Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“โฮงยาไทย Premium Clinic” กลางเซ็นทรัล นำร่องบริการสุขภาพถึงมือถึงชุมชน

เชียงรายพลิกโฉมบริการสุขภาพ “ถึงมือ-ถึงใจ-ถึงชุมชน” เซ็นทรัล เชียงราย จับมือ ‘โฮงยาไทย’ เปิด ‘ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร’ นำร่องลดแออัดโรงพยาบาล เชื่อมประสบการณ์การรักษาเข้ากับวิถีชีวิตเมือง

เชียงราย, 29 กันยายน 2568 เสียงปรบมือดังก้องลานชั้น 2 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ในบ่ายวันอาทิตย์—ภาพของแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารศูนย์การค้า และประชาชนที่หลั่งไหลมารอรับฟังข่าวดี สะท้อน “จุดตัดสำคัญ” ของระบบสุขภาพจังหวัดบนดอย เมื่อ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่คนเมืองเรียกติดปากว่า “โฮงยาไทย” ประกาศความร่วมมือกับ เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ภายในศูนย์การค้า—บริการแพทย์คุณภาพที่เลื่อนไหลไปกับจังหวะชีวิตในเมือง โดยตั้งเป้าช่วย “กระจายภาระ” ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลหลัก ลดระยะรอคอย และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับคนเชียงรายและจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นรูปธรรม

 “MOU” กลางเมือง เมื่อโรงพยาบาลไปหาประชาชน

ความร่วมมือครั้งนี้ “ไม่ใช่เพียงเช่าพื้นที่” หากคือการออกแบบประสบการณ์สุขภาพใหม่ทั้งระบบ จุดยืนชัดจากโพสต์ทางการของโรงพยาบาลที่ระบุการลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง โฮงยาไทย กับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเตรียมเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic” ซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็น ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ให้บริการตรวจสุขภาพ เจาะเลือด วัคซีน และปรึกษาแพทย์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายในโลเคชันที่เดินถึงง่าย จอดรถสะดวก และเชื่อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองโดยตรง

การเคลื่อนย้าย “บริการหน้าเคาน์เตอร์” มาไว้ใน “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Center of Life ของผู้พัฒนาศูนย์การค้าอย่าง Central Pattana (CPN) ที่ประกาศบทบาทศูนย์การค้าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่เพียงการจับจ่าย ซึ่งเมื่อบรรจบกับบริการสุขภาพ จะสร้าง “ประสบการณ์ที่จำเป็น” ใกล้มือประชาชนยิ่งขึ้น

โรงพยาบาลใหญ่—ผู้ป่วยนอกล้น ระบบนัดแน่น

“การรอคอย” คือความจริงที่คนไข้รับรู้ร่วมกัน โฮงยาไทยในฐานะ โรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ มีขนาดเตียงใช้งานจริงกว่า 800 เตียง—ตัวเลขสะท้อนภาระงานที่สูงของจังหวัดชายแดนที่เป็น “แม่เหล็ก” ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั้งในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงผู้ป่วยใน 821 เตียง (รวม ICU หลายสาขา) ซึ่งอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำของภูมิภาคเหนือ

แนวโน้มระดับประเทศก็ชี้ว่าโรงพยาบาลใหญ่กำลังปรับตัวเพื่อลดความแออัดผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่าน Telemedicine และการกระจายจุดบริการ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้รับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวันของโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงจาก 23,022 คน/วัน (ปี 2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (ปี 2567) หลังหน่วยบริการเร่งใช้เครื่องมือดิจิทัลและรีดีไซน์เส้นทางบริการ—ตัวเลขที่สอดรับกับทิศทาง “ดึงบริการเบา” ออกจากโรงพยาบาลหลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยหนักและซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ศูนย์ตรวจสุขภาพที่ “ไปหา” ประชาชนในห้าง จึงไม่ใช่แฟชั่น หากเป็น “การปฏิรูปเชิงพื้นที่” ให้บริการป้องกันโรคและดูแลโรคไม่รุนแรงใกล้บ้าน เพื่อให้โรงพยาบาลหลัก “ว่างพอ” สำหรับกรณีฉุกเฉินและซับซ้อน—คลี่ปมหลักของระบบ

ตรวจ เจาะ วัคซีน ปรึกษาแพทย์—ครบวงจรในจุดเดียว

จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของเซ็นทรัล เชียงรายและเครือข่ายท้องถิ่น บริการหลักของ ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ประกอบด้วย
1) โปรแกรมตรวจสุขภาพและ การตรวจโลหิต (Blood Work) สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
2) วัคซีน จำเป็นตามช่วงวัย และตามฤดูกาล เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน
3) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมเวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ครอบครัว รวมถึงการบูรณาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนจีนกับเวชกรรมสมัยใหม่ ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลิกบุหรี่ และสุขภาวะองค์รวมในคนทำงานและผู้สูงอายุ

ทิศทาง “แพทย์บูรณาการ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในนโยบายสาธารณสุขไทย ช่วงหลัง กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ และ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผสาน “ตะวันตก–ตะวันออก” ให้บริการตอบโจทย์ปัจเจก—แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดสู่ระดับพื้นที่ผ่านคลินิกปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพในเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทำเลและเวลา สุขภาพที่ไม่ต้อง “ลางานทั้งวัน”

การตั้งจุดบริการในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจ–ฉีด–ปรึกษา” ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ลดต้นทุนแฝงจากการเดินทางและการรอคอย โดยแนวปฏิบัติของโฮงยาไทยก่อนหน้านี้ก็เคลื่อนบริการบางส่วนไปใกล้ชุมชน เช่น โครงการเจาะเลือดล่วงหน้าใกล้บ้าน ร่วมกับพันธมิตรแล็บในจังหวัดเพื่อย่นเวลา รอผลสั้น พบแพทย์ไว—กรอบคิดเดียวกับการเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพ ในห้าง ที่พยายาม “วางเส้นทาง” ให้สั้นและง่ายที่สุดสำหรับประชาชนที่ต้องการบริการป้องกันและติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ดุลยภาพใหม่ระหว่าง “คุณภาพ–ความสะดวก–ความเท่าเทียม”

แม้ในงานเปิดตัวจะเน้นภาพรวมมากกว่าคำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหาร แต่สาระที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดสื่อสารตลอดปีที่ผ่านมา คือภารกิจ ยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน” และ ขยายจุดเข้าถึงวัคซีน–คัดกรอง เพื่อไล่ทันความเสี่ยงในทุกอำเภอ—การมี “แขนขา” ในห้างจึงช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่เดินห้างเป็นกิจวัตร พร้อมย้ำบทบาท “สาธารณสุขเชิงรุก” ในพื้นที่เมืองหลักของจังหวัด

ในอีกมุมหนึ่ง การจับมือครั้งนี้ยังสะท้อน “ดุลยภาพใหม่” ระหว่าง คุณภาพทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์ (ซึ่งมีศักยภาพเตียงรวมกว่า 800 เตียง และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพครบถ้วน) กับ ความสะดวก และ ประสบการณ์ผู้ใช้บริการ ที่เครือเซ็นทรัลขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Center of Life—ทำให้บริการสุขภาพฐานราก “น่าไป” ไม่ใช่ “จำใจไป”

ข้อมูลชวนคิด ตัวเลขที่บอกว่า “ใกล้ขึ้น–เร็วขึ้น–คุ้มค่าขึ้น”

  • ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หลังใช้ Telemedicine และออกแบบเส้นทางบริการใหม่—จาก 23,022 คน/วัน (2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (2567) สะท้อนว่าการ “ย้ายบริการเบาออกนอกอาคารใหญ่” มีผลลัพธ์จริงระดับระบบ
  • ศักยภาพเตียงโฮงยาไทย 821 เตียง คือทรัพยากรอันจำกัดที่ควรถูกใช้กับผู้ป่วยซับซ้อน—การให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานและวัคซีนในเมือง จึงช่วย กันคิว ห้องตรวจและเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
  • วาระการแพทย์บูรณาการ ระดับกระทรวง ทำให้ แพทย์แผนไทย/จีน ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคทั่วไปและส่งเสริมสุขภาพ—เหมาะกับบริการในห้างที่ต้องการความ “นุ่มนวล–เข้าถึงง่าย” แต่ยังคงมาตรฐานทางการแพทย์

จากจุดตั้งต้นสู่แผนขยาย ฐานรากของ “เมืองสุขภาวะ”

การเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพในศูนย์การค้า ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือ “ฐาน” ของการขยายเครือข่ายบริการสุขภาพในเมือง—โมเดลที่อาจต่อยอดสู่ คลินิกเรื้อรังคงที่, มุมสุขภาพวัยทำงาน, บริการวัคซีนตามฤดูกาล หรือ กิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เชิงรุกในวันหยุด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาต่อเนื่องผ่านการตั้งจุดบริการนอกโรงพยาบาลในพื้นที่ชุมชนและอำเภอรอบนอก

และเมื่อ ศูนย์การค้าสมัยใหม่ กลายเป็น “สนามปฏิบัติการ” ของสุขภาวะ เมืองย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ—เพราะทุกกิจกรรมสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใช้สอยของห้าง ส่งต่อ รายได้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น (ร้านอาหาร–คาเฟ่–สินค้าเพื่อสุขภาพ) ขณะเดียวกันก็ช่วยบ่มเพาะ “วัฒนธรรมดูแลตัวเอง” ให้เป็น กิจวัตร มากกว่า ภาระ

เสียงสะท้อนจากชุมชน “โฮงยาไทย” ที่ใกล้ขึ้น

สื่อท้องถิ่นหลายสำนักและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเชียงรายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยพาดหัวร่วมกันว่า พรีเมียมคลินิกในห้าง—ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด” พร้อมอธิบายขอบเขตบริการที่ “เหมาะกับอาการทั่วไปและโรคเรื้อรังคงที่” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับบริการฉุกเฉิน ซึ่งยังต้องไปที่โรงพยาบาลหลักเหมือนเดิม—การสื่อสารเช่นนี้ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ใช้บริการให้ตรงกับธรรมชาติของคลินิกในเมือง

นอกจากนี้ บัญชีทางการของ โฮงยาไทย ยังสื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่าน Facebook Live ทั้งเรื่องก้าวต่อไปขององค์กร และบริการใหม่ ๆ เช่น Telehealth Center—เป็นสัญญาณว่าโรงพยาบาลกำลัง “เดินสองขา” ทั้ง ทางไกล และ ทางใกล้ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการหลากหลายให้ประชาชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ความเสี่ยง–ข้อพึงระวัง คุณภาพมาตรฐานและการเชื่อมข้อมูล

แม้ศูนย์ในห้างจะตอบโจทย์ “เข้าถึงง่าย” แต่โจทย์เชิงเทคนิคสำคัญคือ การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ระหว่างคลินิกในเมืองกับโรงพยาบาลหลัก ทั้ง แฟ้มเวชระเบียน, ผลแลบบนระบบ, ยานัดหมาย, และ การดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง—หากออกแบบระบบดี จะทำให้ผู้ป่วย ตรวจ–รับยา–ติดตาม ได้ในเมือง และกลับโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็น ซึ่งโฮงยาไทยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแล็บเครือข่ายและการนัดหมายล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงมีฐานข้อมูลพร้อมต่อยอดสู่บริการในห้างได้รวดเร็ว

อีกด้าน มาตรฐานความปลอดภัย ของการให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ต้องคงคุณภาพเทียบเท่าพื้นที่โรงพยาบาล ทั้งการควบคุมการติดเชื้อ การจัดการเวชภัณฑ์ และระบบส่งต่อฉุกเฉิน—ซึ่งการมี พันธมิตรภาคเอกชน ที่มีระบบบริหารจัดการพื้นที่เข้มแข็ง (เช่น CPN) ช่วยลดความเสี่ยงปฏิบัติการในวันแรก ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมืองที่ “กอดสุขภาพ” ไว้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเรื่องเล่ามาถึงฉากสุดท้าย—เชียงรายกำลังวางรากฐาน เมืองสุขภาวะ” ด้วยการเหลื่อมซ้อนบริการสาธารณสุขลงบนพื้นที่ชีวิตจริง บนทางเดินที่ใคร ๆ ก็แวะได้ โฮงยาไทยยังคงเป็น แบ็กโบน ของการรักษาระดับสูง ส่วน ศูนย์ตรวจสุขภาพในห้าง รับช่วงงานป้องกัน–คัดกรอง–ติดตามอาการทั่วไป—นี่คือ ระบบสองชั้น ที่พยายามส่ง “ทรัพยากรแพทย์” ไปอยู่ “ที่ถูกที่–ถูกเวลา–ถูกคน”

และเมื่อประชาชน “พบหมอ” ง่ายขึ้น “ฉีดวัคซีน” ใกล้ขึ้น “เจาะเลือด” สะดวกขึ้น—ระบบสุขภาพทั้งจังหวัดก็จะ หายใจโล่งขึ้น เฉกเช่นอากาศยามเช้าบนดอยตุง

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • MOU โฮงยาไทย x เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic / ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ในห้าง—นำบริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และปรึกษาแพทย์ใกล้ชุมชนเมือง เพื่อลดแออัดโรงพยาบาลหลักและเพิ่มการเข้าถึงบริการเชิงป้องกันของประชาชน
  • โฮงยาไทย = โรงพยาบาลศูนย์ ศักยภาพเตียง 821 เตียง (หลาย ICU)—ทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกกันไว้สำหรับกรณีซับซ้อนและฉุกเฉิน การดึงบริการเบาออกนอกโรงพยาบาลจึงช่วยใช้เตียงให้ตรงภารกิจมากขึ้น
  • แนวโน้มประเทศ ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์ลดลงต่อเนื่องหลังปรับใช้ Telemedicine และรีดีไซน์บริการ—ยืนยันประสิทธิผลของ “การกระจายจุดบริการ” และ “ดิจิทัลเฮลท์” ในการคลายคอขวดระบบ
  • นโยบายบูรณาการแพทย์ กรมการแพทย์จับมือกรมการแพทย์แผนไทยฯ ผลักดันบริการผสมผสาน—สอดรับบริการแพทย์แผนไทย/จีนในศูนย์ตรวจสุขภาพรูปแบบใหม่ในเมือง
  • สาธารณสุขจังหวัด ขับเคลื่อนวัคซีนพื้นฐานและงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก—การมีจุดบริการในห้างช่วยเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวได้มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • Central Chiangrai
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงราย เปิดศึก CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ใช้กีฬาวอลเลย์บอลเชื่อมสัมพันธ์ 4 องค์กร

อบจ.เชียงราย เปิดศึก CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ใช้กีฬาวอลเลย์บอลเชื่อมสัมพันธ์ 4 องค์กร ดันสุขภาพดี-ประสิทธิภาพงานพุ่ง

เชียงราย, 28 กันยายน 2568  – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้แสดงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพและความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดกิจกรรมกีฬา CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ขึ้น เพื่อใช้กีฬาวอลเลย์บอลเป็นสื่อกลางในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยการแข่งขันครั้งนี้ได้รวมพลังของ 4 องค์กรหลักในจังหวัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างคึกคัก

การรวมพลัง 4 เสาหลักของเชียงราย

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เป็นประธานเปิดการแข่งขัน ณ โรงยิมเนเซียม สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย โดยมีผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง .

การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบกระชับมิตร แต่ยังคงความเข้มข้นของกีฬาวอลเลย์บอลเต็มรูปแบบ โดยมีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 4 ทีม ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรสำคัญในจังหวัด:

  1. ทีมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  2. ทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  3. ทีมเทศบาลนครเชียงราย
  4. ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า โครงการ CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงเวทีการแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพกายและใจของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางสำคัญในการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่

เทศบาลนครเชียงรายคว้าแชมป์หญิง

การแข่งขันดำเนินไปอย่างสนุกสนานและเข้มข้น ซึ่งผลการแข่งขันได้สะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและความมุ่งมั่นของบุคลากรจากแต่ละองค์กร:

  • รุ่นทั่วไปหญิง:
    • ชนะเลิศ: ทีมเทศบาลนครเชียงราย
    • รองชนะเลิศ: ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • รุ่นทั่วไปชาย:
    • ชนะเลิศ: ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
    • รองชนะเลิศ: ทีมเทศบาลนครเชียงราย

กีฬาคือเครื่องมือสร้างคุณภาพชีวิต

การจัดกิจกรรมกีฬาโดยหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลด้านการส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกาย แต่ในบริบทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การใช้กีฬาเป็นสื่อกลางมีความสำคัญมากกว่าแค่การออกกำลังกาย:

  1. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน (Inter-agency Networking): การแข่งขันวอลเลย์บอลเป็นช่องทางที่บุคลากรจากต่างองค์กรได้ใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความคุ้นเคยและเปิดโอกาสให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างองค์กรที่มีภารกิจซับซ้อนร่วมกันอย่างมหาวิทยาลัย เทศบาล และ อบจ.
  2. การพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากร: โครงการนี้สนับสนุนให้บุคลากรภาครัฐใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ลดความตึงเครียดจากการทำงาน และมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการเป็นองค์กรที่ใส่ใจและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ที่พร้อมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรและประชาชน ด้วยการใช้กีฬาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสุขภาพที่แข็งแรง เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในสังคม และเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องกอดอุ่น” มาสคอตใหม่เชียงราย สื่อสาร Soft Power “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เชียงรายเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” ทูตการท่องเที่ยวใหม่ คราฟต์แบรนด์เมืองด้วยอารมณ์ “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

เชียงราย,28 กันยายน 2568 – เวลา 15.30 น. บรรยากาศลาน Grand Hall ชั้น G ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เชียงราย คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นายรุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “Gord-Aun Meet & Greet พบปะน้องกอดอุ่น” เปิดตัว น้องกอดอุ่น (Gord-Aun)” มาสคอตทูตการท่องเที่ยวตัวแทน “ภูเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมเชียงราย” เชื้อเชิญนักเดินทาง “มากอดเชียงราย” ผ่านพลัง Soft Power ที่สื่อสารด้วยอ้อมกอดและความอบอุ่นของผู้คนเมืองเหนือ

พิธีเปิดได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ดร.เอกภพ ช่างแก้ว รองประธานฯ และ นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย สะท้อน “ฉันทามติ” ของทุกภาคส่วนในการยกระดับแบรนด์จังหวัดอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนจาก “ขายสถานที่” สู่ “ขายความรู้สึก” ด้วยทูตการท่องเที่ยว

สารหลักของ “น้องกอดอุ่น” คือการชวนผู้มาเยือน “รับอ้อมกอดจากธรรมชาติ”  ภาพจำของเชียงรายในฐานะ ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ถูกถ่ายทอดเป็นบุคลิกของมาสคอตที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยงความทรงจำระหว่างการเดินทางกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย การวางตำแหน่งในลักษณะนี้ถือเป็นการปรับยุทธศาสตร์จาก Place-centric สู่ Emotion-centric เปลี่ยนการสื่อสารจาก “มาเที่ยวที่ไหน” เป็น “มาเที่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร” เพื่อให้แบรนด์เชียงราย “อยู่ในใจ” ยาวนานกว่าอยู่ในภาพถ่าย

ด้านนโยบายการสื่อสารสาธารณะ กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำสื่อสร้างสรรค์มาขับเคลื่อนเป้าหมายสาธารณะในระดับพื้นที่ ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์จังหวัด การกระจายกิจกรรมลงชุมชน และการเสริมรายได้แก่ประชาชนสอดรับพันธกิจของกองทุนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเพื่อ “รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” อย่างเป็นระบบ

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ ในนามฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบาย “โจทย์” ของงานชัดเจนว่า ต้องการ เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ให้เชียงรายผ่านการประชาสัมพันธ์เชิงบูรณาการ พร้อมกระจายผลประโยชน์ลงสู่ฐานราก จุดยืนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยแนวคิดการตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) ที่วางไลน์-อัปกิจกรรมให้ผู้ร่วมงาน “ได้ลงมือ” และ “ได้ของกลับบ้าน” จาก Workshop ของ Gord-Aun Art Studio ไปจนถึง ของที่ระลึก “ตุ๊กตาน้องกอดอุ่น” ซึ่งต่อยอดให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์รายย่อยควบคู่กัน

เวทีที่ออกแบบมาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน กาแฟเชียงรายเป็นพระเอก

หนึ่งในภาพจำที่ชัดเจนของงานวันนี้ คือ โซนกาแฟเชียงราย ที่รวบรวมเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL) มากกว่า 40 ร้าน ล้อมวงเล่าเรื่องเส้นทางเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกสู่ถ้วย พร้อมเมนูซิกเนเจอร์เฉพาะกิจ ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์รสชาติ” ให้แบรนด์จังหวัดทิ้งรสชาติติดปากผู้มาเยือนในเชิงสัญลักษณ์กาแฟดี = การต้อนรับดี = อ้อมกอดที่จริงใจของเชียงราย เครือข่าย CCL เองมีฐานกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่และสื่อสังคม ทำให้การระดมพลังครั้งนี้มีแรงส่งไปไกลกว่างานวันเดียว

วงดนตรีและการแสดงร่วมสมัยสลับกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เติมความสนุกและความหมายให้พื้นที่สาธารณะ ขณะเดียวกัน มินิคอนเสิร์ตจาก “ทิกเกอร์ อชิระ” ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ช่วยเพิ่มทราฟฟิกคนเมืองและนักท่องเที่ยวเข้าโซนกิจกรรมผลักให้ยอดขายรายย่อยของผู้ประกอบการในงาน “ขยับขึ้น” ควบคู่การรับรู้แบรนด์

พลังเครือข่าย รัฐ เอกชน สื่อคนละมือ แต่เป้าหมายเดียวกัน

การเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” มี “สมการสามเหลี่ยม” ที่เดินไปด้วยกันอย่างลงตัว
มุมแรก คือ รัฐและท้องถิ่น นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่ “รับรองนโยบาย” และเป็น “เจ้าภาพความน่าเชื่อถือ” ให้แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มุมที่สอง คือ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ที่ทำงานระยะยาวกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ซึ่งมีทุนทางสังคมและช่องทางตลาดของตนเอง
มุมสุดท้าย คือ สื่อและครีเอเตอร์ท้องถิ่น ตั้งแต่นักข่าว ช่างภาพ เพจเมือง ไปจนถึงสตูดิโอศิลปะที่ช่วยตัดต่อ เติมคอนเทนต์ให้ “น้องกอดอุ่น” กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้คนอยากแชร์

นายรุจติศักดิ์ รังสี ระบุในเวทีกล่าวเปิดว่า นี่ไม่ใช่แค่งานเปิดตัวมาสคอต แต่เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่จะยึดโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชนเข้ากับแบรนด์จังหวัดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเชียงรายมีจุดแข็งด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ

กอด” ให้เป็นระบบ จากกิจกรรมวันเดียว สู่กรอบทำงานตลอดปี

เพื่อไม่ให้พลังของเวทีนี้จบลงที่ภาพถ่าย กรอบทำงานหลังงานเปิดตัวจึงสำคัญไม่แพ้กัน ทีมภาคีร่วมงานได้สรุป “แนวทางต่อยอด” เบื้องต้นไว้ 4 แกน ได้แก่

  1. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส จับมือกับศูนย์การค้า/แลนด์มาร์กหลัก ผลัก “Gord-Aun Pop-up” แทรกในเทศกาลเมือง เช่น สวนดอกไม้ บูชาพญานาค ปั่นชมชุมชน สร้างการพบปะมาสคอตอย่างสม่ำเสมอ
  2. Loyalty & Collectibles ขยายไลน์ของที่ระลึก “น้องกอดอุ่น” ร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น ตั้งกติกาสะสมตราปั๊ม/สติ๊กเกอร์จากร้านภาคี เพื่อแลกของพิเศษ กระตุ้น repeat visit
  3. Gord-Aun for Good ให้มาสคอตเป็น “ทูตงานสังคม” เช่น แคมเปญ ท่องเที่ยวปลอดภัย–สื่อปลอดภัย รณรงค์การท่องเที่ยวเคารพชุมชนและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องพันธกิจของกองทุนสื่อ
  4. Route การท่องเที่ยวรสกาแฟ พัฒนาเส้นทาง “Chiang Rai Coffee Journey by CCL” แบบทำจริงจัง ร้อยจุดชิม–ชมโรงคั่ว–พบชุมชนปลูกกาแฟ สร้างแพ็กเกจร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ทำไม “เซ็นทรัล เชียงราย” คือเวทีที่ใช่

การเลือก เซ็นทรัล เชียงราย เป็นสถานที่เปิดตัว ไม่ได้สะท้อนแค่ความสะดวกด้านโลจิสติกส์และระบบเสียง-แสง แต่คือการตั้ง “จุดรับรู้” กลางเมืองให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพบมาสคอตได้จริง ศูนย์การค้าดังกล่าวมีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และที่จอดรถรองรับการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการพัฒนา “มุมถ่ายรูปถาวร” ของน้องกอดอุ่น ตลอดจนการหมุนเวียนกิจกรรมสร้างสรรค์รายเดือน

เล่าเชียงรายให้ “นุ่ม-แน่น” ผ่านตัวเลขที่ชวนคิด

แม้ข่าววันนี้จะเป็น “ก้าวแรก” ของน้องกอดอุ่น แต่ “โจทย์ใหญ่” ที่จังหวัดต้องการตอบคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์จังหวัดไปไกลกว่าวิวสวย กาแฟเชียงรายเป็นตัวอย่างของ “สินค้าเชิงคุณค่า” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองราคาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หากมาสคอตสามารถเชื่อม เส้นเรื่องกาแฟ–งานศิลป์–ชุมชน เข้าด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้จะกว้างกว่า “ความน่ารัก” และเข้าใกล้คำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้

ในทางกลับกัน การรักษามาตรฐาน “ประสบการณ์ผู้มาเยือน” คือจุดคานงัดของแบรนด์ หากผู้มาเยือนได้เจอทั้ง การต้อนรับที่จริงใจ ร้านกาแฟดี ระบบขนส่งท้องถิ่นที่เป็นมิตร และปฏิทินกิจกรรมที่ไม่สะดุด พวกเขาจะแชร์ “อ้อมกอดเชียงราย” ต่อไปโดยสมัครใจนั่นคือ สื่อ Earned Media ต้นทุนต่ำแต่ทรงพลังที่สุด

เสียงจากภาคี คำมั่นสัญญาสู่ฤดูท่องเที่ยว

  • เครือข่าย CCL ยืนยันเดินหน้าจัด กิจกรรมกาแฟรายไตรมาส เชื่อมโยงแหล่งปลูกกับเมือง เพื่อเล่าเรื่องชุมชนและต้นทางเมล็ดเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้ “แก้วกาแฟเชียงราย” ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่คือเรื่องเล่ากับผู้คนจริง ๆ
  • ภาคเอกชนท่องเที่ยว ผ่านสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชื่อมผู้ประกอบการที่พัก–ทัวร์–ร้านอาหาร เป็น “พันธมิตรแบรนด์” เพื่อจัด แพ็กเกจ “กอดเชียงราย” เจาะครอบครัว คู่รัก และกลุ่มทำงานไฮบริดที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นแม่เหล็กช่วงไฮซีซันปลายปี
  • หน่วยงานรัฐและกองทุนสื่อ จะคงบทบาทกำกับทิศทางการสื่อสารสาธารณะและความปลอดภัยของสื่อในกิจกรรมต่อเนื่อง ให้ทุกชิ้นงาน “สร้างสรรค์-รับผิดชอบ-เข้าถึงได้” เพื่อให้แบรนด์จังหวัดเติบโตคู่ความไว้วางใจ

ทำอย่างไรให้น้องกอดอุ่น “อยู่ยาว” ไม่ใช่กระแส

บทเรียนจากหลายจังหวัดชี้ว่า มาสคอตจะ “อยู่ยาว” ได้ต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไข
หนึ่ง มี เจ้าภาพชัดเจน ทั้งเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและกำกับใช้แบรนด์
สอง มี โรดแมปกิจกรรม ที่ต่อยอดได้จริงพิพิธภัณฑ์ชุมชนขนาดย่อม จุดถ่ายรูปถาวร เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดิน ที่หยิบมาสคอตไปวางเรื่องเล่า
สาม มี ตัวชี้วัด ที่มากกว่า “ยอดไลก์” เช่น รายได้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วม กิจกรรมชุมชนที่เกิดใหม่ หรือจำนวน “แพ็กเกจท่องเที่ยว” ภายใต้แบรนด์

เชียงรายมี “ทุน” สำหรับทั้งสามข้อแล้วตั้งแต่ เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ขยับงานจริง ศูนย์การค้าหลัก ที่พร้อมเป็นเวที คอมมูนิตี้กาแฟ ที่มีพลัง และ เครื่องมือสื่อสาธารณะ จากกองทุนสื่อหากทุกมือยังประสานกันต่อเนื่อง “กอดเชียงราย” จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่เป็น ประสบการณ์ร่วม ที่วัดผลได้

ฉากสุดท้ายของวันนี้และฉากเปิดของฤดูกาลใหม่

เมื่อเพลงสุดท้ายของมินิคอนเสิร์ตจบ สปอตไลต์ที่ลาน Grand Hall ค่อย ๆ ดับลง แต่แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของครอบครัวหนึ่งยังไม่หยุด พวกเขาถ่ายภาพกับ “น้องกอดอุ่น” ก่อนที่ลูกชายตัวเล็กจะยื่นมือออกไป “กอด” มาสคอตอีกครั้ง ภาพง่าย ๆ นี้อธิบายสารของทั้งงานได้ครบ เชียงรายอยากให้คุณมากอด และพร้อมกอดตอบ ตั้งแต่ผู้คน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง หากจังหวัดและภาคีผลักปฏิทินกิจกรรมต่อจากวันนี้ให้ออกสตาร์ทได้ทัน น้องกอดอุ่น จะกลายเป็นหน้าแรกของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงรายปีนี้ ไม่ใช่แค่ “ไอคอน” บนโปสเตอร์ แต่เป็น ตัวละครเอก ในเรื่องเล่าที่ทุกคนมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund)
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CCL)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มุมไบ–เชียงราย บินตรงใกล้จริง! IndiGo เล็งเปิดเส้นทาง หนุนอินเดียเที่ยวไทยพุ่ง

IndiGo เล็งเปิดบินตรง “มุมไบ–เชียงราย” ปักธงเมืองรองไทย หนุนนักท่องเที่ยวอินเดียแตะหลักหลายล้าน–ดัน CEI สู่ “ประตูภาคเหนือ”

เชียงราย, 28 กันยายน 2568 — กระแสข่าวจากเพจ Hflight ซึ่งเชี่ยวชาญข่าวด้านท่องเที่ยวและการบิน รวมรีวิวสายการบิน โรงแรม ร้านอาหารและท่องเที่ยว และทั้งฝั่งหน่วยงานกำกับดูแลการบินของไทยและรายงานสื่อกระแสหลัก สะท้อนภาพเดียวกันว่า IndiGo (รหัส 6E) สายการบินขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย กำลังพิจารณาเปิด “เส้นทางตรง มุมไบ (BOM)–เชียงราย (CEI)” ภายใต้ยุทธศาสตร์บุก Secondary Cities ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการเดินทางให้ชาวอินเดียที่กำลังซื้อสูงและเพิ่มศักยภาพรายได้ท่องเที่ยวให้ไทย โดยมี “เชียงราย” เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ถูกหยิบขึ้นหารือกับ CAAT อย่างเป็นทางการ และถูกระบุชื่อร่วมกับ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ ในแผนสำรวจเส้นทางใหม่ของสายการบินจากอินเดียรายนี้วันนี้ด้วย

จากห้องประชุมกำกับดูแล สู่หน้าต่างโอกาสของเมืองเหนือ

ต้นสัปดาห์นี้ ผู้บริหาร IndiGo ได้เข้าพบ พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เพื่อหารือความเป็นไปได้ของเส้นทางตรงสู่เมืองรองไทยหลายแห่ง โดยโพสต์ของ CAAT ระบุชัดถึง “ความประสงค์ขยายเส้นทางบินมายังประเทศไทย” พร้อมยกตัวอย่างเมืองเป้าหมายเชิงระบบที่ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ–ภูเก็ต แต่เป็นสนามบินภูมิภาคที่ไทยต้องการกระจายรายได้ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ซึ่งในลิสต์นั้น เชียงราย ถูก “ปักหมุด” เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญ

ในเชิงนโยบาย สัญญาณดังกล่าวสอดรับกับความพยายามของรัฐบาลไทยในการ “ดึงตลาดอินเดีย” ให้ขยายตัวต่อเนื่อง หลังปี 2024 ททท. ประกาศความสำเร็จ “ต้อนรับนักท่องเที่ยวอินเดียคนที่ 2,000,000” ที่สุวรรณภูมิ และปี 2025 แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของไทยจะอ่อนตัวลงบ้าง แต่บทบาทของตลาดอินเดียยังถูกประเมินว่าเป็น “แรงขับเคลื่อนหลัก” ที่สามารถชดเชยได้ในหลายช่วงฤดูกาล

ทำไม “BOM–CEI” มีเหตุผล ลดเวลาบินมากกว่า 50% ชนะทั้งเวลา–ความสะดวก

ปัจจุบัน การเดินทางจาก มุมไบ–เชียงราย ต้อง “ต่อเครื่องอย่างน้อย 1 ครั้ง” ส่วนใหญ่ผ่าน กรุงเทพฯ (BKK/DMK) ใช้เวลารวม อย่างต่ำราว 9 ชั่วโมง ขณะที่กรณี “บินตรง” ตามระยะทางจริงของเส้นทางนี้ ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที–4 ชั่วโมง เท่านั้น หมายถึง “ผู้โดยสารประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง” ความแตกต่างเรื่องเวลาเช่นนี้เป็นตัวแปรหลักที่กระตุ้นการตัดสินใจในตลาด Point-to-Point โดยเฉพาะนักเดินทางพักผ่อน กลุ่ม MICE และงานแต่งงานปลายทาง ที่ให้ความสำคัญกับความแน่นอนของตารางและการบริหารงบประมาณต่อหัว

ในเชิงฝูงบิน IndiGo ใช้ตระกูล Airbus A320neo/A321neo เป็นแกนหลักของโมเดลต้นทุนต่ำ (LCC) การนำเครื่องลำตัวแคบที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาบินช่วงระยะกลาง (ประมาณ 2,800–2,900 กิโลเมตร) ทำให้โครงสร้างต้นทุนต่อหน่วย (CASM) ต่ำเพียงพอที่จะตั้ง “ราคาเปิดตลาด” แข่งขันได้ ขณะเดียวกันยังสามารถรักษามาตรฐานเวลาหมุนกลับเครื่อง (turnaround) ที่รวดเร็วตามสูตรสำเร็จของ LCC ได้ด้วย

บทพิสูจน์ “Go-Beyond” เปิดกระบี่แล้วถึงคิวเมืองรองถัดไป

ไทม์ไลน์ปี 2025 แสดงให้เห็นว่า IndiGo ไม่ได้พูดถึงเมืองรองไทยไว้ลอย ๆ แต่ “ทำจริง” มาแล้วกับการเปิดเส้นทางตรงจาก มุมไบ/บังกาลอร์–กระบี่ เมื่อเดือนมีนาคม–เมษายน 2025 ตามข่าวและเอกสารเผยแพร่ของสายการบินเอง ความสำเร็จนี้ทำให้โมเดล “เมืองรองไทย” ของ IndiGo มีเคสอ้างอิง และเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเชียงรายสามารถเดินตามรอยได้ หากตัวแปรฝั่งโครงสร้างพื้นฐานสนามบินและอุปสงค์ตลาดขาเข้ารองรับเพียงพอ

เชียงรายพร้อมแค่ไหน AOT อนุมัติลงทุน 5.7 พันล้าน–ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพระยะยาว

ด้าน ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ผู้บริหาร AOT อนุมัติ “โครงการอาคารผู้โดยสารใหม่” วงเงิน 5.7 พันล้านบาท และวางพิมพ์เขียวให้พื้นที่ MRO ราว 50 ไร่ เพื่อเสริมขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศและกิจกรรมการบินที่ซับซ้อนกว่าเดิมในอนาคตอันใกล้ การเดินเครื่องลงทุนดังกล่าว แม้ต้องใช้เวลาพอสมควร คือ “สัญญาณบวก” ต่อสายการบินที่กำลังชั่งน้ำหนักเส้นทางใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เศรษฐศาสตร์ของเส้นทาง ความต้องการที่ถูกกักอยู่ และสิทธิประโยชน์ผู้บุกเบิก

ฐานตลาดอินเดีย ไปไทย “มีของจริง” รองรับอย่างชัดเจนปี 2024 แตะ 2 ล้านคน ส่วนปี 2025 แม้ภาพรวมต่างชาติของไทยลดลงตามฤดูกาลและภาวะเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขกลางปีสะท้อนว่าตลาดอินเดียยังขยายได้ดี และยังเป็นเป้าหมายในเชิง “คุณภาพรายได้ต่อหัว” สำหรับจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ของไทย หากเปิดบินตรงที่สะดวกกว่า

นอกจากนั้น เส้นทาง BOM–CEI ยังให้อานุภาพ First-Mover Advantage แก่ IndiGo เพราะ ยังไม่มีคู่แข่งบินตรง ในตลาดนี้ สายการบินจึงสามารถ “ออกแบบผลิตภัณฑ์และราคา” ได้ยืดหยุ่นกว่าการชนบนเส้นทางหลักที่มีผู้เล่นหนาแน่น เช่น มุมไบ–กรุงเทพฯ ทั้งฝั่ง FSC และ LCC การเริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ ปรับตามฤดูกาลท่องเที่ยวเหนือ (พฤศจิกายน–มีนาคม) จะช่วยจัดการ Load Factor และ Yield ในปีแรกได้อย่างระมัดระวัง

ผลประโยชน์ชุมชน จาก “เมืองผ่าน” สู่ “จุดหมาย” ของอินเดีย

เมื่อเส้นทางตรงเปิดใช้งาน เชียงราย จะเปลี่ยนสถานะจาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” เป็น “จุดหมายปลายทาง” ของนักเดินทางอินเดียอย่างเต็มตัว เครือโรงแรม รีสอร์ต ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และ MICE ในภาคเหนือจะได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งงานประชุม–ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–งานแต่งปลายทาง ขณะที่ห่วงโซ่ท่องเที่ยวตั้งแต่ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชน ไปจนถึงผู้ให้บริการขนส่งท้องถิ่น จะมีโอกาสเชื่อมโยงกับ “ตลาดอินเดีย” ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปค่อนข้างสูงเมื่อเทียบตลาดมวลชนอื่น

ความท้าทายที่ต้องจัดการ ภาคพื้น CEI–การสื่อสารตาราง–ฤดูกาลท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเส้นทางใหม่ขึ้นกับ “สามเงื่อนไข” สำคัญ

  1. ความพร้อมภาคพื้นสนามบิน แม้ AOT จะลงทุนขยาย CEI แล้ว แต่ในระยะเริ่มต้นจำเป็นต้องจัดการช่องตรวจคนเข้าเมือง/ศุลกากร/บริการโหลดกระเป๋าให้ไหลลื่นตามมาตรฐาน LCC เพื่อให้เวลาหมุนกลับเครื่องสั้นที่สุด (ตรงนี้ต้องออกแบบร่วมกันระหว่างสายการบิน–ผู้ให้บริการภาคพื้น–AOT)
  2. การสื่อสารตารางบินและโปรฯ เปิดตลาด กลยุทธ์ราคาช่วงเปิดเส้นทางต้อง “ชัดและต่อเนื่อง” เพื่อย้ายพฤติกรรมจากการต่อเครื่องผ่านกรุงเทพฯ สู่การใช้ไฟลต์ตรง รวมถึงความร่วมมือการตลาดกับ ททท. และพันธมิตร MICE ในอินเดีย
  3. ฤดูกาลท่องเที่ยภาคเหนือพีคช่วงปลายปี–ไตรมาสแรก การบริหารความถี่/ขนาดเครื่องบินช่วงนอกฤดู (พ.ค.–ก.ย.) ต้องใช้ Yield Management และรายได้เสริมบนเที่ยวบิน (Ancillary) มาช่วยพยุงผลประกอบการ

ตัวเลขที่ “บอกเรื่อง” บริบทการท่องเที่ยวปี 2025 และโอกาสของเส้นทาง

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ไทยช่วงมกราคม–กันยายน 2025 ลดลงราว 7.44% YoY อยู่ที่ 23.45 ล้านคน รัฐบาลหั่นคาดการณ์ทั้งปีเหลือ 33 ล้านคน แปลว่า “พื้นที่ว่าง” ในการกระตุ้นตลาดใหม่ยังมีอยู่มาก และตลาดอินเดียถูกวางบทบาทให้ช่วยอุดช่องว่างนี้ในเชิงนโยบาย 
  • อินเดีย–ไทย ปี 2024 แตะ 2 ล้านคน (เหตุการณ์ฉลอง 16 ธ.ค. 2024) คือฐานอุปสงค์ที่พิสูจน์แล้ว หากเพิ่มจุดหมายปลายทางที่บินตรงอย่าง เชียงราย ศักยภาพจะขยายได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพรายได้

คำกล่าวอ้างอิงเชิงนโยบาย (พิเศษ)

รายงานของสื่อไทยวันนี้ระบุท่าทีของ CAAT หลังการหารือว่า IndiGo “มองเมืองรองไทย” เพื่อช่วยผลักดันยอดนักท่องเที่ยวอินเดียเกิน 2 ล้านคน/ปี อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันโพสต์ทางการของ CAAT ยืนยันการเข้าพบของผู้บริหาร IndiGo และทิศทางการหารือเชิงบวกต่อ Udon Thani, Surat Thani, Hat Yai, Chiang Rai ซึ่งสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ “กระจายรายได้ท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค” ของไทยในระยะต่อไป

“CEI ยังเล็กไปหรือไม่” และ “AOT จะทันหรือเปล่า”

คำถามยอดฮิตคือ CEI จะรองรับไฟลต์ระหว่างประเทศประจำเพิ่มขึ้นได้แค่ไหน คำตอบเชิงโครงสร้างคือ “AOT อนุมัติแผนขยาย 5.7 พันล้าน” แล้ว และได้วางแนวทางพัฒนา MRO เสริมความมั่นคงด้านเทคนิคการบินในระยะยาว แม้ก่อสร้างจริงต้องใช้เวลา แต่สำหรับเฟสเปิดเส้นทางแรก ๆ การบริหารจัดการฝั่ง ภาคพื้น–ตรวจคนเข้าเมือง–ศุลกากร ให้สอดรับเวลาหมุนเครื่องของ LCC จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่า CEI พร้อม “รับแขกจากมุมไบ” แค่ไหนและนี่คือจุดที่หน่วยงานในพื้นที่กับสายการบินต้อง “ล็อกแผนร่วมกัน” ให้เร็วที่สุด

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (สำหรับทุกฝ่าย)

  • IndiGo เริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ กำหนดเวลาออกจาก BOM เช้ามืด–ถึง CEI ช่วงสาย เพื่อให้ผู้โดยสาร “เที่ยวได้เต็มวัน” และจัดโปรแกรม Joint Marketing กับ ททท./TCEB เจาะกลุ่ม Leisure + MICE + Destination Wedding
  • AOT/ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จัด Dedicated Lanes ตม./ศุลกากร และข้อกำหนดภาคพื้นสำหรับ LCC (SLA เวลาออก–เข้า–โหลดสัมภาระ) ช่วงเปิดเส้นทาง พร้อมสื่อสาร Passenger Journey ให้ชัดบนทุกช่องทางสนามบิน
  • CAAT พิจารณา “มาตรการจูงใจค่าธรรมเนียม” ระยะ 12–24 เดือนแรกสำหรับเส้นทางเมืองรอง และคงความต่อเนื่องมาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า/ดิจิทัลอไรวัล เพื่อคงแรงส่งตลาดอินเดีย

“มุมไบ–เชียงราย” ไม่ใช่เพียงเส้นตรงบนแผนที่ แต่คือ “สะพานเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม” ระหว่าง ภาคเหนือของไทย กับ มหานครการเงินของอินเดีย ถ้าทุกตัวแปรเครื่องบินที่เหมาะสม ราคาที่เข้าถึงได้ ภาคพื้นสนามบินที่พร้อม และนโยบายสนับสนุนถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกเวลา เส้นทางนี้จะเปลี่ยน เชียงราย จาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” สู่ “จุดหมายปลายทาง” ของชาวอินเดียอย่างแท้จริง และช่วยขับเคลื่อนตัวเลขท่องเที่ยวไทยในปีที่ความผันผวนสูงให้กลับมามีทิศทางที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • CAAT
  • IndiGo
  • Hflight
  • Thai/International Aviation News
  • TAT Newsroom & สื่ออินเดีย
  • Reuters
  • Flight-time reference
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ววน.-สกสว. ระดมทัพวิจัยรับมือ “สามเสนทรุด” ติดตั้ง Tiltmeter-Lidar เฝ้าระวัง 24 ชม.

กองทุน ววน.–สกสว. ระดมทัพวิจัย–นวัตกรรม รับมือ “สามเสนทรุด” ติดตั้งเซนเซอร์เฝ้าระวัง 24 ชม. คลี่ภาพใต้ดินด้วย Lidar เตรียมถอดบทเรียนญี่ปุ่น ป้องกันเหตุซ้ำซ้อน

กรุงเทพฯ — เหตุถนน สามเสนทรุด” เช้าวันที่ 24 กันยายน 2568 กลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของระบบโครงสร้างพื้นฐานเมือง เมื่อหลุมยุบขนาดใหญ่เกิดขึ้นหน้า โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ใกล้ สถานีตำรวจนครบาลสามเสน และแนวก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ทำให้ต้องอพยพ เคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ และปิดผิวจราจรเป็นบริเวณกว้าง ภายใต้ฝนมรสุมที่ยังแผ่ปกคลุมกรุงเทพฯ ต่อเนื่อง ขณะที่รายงานสื่อสากลและภูมิภาคยืนยันขนาดหลุมเบื้องต้นกว้างราว 27–30 เมตร ลึกประมาณ 50 เมตร (ราว 160 ฟุต) และไม่มีผู้บาดเจ็บรุนแรง แต่เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ เสาไฟฟ้า และโครงสร้างโดยรอบหลายจุด เหตุการณ์นี้ทำให้หน่วยงานรัฐ–วิชาการต้องขยับอย่างพร้อมเพรียง ตั้งแต่การคุ้มครองความปลอดภัยเร่งด่วน จนถึงการสืบค้นสาเหตุเชิงวิศวกรรมใต้ดินอย่างเป็นระบบ

จาก “เสียงยุบ” สู่ “ปฏิบัติการหลายเสาเข็ม”

ช่วงเช้าหลังเหตุทรุดตัว กทม. ปิดกั้นพื้นที่ ตั้งเขตอันตราย ทยอยอพยพผู้ป่วย–บุคลากรบางส่วนของวชิรพยาบาล ปรับแผนบริการนอกเวลา พร้อมกับทีมวิศวกรเข้าประเมินฐานรากของ อาคารทีปังกรรัศมีโชติ และอาคารโดยรอบ ขณะเดียวกันมีการเทคอนกรีต–ทรายถมอุดโพรงเพื่อหยุดการเคลื่อนตัวของมวลดินและชะลอน้ำไหลบ่าลงใต้ดิน ทว่าเมื่อพบการไหลซึมของคอนกรีตเข้าสู่แนวอุโมงค์ จึงต้องหยุดปรับแผนแล้วเริ่มเทใหม่ด้วยมาตรการควบคุมที่เข้มขึ้นในวันถัดมา ทั้งหมดดำเนินควบคู่กับการสแกน 3 มิติและตรวจโพรงใต้ดินเพื่อลดความเสี่ยงการขยายตัวของหลุมยุบเพิ่มเติม

ทีมเฉพาะกิจ “วิจัย–นวัตกรรม” ลงพื้นที่: Tiltmeter–TUSHM–Lidar ทำงานประสาน

ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สั่งตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ระดมงานวิจัยและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในเครือข่าย กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) เพื่อเสริมสมรรถนะการตัดสินใจหน้างาน โดยนำเซนเซอร์ Tiltmeter จำนวน 9 ตัว ติดตั้งที่ อาคารทีปังกรรัศมีโชติ ควบคู่ IoT logger เพื่อส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับเฝ้าระวังการเอียงของอาคารและการเคลื่อนตัวของมวลดิน พร้อมวางแผนติดตั้งเพิ่มเติม ณ พื้นที่ สน.สามเสน และอาคารที่มีความเสี่ยงใกล้เคียง เพื่อปิดช่องว่างข้อมูลในจุดวิกฤตให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังเตรียมใช้ เครื่องตรวจสัญญาณสั่นสะเทือนต้นทุนต่ำ (TUSHM) เสริมจุดวัด “สภาพสั่นไหว” ของโครงสร้างอาคารละ 2 จุด ในกลุ่มอาคารโรงพยาบาล เพื่อยกระดับการประเมินความเสี่ยงแบบต่อเนื่อง

Tiltmeter ที่ใช้เป็นผลลัพธ์จากงานวิจัยด้าน IoT–วิศวกรรมปฐพี ซึ่งออกแบบให้ตรวจจับ “มุมเอียง” ของโครงสร้างได้ละเอียดในแกน X/Y พร้อมบันทึกค่าต่อเนื่องและแสดงผลเป็นกราฟสำหรับทีมวิศวกร จุดเด่น คือความสามารถในการแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก่อนพัฒนาเป็นความเสียหายเชิงโครงสร้าง นำไปสู่การอพยพหรือเสริมค้ำยันได้ทันท่วงที ส่วน TUSHM ทำหน้าที่คล้าย “หู” ของอาคาร ตรวจจับสัญญาณสั่นสะเทือนผิดปกติจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งกิจกรรมก่อสร้าง แรงสั่นสะเทือนจากจราจร หรือการยุบตัวใต้ดิน ช่วย “จัดชั้นความเสี่ยง” ได้แม่นขึ้น ข้อมูลจากทั้งสองระบบจะถูกผสานเข้าสู่แพลตฟอร์มกลางเพื่อใช้ประกอบคำสั่งทางวิศวกรรม ณ จุดเกิดเหตุ

คลี่ภาพใต้ดินด้วย Lidar 3D Scan และธรณีฟิสิกส์

ทีมวิจัยเตรียมใช้ Lidar 3D Scan เพื่อสร้าง แผนที่ระดับสูง–ต่ำ (elevation) และ แบบจำลองผิวดิน–โครงสร้าง ความละเอียดสูง จากนั้นซ้อนทับกับข้อมูล ธรณีฟิสิกส์ (Geophysical Investigation) เพื่อตรวจหา “โพรง–ช่องว่าง” ใต้ผิวถนนและฐานรากอาคารใกล้เคียง วิธีการเชิงรุกเช่นนี้เปิดโอกาสให้ “มองเห็นสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น” และช่วยวางแผน อุดโพรง–ทำผนังกันดิน–ค้ำยัน เฉพาะจุด ลดการใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือย และลดความเสี่ยงต่ออาคารสำคัญ เช่น ตึกผู้ป่วยนอก สน.สามเสน และโรงเรียนใกล้เคียง ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลร่วมกับ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ในการสืบค้นสาเหตุและออกแบบแผนซ่อมแซมระยะยาว

“Soft Infrastructure” ของเมืองใหญ่ จากเซนเซอร์สู่การตัดสินใจแบบข้อมูลนำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ “โครงสร้างพื้นฐานเชิงนุ่ม” (Soft Infrastructure) อย่าง ระบบข้อมูล–เซนเซอร์–แบบจำลอง กลายเป็นกำแพงป้องกันด่านแรกของเมือง เนื่องจากความเสื่อมของผิวดิน–ท่อสาธารณูปโภค–แนวอุโมงค์ อาจไม่ส่งสัญญาณเตือนชัดเจนบนผิวถนน แต่ ชุดข้อมูลเอียง–สั่น–ทรุด จะปรากฏให้เห็นจากกราฟของ Tiltmeter/TUSHM และภาพ 3D Scan ที่อัปเดตเป็นระยะ ทำให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์สามารถ สั่งอพยพเฉพาะจุด หรือ สั่งเสริมกำลังค้ำยัน ก่อนถึง “เส้นวิกฤต” ได้จริง ซึ่งเป็นแนวทางที่เมืองใหญ่ทั่วโลกนำมาใช้ร่วมกับปฏิบัติการภาคสนาม

มิติชุมชน–บริการสาธารณสุข รพ.วชิระฯ ปรับบริการ–สร้างความเชื่อมั่น

แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บรุนแรง แต่ ผลกระทบทางจิตใจ–การเข้าถึงบริการ เป็นประเด็นที่ต้องบริหารความเสี่ยงต่อเนื่อง กทม. และโรงพยาบาลปรับแผนการนัดหมายผู้ป่วยนอกส่วนหนึ่ง ขยับบริการไปอาคารที่ปลอดภัย พร้อมประชาสัมพันธ์เส้นทางเข้า–ออกใหม่ของรถพยาบาลและผู้ป่วย ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนโดยรอบเฝ้าระวังภาวะ “ดินไหล–ดินทรุดซ้ำ” ผ่านช่องทางแจ้งเหตุของเมืองและเพจทางการ ซึ่งเป็นแนวทางการสื่อสารแบบสองทางระหว่างรัฐ–ประชาชนที่ช่วยลดความตื่นตระหนก สร้างความไว้วางใจในกระบวนการแก้ปัญหา

ภาพรวมการกู้ภัย ณ จุดเกิดเหตุ เทคอนกรีต–คุมทางน้ำ–เสริมฐานราก

“หลุมยุบเมือง” ต้องการทั้ง วิศวกรรมปฐพี และ วิศวกรรมการจัดการน้ำ ร่วมกัน การ อุดโพรง ด้วยการเทคอนกรีต–ทราย ต้องทำพร้อม การคุมทางน้ำ ไม่ให้น้ำผิวดิน–ท่อรั่วซึมเติมลงโพรง ซึ่งจะยืดเวลาการทรุดตัว การประเมินด้วย 3D Scan ช่วยจัดลำดับ “จุดวิกฤต 1–2–3” ให้ทีมงานถม–อัด–ค้ำยันได้ตรงจุด ลดการยุบตามมาในแนวร้าวเดิม-แนวท่อ เสริมความปลอดภัยแก่โครงสร้างสำคัญ เช่น เสาไฟฟ้า–ตอม่อ–ผนังกันดิน

หลุมยุบใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016 หน้า สถานีฮากาตะ เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดจากการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดิน โดยหลุมยุบมีขนาดประมาณ 30x27 เมตร และลึกประมาณ 15 เมตร ซึ่งกินพื้นที่ถนน 5 เลนส์

ถอดบทเรียน “ญี่ปุ่น” สู่มาตรฐานใหม่ของกรุงเทพฯ

สกสว. และพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์–เทคโนโลยีเตรียม เชิญผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น ผ่านเครือข่าย JICA และ JST ร่วมติวเข้มบุคลากรไทย–กทม. ตั้งแต่แนวทางเฝ้าระวังใต้ดิน ก่อน–ระหว่าง–หลัง การก่อสร้างอุโมงค์ ไปจนถึง มาตรฐานซ่อม–ฟื้นฟู หลังหลุมยุบ ทั้งนี้ ฝั่งไทยได้จัดทำ นโยบายและแผนงาน P24 รองรับสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อเดินเครื่องวิจัย–นวัตกรรมตามโจทย์เร่งด่วนของประเทศอยู่แล้ว โดยเหตุ “สามเสนทรุด” จะเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการปรับปรุง เกณฑ์เตือนภัยดินถล่ม–ทรุดตัว และ คู่มือปฏิบัติการสนาม สำหรับโครงการในพื้นที่ดินอ่อนอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ ในอนาคต

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ–บทเรียนเชิงนโยบาย (สรุปประเด็น)

  • ข้อมูลนำหน้าปฏิบัติการ: เซนเซอร์ Tiltmeter/TUSHM และ Lidar 3D Scan ทำให้การอพยพ–ค้ำยัน–อุดโพรง “พุ่งเป้า” ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร ลดความเสี่ยงซ้ำซ้อน
  • One Map ใต้ดิน: เหตุครั้งนี้ชี้ความจำเป็นของ ฐานข้อมูลสาธารณูปโภคใต้ดินแบบรวมศูนย์ ที่อัปเดตตลอดเวลา ลด “ความไม่รู้” ระหว่างผู้ก่อสร้าง–ผู้ดูแลท่อ–ผู้บังคับการเหตุการณ์
  • มาตรการฝนมรสุม: เมืองต้องมีแผน Bypass น้ำ และ ระบบตรวจรั่วซึมท่อ ในช่วงฝนหนัก เพื่อไม่ให้โพรงใต้ดินขยายตัว
  • สื่อสารสาธารณะโปร่งใส: การอัปเดตจากช่องทางทางการของเมือง และการสื่อสารเชิงหลักฐานจากหน่วยงานวิชาการ สร้าง ความไว้วางใจ และ ลดข่าวลวง ในช่วงวิกฤต

จากหลุมยุบสู่ความยืดหยุ่นของเมือง (Urban Resilience)

“สามเสนทรุด” ไม่ใช่เพียงอุบัติการณ์เชิงพื้นที่ หากเป็น บททดสอบความยืดหยุ่นของกรุงเทพฯ ที่ต้องผสาน วิศวกรรม–วิทยาศาสตร์ข้อมูล–การบริหารเมือง–การมีส่วนร่วมของประชาชน เข้าด้วยกัน เหตุการณ์นี้เริ่มด้วย “เสียงยุบ” และ “ภาพหวาดเสียว” ของถนนที่หายไป แต่กำลังเคลื่อนสู่ กระบวนการเรียนรู้ ที่ทำให้เมือง “มองเห็นใต้ดิน” ชัดขึ้น คาดการณ์ความเสี่ยงได้เร็วขึ้น และตอบสนองอย่างแม่นยำขึ้น หากแปลงบทเรียนเป็น มาตรฐานปฏิบัติ และ งบลงทุนเชิงป้องกัน อย่างสม่ำเสมอ เมืองจะเดินหน้าจาก “การกู้ภัย” ไปสู่ “การป้องกันล่วงหน้า” ได้จริง

อุปกรณ์ทิลท์มิเตอร์ (Tiltmeter)
อุปกรณ์เลเซอร์สแกน 3 มิติ หรือไลดาร์ (Lidar)
เครื่องตรวจวัดสัญญาณการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวต้นทุนต่ำ หรือ TUSHM

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Bangkok Metropolitan Administration (BMA)
  • Thairath Online – สกสว.ตั้งทีมเฉพาะกิจ ส่ง Tiltmeter–TUSHM–Lidar สำรวจและเฝ้าระวัง “สามเสนทรุด”
  • Green Ground Solutions
  • กองทุน ววน.–สกสว.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายคว้า 4 รางวัล “เพชรพระนคร” ครอบคลุมวรรณศิลป์-หัตถกรรม ตอกย้ำเมืองศิลปิน

เชียงรายเชิดชูศิลปิน “เพชรพระนคร” ปี 2568 พลังสร้างสรรค์สี่สาขาผงาดเวทีชาติ

เชียงราย ,26 กันยายน 2568 –  บริเวณหอประชุมใหญ่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บทพิสูจน์ของ “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่หยั่งรากในชุมชนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร แก่ศิลปินและผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านวัฒนธรรมจากเชียงราย 4 ท่าน ครอบคลุมสี่สาขาหลักของมรดกภูมิปัญญา ตั้งแต่วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ ไปจนถึงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยโครงการรางวัลนี้เป็นกิจกรรมเชิดชูเกียรติที่ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จัดต่อเนื่องถึง ครั้งที่ 7 ประจำปีพุทธศักราช 2568 และมีเกณฑ์การสรรหา-คัดเลือกที่ชัดเจน โปร่งใส ครอบคลุมอย่างน้อย 12 สาขา ของงานวัฒนธรรมร่วมสมัยและดั้งเดิม

จากเวทีจังหวัดสู่เวทีประเทศ

เวลา 09.00 น. เสียงประกาศเชิญผู้มีเกียรติเข้าสู่หอประชุมใหญ่ดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมในพื้นที่ทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวก ผู้รับรางวัลพร้อมครอบครัวและครูช่างชุมชนทยอยเข้าที่นั่ง บรรยากาศยังคงความเรียบง่ายแต่ทรงความหมาย เพราะทุกคนตระหนักว่า “ใบประกาศเกียรติคุณ” บนเวทีคือจุดเริ่มของภารกิจใหม่—การถ่ายทอดองค์ความรู้กลับสู่ชุมชน โดยมีหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเชื่อมโยงเครือข่ายต่อไป. ข้อมูลเชิงพิธีการ เวลา และสถานที่ ได้รับการสื่อสารทางการผ่านช่องทางของจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน

รางวัลเพชรพระนครกรอบสาขาที่ “ครอบคลุมทั้งหน้าฉากและหลังฉาก”

รางวัลเพชรพระนครตั้งต้นจากเจตนารมณ์ “ยกย่องผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม” ครอบคลุมทั้งระดับเยาวชนและประชาชนทั่วไป และแบ่งสาขาย่อยหลากหลาย เช่น ทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ วรรณศิลป์ ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน คหกรรมศิลป์ ศาสนาและขนบธรรมเนียม การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาท้องถิ่นและเศรษฐกิจพอเพียง บำเพ็ญประโยชน์และจิตอาสา กีฬาและนันทนาการ รวมถึงสาขาเกี่ยวเนื่องอื่นตามที่ประกาศในปีนั้น ๆ กรอบดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ “ทั้งระบบ” ของงานวัฒนธรรม ที่เห็นคุณค่าทั้งผู้สร้างสรรค์หน้าฉากและผู้ปิดทองหลังพระในโครงสร้างชุมชน

รายชื่อผู้ได้รับการเชิดชูเกียรติจากเชียงรายปี 2568

  1. นายฉลอง พินิจสุวรรณ — สาขา วรรณศิลป์ (เหรียญทอง) ผู้สร้างรากฐานงานเขียนร่วมสมัยที่หยิบยกท้องถิ่นเป็นฐาน แล้วขยายสู่สาธารณะในวงกว้าง ชื่อของ “ฉลอง” เชื่อมโยงกับชีวประวัติด้านวรรณศิลป์และการทำงานด้านภาษาในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยาวนาน
  2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ — สาขา ดุริยางคศิลป์ (เหรียญทอง) เป็นแบบอย่างของการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารวัฒนธรรม สร้างเวทีให้เยาวชนทดลอง-เรียนรู้ และประยุกต์องค์ความรู้ทางดนตรีกับชีวิตร่วมสมัย
  3. นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี — สาขา ทัศนศิลป์ (เหรียญทอง) สะท้อนศักยภาพ “เมืองศิลปิน” ของเชียงราย ผ่านผลงานที่เชื่อมแกลเลอรี ชุมชนศิลป์ และพื้นที่เรียนรู้เข้าด้วยกัน.
  4. นางสาวนิธี สุธรรมรักษ์ — สาขา ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน (เหรียญเงิน) ต้นแบบการอนุรักษ์และดัดแปลงภูมิปัญญางานช่างมือสู่ผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจและตัวตนวัฒนธรรมให้กับชุมชน.

หมายเหตุ: รายชื่อและสาขาดังกล่าวถูกสื่อสารยืนยันโดยหน่วยงานภาครัฐในระดับจังหวัดและหน่วยงานผู้จัดรางวัล โดยเฉพาะประกาศผลทางการของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

จากความภาคภูมิใจสู่โจทย์ “ถ่ายทอด-ต่อยอด” ในพื้นที่

เมื่อเสียงปรบมือสุดท้ายจบลง โจทย์ที่เริ่มต้นทันทีคือ “จะถ่ายทอดอย่างไรให้ถึงมือคนรุ่นใหม่” บทเรียนจากเชียงรายชี้ว่า “การเชิดชู” จะงอกเงย เมื่อมี กลไกการส่งต่อความรู้ ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่

  • บทบาทครูชุมชนศิลป์: ศิลปินผู้ได้รับรางวัลเข้าเยี่ยมโรงเรียน อบต. ศูนย์การเรียนรู้ จัดเวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติการ สร้างแรงบันดาลใจที่ลงมือทำได้จริง
  • ฐานข้อมูลดิจิทัลผลงาน: รวบรวมหนังสือ เพลง งานจิตรกรรม ลวดลายหัตถกรรม และคลิปการสาธิตไว้ในแหล่งเปิด เพื่อให้นักเรียน-ครู-ผู้ประกอบการเข้าถึง
  • เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: เชื่อมศูนย์ศิลป์ แหล่งหัตถกรรม ตลาดชุมชน และเวทีดนตรีท้องถิ่น ให้การท่องเที่ยวกลายเป็นรายได้ทางเลือกของชุมชน

มองเชิงนโยบาย นี่คือ Soft Power ฐานราก ที่จับต้องได้—เพราะหนึ่งรางวัล อาจเท่ากับหนึ่งโครงการใหม่ในหมู่บ้านหนึ่งแห่ง ถ้าร้อยรางวัลเชื่อมกัน จะเกิดเครือข่ายการเรียนรู้ทั้งจังหวัด

เชียงรายในภาพกว้างระบบนิเวศวัฒนธรรมที่เกื้อหนุนกัน

จุดแข็งของเชียงรายคือ การทำงานร่วมกันของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวัฒนธรรม ผู้นำท้องถิ่น และภาคประชาสังคม การได้รับรางวัลทั้งสี่สาขาในปีนี้ ทำให้ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ของ “ศิลปะ—ความรู้—เศรษฐกิจชุมชน” ครบถ้วน ตั้งแต่งานเขียน (สร้างความคิด) ดนตรี (ขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม) ทัศนศิลป์ (ยกระดับภาพลักษณ์) จนถึงหัตถกรรม

ทำไม “กรอบสาขา 12 หมวด” จึงสำคัญต่อมาตรฐานการคัดเลือก

กรอบสาขาที่ชัดเจนคือหลักประกันว่า รางวัลเน้น คุณค่าเชิงสาธารณะ มากกว่าความโด่งดังเฉพาะบุคคล การเปิดพื้นที่ตั้งแต่ ศิลป์ คหกรรม จิตอาสา จนถึงกีฬาและนันทนาการ แปลว่า งานวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดเฉพาะ “เวที” หากครอบคลุม “วิถี” อันเป็นเหตุผลที่ชื่อของครูช่าง ผู้จัดการชุมชน หรือครูภูมิปัญญา สามารถปรากฏเคียงข้างศิลปินมืออาชีพได้อย่างภาคภูมิ ทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่ในประกาศและคำอธิบายกิจกรรมของหน่วยงานผู้จัด

บทเรียนเชิงนโยบายจากพิธีมอบรางวัลปีนี้

  1. รัฐ-สถาบัน-ชุมชน ต้องทำงานแบบสามเหลี่ยม: จังหวัดช่วยอำนวยการ สถาบันอุดมศึกษากำกับมาตรฐาน และชุมชนเป็นเวทีทดลองและต่อยอด
  2. สร้างเส้นทางอาชีพด้านศิลปะอย่างจริงจัง: หลักสูตรสั้น คูปองทักษะ เวิร์กช็อป และคลินิกธุรกิจชุมชน จะเปลี่ยนรางวัลเป็น “รายได้”
  3. สื่อสารสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ: การเผยแพร่ผลและเกณฑ์ผ่านเพจ/เว็บทางการ ช่วยให้การคัดเลือก “ตรวจสอบได้” และชวนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมมากขึ้น

 “ราก” ของศิลปินทำให้ “รางวัล” งอกงาม

ในบรรดาผู้รับรางวัล ชื่อของ ฉลอง พินิจสุวรรณ คือภาพสะท้อนว่าฐานรากการศึกษาและการทำงานยาวนานในพื้นที่ภาคเหนือ—ตั้งแต่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคมไปจนถึงบทบาทด้านภาษา—คือทุนทางสังคมที่สั่งสมแล้วผลิดอกบนเวทีประเทศ

รางวัลครั้งนี้บอกอะไรกับอนาคตเชียงราย

  • บอกว่า เมืองนี้มี “ระบบ” ไม่ใช่เพียง “ดาวเด่น” เมื่อสี่สาขาสำคัญถูกยกย่องพร้อมกัน แปลว่าระบบนิเวศวัฒนธรรมทำงานครบห่วงโซ่
  • บอกว่า ความภูมิใจต้องแปรเป็น “โครงการ” ทั้งในโรงเรียน ชุมชน และตลาด เพื่อให้วัฒนธรรมอยู่ได้ด้วยคุณค่าและมูลค่า
  • บอกว่า ความโปร่งใสของกระบวนการคัดเลือก (มีประกาศผลและเกณฑ์บนช่องทางทางการ) คือทุนความน่าเชื่อถือที่เติมให้รางวัลมีน้ำหนักและยืนระยะได้

พิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร ปี 2568 ที่เชียงรายไม่ใช่เพียงไฮไลต์ปลายปี แต่คือ “สัญญาณเริ่มต้น” ของการเดินทางบทใหม่ในพื้นที่—ซึ่งต้องการทั้งพลังสาธารณะและพลังหน่วยงาน หากเดินหน้าตามสามหลักการ “ถ่ายทอด-ต่อยอด-ตรวจสอบได้” รางวัลในวันนี้จะงอกเงยเป็นหลักสูตร เวที และรายได้ของชุมชนในวันพรุ่งนี้ และทำให้ Soft Power ฐานราก ของเชียงรายและล้านนามีน้ำหนักต่อเนื่องบนเวทีประเทศ

นายฉลอง พินิจสุวรรณ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาวรรณศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาดุริยางคศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี – รางวัลเพชรพระนคร สาขาทัศนศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
นางสาวนิธี สุธรรมรักษ์ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ประเภทเหรียญเงิน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาหารอาข่า Soft Power! ดอยผาหมีคว้า รองแชมป์โลก SISTA 2025 การท่องเที่ยวโดยชุมชน

ดอยผาหมี” คว้ารองแชมป์โลก SISTA 2025 เมื่อกาแฟ-อาหารอาข่า กลายเป็น Soft Power ที่วัดผลได้

เชียงราย, 27 กันยายน 2568 — หมอกเช้าคลอเส้นสันดอย เสียงครกตำสมุนไพรดังสลับกลิ่นกาแฟคั่วใหม่ “ผาหมี” ตื่นตัวเหมือนทุกวัน—ทว่าที่แตกต่าง คือเสียงเฮจากชุมชนเล็ก ๆ บนแนวภูเขาแม่สายที่ไปสะท้อนบนเวทีโลก ชุมชนบ้านดอยผาหมีคว้า “รางวัลรองชนะเลิศ” จากเวที Skål International Sustainable Tourism Awards (SISTA) 2025 ในปีที่มีผู้สมัคร 106 โครงการจาก 30 ประเทศ โปยความภาคภูมิใจกลับสู่ครัวอาข่าและโรงคั่วกาแฟท้องถิ่นอีกครั้ง

ข่าวดีครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ถ้วยรางวัล” แต่คือ “หลักฐาน” ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนของไทย—เมื่อวางบนฐานวัฒนธรรมที่จริงแท้และการจัดการที่เป็นระบบ—สามารถแข่งขันในมาตรฐานสากลได้อย่างแท้จริง

จากสันดอยชายแดน สู่รางวัลโลก CBT ที่ยืดหยุ่นและเป็นสากล

โมเดลความสำเร็จของ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี มีแกนกลางชัดเจน—สร้างรายได้สองขาเพื่อเสถียรภาพ (dual engines):

  1. กาแฟอาราบิก้าแบรนด์ “กาแฟผาหมี” ที่ชุมชนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ปลูก–แปรรูป–ดริปเสิร์ฟเอง จนถึงหน้าร้าน และ
  2. การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ที่ “ให้ชุมชนเป็นครู” พาเรียนรู้วิถีกาแฟ พิธี–ภาษา–การแต่งกาย–และ “ครัวอาข่า” ที่พาผู้มาเยือนลงมือทำ

ผลลัพธ์คือรายได้ที่ไม่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ช่วยให้ชุมชน “ไม่ยอมจำนน” ต่อจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งไปให้สุดที่ “คุณภาพประสบการณ์” และ “ศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรม”

คุณผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ (“แมว”) ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ เล่าให้ฟังบ่อยครั้งว่า อาหารอาข่าไม่ใช่เพียงเมนูอิ่มท้อง แต่คือ “วัฒนธรรมที่กินได้”—เรื่องเล่าของภูมิปัญญาป่า สมุนไพรพื้นบ้าน ข้าวดอย และรสที่เรียบง่ายจากเกลือกับสมุนไพร มากกว่าจะเร่งรสด้วยเครื่องปรุงเข้ม ๆ ทว่าให้ความสุขยืนยาวกับร่างกาย

“ทุกจานคือเรื่องเล่าของบ้านเรา—หมูผัดรากชู ลาบดอย ยำผักอาข่า ปลานิลหมกสิม๊ะแชะ… ใครได้ลอง จะจำรสชาติผาหมีไปนาน” — ผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ

Soft Power จาก “ครัวอาข่า” เมื่อกาสะลองกลิ่นสมุนไพรกลายเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อาหารอาข่า” กลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังของผาหมี ทั้งในฐานะ กิจกรรมเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Cooking Class/Experiential Tourism) และการต่อยอดสู่ Chef’s Table/Delivery ในเมืองใหญ่ ภายใต้แนวคิด “Local Aroi” นำวัตถุดิบ–เรื่องเล่าจากชุมชนสู่คนเมือง โดยยังยึดสูตรดั้งเดิมและความดีต่อสุขภาพเป็นความแตกต่าง

เมนูเด่นอย่าง หมูผัดรากชู ใช้ “หอมชู/รากชู” เป็นตัวเอก—สมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวอาข่าคุ้นมือ ลาบดอย ที่เน้นเครื่องสมุนไพรและกลิ่นหอมไม่ซ้ำใคร ยำผักอาข่า (ห่อปะโซะ) ที่เบาแต่เปี่ยมคุณค่า และ ปลานิลหมกสิม๊ะแชะ ที่ชูผลไม้ป่ากับเครื่องเทศท้องถิ่น—ทุกคำคือเรื่องเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า และคือ “รหัสวัฒนธรรม” ที่จับต้องได้ของอาข่า

เกณฑ์ SISTA–Biosphere ชี้ทางสู่มาตรฐานสากล

เวที Skål International ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะ “โครงการที่มีส่วนร่วมหลายภาคส่วนและเกิดผลต่อชุมชนจริง” ผู้ได้รับรางวัลยังได้รับสิทธิ์ใช้งานแพลตฟอร์ม Biosphere Sustainable ฟรี 1 ปี—ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “ของรางวัล” แต่คือ “เครื่องมือวางแผนและวัดผล” ที่ผลักให้โครงการต้องกำหนดยุทธศาสตร์ความยั่งยืนส่วนบุคคล (Personalized Sustainability Plan) สอดรับเป้าหมาย SDGs

สำหรับดอยผาหมี นี่คือจังหวะสำคัญในการ “แปลงความสำเร็จภาคสนาม” ให้เป็น “มาตรฐานที่ตรวจสอบได้” ผ่านตัวชี้วัด เช่น การจัดการของเสียในโฮมสเตย์ การประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมของกิจกรรมใหม่ ๆ หรือการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่กาแฟ—จากไร่จนถึงถ้วย

บทพิสูจน์หลัง “ถ้ำหลวง 2561” ถึง “อุทกภัย 2567”

ย้อนไปปี 2561 หลังเหตุการณ์ “ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน” ความสนใจจากทั่วโลกหลั่งไหลสู่เชียงราย—และกระทบชุมชนชายดอยโดยรอบอย่างไม่ทันตั้งตัว ดอยผาหมีถูกทดสอบด้วย “ดีมานด์พุ่งสูง” ในเวลาอันสั้น ชุมชนตอบโจทย์ด้วยการปรับปรุงการบริการ คุมคุณภาพโฮมสเตย์ กำหนดบทบาทสมาชิก และสร้างกิจกรรมเรียนรู้ที่ “จริงและปลอดภัย” จนความพึงพอใจนักท่องเที่ยวอยู่ระดับ “มากที่สุด” อย่างสม่ำเสมอ

ข้ามมาปี 2567 อุทกภัยและดินโคลนถล่มสร้างความเสียหายสำคัญต่อชุมชนในช่วง High Season แต่แทนที่จะ “รอ” งบเยียวยา ชุมชนจับมือกับ อพท.เชียงราย จัดกิจกรรม ขันโตกอาข่า ท้าลมหนาว ณ ดอยผาหมี” เชิญนักท่องเที่ยวกลับมาสนับสนุนโดยตรง รายได้ถูกนำไปฟื้นฟูภูมิทัศน์–โครงสร้างพื้นฐาน และเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ—นี่คือ Self-Financed Recovery ที่สะท้อน “ความยืดหยุ่นและวุฒิภาวะ” ของธรรมาภิบาลชุมชน และสอดรับเกณฑ์ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ของ SISTA อย่างเป็นรูปธรรม

3 เสาหลักที่ทำให้ผาหมี “ชนะใจ” คณะกรรมการ

(1) เศรษฐกิจสองขา: กาแฟคุณภาพ + ประสบการณ์คุณค่า
แบรนด์ “กาแฟผาหมี” ทำให้ชุมชนถือกุญแจทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว เกิดรายได้ต่อเนื่องตลอดปี ลดความผันผวนของรายได้จากนักท่องเที่ยวที่ขึ้นลงตามฤดูกาล และเปิดพื้นที่ให้การท่องเที่ยวมุ่งสู่ “คุณภาพ/ราคาที่สะท้อนคุณค่า” มากกว่า “ปริมาณผู้มาเยือน”

(2) มรดกจับต้องไม่ได้: อาหาร–พิธี–ภาษา คือหัวใจ
ชุมชนเลือกเน้น “การถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านการลงมือทำ” (learning by doing) มากกว่า “ขายของที่ระลึก” แยกส่วน นักท่องเที่ยวจึงได้ สัมผัส–ลิ้มรส–เรียนรู้ โดยตรง เกิดความเข้าใจและเคารพในวัฒนธรรมอาข่าอย่างแท้จริง

(3) ธรรมาภิบาลและความยืดหยุ่น
วิสาหกิจชุมชนทำหน้าที่ “ศูนย์กลางกำกับดูแล” ที่เปิดให้สมาชิกมีส่วนร่วมสูง จัดสรรบทบาท–ผลประโยชน์โปร่งใส จัดคิวโฮมสเตย์–มาตรฐานบริการ และมี “แผนจัดการวิกฤต” จากประสบการณ์จริง—แสดงความพร้อมบนสันดอยที่ท้าทายทั้งภูมิอากาศและภูมิประเทศ

เสียงสะท้อนจากหน่วยงานสนับสนุน อพท.ชี้ “จากหมู่บ้านกาแฟ สู่แลนด์มาร์ก Gastronomy Tourism”

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) แสดงความยินดีพร้อมระบุว่า โมเดลดอยผาหมีสอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อน เชียงราย เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก (UCCN) ด้านการออกแบบ” ที่ได้รับรองในปี 2566 และสอดคล้องการพัฒนา “อุทยานธรณีเชียงราย” ที่เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–วัฒนธรรม ชี้เป้าอนาคตชัดเจนว่า ดอยผาหมี ไม่ควรหยุดอยู่เพียง “หมู่บ้านกาแฟ” หากกำลัง “ยกครัวอาข่า” สู่ Gastronomy Tourism ที่วางมาตรฐานการเรียนรู้จากเจ้าของภูมิปัญญา—ดูของจริง—ลงมือทำจริง

จากรางวัลสู่แผนที่เดินต่อ ทำ “Playbook ผาหมี” ให้ประเทศนำไปใช้

ชัยชนะระดับโลกครั้งนี้จะมีความหมายสูงสุด เมื่อ “ต่อยอดได้จริง” บน 3 เส้นทางหลัก

ทำมาตรฐานให้ตรวจสอบได้ (Biosphere Plan) ใช้สิทธิ์แพลตฟอร์ม Biosphere Sustainable ฟรี 1 ปี จัดทำแผนความยั่งยืนรายหมู่บ้าน–รายกิจกรรม กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (ของเสีย น้ำ พลังงาน) สังคม (การกระจายรายได้/การจ้างงานในท้องถิ่น) และวัฒนธรรม (การถ่ายทอด–ประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมของกิจกรรมใหม่) ปรับตำแหน่งสู่ High-Value/Niche Market สื่อสารสถานะ “รองชนะเลิศ SISTA 2025” ในทุกจุดสัมผัส—ตั้งแต่สื่อออนไลน์–ป้ายหน้างาน–สคริปต์ไกด์–เมนูอาหาร—เพื่อย้ำความแตกต่างจากการท่องเที่ยวชาติพันธุ์แบบผิวเผิน ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงที่ให้คุณค่ากับความรับผิดชอบและความแท้จริง เขียน “คู่มือผาหมี” (Replication Playbook) ถอดบทเรียนการตั้งกลไกวิสาหกิจชุมชน การจัดสรรบทบาท การจัดคิวโฮมสเตย์ การออกแบบกิจกรรมเรียนรู้–Storytelling ครัวอาข่า และการบูรณาการเกษตรมูลค่าสูง (กาแฟ) กับการท่องเที่ยว—เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์–พื้นที่สูงอื่น ๆ ทำซ้ำได้รวดเร็วและปลอดภัยต่อวัฒนธรรม

ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้า ปกป้อง “ความแท้” ให้คงอยู่กับการเติบโต

เมื่อความนิยมเพิ่มขึ้น ความเสี่ยง กัดกร่อนทางวัฒนธรรม” ก็เพิ่มตาม ชุมชนและหน่วยงานต้องร่วมกันวาง Cultural Impact Assessment (CIA) สำหรับกิจกรรม/สินค้าใหม่ ไม่ให้แรงกดดันทางพาณิชย์ทำให้ความหมายทางวัฒนธรรมถอยหาย ตลอดจนวางแผนโครงสร้างพื้นฐานให้ “ทนทานสภาพภูมิอากาศ” มากขึ้น ลดความเสี่ยงซ้ำรอยอุทกภัย–ดินถล่มในปีที่ผ่านมา

มาตรวัดที่มากกว่า “ยอดเช็กอิน” เพราะการเปลี่ยนแปลงเริ่มที่ครัวอาข่า

รางวัล SISTA 2025 ส่งสัญญาณสำคัญว่ามาตรฐานสากล “ให้คะแนน” กับความจริงแท้และผลลัพธ์ที่ชุมชนมีส่วนกำหนด มิใช่เพียงยอดผู้มาเยือนหรือภาพสวยบนอินสตาแกรม ความสำเร็จของผาหมีจึงเป็น ชัยชนะของวิธีคิด—ว่าความยั่งยืนต้องวัดผลได้ด้วยตัวชี้วัด และต้องเล่าได้ด้วยเรื่องราวของคนในพื้นที่

บนกระดาษประกาศรางวัล อาจเขียนเพียง “รองชนะเลิศ” แต่ในสายตานักเดินทางและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือ “แชมป์ใจ” ที่ทำให้เราเห็นว่าหมู่บ้านเล็กบนสันดอยสามารถเป็นห้องเรียนความยั่งยืนของประเทศ—และเป็น “พิมพ์เขียว” ให้ชุมชนอื่นเดินตาม

ดอยผาหมีชนะ เพราะไม่เคยพยายามเป็น “ของฝาก” ให้เมืองใหญ่ แต่เลือกเป็น “ครัว” ให้โลกเรียนรู้—จากเมล็ดกาแฟถึงสมุนไพรในครก, จากพิธีโล้ชิงช้า ถึงยำผักอาข่าที่ทุกคนทำเองได้ ในวันที่โลกถามหาการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ—ผาหมีตอบด้วยการทำให้เห็น และวันนี้โลกตอบกลับด้วยรางวัล

ภารกิจต่อจากนี้ คือ ยกระดับจาก “รางวัล” สู่ “มาตรฐาน” ใช้ Biosphere สร้างแผนวัดผลที่เข้มแข็ง ทำ Playbook เพื่อขยายผล และปกป้องความแท้ของวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรม เมื่อทำครบวงจร—ผาหมีจะไม่เพียงเป็น “ที่เที่ยวดัง” แต่จะเป็น “สถาบันเรียนรู้การท่องเที่ยวยั่งยืน” ของไทยบนเวทีโลก

ใครมาเชียงราย—อย่าลืมขึ้นดอยผาหมี ชิมกาแฟ ลองยำผักอาข่า และฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของครัวเอง เพราะที่นี่ “ไม่ได้เสิร์ฟแค่ความอร่อย แต่เสิร์ฟวัฒนธรรมที่กินได้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Skål International – Sustainable Tourism Awards (SISTA) 2025
  • Biosphere Sustainable Platform
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
  • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี (Doi Pha Mee Community Enterprise
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์จัดใหญ่ มอบ “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม 2568” ครั้งที่ 11

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ประกาศ “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม 2568” ปักหมุดมาตรฐานสื่อยุค AI—179 ผลงานจาก 22 สำนักข่าวตบเท้าเข้าชิง เร่งเครื่องวารสารศาสตร์คุณภาพ-จริยธรรม-ตรวจสอบได้

กรุงเทพฯ / เชียงราย, 26 กันยายน 2568 — แสงไฟสาดส่องบนเวทีห้องพลาตินั่ม ชั้น 3 โรงแรมอวานี รัชดา กรุงเทพฯ เวลาไล่เลี่ยบ่ายโมง เสียงสนทนาจากห้องเสวนาค่อย ๆ จางลง ก่อนปรบมือกึกก้องในช่วงประกาศผล “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2568 (Digital News Excellence Awards 2025)” ครั้งที่ 11 ที่สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) จัดขึ้น ร่วมกับภาคีพันธมิตรตั้งแต่ สภาองค์กรผู้บริโภค โคแฟค (ประเทศไทย) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) Google กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไปจนถึงภาคเอกชนรายใหญ่ในระบบนิเวศสื่อ–โฆษณา–เทคโนโลยี ความคึกคักของปีนี้ไม่ใช่แค่ “รางวัล” หากคือการประกาศทิศทางของวงการข่าวไทยในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เสมือนทั้ง “โอกาส” และ “บททดสอบ” ของวิชาชีพ

AI Journalism: ผู้ช่วยทรงพลัง—แต่คำสุดท้ายยังต้องเป็นของคนข่าว

ก่อนเข้าสู่ช่วงมอบโล่ เวที Thailand Media Lab Forum 2025: AI Journalism เปิดประเด็นใหญ่แบบตรงไปตรงมา—AI ใช้ตรงไหนในงานข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ? นักข่าว–บรรณาธิการ–ผู้บริหารห้องข่าวจากหลายสำนักร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตรง

  • ฐานเศรษฐกิจ เล่าว่าทีมงานใช้ AI ถอดเสียง (speech-to-text) ผ่าน Google Gemini และ NotebookLM ช่วยสกัดประเด็นสัมภาษณ์–ขยายมุมคำถาม ทำให้นักข่าวเอาเวลาที่คืนมาไป “คุยแหล่งข่าว–ค้นเอกสาร” ได้ลึกกว่าเดิม
  • PPTV HD36 อธิบายการใช้ AI สรุปเนื้อหาจากวิดีโอที่ผลิตเอง แล้ว “รีแพ็กเกจ” ส่งต่อไปแพลตฟอร์มอื่น รวมถึงตัดไฮไลต์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (engagement)
  • ตราดทีวี พบว่า AI เก่งมากในงานถอดเสียงและเรียบเรียงเอกสาร แต่ย้ำว่า “ต้องอ่านทวน–ตรวจซ้ำ” เพราะ AI ก็พลาดได้
  • TNN Digital ใช้ AI แตกประเด็น–ช่วยคิดพาดหัว แต่เตือนตรง ๆ ว่า “อย่าให้เครื่องมือทำให้เราขี้เกียจ” จนเสี่ยงผิดพลาดหรือฟุ้งเฟ้อข้อมูลจนกลายเป็นข่าวปลอม

เสียงสะท้อนร่วมกันของวิทยากรคือ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้ตัดสิน และ ความได้เปรียบของนักข่าว อยู่ที่ “แหล่งข่าว–การลงพื้นที่–ศิลปะการเล่าเรื่อง” ที่เครื่องจักรยังทดแทนไม่ได้ ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อระบุว่า Google และแพลตฟอร์มใหญ่กำลังปรับบริการให้ “ลดผลกระทบเชิงลบต่อสื่อ” และส่งเสริมคอนเทนต์คุณภาพที่ตรวจสอบได้

ที่น่าสนใจคือ แนวทางการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ของสมาคมวิชาชีพซึ่งมี คู่มือคำแนะนำ เผยแพร่ให้สำนักข่าวนำไปปรับใช้—ตั้งแต่การระบุแหล่งที่มา การแสดงที่มาของสื่อสังเคราะห์ ไปจนถึงหลักเกณฑ์ตรวจสอบ ลายน้ำดิจิทัล บนสื่อที่ AI สร้างหรือช่วยสร้าง เพื่อคงความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของข่าว

179 ผลงานจาก 22 สำนักข่าว: ตัวเลขที่เล่าเรื่อง “ความพยายาม” ของสื่อไทย

หลังจบการเสวนา คุณธัญญารัตน์ ถาม่อย พิธีกรและผู้ประกาศข่าว PPTV HD36 พาผู้เข้าร่วมก้าวสู่ช่วงไฮไลต์: ประกาศผลรางวัลประจำปี ที่ปีนี้มีผลงานเข้าชิง 179 ชิ้น จาก 22 สำนักข่าว ครอบคลุม 8 ประเภทหลัก และ 2 หมวดรางวัลสนับสนุน โดยภาคี ได้แก่ รางวัลข่าวผู้บริโภคยอดเยี่ยม (สภาองค์กรผู้บริโภค) และ Best Fact Check and Verification (โคแฟค ประเทศไทย) ซึ่งถือเป็น “ปีแรก” ของรางวัลสายตรวจสอบข้อเท็จจริงในเวทีนี้

บนลิสต์ผู้ชนะ ไทยพีบีเอส (ส.ส.ท.) ก้าวขึ้นรับ รางวัลยอดเยี่ยมประเภทข่าว/สารคดีเชิงสืบสวนออนไลน์ จากซีรีส์ “ต้นแม่น้ำกก–น้ำสาย: มลพิษข้ามพรมแดน”—ประเด็นที่ยึดโยงชีวิตผู้คนนับหมื่นในลุ่มน้ำภาคเหนือ และสะท้อนพลังของสื่อสาธารณะในการทำข่าวเชิงระบบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ The STANDARD, SPRiNG News, PPTV HD36 และสำนักข่าวอื่น ๆ กระจายคว้ารางวัลในหมวดคลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก ภาพข่าว ข่าวผู้บริโภค ฯลฯ แสดงภาพรวม “ความหลากหลายของเนื้อหา–ความหาญกล้าเชิงประเด็น–และชั้นเชิงการเล่าเรื่อง” ที่จัดจ้านขึ้นทุกปี

เสียงกรรมการ: ปีที่ “เข้ม” ทั้งเนื้อหาและงานสร้าง

ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ ชี้ว่า ปีนี้เห็นความตั้งใจของสำนักข่าวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ งานสืบสวนที่ทำเป็นซีรีส์ ไม่ใช่ “ข่าวเดียวจบ” ขณะที่ คุณ น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เน้นว่า หมวดประเด็นสังคม โดดเด่น—หยิบ “เรื่องเล็กในสังคม” ขึ้นมาขยายให้สาธารณะเห็นภาพโครงสร้างปัญหา
ด้าน คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ (Pantip.com) บอกว่าหมวดคลิปวิดีโอ “ตัดสินยาก” เพราะคุณภาพงานสร้าง (production) สูงมาก ส่วนอินโฟกราฟิก—หลายชิ้นออกแบบแบบ ไทม์ไลน์ ที่ทำให้ “เข้าใจใน 5–10 วินาที” ตรงเป้าคนเสพข่าวบนมือถือ ขณะที่ คุณวสันต์ วณิชชากร (AP) มองว่าภาพข่าวปีนี้ดีมากหลายชิ้น และคณะกรรมการพยายามให้ ความหลากหลายของประเด็น โดดเด่นร่วมกัน
ฝั่งสิทธิผู้บริโภค คุณสภาพร อารักษ์วทนะ ให้ข้อสังเกตว่า หมวดข่าวผู้บริโภค ปีแรกของเวทีนี้สะท้อน “ปัญหาจริง” ที่ต้องถูกยกระดับ ซึ่งต้องการภาษาเรียบง่าย—เข้าถึงง่าย—เข้าใจง่าย เพื่อขยายผลเชิงนโยบาย ส่วน คุณสุภิญญา กลางณรงค์ (ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค) ชี้ว่าในหมวด Fact Check ที่เพิ่งเปิดตัว มีทั้งงานด้าน AI และสุขภาพ—และชิ้นที่ประทับใจคือ การตรวจสอบหลายรูปแบบ ผสานการสัมภาษณ์ตามแบบสื่อกับเครื่องมือดิจิทัลอย่างเข้มแข็ง

จากรางวัลสู่ “มาตรฐานใหม่”: 3 บทเรียนใหญ่ที่ห้องข่าวควรถือกลับไป

  1. AI เป็นตัวคูณ แต่ไม่ใช่ทางลัด — บทเรียนจากหลายห้องข่าวตรงกันว่า AI คืนเวลาให้คนข่าวไปทำ “งานมนุษย์” ที่เครื่องไม่ถนัด—เจรจา–สัมภาษณ์–คัดเอกสาร–ตั้งคำถามที่ใช่—แต่ทุกขั้นต้อง ตรวจซ้ำ และห้ามยกอำนาจตัดสินใจให้ AI
  2. Fact-check คือ “อินฟราสตรัคเจอร์ใหม่” ของข่าว — การเพิ่มหมวดรางวัลเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง สะท้อนว่าสื่อไทยกำลังแก้โจทย์ “ข่าวลวง–สื่อสังเคราะห์” อย่างเป็นระบบ ทั้งด้านทักษะและเครื่องมือ
  3. ภาษาที่เข้าถึงง่าย–เล่าเรื่องที่คนแตะได้ — ทั้งกรรมการและพันธมิตรเห็นพ้องว่าคอนเทนต์ที่ “พาไปเห็น–พาไปเข้าใจ” มีพลังมากกว่า “ข้อมูลล้วน” การออกแบบสื่อ (visual/infographic) และโทนภาษาจึงเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญ
ผลการตัดสินรางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ครั้งที่ 11 ประจำปี 2568 (Digital News Excellence Awards 2025) มีดังนี้

1. ประเภทข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวออนไลน์เชิงสืบสวนยอดเยี่ยม บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ซีรีส์ข่าวสืบสวน “ต้นแม่น้ำกก-น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน”

ลิงก์ข่าว

https://www.thaipbs.or.th/news/content/350938

https://www.thaipbs.or.th/news/content/350954

https://www.thaipbs.or.th/news/content/351096

https://www.thaipbs.or.th/news/content/352969

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354006

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354203

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (ไทยรัฐออนไลน์)

ชื่อผลงาน: ชนวนสงคราม! ตีแผ่ แหล่งขุมทรัพย์ “ฮุน เซน”

ลิงก์ข่าว

https://www.youtube.com/watch?v=utOkdeuSedQ

  1. ชื่อองค์กร: มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย (สำนักข่าวอิศรา)

ชื่อผลงาน: กระชากโฉมหน้าเครือข่ายทุนจีนกับพวก 51 บริษัทยึดที่ดินบ้านหรู : คนไทยต้องตื่นรู้

ลิงก์ข่าว

https://www.isranews.org/article/isranews-news/132400-invesdsdsdsds-5.html

2. ประเภทข่าวออนไลน์จากประเด็นในสื่อสังคมออนไลน์ยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สกมช

 

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ร่องรอยภารกิจหมอชนบทบุกกรุง สะท้อนปัญหาระบบราชการไทย

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/1JUNVrsnZz/

เรื่องจริง! สะท้อนวิกฤต ‘จัดซื้อจัดจ้าง’ ราชการไทย

https://theactive.thaipbs.or.th/data/procurement-problems

หมอชนบทบุกกรุง : หลักฐาน ปฏิบัติการ ‘ลดความสูญเสีย’ กลางวิกฤตโควิด https://theactive.thaipbs.or.th/data/rural-doctor-covid

จาก ชนบทบุกกรุง… ถึง โต๊ะสอบสวน

https://theactive.thaipbs.or.th/data/rural-doctor

 “Public Forum : กรณีศึกษา ‘หมอสุภัทร’ ผิดวินัยร้ายแรง : ทุจริต คอร์รัปชัน หรือปัญหาธรรมาภิบาล ระบบราชการไทย”

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: เสียงเขมรในฐานะมนุษย์ เมื่อพายุชาตินิยมพัดแรง

ลิงก์ข่าว

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36)

ชื่อผลงาน: เช็กให้ชัวร์! ก่อนแชร์ภาพไวรัลวันเกิด “ทหารหญิงพิการ” หลักฐานชี้ชัดถูกสร้างด้วย AI

ลิงก์ข่าว

http://pptv36.news/1wjd?FCL

3. ข่าวออนไลน์ส่งเสริมสังคมยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย บริษัท ที.เอช.นิค จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด 

ชื่อผลงาน: ปัญหาการศึกษาของเด็กยากไร้ พูดกันแค่ช่วงเลือกตั้ง?

ลิงก์ข่าว

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: ‘CONTENT SERIES เด็กพิเศษที่ระบบไม่อาจโอบอุ้ม’

ลิงก์ข่าว

  1. ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ‘ทักษะภาษาอังกฤษ’ ยิ่งส่งเสริม ยิ่งถดถอย ? | How to Boost English Proficiency among Thais?

ลิงก์ข่าว

www.thaipbs.or.th/now/content/2901

4. ประเภทข่าวออนไลน์ที่นำเสนอในรูปแบบคลิปวีดีโอยอดเยี่ยม บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร:  บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (SPRiNG News)

ชื่อผลงาน: วิถีนายพราน ‘ทหารชุดดำ’ ใจรักพิทักษ์ชายแดน

ลิงก์ข่าว

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด

ชื่อผลงาน: โรงงานจีนศูนย์เหรียญ ปัญหาใหญ่ที่ไทยต้องแก้ | KEY MESSAGES

ลิงก์ข่าว

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36)

ชื่อผลงาน: สารคดีข่าว เปิดความจริงใต้ซาก “เหล็ก” วิกฤตโครงสร้างอาคารไทย

ลิงก์ข่าว

5. ประเภทข่าวที่นำเสนอในรูปแบบอินโฟกราฟิกยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย ธนาคารออมสิน

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร:  บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36) 

ชื่อผลงาน: ทำไมคลังเลือดถึงขาดแคลน? เปิดการเดินทางของเลือดจากผู้บริจาคถึงผู้ป่วย

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/16zhAreZUR/

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (SPRiNG News)

ชื่อผลงาน: 2567 ปีแห่งฝันร้ายของพะยูนไทย ! ตายไปทั้งสิ้น 42 ตัว หวังว่าปี 2568 คงไม่มากไปกว่านี้…

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/16tpkgZsvJ/

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (SPRiNG News)

ชื่อผลงาน: “จักรวาลยาดมไทย” จากภูมิปัญญา สู่ Soft Power

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/1FsbTsgVCQ/?mibextid=wwXIfr

6. ประเภทภาพข่าวออนไลน์ยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: ถอยออกไปค่ะ

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1256218833211124&id=100064690570758&rdid=lC50fM5DcJ7TFIYo#

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: สายรุ้งเหนือสมรภูมิประชาธิปไตย

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid021cZhBjWxWxjJu7EDcu7pckfANtLaWwS2C5np59UkK84x23moqG2SMEcBem17mTpSl&id=100064690570758&_rdr 

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด

ชื่อผลงาน: อย่าฝืน…แม้จะไหว

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1030938712498805&set=pcb.1030939055832104

7. ประเภทข่าวผู้บริโภคยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย สภาองค์กรผู้บริโภค

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: 23 จังหวัด เมืองไร้รถประจำทาง อีกนานแค่ไหนถึงจะมี ?

ลิงก์ข่าว

https://theactive.thaipbs.or.th/data/local-bus-hope

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (สำนักข่าวอินโฟเควสท์)

ชื่อผลงาน: ตีแผ่ “Double Day” ลดจริงหรือแค่กลลวงผู้บริโภค !?

ลิงก์ข่าว

https://www.infoquest.co.th/2025/524297

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด

ชื่อผลงาน: ผลาญงบพันล้าน? ส่อวิกฤตศรัทธาประกันสังคม

ลิงก์ข่าว

8.ประเภทรางวัลการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Best Fact Check and Verification) สนับสนุนโดย โคแฟค (ประเทศไทย)

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ตรวจสอบแล้ว : คลิปไวรัล ร.31 รอ. ปะทะช่วง 5 นาทีสุดท้าย ที่แท้คลิปเก่า

ลิงก์ข่าว

www.thaipbs.or.th/verify/content/4730

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36)

ชื่อผลงาน: เช็กให้ชัวร์! ก่อนแชร์ภาพไวรัลวันเกิด “ทหารหญิงพิการ” หลักฐานชี้ชัดถูกสร้างด้วย AI

ลิงก์ข่าว

http://pptv36.news/1wjd?FCL

  1. ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ตรวจสอบแล้ว : เพจคลินิกแจกวัคซีน HPV ฟรี ที่แท้ตัดแปะโลโก้-เอกสารเท็จ แต่ดันมี “ติ๊กถูกสีฟ้า”

ลิงก์ข่าว

www.thaipbs.or.th/verify/content/2411

เมื่อรางวัลเชื่อมต่อ “งานข่าว–นโยบาย–ชีวิตประจำวัน”

รางวัลที่หยิบยกมิติสาธารณะเด่นชัดที่สุดสองกลุ่ม คือ งานสืบสวนเชิงระบบ (เช่น มลพิษข้ามพรมแดน) และ ข่าวผู้บริโภค (เช่น ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองรอง หรือการตลาด “ลดราคา” ที่อาจล่อหลอก) ทั้งสองกลุ่มสะท้อน หน้าที่พื้นฐานของสื่อ ที่มากกว่า “เล่าเหตุการณ์”—แต่คือการ เรียกร้องคำอธิบาย และ ผลักดันการเปลี่ยนแปลง ในเชิงนโยบาย เมื่อผนวกกับกระบวนการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ข่าวจะ “เดินทาง” ไปถึงผู้กำหนดนโยบายและสาธารณะในวงกว้างมากขึ้น

อนาคตห้องข่าวไทย: ทรานส์ฟอร์มด้วยวินัย–ข้อมูล–และหัวใจข่าว

บทสรุปของค่ำบ่ายวันนี้อาจเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: AI ทำให้เร็วขึ้น แต่ความจริงต้องทำให้ชัดขึ้น ห้องข่าวจำเป็นต้องยึด “วินัยข้อมูล” ทั้งในเชิงวิธีวิทยา (method) และจริยธรรม (ethics) หัวใจของข่าวยังคงอยู่ที่คน—คนที่ลงพื้นที่–สัมภาษณ์–ตรวจเอกสาร–เล่าเรื่องและตีความเพื่อสาธารณะ รางวัลครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานฉลอง” อย่างเดียว แต่เป็น สัญญาประชาคมของวิชาชีพ ว่าจะเดินหน้าผลิตข่าวที่มีคุณค่า น่าเชื่อถือ และตรวจสอบได้—เพื่อให้การตัดสินใจของผู้คนและชุมชนตั้งอยู่บนข้อมูลที่ดีที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

Gen Z หนักสุด ใช้เวลา 12 ชั่วโมงต่อวัน! วิกฤตจอสมาร์ตโฟน-ความโหยหาสังคมยุค 90

วิกฤตจอสมาร์ตโฟน ผลสำรวจชี้คนใช้เวลา 88 วันต่อปีจ้องหน้าจอ สะท้อนความเหงาและความโหยหาวิถีสังคมแบบยุค 90

25 กันยายน 2568 – ลองนึกภาพถ้าคุณตื่นขึ้นมาด้วยเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่ขาดสาย ขณะที่มือยังง่วงงุน คุณคว้ามันขึ้นมากดดูข้อความจากเพื่อนในกลุ่มแชท สไลด์นิ้วผ่านฟีดข่าวสารที่ไหลทะลัก แล้วกว่าจะวางลง ก็ล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นคือการเดินทางไปทำงาน ท่ามกลางรถติดยาวเหยียด คุณเลื่อนดูวิดีโอสั้นๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งถึงออฟฟิศ ที่ซึ่งอีเมลและการประชุมออนไลน์รอคอยอยู่ และเมื่อค่ำคืนมาเยือน คุณนั่งลงกับมื้อเย็นคนเดียว แต่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าจอ รอคอยไลก์และคอมเมนต์จากโพสต์ล่าสุด

นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นภาพสะท้อนชีวิตประจำวันของผู้คนนับล้านทั่วโลกในยุคดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ ผลสำรวจระดับโลกฉบับล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่ ได้เปิดม่านให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ทั่วโลกใช้เวลาไปกับการจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟนมากถึง 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน ซึ่งหากบวกรวมทั้งปี จะเท่ากับการสูญเสียเวลาไปถึง 88 วัน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของปีทั้งปีไปกับการเลื่อนนิ้วบนหน้าจอเพียงอย่างเดียว ตัวเลขนี้ไม่ได้มาจากการคาดเดา แต่มาจากการศึกษาที่ครอบคลุมผู้ใหญ่ 17,000 คน จาก 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน เวียดนาม แอฟริกาใต้ บราซิล เยอรมนี อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีบริษัท Heineken เป็นผู้สนับสนุนหลัก และ OnePoll บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ

ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

ตัวเลข 88 วันนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขแห้งๆ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่กำลังสั่นสะเทือนรากฐานของสังคมมนุษย์ มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราเสียเวลาเกือบสามเดือนต่อปีไปกับการจ้องหน้าจอ แล้วเวลาที่เหลือสำหรับการสนทนาหน้าต่อหน้า การเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่การนั่งมองท้องฟ้ากับครอบครัวล่ะ? ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่ยังขุดลึกเข้าไปในปมปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายของเทคโนโลยี—ความเหงาที่เพิ่มพูน ความกดดันที่มองไม่เห็น และความโหยหาอดีตที่เคยเรียบง่ายกว่า

เพื่อให้เข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาเริ่มต้นจากจุดกำเนิดของเรื่องราวนี้กันเถอะ ทุกอย่างเริ่มต้นจากความตั้งใจของ Heineken ที่ต้องการสำรวจ “ความสุขที่แท้จริง” ในยุคที่โลกถูกเชื่อมโยงด้วยหน้าจอมากเกินไป บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์นี้ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปีในการส่งเสริมการสังสรรค์แบบ “IRL” (In Real Life) หรือการพบปะในชีวิตจริง ได้ร่วมมือกับ OnePoll เพื่อเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2568 ผลที่ได้ไม่เพียงยืนยันแนวโน้มที่เราคุ้นเคย แต่ยังเผยให้เห็นถึงความรุนแรงของมัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับสมาร์ตโฟนเป็นเพื่อนสนิท

มาดูตัวเลขหลักกันก่อน: เวลาเฉลี่ย 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน หรือประมาณ 127,020 นาทีต่อปี นี้ สามารถแยกย่อยได้เป็นกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่การเช็คโซเชียลมีเดีย การดูวิดีโอสตรีมมิง ไปจนถึงการตอบแชทที่ไม่เคยสิ้นสุด สถิติเหล่านี้ชวนให้เราหยุดนิ่งและไตร่ตรอง—นี่คือเวลาที่เราสูญเสียไปโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจริงๆ? ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมหลายคนมองว่านี่คือ “Screen Time Paradox” หรือภาวะย้อนแย้งของเวลาหน้าจอ ที่เทคโนโลยีที่ควรเชื่อมโยงเรากลับทำให้เราห่างเหินจากกันมากขึ้น

คนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต

หากเจาะลึกไปยังกลุ่ม Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2538-2547) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้สมาร์ตโฟนมากที่สุด พวกเขามีเวลาหน้าจอเฉลี่ยสูงกว่า 6 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 1 ใน 10 ของกลุ่มนี้—or 10%—ยอมรับว่าติดโทรศัพท์หนักหน่วง จนใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นแนวโน้มที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ลองคิดดูสิครับ ถ้าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโลกเสมือน แล้วการพัฒนาทักษะทางสังคมและความสัมพันธ์จริงๆ จะเหลือที่ว่างให้หรือไม่?

ผลสำรวจยังเผยว่า ผู้ใหญ่ 3 ใน 5—or 59%—ยอมรับว่าการใช้เวลากับโทรศัพท์เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกระแสการแจ้งเตือนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดย 60% รู้สึกว่าข้อความและน็อติฟิเคชันไหลเวียน “คงที่ตลอดเวลา” ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง—or 47%—อธิบายตัวเองว่าเป็นคน “ออนไลน์ตลอดเวลา” สถิติเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนพฤติกรรม แต่ยังชี้ถึงความกดดันที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ 52% รู้สึก “ท่วมท้น” จากแรงกดดันที่ต้องอัปเดตโซเชียลมีเดียให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการไลก์โพสต์เพื่อน การรีโพสต์ข่าวสาร หรือแม้แต่การตอบคอมเมนต์ที่ไม่คาดคิด

พบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35%

จากตรงนี้ เรามาเข้าสู่ปมหลักของเรื่องราว—ความย้อนแย้งที่ทำให้หัวใจของข่าวนี้เต้นแรง: ยิ่งเชื่อมต่อกันทางออนไลน์มากเท่าไหร่ เรากลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 62% ยอมรับว่ารู้สึก “เหงาเป็นบางครั้ง” แม้จะมีแอปพลิเคชันสำหรับแชทและวิดีโอคอลมากมายก็ตาม มันเหมือนกับการนั่งในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ไม่มีใครมองตากันจริงๆ สถิติจาก Statista บริษัทวิจัยข้อมูลระดับโลก ซึ่ง Heineken อ้างอิงในรายงาน ยังเสริมน้ำหนักให้กับประเด็นนี้ โดยพบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35% ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เวลาบนโทรศัพท์เพิ่มขึ้นกว่า 54% นับตั้งแต่การเปิดตัวแพลตฟอร์มอย่าง Instagram ในปี 2010 และ Snapchat ในปี 2011

นี่คือจุดที่เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้น ลองนึกถึงคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่มักพูดถึง “Social Battery” หรือ “แบตเตอรี่ทางสังคม” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เรามีสำหรับการโต้ตอบกับผู้อื่น ผลสำรวจพบว่าผู้ใหญ่กว่าครึ่งหนึ่ง—or 51%—รู้สึกว่าแบตเตอรี่นี้หมดลงอย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาพูดคุยออนไลน์มากเกินไป และตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 62% ในกลุ่ม Gen Z มันชวนให้เราคิดถึงภาพเด็กวัยรุ่นที่นั่งรวมกลุ่มกันในห้อง แต่ละคนก้มหน้ากดโทรศัพท์ โดยไม่พูดคุยกันสักคำ—นี่คือความเหงาในยุคที่ “เชื่อมต่อ” มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงด้วยความมืดมนเท่านั้น มันมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์—ความโหยหาอดีตที่กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ถึง 64% ยอมรับว่าพวกเขารู้สึก “คิดถึง” ยุค 90 สมัยที่ผู้คนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟโดยไม่ต้องเช็คอินบนเฟซบุ๊ก สมัยที่การสนทนาเกิดขึ้นแบบตัวต่อตัว ไม่ใช่ผ่านอิโมจิและสติ๊กเกอร์ นี่คือประโยคที่กระตุ้นอารมณ์จากรายงาน: “เรากำลังสูญเสียช่วงเวลาที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เพื่อแลกกับภาพลวงตาของการเชื่อมโยง” มันทำให้ผู้อ่านอย่างคุณ—ที่สนใจข่าวเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ในชีวิตหรือการทำงาน—ต้องหยุดและไตร่ตรอง: คุณเคยเลื่อนการนัดหมายกับเพื่อนเพราะ “เหนื่อยจากออนไลน์” หรือไม่? ผลสำรวจตอบว่า 32% ของผู้คนเคยทำแบบนั้น และ 18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

เพื่อคลี่คลายปมนี้ เราต้องมองไปยังตัวอย่างจริงจากต่างประเทศที่กำลังกลายเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา มาดูกรณีศึกษาจากญี่ปุ่นกันครับ ซึ่งเป็นประเทศที่เทคโนโลยีล้ำสมัยแต่ก็เผชิญปัญหาเดียวกันนี้อย่างหนัก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สภาเทศบาลเมืองโทโยอาเกะ (Toyoake) ในจังหวัดไอจิ ได้ผ่านร่างเทศบัญญัติที่เป็นประเด็นร้อนระดับชาติ โดยแนะนำให้ประชาชนทุกวัยจำกัดการใช้สมาร์ตโฟน เครื่องเล่นเกม วิดีโอคอนโซล และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน นอกเหนือจากเวลาทำงานและการเรียน แม้จะไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน แต่กฎหมายนี้ถือเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่น และมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจ

เทศบัญญัตินี้ไม่ได้เกิดจากอากาศธาตุ แต่มาจากความกังวลที่สะสมมานานเกี่ยวกับผลกระทบของการสัมผัสเทคโนโลยีเกินพอดี เช่น การนอนไม่หลับและการลดลงของปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อกำหนดหลักคือ เด็กประถมต้องงดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21:00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปงดหลัง 22:00 น. โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า “การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจของเด็กทุกคนอายุต่ำกว่า 18 ปี” นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ผู้ปกครองกำหนดกฎครัวเรือนสำหรับการใช้อุปกรณ์ และเทศบาลจะตั้งระบบให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ

นายกเทศมนตรีมาซาฟุมิ โคคิ (Masafumi Kouki) ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Kyodo News ว่า “การกำหนดเวลาจำกัด 2 ชั่วโมงต่อวันนี้ มีพื้นฐานมาจากแนวทางการนอนหลับที่ดีของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ซึ่งคำนวณจากเวลาการใช้งานเฉลี่ยในวันธรรมดา หากเกินกว่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะอดนอนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม” คำกล่าวนี้ไม่เพียงยืนยันถึงความเป็นมืออาชีพของมาตรการ แต่ยังชูประเด็นเด่นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นวาระระดับนโยบายที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องรับผิดชอบ

กรณีของโทโยอาเกะนี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่คลี่คลายปมในระดับปฏิบัติการ มันแสดงให้เห็นว่าประเทศที่เคยถูกมองว่า “ติดเทคโนโลยี” สามารถหันหลังให้กับหน้าจอได้ หากมีผู้นำที่กล้าลุกขึ้นกระทำการ แม้จะเป็นเพียงคำแนะนำ แต่ก็จุดประกายให้ชุมชนอื่นๆ ในญี่ปุ่นและทั่วโลกเริ่มถกเถียงกันมากขึ้น ในประเทศไทยเอง เราก็เห็นแนวโน้มคล้ายกัน เช่น การรณรงค์ลดเวลาหน้าจอในโรงเรียน หรือแคมเปญจากกระทรวงสาธารณสุขที่เตือนถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชน แต่ยังขาดมาตรการเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนเท่านี้

ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า

และที่น่าติดตามยิ่งกว่าคือ การตอบสนองจากภาคเอกชนที่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลาย Heineken ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสำรวจ แต่ได้เปิดตัวแคมเปญระดับโลกเพื่อส่งเสริมการสังสรรค์แบบ IRL โดยร่วมมือกับศิลปินดังอย่าง Joe Jonas และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ เช่น Dude with Sign, Lil Cherry และ Paul Olima แคมเปญนี้ใช้มุกตลกในการจินตนาการว่า “ถ้าทุกคนออกไปสนุก IRL แล้ว ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า” เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนวางโทรศัพท์ลงและหันมาพบปะกันจริงๆ มันต่อยอดจากแคมเปญก่อนหน้าอย่าง “The Boring Phone” และ “Forgotten Beers” ที่ส่งเสริมการดื่มและสนทนาแบบออฟไลน์ รวมถึงการลงทุนกว่า 39 ล้านปอนด์ในการฟื้นฟูผับเก่า 62 แห่งในสหราชอาณาจักร

ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ

สัญญาณเชิงบวกจากผลสำรวจยังมีอีกมาก: ถึง 79% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าพวกเขาดูโทรศัพท์น้อยลงเมื่ออยู่กับเพื่อนในชีวิตจริง และเกือบหนึ่งในสี่—or 25%—เคยพยายามนัดเจอเพื่อนเพื่อลดเวลาหน้าจอ นี่คือจุดที่เรื่องราวของเรามาถึงการคลี่คลาย—ไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยีทั้งหมด แต่เป็นการสร้างสมดุลที่ยั่งยืน มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ เราจะใช้มันอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด?

ในท้ายที่สุด วิกฤตนี้ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน การสร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ผ่านการรณรงค์และการศึกษา ควรเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นคือการพัฒนานโยบายพื้นที่ปลอดจอ เช่น สวนสาธารณะหรือศูนย์ชุมชนที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นปฏิสัมพันธ์จริงๆ และสุดท้าย ภาคธุรกิจอย่าง Heineken สามารถเป็นพันธมิตร โดยสนับสนุนกิจกรรมที่เน้น IRL เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์

เรื่องราวของ “88 วันที่สูญเสีย” นี้ ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นตัว หากเราลุกขึ้นมาทำตามสัญญาณเหล่านี้ สังคมของเราจะกลับมาสดชื่นและเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง—ไม่ใช่ผ่านสายเคเบิล แต่ผ่านรอยยิ้มและการสัมผัสที่อบอุ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Heineken Global Report on Screen Time and Socializing, 2025 (สนับสนุนและเผยแพร่โดย The HEINEKEN Company, ดำเนินการสำรวจโดย OnePoll)
  • Statista Global Research on Socializing Trends, 2024-2025 (วิเคราะห์ข้อมูลเสริมโดย Statista GmbH)
  • Kyodo News: “Toyoake City Passes Ordinance Limiting Smartphone Use” (สัมภาษณ์นายกเทศมนตรี Masafumi Kouki, เผยแพร่ 23 กันยายน 2568)
  • Ministry of Health, Labour and Welfare, Japan: Healthy Sleep Guidelines, 2024
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายระดมสมองทำแผน 5 ปี “เมืองพี่เมืองน้อง” เชื่อมเศรษฐกิจชายแดน

เชียงรายเปิดเวทีระดมสมอง ทำแผน 5 ปี “เมืองพี่เมืองน้อง” รับจังหวะ FDI ไทยพุ่ง 125% ตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจ–การค้า–การลงทุนเชื่อม NEC อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 —โรงแรมทีคการ์เด้น สปา รีสอร์ท เมืองเชียงราย เป็นภาพของ “ห้องปฏิบัติการอนาคต” เมื่อผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ–รัฐวิสาหกิจ–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–ภาคเอกชน–สถาบันการศึกษา กว่า 180 คน ทยอยลงทะเบียนเข้าร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ระยะ 5 ปี ของจังหวัดเชียงราย บนโจทย์ใหญ่ที่ไม่เพียงต้องตอบ “เชียงรายอยากเป็นอะไร” แต่ต้องตอบให้ชัดว่า จะเดินไปอย่างไร ในโลกการลงทุนที่กำลังเร่งเครื่อง”

พิธีเปิดนำโดย นายนนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ก่อนจะเข้าสู่เวทีบรรยายและระดมความคิดเห็นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาระหว่างประเทศ และศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน

แก่นของการประชุมวันนี้ คือการ “ตั้งเข็มทิศร่วม” ของภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา เพื่อออกแบบแผน 5 ปี ที่ จับต้องได้ เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนของเชียงรายเข้ากับ คลื่นการลงทุนระลอกใหม่ ที่กำลังไหลผ่านภูมิภาค

ทำไมต้อง “ตอนนี้” เมื่อหน้าต่างโอกาสของ FDI เปิดกว้าง

การขับเคลื่อนเชิงรุกของเชียงรายเกิดขึ้นในจังหวะที่ “ข้อมูลใหญ่” ของประเทศชี้ชัดว่า FDI กำลังไหลเข้าไทยแรงที่สุดในรอบหลายปี ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.–ส.ค.) เงินลงทุนจากต่างชาติ แตะ 225,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 125% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมี นักลงทุน 687 ราย เข้ามาจัดตั้งธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการ

หากซูมเข้าไปดูรายละเอียด 5 อันดับประเทศต้นทาง ที่ขับเคลื่อนการลงทุน จะเห็นโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ค่อย ๆ ก่อตัว

  • ญี่ปุ่น เงินลงทุน 71,844 ล้านบาท เน้นห่วงโซ่อุตสาหกรรม—จัดหาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน, ซอฟต์แวร์, ตรวจคุณภาพสินค้า, รับจ้างผลิตตั้งแต่เครื่องจักรไปถึงชิ้นส่วนยานยนต์–การเกษตร
  • สหรัฐอเมริกา 105 ราย เงินลงทุน 3,433 ล้านบาท โดดเด่นที่บริการท่องเที่ยว–โฆษณา–คอนซัลต์ธุรกิจ–รับจ้างผลิตชิ้นส่วน
  • สิงคโปร์ 93 ราย เงินลงทุน 68,495 ล้านบาท ขยายตัวใน ดาต้าเซ็นเตอร์–ฟินเทค–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
  • จีน 87 ราย เงินลงทุน 20,785 ล้านบาท เสริมแกร่งซัพพลายเชนเครื่องจักรอัตโนมัติ–ซอฟต์แวร์–มอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงบริการซ่อมบำรุง EV
  • ฮ่องกง 74 ราย เงินลงทุน 12,372 ล้านบาท ครอบคลุมบริการพลังงาน–โทรคมนาคม–โลหะ/ชิ้นส่วน

ในมิติการกระจายตัวเชิงพื้นที่ EEC ยังเป็นแม่เหล็กหลัก ด้วยเม็ดเงิน 74,792 ล้านบาท (33% ของทั้งประเทศ) แต่สำหรับ “เชียงราย” จุดแข็งไม่ได้อยู่ที่โรงงานขนาดยักษ์ หากอยู่ที่ โลจิสติกส์ชายแดน–บริการ–ท่องเที่ยวคุณภาพ–การค้า/ขนส่ง–อุตสาหกรรมสนับสนุน ที่สอดรับกับ NEC และการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง

เชียงรายวาง 4 จุดยุทธศาสตร์ “เมืองพี่เมืองน้อง” เชื่อมเศรษฐกิจชายแดน–วัฒนธรรม–การศึกษา

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า การทำแผนครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย ลงนามแล้ว 86 คู่ จาก 40 จังหวัด สำหรับเชียงรายนั้นมีฐานที่มั่นยืนอยู่แล้วกับ มณฑลยูนนาน” (ตั้งแต่ปี 2543) และกำลังเดินหน้าอีก 3 เมือง/พื้นที่ยุทธศาสตร์ ได้แก่

  1. เมืองกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น — มุ่งความร่วมมือด้านเทคโนโลยี/อุตสาหกรรมสนับสนุน, เมืองน่าอยู่/สิ่งแวดล้อม, การศึกษาวิจัย และท่องเที่ยวคุณภาพ
  2. จังหวัดท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา — เสริมบทบาทประตูการค้าชายแดน, โลจิสติกส์, บริการท่องเที่ยว–โรงแรม–รีสอร์ต และแรงงานฝีมือ
  3. แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว — เชื่อมโครงข่ายคมนาคม–ขนส่ง, การค้าพรมแดน, เกษตร–อาหาร และวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง

ความคล้ายคลึงทางภูมิประเทศ ประเพณี และวัฒนธรรม ระหว่างเชียงรายกับเมืองเหล่านี้ ทำให้การยกระดับสู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ–การค้า–การลงทุน มีฐานรองรับจริง และต่อยอดสู่ การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ, แลกเปลี่ยนการศึกษา/นักศึกษา, อนุรักษ์และใช้ประโยชน์วัฒนธรรมร่วม ได้อย่างสมเหตุสมผล

ห้องประชุมที่กลายเป็น “ห้องทดลอง” ตั้งโจทย์–แตกประเด็น–จับคู่หุ้นส่วน

เวทีวันนี้ไม่ใช่เพียงรับฟัง แต่เป็น workshop ตั้งโจทย์ร่วม ผู้เข้าร่วมกว่า 180 คน ถูกแบ่งกลุ่มเพื่อระดมไอเดีย คลัสเตอร์ความร่วมมือ” ที่เชื่อมเศรษฐกิจ–สังคม–วัฒนธรรม–สิ่งแวดล้อม ให้สอดรับกับทุนของพื้นที่และแนวโน้มโลก

คลัสเตอร์เศรษฐกิจ/การลงทุน

  • โลจิสติกส์ชายแดน–ศูนย์กระจายสินค้า–บริการขนถ่าย
  • บริการดิจิทัล–ดาต้า–เศรษฐกิจสร้างสรรค์–คอนเทนต์ท้องถิ่น
  • เกษตร–อาหาร–เกษตรแปรรูป–มาตรฐานฮาลาล/เกษตรอินทรีย์
  • ท่องเที่ยวคุณภาพ: เชื่อมวัฒนธรรม–สุขภาพ–ธรรมชาติ–งานเทศกาล

คลัสเตอร์การศึกษา/นวัตกรรม

  • เครือข่ายวิจัยกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค—แลกเปลี่ยนนักศึกษา/อาจารย์
  • ห้องทดลองนโยบายท้องถิ่น (local policy lab) ทดสอบบริการสาธารณะดิจิทัล

คลัสเตอร์วัฒนธรรม/สังคม

  • เครือข่ายงานศิลป์–เทศกาลลุ่มน้ำโขง–แลกเปลี่ยนศิลปิน
  • พหุวัฒนธรรม–พหุภาษา–สื่อชุมชน เพื่อการท่องเที่ยวที่เคารพวิถีคน

คลัสเตอร์สิ่งแวดล้อม/เมืองยั่งยืน

  • การบริหารจัดการขยะข้ามพรมแดน–การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
  • โครงการพื้นที่สีเขียว–โครงสร้างพื้นฐานเป็นมิตรต่อคนเดิน–จักรยาน

ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ คือ แผนแม่บท 5 ปี” ที่ไม่ใช่เอกสารลอย ๆ แต่เชื่อมโยง ภาคส่วน–โครงการ–ตัวชี้วัด (KPIs) และ คู่ความร่วมมือ ที่จับมือเดินได้จริง พร้อมกำหนด Roadmap รายปี เพื่อให้ทุกฝ่ายติดตาม–ทบทวน–ปรับปรุงได้เป็นวัฏจักร

FDI พุ่ง–โครงสร้างลงทุนเปลี่ยน โอกาสของเชียงรายอยู่ตรงไหน

ข้อมูล DBD สะท้อนชัดว่า แม้จำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 ลดลงเล็กน้อย 4.25% (เหลือ 59,189 ราย) แต่ ทุนจดทะเบียนรวมกลับขยาย 4.24% (เป็น 194,347 ล้านบาท) แปลว่าภูมิทัศน์การลงทุนกำลัง ขยับสู่ธุรกิจทุนหนา–เทคโนโลยี–บริการมูลค่าเพิ่ม ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เติบโตเด่นคือ ขายส่งสินค้าทั่วไป (+51.18%) โรงแรม–รีสอร์ต–ห้องชุด (+44.79%) และขนส่ง–ขนถ่าย (+26.18%)ทั้งหมดคือ “เส้นเลือดใหญ่” ของเมืองชายแดนและเมืองท่องเที่ยว อย่างเชียงราย

สำหรับ FDI ที่ไหลเข้าไทย 225,536 ล้านบาท (+125%) รูปธรรมต่อเชียงรายชัดเจนใน 3 มิติ

  1. โหนคลื่นโลจิสติกส์ชายแดน: เชื่อมขนส่ง–โกดัง–ด่าน–บริการกำกับดูแลคุณภาพสินค้า รับเทรนด์ “จัดหาชิ้นส่วน/วัตถุดิบ” จากญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง
  2. ท่องเที่ยวคุณภาพ/บริการดิจิทัล: รับเทรนด์สหรัฐฯ/สิงคโปร์ด้านบริการท่องเที่ยว–คอนซัลต์–ฟินเทค–ดาต้าเซ็นเตอร์ (ในสเกลที่เหมาะกับพื้นที่/สิ่งแวดล้อม)
  3. ซัพพลายเชนอาหาร/เกษตรมูลค่าเพิ่ม: ต่อยอดจุดแข็งเกษตรภาคเหนือ–มาตรฐาน–แปรรูป–โลจิสติกส์–ตลาดต่างประเทศ ผ่านกรอบความร่วมมือ Sister City

Roadmap 5 ปี จาก “แผนบนกระดาษ” สู่ “การเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้”

เพื่อให้แผน 5 ปีเป็น “เครื่องมือทำงาน” ไม่ใช่ “คู่มือเก็บตู้” ที่ประชุมกำหนด โครงสร้างการขับเคลื่อน–ตัวชี้วัด–กลไกธรรมาภิบาล ไว้เบื้องต้น

1) โครงสร้างขับเคลื่อน (Governance)

  • คณะทำงานจังหวัด ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง–คัดเลือกโครงการ–จัดสรรทรัพยากร–เจรจาความร่วมมือ
  • คณะทำงานสาขา (คลัสเตอร์) ด้านเศรษฐกิจ/การค้า/โลจิสติกส์/ท่องเที่ยว/การศึกษา/วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม
  • หน่วยเลขานุการ โดยสำนักงานจังหวัด เชื่อมการเงิน–กฎหมาย–ติดตามประเมินผล

2) ตัวชี้วัด (KPIs) ที่ประชาชนเห็นและสัมผัสได้

  • มูลค่าการค้า–การลงทุนชายแดน (ปีต่อปี)
  • จำนวนโครงการ/ข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับคู่เมืองพี่เมืองน้อง
  • นักท่องเที่ยวคุณภาพ–รายได้ต่อหัว–ระยะพำนัก ในเส้นทาง Sister City
  • การแลกเปลี่ยนนักศึกษา/งานวิจัยร่วม (โปรเจ็กต์ที่มีผลผลิตชัดเจน)
  • ความโปร่งใส/ธรรมาภิบาลธุรกิจข้ามพรมแดน (เครื่องมือกำกับ–ร้องเรียน–ตรวจสอบ)

3) กลไกธรรมาภิบาล–คุ้มครองการแข่งขันเป็นธรรม

  • ประสาน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ในการ ปราบปรามนอมินี–นิติบุคคลบัญชีม้า
  • เปิดข้อมูลสถานประกอบการ–ที่ตั้ง–ผู้รับผิดชอบ (ตามกรอบกฎหมาย) ให้ตรวจสอบได้
  • คู่มือปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการชายแดน–มาตรฐานบริการ–สิทธิแรงงานข้ามชาติ

เสียงสะท้อนจากห้องประชุม เมืองน่าอยู่–เศรษฐกิจเดิน–วัฒนธรรมไม่หาย

แม้เวทีวันนี้จะเน้น “ข้อมูล–แผน–ตัวเลข” แต่สิ่งที่สะท้อนจากการระดมความคิดเห็นคือ ความหวงแหนอัตลักษณ์ และ ความหวังให้โอกาสกระจายถึงชุมชน เสียงจากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเห็นพ้องว่า การผลักดัน Sister City ควรมุ่ง “ท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน–เคารพวัฒนธรรม” มากกว่าปริมาณผู้มาเยือน ขณะที่ภาคโลจิสติกส์–การค้าขนส่ง ต้องการให้จังหวัด เร่งบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด่าน–คลัง–ศูนย์กระจายสินค้า ควบคู่กับ อำนวยความสะดวกด้านดิจิทัล (เช่น ระบบเอกสาร/ชำระค่าธรรมเนียม–ติดตามสถานะ–ข้อมูลกระจายตัวแบบเรียลไทม์)

ด้านสถาบันการศึกษาเสนอให้ตั้ง ศูนย์องค์ความรู้ Sister City” รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม–กฎระเบียบของเมืองคู่ความร่วมมือ เพื่อให้ผู้ประกอบการและชุมชนเข้าถึง ความรู้พร้อมใช้” ต่อยอดได้ทันที และใช้เป็นฐานพัฒนา หลักสูตรร่วม/โครงการวิจัย ที่มีผลลัพธ์เชิงพาณิชย์–สังคมชัดเจน

จากเวทีสู่สนามจริง โครงการนำร่องที่ชุมชน “มองเห็น–แตะต้อง–ใช้ประโยชน์”

เพื่อให้แผน 5 ปีเริ่มต้นอย่างมีพลัง ที่ประชุมได้ระบุ “แนวทางนำร่อง” ที่ทำได้เร็วและวัดผลได้ ได้แก่

  • คอร์ริดอร์ท่องเที่ยวคุณภาพ เชื่อมเมืองหลักเชียงราย–ท่าขี้เหล็ก–บ่อแก้ว ภายใต้หลักการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) และ เส้นทางเทศกาล–วัฒนธรรมร่วม
  • ศูนย์ข้อมูลการค้า–โลจิสติกส์ชายแดน พัฒนาหน้าบ้านดิจิทัลกลาง ให้ผู้ประกอบการ (โดยเฉพาะ SME) เข้าถึงข้อมูลขั้นตอน–ภาษี–มาตรฐานสินค้า–จุดให้บริการ
  • โครงการคู่หูมหาวิทยาลัย–ผู้ประกอบการ (U–Biz Buddy) ให้ทุนโปรเจ็กต์เล็ก–เร็ว–เข้าโจทย์จริง สร้างนวัตกรรมบริการ/ผลิตภัณฑ์พร้อมใช้
  • Sandbox ธรรมาภิบาลข้ามแดน ทดลองใช้ระบบตรวจสอบที่ตั้ง–สถานประกอบการ–ช่องทางร้องเรียนแบบรวมศูนย์ ร่วมกับ DBD และภาคีที่เกี่ยวข้อง

บรรยากาศที่ไม่ใช่แค่ “ฟัง” เวทีที่คนทำงานรู้สึกว่า “มีที่ยืน”

สิ่งที่โดดเด่นคือการจัดวางเวทีให้ ทุกภาคส่วนได้พูด ใน “เวลาและภาษาของตัวเอง” ภาคธุรกิจเล็ก–กลางได้อธิบายข้อจำกัดที่เผชิญประจำวัน ตั้งแต่เอกสารข้ามแดนไปจนถึงต้นทุนขนส่ง ภาครัฐรับฟังพร้อมจด “รายการแก้ไขเร็ว” (quick wins) เพื่อทดสอบในไตรมาสถัดไป ส่วนสถาบันการศึกษาวางบทบาท “ช่างเทคนิคของนโยบาย” แปลงโจทย์เป็นงานวิจัยที่ลงสนาม ไม่ใช่รายงานอยู่บนชั้น

เวทีวันนี้จึงไม่ใช่ “พิธีการ” แต่เป็นการตั้งเครื่องมือการทำงานร่วม ที่ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน วัดผลร่วมกัน และพร้อมรับผิดชอบร่วมกัน

ภาพใหญ่ของประเทศ–ภาพเฉพาะของเชียงราย เมื่อเส้นกราฟตัดกันพอดี

ข้อมูล DBD ยังชี้ว่า เดือนสิงหาคม 2568 ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,641 ราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนเดียว 23,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากทั้งเมื่อเทียบปีก่อนและเดือนก่อนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และสอดคล้องกับ FDI ที่ นักลงทุนญี่ปุ่น–สหรัฐฯ–สิงคโปร์ ยังให้ความสนใจไทยอย่างยั่งยืน

สำหรับเชียงราย เส้นกราฟ “การสร้างเมืองน่าอยู่–ปลอดภัย–ยั่งยืน” กำลังตัดกับกราฟ “การค้า–การลงทุนชายแดน–บริการมูลค่าเพิ่ม” ในจุดที่เหมาะสม การทำแผนเมืองพี่เมืองน้องระยะ 5 ปี จึงไม่ใช่เพียงการทูตเมือง แต่เป็น ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก ที่ออกแบบให้โอกาสใหม่ กระจายลงชุมชน ผ่านงานที่วัดผลได้จริง

แผน 5 ปีที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “ไม่ทิ้งข้อมูลไว้บนสไลด์”

เมื่อ FDI ของประเทศพุ่ง 125% เม็ดเงิน–เทคโนโลยี–คนเก่งกำลังมองหาพื้นที่ลงหลัก เชียงรายเลือกยืนในที่ของตัวเอง—เมืองชายแดน–บริการ–ท่องเที่ยวคุณภาพ–โลจิสติกส์–อาหาร—และเปิดหน้าต่างไปยัง ยูนนาน–กุนมะ–ท่าขี้เหล็ก–บ่อแก้ว ด้วย แผน 5 ปี ที่มี Roadmap–KPI–ธรรมาภิบาล–การมีส่วนร่วม เป็น “นอตยึด” ให้เดินไกลและมั่นคง

จากห้องประชุมวันนี้ ต่อจากนี้คือ การบ้านรายเดือน–รายไตรมาส ที่ต้องส่งพร้อมหลักฐาน—จำนวนโครงการร่วม, มูลค่าการค้า–การลงทุน, รายได้ท่องเที่ยวต่อหัว, จำนวนการแลกเปลี่ยนการศึกษา, และตัวชี้วัดความโปร่งใสทางธุรกิจ—เพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า “เชียงรายไม่ได้แค่คิด แต่กำลังทำ และทำบนข้อมูลจริง”

กล่องข้อมูลสำคัญ (Key Figures)

  • ผู้เข้าร่วมประชุมระดมสมอง: 180 คน (ภาครัฐ–รัฐวิสาหกิจ–อปท.–เอกชน–สถาบันการศึกษา)
  • คู่ความร่วมมือ Sister City ของเชียงราย: มีแล้ว 1 (ยูนนาน, จีน—ตั้งแต่ปี 2543) กำลังดำเนินการเพิ่มอีก 3 (กุนมะ–ญี่ปุ่น, ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา, บ่อแก้ว–ลาว)
  • FDI ไทย 8 เดือนแรกปี 2568: 225,536 ล้านบาท (+125%) นักลงทุน 687 ราย; 5 อันดับประเทศ: ญี่ปุ่น–สหรัฐอเมริกา–สิงคโปร์–จีน–ฮ่องกง
  • โฟกัสพื้นที่ EEC: 74,792 ล้านบาท (33% ของ FDI)
  • ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8 เดือนแรก: 59,189 ราย (-4.25%) แต่ ทุนจดทะเบียนรวม 194,347 ล้านบาท (+4.24%)
  • ธุรกิจที่เติบโตเด่น: ขายส่งสินค้าทั่วไป (+51.18%), โรงแรม–รีสอร์ต–ห้องชุด (+44.79%), ขนส่ง–ขนถ่าย (+26.18%)

เช็กลิสต์ “ก้าวต่อไป” ที่สาธารณะติดตามได้

  1. เผยแพร่ ร่างแผน 5 ปี ต่อสาธารณะ พร้อมรับฟังความเห็นรอบ 2
  2. ตั้ง คณะทำงานคลัสเตอร์ (เศรษฐกิจ/โลจิสติกส์/ท่องเที่ยว/การศึกษา/วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม) พร้อมกรอบงาน 12 เดือน
  3. เปิด ศูนย์ข้อมูล Sister City ออนไลน์—รวมกฎระเบียบ–โอกาส–คู่มือธุรกิจชายแดน
  4. เปิด โครงการนำร่อง 3–5 รายการ ภายใน 6 เดือน (ท่องเที่ยวคุณภาพ, ศูนย์ข้อมูลโลจิสติกส์, U–Biz Buddy, Sandbox ธรรมาภิบาลข้ามแดน)
  5. ประกาศ KPI รายไตรมาส และรายงานผลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (DBD)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเชียงใหม่/ฝ่ายวิจัยที่เกี่ยวข้อง)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง / มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News