Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ครบรอบ 107 ปี จัดพิธีศักการะ เสริมสิริมงคล

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ครบรอบ 107 ปี สะท้อนบทบาทสำคัญของกองทัพบกในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย และรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติของการก่อตั้งหน่วย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยได้จัดพิธีล่วงหน้าในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ พื้นที่ต่าง ๆ ภายในและโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าที่ได้อุทิศตนรับใช้ชาติ รวมถึงการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยและกำลังพลในสังกัด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับประชาชนในพื้นที่

พิธีกรรมสำคัญตามลำดับเวลาสะท้อนรากฐานทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์

พิธีในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม 2568 ประกอบด้วยลำดับพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและจิตใจ ดังนี้

  • เวลา 07.09 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ดอยเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทหารและชาวเชียงราย
  • เวลา 08.00 น. พิธีบวงสรวง พ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายฯ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  • เวลา 08.29 น. พิธีบวงสรวง พระญามังรายมหาราช ณ หน้า บก.มทบ.37 เพื่อรำลึกถึงผู้นำผู้สร้างความมั่นคงให้แก่ดินแดนล้านนา
  • เวลา 10.09 น. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และเจริญพระพุทธมนต์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มทบ.37 โดยมี พล.ท.ศุภอักษร สังประกุล เป็นประธานในพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องแผ่นดินไทย

พิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสถาบันทหารบกในการดำรงความมั่นคงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจแก่สังคม

การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อดีตผู้บังคับบัญชา หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สมาคมสื่อมวลชน และตัวแทนชุมชนโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มทบ.37 ในฐานะองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่เคารพจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

การรวมตัวของผู้แทนจากหลายภาคส่วนในพิธีแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพบกกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นรากฐานที่มั่นคงของระบบความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายแดนและภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ

บทบาทของ มทบ.37 ในการสร้างความมั่นคงและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น

มณฑลทหารบกที่ 37 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยทหารสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเขตรับผิดชอบหลักอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ

ภารกิจของ มทบ.37 ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการป้องกันประเทศ หากแต่รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ การสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการจิตอาสา รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ความเห็นเชิงกลาง: ความเชื่อมั่นและความคาดหวัง

ฝ่ายที่สนับสนุน บทบาทของ มทบ.37 มองว่ากองทัพบกโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ ความสงบ และการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กองทัพสามารถเข้าไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีวินัยและสามารถปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้ดี

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มีข้อกังวล ก็ได้แสดงความเห็นว่าบางกรณีการดำเนินงานของกองทัพอาจทับซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กองทัพเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปตามความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลอำนาจ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลที่ควรนำมาใช้ในการบริหารงานของทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรด้านความมั่นคงด้วย

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • มณฑลทหารบกที่ 37 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 และในปี พ.ศ. 2568 มีอายุครบรอบ 107 ปี
    ที่มา: กองทัพบกไทย, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก, รายงานประวัติการสถาปนาหน่วย
  • จังหวัดเชียงรายมีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางกว่า 283 กิโลเมตร
    ที่มา: กรมแผนที่ทหาร, รายงานเขตแดนประเทศไทย พ.ศ. 2566
  • กำลังพลในสังกัด มทบ.37 ณ ปีงบประมาณ 2567 มีประมาณ 1,200 นาย
    ที่มา: กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, รายงานสถานะกำลังพลประจำปี พ.ศ. 2567
  • โครงการจิตอาสาของ มทบ.37 ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 มีมากกว่า 50 โครงการครอบคลุม 9 อำเภอในเชียงราย
    ที่มา: ฝ่ายกิจการพลเรือน มทบ.37, รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37), กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, กรมแผนที่ทหาร, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อปพร.” ฮีโร่ ‘เชียงราย’ จัดงาน ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ

เชียงรายจัดกิจกรรมวัน อปพร. ประจำปี 2568 ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ สร้างขวัญกำลังใจ พร้อมเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายเพื่อรองรับภัยพิบัติในอนาคต

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) จังหวัดเชียงราย ได้จัดกิจกรรมเนื่องใน “วัน อปพร.” ประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการ ณ โดมศูนย์พักพิง ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้อำนวยการศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาชิก อปพร. และภาคีเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และเสริมพลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติแก่เหล่าอาสาสมัคร อปพร. ที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในยามเกิดภัยพิบัติ รวมถึงการสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับชุมชนและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังจากเกิดภัย

ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ได้อ่านสารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวัน อปพร. ประจำปี 2568 ซึ่งกล่าวถึงความสำคัญของบทบาท อปพร. ในการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

มอบรางวัลเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567–2568

ในงานมีพิธีมอบรางวัลเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีการมอบรางวัลในประเภทต่าง ๆ ได้แก่

  • ศูนย์ อปพร. ดีเด่น ประเภทเทศบาลนคร ได้แก่ ศูนย์ อปพร. เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งได้รับเงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล โดยมีนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบ
  • รางวัล อปพร. ดีเด่น จำนวน 3 ราย ได้แก่
    1. นายอนุสรณ์ อินทวงศ์ (เทศบาลนครเชียงราย)
    2. นายมนัส ปินตา (เทศบาลตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย)
    3. นายบุญมี สีใจสา (องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง อำเภอพาน)
  • รางวัลอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567 ได้แก่ นายนพพล ทาเนตร จากองค์การบริหารส่วนตำบลต้า อำเภอขุนตาล

การมอบรางวัลดังกล่าวไม่เพียงเป็นการแสดงความขอบคุณต่อผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ แต่ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก อปพร. ทั่วทั้งจังหวัด

สานต่อความเข้มแข็ง สู่อนาคตการบริหารจัดการภัยพิบัติ

ในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวยกย่องบทบาทของ อปพร. ว่าเป็น “กลไกสำคัญของสังคมไทย” ที่ได้อุทิศตนในการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 46 ปี พร้อมกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในวันนี้คือ การสร้างความพร้อมให้กับ อปพร. ทุกระดับ ให้มีทักษะความรู้ที่ทันสมัย มีระบบการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์สถานการณ์ และสามารถปรับตัวได้ทันต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือภัยที่เกิดจากมนุษย์”

เขาเน้นย้ำว่า “อปพร. ไม่ใช่เพียงผู้ช่วยเหลือยามเกิดภัย แต่ยังเป็นผู้สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน”

บทบาท อปพร. ต่อระบบความมั่นคงในระดับท้องถิ่น

ศูนย์ อปพร. นับเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับท้องถิ่น โดยปฏิบัติหน้าที่ทั้งการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น จัดตั้งศูนย์พักพิง และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐในการฟื้นฟูพื้นที่หลังเกิดเหตุ

ในระดับประเทศ มีอาสาสมัคร อปพร. ทั่วประเทศกว่า 1.2 ล้านคน (อ้างอิงจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, พ.ศ. 2566) โดยในจังหวัดเชียงรายมีสมาชิก อปพร. อยู่ทั้งสิ้นกว่า 7,500 คน ซึ่งถูกกระจายตัวตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในเขตเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อดูแลและคุ้มครองชีวิตประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่มักจะเป็นจุดเสี่ยงภัยพิบัติ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม ไฟป่า และอุทกภัยซ้ำซาก

ความเห็นจากสองมุมมอง: สนับสนุน-ท้าทายการดำเนินงาน

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า อปพร. เป็นพลังอาสาสมัครที่มีคุณค่าต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต อปพร. สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีความใกล้ชิดกับประชาชนในชุมชน จึงสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานภาครัฐที่อาจใช้เวลานานกว่าในการจัดกำลังลงพื้นที่

ขณะที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ชี้ว่า การบริหารจัดการ อปพร. ในหลายพื้นที่ยังขาดระบบสนับสนุนด้านงบประมาณและอุปกรณ์ปฏิบัติงานที่เพียงพอ ทำให้อาสาสมัครต้องใช้ทรัพยากรส่วนตัวในการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงบางพื้นที่ยังขาดการฝึกอบรมต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชนลดลง

ข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายสะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาศักยภาพของ อปพร. ให้ทันสมัยและมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนสมาชิก อปพร. ทั่วประเทศ: 1.2 ล้านคน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, รายงานประจำปี พ.ศ. 2566
  • จำนวนสมาชิก อปพร. จังหวัดเชียงราย: ประมาณ 7,500 คน
    ที่มา: ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย, สถิติ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568
  • ระยะเวลาดำเนินงานของ อปพร. ทั่วประเทศ: มากกว่า 46 ปี
    ที่มา: พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย  / ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย / กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยใส่สนุก มมท.เชียงรายรณรงค์ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายส่งเสริมผ้าไทย “ใส่ให้สนุก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สืบสานภูมิปัญญา

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์สวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวันผ่านโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” โดยมุ่งสร้างความตระหนักในคุณค่าของผ้าพื้นถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าไทย พร้อมผลักดันให้ผ้าไทยเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้นำสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยอำเภอแม่ลาว ลงพื้นที่จัดกิจกรรมรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ณ บ้านแม่ต๊าก หมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะผ้าไทย และการสร้างอัตลักษณ์ที่สง่างามในแบบไทยร่วมสมัย

ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านภูมิปัญญา

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มีเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ประกอบการผ้าพื้นถิ่นทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจ โดยในกิจกรรมที่จัดขึ้น ณ ตำบลบัวสลี ได้มีการสาธิตการพิมพ์ลายผ้าด้วยเทคนิค Eco Print ซึ่งใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ มาสร้างลวดลายเฉพาะตัวบนผืนผ้า เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสืบสานภูมิปัญญาชุมชน

กลุ่มผ้าพิมพ์ลายตำบลบัวสลี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างของการรวมกลุ่มในระดับชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการจัดการ การผลิต และการสร้างเครือข่ายจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งช่วยให้ครัวเรือนในพื้นที่มีรายได้เสริมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

ขยายผลสู่ทุกอำเภอของเชียงราย

บ้านแม่ต๊ากในครั้งนี้ ถือเป็นพื้นที่ที่ 15 จาก 18 อำเภอที่คณะทำงานของชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงรายได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะ พูดคุย ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยมีเป้าหมายให้ทุกอำเภอในจังหวัดเชียงรายมีส่วนร่วมในโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” อย่างทั่วถึงภายในปี 2568

นางสินีนาฏ ทองสุข กล่าวว่า “การส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยไม่ใช่เพียงแค่การแต่งกายให้สวยงาม แต่เป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย การเคารพต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการสร้างรายได้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง”

ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย สมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่ลาว ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว ท้องถิ่นอำเภอแม่ลาว พัฒนาการอำเภอแม่ลาว ตลอดจนผู้นำชุมชน อาทิ กำนันและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

นอกจากการเรียนรู้เทคนิคการพิมพ์ผ้าแล้ว ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอ ผ้าพิมพ์ลาย เครื่องแต่งกายพื้นถิ่น และของที่ระลึกจากชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย

ด้านผู้สนับสนุนโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มองว่าเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและเหมาะสมต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังผันผวน อีกทั้งยังช่วยให้ประชาชนมีความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง

ขณะที่อีกฝ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วน แสดงความคิดเห็นว่า ควรมีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วม และควรเน้นการสร้างตลาดรองรับที่ยั่งยืนมากกว่าการรณรงค์เพียงระยะสั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สามารถนำไปใช้ประกอบการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป

แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมผ้าไทย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าพื้นเมืองมากกว่า 8,000 กลุ่มทั่วประเทศ สร้างรายได้รวมกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีการผลิตและจำหน่ายผ้าไทยสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยในประเทศ

เฉพาะในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนกลุ่มทอผ้าและพิมพ์ผ้ากว่า 360 กลุ่ม ครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ โดยกลุ่มที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มทอผ้าไทลื้อ กลุ่มผ้าชาติพันธุ์อาข่า และกลุ่มผ้า Eco Print ตำบลบัวสลี ซึ่งต่างได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ และการเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยในประเทศไทย (ปี 2567): มากกว่า 8,000 กลุ่ม
  • รายได้รวมจากอุตสาหกรรมผ้าไทยในปี 2567: ประมาณ 2,500 ล้านบาท
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวนกลุ่มผ้าพื้นถิ่น: มากกว่า 360 กลุ่ม (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2567)
  • สัดส่วนผ้าไทยที่ผลิตในภาคเหนือ: ร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยทั้งประเทศ (กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปี 2567)

ทัศนคติแบบเป็นกลาง

จากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แม้จะมีข้อเสนอแนะบางส่วนเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาและการขยายผลในรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในระดับชุมชน

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / สมาคมแม่บ้านมหาดไทย / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย / กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พัฒนาคมนาคม ‘เชียงราย’ เชื่อมรถไฟ-สนามบิน ลดจราจร

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างจราจรและคมนาคมแบบบูรณาการ ประชุมคณะอนุกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัดเชียงราย

เชียงราย,20 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม

ในครั้งนี้ มีคณะอนุกรรมการ ผู้แทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยมีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ Webex Meeting เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการจราจรและขนส่งของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ภารกิจหลักของคณะอนุกรรมการจราจร

คณะอนุกรรมการชุดนี้จัดตั้งตามคำสั่งของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน และหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นเลขานุการ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง

หน้าที่หลักคือส่งเสริมการจัดทำแผนแม่บทจราจรและขนส่ง กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา และประสานแผนงานให้ดำเนินไปตามกรอบที่วางไว้ เพื่อยกระดับคุณภาพการจราจรในจังหวัด

โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงของ คืบหน้าแต่ยังล่าช้า

หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่หารือ คือความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ซึ่งดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีความคืบหน้าร้อยละ 28.182 เมื่อเทียบกับแผนงานสะสมที่ร้อยละ 36.545 พบว่าล่าช้ากว่าแผนร้อยละ 8.363

คณะอนุกรรมการได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่พบระหว่างดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อแผนงานในระยะยาว

แผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเชียงราย

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำเสนอการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดเชียงราย โดยมีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางในเขตเมืองหลัก 11 จังหวัด

แผนนี้มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งในระดับภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านโครงข่ายขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

พัฒนาและขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

ที่ประชุมยังได้รับฟังแผนพัฒนา “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย” ในช่วงปี 2564–2578 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก

  • ปี 2564–2568 ปรับปรุงและก่อสร้าง 10 รายการ
  • ปี 2568–2571 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 รวม 12 รายการ
  • ปี 2571–2578 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 2 อีก 5 รายการ

ปัจจุบันท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้

ถนนเชื่อมรถไฟเชียงราย – สนามบิน: แกนหลักการขนส่ง

ประเด็นสำคัญอีกข้อ คือโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟเชียงรายและท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม

โดยมอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ รวมถึงการเวนคืนที่ดินและขอรับงบประมาณสนับสนุนในลำดับถัดไป เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงรายสู่อนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของจังหวัดเชียงราย ทั้งยังสะท้อนเสียงจากภาคประชาชนผ่านคณะอนุกรรมการที่เป็นตัวแทนผู้ใช้ถนน

แผนต่างๆ ที่เสนอและรับฟัง จะเป็นพื้นฐานในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองในอนาคต เพื่อสร้างระบบขนส่งที่ยั่งยืน สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ คืบหน้า 28.182% (ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ปี 2568)
  • ความล่าช้าจากแผนสะสม 8.363%
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย รองรับผู้โดยสารได้ 3,000,000 คน/ปี (ข้อมูลจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ปี 2567)
  • แผนพัฒนาท่าอากาศยาน ระยะที่ 1 และ 2 รวม 27 โครงการ

ทัศนคติต่อประเด็นการพัฒนา

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ มองว่าการพัฒนาเหล่านี้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งในพื้นที่

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เวนคืนที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / การรถไฟแห่งประเทศไทย / สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) / ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยร่วง ความสุขโลกอันดับ 49 ฟินแลนด์แชมป์ 8 ปีซ้อน

ฟินแลนด์ครองแชมป์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก ไทยรั้งอันดับ 49 ในดัชนีความสุขโลก 2568

ประเทศไทย, 20 มีนาคม 2568 – รายงานดัชนีความสุขโลก (World Happiness Report) ประจำปี 2568 ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 20 มีนาคม เนื่องในวันความสุขสากลขององค์การสหประชาชาติ (United Nations International Day of Happiness) ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 49 ซึ่งแม้จะเป็นการขยับขึ้นจากอันดับ 54 ของปีก่อนหน้า แต่ยังคงตามหลังประเทศในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ (อันดับ 34) และเวียดนาม (อันดับ 46) ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชากรไทย

ขณะที่ ฟินแลนด์ ยังคงรักษาตำแหน่ง ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ตามมาด้วย เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิกที่ขึ้นชื่อด้านรัฐสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ส่วนประเทศที่ติด 10 อันดับแรกที่น่าสนใจ ได้แก่ คอสตาริกา (อันดับ 6) และเม็กซิโก (อันดับ 10) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศจากละตินอเมริกาสามารถติดอันดับต้น ๆ ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร กลับมีคะแนนความสุขลดลง โดยสหรัฐฯ ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 24 ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ที่ อันดับ 23 โดยแนวโน้มที่ลดลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมและความเชื่อมั่นที่ลดลงของประชาชนในประเทศเหล่านี้

การจัดอันดับดัชนีความสุขโลก และปัจจัยที่ใช้ประเมิน

รายงานนี้จัดทำโดยความร่วมมือระหว่าง Gallup, Oxford Wellbeing Research Centre, เครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Solutions Network – SDSN) และคณะบรรณาธิการ World Happiness Report โดยอ้างอิงข้อมูลจากแบบสำรวจ Gallup World Poll ซึ่งเก็บข้อมูลจากประชาชนในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก และใช้หลักเกณฑ์ 6 ประการเป็นตัวชี้วัด ได้แก่

  1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per capita)
  2. การสนับสนุนทางสังคม (Social support)
  3. อายุขัยที่แข็งแรง (Healthy life expectancy)
  4. เสรีภาพในการใช้ชีวิต (Freedom to make life choices)
  5. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Generosity)
  6. การรับรู้ถึงการทุจริต (Perceptions of corruption)

ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาคำนวณเป็นคะแนนเฉลี่ยของแต่ละประเทศในช่วง ปี 2565 – 2567 และนำมาจัดอันดับ

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง

ในการจัดอันดับครั้งนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ (อันดับ 34) เวียดนาม (อันดับ 46) และไทย (อันดับ 49) โดยเวียดนามมีพัฒนาการที่โดดเด่นโดยขยับขึ้นมาหลายอันดับจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อคะแนนความสุขของประชากร

ในขณะที่ประเทศไทยมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงเผชิญกับ ความท้าทายสำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปัญหาคอร์รัปชัน และระบบสวัสดิการสังคมที่ยังมีข้อจำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความสุขของประชาชนโดยรวม

บทเรียนจากประเทศนอร์ดิก และแนวทางปรับปรุงคุณภาพชีวิตในไทย

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฟินแลนด์และประเทศในกลุ่มนอร์ดิก สามารถรักษาระดับความสุขสูงได้อย่างต่อเนื่องคือ ระบบรัฐสวัสดิการที่มีคุณภาพสูง ซึ่งรวมถึง ระบบการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ทำให้ประชาชนมี ความเชื่อมั่นในระบบของประเทศ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว

อิลานา รอน-เลวีย์ กรรมการผู้จัดการของ Gallup กล่าวว่าประเทศเหล่านี้มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมต่ำ มีระบบดูแลสุขภาพและการศึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย และมีสภาพแวดล้อมทางสังคมที่สนับสนุนให้ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตโดยรวม

สำหรับประเทศไทย แนวทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มระดับความสุขของประเทศ อาจต้องให้ความสำคัญกับ การลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงระบบสวัสดิการ การสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ และแนวโน้มในอนาคต

จอห์น เฮลลิเวลล์ หนึ่งในบรรณาธิการผู้ก่อตั้งรายงานความสุขโลก ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศหนึ่งมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในเพื่อนมนุษย์ และระดับความไว้เนื้อเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อกัน” ซึ่งหมายความว่าการสร้างสังคมที่มีความสามัคคีและเชื่อถือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ในขณะเดียวกัน รายงานยังระบุว่า คนหนุ่มสาวทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาความเครียดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีแนวโน้มความสุขลดลง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง การลดความขัดแย้งทางการเมือง และการส่งเสริมสังคมที่มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน อาจเป็นแนวทางที่ช่วยส่งเสริมระดับความสุขของประชาชนให้สูงขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องกับระดับความสุขของประชากรโลก

  • 10 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในปี 2568
    1. ฟินแลนด์
    2. เดนมาร์ก
    3. ไอซ์แลนด์
    4. สวีเดน
    5. เนเธอร์แลนด์
    6. คอสตาริกา
    7. นอร์เวย์
    8. อิสราเอล
    9. ลักเซมเบิร์ก
    10. เม็กซิโก
  • 5 ประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดในปี 2568
    1. อัฟกานิสถาน (อันดับ 147)
    2. เซียร์ราลีโอน (อันดับ 146)
    3. เลบานอน (อันดับ 145)
    4. มาลาวี (อันดับ 144)
    5. ซิมบับเว (อันดับ 143)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Gallup World Poll (2568) / Oxford Wellbeing Research Centre (2568) / Sustainable Development Solutions Network (SDSN, 2568) / รายงานดัชนีความสุขโลก (World Happiness Report, 2568) / CNN

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกนกมอบทุน เรียนได้ทุกที่ เลี้ยงชีพได้ที่เชียงราย

อบจ.เชียงราย เดินหน้านโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือนักเรียนยากจนและด้อยโอกาส

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินหน้าสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่ ผ่านโครงการ “ส่งน้องเรียน” ตามนโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” โดยมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาส เพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาสู่ความสำเร็จในอนาคต

อบจ.เชียงราย มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือแก่นักเรียนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น.โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักศึกษาและนักเรียนที่ยากจนหรือด้อยโอกาส ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ.เชียงราย นายอับดุลกอเด็ร โกบยาหยัง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อบจ.เชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และนางน้ำผึ้ง สาธรรม รองผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมเป็นผู้แทนในการมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือดังกล่าว

โครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินงานของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ตามแนวทางที่กำหนดใน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และเป็นไปตาม ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยรายจ่ายเกี่ยวกับทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาและการให้ความช่วยเหลือนักเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2561 เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนและนักศึกษาได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม

ช่วยลดภาระผู้ปกครอง เพิ่มโอกาสทางการศึกษา

การมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเหลือนักเรียนและนักศึกษาที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาสในจังหวัดเชียงราย ให้ได้รับการศึกษาโดยไม่มีอุปสรรคทางด้านค่าใช้จ่าย โดยทุนการศึกษาที่มอบให้ในปีนี้มีทั้งหมด 250 ทุน แบ่งออกเป็นทุนละ 10,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาและความจำเป็นของแต่ละบุคคล รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ โครงการยังมุ่งเน้นการสนับสนุนด้าน ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับทุนสามารถศึกษาต่อจนจบหลักสูตรที่กำหนด และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการประกอบอาชีพและเลี้ยงชีพตนเองในอนาคตได้

ส่งน้องเรียน” โครงการที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา

อบจ.เชียงรายเล็งเห็นว่า การสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการ “ส่งน้องเรียน” จึงถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมุ่งเน้นให้พวกเขาสามารถเรียนจบและเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพ

จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ปี 2566) พบว่า จังหวัดเชียงรายมีอัตราการออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควรสูงถึง 8.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในภาคเหนือ ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวคือ ปัญหาความยากจนของครอบครัว และการขาดทุนทรัพย์ในการศึกษา ดังนั้นการสนับสนุนทุนการศึกษาของ อบจ.เชียงราย จึงเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้เยาวชนสามารถศึกษาต่อได้จนจบการศึกษา

สถิติและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสทางการศึกษาในไทย

จากข้อมูลของ ธนาคารโลก (World Bank, 2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาเพียง 49% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ที่ 55% โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราการเข้าเรียนที่ต่ำคือ ปัญหาค่าใช้จ่ายทางการศึกษา และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2566) เปิดเผยว่า เด็กไทยที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเพียง 22% เมื่อเทียบกับเด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีซึ่งมีโอกาสศึกษาต่อสูงถึง 78%

บทสรุปและแนวทางในอนาคต

การสนับสนุนทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่ยากจนของ อบจ.เชียงราย เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับ แนวทางการจัดสรรงบประมาณภาครัฐ ว่าควรเพิ่มการสนับสนุนทุนการศึกษาหรือพัฒนาสถาบันการศึกษาให้สามารถรองรับนักเรียนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ อบจ.เชียงรายยืนยันว่า จะดำเนินโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง และพัฒนารูปแบบการช่วยเหลือเพื่อให้ครอบคลุมเยาวชนในพื้นที่มากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้โครงการนี้เป็นต้นแบบสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566) / ธนาคารโลก (World Bank, 2566) / สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2566) / องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (2567)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ช่วยชีวิตฉุกเฉิน ศิริกรณ์เชียงรายอบรมกู้ชีพ 100 คน

สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย จัดอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพในชุมชน

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดโครงการอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support: BLS) สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลท่าสุด ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด การอบรมจัดขึ้น ณ อาคารอเนกประสงค์ เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 100 คน

การช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ

การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการให้ความรู้และฝึกปฏิบัติการช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน เช่น การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) การใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) การช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในชุมชน โดยมีวิทยากรจากสมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่มีความเชี่ยวชาญมาให้ความรู้และฝึกสอน

กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด

การอบรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ อสม. และประชาชนในชุมชนมีทักษะที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุดให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์ฉุกเฉินในระดับชุมชน เพราะเชื่อว่าการมีบุคลากรที่สามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนถึงมือแพทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยและลดภาระของโรงพยาบาลในพื้นที่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยการได้รับความรู้และทักษะจากการฝึกปฏิบัติจริงช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นในการให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องใช้ CPR หรือ AED ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุว่าในปี 2567 มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลันนอกโรงพยาบาลในประเทศไทยมากกว่า 50,000 ราย แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ได้รับการช่วยเหลือด้วยการทำ CPR หรือการใช้เครื่อง AED อย่างถูกต้องก่อนถึงโรงพยาบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มพูนทักษะด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้กับประชาชนในทุกระดับ

ทั้งนี้ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัยและเทศบาลตำบลท่าสุด ยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการฝึกอบรมลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมศักยภาพของอาสาสมัครและประชาชนในพื้นที่ให้สามารถเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน และสร้างเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินระดับชุมชนที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย /สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) / กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รวบ 2 นายช่าง รีดเงิน เวนคืนที่ดิน 2.5 แสน เชียงใหม่

ทุจริตเวนคืน! จับ 2 นายช่าง เรียกเงินชาวบ้าน 2.5 แสน

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – ตำรวจ ปปป. บุกจับ 2 นายช่างโยธาสำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ ฐานเรียกรับผลประโยชน์มิชอบ กรณีเวนคืนที่ดินเชียงดาว พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) และ พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผกก.4 บก.ปปป.) นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวนายปารย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เจ้าหน้าที่นายช่างโยธา สังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 1 และนายชญานนท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี ลูกจ้างสังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 1 ณ สำนักงานทางหลวงที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์โดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

พฤติการณ์แห่งคดี

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้เสียหายรายหนึ่งได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กก.4 บก.ปปป.) เพื่อขอความเป็นธรรมหลังถูกผู้ต้องหาทั้งสองเรียกเงินจำนวน 250,000 บาท โดยอ้างว่าจะดำเนินการช่วยเพิ่มราคาประเมินค่าเวนคืนที่ดินของผู้เสียหายในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จากเดิม 2,700,000 บาท เป็น 3,600,000 บาท

ต่อมา เมื่อผู้เสียหายนำเช็คค่าเวนคืนที่ดินที่ได้รับจากแขวงทางหลวงไปขึ้นเงินที่ธนาคาร ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้งสองรายได้เดินทางไปรอรับเงินค่าดำเนินการดังกล่าวทันที อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม จึงพบว่า แท้จริงแล้วที่ดินของตนเองมีการประเมินค่าเวนคืนไว้ที่ 3,600,000 บาท ตั้งแต่แรก และตัวเลข 2,700,000 บาท เป็นเพียงราคาประเมินเฉพาะที่ดินโดยยังไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง

พฤติกรรมดังกล่าวของผู้ต้องหาทั้งสองถือเป็นการหลอกลวงเพื่อเรียกรับเงินจากประชาชนโดยมิชอบ ซึ่งสร้างความเสียหายและความเข้าใจผิดให้แก่ผู้เสียหายเป็นอย่างมาก หลังจากพนักงานสอบสวนได้รับเรื่อง จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองราย ก่อนนำไปสู่การจับกุมในที่สุด

ผลการสอบสวนเบื้องต้น

ภายหลังการจับกุม ผู้ต้องหาทั้งสองยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำผิดอย่างชัดเจน เบื้องต้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

การแถลงข่าวและมาตรการดำเนินคดี

ในวันเดียวกันนี้ เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. และตัวแทนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดของคดีอย่างเป็นทางการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และแนวทางการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองราย

การดำเนินการในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเชิงรุกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยเฉพาะการกระทำผิดเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและความเป็นธรรมในกระบวนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • คดีทุจริตเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน: ในปี 2567 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับรายงานคดีเกี่ยวกับการทุจริตในกระบวนการเวนคืนที่ดิน รวม 42 คดี เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีการรายงานเพียง 30 คดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปัญหาดังกล่าว (ที่มา: สำนักงาน ป.ป.ช., 2567)
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: คดีเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินในปี 2567 มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,200 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงคมนาคม, 2567)
  • อัตราการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีทุจริตภาครัฐ: ตำรวจ ปปป. รายงานว่าในปี 2567 มีการจับกุมผู้ต้องหาคดีทุจริตภาครัฐ เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่มา: กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) /สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) /กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวง /สำนักงานศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชมผ้าไทยล้านนา ‘อัตลักษณ์อาภรณ์ฯ’ โชว์ Soft Power เชียงราย

ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย

วันที่ 19 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกิจกรรมหลักด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

มรดกผ้าทอเชียงราย: จากภูมิปัญญาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายหลักในการ อนุรักษ์และส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ต่อยอดสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น สอดคล้องกับนโยบายผลักดัน Soft Power ไทยสู่ระดับโลก โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่ยูเนสโกยกย่องให้เชียงรายเป็น เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” (City of Design)

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า งานนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรม และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์อย่างครบวงจร กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การแสดงแบบแฟชั่นโชว์ นำเสนอชุดจากผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์
  • นิทรรศการและสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการทอผ้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • บูธแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ อาทิ ผ้าทอ เครื่องประดับ ของฝาก และของที่ระลึก
  • การประกวดออกแบบแฟชั่น ซึ่งได้รับผลงานเข้าร่วมจากนักออกแบบรุ่นใหม่ 15 ผลงาน

อบจ.เชียงรายร่วมส่งเสริม Soft Power ผ่านวัฒนธรรมผ้าไทย

เวลา 18.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมงาน โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานการจัดงาน ณ ลานจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ สืบสานและส่งต่อมรดกทางภูมิปัญญาการทอผ้าเชียงรายให้คงอยู่ และเผยแพร่อัตลักษณ์การสร้างสรรค์เสื้อผ้าอาภรณ์ของเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยเน้นการนำผ้าไทยมาพัฒนาให้สอดคล้องกับแฟชั่นสมัยใหม่ ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ความสำคัญของอุตสาหกรรมผ้าไทยต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

อุตสาหกรรมผ้าไทยถือเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่มีศักยภาพของประเทศไทย โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า:

  • ตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสร้างมูลค่า กว่า 280,000 ล้านบาทต่อปี
  • ร้อยละ 60 ของผู้ผลิตผ้าไทยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น
  • ผ้าไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดส่งออก ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือ และผ้าชาติพันธุ์
  • อุตสาหกรรมผ้าไทยจ้างงานมากกว่า 500,000 คนทั่วประเทศ

สรุป

การจัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ไม่เพียงแต่เป็นเวทีสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าพื้นเมือง แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทยผ่านการออกแบบและสิ่งทอ งานนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับชุมชนท้องถิ่นและนักออกแบบรุ่นใหม่ในการนำเสนอผลงานสู่ตลาดที่กว้างขึ้น พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมีความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้

ผ้าไทยคือมรดกทางวัฒนธรรม สืบสาน ต่อยอด สู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับโลก”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย /สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 /สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชิมลาบเหนือแท้ ‘เซ็นทรัลเชียงราย’จัดแข่ง ‘ลาบเมือง’ 2 เมษาฯ

การบริโภคลาบเมือง: วิถีวัฒนธรรมอาหารเหนือ กับแนวทางสุขภาพที่ปลอดภัย

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.), วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสมาคมสื่อมวลชนเชียงราย จัดงาน การแข่งขันลาบเมือง” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา ในวันที่ 1-2 เมษายน 2568 ณ ชั้น G โซนทางาเชื่อมจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมการทำลาบพื้นเมืองล้านนา พร้อมทั้งกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารปรุงสุกเพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพ

ประวัติและวิวัฒนาการของลาบเมือง

ลาบเมือง ถือเป็นอาหารพื้นบ้านของภาคเหนือที่มีประวัติยาวนาน นิยมใช้เนื้อสัตว์หลากหลาย เช่น เนื้อควาย เนื้อหมู หรือเนื้อวัว ในการประกอบอาหาร ซึ่งแต่เดิมมีการบริโภคลาบดิบหรือที่เรียกว่า ลาบดิบ” ที่มีสมุนไพรหลายชนิดเป็นส่วนผสม อาทิ มะแขว่น มะแหลบ ตะไคร้ ข่า และพริกลาบ ที่เชื่อกันว่าสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและพยาธิได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้ประชาชนบริโภคลาบแบบปรุงสุก หรือ ลาบคั่ว” เพื่อป้องกันโรคพยาธิและแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

ลาบเหนือ vs. ลาบอีสาน: ความแตกต่างที่สะท้อนวัฒนธรรม

  1. แหล่งที่มาและการใช้เนื้อสัตว์
    • ลาบเหนือมักนิยมใช้ เนื้อควาย เนื่องจากควายเป็นสัตว์ที่เลี้ยงกันมากในภาคเหนือที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์
    • ลาบอีสานนิยมใช้ เนื้อวัว เพราะภาคอีสานเป็นที่ราบสูง มีน้ำน้อย จึงเลี้ยงวัวมากกว่าควาย
  2. รสชาติและเครื่องเทศ
    • ลาบเหนือมีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด ทำให้รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมจากเครื่องเทศ
    • ลาบอีสานเน้นรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และมักใส่ข้าวคั่วเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
  3. กระบวนการปรุง
    • ลาบเหนือใช้วิธีการสับละเอียดและคลุกเคล้ากับเครื่องเทศหลายชนิด ทำให้มีรสชาติกลมกล่อม
    • ลาบอีสานนิยมปรุงแบบด่วน ใช้เวลาน้อยกว่า สามารถรับประทานได้ทันทีหลังจากปรุงเสร็จ

แนวทางส่งเสริมการบริโภคอาหารปลอดภัย

เพื่อสนับสนุนการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและปราศจากเชื้อโรค องค์กรสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงสุก พร้อมทั้งแนะนำแนวทางดังต่อไปนี้:

  • บริโภคลาบคั่วแทนลาบดิบ เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและพยาธิ
  • เลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ปลอดภัย และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ
  • ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรที่สดใหม่ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
  • หลีกเลี่ยงการใช้เลือดสดที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับในประเทศไทยเกิดจากการบริโภค อาหารดิบ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มี อัตราผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับสูงที่สุด ในประเทศ
  • การบริโภคลาบดิบมี ความเสี่ยงต่อโรคพยาธิและโรคติดเชื้อทางเดินอาหารมากกว่าการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกถึง 5 เท่า

สรุป

การแข่งขันลาบเมืองในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านล้านนา แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย ผ่านแนวคิด กินสุก เป็นสุข” ซึ่งเน้นการปรุงอาหารให้สุกก่อนบริโภคเพื่อลดความเสี่ยงของโรคพยาธิและแบคทีเรีย โดยยังคงความอร่อยของรสชาติลาบเหนือไว้ได้เช่นเดิม

ลดเสี่ยง เลี่ยงโรค อร่อยได้ ไม่ต้องดิบ” เป็นแนวคิดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนหันมารับประทานอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ พร้อมทั้งรักษาวัฒนธรรมการกินลาบแบบดั้งเดิมให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / รวมที่เที่ยวเชียงราย – chiangrai travel / ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข, 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News