่านเดียว ลดการแออัดของเมือง
  3. ต่อยอดทรัพยากรพื้นที่ โดยเฉพาะ “หนองหลวง” ให้กลับมาเป็นเวทีท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมพื้นที่กิจกรรมริมน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเวียงชัย

การตัดสินใจเชิงนโยบายนี้ถูกแปรรูปเป็นงานปฏิบัติเมื่อ 20 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา—นายกนก พร้อม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย (ส.อบจ.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงนั่งโต๊ะประชุมกับผู้นำ ท้องที่–ท้องถิ่น อ.เวียงชัย ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 อบจ.เชียงราย เพื่อ ล็อกแผนภูมิทัศน์–พื้นที่กิจกรรม–ผลประโยชน์ชุมชน ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

“งานใหญ่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อชาวบ้านมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จริง—เราจะทำให้ ทุกอำเภอมี ‘เรื่องเล่า’ ของตัวเอง และนำเสนอเชียงรายในแบบที่หลากหลายตลอดทั้งปี” – แนวคิดที่ทีมงานอ้างถึง นายกนก ในที่ประชุม

 “หนองหลวง” แหล่งน้ำใหญ่กำลังขอความช่วยเหลือ

เบื้องหลังการขยับขยายงานไม้ดอกไปเวียงชัย มี “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ทีมงานต้องเร่งแก้ไขให้ได้ก่อน—คือการฟื้นฟู หนองหลวง” แหล่งน้ำขนาดใหญ่ของอำเภอที่ ผักตบชวาและวัชพืชน้ำ บุกรุกหนาแน่นมานาน ส่งผลให้ทิวทัศน์เสื่อมโทรม ระบบนิเวศอ่อนแอ และประโยชน์ใช้สอยของชุมชนลดลง

Storytelling ของหนองหลวง—ในความทรงจำของคนเวียงชัย หนองหลวงเคยเป็นพื้นที่ทอดสายลมเย็น มีแพประมงและเส้นทางจักรยานเลียบฝั่งน้ำ เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำช่วงปิดเทอม ผู้เฒ่าผู้แก่พายเรือวางอีจู้ดักปลา เมื่อเวลาผ่านไป วัชพืชก็มากับน้ำดีและตะกอน ทับถมจนผิวหนองแน่นขึ้นทุกปี ความงามค่อย ๆ ถูกบัง—และเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึง กลายเป็น “แรงผลัก” ให้การฟื้นฟูครั้งใหญ่ต้องเริ่มต้นอย่างจริงจัง

หน่วยปฏิบัติการ ของ อบจ.เชียงราย จึงถูกส่งเข้าแนวหน้า—นำโดย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเปิดเผยความคืบหน้าว่า ตลอด 28 วันของการทำงานต่อเนื่อง สามารถเคลียร์พื้นที่วัชพืชแล้วกว่า 40% ของเป้าหมาย ตัวเลขนี้ไม่เพียงหมายถึงทิวทัศน์ที่โปร่งตา หากยังส่งผลเชิงโครงสร้าง 3 ประการ ได้แก่

  • ด้านท่องเที่ยว เปิดฉากให้กิจกรรมริมน้ำและเส้นทางเดิน–ปั่นจักรยานกลับมาเป็นไฮไลต์ของเวียงชัย
  • ด้านป้องกันภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดจุดอุดตัน ลดความเสี่ยงน้ำท่วมเฉียบพลัน
  • ด้านคุณภาพชีวิต คืนความสะอาดให้แหล่งน้ำชุมชน สร้างโอกาสต่อยอด เกษตร–ประมงพื้นบ้าน อย่างปลอดภัย

ทีมงานเดินแผน เร่ง–รัด–ละเอียด” ควบคู่กัน—ใช้งานเครื่องจักรหนักกำจัดผักตบชวาเป็นตอตั้ง จากนั้นเก็บเศษซากขึ้นฝั่งเพื่อขนย้ายไปกำจัดอย่างถูกวิธี ปิดท้ายด้วยการปรับสโลป–เกลี่ยตลิ่งให้เป็นแนวทางเดินเล่น–ปั่นจักรยานที่เชื่อมพื้นที่กิจกรรมหลักของงานไม้ดอก

 “สวนไม้งามริมน้ำกก” กับ “โซนเวียงชัย” – สองเวที หนึ่งประสบการณ์

งานมหกรรมไม้ดอกปลายปีนี้ถูกวางตำแหน่งเป็น “ของขวัญส่งท้ายปี” ให้คนเชียงรายและนักท่องเที่ยว ทั้งในเชิง ภาพลักษณ์เมืองงาม และ แรงส่งเศรษฐกิจท่องเที่ยว โดย อบจ.เชียงรายกำหนดให้ สวนไม้งามริมน้ำกก ทำหน้าที่เป็น “เวทีหลัก” ที่ผู้คนคุ้นเคย—เนรมิตทุ่งดอกไม้หลากสีพร้อมโครงสร้างศิลป์ร่วมสมัย ขณะเดียวกัน โซนเวียงชัย จะเป็น “เวทีย่อย” ที่โดดเด่นด้วย เรื่องเล่าท้องถิ่น และ กิจกรรมริมน้ำ เช่น ตลาดชุมชน โซนชิม–ช็อป–เช็กอิน และพื้นที่เดิน–ปั่นชมวิวหนองหลวงที่เพิ่งรีเฟรช

การจัด สองเวทีคู่ขนานในช่วงเวลาเดียวกัน มีเป้าหมายให้ผู้มาเยือนใช้เวลาในจังหวัดนานขึ้น—จาก “ทริปเช้าเย็นกลับ” กลายเป็น ค้างคืน 2–3 คืน กระจายการจับจ่ายในวงกว้างขึ้น โดยผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ตรง ได้แก่ ที่พักขนาดเล็ก โฮมสเตย์ ร้านอาหารชุมชน ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมือง และผู้ให้บริการนำเที่ยวท้องถิ่น

โครงสร้างการทำงาน ผนึกกำลัง “ท้องที่–ท้องถิ่น–ท้องถิ่นใหญ่”

เพื่อให้ระบบเดินหน้าอย่างไร้รอยต่อ อบจ.เชียงรายขับเคลื่อนผ่าน สามวงแหวนความร่วมมือ

  1. วงใน – ทีมปฏิบัติการ อบจ. ฝ่ายปกครอง, สำนักช่าง, ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทำหน้าที่วางแบบ–เร่งงาน–กำกับมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
  2. วงกลาง – อำเภอเวียงชัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล/อบต. ร่วมกำหนดพื้นที่ เวลาจัดกิจกรรม ระบบจราจร–ที่จอดรถ และเงื่อนไขการใช้พื้นที่ของชุมชนเพื่อให้ “คนในพื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด”
  3. วงนอก – ภาคีเครือข่ายเศรษฐกิจและสังคม ภาคธุรกิจท่องเที่ยว, โรงแรม, กลุ่มอาชีพ, ภาคประชาสังคม ทำบทบาท “สื่อสาร–ต้อนรับ–ดูแลนักท่องเที่ยว” ให้ประสบการณ์โดยรวมของผู้มาเยือนราบรื่น

ในเชิงธรรมาภิบาล ทีมงานย้ำหลัก โปร่งใส–ตรวจสอบได้–มีส่วนร่วม” เช่น การชี้แจงข้อมูลการปรับภูมิทัศน์และการใช้พื้นที่สาธารณะต่อชุมชนรอบหนองหลวง การเปิดช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะก่อนปิดแบบพื้นที่กิจกรรม และการตั้งคณะทำงานร่วมติดตามความคืบหน้ารายสัปดาห์จนถึงวันเปิดงาน

ตัวเลขเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่ของเมือง

  • 28 วัน – 40%: คือความคืบหน้ากำจัดวัชพืชน้ำในหนองหลวงภายใต้การนำของฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย—ตัวเลขที่ไม่เพียงสะท้อน “ความเร็ว” แต่หมายถึง “ความตั้งใจ” ที่ถูกแปลงเป็นผลลัพธ์จริงบนพื้นที่
  • 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569: เป็น “ช่วงโกลเดนไทม์” ของการท่องเที่ยวปลายปี—การเลือกจัดงานไม้ดอกในช่วงนี้คือการกดปุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยจังหวะเวลา
  • เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”: สโลแกนที่กำลังถูกพิสูจน์ผ่านการลงมือในเวียงชัย—หากโมเดลโซนอำเภอสำเร็จ สามารถขยายไปสู่อำเภออื่น ๆ ได้ทันที ทั้งแม่จัน แม่สาย พาน เชียงของ ฯลฯ โดยปรับ “เรื่องเล่า–สินค้า–กิจกรรม” ให้เหมาะกับบริบทพื้นที่

ทำอย่างไรให้ “โซนอำเภอ” เป็นมากกว่าพื้นที่เสริม

เพื่อให้การจัดมหกรรมไม้ดอกในระดับอำเภอไม่ใช่เพียง “สีสันตามเทศกาล” แต่เป็น โครงสร้างการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ยืนระยะได้ ข่าวชิ้นนี้สรุป ข้อเสนอเชิงระบบ 5 ประการจากการแลกเปลี่ยนในที่ประชุมและภาคสนาม ดังนี้

  1. วางผังประสบการณ์ (Experience Mapping) – กำหนดจุดเริ่ม–จบ เส้นทางเดิน–ปั่น จุดถ่ายรูป จุดชิม–ช็อป และจุดพัก เพื่อควบคุมโฟลว์นักท่องเที่ยวและลดคอขวด
  2. โควตาพื้นที่ขายสำหรับชุมชน – กันสัดส่วนพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้วิสาหกิจชุมชน–OTOP–เกษตรแปรรูปในเวียงชัย เพื่อให้รายได้ตกสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง
  3. กฎสิ่งแวดล้อมเข้ม–สื่อสารเป็นสากล – กำหนดมาตรฐานขยะ แยกถัง จุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ พร้อมสื่อสาร 2 ภาษา (ไทย–อังกฤษ) อย่างชัดเจน
  4. ความปลอดภัยน่านฟ้า–ภาคพื้น – ประสานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ตำรวจ–ท้องถิ่น ย้ำมาตรการ งดโคม–ควบคุมโดรน ในช่วงกิจกรรมเพื่อความปลอดภัยของการบินและผู้ร่วมงาน
  5. ระบบติดตามหลังงาน (After Action Review) – เก็บข้อมูลผู้เข้าร่วม ยอดใช้จ่าย ปัญหา–ข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงโมเดลโซนอำเภอในปีถัดไป

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ งานใหญ่ที่ชาวบ้านต้องเป็น “เจ้าของร่วม”

แม้ข่าวนี้จะเป็นการรายงานจากฝั่งนโยบายและการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย แต่หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ การมีส่วนร่วมของชุมชน—ทั้งในบทบาทผู้จัด ผู้ต้อนรับ และผู้เก็บรักษาพื้นที่หลังงานเลิก “งานของเมือง” จะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “เป็นงานของชุมชน” ด้วย

เวทีหารือกับผู้นำท้องที่–ท้องถิ่นเวียงชัยจึงเน้นคำถามพื้นฐานที่สำคัญ เช่น จะทำอย่างไรให้ตลาดชุมชนต่อยอดได้หลังเทศกาล? จะเก็บรักษาหนองหลวงให้สะอาดต่อเนื่องอย่างไร? และ จะใช้เรื่องเล่าท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวได้อย่างไร?—คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการ “คำตอบสวยงามในห้องประชุม” แต่ต้องการ “การลงมือจริง” ร่วมกันของทุกฝ่าย

จากเมืองสวย…สู่เมืองน่าอยู่ ความหมายของ “ทุ่งดอกไม้” ที่มากกว่าความงาม

เมื่อย้อนมองภาพรวม “มหกรรมไม้ดอก” อาจเริ่มต้นจากความงามทางสายตา แต่ปลายทางที่ อบจ.เชียงราย พยายามมุ่งให้ถึงคือ คุณภาพชีวิต—ท้องถิ่นที่สะอาด สวยงาม ปลอดภัย มีรายได้หมุนเวียน และมีพื้นที่สาธารณะที่ชุมชนใช้ได้จริงตลอดปี ไม่ใช่เพียงช่วงเทศกาล

หนองหลวง ที่กำลังกลับมาหายใจได้ จึงไม่ใช่เพียงฉากหลังของงานอีเวนต์ แต่คือ สัญลักษณ์ของการฟื้นฟูร่วมกัน ระหว่างรัฐท้องถิ่นและชุมชน—วันนี้ตัดผักตบชวา วันหน้าอาจปลูกต้นไม้ริมน้ำ สร้างเส้นทางจักรยาน และจัดกิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เรียนรู้ธรรมชาติที่ลูกหลานเวียงชัยภูมิใจ

Roadmap ต่อจากนี้ นับถอยหลัง 60 วัน ก่อนดอกไม้บาน

หลังประชุม 20 ตุลาคม 2568 ทีมงานตั้งกรอบเวลาทำงาน รายสัปดาห์ จนถึงวันเปิดงาน (18 ธ.ค.) โดยมีหมุดหมายสำคัญ ได้แก่

  • สัปดาห์ที่ 1–2: เก็บกวาดวัชพืชคงค้าง, ปรับสโลปตลิ่ง, วางแบบพื้นที่เดิน–ปั่น
  • สัปดาห์ที่ 3–4: ติดตั้งโครงสร้างชั่วคราว (ลานกิจกรรม/ตลาดชุมชน), จัดระบบไฟ–น้ำ–สุขา
  • สัปดาห์ที่ 5–6: ซ้อมเสมือนจริง (Dry Run) ระบบจราจร–ที่จอดรถ–จุดคัดแยกขยะ, อบรมอาสาสมัครต้อนรับ
  • ก่อนงาน 7 วัน: ตรวจความพร้อมขั้นสุดท้ายร่วมกับอำเภอ–ท้องถิ่น–ตำรวจ–หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

ระหว่างทาง อบจ.เชียงรายจะออกเอกสารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนรับรู้ความคืบหน้า พร้อมเปิดช่องทางสื่อสารสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้าและบริการในพื้นที่งาน

 “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จากคำขวัญสู่การลงมือ

เชียงรายกำลังทดลอง “แบบฝึกหัดสำคัญ” ของเมืองท่องเที่ยวยุคใหม่—ไม่ปล่อยให้ความงามกระจุกอยู่เพียงในเมือง ไม่ปล่อยให้เทศกาลเป็นเพียงภาพถ่าย แต่แปลง “งานวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “เครื่องมือพัฒนาเชิงพื้นที่” ที่สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน

การ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกไปเวียงชัย และ เร่งกู้ชีพหนองหลวง คือภาพสะท้อนการเดินหมากเชิงยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ให้สัมผัสได้จริง—ถ้างานนี้สำเร็จ “โซนอำเภอ” ถัดไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชียงรายจะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย “เมืองท่องเที่ยวที่งดงามและยั่งยืน”

สารที่อยากชวนจำ ตัวเลข 40% ใน 28 วัน ไม่ใช่เพียงสถิติของการกำจัดผักตบ แต่คือ “ความเชื่อ” ว่าเมื่อ รัฐท้องถิ่น–ชุมชน–ภาคธุรกิจ ร่วมมือกัน เมืองทั้งเมืองก็ขยับได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ซ่อมคันอ่างเก็บน้ำห้วยสักทันที เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน”

อบจ.เชียงรายเร่งซ่อม “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” หลังเสียหาย เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน” บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร–ชาวบ้าน ต่อยอดสู่แผนฟื้นฟูเชิงระบบก่อนฤดูแล้ง

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอังคารที่ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย จุดรวมสายตาคือ “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” ที่ เกิดการขาดและชำรุดบางส่วน จนถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เร่งซ่อมทันที หลังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รับรายงานสถานการณ์และสั่งการลงพื้นที่ สำรวจ–ประเมิน–แก้ไข แบบ “บูรณาการหน่วยงาน” ตามนโยบาย “7 เรือธง” โดยย้ำหัวใจข้อที่ 1 คือ กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด

ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพียงร่องดินแตกร้าวของคันอ่าง หากคือเงาสะท้อนของ “ระบบน้ำ” ที่หล่อเลี้ยง นาข้าว แปลงพืชผักสวนครัว และน้ำอุปโภคบริโภค ของครัวเรือนใกล้เคียง ซึ่งถ้าการชำรุดลุกลามหรือซ่อมล่าช้า อาจกลายเป็น ความเสี่ยงซ้อน ต่อความมั่นคงน้ำในช่วง ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูแล้ง ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 “คันอ่างขาด–ชำรุด” และแรงกระทบเชิงพื้นที่

ข้อเท็จจริงจากภาคสนาม ระบุว่า คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักเกิดการขาดและชำรุดบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการกักเก็บและส่งน้ำสำหรับ พื้นที่การเกษตร รอบอ่าง รวมถึง น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ของชุมชนใกล้เคียง เหตุการณ์นี้ถูกประเมินให้เป็น ภารกิจเร่งด่วน ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ

  1. ลดความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ถ้ารอยขาด–ชำรุดขยายตัว อาจกระทบเสถียรภาพคันอ่างเป็นวงกว้างขึ้น
  2. ป้องกันการสูญเสียน้ำ ฐานสำคัญต่อฤดูกาลเพาะปลูกถัดไป แม้การรั่วซึมเพียงบางส่วนก็ทำให้เกิดการสูญเสียเชิงปริมาณในระยะยาว
  3. คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านน้ำ น้ำสะอาดสำหรับครัวเรือนคือบริการสาธารณะ ที่รัฐท้องถิ่นต้องประกันความต่อเนื่อง

ความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานโครงสร้างธรรมดา” แต่คือ “งานคุ้มครองความเป็นอยู่” ของประชาชนแบบเป็นรูปธรรม

สั่งการฉับไว ปฏิบัติการ “กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ลงพื้นที่จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย นำคณะปฏิบัติการลงพื้นที่ร่วมกับ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย), ผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าสุด, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และ ตัวแทนประชาชน เพื่อสำรวจจุดชำรุด กำหนดแนวทางแก้ไข และ นำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ทันที ยืนยันเจตนารมณ์ อยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์” โดยเน้น 4 ยุทธวิธีภาคสนามที่ทำคู่ขนานกันอย่างเป็นระบบ

  1. ปักหมุดจุดวิกฤต (Critical Points) ระบุแนวคันอ่างที่เสียหาย จุดเริ่ม–จุดสิ้นสุด ระดับความลึก–ความกว้างของรอยขาด และความเสี่ยงต่อโครงสร้างข้างเคียง
  2. เสริมเสถียรภาพชั่วคราว (Temporary Stabilization) วาง บิ๊กแบ็ก–ดินถมคัดขนาด–หินคลุก ลดแรงน้ำและยึดขอบคันไม่ให้ขยายวง
  3. เชื่อมต่อการใช้งาน (Functional Reconnection) เมื่อคันอ่างกลับมามีเสถียรภาพเบื้องต้น เร่งจัดการ จุดส่งน้ำหลัก ให้สามารถทำงานต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกร
  4. วางแผนซ่อมถาวร (Permanent Repair Plan) เก็บข้อมูลธรณี–อุทกวิทยาหน้างาน เพื่อนำไปออกแบบ คันอ่างเสริม–ระบบระบายน้ำดาดคอนกรีต–ชั้นกรอง ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับ นโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” ที่มุ่งให้ทีมเครื่องจักร–ช่างเทคนิคของ อบจ. เข้าถึงจุดวิกฤตเร็ว–แก้ปัญหาได้ตรงจุด–และลดเวลาหยุดชะงักของบริการสาธารณะ ในพื้นที่จริง

เหตุใด “ความเร็ว” จึงสำคัญในงานซ่อมคันอ่าง

หนึ่งวันที่ล่าช้า อาจเท่ากับ ปริมาณน้ำที่สูญเสีย หลายหมื่น–แสนลูกบาศก์เมตร ขึ้นกับขนาดรอยรั่วและสภาพภูมิประเทศ ยิ่งในช่วงรอยต่อฤดูกาล ปลายฝน–ต้นแล้ง น้ำทุกลูกบาศก์เมตรมีค่าต่อการเพาะปลูกและการใช้น้ำในครัวเรือน การยื้อเวลาให้ระบบกลับมาทำงาน เร็วที่สุดเท่าที่ปลอดภัย จึงเป็นตัวชี้วัด “ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย” อย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ความเร็ว ยังมีนัยต่อ ความเชื่อมั่นของประชาชน ยิ่งเมื่อชาวบ้าน “เห็น–ได้ยิน–สัมผัสได้” ว่ามีเครื่องจักรและคนของรัฐท้องถิ่นเข้ามาอยู่หน้างานอย่างจริงจัง ความกังวลย่อมลดลง และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–สนับสนุนการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

แจกบท–จับมือ–ทำงานคนละส่วน ลดซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เครื่องจักรและช่างเทคนิคของ อบจ. หากยังมี สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ที่ช่วยประสานข้อจำกัดด้านพื้นที่ป่าและแนวเขต, เทศบาลตำบลท่าสุด ที่สนับสนุนด้านการสื่อสารกับชุมชนและการจัดระเบียบพื้นที่ปฏิบัติการ, ขณะที่ ผู้นำท้องที่–ตัวแทนประชาชน เติมข้อมูลประวัติระดับน้ำ–ทิศทางไหล–พฤติการณ์น้ำหลากในอดีต ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์หน้างาน แม่นยำกว่าอ่านแผนที่ และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจโดยอิงแบบจำลองอย่างเดียว

รูปแบบการทำงานเช่นนี้สะท้อน ธรรมาภิบาลเชิงปฏิบัติ ทุกหน่วย มีบท–มีข้อมูล–มีอำนาจตัดสินใจเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การแก้ปัญหาเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดกับขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน

จากฉุกเฉินสู่ยั่งยืน แผนซ่อมถาวรและยกระดับ “ความแกร่ง” ของคันอ่าง

แม้การเสริมชั่วคราวจะคืนฟังก์ชันอ่างเก็บน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ ซ่อมถาวร คือเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าโดยเร็ว แกนหลักของงานระยะกลาง–ยาว มีอย่างน้อย 5 ประเด็น

  1. ตรวจโครงสร้างอย่างละเอียด (Detailed Inspection)
    สำรวจชั้นดิน–ชั้นกรวด–ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน (Permeability) และพฤติกรรมฐานรากของคันอ่าง เพื่อออกแบบการซ่อมให้เหมาะสม ไม่ “ซ่อมเฉพาะหน้า” จนปัญหากลับมา
  2. ออกแบบระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief)
    ติดตั้งท่อระบายน้ำ (Toe Drain)–ชั้นกรอง (Filter)–หินเรียง (Riprap) เพื่อป้องกัน Piping และการพังทลายจากแรงน้ำและฝนหนักในอนาคต
  3. เสริมคันอ่าง–ผิวดาด (Slope Protection)
    เลือกวัสดุและมุมลาดที่เหมาะกับสภาพฝน–ดินของพื้นที่ บางช่วงอาจใช้ ดาดคอนกรีต/หินเรียง ลดการกัดเซาะ โดยไม่ขัดกับระบอบนิเวศท้องถิ่น
  4. อุปกรณ์ตรวจ–เตือน (Monitoring & Early Warning)
    ติดตั้ง Staff Gauge (ไม้เกาะระดับน้ำ)–จุดสังเกตรอยร้าว–กล้องวงจร–เซนเซอร์น้ำฝนในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้ ตาชาวบ้าน” กับ ตาเทคโนโลยี” ทำงานร่วมกัน
  5. คู่มือบำรุงรักษา (O&M Manual)
    ทำตารางตรวจรอบเดือน/ไตรมาส/ก่อน–หลังฤดูฝน พร้อมแบบฟอร์มรายงานที่ลดภาระเอกสาร แต่ส่งสัญญาณไปถึงผู้เกี่ยวข้อง เร็ว–ครบ–ตรวจสอบย้อนกลับได้

แนวทางดังกล่าวจะเปลี่ยน “งานซ่อมครั้งนี้” ให้เป็น “มาตรฐานใหม่” ของการดูแลอ่างเก็บน้ำระดับชุมชนในจังหวัดเชียงราย

มุมเกษตรกร–ชุมชน ทำไม “น้ำ” คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับเกษตรกรในตำบลท่าสุดและพื้นที่ใกล้เคียง อ่างเก็บน้ำห้วยสักไม่เพียงช่วยให้ ฤดูกาลเพาะปลูกเดินต่อได้ หากยังเป็นหลักประกันต่อ รายได้สม่ำเสมอ ของครัวเรือน ทั้งข้าวและพืชผักสวนครัว รวมถึงปศุสัตว์บางส่วนที่ต้องการน้ำประปากลางจากแหล่งต้นทางที่มั่นคง

เมื่อคันอ่างชำรุด การชะลอส่งน้ำแม้เพียง 1–2 สัปดาห์ อาจแปลเป็น ค่าเสียโอกาส ที่เพิ่มสูงในช่วงรอยต่อฤดู ยิ่งหากเกิด คลื่นความร้อน–ฝนทิ้งช่วง ในปีหน้า การมีน้ำสำรองที่เพียงพอจะลดความเสี่ยงของ ผลผลิตเสียหาย ที่มักเกิดแบบรวดเร็วและยากต่อการเยียวยาทีหลัง

ความเคลื่อนไหวของ อบจ.เชียงราย ที่ ลงมือทันที” จึงไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ของรัฐท้องถิ่นที่คล่องตัว แต่เป็น กันชนทางเศรษฐกิจ ให้ครัวเรือนฐานรากในทางปฏิบัติ

เปิดข้อมูล–เปิดหน้างาน–เปิดการมีส่วนร่วม

วิกฤตโครงสร้างสาธารณะบอกเราว่า ข้อมูลที่ดี” สร้าง พลังร่วม” ได้มากแค่ไหน อบจ.เชียงรายสามารถต่อยอดการลงพื้นที่ครั้งนี้ ด้วยการสื่อสารเชิงรุก 3 ระดับ

  • หน้างาน ป้ายข้อมูลสั้น ๆ ณ จุดซ่อม ระบุ “อะไร–ทำไม–ทำอย่างไร–เสร็จเมื่อใด” เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจภาพรวม
  • ออนไลน์ อัปเดตความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ ผ่านช่องทางทางการของ อบจ., เทศบาลตำบลท่าสุด และเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียติดตามความคืบหน้าได้
  • เวทีชุมชน เมื่อเข้าสู่ระยะออกแบบซ่อมถาวร จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทาง–ผลกระทบ–มาตรการป้องกันฝุ่น–เสียง–เวลาเข้าพื้นที่ของเครื่องจักร เพื่อให้ชาวบ้านร่วมกำหนดเงื่อนไขการทำงาน

การ “เปิดข้อมูล” จะช่วยลดข่าวลือ–ข้อกังวล และเปลี่ยนชาวบ้านจาก “ผู้รับผล” เป็น “หุ้นส่วน” ของงานซ่อม

สิ่งที่ประชาชนทำได้ทันที เฝ้าระวัง–แจ้งเหตุ–ร่วมดูแล

  1. แจ้งเหตุผิดปกติ เช่น น้ำขุ่นจัด–ตลิ่งกัดเซาะ–เสียงน้ำไหลผิดธรรมชาติ ผ่านช่องทางของ อบจ. หรือเทศบาลตำบลท่าสุด
  2. เว้นระยะปลอดภัย ขณะเครื่องจักรทำงาน ไม่ลงเล่นน้ำ–ไม่จอดรถกีดขวางแนวขนส่งวัสดุ
  3. รณรงค์ขยะต้นทาง หลีกเลี่ยงทิ้งขยะลงลำห้วย–คูน้ำ เพราะจะอุดตันท่อระบาย–รางน้ำ และซ้ำเติมรอยชำรุด

เครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็ง คือ ด่านหน้า” ของการดูแลโครงสร้างพื้นฐานน้ำให้คงประสิทธิภาพหลังการซ่อม

เชื่อมโยงนโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” ในมิติความมั่นคงน้ำชุมชน

แม้ในรายละเอียด “7 เรือธง” ครอบคลุมหลายด้านของการพัฒนาจังหวัด แต่กรณี อ่างเก็บน้ำห้วยสัก ทำให้เห็นภาพชัดเจนของเรือธงที่ 1 ว่า กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ไม่ใช่สโลแกน หากเป็น ความสามารถเชิงปฏิบัติการ ที่ย่นระยะจาก “รับเรื่อง” ไปสู่ “ลงมือ” ให้สั้นที่สุด

เมื่อนโยบายระดับองค์รวม แตะพื้นดิน กลายเป็นรถแบ็กโฮ–รถบรรทุก–ทีมสำรวจ–ทีมสื่อสาร และ คู่มือความปลอดภัยหน้างาน ความคาดหวังของสังคมก็จะเปลี่ยนจากคำถามว่า “จะทำไหม” ไปเป็น “ทำอย่างไรให้เร็ว–ปลอดภัย–ยั่งยืน” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ท้องถิ่นยุคใหม่ต้องไปให้ถึง

จาก “จุดซ่อม” สู่ “แผนจัดการเขตอ่าง” (Basin-Level Thinking)

การซ่อมคันอ่างครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น จุดเริ่มต้น ของการมองพื้นที่น้ำแบบ ทั้งระบบ” ได้แก่

  • แผนที่เสี่ยง (Risk Map) ระบุแนวคัน–จุดอ่อน–ทางน้ำล้น–แหล่งตะกอน เพื่อกำหนดลำดับการลงทุนซ่อมบำรุงในอนาคต
  • ดัชนีเตือนภัย (Early Indicators) กำหนดเกณฑ์สีเขียว–เหลือง–แดง สำหรับระดับน้ำ–อัตราการซึม–รอยร้าว เพื่อให้ทีมงานและชุมชน พูดภาษาเดียวกัน
  • ปฏิทินงาน (Seasonal Calendar) ผูกตารางตรวจ–ซ่อม–ลอกตะกอน เข้ากับฤดูกาลฝน–แล้ง และรอบเพาะปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบซ้ำซ้อน
  • งบประมาณร่วม วางแบบจำลองค่าใช้จ่าย O&M รายปี พร้อม กองทุนชุมชน สมทบเพื่อการดูแลระยะยาว

เมื่อวาง “ภาษา–เครื่องมือ–งบประมาณ” ครบชุด การบำรุงรักษาอ่างเก็บน้ำจะไม่เป็นงานปะทุเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่เป็น ระบบประจำปี ที่เดินได้ด้วยตัวเอง

วิกฤตคือ “แบบฝึกหัด” ของรัฐท้องถิ่นที่ขยัน–คล่องตัว

คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักชำรุด ทำให้เห็น ความจำเป็น ของความเร็ว–ความแม่น–ความร่วมมือ ในการจัดการโครงสร้างสาธารณะระดับฐานราก อบจ.เชียงราย ตอบสนองด้วยการ กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากรสู่ชุมชน” ตามเรือธงข้อที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อม บูรณาการหน่วยงาน และวางทางไปสู่การ ซ่อมถาวร–ยกระดับมาตรฐานดูแลน้ำ ในระยะยาว

วิกฤตครั้งนี้จะยุติลงอย่างมั่นคง เมื่อเราเปลี่ยนจากคำถามว่า “ซ่อมเสร็จหรือยัง” เป็น “หลังซ่อมแล้วจะ ดูแลอย่างไร ให้ไม่เกิดซ้ำ—และให้ระบบน้ำแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม” คำตอบมีอยู่แล้วในหน้างานวันนี้ ความร่วมมือ คือคำใบ้แรก และ การจัดการเชิงระบบ คือคำตอบสุดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเกาะทองพลิกฟื้น! ใช้โซลาร์ปั๊ม-น้ำหมุนเวียน สร้างคลองแห่งความสุขแบบยั่งยืน

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส นครเชียงรายเนรมิต ‘คลองบำบัดน้ำเสีย’ สู่แลนด์มาร์คสีเขียว ติดตั้งโซลาร์เซลล์–ระบบน้ำหมุนเวียน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนเกาะทอง

เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — พื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น “รอยแผลของเมือง” กำลังถูกเยียวยาด้วยมือของคนในชุมชนและเทศบาล เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย เดินหน้าโครงการปรับภูมิทัศน์ “คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง” เปลี่ยนเส้นทางนำน้ำเสียสู่บ่อบำบัดให้กลับมามีความสวยงาม สะอาด เป็นระเบียบ พร้อมพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็น สวนสาธารณะ–ลานกีฬากลางแจ้ง และเตรียม ติดตั้งเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสร้าง “ระบบน้ำหมุนเวียน” ให้น้ำไหลตลอดเวลา ลดการค้างเน่า สร้างสภาวะเหมาะสมแก่พืชน้ำ–สัตว์น้ำ และดึงชุมชนเข้ามาเป็น เจ้าของพื้นที่ร่วม อย่างแท้จริง

“เราเริ่มจากการลงพื้นที่ ฟังเสียงคนริมคลอง ไม่ใช่เดินเข้าไปด้วยคำตอบสำเร็จรูป” แนวทางของโครงการถูกสรุปสั้น ๆ ผ่าน ไทม์ไลน์ ที่จับต้องได้ 26 มิถุนายน 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะและสมาชิกสภาเทศบาล ลงพื้นที่ ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการ ก่อนจะขยับจากแผนสู่การปฏิบัติ 10 ตุลาคม 2568 ด้วยกิจกรรม “ปลูกดอกไม้ริมคลอง พุทธรักษา และ ยี่โถสีม่วง เพื่อสร้างสีสันและความรู้สึกเป็นเจ้าบ้านร่วมกัน

จาก “คลองน้ำเสีย” สู่ “คลองแห่งความสุข” ภาพจำใหม่ของเมือง

หากเดินเท้าตามแนวคลองวันนี้ ภาพแรกที่เปลี่ยนไปคือ ความเป็นระเบียบและความสะอาด ริมตลิ่งถูกจัดรูปใหม่ ลดเศษวัชพืช–ขยะลอยน้ำ จุดคอขวดที่น้ำเคยค้างเน่าได้รับการแก้ไขเชิงกายภาพ พื้นที่เปิดโล่งกลายเป็น เส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยาน ที่เชื่อมย่านที่อยู่อาศัยกับ ลานออกกำลังกายกลางแจ้ง เด็ก ๆ ได้พื้นที่วิ่งเล่น ผู้สูงวัยมีพื้นที่ยืดเหยียดร่มรื่น ผู้ค้าชุมชนเริ่มวางแผงกิจกรรมยามเย็นแบบไม่รุกล้ำทางน้ำ

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญไม่ใช่เพียงภูมิทัศน์ภายนอก คือ ระบบน้ำหมุนเวียน ที่เทศบาลเตรียมติดตั้งผ่าน เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เติม “น้ำดี” ไล่ “น้ำเสีย” ลงสู่บ่อบำบัดให้เร็วขึ้น ลดการตกค้าง–หมักหมม ของสารอินทรีย์และตะกอน ช่วยให้น้ำในคลอง เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นหัวใจของการฟื้นฟูคุณภาพน้ำเบื้องต้นในพื้นที่เปิดโล่งของเมือง ทั้งหมดใช้ พลังงานสะอาด ลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว และทำงานประจำได้แม้ในวันที่ภารกิจของเทศบาลหนาแน่น

ฟัง–ร่วมคิด–ร่วมทำ เครื่องมือทางสังคมที่ซ่อมทั้งคลองและความรู้สึกเป็นเจ้าของ

โครงการนี้ไม่ใช่ “งานโครงสร้าง” อย่างเดียว หากแต่ย้ำ กระบวนการสังคม ที่สำคัญ ตั้งแต่การลงพื้นที่ 26 มิถุนายน 2568 เพื่อรับฟังความเห็นชุมชน 3 ย่าน ไปจนถึงกิจกรรม 10 ตุลาคม 2568 ที่ชักชวนคนทุกวัยมาปลูกดอกไม้ริมคลอง การมีส่วนร่วมทำให้ “คลอง” เปลี่ยนจาก “พื้นที่ของเทศบาล” เป็น “พื้นที่ของเรา” และเมื่อคนรู้สึกเป็นเจ้าของ พฤติกรรมการทิ้งขยะ การดูแลความสะอาด การเฝ้าระวังน้ำผิดปกติ ก็เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ

เทศบาลยังจับมือกับ กรมโยธาธิการ เพื่อวางรูปแบบ ทางเท้า เขื่อน พื้นที่ชะลอน้ำ ให้รองรับทั้งการใช้งานและการระบายน้ำยามฝน รวมถึง จุดทางเชื่อม ที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยและคนใช้วีลแชร์ ซึ่งล้วนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต ของเมืองได้จริง

นวัตกรรมที่พอดีเมือง ทำไมต้อง “เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ + น้ำหมุนเวียน”?

หัวใจของคลองบำบัดน้ำเสีย คือ “อย่าให้น้ำหยุดนิ่ง” เพราะเมื่อน้ำหยุด สารอินทรีย์สะสม เกิด กลิ่น สีน้ำ ความขุ่น ที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนรอบคลอง การใช้ Solar Pump จึงเหมาะกับเมืองที่มี แดดจัด ฝนสลับ อย่างเชียงราย สามารถเดินเครื่องกลางวันด้วยไฟแสงอาทิตย์ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่าย ช่วย “ปั่นระบบ” ให้ น้ำไหล ต่อเนื่อง พร้อมกับการ “ปล่อยน้ำดี” เป็นช่วง ๆ เพื่อเร่งให้น้ำเสียในคลองเลื่อนไหลลงสู่บ่อบำบัดได้เร็วขึ้น เมื่อน้ำหมุนเวียน ออกซิเจนละลายน้ำ (DO) มีแนวโน้มดีขึ้น ระบบนิเวศริมคลองจะฟื้นตัวได้ง่ายกว่า เด็ก ๆ มีพื้นที่ชุมชนที่ รับกลิ่น รับลม ได้โดยไม่ต้องเบือนหน้าหนี

แม้กระนั้น เทศบาลย้ำว่าคุณภาพน้ำที่ดี “ต้องวัด ต้องติดตาม” ไม่ใช่แค่ มองด้วยตา จึงมีแผนเฝ้าระวัง ตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น BOD (ค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี), COD, DO, ความขุ่น, สี, กลิ่น และ ชีวภาพเบื้องต้น เช่น พืชน้ำ/สัตว์น้ำที่ทน ไม่ทนมลพิษ เพื่อดู เทรนด์การฟื้นตัว มากกว่าการตัดสินจากภาพช่วงเปิดงานเพียงครั้งเดียว

พื้นที่สาธารณะคือวัคซีนใจ ฟังก์ชันสุขภาพ เศรษฐกิจ การเรียนรู้

เมื่อริมคลองสะอาดและปลอดภัยขึ้น เมืองก็ได้ วัคซีนป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ไปพร้อมกันคนเดินมากขึ้น หัวใจแข็งแรงขึ้น ระดับน้ำตาล ไขมันดีขึ้น ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขในระยะยาวก็ผ่อนเบา นอกจากนั้น พื้นที่สาธารณะยังเชื่อม เศรษฐกิจชุมชน ร้านน้ำสมุนไพร รถเข็นอาหาร สินค้าทำมือสามารถตั้งขายแบบ ไม่รุกล้ำทางเท้าและตลิ่ง ตามหลักเกณฑ์เทศบาลที่ชัดเจน กลายเป็น “เศรษฐกิจริมทาง” ที่สุภาพและปลอดภัย

ด้านการเรียนรู้ โรงเรียน มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถใช้คลองเป็น “ห้องทดลองมีชีวิต” สอนวงจรน้ำ เมือง สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ให้นักเรียนเก็บตัวอย่างน้ำเบื้องต้น สังเกตการเปลี่ยนแปลง ระหว่างก่อน หลังเปิดระบบน้ำหมุนเวียน ฝึกตั้งคำถามและสะท้อนผลด้วยภาษาเข้าใจง่ายนี่คือ ทุนสังคม ที่จะทำให้โครงการอยู่ยาว ไม่ใช่ “สวยเฉพาะวันเปิด”

ความท้าทายที่ต้องบอกกันตรง ๆ เมืองจะรักษาคุณภาพอย่างไรเมื่อปีงบฯ เปลี่ยน?

ทุกโครงการสาธารณะมี วัฏจักรงบประมาณ การบำรุงรักษา เป็นเงื่อนไขความยั่งยืน จุดแข็งของการใช้ Solar Pump คือ ต้นทุนพลังงานต่ำ ระยะยาว แต่ยังต้อง ดูแลอุปกรณ์–ทำความสะอาดตะแกรง–ตรวจมอเตอร์/อินเวอร์เตอร์–ไล่ตะกอน เป็นประจำ ด้านภูมิทัศน์ก็ต้อง ตัดหญ้า–ตัดแต่งพืช ต่อเนื่อง หนึ่งความเสี่ยงที่เทศบาลและชุมชนรับรู้ตรงกันคือ “เมื่อปีงบฯ เปลี่ยน คนเปลี่ยน งานจะตกหล่นไหม?” คำตอบของโครงการนี้คือ กำหนด “บทบาทชุมชน” ให้ชัด ชุดจิตอาสา/คณะกรรมการคลองทำหน้าที่ แจ้งเตือน–ร่วมดูแลเบื้องต้น–เป็นหูเป็นตา ให้เทศบาล และช่วย สื่อสารมารยาทการใช้พื้นที่ (เช่น ห้ามทิ้งเศษอาหารลงคลอง, พื้นที่ใดตั้งร้านได้ ไม่ได้) ลดแรงเสียดทานและค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็น

เมืองแห่งความสุขแบบยั่งยืน นโยบายใหญ่ต้องลงบน “งานเล็กที่ทำจริง”

วิสัยทัศน์ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” จะเป็นเพียงคำสวยหากไม่ถูก แปลงเป็นงานพื้นที่ โครงการคลองเกาะทองจึงทำหน้าที่เป็น Prototype ของงานสิ่งแวดล้อมเมืองที่ จับต้องได้ จุดเล็ก ๆ แต่ต่อท่อไปสู่ สุขภาพ–เศรษฐกิจ–การเรียนรู้ และ ความภูมิใจร่วม ของคนเชียงราย

เพื่อให้เป้าหมายไม่หลุดกรอบ ข่าวนี้สรุป “สมการความสำเร็จ” ของคลองบำบัดน้ำเสียเกาะทองไว้ 4 ข้อ

  1. โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับบริบท  แก้คอขวดทางกายภาพ + Solar Pump + ระบบน้ำหมุนเวียน
  2. การมีส่วนร่วมของชุมชน  ตั้งแต่ร่วมคิด, ลงมือปลูก, ดูแลประจำวัน
  3. ตัวชี้วัด–การสื่อสารข้อมูล  เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและรายงานผลเป็นระยะ ด้วยภาษาที่ประชาชนอ่านเข้าใจ
  4. ระเบียบพื้นที่สาธารณะชัดเจน  เปิดโอกาสเศรษฐกิจริมคลองอย่างปลอดภัย ไม่รบกวนการระบายน้ำและการสัญจร

ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ติดตามได้ (ไม่ใช่ความรู้สึก)

เพื่อให้สังคมตรวจสอบได้ โครงการควรกำหนด “ตัวเลขเป้าหมายเชิงผลลัพธ์” ที่สอดคล้องกับมาตรฐานงานเมือง/สิ่งแวดล้อม เช่น

  • ความถี่การสูบ–แลกเปลี่ยนน้ำ (ครั้ง/วัน) และ ชั่วโมงเดินเครื่อง Solar Pump (ชม./วัน)
  • แนวโน้ม ค่า DO–BOD–COD–ความขุ่น สี กลิ่น (รายเดือน/รายไตรมาส)
  • ปริมาณขยะที่เก็บได้ ริมคลอง (กก./เดือน) และ สัดส่วนขยะที่คัดแยกสำเร็จ
  • อัตราการใช้งานพื้นที่สาธารณะ (คน–ครั้ง/วันหยุด, วันธรรมดา) และ กิจกรรมชุมชน (ครั้ง/เดือน)
  • เหตุร้องเรียน/แจ้งเหตุ ที่เกี่ยวกับกลิ่น–น้ำค้างเน่า–การทิ้งขยะ (ครั้ง/เดือน) ที่ลดลง

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะทำให้การสื่อสารต่อสาธารณะ ตรงไปตรงมา ถ้าดีขึ้นเห็นจากตัวเลข ถ้ายังไม่ดีกำหนด แผนแก้ไขรอบถัดไป และเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบได้

เศรษฐกิจริมคลองกับ “เงื่อนไขสุขาภิบาลที่ไม่ต่อรอง”

การเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจย่อมตามมาด้วย ความรับผิดชอบด้านสุขาภิบาล เทศบาลควรกำหนด เงื่อนไขไม่ต่อรอง น้ำทิ้งจากร้านต้องไม่ลงคลองโดยตรง มี จุดล้าง ดักไขมัน ที่ถูกสุขลักษณะ พื้นที่ขายต้อง ไม่ล้ำเขตน้ำ และ ไม่กีดขวางเส้นทางหนีไฟ/การสัญจรผู้ใช้รถเข็น มี ถังขยะคัดแยก เพียงพอ และกำหนด ช่วงเวลาขายเก็บร้าน ชัดเจน พร้อมกลไก เตือน ปรับ งดใช้พื้นที่ชั่วคราว เมื่อฝ่าฝืนซ้ำ เพื่อคงสมดุลระหว่าง “สง่าราศีของคลองใหม่” กับ “ความคึกคักของเศรษฐกิจชุมชน”

บทเรียนสำหรับเมืองอื่น เริ่มจาก “ปมเล็ก” ที่คนแตะได้ทุกวัน

หลายเมืองมี “คลองน้ำเสีย” หรือ “คูระบาย” เป็นจุดอับของภาพลักษณ์ แต่บทเรียนเชียงรายชี้ว่า ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ราคาแพง เสมอไป การเลือก “ปมเล็ก” ที่คนเห็นทุกวัน และใช้ เทคโนโลยีพอดี พลังงานสะอาด–การมีส่วนร่วม สามารถสร้าง วงจรไว้วางใจ ระหว่างเมืองกับประชาชนได้เร็วกว่า เมื่อความเชื่อมั่นเกิดขึ้น เมืองจะขยายโครงข่าย คลองดี–ทางเท้าดี–สวนดี ไปย่านอื่นได้ง่ายขึ้น

คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทองจากปัญหาสุขาภิบาลและภาพลักษณ์สู่ “แลนด์มาร์คสีเขียว” ด้วยเครื่องมือสามอย่าง ปรับภูมิทัศน์, ระบบน้ำหมุนเวียนพลังงานแสงอาทิตย์, และ การมีส่วนร่วมของชุมชน เมืองไม่ได้หวังภาพสวยชั่วคราว แต่กำลังวางกรอบ ตัวชี้วัด, การบำรุงรักษา, และ บทบาทชุมชน ให้คลองอยู่ได้ยาวคนใช้จริง สุขภาพดีขึ้น เศรษฐกิจริมคลองเดินไปกับกติกาที่ชัดเจน นี่คือภาพจำใหม่ของนครเชียงรายในฐานะ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” ที่ลงมือทำจริงในระดับคลองหนึ่งเส้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กรมโยธาธิการ (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รมว.นฤมล ลงพื้นที่เชียงราย ดัน 3 นโยบายใหญ่ ศธ. เร่งซ่อมบ้านพักครูสู่ Zero Dropout

รมว.นฤมล” ลงพื้นที่เชียงราย ดัน 3 นโยบายใหญ่ ศธ. เร่งซ่อม “บ้านพักครู 13,000 หลัง” – อาชีวะอาสาช่วยชุมชน – เตรียมเยียวยาค่าอาหารนักเรียนพักนอน เดินหน้าสู่เป้าหมาย “Zero Dropout”

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของหอประชุมที่ว่าการอำเภอเวียงชัยไม่เคยคึกคักเท่านี้มาก่อน แถวยาวของผู้ปกครอง ครู นักเรียน และช่างอาชีวะที่กำลังยกกล่องเครื่องมือเบาหนักต่างกันเข้าแถวอย่างมีระเบียบ ในมุมหนึ่งของเวที ผู้คนกำลังรอซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกมุมหนึ่งช่างผมอาชีวะกำลังวัดทรงให้คุณลุงชาวบ้าน “บริการฟรี” คือคำที่ถูกย้ำโดยครูอาชีวะแต่เช้า—ภาพเล็กๆ เหล่านี้คือฉากหน้า ซึ่งกรุยทางไปสู่แกนหลักของการขับเคลื่อนการศึกษาไทยที่ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นำลงพื้นที่เชียงรายในวันนี้ ร่วมคณะกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียง “การตรวจเยี่ยม” แต่เป็นการนำนโยบาย “ยกระดับคุณภาพชีวิตครู–เปิดทางโอกาสเด็ก–อาชีวะเพื่อชุมชน” ลงสู่ปฏิบัติการแบบจับต้องได้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ตลอดจนผู้บริหาร กระทรวงศึกษาธิการ และเครือข่ายจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

“ครูคือพ่อแม่คนที่สอง ถ้าครูอยู่ดี มีแรง มีศักดิ์ศรี—เด็กก็จะมีอนาคตที่มั่นคง เราจึงต้องเริ่มที่คุณภาพชีวิตครู และเดินหน้าคุ้มครองโอกาสของเด็กไปพร้อมกัน”
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

เสาหลักที่ 1 ครูต้องอยู่ดี—เร่งซ่อม “บ้านพักครู” เฟสแรก 13,000 หลัง วางเป้าปี 2570 ครบ 40,000 หลัง

เสียงสะท้อนจากครูบนพื้นที่สูงและโรงเรียนสาขาที่ต้องดูแลนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป รมว.ศธ. ประกาศเดินหน้า แผนปรับปรุงบ้านพักครูที่ทรุดโทรม และยังมีครูอาศัยอยู่ 13,000 หลัง ในเฟสแรก (จาก 14,000 หลัง) เพื่อยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตครูให้เป็นรูปธรรม พร้อมบรรจุเป้าหมายใน ปีงบประมาณ 2570 ให้ปรับปรุงครบ 40,000 หลัง ทั้งระบบ—นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า “บ้านพักครู” ไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม” ที่กำหนดคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กโดยตรง

ควบคู่กันนั้น ศธ.ผลักดัน สหกรณ์กลางรวมหนี้ครู เพื่อจัดระเบียบภาระหนี้สิน ให้ครูมีสภาพคล่อง–ลดดอกเบี้ย และเปิด ช่องทางพิเศษขอวิทยฐานะ ทั้งครูในสังกัด สอศ. และ สพฐ. เพื่อลดคอขวดทางเอกสารและเวลาพิจารณา ให้คุณภาพผลงานครูเป็นตัวตั้งของการเติบโตในวิชาชีพ

“ครูในพื้นที่สูงและทุรกันดารทำงานหนักมาก เรากำลังพิจารณา ‘เกณฑ์พิเศษ’ หรือการประเมินเชิงประจักษ์สำหรับครูกลุ่มนี้ เพื่อยืนยันคุณค่าของงานที่มองไม่เห็นในห้องประชุม”
— ถ้อยคำชี้แจงเชิงนโยบายที่เวทีรับฟังปัญหา จ.เชียงราย

เสาหลักที่ 2 อาชีวะอาสา—“Fix it Center” ทำจริง ช่วยจริง ลดต้นทุนชีวิตรายวัน

บริเวณลานกิจกรรม Fix it Center ซึ่ง สอศ.จังหวัดเชียงราย จัดร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย–วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย–วิทยาลัยการอาชีพเชียงราย เสียงไขควงและเครื่องทดสอบไฟดังขณะช่างอาชีวะกำลังซ่อมเครื่องปั๊มน้ำและพัดลมให้ชาวบ้าน ขณะอีกมุมทีมนักศึกษากำลังตั้งโซ่–ตั้งวาล์วรถจักรยานยนต์ พร้อมให้คำแนะนำการบำรุงรักษาเบื้องต้น

บริการที่เปิด ฟรี มีทั้ง ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า–ซ่อมรถจักรยานยนต์–ซ่อมเครื่องมือเกษตร–ตัดผม และ อบรมอาชีพระยะสั้น เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำทักษะไปต่อยอดสร้างรายได้ แนวทางนี้ช่วย “ลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง” ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงของครัวเรือน และช่วย “ยืดอายุสินทรัพย์” ในบ้าน—ผลลัพธ์คือเงินในกระเป๋าชุมชนหมุนต่อได้นานขึ้น

มากกว่านั้น Fix it Center ยังเป็น “ห้องเรียนจริง” ของนักศึกษาอาชีวะ—เรียนรู้วินัยงาน ช่างมืออาชีพ และการสื่อสารกับลูกค้า—เชื่อมตรงกับ ตลาดแรงงานท้องถิ่น ที่ต้องการช่างมีมาตรฐานในภาคเกษตร–การท่องเที่ยว–บริการ

เสาหลักที่ 3 คุ้มครองโอกาสเด็ก—สำรวจ–เยียวยา “ค่าอาหารนักเรียนพักนอน” และดันเข้าวงจรงบฯ 2570

อีกด้านหนึ่งที่ รมว.ศธ. ย้ำหนัก คือผลกระทบจากการยกเลิก ค่าอาหาร 20 บาท สำหรับ นักเรียนพักนอน ในโรงเรียนที่อยู่นอกพื้นที่พิเศษ—มาตรการดังกล่าวทำให้หลายโรงเรียนในภูเขาสูง–พื้นที่ห่างไกล ต้องหาทางเอาตัวรอด ขณะที่นักเรียนบางส่วนมีความเสี่ยงจะ หลุดจากระบบ เพราะครอบครัวไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ศธ.จึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำ สำรวจจำนวนโรงเรียนและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ อย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นฐานประกอบการ ของบกลางเพื่อเยียวยาเร่งด่วน และนำเข้า แผนงบประมาณปี 2570 ให้มีแหล่งเงินถาวรรองรับ—มาตรการนี้ผูกเป้ากับ Thailand Zero Dropout (TZD) ซึ่งตั้งเป้าลดจำนวน เด็กหลุดจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ ผ่านการดูแลเชิงระบบทั้งปัจจัยในและนอกโรงเรียน

“ถ้าเด็กต้องนอนค้างในโรงเรียน แต่มื้ออาหารไม่มั่นคง การเรียนรู้ก็ไม่มั่นคง เราจะเร่งสำรวจให้ครบ และเยียวยาให้ทันที่สุด ก่อนวางงบถาวรปี 2570”
— แนวนโยบายจาก รมว.ศธ. ต่อที่ประชุมพื้นที่

เชียงราย เวทีทดสอบนโยบายเชิงพื้นที่—ครูเข้มแข็ง เด็กถึงห้องเรียน ชุมชนได้บริการ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีภูมิประเทศผสมผสาน—ที่ราบ สันเขา หุบเขา—โรงเรียนจำนวนมากรับนักเรียน หลายชาติพันธุ์ และอยู่ห่างไกลบ้าน ทำให้การ พักนอนในโรงเรียน เป็น “สภาพจริง” ไม่ใช่ “ข้อยกเว้น” การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงเป็น เวทีทดสอบ ว่า 3 นโยบายหลักของ ศธ.จะ “จับหัวใจปัญหา” ได้แค่ไหน

  • บ้านพักครู ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน = ลดความเครียดของครู–ลดการโยกย้าย–เพิ่มเวลาคุณภาพกับนักเรียน
  • อาชีวะอาสา = ลดต้นทุนครัวเรือน–สร้างทักษะ–ขยายเครือข่ายบริการสาธารณะในพื้นที่
  • ค่าอาหารนักเรียนพักนอน = หลักประกันขั้นต่ำของการเรียนรู้—ยืนยันว่าความห่างไกลจะไม่ตัดสิทธิเด็กจากโภชนาการที่เหมาะสม

ทั้งสามเสาเมื่อขึงพร้อมกัน จะช่วย “รับน้ำหนัก” โจทย์ใหญ่คือการทำให้ โอกาสทางการศึกษา ไม่ถูกกำหนดด้วย ภูมิศาสตร์ และ รายได้ครัวเรือน

แม่สอด–ตาก” ถึง “เชียงราย” โมเดลโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาที่ตอบโจทย์ภูมิประเทศจริง

ก่อนหน้านี้ รมว.ศธ. ลงพื้นที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อตรวจการศึกษาบนพื้นที่สูง–ชายแดน และได้รับข้อเสนอเรื่อง โดมเอนกประสงค์–โรงอาหาร–อินเทอร์เน็ต–โซลาร์เซลล์–ถังเก็บน้ำ–หอนอนสำหรับนักเรียนบ้านไกล ตลอดจนการ ปรับหลักสูตรแกนกลาง 2551 ให้ทันเทคโนโลยีและโลกการทำงาน

ประเด็นจากแม่สอดสะท้อนเข้ามาที่เชียงรายอย่างพอดิบพอดี—โรงเรียนบนภูเขา ต้องการไฟฟ้า–อินเทอร์เน็ต–น้ำ–อาหาร–ที่พัก และต้องการครูที่ อยู่ได้จริง—นี่คือเหตุผลว่าทำไม “บ้านพักครู–ค่าอาหาร–อาชีวะอาสา” จึงถูกวางเป็น แพ็กเดียว—เพราะทุกชิ้นเชื่อมกันเป็น คุณภาพชีวิต–คุณภาพการเรียนรู้–คุณภาพแรงงาน ในอนาคต

บทสนทนาที่ต้องเกิดขึ้นต่อ เกณฑ์ประเมินครูพื้นที่สูง–สวัสดิการ–ระบบข้อมูล

หนึ่งในข้อเสนอที่ปรากฏชัด คือ ปรับเกณฑ์ประเมินครูพื้นที่สูง/ทุรกันดาร ให้มี เกณฑ์พิเศษ หรือ การประเมินเชิงประจักษ์ ที่สะท้อนภาระงานนอกเวลา—ดูแลนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง—เดินทางยาก—ทำงานกับผู้เรียนต่างชาติพันธุ์—ซึ่งมักไม่ปรากฏในแบบฟอร์มและตารางคะแนน ปรับเกณฑ์ให้ “เห็นงานที่มองไม่เห็น” จะสร้าง ขวัญกำลังใจ ที่จับต้องได้

อีกด้านคือ ระบบข้อมูล—การเยียวยาอาหารนักเรียนพักนอนต้องตั้งอยู่บน ฐานข้อมูลโรงเรียน–จำนวนนักเรียน–ประเภทพื้นที่–ความต้องการโภชนาการ ที่ทันสมัยและตรวจสอบได้ เพื่อให้การของบกลางและการบรรจุแผนปี 2570 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Key Indicators) ที่สังคมควรถาม

  1. จำนวนบ้านพักครูที่ได้รับการปรับปรุงจริง ในเฟสแรก—กี่หลัง—ที่ไหน—เสร็จเมื่อไร—ได้มาตรฐานอะไร
  2. เวลารออนุมัติวิทยฐานะ หลังเปิดช่องทางพิเศษ—ลดลงเท่าไร—ผลต่อแรงจูงใจครูเป็นอย่างไร
  3. บริการ Fix it Center—จำนวนชิ้นที่ซ่อม—มูลค่าค่าซ่อมที่ชาวบ้านประหยัด—จำนวนผู้ผ่านอบรมทักษะอาชีพ—อัตราการต่อยอดทำกิน
  4. การเยียวยาค่าอาหารนักเรียนพักนอน—จำนวนโรงเรียน/นักเรียนที่ได้รับการช่วยเหลือ—ระยะเวลาจ่ายเงิน—ผลต่อ อัตราหลุดจากระบบ ในพื้นที่สูง
  5. การสื่อสารข้อมูลสาธารณะ—เว็บไซต์/แดชบอร์ดที่แสดงความคืบหน้าอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้

ความเสี่ยง–เงื่อนไขสำเร็จ

  • ความเสี่ยงด้านงบประมาณและเวลา ซ่อมบ้านพักครู 13,000 หลังในเฟสแรก ต้องการ “แผนงาน–ผู้รับจ้าง–มาตรฐานงาน–งบ–การกำกับติดตาม” ที่ละเอียด หากสื่อสารไม่ทันหรือเบิก–จ่ายล่าช้า ความเชื่อมั่นอาจสั่นคลอน
  • ความเสี่ยงด้านข้อมูล การเยียวยาอาหารถ้าไม่มีฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ครบถ้วน อาจพลาดกลุ่มเปราะบาง—ต้องให้ สพฐ. ทำงานเชิงรุกกับเขตพื้นที่–โรงเรียนสาขา–ศศช.
  • เงื่อนไขสำเร็จ บูรณาการระหว่าง ศธ.–สอศ.–สพฐ.–จังหวัด–อปท.–ชุมชน–สถาบันอุดมศึกษา ในพื้นที่ให้แน่นแฟ้น—โดยเฉพาะในเชียงรายซึ่งมีมหาวิทยาลัยและเครือข่ายอาชีวะพร้อมเป็นฐานปฏิบัติการ

จากเวียงชัยสู่อนาคต ภาพใหญ่ของ “การศึกษาเพื่อความเสมอภาค”

ภาพสุดท้ายของวันคือครูบนพื้นที่สูงยืนคุยกับช่างอาชีวะที่ยังเก็บเครื่องมือไม่เสร็จ “ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีพวกเรามาช่วย ชาวบ้านคงต้องจ่ายแพงกว่านี้” เสียงตอบกลับเรียบง่าย “ยินดีครับครู เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเรากลับมาฝึกอาชีพชุดใหม่”—บทสนทนาสั้นๆ แต่วางรากฐาน “วัฒนธรรมการดูแลกัน” ระหว่างโรงเรียน–อาชีวะ–ชุมชน

การลงพื้นที่เชียงรายของ รมว.นฤมล จึงไม่ใช่เพียงการประกาศนโยบาย แต่คือ การจัดวางโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา–สังคม ที่เริ่มจาก “บ้านพักครูที่ปลอดภัย” “มื้ออาหารที่มั่นคงของเด็กพักนอน” และ “อาชีวะอาสาที่ทำได้จริง” เมื่อทั้งสามชิ้นประกอบกันอย่างมีกลไกและงบประมาณรองรับ เป้าหมาย Zero Dropout ก็ไม่ใช่เส้นขีดในเอกสารอีกต่อไป แต่เป็นถนนที่เดินได้จริง—จากเวียงชัยสู่หมู่บ้านบนสันเขา และต่อเนื่องไปทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

208 รอยยิ้มในห้องเรียนชีวิต อบจ.เชียงรายเปิดเทอมโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัย

อบจ.เชียงราย–ท้องถิ่นจับมือ เปิด “โรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัย” ปั้นพลังสูงวัยสู่ห้องเรียนชีวิต ขับเคลื่อนชุมชนด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — แสงสายของเช้าวันพฤหัสบดีกรองผ่านหลังคาอาคารชุมชนที่เรียบง่าย ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย กลายเป็นฉากหลังของ “พิธีเปิดการเรียนการสอนโรงเรียนผู้สูงอายุ” ประจำปี 2568 ที่อบอวลด้วยรอยยิ้มและแรงบันดาลใจ ผู้ร่วมงานบอกกันสั้น ๆ ว่า “วันนี้ไม่ใช่แค่การเปิดเทอม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้คนทั้งชุมชนได้เริ่มรูปแบบการพัฒนาใหม่”—ภาพห้องเรียนที่เต็มไปด้วยคุณตาคุณยาย 208 คน สะท้อนสารสำคัญว่า การเรียนรู้ไม่สิ้นสุดตามอายุ” และการดูแลผู้สูงวัยที่ยั่งยืน เริ่มต้นจากการเสริมพลังให้พวกเขาเป็นเจ้าของศักยภาพของตนเอง

พิธีเปิดในวันนี้ได้รับเกียรติจาก นางสาวธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย อำเภอเวียงชัย เขต 1 ผู้แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาล ผู้นำชุมชน หน่วยงานภาครัฐ–เอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงรายที่มาร่วม “เชื่อมขีดความสามารถ” เข้ากับ “ความต้องการจริง” ของผู้สูงอายุในพื้นที่

เมล็ดพันธุ์ที่เพาะมานาน จากปี 2558 สู่รากฐานความยั่งยืน

โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลศิริเวียงชัย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 ท่ามกลางบริบทที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างต่อเนื่อง โมเดล “ห้องเรียนชีวิต” ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน ไม่ใช่โครงสร้างการศึกษาที่แยกตัวจากชีวิตจริง โรงเรียนจึงทำหน้าที่มากกว่า “สถานที่ถ่ายทอดความรู้” แต่เป็น แพลตฟอร์มการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ด้านสุขภาพ การดำเนินชีวิต การสร้างรายได้ และการมีส่วนร่วมทางสังคม—หัวใจสำคัญคือการให้ผู้สูงวัย “พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น” และ “ยังมีบทบาทเป็นกำลังพัฒนาชุมชนได้จริง”

ตลอดเส้นทางกว่า 10 ปี โรงเรียนได้ขยายหลักสูตรหลากหลาย ตั้งแต่ความรู้ด้านการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะกับวัย ไปจนถึงทักษะดิจิทัลเบื้องต้น การสื่อสารออนไลน์อย่างปลอดภัย การเงินครัวเรือน–หนี้สินชุมชน งานฝีมือและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเชิงอาชีพ รวมถึงกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อสังคม หลักสูตรเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “เนื้อหาในตำรา” หากแต่เป็น คำตอบต่อปัญหาจริงในชีวิตประจำวัน—จากการดูแลสุขภาพของตนเองและคู่ชีวิต การเข้าถึงสวัสดิการ การหาตลาดให้สินค้าชุมชน ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกหลานที่อยู่ต่างจังหวัดผ่านช่องทางออนไลน์

เปิดเทอม 2568  “ห้องเรียน 4 มิติ” ที่ออกแบบจากโจทย์ชีวิต

ปีนี้ โรงเรียนวางโครงสร้างการเรียนรู้ไว้ 4 มิติหลัก เพื่อเชื่อมการศึกษาเข้ากับคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

  1. มิติสุขภาพกาย–ใจ (Active & Healthy Ageing):
    • เวิร์กช็อป “ยืดเหยียดอย่างปลอดภัย” ปรับใช้กับข้อเข่า–ข้อไหล่
    • ฝึกหายใจแบบมีสติ เพื่อลดความเครียดและเสริมคุณภาพการนอน
    • คลินิกความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และโภชนาการสำหรับผู้สูงวัย ร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  2. มิติการดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง:
    • เคล็ดลับ “บ้านปลอดภัย” ลดการหกล้มและอุบัติเหตุในบ้าน
    • คู่มือสวัสดิการผู้สูงอายุ–เบี้ยยังชีพ–การเข้าถึงบริการรัฐ
    • ทักษะดิจิทัลจำเป็น เช่น การใช้แอปนัดหมายพบแพทย์ การโอนเงินอย่างปลอดภัย การระวังข่าวปลอมและกลโกงออนไลน์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ วิทยาลัยชุมชนเชียงราย
  3. มิติสร้างรายได้เสริม–เสริมพลังเศรษฐกิจครัวเรือน:
    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP/ของฝาก) ตั้งราคาขาย คำนวณต้นทุน–กำไร
    • บัญชีครัวเรือนและแผนเงินออมเพื่อการดูแลระยะยาว
    • ช่องทางตลาดออนไลน์อย่างง่าย ใช้เพจ–กลุ่ม–แพลตฟอร์มท้องถิ่นสนับสนุนการขาย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  4. มิติการมีส่วนร่วมทางสังคม (Silver Volunteer):
    • กลุ่มอาสาดูแลผู้สูงวัยติดบ้าน–ติดเตียงในชุมชน
    • โครงการ “เล่าเรื่องเมืองเวียงชัย” เก็บภูมิปัญญา–ประวัติชุมชนเพื่อนำไปใช้พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • สภาผู้สูงอายุย่อย เพื่อสะท้อนปัญหาและร่วมออกแบบคำตอบกับเทศบาล

การจัดมิติดังกล่าวทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับความรู้แบบกระจัดกระจาย แต่ เห็นเส้นเชื่อมโยง ระหว่างสุขภาพ–รายได้–สิทธิ–การมีส่วนร่วม นำไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ยั่งยืนกว่า เช่น ผู้เรียนที่เคยกังวลเรื่องภาวะหกล้ม ปรับบ้านและจัดระเบียบพื้นที่เดินภายในหนึ่งสัปดาห์ หรือกลุ่มที่ทำของฝากชุมชน สามารถตั้งต้นทุน–กำหนดราคาที่เป็นธรรม พร้อมเรียนรู้วิธีบันทึกบัญชีอย่างเป็นระบบ

เครือข่าย” คือรากฐาน เมื่อทุกฟันเฟืองขยับไปในทิศทางเดียวกัน

ความสำเร็จของโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง หากเกิดจาก การบูรณาการความร่วมมือ ของหลายหน่วยงาน ได้แก่

  • เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย เจ้าภาพหลักในการบริหารจัดการพื้นที่ งบประมาณพื้นฐาน และการสื่อสารกับชุมชน
  • อบจ.เชียงราย บทบาทผู้เชื่อมโยงทรัพยากร สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และขยายผลสู่ระดับอำเภอ–จังหวัด
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ให้ความรู้ด้านป้องกันโรค การคัดกรองสุขภาพ และระบบส่งต่อ
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย สนับสนุนองค์ความรู้ด้านสวัสดิการ สังคมสงเคราะห์ และการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย โค้ชชิ่งการสร้างอาชีพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเชื่อมตลาด
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ วิทยาลัยชุมชนเชียงราย ถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงวิชาการ ทักษะดิจิทัล และเครื่องมือประเมินผลหลักสูตร

เครือข่ายแบบนี้ทำให้โรงเรียนไม่ต้อง “คิดเอง–ทำเอง” ทุกเรื่อง แต่สามารถ ยกเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญตรงสาขา เข้ามาส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ และประกันคุณภาพผลลัพธ์กับผู้เรียน

เสียงจากพื้นที่เมื่อผู้สูงวัยเป็น “ครูใหญ่” ของประสบการณ์

แม้ในพิธีเปิดจะไม่มีคำปราศรัยยาวเหยียด แต่ท่าทีและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนสะท้อนความคาดหวังชัดเจน—หลายคนเลือกเข้าหลักสูตรสุขภาพเพื่อ “แข็งแรงอย่างพอดี” หลายคนอยากเรียนดิจิทัลเพื่อ “คุยกับหลานได้คล่องขึ้น” บางคนมองหาโอกาส “ต่อยอดงานฝีมือเป็นรายได้” ขณะที่อีกไม่น้อยต้องการ “ใช้เวลาให้มีคุณค่าและประโยชน์” ผ่านงานอาสาสมัคร

เมื่อบทบาทผู้สูงวัยเปลี่ยนจาก “ผู้รับบริการ” สู่ “ผู้มีส่วนร่วม” โรงเรียนจึงไม่ใช่ ที่สอน เพียงด้านเดียว แต่เป็น เวทีแลกเปลี่ยน ที่ผู้เรียนถ่ายทอดเทคนิคการครัวพื้นบ้าน วิธีการปลูกผักสวนครัวปลอดภัย แก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่เคยผ่านมาก่อน ตลอดจนเรื่องเล่าเก่าก่อนของเวียงชัย—องค์ความรู้เหล่านี้กลายเป็นหลักสูตร “จากชุมชนสู่ชุมชน” ที่สถาบันการศึกษาภายนอกก็ย้อนกลับมาเก็บข้อมูลวิจัยเชิงพื้นที่ สร้างคุณค่าร่วมกันอย่างงดงาม

เชื่อมโยงยุทธศาสตร์จังหวัด ผู้สูงวัย = กำลังพลทางสังคม

ในระดับจังหวัด เชียงรายเดินหน้าวาระ “เมืองน่าอยู่–เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง–ชุมชนเกื้อกูล” การลงทุนด้านผู้สูงอายุจึงไม่ใช่ภาระ แต่คือ ทุนทางสังคม ที่สร้างผลคูณ เศรษฐกิจชุมชนได้ประโยชน์จากแรงงาน–ทักษะ–เครือข่ายของผู้สูงวัย ขณะที่ระบบสุขภาพได้ประชากรที่ดูแลตนเองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังและการเข้ารับบริการฉุกเฉินบ่อยครั้ง ส่วนระบบการศึกษาได้ “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชนผ่านกิจกรรมบ่มเพาะทักษะชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น

สำหรับ อบจ.เชียงราย โครงการโรงเรียนผู้สูงอายุสอดรับแนวคิด “การพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงรุกทุกช่วงวัย” ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการสังคม และสร้างกลไกให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าของการพัฒนาอย่างแท้จริง—เมื่อเทศบาลสามารถออกแบบหลักสูตรจากโจทย์พื้นที่จริง และเชื่อมหน่วยงานเชี่ยวชาญเข้ามาสนับสนุน ผลลัพธ์จึง “อยู่ได้ยาว” ไม่ใช่กิจกรรมฉาบฉวย

จับต้องผลลัพธ์ ตัวชี้วัดง่าย แต่ทรงพลัง

เพื่อให้โครงการขับเคลื่อนต่อเนื่อง โรงเรียนวางกรอบ ตัวชี้วัดเชิงพฤติกรรม ที่ติดตามได้จริง ได้แก่

  • ผู้เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละหนึ่งของประชากรผู้สูงอายุในตำบลเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ
  • ร้อยละของผู้เรียนที่ปรับพฤติกรรมสุขภาพ (เช่น เดินวันละ 6–8 พันก้าว ปรับอาหารหวาน–มัน–เค็ม ลดหวานน้ำชา–กาแฟ) ภายใน 8–12 สัปดาห์
  • ร้อยละของผู้เรียนที่จัดทำบัญชีครัวเรือนต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป
  • จำนวน “กลุ่มย่อย” ที่เกิดขึ้นจริง (กลุ่มเดินเช้า กลุ่มสมุนไพร กลุ่มฝีมือ–ของฝาก กลุ่มอาสาดูแลผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง)
  • ความพึงพอใจต่อการเข้าถึงสวัสดิการและข้อมูลภาครัฐ

ตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน แต่เพียง ความต่อเนื่อง ก็สะท้อนคุณภาพโครงการได้ชัดเจน—ห้องเรียนที่ผู้เรียนกลับมาอย่างสม่ำเสมอ คือห้องเรียนที่ “มีความหมาย” ต่อชีวิตจริงของพวกเขา

ความปลอดภัย–การเข้าถึง–สิ่งแวดล้อม มาตรฐานบริการเพื่อคนทุกวัย

การเรียนรู้ของผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกเป็นพิเศษ ศูนย์ฯ จึงปรับสภาพแวดล้อม เช่น พื้นกันลื่น ทางลาดสำหรับรถเข็น ห้องน้ำผู้สูงวัย เก้าอี้พนักพิงสูงมีที่วางแขน พร้อมทีมอาสาจากโรงเรียนและชุมชนคอยประคองขึ้น–ลงบันได กำหนดช่วงเวลาพักทุก 45–60 นาที และมีมุมตรวจวัดความดัน–ระดับน้ำตาลก่อน–หลังเรียนในบางกิจกรรม

ด้านสิ่งแวดล้อม โรงเรียนใช้แนวคิด “ห้องเรียนปลอดขยะ” สนับสนุนกระติกน้ำส่วนตัว ภาชนะใช้ซ้ำ และถังคัดแยก 3 ประเภท โดยร่วมกับกลุ่มรีไซเคิลชุมชนมารับ–แยกต่อยอดรายได้ นอกจากลดภาระเทศบาลยังเป็นกิจกรรม “ขยายผล” ให้ผู้เรียนพาแนวทางกลับไปปรับใช้ที่บ้าน

บทเรียนจากเวียงชัยต้นแบบที่ขยายผลได้

สิ่งที่น่าสนใจคือโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยไม่เพียงเป็น โมเดลของตำบล แต่มีศักยภาพจะเป็น ต้นแบบของอำเภอเวียงชัย–จังหวัดเชียงราย ด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ

  1. เจ้าภาพชัดเจน (เทศบาล–อบจ.) มีงบประมาณและบุคลากรรองรับ
  2. เครือข่ายหนุนหลังแข็งแรง ครอบคลุมสุขภาพ–สังคม–เศรษฐกิจ–การศึกษา
  3. หลักสูตรยืดหยุ่น ปรับตามบริบท เช่น ฤดูกาลเพาะปลูก เทศกาลท้องถิ่น และประเด็นปัจจุบัน (ภัยไซเบอร์–ข่าวปลอม–โรคระบาด)

เมื่อองค์ประกอบครบ โรงเรียนผู้สูงอายุจะไม่ใช่ “โครงการสั้น ๆ” แต่เป็น สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน ที่ตอบโจทย์ประชากรสูงวัยมากขึ้นทุกปี

มองภาพใหญ่ ผู้สูงวัยไม่ใช่ผู้ตาม แต่เป็น “ผู้นำภารกิจชุมชน”

หากมองลึกลงไป โรงเรียนผู้สูงอายุคือการ จัดวางบทบาทใหม่ให้ผู้สูงวัย จากภาพจำเดิม ๆ ว่าต้องได้รับการดูแล สู่ภาพของ “ผู้นำภารกิจ” หลายด้าน—ครูภูมิปัญญา ผู้ประสานรอยต่อรุ่น แกนนำสาธารณสุขชุมชน ผู้เฝ้าระวังภัยทางสังคมรูปแบบใหม่ และผู้ประกอบการรายย่อยที่ส่งต่อรายได้สู่ครัวเรือน การ “คืนพื้นที่นำ” ให้ผู้สูงวัยเช่นนี้ ทำให้ชุมชนเวียงชัยมี ทุนทางสังคม ที่แข็งแกร่งขึ้นโดยอัตโนมัติ และเมื่อทุนนี้หมุนกับระบบสนับสนุนของรัฐท้องถิ่น ก็ยิ่งขยายผลได้กว้าง

เปิดเทอมของใจ เปิดทางของเมือง

การเปิดการเรียนการสอนโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการย้ำว่าการพัฒนาที่แท้จริงเริ่มจาก คน และ พื้นที่—เมื่อผู้สูงวัย 208 คนกลับเข้าห้องเรียน เมืองทั้งเมืองก็ได้ “ครูใหม่” เพิ่มอีก 208 คน ที่พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต สร้างสังคมเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล และยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง

ความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย และเครือข่ายท้องถิ่นในการผลักดัน การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้เป็นวาระปกติของเมือง คือคำตอบต่อคำถามใหญ่ของยุคสูงวัยว่า จะทำอย่างไรให้ทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—คำตอบอาจเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เปิดห้องเรียนให้ชีวิต และเปิดชีวิตให้สังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย  
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พม.)
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วิทยาลัยชุมชนเชียงราย
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) — Healthy Ageing Framework
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เตรียมรับมหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025

หนองหลวงต้องกลับมาหายใจ” อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เดินเกมยุทธศาสตร์น้ำ–ท่องเที่ยว เตรียมพื้นที่รองรับ “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 — หนองหลวง อำเภอเวียงชัย หมอกบางๆ ลอยเหนือผิวน้ำที่เคยสงบเงียบ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพจำผืนน้ำกว้างกว่า 9,800 ไร่ กลับค่อยๆ ถูกกลืนด้วยผักตบชวาและวัชพืชน้ำที่แพร่กระจายรวดเร็ว จนรุกล้ำทางน้ำและทับซ้อนพื้นที่ทำกินของชุมชน ความตื้นเขินและปัญหาการจัดการน้ำยืดเยื้อทำให้หลายครอบครัวรอบหนองหลวงต้องประคองชีวิตไปตามฤดูกาลน้ำที่ไม่แน่นอน

สัปดาห์นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เปิดปฏิบัติการกู้ชีพหนองหลวงอย่างจริงจัง ส่งเครื่องจักรกลหนักลงพื้นที่ พร้อมบุคลากรและน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเดินหน้า “รื้อ–แยก–ขน” ผักตบชวาออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ภารกิจภาคสนามดังกล่าวมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่กำกับงานตามมอบหมายของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย โดยมี พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองป้องกัน อบจ.เชียงราย รายงานสถานการณ์เชิงปฏิบัติการและความคืบหน้าหน้างานอย่างใกล้ชิด

แม้จะเป็นภาพ “งานหนัก” ของเครื่องจักร–คนงาน–เรือท้องแบนที่วิ่งรับส่งวัชพืชไม่หยุด แต่ในระดับยุทธศาสตร์ นี่คือการขับเคลื่อนที่โยงถึงทั้ง ความมั่นคงทางน้ำของชุมชน 3 ตำบล 2 อำเภอ, ความปลอดภัยจากอุทกภัย–ภัยแล้ง, และ การเตรียมความพร้อมพื้นที่จัดงานระดับภูมิภาค อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 (โซนอำเภอ) ซึ่งจะดึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นช่วงปลายปีและต้นปีถัดไป

ปมปัญหาที่สะสม จากวัชพืชสู่ภาวะน้ำตื้นเขิน และวงจรเศรษฐกิจท้องถิ่นที่สะดุด

หนองหลวงไม่ใช่เพียงผืนน้ำธรรมชาติ หากคือ “หัวใจน้ำ” ที่หล่อเลี้ยงไร่นา—ประมงพื้นบ้าน—ระบบนิเวศท้องถิ่น และเป็นพื้นที่นันทนาการของชุมชนมายาวนาน ปัญหาเกิดจากหลายปัจจัยซ้ำเติมกัน ได้แก่

  • การแพร่ระบาดของผักตบชวา ซึ่งขยายตัวรวดเร็วในช่วงน้ำอุ่นและน้ำหลาก ลอยอัดแน่นเป็นแพขวางทางน้ำ กระทบทั้งระบบนิเวศและการสัญจรทางเรือ
  • ตะกอนดินสะสม–การตื้นเขิน จากการชะล้างหน้าดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบหนองหลวง ทำให้ความสามารถกักเก็บน้ำลดลง
  • รูปแบบการจัดการน้ำที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ยามฝนมาก น้ำระบายไม่ทัน—เสี่ยงท่วม ยามแล้ง น้ำน้อยกว่าความต้องการ—เสี่ยงขาดแคลน

การตัดสินใจของ อบจ.เชียงราย ที่ “ลงมือเอง” ด้วยเครื่องจักรกลและกำลังคน จึงไม่ใช่เพียงการเคลียร์ผิวน้ำให้โล่งตา แต่หมายถึงการ คืนความจุน้ำ ให้แหล่งน้ำหลัก, การลดภัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อหมู่บ้านรอบหนองหลวง และการสร้าง “เวลาชนะ” ให้ทีมวิศวกรท้องถิ่นเพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบต่อไป

จุดเชื่อมยุทธศาสตร์ น้ำ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก

โครงการนี้ชี้ให้เห็น “แนวคิดบูรณาการ” ที่จับต้องได้

  1. น้ำคือโครงสร้างพื้นฐานชีวิต — เมื่อกำจัดวัชพืชและเปิดทางน้ำ ความสามารถกักเก็บ–ผัน–ระบายของหนองหลวงจะกลับมาใกล้เคียงศักยภาพ ช่วยลดต้นทุนชาวนา–ชาวสวน ลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความมั่นใจในฤดูกาลเพาะปลูก
  2. ท่องเที่ยวเชิงนิเวศคือโอกาส — หนองหลวงมีภูมิทัศน์น้ำกว้าง เหมาะกับกิจกรรมดูนก พายเรือ ปั่นจักรยาน และท่องเที่ยวชุมชน เมื่อผิวน้ำสะอาด–แนวทัศน์เปิด–ระบบนิเวศฟื้น การจัดโซนกิจกรรมรองรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะทำให้หนองหลวงเป็น “หน้าต่างแรก” ที่นักท่องเที่ยวสัมผัส และกระจายรายได้สู่โฮมสเตย์–คาเฟ่–งานหัตถกรรมพื้นถิ่น
  3. ตอบนโยบายเร่งด่วนระดับชาติ — เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการเร่งกำจัดวัชพืชกีดขวางทางน้ำทั่วประเทศภายใน 1 เดือน พร้อมมาตรการความรับผิดชอบของหน่วยงานในพื้นที่ การลงมือของ อบจ.เชียงรายจึงเป็นทั้ง “คำตอบในพื้นที่” และ “ตัวอย่างความคล่องตัว” ที่สอดรับนโยบายกลางอย่างทันที

ภาพจากพื้นที่ เครื่องจักร–คน–เวลา ทำงานเป็นทีมเดียว

รถสะเทินน้ำสะเทินบก เป็นพระเอกของการปฏิบัติการรอบนี้ เพราะทำงานได้ทั้งบนบกและในน้ำ สามารถลาก–รวบรวม “แพผักตบ” มาขึ้นจุดคัดแยก ก่อนลำเลียงขึ้นรถบรรทุกไปกำจัดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม บางส่วนอาจถูก “อัดก้อน–หมัก” เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับชุมชนเกษตรรอบหนองหลวง ลดภาระค่าขนทิ้งและ “ปิดวงจรของเสีย” ให้เป็นทรัพยากรใหม่

กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เป็นแกนกลางภาคสนาม จัดคิวเครื่องจักร, คุมความปลอดภัย, ประสานผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสาสมัครท้องถิ่นร่วมปิดกั้นพื้นที่เสี่ยง เวลาเครื่องจักรขึ้นลงตลิ่ง และกำหนด “ทางน้ำชั่วคราว” ให้เรือชาวบ้านและเรือประมงสัญจรได้ระหว่างทำงาน เพื่อลดผลกระทบต่ออาชีพเดิมให้มากที่สุด

ทำไมต้องทำ “ตอนนี้” หน้าฝน–หน้าท่องเที่ยว–หน้าต่างเศรษฐกิจ

ช่วงปลายฤดูฝนต่อเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวปลายปี เป็น จังหวะดีที่สุด สำหรับการถอนทัพวัชพืชครั้งใหญ่ เหตุผลสำคัญคือ

  • แรงกระแสน้ำชะช่วยระบาย ระหว่างเคลื่อนย้าย ทำให้แพผักตบแตกออกง่าย ลดต้นทุนแรงงาน
  • ก่อนเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว การเคลียร์พื้นที่ล่วงหน้าจะเปิดทัศนียภาพและความปลอดภัยทางน้ำรับนักท่องเที่ยว
  • ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ผักตบขวาง “ท่อ–สะพาน–คันกั้น” ซึ่งเคยทำให้หมู่บ้านรอบหนองหลวงเจอน้ำเอ่อ

ในมุมของการตลาดท่องเที่ยว ภาพ “ผืนน้ำโล่ง–ฟ้ากว้าง–แนวต้นไม้สีเขียว” คือสื่อทรงพลังสำหรับแคมเปญ เชียงราย–เวียงชัย เมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่สามารถเชื่อมทริปเข้ากับเส้นทางวัฒนธรรม–อาหารเหนือ–โฮมสเตย์–สินค้า OTOP และ “ความงามของไม้ดอก” ในงานอาเซียนปี 2025 ได้อย่างลงตัว

ปฏิบัติการนี้คือ “สะพาน” สู่การบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม

การกำจัดผักตบเป็น เพียงจุดเริ่ม ของการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน ภาพใหญ่ที่ควรเดินต่อไปมีอย่างน้อย 4 มิติ

  1. ผังน้ำชุมชน (Community Water Map) — บันทึกจุดสะสมผักตบ–คอขวด–ทิศทางลม–ทางน้ำหลาก เพื่อกำหนด จุดดัก–ลาก–คัดแยก” ถาวร ลดการกลับมาของผักตบและแรงงานซ้ำซ้อน
  2. เขื่อนดิน–แก้มลิงขนาดเล็ก — เสริมความสามารถกักเก็บช่วงน้ำมากให้ชุมชนใช้ยามแล้ง โดยไม่รบกวนสมดุลนิเวศของหนองหลวง
  3. การจัดการเศษวัชพืชครบวงจร — ผลักดันกลไกชุมชน–เอกชนจิ๋วทำ “ปุ๋ยอินทรีย์–อาหารสัตว์–งานหัตถกรรม” จากวัชพืช ช่วยสร้างรายได้เสริมและลดค่าใช้จ่ายกำจัดทิ้ง
  4. ระบบเตือนภัยน้ำ–ข้อมูลเปิด — สร้างแดชบอร์ดออนไลน์ระดับอำเภอ แสดงข้อมูลระดับน้ำ–จุดเสี่ยง–สถานะงานกำจัดผักตบแบบรายสัปดาห์ เปิดให้เกษตรกร–ผู้ประกอบการเข้าถึง เพื่อวางแผนเพาะปลูกและกิจกรรมท่องเที่ยวได้แม่นยำ

หาก 4 มิตินี้ถูกต่อเข้ากับ งบลงทุนท้องถิ่น–ภาคีเครือข่ายรัฐ–มหาวิทยาลัย–เอกชน หนองหลวงจะไม่ใช่ “งานประจำฤดูกาล” แต่เป็น ห้องเรียนธรรมชาติ–ทรัพย์สินสาธารณะ” ที่ดูแลร่วมกันอย่างมีข้อมูลและมีส่วนร่วม

ความเกี่ยวโยงระดับประเทศ นโยบายเร่งกำจัดวัชพืชของรัฐบาลคือ “หลังพิง” ของท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่ตรวจการบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท พร้อมสั่งการชัดเจนให้หน่วยงานชลประทานทั่วประเทศ เร่งกำจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำภายใน 1 เดือน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์หน้างานและมาตรการความรับผิดชอบผู้ดูแลพื้นที่โดยตรง นโยบายนี้เป็น หลังพิง” สำคัญให้ อบจ.–เทศบาล–อบต. ใช้อำนาจและทรัพยากรแก้ปัญหาแบบทันการณ์ ลดขั้นตอนที่เคยทำให้งานสนามล่าช้า

สำหรับเชียงราย นโยบายดังกล่าวช่วย ปลดล็อกกำลังคน–เครื่องจักร–งบเชื้อเพลิง ให้ลงไปที่หนองหลวงได้เร็วขึ้น อีกด้านยังทำให้การประสาน กรมชลประทาน–สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ–กรมเจ้าท่า เดินบนฐานอำนาจร่วมที่ชัดเจน ทั้งหมดนี้เพิ่มโอกาสให้ “งานน้ำ” ของจังหวัดเดินต่อได้โดยไม่สะดุด

 “ทำให้เห็น” คือคำอธิบายที่ดีที่สุด

แม้ข่าวนี้ไม่ได้มีถ้อยคำให้สัมภาษณ์ยาวจากผู้บริหาร แต่ “ข้อเท็จจริงภาคสนาม” สะท้อนเจตนารมณ์ชัดเจน—การมอบหมายของนายก อบจ.เชียงรายให้รองนายกลงตรวจงาน, รายงานความคืบหน้าโดยกองป้องกันฯ, และการจัดสรรเครื่องจักร–เชื้อเพลิง–บุคลากร ล้วนคือการ “ทำให้เห็น” มากกว่า “พูดให้ฟัง” และเป็นธรรมดาที่งานใหญ่แบบนี้จะต้องสื่อสารต่อเนื่อง ทั้งความก้าวหน้า–แผนการรื้อผักตบในจุดถัดไป–มาตรการความปลอดภัย–ช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะจากชุมชน

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ตัวชี้วัดสั้น–กลาง–ยาว

ระยะสั้น (0–3 เดือน)

  • พื้นที่ผิวน้ำหลักของหนองหลวงโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เส้นทางเรือประมงพื้นบ้านปลอดภัย
  • จุดคอขวดระบายน้ำรอบหมู่บ้านลดความเสี่ยงน้ำเอ่อ
  • พื้นที่นำร่องจัดกิจกรรมของ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 พร้อมปรับภูมิทัศน์

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ความสามารถกักเก็บน้ำของหนองหลวงเพิ่มขึ้น เกษตรกรรอบหนองหลวงมีน้ำใช้ช่วงฤดูแล้ง
  • เริ่มมีผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัชพืช (ปุ๋ยอินทรีย์/งานจักสาน)
  • ดัชนีความพึงพอใจของชุมชนต่อสภาพแวดล้อมน้ำดีขึ้น

ระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป)

  • ผังน้ำชุมชน–จุดดักวัชพืชถาวร–ระบบข้อมูลระดับน้ำทำงานเป็นวาระปกติ
  • หนองหลวงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวเชียงรายฝั่งตะวันออก
  • ต้นทุนสาธารณะในการกำจัดวัชพืชลดลง เพราะระบบป้องกัน–คัดแยกเชิงรุกเริ่มเห็นผล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย–ปฏิบัติการ (สำหรับหน่วยงานและชุมชน)

  1. ตั้งคณะทำงาน “หนองหลวงคลีนแอนด์กรีน” ระดับอำเภอ ร่วม อบจ.–อำเภอ–เทศบาล/อบต.–ผู้นำชุมชน–สถาบันการศึกษา เพื่อคุมแผนรายไตรมาส กำหนดตัวชี้วัดร่วม และรายงานความคืบหน้าสาธารณะ
  2. ออกแบบ “จุดดักวัชพืช” และลานคัดแยกเชิงวิศวกรรม ลดต้นทุนการลากยาวและเสี่ยงอุบัติเหตุ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยแรงงาน
  3. พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนจากผักตบ จัดอบรมแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์–ของใช้จักสาน สร้างรายรับเสริมให้กลุ่มสตรี/เยาวชน และทำสัญญาซื้อคืนขั้นต่ำกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้วงจรธุรกิจเล็ก “ตั้งลำ” ได้จริง
  4. สื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง แสดงแผนที่จุดทำงาน, ปริมาณวัชพืชที่กำจัดได้, ภาพเปรียบเทียบก่อน–หลัง, และขั้นต่อไป เพื่อให้ประชาชนเห็นความคืบหน้าและร่วมเป็นหูเป็นตา
  5. เชื่อมแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศกับงานไม้ดอกอาเซียน จัดเส้นทางทดลองพายเรือ/ดูนก/ค่ายสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงเรียน วางมาตรฐานการใช้พื้นที่ (carrying capacity) เพื่อปกป้องระบบนิเวศควบคู่การท่องเที่ยว

จาก “ภารกิจเชิงรุก” สู่ “สัญญาใจต่อแหล่งน้ำของเรา”

หนองหลวงคือทรัพย์สินสาธารณะที่สะท้อนความรุ่งเรืองของเมืองน้ำ–เมืองเกษตร–เมืองท่องเที่ยว การกำจัดผักตบชวาครั้งนี้เป็น “สัญญาใจ” ระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับประชาชนว่า เชียงรายจะไม่ปล่อยให้แหล่งน้ำใหญ่ของตนหายใจติดขัดอีก และจะใช้โอกาสจากงานระดับอาเซียนในปี 2025 เป็นเวทีประกาศว่า “เราดูแลบ้านของเราได้” ด้วยมาตรฐานงานภาคสนามที่แน่น, แผนข้อมูลที่โปร่งใส, และการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

หากทำได้ตามแผน หนองหลวงจะกลับมาเป็น อ่างเก็บน้ำธรรมชาติ–ห้องเรียนกลางแจ้ง–ลานวัฒนธรรมของชุมชน” ในคราวเดียวกัน และเมื่อฟ้าเปิด น้ำโล่ง นักท่องเที่ยวเห็นทัศนียภาพสะท้อนท้องฟ้าเหนือเชียงราย ภาพความพยายามนับพันชั่วโมงของคนทำงานภาคสนามจะเปลี่ยนเป็น รายได้–รอยยิ้ม–ความภูมิใจ ของทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ/กรมชลประทาน
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงม่วนคว้าแชมป์ อปท.ดีเด่น 4.23 ล้านบาท โมเดลธรรมาภิบาลล้านนา

เชียงม่วน”ขึ้นแท่นต้นแบบธรรมาภิบาลท้องถิ่นล้านนา เบื้องหลังชัยชนะอันดับ 1 เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท และบทเรียนสู่การยกระดับ อปท. ทั่วประเทศ

พะเยา, 3 ตุลาคม 2568 – แสงไฟจากเวทีแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สะท้อนประกายความภูมิใจไปถึงชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในดินแดนล้านนา—เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา เมื่อ นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน ก้าวขึ้นรับ รางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประเภทโดดเด่น ชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อม เงินรางวัล 4,233,600 บาท จากมือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางสายตาผู้บริหาร อปท. จากทั่วประเทศกว่า 250 หน่วยงานที่เข้าร่วมในฐานะผู้ได้รับรางวัลปีนี้

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 พิธีมอบรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประกาศ “ใครทำได้ดี” หากแต่เป็นการยืนยันว่าระบบการบริหารภาครัฐระดับฐานรากของไทย เดินหน้าเข้าสู่มาตรฐานธรรมาภิบาลเชิงรูปธรรม—โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีโครงสร้างท้องถิ่นหนาแน่นและความต้องการบริการสาธารณะหลากหลาย การที่เชียงม่วน “ทะยานเป็นที่หนึ่ง” จึงมีนัยยะแห่งความหวังต่อจังหวัดรอบข้างอย่าง เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และต่อทั้งภูมิภาคเหนือที่ต้องการโมเดลต้นแบบสำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านงานท้องถิ่นที่มีมาตรฐาน

จากเวทีระดับชาติสู่หมู่บ้านริมโขง ทำไม “เชียงม่วน” จึงคว้าอันดับ 1

คีย์เวิร์ดสามคำ ที่ทีมงานเชียงม่วนย้ำมาตลอดคือ ธรรมาภิบาล–ร่วมมือ–วัดผลได้” ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากแคมเปญที่หวือหวา หากมาจาก “งานประจำที่ทำอย่างไม่ประมาท” ตั้งแต่ระบบงบประมาณ การบริการประชาชน ไปจนถึงงานสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน โดยสรุปปัจจัยเชิงระบบที่ทำให้เชียงม่วนโดดเด่น มีอย่างน้อย 5 มิติ ดังนี้

  1. ธรรมาภิบาลและระบบการเงินการคลังเข้มแข็ง
    ก่อนมาถึงจุดนี้ อปท. ผู้ร่วมชิงรางวัลต้องผ่านกลไกคัดกรองหลายชั้น ตั้งแต่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ท. จนถึงการประเมินจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เพื่อยืนยันว่า “การใช้จ่ายและโครงการทุกชิ้น โปร่งใส–ตรวจสอบได้” เชียงม่วนจึงไม่ใช่เฉพาะ “ทำงานดี” แต่ “ทำดีอย่างมีหลักฐาน”
  2. การมีส่วนร่วมระดับชุมชน (People–Public Partnership)
    โมเดลการขับเคลื่อนนโยบายที่เชียงม่วนทำเป็นกิจวัตรคือ “ชวนประชาชนคิดตั้งแต่ต้นน้ำ” ผ่านเวทีรับฟัง แผนชุมชน และกลไกสภาเมืองเล็กๆ ที่จับต้องได้ จึงไม่ได้มีเพียงความเห็นชอบของผู้แทน แต่เป็น ฉันทมติร่วม ที่ทำให้การบริการสาธารณะไปถึง “ความทุกข์–ความสุขจริง” ของคนในพื้นที่
  3. บริหารแบบข้อมูลนำ (Data–Driven Local Government)
    ระบบติดตามความคืบหน้าโครงการ (dashboard) และตัวชี้วัดบริการสาธารณะทำให้ผู้บริหารเห็นคอขวดได้เร็ว เช่น งานถนน น้ำประปา ขยะมูลฝอย หรือการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เลือกใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยยึดหลัก “แก้ปัญหาที่มีผลต่อชีวิตประจำวันก่อน
  4. เชื่อมแผนจังหวัด–อำเภอ–ตำบล และพันธมิตรภาคประชาสังคม
    เชียงม่วนทำหน้าที่ “ฮับบูรณาการ” ประสานแผนกับจังหวัดพะเยาและอำเภอข้างเคียง รวมทั้งเครือข่ายชุมชนและภาคเอกชน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงเรียน–วัด–สถานประกอบการในพื้นที่ ทำให้โครงการเดินหน้าเร็วด้วยต้นทุนสังคมต่ำ
  5. พัฒนาคนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง (Local Talent First)
    ลงทุนกับ “คนทำงานด่านหน้า” ทั้งพนักงานส่วนท้องถิ่น อสม. อพปร. และอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อม จัดอบรมทักษะใหม่แบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ดิจิทัลเบื้องต้นจนถึงการสื่อสารความเสี่ยงภัยพิบัติ ขณะที่ประชาชนกลายเป็น “หุ้นส่วน” ของการป้องกันปัญหา มากกว่าจะเป็นเพียง “ผู้รับบริการ”

เมื่อยกเลนส์ไปส่องเกณฑ์การให้รางวัลระดับประเทศปีนี้—ที่มี 250 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลจากอนุกรรมการเฉพาะกิจ 52 รางวัล และกลุ่มที่ผ่านรอบสุดท้าย/ผ่านเกณฑ์ตามหลักเกณฑ์จัดสรรเงินอุดหนุนรวม 198 รางวัล—จะเห็นว่า เชียงม่วน ชนะในหมวดโดดเด่นของเทศบาลตำบล” ซึ่งเป็นสนามที่การแข่งขันดุเดือดที่สุด เพราะมีจำนวนหน่วยงานมากและงานบริการกระทบชีวิตผู้คนโดยตรง ตั้งแต่น้ำ ไฟ ถนน ไปจนถึงกิจกรรมผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสิ่งแวดล้อม

นายกฯ เน้น “อปท. คือหน่วยแรกที่แตะหัวใจประชาชน” – นายกสุเมธีตอบรับ “รางวัลนี้เป็นของทุกคน”

บนเวที นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำกลางห้องประชุมว่า อปท. คือกลไกที่ ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และเป็น “ด่านหน้า” ของรัฐในการบรรเทาความเดือดร้อน ส่งต่อปัญหา และสื่อสารนโยบาย “เพื่อให้เกิดความกินดีอยู่ดี” ข้อความสำคัญคือ รางวัลในวันนี้ต้องเป็นทั้ง แรงจูงใจและแรงบันดาลใจ ให้ท้องถิ่นทั่วประเทศรักษาความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับการทำงานอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายสุเมธี คำลือ กล่าวหลังรับรางวัลว่า “รางวัลนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นของชาวเชียงม่วนทั้งตำบล—คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา พนักงาน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจ ความเชื่อมั่นที่ทุกคนมอบให้ทำให้เรากล้าปรับปรุงงานประจำให้มีมาตรฐานขึ้นทุกปี” พร้อมกันนั้น นายกสุเมธีได้รับเชิญขึ้นเวที PITCHING ถ่ายทอด “ถอดบทเรียนสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อแบ่งปันแนวทางให้ อปท. อื่นๆ นำไปปรับใช้

คีย์เมสเสจของเชียงม่วน การบริหารจัดการที่ดี = ธรรมาภิบาล + การมีส่วนร่วม + วัดผลได้ + ทีมงานแข็งแรง + ประชาชนร่วมมือ

เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท เงินก้อนนี้จะไม่ “นอนนิ่ง” แต่ขยับคุณภาพชีวิต

เงินรางวัล 4,233,600 บาท ที่เชียงม่วนได้รับ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ หากเป็น “เชื้อเพลิงสาธารณะ” ที่เทศบาลตั้งใจจะผลักให้เกิดผลลัพธ์ต่อชีวิตผู้คนอย่างรวดเร็ว รายการใช้จ่ายที่อยู่ในกรอบแนวคิดเบื้องต้น (ตามหลักเกณฑ์เงินอุดหนุนและแผนพัฒนาท้องถิ่น) ได้แก่

  • ยกระดับบริการขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญและมีคอขวด เช่น ระบบประปาชุมชน ถนนเชื่อมชุมชน และไฟส่องสว่างที่ปลอดภัย
  • เพิ่มสมรรถนะงานสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดแยกขยะต้นทาง–รถเข็นรีไซเคิลชุมชน–สวนสาธารณะขนาดย่อมสำหรับผู้สูงอายุ
  • ลงทุนในคน ผ่านหลักสูตรทักษะใหม่สำหรับพนักงานท้องถิ่นและเครือข่ายอาสาสมัคร เช่น การรับมือภัยพิบัติ–การสื่อสารสาธารณะ–ดิจิทัลภาครัฐ
  • โครงการต้นแบบการมีส่วนร่วม เช่น เวทีวางแผนชุมชน และงบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ในโครงการที่กระทบจำนวนประชาชนมาก

การจัดสรรเช่นนี้สะท้อน “หลักการคุ้มค่าต่อภารกิจ (Value for Mission)” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการให้รางวัลนี้เป็น แรงขับต่อเนื่อง ไม่ใช่ “เช็คใบเดียวแล้วจบ”

บทเรียนสำหรับจังหวัดรอบข้าง โดยเฉพาะ “เชียงราย” จะต่อยอดอย่างไรให้เกิดผลทั้งจังหวัด

แม้รางวัลนี้จะเป็นของจังหวัดพะเยา แต่ ผลสะเทือนเชิงบวก ส่งถึงจังหวัดคู่ขนานในโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคม อย่าง เชียงราย ซึ่งกำลังเร่งเครื่องขับเคลื่อนท้องถิ่นด้วยแนวคิดใหม่ เช่น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ, เมืองฟ้ามืด (Dark Sky), Wellness/Creative City และโลจิสติกส์ชายแดน การนำบทเรียนเชียงม่วนมาจับ “โจทย์พื้นที่เชียงราย” ทำได้อย่างน้อย 4 ทาง

  1. ยกระดับธรรมาภิบาลเชิงรุก
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเปิดท้องถิ่น (Open Local Data) สำหรับโครงการลงทุนหลัก—ถนน–ประปา–ขยะ–สาธารณสุข—เผยแพร่งบประมาณ ความคืบหน้า และผลลัพธ์ต่อคุณภาพชีวิต เพื่อให้ประชาชน “ร่วมติดตาม” ได้อย่างเป็นระบบ
  2. สร้างแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วม
    ใช้กลไก “งบมีส่วนร่วม” รายตำบล/เทศบาล นำร่องในโครงการที่กระทบคนหมู่มาก เช่น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย/ทางเท้า/ไฟทางเดิน/ลานสุขภาพ โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบ–โหวตโครงการ–ลงแรงตั้งแต่ต้นน้ำ
  3. พัฒนาทีมอาสาสมัครท้องถิ่นเข้มแข็ง
    เชื่อม อสม.–กู้ชีพ–อาสาสมัครสิ่งแวดล้อม–อาสาป้องกันภัย เข้ากับระบบตอบสนองภัยพิบัติและสุขภาพชุมชน โดยอบรมทักษะเฉพาะ (เช่น การสื่อสารภาวะวิกฤต, การใช้แอปแจ้งเหตุ, การเก็บข้อมูลพื้นที่เสี่ยง)
  4. ตั้งเป้า “รางวัลรวมจังหวัด”
    ผลักดันให้ อปท. ในเชียงรายเข้าสู่สนามรางวัล การบริหารจัดการที่ดี” พร้อมกันหลายหน่วย เพื่อสร้าง “เอฟเฟกต์แคสเคด” ให้การยกระดับมาตรฐานเกิดขึ้นเป็นเครือข่ายทั้งจังหวัด เกิดแรงจูงใจระหว่างกัน มีการแลกเปลี่ยนคู่พี่เลี้ยง–คู่นวัตกรรม

หากเชียงรายเดินตามรอย “เชียงม่วนโมเดล” บวกกับจุดแข็งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทุนทางวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–ชายแดน–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภูมิภาคเหนือจะได้เห็น กลุ่มเมืองท้องถิ่นมาตรฐานสูง” ที่ขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตได้จริงในระดับพื้นที่

เกณฑ์คัดเลือก “อปท.ดีเด่น” ปี 2568 บอกอะไรเรา

การได้รับรางวัลปีนี้สะท้อนว่า อปท. ผู้ชนะ สอดคล้องนโยบายรัฐบาลดิจิทัล–ข้อมูลเชื่อมโยงทั้งระบบ” ที่นายกรัฐมนตรีประกาศในสภาเมื่อ 30 กันยายน 2568 อย่างน้อย 3 แกนหลัก

  • ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ต้องเปิดเผยข้อมูล และผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยงานตรวจสอบอิสระ
  • สมรรถนะการบริหารและบริการสาธารณะ มีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcome) ไม่ใช่เฉพาะตัวชี้วัดกิจกรรม (Output)
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการต้อง “ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมติดตาม” ไม่ใช่เพียงทำเสร็จตาม TOR

นอกจากรางวัลใหญ่ที่เชียงม่วนได้รับ ยังมีการจัดสรรรางวัลรวม 250 รางวัล ครอบคลุมทั้ง หมวดดีเลิศ (เช่น เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองลำพูน และ อบจ.สตูล) และ หมวดโดดเด่น/ทั่วไป ในขนาดองค์กรต่างๆ สะท้อนว่ามาตรฐานไม่ได้ผูกติดกับ “องค์กรใหญ่เท่านั้น” หากองค์กรขนาดเล็กที่บริหารจัดการดีอย่างมีวินัยก็สามารถขึ้นแท่นได้เช่นกัน

 “ชนะแล้วทำอะไรต่อ” – จากเหรียญรางวัลสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เสียงเฮจากห้องประชุมจางลง แต่ “งานจริง” เพิ่งเริ่ม เชียงม่วนประกาศเจตนารมณ์ว่าจะใช้รางวัลเป็น คานงัด” ผลักโครงการเร่งด่วน 3 กลุ่มใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. ปลอดภัย–เข้าถึงได้ ปรับปรุงจุดเสี่ยงทางเดิน ทางม้าลาย ไฟทางเท้า และจุดมืดหน้าสถานศึกษา–ชุมชน ให้เป็นมาตรฐานเมืองมนุษย์เดินเท้า
  2. สิ่งแวดล้อม–สุขภาวะ โครงการคัดแยกขยะต้นทางครัวเรือน/ตลาด, สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) สำหรับผู้สูงอายุ, กิจกรรมสุขภาพชุมชนต่อเนื่อง
  3. รัฐดิจิทัลท้องถิ่น ขยายบริการเอกสารออนไลน์ นัดหมายงานราชการผ่านแอป/ไลน์ออฟฟิเชียล, เปิดฐานข้อมูลโครงการ (project tracker) ให้ประชาชนติดตามสถานะได้แบบเรียลไทม์

หากทำสำเร็จ นี่จะเป็น “วงจรคุณธรรม” ของการบริหารท้องถิ่น—โปร่งใส → ประชาชนเชื่อมั่น → ร่วมมือมากขึ้น → คุณภาพบริการดีขึ้น → สร้างความไว้วางใจต่อไปไม่รู้จบ

มุมมองเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้รางวัล “ไม่ใช่งานปีละครั้ง” แต่เป็น “มาตรฐานทุกวัน”

รางวัลคือแรงจูงใจ แต่ มาตรฐาน ต้องกลายเป็น “กิจวัตร” 3 แนวทางที่หน่วยกลางอย่าง กระทรวงมหาดไทย–กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และพันธมิตรควรผลักต่อเนื่อง ได้แก่

  • เอสคูล (S-Cool) ท้องถิ่น สร้างเครือข่าย “โรงเรียนพัฒนาผู้นำท้องถิ่น” อบรมหลักสูตรระยะสั้นให้ผู้บริหาร–ข้าราชการท้องถิ่นมองภาพเชิงยุทธศาสตร์ ใช้ข้อมูลตัดสินใจ และสื่อสารสาธารณะอย่างมืออาชีพ
  • มาตรฐานข้อมูลกลาง (Local Gov Open Schema) บังคับใช้โครงสร้างข้อมูลเปิดมาตรฐานเดียวกันสำหรับงบประมาณ โครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง และผลลัพธ์บริการ เพื่อให้เทียบเคียงกันข้ามจังหวัด/อปท. ได้
  • กลไกเงินอุดหนุนตามผลลัพธ์ (Outcome–Based Grant) จัดงบพิเศษให้โครงการที่พิสูจน์ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ชัด เช่น อัตราเกิดอุบัติเหตุลดลง คุณภาพน้ำ/อากาศดีขึ้น การเข้าถึงบริการสุขภาพชุมชนเพิ่มขึ้น

แนวทางเหล่านี้จะทำให้ “ความดี” ไม่ได้วัดเฉพาะวันรับรางวัล แต่เกิดขึ้น ทุกวัน ที่ประชาชนเปิดก๊อกน้ำสะอาด เดินบนทางเท้าที่ปลอดภัย และพิมพ์เอกสารราชการได้ด้วยตนเองจากโทรศัพท์มือถือ

จากเชียงม่วนถึงเชียงราย—และทั่วประเทศ

ชัยชนะของ เทศบาลตำบลเชียงม่วน คือข้อความเชิงบวกต่อทุกชุมชนล้านนา และต่อประเทศไทยว่า “ท้องถิ่นไทยทำได้” เมื่อยึดหลักธรรมาภิบาล บริหารบนข้อมูล และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือ ความเชื่อมั่น และ คุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นอย่างจับต้องได้

สำหรับ เชียงราย เมืองใหญ่ของล้านนาตอนบนที่กำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวคุณภาพ โลจิสติกส์ชายแดน และโมเดลเมืองน่าอยู่—บทเรียนเชียงม่วนคือ เข็มทิศ ให้เดินสู่มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ผ่านความร่วมมือของเทศบาล–อบต.–ชุมชน–ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สุดท้าย รางวัลที่เชียงม่วนรับในปี 2568 จะมีคุณค่ามากที่สุด หากมันจุดประกายให้ทุก อปท. ทำสิ่งธรรมดาให้ไม่ธรรมดา—เดินเอกสารให้เร็วขึ้นอีกนิด เปิดข้อมูลให้มากขึ้นอีกหน่อย ฟังประชาชนให้ลึกขึ้นอีกขั้น และตรวจสอบตนเองให้เข้มขึ้นอีกทุกวัน เพราะปลายทางของงานท้องถิ่น ไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่คือชีวิตของผู้คนที่ ปัดเป่าความทุกข์และเพิ่มความสุข” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย / กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) / สำนักงาน ป.ป.ช. / สำนักงาน ป.ป.ท.
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี / คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งเครื่อง “เมืองฟ้ามืด” หวังคว้า Dark Sky Province แห่งแรกของไทย

เชียงราย เมืองฟ้ามืด” เมื่อราตรีคือทรัพยากรใหม่ ดันแผน Astro Tourism เชื่อม “Wellness City” และเศรษฐกิจชุมชน

เชียงราย, 2 ตุลาคม 2568 — ยามพลบค่ำบนสันเขาเชียงราย แถบดาวฤกษ์เริ่มค่อย ๆ โผล่พ้นม่านฟ้า หากชำเลืองให้ดี คุณจะเห็นกลุ่มดาวแมงป่องลากหางไปตามขอบฟ้าเหนือไร่ชา… ภาพธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้ คือ “สินทรัพย์” ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) กำลังตั้งใจเปลี่ยนให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจชุดใหม่ของจังหวัด ภายใต้นโยบาย เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ด้วยการผลักดันแนวคิด Chiang Rai Dark Sky หรือ “เมืองท้องฟ้ามืด” การอนุรักษ์ท้องฟ้ายามค่ำคืนจากมลภาวะทางแสง (Light Pollution) เพื่อยกระดับเป็นจุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ (Astro Tourism) อย่างเป็นระบบ

เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้หารือเชิงยุทธศาสตร์กับ ผศ.ดร.ธนายุทธ ช่างเรือนงาม และทีมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อวางกรอบปฏิบัติการผลักดัน “เชียงราย เมืองฟ้ามืด” สู่การขึ้นทะเบียนระดับพื้นที่จุดเริ่มต้นของการวางตำแหน่งจังหวัดให้โดดเด่นในตลาดท่องเที่ยวคุณภาพสูงของภูมิภาค

แสงที่มากเกินไปทำให้ “มองไม่เห็นมูลค่า”

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเผชิญโจทย์คล้ายกัน ไฟสวย กลายเป็น ไฟเสีย เมื่อการส่องสว่างขาดทิศทางและเข้มเกินจำเป็น นอกจากทำให้ชุมชนมองดาวไม่เห็นแล้ว ยังรบกวนระบบนิเวศ เสียพลังงานโดยใช่เหตุ และบั่นทอนสุขภาวะการนอนของผู้คน งานวิจัยนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อมเมืองชี้สอดคล้องกันว่า แสงสีขาวอุณหภูมิสูง (โทนฟ้า) รบกวนการหลั่ง เมลาโทนิน ฮอร์โมนควบคุมวงจรการนอนหลับ ขณะที่แสงโทนอุ่นและการใช้โคมไฟแบบบังคับทิศทาง (fully shielded) ช่วยลดผลกระทบได้อย่างมีนัยสำคัญ

เชียงราย ดินแดนของธรรมชาติบนพื้นที่สูงและชุมชนชาติพันธุ์ จึงเลือกเดินเกมกลับด้าน ลดไฟที่ไม่จำเป็น เพื่อ “จุดแสง” ให้เศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับพื้นที่ให้เป็น “ฟ้ามืด” ที่ได้มาตรฐานสากล ดึงดูดนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกระจายรายได้สู่รอบนอกในช่วง “นอกฤดูท่องเที่ยว” ที่ยาวนานกว่า 6 เดือนของปี

จุดตั้งต้นที่จับต้องได้ เชียงรายมี “ของจริง” แล้ว

จุดแข็งสำคัญคือ เชียงรายมีพื้นที่ต้นแบบที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่เอกชนแล้ว ได้แก่ ดอยตุง (สวนแม่ฟ้าหลวง) และพื้นที่ ฮ่อมลมจาย ซึ่งผ่านทั้งมาตรฐานการจัดการแสงสว่างและการเข้าถึงของสาธารณะในระดับที่ได้รับรองจากโครงการ “Amazing Dark Sky in Thailand” ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) นี่คือ หลักฐาน (proof of concept) ว่าเชียงรายไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่มีฐานทางวิชาการ มาตรฐาน และเครือข่ายพร้อมต่อยอด

แม้ปัจจุบันการจัดอันดับศักยภาพท้องฟ้ามืดโดยรวม เชียงรายยังอยู่ราว อันดับ 12 ของประเทศ (มีเชียงใหม่ นครราชสีมา ฯลฯ นำหน้า) แต่ช่องว่างนี้กลับเป็น “ช่องทาง” ยิ่งเดินหน้าเร็วกว่าจังหวัดอื่น เชียงรายยิ่งมีสิทธิ์คว้าตำแหน่ง จังหวัดท้องฟ้ามืด” (Dark Sky Province) แห่งแรก ๆ ของไทย และกลายเป็น Hub Astro Tourism ของล้านนาบนได้ไม่ยาก

จาก “Dark Sky” สู่ “Wellness City”

การขับเคลื่อน “เชียงราย เมืองฟ้ามืด” ไม่ได้มุ่งหวังเฉพาะนักดูดาว หากแต่ เกี่ยวโยงตรงกับยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ด้วย

  • สุขภาพและการนอน เมืองที่ใช้แสงเหมาะสม ช่วยให้ร่างกายปรับวงจรการหลับ–ตื่นได้ดีขึ้น เพิ่มคุณภาพการพักผ่อนและลดความเครียด ประสบการณ์นอนโรงแรมที่ “มองเห็นทางช้างเผือก” จึงเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ ขายได้จริง และแยกตัวจากตลาดแมสได้ชัด
  • เศรษฐกิจนอกฤดู  กิจกรรมดูดาวมักเกิดในฤดูฟ้าเปิด–ค่ำยาว ช่วงที่นักท่องเที่ยวทั่วไปลดลง ทำให้โรงแรม โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และไกด์ท้องถิ่น มีรายได้ตลอดปี ลดฤดูกาลและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
  • การเรียนรู้และจิตวิญญาณพื้นที่ ท้องฟ้ามืดเปิดพื้นที่ให้ชุมชนชาติพันธุ์เล่าเรื่องฟ้า–ผืนดิน–ป่าเขา ผ่านความเชื่อและภูมิปัญญาดั้งเดิม ผสานกิจกรรมเดินป่าค่ำคืน ส่องหิ่งห้อย ดูนกกลางคืน สร้างผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว low impact–high value ที่จังหวัดเหนืออื่นยากจะลอกเลียน

กรอบปฏิบัติการ  “LMP” คือกุญแจ (ทำจริง–วัดผลได้)

หัวใจที่จะทำให้ “ฟ้ามืด” ไม่ใช่แค่สโลแกน คือ แผนบริหารจัดการแสงสว่าง (Light Management Plan LMP) ตามหลักสากลของ DarkSky International (ชื่อเดิม IDA) และแนวทาง NARIT ซึ่งสรุปเป็นภาษาปฏิบัติได้ 4 ข้อใหญ่ ๆ

  1. บังคับทิศทางแสง – โคมไฟภายนอกต้องเป็น fully shielded ส่องลง ไม่ปล่อยแสงเหนือแนวนอน เพื่อตัดแสงเรืองบนท้องฟ้าและแสงรบกวน
  2. โทนแสงอบอุ่น–CCT ≤ 3,000K – ลดแสงสีน้ำเงินที่รบกวนเมลาโทนินและสัตว์กลางคืน
  3. ระดับแสงเท่าที่จำเป็น + กลไกควบคุม – ติดตั้งตัวตั้งเวลา/เซ็นเซอร์ เปิดเมื่อจำเป็น ปิดเมื่อไม่ใช้
  4. ป้าย–แลนด์มาร์กต้องมีเพดานความสว่าง – กำหนดมาตรฐาน nits/cd·m⁻² หลังพระอาทิตย์ตก พร้อมช่วงเวลาดับไฟ

เมื่อแปลหลักการสู่ข้อบัญญัติท้องถิ่น (เทศบาล–อบต.) และเชื่อมกับโครงการเปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นมาตรฐานเดียวทั้งจังหวัด ผลลัพธ์จะเกิดสองชั้นพร้อมกัน ประหยัดพลังงาน ทันที และ ยกระดับคุณภาพท้องฟ้า สู่มาตรฐานรับรอง

โครงเรื่องเศรษฐกิจ ตลาดเฉพาะ–กำลังซื้อสูง–คูณค่าค้างคืน

Astro Tourism ไม่ใช่การท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ นักท่องเที่ยวต้อง “รอเวลา” กับท้องฟ้าจึง ค้างคืน และใช้จ่ายกับที่พัก อาหารท้องถิ่น มัคคุเทศก์ อุปกรณ์ และกิจกรรมต่อเนื่อง โดยจากกรณีศึกษาต่างประเทศ (ซึ่ง NARIT และเครือข่าย DarkSky นำมาเผยแพร่) พบว่า นักท่องเที่ยวที่พักค้างคืนมี ค่าใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวไป–กลับหลายเท่าตัว นี่คือกลไกเศรษฐกิจที่แปลง “ความมืด” ให้เป็น “มูลค่า” ได้จริง

เชียงรายมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ เส้นทางท่องเที่ยวเหนือบน เชื่อมเชียงของ–แม่สาย–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–แม่สรวย ทำให้สามารถจัด เส้นทางดูดาว” แบบ multi-spot (เช่น ดอยตุง – ดอยแม่สลอง – ดอยผาหม่น – ดอยผาหมี) สร้างแพ็กเกจ 2–3 คืนที่พานักท่องเที่ยวไล่กอดทางช้างเผือกตามระดับความสูง–สภาพฟ้า พร้อมกิจกรรมกลางวันอย่างไร่ชา–ไร่กาแฟ–เส้นทางชุมชน รายได้กระจายทั้งหุบเขา

เสียงจากการประชุม แผนที่ต้องเดินทันที

แม้การประชุมวันนี้จะเป็นการหารือเชิงยุทธศาสตร์เบื้องต้น แต่กรอบงานเร่งด่วนเริ่มชัด ได้แก่

  • จัด “แผนที่ฟ้ามืดเชียงราย” ระบุพื้นที่เป้าหมาย (Public/Private) พร้อมระดับคุณภาพท้องฟ้าและเงื่อนไขทางกายภาพ เพื่อคัดเลือก “Quick Win Sites” ขึ้นทะเบียนนำร่อง
  • ยกร่างข้อบัญญัติ LMP ให้เทศบาล/อบต. นำไปใช้จริง เริ่มจากโคมไฟถนน สถานที่ราชการ สถานศึกษา และธุรกิจท่องเที่ยว
  • พัฒนา “คอร์สไกด์ดาราศาสตร์” ร่วมมหาวิทยาลัย–NARIT สร้างบุคลากรท้องถิ่นและทีมวิทยากรดูดาวมืออาชีพ
  • ออกแบบแพ็กเกจ Dark Sky x Wellness (นอนดี–ฟ้าดี–อากาศดี) เจาะตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในประเทศ/ต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มครอบครัวและ Active Senior

ความเสี่ยงที่ต้องจัดการ  “ฟ้ามืด” จะมืดถ้าไม่มีส่วนร่วม

โครงการลักษณะนี้ ต้องใช้ฉันทามติของชุมชน เพราะแสงจำนวนมากอยู่ใน “ภาคเอกชน–บ้านเรือน” หากไม่มีการสื่อสารและแรงจูงใจที่เหมาะสม การบังคับใช้เพียงอย่างเดียวจะก่อแรงต้าน อบจ.จึงต้องทำสองเรื่องคู่ขนาน

  1. ทำความเข้าใจ–เชิญชวน อธิบายผลเสียของมลภาวะทางแสงต่อสุขภาพ สัตว์ป่า พลังงาน และเศรษฐกิจท่องเที่ยว ให้เห็นภาพง่าย ปิดไฟหนึ่งดวง ได้ดาวหนึ่งดวงกลับคืน
  2. ตั้งแรงจูงใจ–ลดต้นทุน สนับสนุนเปลี่ยนโคมไฟมาตรฐาน LMP ให้ครัวเรือน/ธุรกิจ โดยใช้กองทุนพลังงานท้องถิ่นหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี (ร่วมมือภาคเอกชน/สถาบันการเงิน)

แผน 12 เดือนแรก Roadmap สู่ “Dark Sky Province”

ไตรมาส 1 – วัดคุณภาพท้องฟ้าและสำรวจแหล่งกำเนิดแสง (Light Audit) ใน 5 อำเภอเป้าหมาย, ตั้งคณะทำงาน LMP ระดับจังหวัด
ไตรมาส 2 – ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นนำร่อง, เปลี่ยนโคมไฟถนน/สถานที่ราชการ, จัดทำหลักสูตร “ไกด์ดูดาวเชียงราย” รุ่นที่ 1
ไตรมาส 3 – ยื่นขอขึ้นทะเบียนแหล่งท้องฟ้ามืดเพิ่มอย่างน้อย 3 พื้นที่, เปิด “เส้นทาง Dark Sky” ชุดแรก, ทำแคมเปญการตลาดร่วม ททท.–NARIT
ไตรมาส 4 – ประเมินตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยวค้างคืน, อัตราการใช้พลังงานแสงสว่าง, ความพึงพอใจชุมชน) และขยายไปอำเภออื่น

ตัวเลขที่จับต้องได้–คุณภาพชีวิตที่สัมผัสได้

  • เศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวค้างคืนเพิ่มขึ้นในช่วงนอกฤดู โรงแรม–โฮมสเตย์มีอัตราเข้าพักสม่ำเสมอขึ้น ผู้ประกอบการรายย่อยในเส้นทางชุมชนมีรายได้ต่อเนื่อง
  • พลังงาน ค่ากระแสไฟสาธารณะลดลงตามมาตรการ LMP (การใช้แสงเท่าที่จำเป็น + โคม fully shielded + CCT ต่ำ)
  • สิ่งแวดล้อม/สุขภาพ ฟื้นคืนระบบนิเวศกลางคืน เพิ่มคุณภาพการนอนและสุขภาวะของประชาชน เมืองมืดลงอย่างถูกวิธี แต่ ปลอดภัย–เป็นมิตร มากขึ้น
  • แบรนด์จังหวัด เชียงรายมีเอกลักษณ์ “เมืองฟ้ามืด x สุขภาพดี” ต่อจากความโดดเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ขยายภาพจำจังหวัดสู่ ปลายทางคุณภาพระดับโลก

มองไกลกว่าขอบฟ้า เชียงราย–ล้านนาบน–ประเทศไทย

ในระดับภูมิภาคเหนือ เชียงรายสามารถเป็น หัวรถจักรของเครือข่าย Dark Sky ล้านนา เชื่อมเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน สร้าง “Northern Dark Sky Route” เป็นเส้นทางท่องเที่ยวคุณภาพที่ต่างประเทศค้นหาได้ชัด ในระดับประเทศ แนวทางนี้ยังสอดรับ นโยบายท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน ช่วยกระจายรายได้ ลดการแออัด และยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเมือง ยิ่งมืดอย่างมีระเบียบ ยิ่งสว่างทางเศรษฐกิจ

จากดาวบนฟ้า สู่รายได้บนดิน

เรื่องเล่าเชียงรายวันนี้เริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า “เราจะเอาความมืดมาเลี้ยงเศรษฐกิจอย่างไร” คำตอบที่เป็นรูปธรรมคือ ทำให้ความมืดมีคุณภาพ ผ่านมาตรฐาน LMP และการขึ้นทะเบียน Dark Sky สร้างผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่ ช้า–ลึก–ยั่งยืน เชื่อมสุขภาพกายใจของผู้มาเยือนกับคุณค่าธรรมชาติของผู้คนบนดอย

และในคืนที่ดาวเต็มฟ้า หากคุณเงยหน้าแล้วเห็นทางช้างเผือกพาดผ่านเหนือไร่ชานั่นไม่ใช่เพียงท้องฟ้าที่สวยกว่าเดิม แต่คือ นโยบายสาธารณะ ที่แปลง “สิทธิ์ในการเห็นดาว” ให้เป็น สิทธิ์ในการมีรายได้ ของชุมชนเชียงรายอย่างเป็นธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) – NARIT
  • DarkSky International (เดิม International Dark-Sky Association, IDA)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รฟท. เปิดปฐมฤกษ์เชื่อมราง เด่นชัย–เชียงของ ดันโลจิสติกส์เชื่อม GMS

เด่นชัยเชื่อมรางประวัติศาสตร์ สร้างฮับโลจิสติกส์ใหม่ “ล้านนาตะวันออก–ลาว–จีน”  จุดเปลี่ยนระบบรางไทย และคำถามใหญ่หลังพิธีเปิด

เชียงราย/แพร่, 2 ตุลาคม 2568 — เวลา 09.09 น. วันที่ 30 กันยายน 2568 ระฆังช็อตสำคัญของระบบรางไทยดังขึ้นที่ สถานีเด่นชัย จ.แพร่ เมื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทำพิธี เปิดปฐมฤกษ์เชื่อมราง ระหว่างรางรถไฟประวัติศาสตร์กับรางทางคู่สายใหม่ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ช่วงแรกในพื้นที่เด่นชัย—ภาพของรางเหล็กที่ประกบแนบสนิทกัน ไม่ได้หมายถึงแค่การบรรจบราง แต่คือการบรรจบโอกาส จากเมืองราบสูงสู่ชายแดนล้านนาตะวันออก จากชุมชนเล็กริมรางสู่เครือข่ายการค้า ลาว–จีนตอนใต้ และตลาดโลก

บนชานชาลา นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการ รฟท. ทำหน้าที่ประธานในพิธี ท่ามกลางผู้แทนภาครัฐท้องถิ่น อาทิ นายประจักร์ จินดาจำรูญ นายอำเภอเด่นชัย, นายนิคม ชุ่มใจ รองนายกเทศมนตรีตำบลเด่นชัย รวมถึง กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และ กิจการร่วมค้าไอทีดี–เนาวรัตน์ ซึ่งเป็นคีย์พาร์ตเนอร์ในภาคสนาม—ชี้ชัดว่าการขับเคลื่อนระบบรางไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมส่วนกลางเท่านั้น หากแต่ยืนอยู่บน “สนามจริง” ของเมือง–ชุมชน–ผู้ประกอบการ

เด่นชัย จากสถานีอายุ 113 ปี สู่ “หัวต่อใหม่” ของระบบรางล้านนาตะวันออก

สถานี เด่นชัย เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2455 กว่า 113 ปี บนหน้าประวัติศาสตร์การรถไฟไทย เด่นชัยคือ “จุดเปลี่ยนทิศทาง” สำคัญของโครงข่ายเหนือฝั่งตะวันออก และวันนี้สถานีเดิมกำลังถูกจัดวางบทบาทใหม่ให้เป็น Distribution Hub หรือ ศูนย์กระจายสินค้า รองรับรถสินค้า/ตู้คอนเทนเนอร์และขบวนผู้โดยสารภายใต้แผน รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ที่ตั้งเป้าเชื่อม จังหวัดปลายทางชายแดน อย่าง เชียงราย/เชียงของ สู่ สปป.ลาว–จีนตอนใต้ ผ่าน ด่านเชียงของ–ห้วยทราย และเครือข่าย รถไฟลาว–จีน

สาระเชิงยุทธศาสตร์ ของ “หัวต่อเด่นชัย” มี 3 มิติเด่น:

  1. โลจิสติกส์–การค้า ทางคู่เพิ่มความจุเส้นทาง (Line Capacity) ลดการรอหลีก เพิ่มความตรงเวลา (On-time) และทำให้ ต้นทุนต่อหน่วย ขนส่งทางรางมีเสถียรมากขึ้น หากโหนเข้าสู่โครงข่าย ลาว–จีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดแกนขนส่ง “รางต่อราง” จากแหล่งผลิต–ศูนย์กระจาย–ด่านชายแดน ลดการยกถ่ายซ้ำซ้อน
  2. ท่องเที่ยว–การเข้าถึงเมืองรอง ทางคู่สร้าง การเดินทางที่คาดการณ์ได้ (Predictable Travel Time) ลดเวลาต่อรถ และเชื่อมสนามบิน–เมืองท่องเที่ยวในล้านนาตะวันออก ทำให้การท่องเที่ยว นอกฤดู และ เมืองรอง (แพร่, น่าน, พะเยา, เชียงราย) มีแรงส่งจากระบบราง
  3. คุณภาพชีวิต–โอกาสชุมชน รถโดยสารที่ตรงเวลา–ความจุสูง ช่วยลด “ต้นทุนเวลา” ของแรงงาน นักเรียน ผู้ป่วย โดยเฉพาะชุมชนชนบทที่การเข้าถึงบริการรัฐ–โรงพยาบาล–ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ยังพึ่งพาทางถนนเป็นหลัก

พิธีที่ “เชื่อมราง”—และเชื่อมความหวัง

ภาพเชื่อมราง ณ เวลา 09.09 น. อาจดูเป็นสัญลักษณ์ แต่ในทางวิศวกรรมคือหมุดหมาย ความพร้อมเชิงโครงสร้าง ที่ยืนยันว่าพื้นฐานงานดิน–โครงสร้าง–ทางวิ่ง–ทางแยก–ราง–ระบบประแจ เดินหน้าไปสู่จุดที่ รางใหม่ “คอนแท็กต์” กับรางเดิม อย่างปลอดภัย การเชื่อมรางที่เด่นชัยจึงเป็น “Zero Moment” ที่ลั่นกลองสู่เฟสทดสอบ–ปรับเทียบ–บูรณาการระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–ความปลอดภัย ก่อนเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในระยะถัดไป

ตัวแทนฝ่ายปกครองท้องถิ่นอย่าง นายอำเภอเด่นชัย และ รองนายกเทศมนตรีตำบลเด่นชัย ที่เข้าร่วมพิธี สะท้อน “ความพร้อมด้านพื้นที่”—ตั้งแต่การจัดระเบียบจราจรข้ามทางรถไฟ, มาตรการความปลอดภัยชุมชนริมราง, ไปจนถึงการเตรียมพื้นที่สนับสนุนกิจกรรมโลจิสติกส์ (ลานพักสินค้า/คอนเทนเนอร์) และบริการผู้โดยสาร

จากเด่นชัย–ขึ้นล้านนา–แตะชายแดน ทำไม “ทางคู่” คือคำตอบ

ประเทศไทยขนส่งสินค้าด้วยทางถนนมากกว่าทางรางอย่างยาวนาน ขณะที่ ต้นทุนโลจิสติกส์ คิดเป็นสัดส่วนสูงต่อ GDP เมื่อเทียบบางประเทศในภูมิภาค การ “อัพเกรดเป็นทางคู่” จึงเป็นนโยบายเชิงโครงสร้างเพื่อลด คอขวดเชิงเทคนิค ของทางเดี่ยวที่ต้องรอหลีก ซึ่งขัดกับความต้องการบริการขนส่ง ตรงเวลา–ความถี่สูง ทั้งภาคสินค้าและผู้โดยสาร

ในทางปฏิบัติ ทางคู่ ให้ “ความจุเส้นทาง” มากขึ้น ชั่วโมงละหลายขบวน สามารถแทรกขบวนสินค้า–ผู้โดยสารได้อย่างยืดหยุ่น ลดเวลาจอดรอที่สถานีหลีกตลอดเส้นทาง และเมื่อจับคู่กับ ระบบอาณัติสัญญาณ–ควบคุมการเดินรถ ที่ทันสมัย จะยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัย–ความตรงเวลา ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของโลจิสติกส์ยุคอีคอมเมิร์ซ/การผลิตแบบทันเวลา (Just-in-Time) และการท่องเที่ยวที่ผู้โดยสารคาดหวังความแน่นอน

เด่นชัยฮับ” ในภาพใหญ่ลุ่มน้ำโขง เชื่อมลาว–จีนอย่างไรให้ “เกิดผล”

บทเรียนสำคัญ ของโครงข่ายคือ ปลายทางต้องรับกันได้จริง” เด่นชัยอาจทำหน้าที่หัวต่อได้ดี แต่ถ้า ปลายทางเชียงของ–ด่านห้วยทราย และ สถานี/ยาร์ด ฝั่งชายแดนไม่พร้อมรองรับ ขบวน–รอบ–น้ำหนัก–มาตรฐานตู้ หรือ ระบบพิธีการศุลกากร–ด่านควบคุม ยังติดขัด การเชื่อมโยงกับเครือข่าย รถไฟลาว–จีน จะกลายเป็น “ข้อต่อหลวม” ที่ทำให้ประสิทธิภาพหดหาย

ดังนั้น ประเด็นที่ผู้ปฏิบัติการและหน่วยงานสาธารณะต้องโฟกัสหลังพิธีเชื่อมราง คือ

  • โครงสร้างยาร์ด–คลัง–ลานตู้ (ICD/Logistics Park)  ต้องมีความจุรับ–จ่ายตู้, เครน–อุปกรณ์ขนถ่าย, ระบบตรวจ–ชั่ง–ความปลอดภัย ที่รองรับรูปแบบขนส่งหลายโมด (Multimodal)
  • ด่าน–ศุลกากร–พิธีการ ต้องปรับ กระบวนงานไร้รอยต่อ (Seamless) ข้ามแดน ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน, ยกระดับดิจิทัล/แลกเปลี่ยนข้อมูลล่วงหน้า เพื่อให้ “รถไฟสินค้าข้ามแดน” เคลื่อนผ่านได้ตามตารางเวลา
  • ความถี่/ตารางเดินรถ ต้องออกแบบให้สอดรับดีมานด์จริงจากผู้ส่งออก–ผู้นำเข้า ไม่ใช่มีราง–มีสถานี แต่ไม่มี “รอบวิ่ง” ที่เพียงพอและคาดการณ์ได้

ผลสะเทือนต่อ “เชียงราย–ชายแดน” และเมืองรองล้านนาตะวันออก

แม้พิธีจะเกิดที่แพร่ แต่จุดสิ้นสุดของโครงการคือ เชียงของ (ชายแดน) และเมืองหลักอย่าง เชียงราย ได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งด้านท่องเที่ยว–ลงทุน–โลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐานทางราง จะทำให้การวางเครือข่าย คลัง–กระจายสินค้า–ศูนย์รวบรวมการเกษตร ของภาคเหนือฝั่งตะวันออก เข้าถึงชายแดนเร็วขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนเดินทางสู่ เชียงราย/ภูชี้ฟ้า/ดอยตุง/เชียงของ ด้วย เส้นทางราง–ถนน ที่ผสมผสานคล่องตัวกว่าเดิม

ในเชิง เศรษฐกิจฐานราก การมี “รอบรถ–รอบขนส่ง” ที่แน่นอน ช่วยเกษตรกร/SME วางแผนการส่งสินค้าแช่เย็น–เกษตรสด–เกษตรแปรรูปได้ดีขึ้น ลดการสูญเสียปลายทาง ส่วนในมิติ สังคม–บริการสาธารณะ การเดินทางด้วยรางเปิดช่องทางให้คนเปราะบาง–ผู้สูงวัย–นักเรียน เข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาในเมืองได้สะดวกและปลอดภัยกว่า

สถิติ–บริบทชวนคิด (เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย)

  • 113 ปี อายุสถานีเด่นชัย—จากสถานีท้องถิ่นสู่หัวต่อยุทธศาสตร์ของทางคู่
  • 1 ช็อตเชื่อมราง จุดเริ่มของเฟสทดสอบ–บูรณาการระบบ ก่อนเปิดเชิงพาณิชย์
  • หลายหมื่นล้านบาท สเกลงานลงทุนทางคู่และระบบประกอบ (ตามกรอบโครงการทางคู่ทั่วไปของประเทศ) ที่จะคืนผลลัพธ์ผ่าน ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง และ ประสิทธิภาพเวลา
  • ห่วงสำคัญ หากไม่มี ICD/Yard รองรับ–พิธีการข้ามแดนทันสมัย–ความถี่เดินรถเพียงพอ ผลลัพธ์ “รางต่อราง” จะถูกจำกัด

สาระสำคัญ “ความเร็วในการสร้างราง” ต้องเดินคู่กับ “ความเร็วในการจัดระบบปลายทางและพิธีการ” เพื่อให้ ผลประโยชน์สาธารณะ ตกถึงมือประชาชน–ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง

เสียงและมุมมองผู้เกี่ยวข้อง (ถอดความจากสาระในพิธี–ข้อมูลที่เปิดเผย)

  • ฝ่าย รฟท. (นายจเร รุ่งฐานีย) มองการเชื่อมรางเป็น “หลักไมล์” ที่ยืนยันความก้าวหน้าตามแผน และเป็นฐานให้การทดสอบระบบ–ความปลอดภัยก่อนให้บริการจริง
  • ฝ่ายปกครองท้องถิ่น (นายอำเภอเด่นชัย/เทศบาล) ให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยชุมชน ระหว่างก่อสร้าง–ทดลองเดินรถ และโอกาส ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน รอบสถานี
  • ที่ปรึกษา/ผู้รับเหมา (CSDCC/ITD–Nawarat JV) โฟกัส คุณภาพ–มาตรฐานงานวิศวกรรม และการส่งมอบพื้นที่–ระบบตามไทม์ไลน์ เพื่อเปิดทางให้ “งานระบบ” (อาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–ทดสอบ) ทำต่อเนื่องได้ทันที

สิ่งที่ต้องเร่งทำ “หลังพิธี”

  1. Roadmap ทดลอง–รับรองความปลอดภัย (Safety Case)  เผยกำหนดการทดสอบวิ่ง, การปรับจูนอาณัติสัญญาณ, การฝึกบุคลากร และ มาตรฐานความปลอดภัย สำหรับเปิดเดินรถ
  2. โครงสร้างโลจิสติกส์ปลายทาง เร่งวางแผน ICD/คลัง/ยาร์ด ที่เชียงของ–เชียงราย–แพร่ ให้ “ราง–ถนน–ศุลกากร” ต่อเชื่อมไร้รอยต่อ
  3. การมีส่วนร่วมชุมชน จัดทำ มาตรการกำกับเสียง–สั่นสะเทือน–ข้ามราง และสื่อสารความเสี่ยง–ข้อปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
  4. แพ็กเกจการท่องเที่ยวทางราง บูรณาการ ททท.–จังหวัด–เอกชนท่องเที่ยว ออกแพ็กเกจ “Rail + Local Experience” สู่เมืองรองล้านนาตะวันออก ช่วงหลังเปิดบริการ

จากรางเหล็กสู่ชีวิตคน

“การเชื่อมราง” ที่เด่นชัย คือภาพจำของ เหล็กชนเหล็ก แต่ สาระ อยู่ที่ “เหล็กสัมผัสชีวิตคน”—เด็กนักเรียนที่ไม่ต้องรอรถนาน, ผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลเมืองได้ตามเวลา, เกษตรกรที่ส่งสินค้าได้ตรงรอบ, นักท่องเที่ยวที่ไปเมืองรองได้สะดวก, ผู้ประกอบการที่วางแผนโลจิสติกส์ได้อย่างมืออาชีพ และชุมชนที่มี ทางเลือกการเดินทาง เพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย

บทสรุปเชิงบรรณาธิการ

  • พิธีเชื่อมรางเด่นชัยคือ “สัญญาณบวก” ว่า โครงสร้างพื้นฐานทางคู่ เดินมาถูกทางในฝั่งล้านนาตะวันออก
  • ความสำเร็จจริง จะเกิดเมื่อ “ราง–ยาร์ด–ด่าน–พิธีการ–ความถี่เดินรถ” ทำงานสอดประสาน และประชาชนรู้สึกถึง คุณภาพเดินทางที่ดีขึ้น
  • สำหรับ เชียงราย–เชียงของ และเมืองรองรอบๆ จุดหมายต่อไปคือ แปลงรางเป็นรายได้ โลจิสติกส์ที่ถูกลง, ท่องเที่ยวที่เข้าถึงง่ายขึ้น, โอกาสฐานรากที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข./OTP) 
  • กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และ กิจการร่วมค้าไอทีดี–เนาวรัตน์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องกอดอุ่น” มาสคอตใหม่เชียงราย สื่อสาร Soft Power “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เชียงรายเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” ทูตการท่องเที่ยวใหม่ คราฟต์แบรนด์เมืองด้วยอารมณ์ “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

เชียงราย,28 กันยายน 2568 – เวลา 15.30 น. บรรยากาศลาน Grand Hall ชั้น G ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เชียงราย คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นายรุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “Gord-Aun Meet & Greet พบปะน้องกอดอุ่น” เปิดตัว น้องกอดอุ่น (Gord-Aun)” มาสคอตทูตการท่องเที่ยวตัวแทน “ภูเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมเชียงราย” เชื้อเชิญนักเดินทาง “มากอดเชียงราย” ผ่านพลัง Soft Power ที่สื่อสารด้วยอ้อมกอดและความอบอุ่นของผู้คนเมืองเหนือ

พิธีเปิดได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ดร.เอกภพ ช่างแก้ว รองประธานฯ และ นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย สะท้อน “ฉันทามติ” ของทุกภาคส่วนในการยกระดับแบรนด์จังหวัดอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนจาก “ขายสถานที่” สู่ “ขายความรู้สึก” ด้วยทูตการท่องเที่ยว

สารหลักของ “น้องกอดอุ่น” คือการชวนผู้มาเยือน “รับอ้อมกอดจากธรรมชาติ”  ภาพจำของเชียงรายในฐานะ ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ถูกถ่ายทอดเป็นบุคลิกของมาสคอตที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยงความทรงจำระหว่างการเดินทางกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย การวางตำแหน่งในลักษณะนี้ถือเป็นการปรับยุทธศาสตร์จาก Place-centric สู่ Emotion-centric เปลี่ยนการสื่อสารจาก “มาเที่ยวที่ไหน” เป็น “มาเที่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร” เพื่อให้แบรนด์เชียงราย “อยู่ในใจ” ยาวนานกว่าอยู่ในภาพถ่าย

ด้านนโยบายการสื่อสารสาธารณะ กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำสื่อสร้างสรรค์มาขับเคลื่อนเป้าหมายสาธารณะในระดับพื้นที่ ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์จังหวัด การกระจายกิจกรรมลงชุมชน และการเสริมรายได้แก่ประชาชนสอดรับพันธกิจของกองทุนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเพื่อ “รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” อย่างเป็นระบบ

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ ในนามฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบาย “โจทย์” ของงานชัดเจนว่า ต้องการ เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ให้เชียงรายผ่านการประชาสัมพันธ์เชิงบูรณาการ พร้อมกระจายผลประโยชน์ลงสู่ฐานราก จุดยืนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยแนวคิดการตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) ที่วางไลน์-อัปกิจกรรมให้ผู้ร่วมงาน “ได้ลงมือ” และ “ได้ของกลับบ้าน” จาก Workshop ของ Gord-Aun Art Studio ไปจนถึง ของที่ระลึก “ตุ๊กตาน้องกอดอุ่น” ซึ่งต่อยอดให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์รายย่อยควบคู่กัน

เวทีที่ออกแบบมาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน กาแฟเชียงรายเป็นพระเอก

หนึ่งในภาพจำที่ชัดเจนของงานวันนี้ คือ โซนกาแฟเชียงราย ที่รวบรวมเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL) มากกว่า 40 ร้าน ล้อมวงเล่าเรื่องเส้นทางเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกสู่ถ้วย พร้อมเมนูซิกเนเจอร์เฉพาะกิจ ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์รสชาติ” ให้แบรนด์จังหวัดทิ้งรสชาติติดปากผู้มาเยือนในเชิงสัญลักษณ์กาแฟดี = การต้อนรับดี = อ้อมกอดที่จริงใจของเชียงราย เครือข่าย CCL เองมีฐานกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่และสื่อสังคม ทำให้การระดมพลังครั้งนี้มีแรงส่งไปไกลกว่างานวันเดียว

วงดนตรีและการแสดงร่วมสมัยสลับกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เติมความสนุกและความหมายให้พื้นที่สาธารณะ ขณะเดียวกัน มินิคอนเสิร์ตจาก “ทิกเกอร์ อชิระ” ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ช่วยเพิ่มทราฟฟิกคนเมืองและนักท่องเที่ยวเข้าโซนกิจกรรมผลักให้ยอดขายรายย่อยของผู้ประกอบการในงาน “ขยับขึ้น” ควบคู่การรับรู้แบรนด์

พลังเครือข่าย รัฐ เอกชน สื่อคนละมือ แต่เป้าหมายเดียวกัน

การเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” มี “สมการสามเหลี่ยม” ที่เดินไปด้วยกันอย่างลงตัว
มุมแรก คือ รัฐและท้องถิ่น นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่ “รับรองนโยบาย” และเป็น “เจ้าภาพความน่าเชื่อถือ” ให้แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มุมที่สอง คือ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ที่ทำงานระยะยาวกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ซึ่งมีทุนทางสังคมและช่องทางตลาดของตนเอง
มุมสุดท้าย คือ สื่อและครีเอเตอร์ท้องถิ่น ตั้งแต่นักข่าว ช่างภาพ เพจเมือง ไปจนถึงสตูดิโอศิลปะที่ช่วยตัดต่อ เติมคอนเทนต์ให้ “น้องกอดอุ่น” กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้คนอยากแชร์

นายรุจติศักดิ์ รังสี ระบุในเวทีกล่าวเปิดว่า นี่ไม่ใช่แค่งานเปิดตัวมาสคอต แต่เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่จะยึดโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชนเข้ากับแบรนด์จังหวัดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเชียงรายมีจุดแข็งด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ

กอด” ให้เป็นระบบ จากกิจกรรมวันเดียว สู่กรอบทำงานตลอดปี

เพื่อไม่ให้พลังของเวทีนี้จบลงที่ภาพถ่าย กรอบทำงานหลังงานเปิดตัวจึงสำคัญไม่แพ้กัน ทีมภาคีร่วมงานได้สรุป “แนวทางต่อยอด” เบื้องต้นไว้ 4 แกน ได้แก่

  1. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส จับมือกับศูนย์การค้า/แลนด์มาร์กหลัก ผลัก “Gord-Aun Pop-up” แทรกในเทศกาลเมือง เช่น สวนดอกไม้ บูชาพญานาค ปั่นชมชุมชน สร้างการพบปะมาสคอตอย่างสม่ำเสมอ
  2. Loyalty & Collectibles ขยายไลน์ของที่ระลึก “น้องกอดอุ่น” ร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น ตั้งกติกาสะสมตราปั๊ม/สติ๊กเกอร์จากร้านภาคี เพื่อแลกของพิเศษ กระตุ้น repeat visit
  3. Gord-Aun for Good ให้มาสคอตเป็น “ทูตงานสังคม” เช่น แคมเปญ ท่องเที่ยวปลอดภัย–สื่อปลอดภัย รณรงค์การท่องเที่ยวเคารพชุมชนและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องพันธกิจของกองทุนสื่อ
  4. Route การท่องเที่ยวรสกาแฟ พัฒนาเส้นทาง “Chiang Rai Coffee Journey by CCL” แบบทำจริงจัง ร้อยจุดชิม–ชมโรงคั่ว–พบชุมชนปลูกกาแฟ สร้างแพ็กเกจร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ทำไม “เซ็นทรัล เชียงราย” คือเวทีที่ใช่

การเลือก เซ็นทรัล เชียงราย เป็นสถานที่เปิดตัว ไม่ได้สะท้อนแค่ความสะดวกด้านโลจิสติกส์และระบบเสียง-แสง แต่คือการตั้ง “จุดรับรู้” กลางเมืองให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพบมาสคอตได้จริง ศูนย์การค้าดังกล่าวมีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และที่จอดรถรองรับการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการพัฒนา “มุมถ่ายรูปถาวร” ของน้องกอดอุ่น ตลอดจนการหมุนเวียนกิจกรรมสร้างสรรค์รายเดือน

เล่าเชียงรายให้ “นุ่ม-แน่น” ผ่านตัวเลขที่ชวนคิด

แม้ข่าววันนี้จะเป็น “ก้าวแรก” ของน้องกอดอุ่น แต่ “โจทย์ใหญ่” ที่จังหวัดต้องการตอบคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์จังหวัดไปไกลกว่าวิวสวย กาแฟเชียงรายเป็นตัวอย่างของ “สินค้าเชิงคุณค่า” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองราคาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หากมาสคอตสามารถเชื่อม เส้นเรื่องกาแฟ–งานศิลป์–ชุมชน เข้าด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้จะกว้างกว่า “ความน่ารัก” และเข้าใกล้คำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้

ในทางกลับกัน การรักษามาตรฐาน “ประสบการณ์ผู้มาเยือน” คือจุดคานงัดของแบรนด์ หากผู้มาเยือนได้เจอทั้ง การต้อนรับที่จริงใจ ร้านกาแฟดี ระบบขนส่งท้องถิ่นที่เป็นมิตร และปฏิทินกิจกรรมที่ไม่สะดุด พวกเขาจะแชร์ “อ้อมกอดเชียงราย” ต่อไปโดยสมัครใจนั่นคือ สื่อ Earned Media ต้นทุนต่ำแต่ทรงพลังที่สุด

เสียงจากภาคี คำมั่นสัญญาสู่ฤดูท่องเที่ยว

  • เครือข่าย CCL ยืนยันเดินหน้าจัด กิจกรรมกาแฟรายไตรมาส เชื่อมโยงแหล่งปลูกกับเมือง เพื่อเล่าเรื่องชุมชนและต้นทางเมล็ดเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้ “แก้วกาแฟเชียงราย” ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่คือเรื่องเล่ากับผู้คนจริง ๆ
  • ภาคเอกชนท่องเที่ยว ผ่านสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชื่อมผู้ประกอบการที่พัก–ทัวร์–ร้านอาหาร เป็น “พันธมิตรแบรนด์” เพื่อจัด แพ็กเกจ “กอดเชียงราย” เจาะครอบครัว คู่รัก และกลุ่มทำงานไฮบริดที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นแม่เหล็กช่วงไฮซีซันปลายปี
  • หน่วยงานรัฐและกองทุนสื่อ จะคงบทบาทกำกับทิศทางการสื่อสารสาธารณะและความปลอดภัยของสื่อในกิจกรรมต่อเนื่อง ให้ทุกชิ้นงาน “สร้างสรรค์-รับผิดชอบ-เข้าถึงได้” เพื่อให้แบรนด์จังหวัดเติบโตคู่ความไว้วางใจ

ทำอย่างไรให้น้องกอดอุ่น “อยู่ยาว” ไม่ใช่กระแส

บทเรียนจากหลายจังหวัดชี้ว่า มาสคอตจะ “อยู่ยาว” ได้ต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไข
หนึ่ง มี เจ้าภาพชัดเจน ทั้งเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและกำกับใช้แบรนด์
สอง มี โรดแมปกิจกรรม ที่ต่อยอดได้จริงพิพิธภัณฑ์ชุมชนขนาดย่อม จุดถ่ายรูปถาวร เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดิน ที่หยิบมาสคอตไปวางเรื่องเล่า
สาม มี ตัวชี้วัด ที่มากกว่า “ยอดไลก์” เช่น รายได้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วม กิจกรรมชุมชนที่เกิดใหม่ หรือจำนวน “แพ็กเกจท่องเที่ยว” ภายใต้แบรนด์

เชียงรายมี “ทุน” สำหรับทั้งสามข้อแล้วตั้งแต่ เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ขยับงานจริง ศูนย์การค้าหลัก ที่พร้อมเป็นเวที คอมมูนิตี้กาแฟ ที่มีพลัง และ เครื่องมือสื่อสาธารณะ จากกองทุนสื่อหากทุกมือยังประสานกันต่อเนื่อง “กอดเชียงราย” จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่เป็น ประสบการณ์ร่วม ที่วัดผลได้

ฉากสุดท้ายของวันนี้และฉากเปิดของฤดูกาลใหม่

เมื่อเพลงสุดท้ายของมินิคอนเสิร์ตจบ สปอตไลต์ที่ลาน Grand Hall ค่อย ๆ ดับลง แต่แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของครอบครัวหนึ่งยังไม่หยุด พวกเขาถ่ายภาพกับ “น้องกอดอุ่น” ก่อนที่ลูกชายตัวเล็กจะยื่นมือออกไป “กอด” มาสคอตอีกครั้ง ภาพง่าย ๆ นี้อธิบายสารของทั้งงานได้ครบ เชียงรายอยากให้คุณมากอด และพร้อมกอดตอบ ตั้งแต่ผู้คน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง หากจังหวัดและภาคีผลักปฏิทินกิจกรรมต่อจากวันนี้ให้ออกสตาร์ทได้ทัน น้องกอดอุ่น จะกลายเป็นหน้าแรกของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงรายปีนี้ ไม่ใช่แค่ “ไอคอน” บนโปสเตอร์ แต่เป็น ตัวละครเอก ในเรื่องเล่าที่ทุกคนมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund)
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CCL)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News