Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เตรียมรับมหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025

หนองหลวงต้องกลับมาหายใจ” อบจ.เชียงรายเร่งภารกิจกำจัดผักตบชวา 9,800 ไร่ เดินเกมยุทธศาสตร์น้ำ–ท่องเที่ยว เตรียมพื้นที่รองรับ “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 — หนองหลวง อำเภอเวียงชัย หมอกบางๆ ลอยเหนือผิวน้ำที่เคยสงบเงียบ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพจำผืนน้ำกว้างกว่า 9,800 ไร่ กลับค่อยๆ ถูกกลืนด้วยผักตบชวาและวัชพืชน้ำที่แพร่กระจายรวดเร็ว จนรุกล้ำทางน้ำและทับซ้อนพื้นที่ทำกินของชุมชน ความตื้นเขินและปัญหาการจัดการน้ำยืดเยื้อทำให้หลายครอบครัวรอบหนองหลวงต้องประคองชีวิตไปตามฤดูกาลน้ำที่ไม่แน่นอน

สัปดาห์นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เปิดปฏิบัติการกู้ชีพหนองหลวงอย่างจริงจัง ส่งเครื่องจักรกลหนักลงพื้นที่ พร้อมบุคลากรและน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเดินหน้า “รื้อ–แยก–ขน” ผักตบชวาออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ภารกิจภาคสนามดังกล่าวมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่กำกับงานตามมอบหมายของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย โดยมี พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองป้องกัน อบจ.เชียงราย รายงานสถานการณ์เชิงปฏิบัติการและความคืบหน้าหน้างานอย่างใกล้ชิด

แม้จะเป็นภาพ “งานหนัก” ของเครื่องจักร–คนงาน–เรือท้องแบนที่วิ่งรับส่งวัชพืชไม่หยุด แต่ในระดับยุทธศาสตร์ นี่คือการขับเคลื่อนที่โยงถึงทั้ง ความมั่นคงทางน้ำของชุมชน 3 ตำบล 2 อำเภอ, ความปลอดภัยจากอุทกภัย–ภัยแล้ง, และ การเตรียมความพร้อมพื้นที่จัดงานระดับภูมิภาค อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 (โซนอำเภอ) ซึ่งจะดึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นช่วงปลายปีและต้นปีถัดไป

ปมปัญหาที่สะสม จากวัชพืชสู่ภาวะน้ำตื้นเขิน และวงจรเศรษฐกิจท้องถิ่นที่สะดุด

หนองหลวงไม่ใช่เพียงผืนน้ำธรรมชาติ หากคือ “หัวใจน้ำ” ที่หล่อเลี้ยงไร่นา—ประมงพื้นบ้าน—ระบบนิเวศท้องถิ่น และเป็นพื้นที่นันทนาการของชุมชนมายาวนาน ปัญหาเกิดจากหลายปัจจัยซ้ำเติมกัน ได้แก่

  • การแพร่ระบาดของผักตบชวา ซึ่งขยายตัวรวดเร็วในช่วงน้ำอุ่นและน้ำหลาก ลอยอัดแน่นเป็นแพขวางทางน้ำ กระทบทั้งระบบนิเวศและการสัญจรทางเรือ
  • ตะกอนดินสะสม–การตื้นเขิน จากการชะล้างหน้าดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบหนองหลวง ทำให้ความสามารถกักเก็บน้ำลดลง
  • รูปแบบการจัดการน้ำที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ยามฝนมาก น้ำระบายไม่ทัน—เสี่ยงท่วม ยามแล้ง น้ำน้อยกว่าความต้องการ—เสี่ยงขาดแคลน

การตัดสินใจของ อบจ.เชียงราย ที่ “ลงมือเอง” ด้วยเครื่องจักรกลและกำลังคน จึงไม่ใช่เพียงการเคลียร์ผิวน้ำให้โล่งตา แต่หมายถึงการ คืนความจุน้ำ ให้แหล่งน้ำหลัก, การลดภัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อหมู่บ้านรอบหนองหลวง และการสร้าง “เวลาชนะ” ให้ทีมวิศวกรท้องถิ่นเพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบต่อไป

จุดเชื่อมยุทธศาสตร์ น้ำ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก

โครงการนี้ชี้ให้เห็น “แนวคิดบูรณาการ” ที่จับต้องได้

  1. น้ำคือโครงสร้างพื้นฐานชีวิต — เมื่อกำจัดวัชพืชและเปิดทางน้ำ ความสามารถกักเก็บ–ผัน–ระบายของหนองหลวงจะกลับมาใกล้เคียงศักยภาพ ช่วยลดต้นทุนชาวนา–ชาวสวน ลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความมั่นใจในฤดูกาลเพาะปลูก
  2. ท่องเที่ยวเชิงนิเวศคือโอกาส — หนองหลวงมีภูมิทัศน์น้ำกว้าง เหมาะกับกิจกรรมดูนก พายเรือ ปั่นจักรยาน และท่องเที่ยวชุมชน เมื่อผิวน้ำสะอาด–แนวทัศน์เปิด–ระบบนิเวศฟื้น การจัดโซนกิจกรรมรองรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะทำให้หนองหลวงเป็น “หน้าต่างแรก” ที่นักท่องเที่ยวสัมผัส และกระจายรายได้สู่โฮมสเตย์–คาเฟ่–งานหัตถกรรมพื้นถิ่น
  3. ตอบนโยบายเร่งด่วนระดับชาติ — เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการเร่งกำจัดวัชพืชกีดขวางทางน้ำทั่วประเทศภายใน 1 เดือน พร้อมมาตรการความรับผิดชอบของหน่วยงานในพื้นที่ การลงมือของ อบจ.เชียงรายจึงเป็นทั้ง “คำตอบในพื้นที่” และ “ตัวอย่างความคล่องตัว” ที่สอดรับนโยบายกลางอย่างทันที

ภาพจากพื้นที่ เครื่องจักร–คน–เวลา ทำงานเป็นทีมเดียว

รถสะเทินน้ำสะเทินบก เป็นพระเอกของการปฏิบัติการรอบนี้ เพราะทำงานได้ทั้งบนบกและในน้ำ สามารถลาก–รวบรวม “แพผักตบ” มาขึ้นจุดคัดแยก ก่อนลำเลียงขึ้นรถบรรทุกไปกำจัดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม บางส่วนอาจถูก “อัดก้อน–หมัก” เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับชุมชนเกษตรรอบหนองหลวง ลดภาระค่าขนทิ้งและ “ปิดวงจรของเสีย” ให้เป็นทรัพยากรใหม่

กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เป็นแกนกลางภาคสนาม จัดคิวเครื่องจักร, คุมความปลอดภัย, ประสานผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสาสมัครท้องถิ่นร่วมปิดกั้นพื้นที่เสี่ยง เวลาเครื่องจักรขึ้นลงตลิ่ง และกำหนด “ทางน้ำชั่วคราว” ให้เรือชาวบ้านและเรือประมงสัญจรได้ระหว่างทำงาน เพื่อลดผลกระทบต่ออาชีพเดิมให้มากที่สุด

ทำไมต้องทำ “ตอนนี้” หน้าฝน–หน้าท่องเที่ยว–หน้าต่างเศรษฐกิจ

ช่วงปลายฤดูฝนต่อเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวปลายปี เป็น จังหวะดีที่สุด สำหรับการถอนทัพวัชพืชครั้งใหญ่ เหตุผลสำคัญคือ

  • แรงกระแสน้ำชะช่วยระบาย ระหว่างเคลื่อนย้าย ทำให้แพผักตบแตกออกง่าย ลดต้นทุนแรงงาน
  • ก่อนเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว การเคลียร์พื้นที่ล่วงหน้าจะเปิดทัศนียภาพและความปลอดภัยทางน้ำรับนักท่องเที่ยว
  • ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ผักตบขวาง “ท่อ–สะพาน–คันกั้น” ซึ่งเคยทำให้หมู่บ้านรอบหนองหลวงเจอน้ำเอ่อ

ในมุมของการตลาดท่องเที่ยว ภาพ “ผืนน้ำโล่ง–ฟ้ากว้าง–แนวต้นไม้สีเขียว” คือสื่อทรงพลังสำหรับแคมเปญ เชียงราย–เวียงชัย เมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่สามารถเชื่อมทริปเข้ากับเส้นทางวัฒนธรรม–อาหารเหนือ–โฮมสเตย์–สินค้า OTOP และ “ความงามของไม้ดอก” ในงานอาเซียนปี 2025 ได้อย่างลงตัว

ปฏิบัติการนี้คือ “สะพาน” สู่การบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม

การกำจัดผักตบเป็น เพียงจุดเริ่ม ของการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน ภาพใหญ่ที่ควรเดินต่อไปมีอย่างน้อย 4 มิติ

  1. ผังน้ำชุมชน (Community Water Map) — บันทึกจุดสะสมผักตบ–คอขวด–ทิศทางลม–ทางน้ำหลาก เพื่อกำหนด จุดดัก–ลาก–คัดแยก” ถาวร ลดการกลับมาของผักตบและแรงงานซ้ำซ้อน
  2. เขื่อนดิน–แก้มลิงขนาดเล็ก — เสริมความสามารถกักเก็บช่วงน้ำมากให้ชุมชนใช้ยามแล้ง โดยไม่รบกวนสมดุลนิเวศของหนองหลวง
  3. การจัดการเศษวัชพืชครบวงจร — ผลักดันกลไกชุมชน–เอกชนจิ๋วทำ “ปุ๋ยอินทรีย์–อาหารสัตว์–งานหัตถกรรม” จากวัชพืช ช่วยสร้างรายได้เสริมและลดค่าใช้จ่ายกำจัดทิ้ง
  4. ระบบเตือนภัยน้ำ–ข้อมูลเปิด — สร้างแดชบอร์ดออนไลน์ระดับอำเภอ แสดงข้อมูลระดับน้ำ–จุดเสี่ยง–สถานะงานกำจัดผักตบแบบรายสัปดาห์ เปิดให้เกษตรกร–ผู้ประกอบการเข้าถึง เพื่อวางแผนเพาะปลูกและกิจกรรมท่องเที่ยวได้แม่นยำ

หาก 4 มิตินี้ถูกต่อเข้ากับ งบลงทุนท้องถิ่น–ภาคีเครือข่ายรัฐ–มหาวิทยาลัย–เอกชน หนองหลวงจะไม่ใช่ “งานประจำฤดูกาล” แต่เป็น ห้องเรียนธรรมชาติ–ทรัพย์สินสาธารณะ” ที่ดูแลร่วมกันอย่างมีข้อมูลและมีส่วนร่วม

ความเกี่ยวโยงระดับประเทศ นโยบายเร่งกำจัดวัชพืชของรัฐบาลคือ “หลังพิง” ของท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่ตรวจการบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท พร้อมสั่งการชัดเจนให้หน่วยงานชลประทานทั่วประเทศ เร่งกำจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำภายใน 1 เดือน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์หน้างานและมาตรการความรับผิดชอบผู้ดูแลพื้นที่โดยตรง นโยบายนี้เป็น หลังพิง” สำคัญให้ อบจ.–เทศบาล–อบต. ใช้อำนาจและทรัพยากรแก้ปัญหาแบบทันการณ์ ลดขั้นตอนที่เคยทำให้งานสนามล่าช้า

สำหรับเชียงราย นโยบายดังกล่าวช่วย ปลดล็อกกำลังคน–เครื่องจักร–งบเชื้อเพลิง ให้ลงไปที่หนองหลวงได้เร็วขึ้น อีกด้านยังทำให้การประสาน กรมชลประทาน–สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ–กรมเจ้าท่า เดินบนฐานอำนาจร่วมที่ชัดเจน ทั้งหมดนี้เพิ่มโอกาสให้ “งานน้ำ” ของจังหวัดเดินต่อได้โดยไม่สะดุด

 “ทำให้เห็น” คือคำอธิบายที่ดีที่สุด

แม้ข่าวนี้ไม่ได้มีถ้อยคำให้สัมภาษณ์ยาวจากผู้บริหาร แต่ “ข้อเท็จจริงภาคสนาม” สะท้อนเจตนารมณ์ชัดเจน—การมอบหมายของนายก อบจ.เชียงรายให้รองนายกลงตรวจงาน, รายงานความคืบหน้าโดยกองป้องกันฯ, และการจัดสรรเครื่องจักร–เชื้อเพลิง–บุคลากร ล้วนคือการ “ทำให้เห็น” มากกว่า “พูดให้ฟัง” และเป็นธรรมดาที่งานใหญ่แบบนี้จะต้องสื่อสารต่อเนื่อง ทั้งความก้าวหน้า–แผนการรื้อผักตบในจุดถัดไป–มาตรการความปลอดภัย–ช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะจากชุมชน

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ตัวชี้วัดสั้น–กลาง–ยาว

ระยะสั้น (0–3 เดือน)

  • พื้นที่ผิวน้ำหลักของหนองหลวงโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เส้นทางเรือประมงพื้นบ้านปลอดภัย
  • จุดคอขวดระบายน้ำรอบหมู่บ้านลดความเสี่ยงน้ำเอ่อ
  • พื้นที่นำร่องจัดกิจกรรมของ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 พร้อมปรับภูมิทัศน์

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ความสามารถกักเก็บน้ำของหนองหลวงเพิ่มขึ้น เกษตรกรรอบหนองหลวงมีน้ำใช้ช่วงฤดูแล้ง
  • เริ่มมีผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัชพืช (ปุ๋ยอินทรีย์/งานจักสาน)
  • ดัชนีความพึงพอใจของชุมชนต่อสภาพแวดล้อมน้ำดีขึ้น

ระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป)

  • ผังน้ำชุมชน–จุดดักวัชพืชถาวร–ระบบข้อมูลระดับน้ำทำงานเป็นวาระปกติ
  • หนองหลวงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวเชียงรายฝั่งตะวันออก
  • ต้นทุนสาธารณะในการกำจัดวัชพืชลดลง เพราะระบบป้องกัน–คัดแยกเชิงรุกเริ่มเห็นผล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย–ปฏิบัติการ (สำหรับหน่วยงานและชุมชน)

  1. ตั้งคณะทำงาน “หนองหลวงคลีนแอนด์กรีน” ระดับอำเภอ ร่วม อบจ.–อำเภอ–เทศบาล/อบต.–ผู้นำชุมชน–สถาบันการศึกษา เพื่อคุมแผนรายไตรมาส กำหนดตัวชี้วัดร่วม และรายงานความคืบหน้าสาธารณะ
  2. ออกแบบ “จุดดักวัชพืช” และลานคัดแยกเชิงวิศวกรรม ลดต้นทุนการลากยาวและเสี่ยงอุบัติเหตุ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยแรงงาน
  3. พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนจากผักตบ จัดอบรมแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์–ของใช้จักสาน สร้างรายรับเสริมให้กลุ่มสตรี/เยาวชน และทำสัญญาซื้อคืนขั้นต่ำกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้วงจรธุรกิจเล็ก “ตั้งลำ” ได้จริง
  4. สื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง แสดงแผนที่จุดทำงาน, ปริมาณวัชพืชที่กำจัดได้, ภาพเปรียบเทียบก่อน–หลัง, และขั้นต่อไป เพื่อให้ประชาชนเห็นความคืบหน้าและร่วมเป็นหูเป็นตา
  5. เชื่อมแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศกับงานไม้ดอกอาเซียน จัดเส้นทางทดลองพายเรือ/ดูนก/ค่ายสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงเรียน วางมาตรฐานการใช้พื้นที่ (carrying capacity) เพื่อปกป้องระบบนิเวศควบคู่การท่องเที่ยว

จาก “ภารกิจเชิงรุก” สู่ “สัญญาใจต่อแหล่งน้ำของเรา”

หนองหลวงคือทรัพย์สินสาธารณะที่สะท้อนความรุ่งเรืองของเมืองน้ำ–เมืองเกษตร–เมืองท่องเที่ยว การกำจัดผักตบชวาครั้งนี้เป็น “สัญญาใจ” ระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับประชาชนว่า เชียงรายจะไม่ปล่อยให้แหล่งน้ำใหญ่ของตนหายใจติดขัดอีก และจะใช้โอกาสจากงานระดับอาเซียนในปี 2025 เป็นเวทีประกาศว่า “เราดูแลบ้านของเราได้” ด้วยมาตรฐานงานภาคสนามที่แน่น, แผนข้อมูลที่โปร่งใส, และการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

หากทำได้ตามแผน หนองหลวงจะกลับมาเป็น อ่างเก็บน้ำธรรมชาติ–ห้องเรียนกลางแจ้ง–ลานวัฒนธรรมของชุมชน” ในคราวเดียวกัน และเมื่อฟ้าเปิด น้ำโล่ง นักท่องเที่ยวเห็นทัศนียภาพสะท้อนท้องฟ้าเหนือเชียงราย ภาพความพยายามนับพันชั่วโมงของคนทำงานภาคสนามจะเปลี่ยนเป็น รายได้–รอยยิ้ม–ความภูมิใจ ของทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ/กรมชลประทาน
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายผงาด! ค้าปลีกโตสวนเศรษฐกิจภาคเหนือ ด้วยพลังโลจิสติกส์ชายแดน

ค้าปลีกเชียงรายโตสวนกระแสเศรษฐกิจเหนือ เบื้องหลังตัวเลข “+1.7% QoQ” ในไตรมาส 2/2568 จากแรงอัดฉีดรัฐ–พลังการค้าชายแดน และบททดสอบครึ่งปีหลัง

เชียงราย, 3 ตุลาคม 2568 — กลางบรรยากาศค้าขายคึกคักบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก รถบรรทุกผลไม้และสินค้าอุปโภคบริโภคทยอยผ่านเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ร้านค้าปลีก–ค้าส่งตลอดแนวชายแดนชูโปรโมชันรับลูกค้าชาวไทย–เมียนมา–ลาว ในช่วงเวลาที่หลายจังหวัดภาคเหนือยังจับจ่ายระมัดระวังมากขึ้น ตัวเลข “ขายดีผิดคาด” ของเชียงรายถูกยืนยันด้วยรายงานผลสำรวจเบื้องต้นของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ว่าใน ไตรมาส 2 ปี 2568 ธุรกิจการขายปลีกสินค้าและงานบริการของจังหวัด ขยายตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อน (+1.7% QoQ)

ตัวเลขดังกล่าวโดดเด่นด้วยสองเหตุผลสำคัญ หนึ่ง—มันสวนทางกับ “สัญญาณชะลอ” ของการบริโภคในภาคเหนือโดยรวมที่เริ่มอ่อนแรงลง และสอง—มันเผยให้เห็น “โครงสร้างแรงขับ” ที่ไม่ได้มาจากกำลังซื้อครัวเรือนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก การเร่งตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ และ ความแข็งแกร่งของการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองปัจจัยสะท้อนบทบาทของเชียงรายในฐานะ “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ของล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้

เลนส์ตัวเลข โตจาก “รายรับรวม” ขณะ “สต็อก” ประเทศลดลง

ข้อมูลภาพรวมจาก “การสำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” ของ สสช. ระบุว่ามูลค่ายอดขาย/รายรับรวมของธุรกิจค้าปลีกและบริการในประเทศ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน มูลค่าสินค้าคงเหลือของธุรกิจค้าปลีกโดยรวมลดลง 2.8% QoQ สะท้อนการระบายสต็อกที่ดีขึ้นในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดที่ก่อนหน้าเผชิญต้นทุนและภาวะระบายสินค้าช้าจากเศรษฐกิจอ่อนแรง

หาก “ซูม” มาที่เชียงราย รายได้ค้าปลีก/บริการที่ทยอยดีขึ้นสอดรับกับกิจกรรมเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะ กิจกรรมโลจิสติกส์–เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น “ห่วงโซ่ตามน้ำ” ของโครงการลงทุนสาธารณะและการค้าข้ามแดน ยิ่งเมื่อประกอบกับฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวไตรมาส 2 ยิ่งช่วยประคองกิจกรรมบริการให้เป็นบวก

เบื้องหลังการเติบโต ไม่ใช่ “ฟื้นกำลังซื้อ” แต่คือ “อุปสงค์นำโดยรายจ่าย”

เมื่อเทียบกับจังหวะเศรษฐกิจภาคเหนือที่โดยรวมยังระวังการใช้จ่าย ตัวเลขของเชียงรายจึงชวนถามว่า “พลังอะไร” ขับเคลื่อน? คำตอบอยู่ที่ แรงอัดฉีดภาครัฐ และ แรงส่งจากการค้าชายแดน ที่เด่นชัดกว่าจังหวัดอื่น

  • ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายลงทุน ข้อมูลเศรษฐกิจภูมิภาคระบุว่า รายจ่ายภาครัฐของเชียงรายพุ่งขึ้นถึง +86.9% YoY ในช่วงไตรมาส 2 โดยมาจากงานลงทุนทางชลประทาน ทางหลวงชนบท และหน่วยงานท้องถิ่นจำนวนมาก เงินลงทุนเหล่านี้ไหลเข้าระบบผ่านค่าแรง–ค่าวัสดุ–ค่าน้ำมัน–ค่าขนส่ง จนเกิด “แรงคูณ” ไปยังค้าปลีกและบริการในพื้นที่
  • การค้าชายแดนยังแข็งแรง มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนของเชียงราย ขยายตัวราว +15.0% ในไตรมาสเดียวกัน สินค้าเด่นคือ ผลไม้สด (ทุเรียน–มังคุด) ไปจีน, น้ำมันเชื้อเพลิง ไป สปป.ลาว, รวมถึง รถยนต์–ปูนซีเมนต์ ตัวเลขดังกล่าวย้ำบทบาทเชียงรายในฐานะโหนดโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ร้านค้าปลีก–ปั๊มน้ำมัน–ศูนย์บริการยานยนต์–โกดังสินค้า รับอานิสงส์ตรง

กล่าวอีกทางหนึ่ง การเติบโตของเชียงรายในไตรมาส 2/2568 เป็นการโตแบบ “Expenditure-led” คือขับโดยรายจ่ายลงทุนและการค้า ไม่ใช่ “Income-led” ที่เกิดจากรายได้ครัวเรือนขยายฐาน กรอบคิดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดเชียงรายจึง “ตัดขาด” จากภาพรวมภาคเหนือบางส่วน และทำไมตัวเลข +1.7% QoQ จึงยืนได้แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคไม่ฟื้นชัด

ภาพภาคบริการ โรงแรม–อาหาร–เดินทาง ช่วยพยุงโมเมนตัม

ฝั่งบริการ ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ขยับดีขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาส 2 และกิจกรรมประชุม–สัมมนา–งานอีเวนต์ของหน่วยงานรัฐ–เอกชนที่มากขึ้น โรงแรมในเมือง–ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวง–บริเวณแม่สาย–เชียงแสน รายงานอัตราเข้าพักคงที่ถึงดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ธุรกิจเดินทางและซ่อมบำรุงยานยนต์ได้ “แรงเสริม” จากปริมาณรถบรรทุก–รถตู้รับส่งตามแนวชายแดน

อย่างไรก็ดี ภาคท่องเที่ยวเชียงรายยังต้องจับตา “ฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติ” โดยเฉพาะตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศที่อาจกดดันการตัดสินใจเดินทาง หากฐานต่างชาติไม่ฟื้นแรง รายได้ฝั่งบริการอาจต้องพึ่งพาตลาดในประเทศและกลุ่มอาเซียน–เกาหลีใต้มากขึ้น

มองลึกพฤติกรรมค้าปลีก ใครได้ประโยชน์มากสุด?

เมื่อลอง “แยกชั้น” ภูมิทัศน์ค้าปลีกในเชียงราย จะพบสัญญาณสองด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

  1. ค้าปลีกเชิงพาณิชย์–โครงสร้างพื้นฐาน ได้อานิสงส์ตรงจากงานรัฐและการค้า ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์โลจิสติกส์ อะไหล่–บริการยานยนต์ หมวดเหล่านี้หมุนเงินไว กำไรต่อหน่วยไม่สูง แต่ยอดรวมขับดันรายรับทั้งจังหวัด
  2. ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โตแบบค่อยเป็นค่อยไปและแข่งขันสูง การขยายสาขาของผู้เล่นรายใหญ่ในจังหวัดยิ่งกระตุ้น “การแข่งขันด้านราคา–ต้นทุน” ผู้ค้ารายย่อยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเรื่องบริหารสต็อก–ช่องทางดิจิทัล–ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (niche) เพื่อรักษาฐานลูกค้าในย่านชุมชน

ในภาพรวมจึงเห็น “แนวโน้มควบรวมตลาดเงียบ ๆ” (market consolidation) ที่ยอดขายรวมขยับขึ้น แต่สัดส่วนกลับไหลไปหาผู้ประกอบการที่บริหารต้นทุนและซัพพลายเชนได้มีประสิทธิภาพกว่า

สัญญาณเตือนครึ่งปีหลัง แรงส่งงบลงทุนเริ่มบาง กำลังซื้อพื้นฐานชะลอ

แม้ Q2 จะ “สวย” แต่ H2/2568 ของเชียงรายมีโจทย์ยากอยู่ 3 ประการ

  1. แรงอัดฉีดภาครัฐมีแนวโน้มกลับสู่ระดับปกติ — การเบิกจ่ายระดับ +86.9% YoY เป็นจังหวะเร่งพิเศษ หากเข้าสู่ช่วงปรับสมดุล ไตรมาสถัดไปกิจกรรมตามน้ำ (เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ขนส่ง) อาจชะลอตัวตาม
  2. กำลังซื้อพื้นฐานอ่อนแรง — ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนในภาคเหนือชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนการระวังใช้จ่ายของครัวเรือนและรายได้ภาคเกษตรที่ไม่สดใส หากไม่มีมาตรการกระตุ้นใหม่ รายจ่ายครัวเรือนด้านสินค้าฟุ่มเฟือยอาจถูกเลื่อนออก
  3. ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์–ท่องเที่ยวต่างชาติ — ข่าวเชิงลบด้านความปลอดภัย/เสถียรภาพส่งผลต่อการรับรู้ต่างชาติ หากตลาดจีนชะลอยืดเยื้อ รายได้ฝั่งบริการจะถูกท้าทายมากขึ้น

เมื่อตัวเลขยอดขายรวมเติบโตจาก “อุปสงค์ภายนอก” มากกว่า “รายได้ครัวเรือน” จึงต้องระวัง ความเสี่ยงสต็อกล้น ในหมวดอุปโภคบริโภค หากผู้ค้า “สั่งของตามความรู้สึกว่าขายดี” แต่ฐานลูกค้าจริงยังย่อส่วน

เมื่อข้อมูลประเทศชี้ “ลดลง 2.8%” ธุรกิจเชียงรายควรอ่านอย่างไร

ข้อมูล สสช. ระบุว่า มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศลดลง 2.8% QoQ หมายถึงหลายธุรกิจเลือก “เบาเหมาะ–เร็วพอ” ในการตุนสินค้า กระแสนี้ควรถูกนำมาใช้ที่เชียงรายด้วยหลัก 3 ข้อ

  1. อ่านจังหวะโครงการรัฐ/งานชายแดนให้ขาด — สินค้าตามน้ำ เช่น วัสดุก่อสร้าง–เชื้อเพลิง–อุปกรณ์โลจิสติกส์ ควร “รีสต็อกแบบหมุนไว” ผูกโยงกับแผนงานภาครัฐ–เทศบาล–รัฐวิสาหกิจ และตารางส่งออกผลไม้ผ่านแดน เพื่อหลีกเลี่ยงการตุนเกินจำเป็น
  2. แยกหมวดฟุ่มเฟือย–จำเป็น — หมวดจำเป็น (อาหาร–ยา–ของใช้ประจำ) ปรับสต็อกแบบปลอดภัย แต่หมวดฟุ่มเฟือย (ไฟฟ้าบางชนิด–ของใช้เพื่อไลฟ์สไตล์) ควร “รอคำสั่งซื้อ” มากกว่า “สั่งตุน” เพื่อรักษาเงินสด
  3. ใช้ข้อมูลดิจิทัลบริหารสต็อก — เชื่อมข้อมูล POS/ออนไลน์–ออฟไลน์ ให้เห็นรอบหมุนสินค้า (inventory turns) รายวัน/สัปดาห์ ลดดีมานด์ฟอร์แคสต์แบบเดาใจลูกค้า

เพื่อให้การเติบโต 1.7% “ต่อยอด” ไม่ใช่ “ชั่วคราว”

สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีก–บริการ

  • บริหารสภาพคล่อง–สต็อกแบบอนุรักษ์นิยม ใน Q3–Q4/2568 โฟกัสหมวดที่ขายเร็ว เกี่ยวข้องโครงการรัฐ–ชายแดน พร้อมแผนระบายสต็อก (promotion playbook) หากกำลังซื้อสะดุด
  • เสริมช่องทางดิจิทัล–ข้ามแดน ปรับสัดส่วนยอดขายไปยังอีคอมเมิร์ซ B2B/B2C และพาร์ตเนอร์โลจิสติกส์ชายแดน ขายยกลัง/สัญญาระยะสั้นแทนหน้าร้านอย่างเดียว
  • ลงทุน “ความต่าง” สินค้าเฉพาะถิ่น–สุขภาพ–เกษตรปลอดภัย–ของฝากคุณภาพ ช่วยกันแรงกดดันด้านราคา และจับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่พักค้าง
  • บริหารต้นทุนอย่างมีวินัย เจรจาซัพพลายเออร์–รวมคำสั่งซื้อ–ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดแรงบีบกำไรขั้นต้นในช่วงแข่งขันราคา

สำหรับหน่วยงานรัฐในจังหวัด

  • คงความต่อเนื่องของโครงสร้างพื้นฐาน–จุดผ่านแดน ดูแลความคล่องตัวด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ เพิ่มประสิทธิภาพพิธีการศุลกากร–โลจิสติกส์
  • สื่อสารความปลอดภัย–ความสงบ บริหารความเชื่อมั่นเชิงรุก โดยจับมือ ททท.–หอการค้า–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว สร้างแคมเปญเจาะตลาดที่ยืดหยุ่น เช่น เกาหลีใต้–มาเลเซีย พร้อมฟื้นภาพลักษณ์ตลาดจีนอย่างมีแผน
  • ข้อมูล–อินไซท์เข้าถึงได้ สนับสนุนแดชบอร์ดข้อมูลค้าปลีก–ชายแดน–นักท่องเที่ยวรายเดือน เพื่อให้เอกชนวางสต็อก–โปรโมชันตรงจังหวะ
  • ยกระดับทักษะดิจิทัล–โลจิสติกส์ สำหรับ SMEs ท้องถิ่น เช่น โปรแกรมย่อส่วน “E-commerce Export Readiness” และการเงินหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยเป็นธรรม

เสียงจากพื้นที่ ภาคเอกชนมอง “ชัด–เฉียบ–เชื่อม”

ผู้ประกอบการค้าปลีกย่านแม่สายสะท้อนคล้ายกันว่า “ลูกค้าดีขึ้นจากรถสินค้าข้ามแดน–แรงงานงานก่อสร้างในพื้นที่ แต่รายจ่ายครัวเรือนทั่วไปยังบีบ” ขณะที่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในเชียงของมองการค้าผ่านแดนไปจีนตอนใต้ “ทรงตัวถึงขยายเล็กน้อย” หากด่านลื่นไหล–เอกสารดิจิทัลเชื่อมกันได้มากขึ้น “รอบหมุน” จะดีต่อเนื่องและส่งผ่านมายังค้าปลีกปลายทาง

 “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ที่ต้องรักษาสมดุล

ตัวเลข +1.7% QoQ ของเชียงรายคือ “การพิสูจน์ศักยภาพของเมืองชายแดน” ว่าเมื่อรัฐเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานและด่านการค้าทำงานคล่อง เศรษฐกิจท้องถิ่นสามารถ “ต้านแรงเฉื่อย” ของวัฏจักรบริโภคภูมิภาคได้ อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของโมเมนตัมนี้ขึ้นอยู่กับ สามสมดุล ที่ต้องรักษาให้ได้พร้อมกัน

  1. สมดุลรายได้–รายจ่าย จากโตด้วยรายจ่ายรัฐ สู่โตด้วยรายได้ครัวเรือน—ต้องเร่งยกระดับผลิตภาพ–ทักษะ–งานบริการคุณภาพ เพื่อให้กำลังซื้อฐานรากฟื้นจริง
  2. สมดุลค้าปลีก–ชุมชน การขยายของผู้เล่นรายใหญ่ควรเดินคู่การยกระดับร้านชุมชน ให้มีดิจิทัล–โลจิสติกส์–สินค้าคุณภาพ สร้างระบบนิเวศที่อยู่ร่วมกันได้
  3. สมดุลชายแดน–ภาพลักษณ์ ความคล่องตัวด่านและความปลอดภัยท่องเที่ยวคือ “สองคานงัด” ที่ต้องแข็งพร้อมกัน เพื่อให้เชียงรายรักษาฐานค้าชายแดนและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

หากทุกฟันเฟืองหมุนสอดประสาน เชียงราย จะไม่เพียง “โตสวนทาง” ชั่วคราว แต่สามารถยืนระยะในฐานะ ศูนย์กลางค้าปลีก–บริการชายแดน ของภาคเหนือ ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอให้ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ยั่งยืน

ไฮไลต์ตัวเลขที่ต้องจำ

  • ค้าปลีก/บริการเชียงราย Q2/2568 +1.7% QoQ (รายรับรวม)
  • สินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศ Q2/2568 –2.8% QoQ
  • รายจ่ายภาครัฐเชียงราย เร่งตัว +86.9% YoY (หนุนกิจกรรมตามน้ำ)
  • มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนเชียงราย ขยาย ประมาณ +15.0%
  • ความท้าทาย H2/2568 แรงส่งงบลงทุน “จาง”; การบริโภคพื้นฐาน “อ่อน”; ความเสี่ยงภาพลักษณ์ท่องเที่ยว “ยังมี”

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (Actionable)

ผู้ประกอบการ

  • ปรับสต็อกให้ “หมุนไว–เสี่ยงต่ำ” โฟกัสสินค้าตามน้ำโครงการรัฐ–ชายแดน
  • เร่ง “อีคอมเมิร์ซ–B2B ชายแดน” และสร้างสินค้าเฉพาะถิ่นเพิ่มมูลค่า
  • ทำ “ต้นทุนแจ่ม–ข้อมูลชัด” ใช้แดชบอร์ดขายรายสัปดาห์ตัดสินใจโปรโมชัน

ภาครัฐจังหวัด

  • คงความลื่นไหลด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ และระบบเอกสารดิจิทัล
  • สื่อสารความปลอดภัยเชิงรุก ร่วม ททท.–ผู้ประกอบการ
  • เปิดข้อมูลเชิงลึกค้าปลีก–ท่องเที่ยวรายเดือน ให้เอกชนใช้วางแผนสต็อก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – เอกสารสรุปผล “สำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” และอินโฟกราฟิกประกอบ:
    • มูลค่ายอดขาย/รายรับรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568
    • มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกลดลง 2.8% QoQ ในไตรมาส 2/2568
      (อ้างอิงจากเอกสารภาพประกอบทางการของ สสช. ที่ผู้สื่อข่าวได้รับ)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคเหนือ – รายงานภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือระยะใกล้ ที่ชี้ว่า
    • การบริโภคภาคเอกชนภาคเหนือ “ชะลอลง/หดเล็กน้อย” ในไตรมาส 2/2568
    • การลงทุนภาครัฐในเชียงรายเร่งตัวสูง โดยมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (ชลประทาน–ทางหลวงชนบท–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
    • แนวโน้มไตรมาส 3/2568 มีความเสี่ยงชะลอตัวต่อเนื่อง
      (เอกสารรายงานเศรษฐกิจภูมิภาค ธปท. สำนักงานภาคเหนือ งวดล่าสุดที่เผยแพร่สาธารณะ)
  • กระทรวงพาณิชย์/สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และกรมศุลกากร (ด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) – สถิติการค้าชายแดนและผ่านแดนที่สะท้อนการขยายตัวในไตรมาส 2/2568 ราว +15% โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้ น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และวัสดุก่อสร้าง
    (ข้อมูลภาพรวมการค้าชายแดนของจังหวัดและรายด่านที่เปิดเผยต่อสาธารณะ/รายเดือน)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – บทวิเคราะห์แนวโน้มท่องเที่ยวปี 2568 และความเสี่ยงจากประเด็นภาพลักษณ์ความปลอดภัยของไทยที่อาจฉุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลง (ประเมินหดตัวราว 2–3% YoY) และผลต่อรายได้ท่องเที่ยวภูมิภาคเหนือ
    (รายงานคาดการณ์และบทวิเคราะห์ฉบับล่าสุด ณ ช่วงไตรมาส 2–3/2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงม่วนคว้าแชมป์ อปท.ดีเด่น 4.23 ล้านบาท โมเดลธรรมาภิบาลล้านนา

เชียงม่วน”ขึ้นแท่นต้นแบบธรรมาภิบาลท้องถิ่นล้านนา เบื้องหลังชัยชนะอันดับ 1 เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท และบทเรียนสู่การยกระดับ อปท. ทั่วประเทศ

พะเยา, 3 ตุลาคม 2568 – แสงไฟจากเวทีแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สะท้อนประกายความภูมิใจไปถึงชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในดินแดนล้านนา—เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา เมื่อ นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน ก้าวขึ้นรับ รางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประเภทโดดเด่น ชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อม เงินรางวัล 4,233,600 บาท จากมือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางสายตาผู้บริหาร อปท. จากทั่วประเทศกว่า 250 หน่วยงานที่เข้าร่วมในฐานะผู้ได้รับรางวัลปีนี้

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 พิธีมอบรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประกาศ “ใครทำได้ดี” หากแต่เป็นการยืนยันว่าระบบการบริหารภาครัฐระดับฐานรากของไทย เดินหน้าเข้าสู่มาตรฐานธรรมาภิบาลเชิงรูปธรรม—โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีโครงสร้างท้องถิ่นหนาแน่นและความต้องการบริการสาธารณะหลากหลาย การที่เชียงม่วน “ทะยานเป็นที่หนึ่ง” จึงมีนัยยะแห่งความหวังต่อจังหวัดรอบข้างอย่าง เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และต่อทั้งภูมิภาคเหนือที่ต้องการโมเดลต้นแบบสำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านงานท้องถิ่นที่มีมาตรฐาน

จากเวทีระดับชาติสู่หมู่บ้านริมโขง ทำไม “เชียงม่วน” จึงคว้าอันดับ 1

คีย์เวิร์ดสามคำ ที่ทีมงานเชียงม่วนย้ำมาตลอดคือ ธรรมาภิบาล–ร่วมมือ–วัดผลได้” ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากแคมเปญที่หวือหวา หากมาจาก “งานประจำที่ทำอย่างไม่ประมาท” ตั้งแต่ระบบงบประมาณ การบริการประชาชน ไปจนถึงงานสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน โดยสรุปปัจจัยเชิงระบบที่ทำให้เชียงม่วนโดดเด่น มีอย่างน้อย 5 มิติ ดังนี้

  1. ธรรมาภิบาลและระบบการเงินการคลังเข้มแข็ง
    ก่อนมาถึงจุดนี้ อปท. ผู้ร่วมชิงรางวัลต้องผ่านกลไกคัดกรองหลายชั้น ตั้งแต่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ท. จนถึงการประเมินจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เพื่อยืนยันว่า “การใช้จ่ายและโครงการทุกชิ้น โปร่งใส–ตรวจสอบได้” เชียงม่วนจึงไม่ใช่เฉพาะ “ทำงานดี” แต่ “ทำดีอย่างมีหลักฐาน”
  2. การมีส่วนร่วมระดับชุมชน (People–Public Partnership)
    โมเดลการขับเคลื่อนนโยบายที่เชียงม่วนทำเป็นกิจวัตรคือ “ชวนประชาชนคิดตั้งแต่ต้นน้ำ” ผ่านเวทีรับฟัง แผนชุมชน และกลไกสภาเมืองเล็กๆ ที่จับต้องได้ จึงไม่ได้มีเพียงความเห็นชอบของผู้แทน แต่เป็น ฉันทมติร่วม ที่ทำให้การบริการสาธารณะไปถึง “ความทุกข์–ความสุขจริง” ของคนในพื้นที่
  3. บริหารแบบข้อมูลนำ (Data–Driven Local Government)
    ระบบติดตามความคืบหน้าโครงการ (dashboard) และตัวชี้วัดบริการสาธารณะทำให้ผู้บริหารเห็นคอขวดได้เร็ว เช่น งานถนน น้ำประปา ขยะมูลฝอย หรือการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เลือกใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยยึดหลัก “แก้ปัญหาที่มีผลต่อชีวิตประจำวันก่อน
  4. เชื่อมแผนจังหวัด–อำเภอ–ตำบล และพันธมิตรภาคประชาสังคม
    เชียงม่วนทำหน้าที่ “ฮับบูรณาการ” ประสานแผนกับจังหวัดพะเยาและอำเภอข้างเคียง รวมทั้งเครือข่ายชุมชนและภาคเอกชน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงเรียน–วัด–สถานประกอบการในพื้นที่ ทำให้โครงการเดินหน้าเร็วด้วยต้นทุนสังคมต่ำ
  5. พัฒนาคนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง (Local Talent First)
    ลงทุนกับ “คนทำงานด่านหน้า” ทั้งพนักงานส่วนท้องถิ่น อสม. อพปร. และอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อม จัดอบรมทักษะใหม่แบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ดิจิทัลเบื้องต้นจนถึงการสื่อสารความเสี่ยงภัยพิบัติ ขณะที่ประชาชนกลายเป็น “หุ้นส่วน” ของการป้องกันปัญหา มากกว่าจะเป็นเพียง “ผู้รับบริการ”

เมื่อยกเลนส์ไปส่องเกณฑ์การให้รางวัลระดับประเทศปีนี้—ที่มี 250 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลจากอนุกรรมการเฉพาะกิจ 52 รางวัล และกลุ่มที่ผ่านรอบสุดท้าย/ผ่านเกณฑ์ตามหลักเกณฑ์จัดสรรเงินอุดหนุนรวม 198 รางวัล—จะเห็นว่า เชียงม่วน ชนะในหมวดโดดเด่นของเทศบาลตำบล” ซึ่งเป็นสนามที่การแข่งขันดุเดือดที่สุด เพราะมีจำนวนหน่วยงานมากและงานบริการกระทบชีวิตผู้คนโดยตรง ตั้งแต่น้ำ ไฟ ถนน ไปจนถึงกิจกรรมผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสิ่งแวดล้อม

นายกฯ เน้น “อปท. คือหน่วยแรกที่แตะหัวใจประชาชน” – นายกสุเมธีตอบรับ “รางวัลนี้เป็นของทุกคน”

บนเวที นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำกลางห้องประชุมว่า อปท. คือกลไกที่ ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และเป็น “ด่านหน้า” ของรัฐในการบรรเทาความเดือดร้อน ส่งต่อปัญหา และสื่อสารนโยบาย “เพื่อให้เกิดความกินดีอยู่ดี” ข้อความสำคัญคือ รางวัลในวันนี้ต้องเป็นทั้ง แรงจูงใจและแรงบันดาลใจ ให้ท้องถิ่นทั่วประเทศรักษาความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับการทำงานอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายสุเมธี คำลือ กล่าวหลังรับรางวัลว่า “รางวัลนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นของชาวเชียงม่วนทั้งตำบล—คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา พนักงาน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจ ความเชื่อมั่นที่ทุกคนมอบให้ทำให้เรากล้าปรับปรุงงานประจำให้มีมาตรฐานขึ้นทุกปี” พร้อมกันนั้น นายกสุเมธีได้รับเชิญขึ้นเวที PITCHING ถ่ายทอด “ถอดบทเรียนสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อแบ่งปันแนวทางให้ อปท. อื่นๆ นำไปปรับใช้

คีย์เมสเสจของเชียงม่วน การบริหารจัดการที่ดี = ธรรมาภิบาล + การมีส่วนร่วม + วัดผลได้ + ทีมงานแข็งแรง + ประชาชนร่วมมือ

เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท เงินก้อนนี้จะไม่ “นอนนิ่ง” แต่ขยับคุณภาพชีวิต

เงินรางวัล 4,233,600 บาท ที่เชียงม่วนได้รับ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ หากเป็น “เชื้อเพลิงสาธารณะ” ที่เทศบาลตั้งใจจะผลักให้เกิดผลลัพธ์ต่อชีวิตผู้คนอย่างรวดเร็ว รายการใช้จ่ายที่อยู่ในกรอบแนวคิดเบื้องต้น (ตามหลักเกณฑ์เงินอุดหนุนและแผนพัฒนาท้องถิ่น) ได้แก่

  • ยกระดับบริการขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญและมีคอขวด เช่น ระบบประปาชุมชน ถนนเชื่อมชุมชน และไฟส่องสว่างที่ปลอดภัย
  • เพิ่มสมรรถนะงานสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดแยกขยะต้นทาง–รถเข็นรีไซเคิลชุมชน–สวนสาธารณะขนาดย่อมสำหรับผู้สูงอายุ
  • ลงทุนในคน ผ่านหลักสูตรทักษะใหม่สำหรับพนักงานท้องถิ่นและเครือข่ายอาสาสมัคร เช่น การรับมือภัยพิบัติ–การสื่อสารสาธารณะ–ดิจิทัลภาครัฐ
  • โครงการต้นแบบการมีส่วนร่วม เช่น เวทีวางแผนชุมชน และงบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ในโครงการที่กระทบจำนวนประชาชนมาก

การจัดสรรเช่นนี้สะท้อน “หลักการคุ้มค่าต่อภารกิจ (Value for Mission)” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการให้รางวัลนี้เป็น แรงขับต่อเนื่อง ไม่ใช่ “เช็คใบเดียวแล้วจบ”

บทเรียนสำหรับจังหวัดรอบข้าง โดยเฉพาะ “เชียงราย” จะต่อยอดอย่างไรให้เกิดผลทั้งจังหวัด

แม้รางวัลนี้จะเป็นของจังหวัดพะเยา แต่ ผลสะเทือนเชิงบวก ส่งถึงจังหวัดคู่ขนานในโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคม อย่าง เชียงราย ซึ่งกำลังเร่งเครื่องขับเคลื่อนท้องถิ่นด้วยแนวคิดใหม่ เช่น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ, เมืองฟ้ามืด (Dark Sky), Wellness/Creative City และโลจิสติกส์ชายแดน การนำบทเรียนเชียงม่วนมาจับ “โจทย์พื้นที่เชียงราย” ทำได้อย่างน้อย 4 ทาง

  1. ยกระดับธรรมาภิบาลเชิงรุก
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเปิดท้องถิ่น (Open Local Data) สำหรับโครงการลงทุนหลัก—ถนน–ประปา–ขยะ–สาธารณสุข—เผยแพร่งบประมาณ ความคืบหน้า และผลลัพธ์ต่อคุณภาพชีวิต เพื่อให้ประชาชน “ร่วมติดตาม” ได้อย่างเป็นระบบ
  2. สร้างแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วม
    ใช้กลไก “งบมีส่วนร่วม” รายตำบล/เทศบาล นำร่องในโครงการที่กระทบคนหมู่มาก เช่น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย/ทางเท้า/ไฟทางเดิน/ลานสุขภาพ โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบ–โหวตโครงการ–ลงแรงตั้งแต่ต้นน้ำ
  3. พัฒนาทีมอาสาสมัครท้องถิ่นเข้มแข็ง
    เชื่อม อสม.–กู้ชีพ–อาสาสมัครสิ่งแวดล้อม–อาสาป้องกันภัย เข้ากับระบบตอบสนองภัยพิบัติและสุขภาพชุมชน โดยอบรมทักษะเฉพาะ (เช่น การสื่อสารภาวะวิกฤต, การใช้แอปแจ้งเหตุ, การเก็บข้อมูลพื้นที่เสี่ยง)
  4. ตั้งเป้า “รางวัลรวมจังหวัด”
    ผลักดันให้ อปท. ในเชียงรายเข้าสู่สนามรางวัล การบริหารจัดการที่ดี” พร้อมกันหลายหน่วย เพื่อสร้าง “เอฟเฟกต์แคสเคด” ให้การยกระดับมาตรฐานเกิดขึ้นเป็นเครือข่ายทั้งจังหวัด เกิดแรงจูงใจระหว่างกัน มีการแลกเปลี่ยนคู่พี่เลี้ยง–คู่นวัตกรรม

หากเชียงรายเดินตามรอย “เชียงม่วนโมเดล” บวกกับจุดแข็งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทุนทางวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–ชายแดน–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภูมิภาคเหนือจะได้เห็น กลุ่มเมืองท้องถิ่นมาตรฐานสูง” ที่ขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตได้จริงในระดับพื้นที่

เกณฑ์คัดเลือก “อปท.ดีเด่น” ปี 2568 บอกอะไรเรา

การได้รับรางวัลปีนี้สะท้อนว่า อปท. ผู้ชนะ สอดคล้องนโยบายรัฐบาลดิจิทัล–ข้อมูลเชื่อมโยงทั้งระบบ” ที่นายกรัฐมนตรีประกาศในสภาเมื่อ 30 กันยายน 2568 อย่างน้อย 3 แกนหลัก

  • ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ต้องเปิดเผยข้อมูล และผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยงานตรวจสอบอิสระ
  • สมรรถนะการบริหารและบริการสาธารณะ มีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcome) ไม่ใช่เฉพาะตัวชี้วัดกิจกรรม (Output)
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการต้อง “ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมติดตาม” ไม่ใช่เพียงทำเสร็จตาม TOR

นอกจากรางวัลใหญ่ที่เชียงม่วนได้รับ ยังมีการจัดสรรรางวัลรวม 250 รางวัล ครอบคลุมทั้ง หมวดดีเลิศ (เช่น เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองลำพูน และ อบจ.สตูล) และ หมวดโดดเด่น/ทั่วไป ในขนาดองค์กรต่างๆ สะท้อนว่ามาตรฐานไม่ได้ผูกติดกับ “องค์กรใหญ่เท่านั้น” หากองค์กรขนาดเล็กที่บริหารจัดการดีอย่างมีวินัยก็สามารถขึ้นแท่นได้เช่นกัน

 “ชนะแล้วทำอะไรต่อ” – จากเหรียญรางวัลสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เสียงเฮจากห้องประชุมจางลง แต่ “งานจริง” เพิ่งเริ่ม เชียงม่วนประกาศเจตนารมณ์ว่าจะใช้รางวัลเป็น คานงัด” ผลักโครงการเร่งด่วน 3 กลุ่มใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. ปลอดภัย–เข้าถึงได้ ปรับปรุงจุดเสี่ยงทางเดิน ทางม้าลาย ไฟทางเท้า และจุดมืดหน้าสถานศึกษา–ชุมชน ให้เป็นมาตรฐานเมืองมนุษย์เดินเท้า
  2. สิ่งแวดล้อม–สุขภาวะ โครงการคัดแยกขยะต้นทางครัวเรือน/ตลาด, สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) สำหรับผู้สูงอายุ, กิจกรรมสุขภาพชุมชนต่อเนื่อง
  3. รัฐดิจิทัลท้องถิ่น ขยายบริการเอกสารออนไลน์ นัดหมายงานราชการผ่านแอป/ไลน์ออฟฟิเชียล, เปิดฐานข้อมูลโครงการ (project tracker) ให้ประชาชนติดตามสถานะได้แบบเรียลไทม์

หากทำสำเร็จ นี่จะเป็น “วงจรคุณธรรม” ของการบริหารท้องถิ่น—โปร่งใส → ประชาชนเชื่อมั่น → ร่วมมือมากขึ้น → คุณภาพบริการดีขึ้น → สร้างความไว้วางใจต่อไปไม่รู้จบ

มุมมองเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้รางวัล “ไม่ใช่งานปีละครั้ง” แต่เป็น “มาตรฐานทุกวัน”

รางวัลคือแรงจูงใจ แต่ มาตรฐาน ต้องกลายเป็น “กิจวัตร” 3 แนวทางที่หน่วยกลางอย่าง กระทรวงมหาดไทย–กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และพันธมิตรควรผลักต่อเนื่อง ได้แก่

  • เอสคูล (S-Cool) ท้องถิ่น สร้างเครือข่าย “โรงเรียนพัฒนาผู้นำท้องถิ่น” อบรมหลักสูตรระยะสั้นให้ผู้บริหาร–ข้าราชการท้องถิ่นมองภาพเชิงยุทธศาสตร์ ใช้ข้อมูลตัดสินใจ และสื่อสารสาธารณะอย่างมืออาชีพ
  • มาตรฐานข้อมูลกลาง (Local Gov Open Schema) บังคับใช้โครงสร้างข้อมูลเปิดมาตรฐานเดียวกันสำหรับงบประมาณ โครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง และผลลัพธ์บริการ เพื่อให้เทียบเคียงกันข้ามจังหวัด/อปท. ได้
  • กลไกเงินอุดหนุนตามผลลัพธ์ (Outcome–Based Grant) จัดงบพิเศษให้โครงการที่พิสูจน์ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ชัด เช่น อัตราเกิดอุบัติเหตุลดลง คุณภาพน้ำ/อากาศดีขึ้น การเข้าถึงบริการสุขภาพชุมชนเพิ่มขึ้น

แนวทางเหล่านี้จะทำให้ “ความดี” ไม่ได้วัดเฉพาะวันรับรางวัล แต่เกิดขึ้น ทุกวัน ที่ประชาชนเปิดก๊อกน้ำสะอาด เดินบนทางเท้าที่ปลอดภัย และพิมพ์เอกสารราชการได้ด้วยตนเองจากโทรศัพท์มือถือ

จากเชียงม่วนถึงเชียงราย—และทั่วประเทศ

ชัยชนะของ เทศบาลตำบลเชียงม่วน คือข้อความเชิงบวกต่อทุกชุมชนล้านนา และต่อประเทศไทยว่า “ท้องถิ่นไทยทำได้” เมื่อยึดหลักธรรมาภิบาล บริหารบนข้อมูล และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือ ความเชื่อมั่น และ คุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นอย่างจับต้องได้

สำหรับ เชียงราย เมืองใหญ่ของล้านนาตอนบนที่กำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวคุณภาพ โลจิสติกส์ชายแดน และโมเดลเมืองน่าอยู่—บทเรียนเชียงม่วนคือ เข็มทิศ ให้เดินสู่มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ผ่านความร่วมมือของเทศบาล–อบต.–ชุมชน–ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สุดท้าย รางวัลที่เชียงม่วนรับในปี 2568 จะมีคุณค่ามากที่สุด หากมันจุดประกายให้ทุก อปท. ทำสิ่งธรรมดาให้ไม่ธรรมดา—เดินเอกสารให้เร็วขึ้นอีกนิด เปิดข้อมูลให้มากขึ้นอีกหน่อย ฟังประชาชนให้ลึกขึ้นอีกขั้น และตรวจสอบตนเองให้เข้มขึ้นอีกทุกวัน เพราะปลายทางของงานท้องถิ่น ไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่คือชีวิตของผู้คนที่ ปัดเป่าความทุกข์และเพิ่มความสุข” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย / กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) / สำนักงาน ป.ป.ช. / สำนักงาน ป.ป.ท.
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี / คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเร่งเครื่อง “เมืองฟ้ามืด” หวังคว้า Dark Sky Province แห่งแรกของไทย

เชียงราย เมืองฟ้ามืด” เมื่อราตรีคือทรัพยากรใหม่ ดันแผน Astro Tourism เชื่อม “Wellness City” และเศรษฐกิจชุมชน

เชียงราย, 2 ตุลาคม 2568 — ยามพลบค่ำบนสันเขาเชียงราย แถบดาวฤกษ์เริ่มค่อย ๆ โผล่พ้นม่านฟ้า หากชำเลืองให้ดี คุณจะเห็นกลุ่มดาวแมงป่องลากหางไปตามขอบฟ้าเหนือไร่ชา… ภาพธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้ คือ “สินทรัพย์” ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) กำลังตั้งใจเปลี่ยนให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจชุดใหม่ของจังหวัด ภายใต้นโยบาย เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ด้วยการผลักดันแนวคิด Chiang Rai Dark Sky หรือ “เมืองท้องฟ้ามืด” การอนุรักษ์ท้องฟ้ายามค่ำคืนจากมลภาวะทางแสง (Light Pollution) เพื่อยกระดับเป็นจุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ (Astro Tourism) อย่างเป็นระบบ

เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้หารือเชิงยุทธศาสตร์กับ ผศ.ดร.ธนายุทธ ช่างเรือนงาม และทีมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อวางกรอบปฏิบัติการผลักดัน “เชียงราย เมืองฟ้ามืด” สู่การขึ้นทะเบียนระดับพื้นที่จุดเริ่มต้นของการวางตำแหน่งจังหวัดให้โดดเด่นในตลาดท่องเที่ยวคุณภาพสูงของภูมิภาค

แสงที่มากเกินไปทำให้ “มองไม่เห็นมูลค่า”

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเผชิญโจทย์คล้ายกัน ไฟสวย กลายเป็น ไฟเสีย เมื่อการส่องสว่างขาดทิศทางและเข้มเกินจำเป็น นอกจากทำให้ชุมชนมองดาวไม่เห็นแล้ว ยังรบกวนระบบนิเวศ เสียพลังงานโดยใช่เหตุ และบั่นทอนสุขภาวะการนอนของผู้คน งานวิจัยนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อมเมืองชี้สอดคล้องกันว่า แสงสีขาวอุณหภูมิสูง (โทนฟ้า) รบกวนการหลั่ง เมลาโทนิน ฮอร์โมนควบคุมวงจรการนอนหลับ ขณะที่แสงโทนอุ่นและการใช้โคมไฟแบบบังคับทิศทาง (fully shielded) ช่วยลดผลกระทบได้อย่างมีนัยสำคัญ

เชียงราย ดินแดนของธรรมชาติบนพื้นที่สูงและชุมชนชาติพันธุ์ จึงเลือกเดินเกมกลับด้าน ลดไฟที่ไม่จำเป็น เพื่อ “จุดแสง” ให้เศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับพื้นที่ให้เป็น “ฟ้ามืด” ที่ได้มาตรฐานสากล ดึงดูดนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกระจายรายได้สู่รอบนอกในช่วง “นอกฤดูท่องเที่ยว” ที่ยาวนานกว่า 6 เดือนของปี

จุดตั้งต้นที่จับต้องได้ เชียงรายมี “ของจริง” แล้ว

จุดแข็งสำคัญคือ เชียงรายมีพื้นที่ต้นแบบที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่เอกชนแล้ว ได้แก่ ดอยตุง (สวนแม่ฟ้าหลวง) และพื้นที่ ฮ่อมลมจาย ซึ่งผ่านทั้งมาตรฐานการจัดการแสงสว่างและการเข้าถึงของสาธารณะในระดับที่ได้รับรองจากโครงการ “Amazing Dark Sky in Thailand” ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) นี่คือ หลักฐาน (proof of concept) ว่าเชียงรายไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่มีฐานทางวิชาการ มาตรฐาน และเครือข่ายพร้อมต่อยอด

แม้ปัจจุบันการจัดอันดับศักยภาพท้องฟ้ามืดโดยรวม เชียงรายยังอยู่ราว อันดับ 12 ของประเทศ (มีเชียงใหม่ นครราชสีมา ฯลฯ นำหน้า) แต่ช่องว่างนี้กลับเป็น “ช่องทาง” ยิ่งเดินหน้าเร็วกว่าจังหวัดอื่น เชียงรายยิ่งมีสิทธิ์คว้าตำแหน่ง จังหวัดท้องฟ้ามืด” (Dark Sky Province) แห่งแรก ๆ ของไทย และกลายเป็น Hub Astro Tourism ของล้านนาบนได้ไม่ยาก

จาก “Dark Sky” สู่ “Wellness City”

การขับเคลื่อน “เชียงราย เมืองฟ้ามืด” ไม่ได้มุ่งหวังเฉพาะนักดูดาว หากแต่ เกี่ยวโยงตรงกับยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ด้วย

  • สุขภาพและการนอน เมืองที่ใช้แสงเหมาะสม ช่วยให้ร่างกายปรับวงจรการหลับ–ตื่นได้ดีขึ้น เพิ่มคุณภาพการพักผ่อนและลดความเครียด ประสบการณ์นอนโรงแรมที่ “มองเห็นทางช้างเผือก” จึงเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ ขายได้จริง และแยกตัวจากตลาดแมสได้ชัด
  • เศรษฐกิจนอกฤดู  กิจกรรมดูดาวมักเกิดในฤดูฟ้าเปิด–ค่ำยาว ช่วงที่นักท่องเที่ยวทั่วไปลดลง ทำให้โรงแรม โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และไกด์ท้องถิ่น มีรายได้ตลอดปี ลดฤดูกาลและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
  • การเรียนรู้และจิตวิญญาณพื้นที่ ท้องฟ้ามืดเปิดพื้นที่ให้ชุมชนชาติพันธุ์เล่าเรื่องฟ้า–ผืนดิน–ป่าเขา ผ่านความเชื่อและภูมิปัญญาดั้งเดิม ผสานกิจกรรมเดินป่าค่ำคืน ส่องหิ่งห้อย ดูนกกลางคืน สร้างผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว low impact–high value ที่จังหวัดเหนืออื่นยากจะลอกเลียน

กรอบปฏิบัติการ  “LMP” คือกุญแจ (ทำจริง–วัดผลได้)

หัวใจที่จะทำให้ “ฟ้ามืด” ไม่ใช่แค่สโลแกน คือ แผนบริหารจัดการแสงสว่าง (Light Management Plan LMP) ตามหลักสากลของ DarkSky International (ชื่อเดิม IDA) และแนวทาง NARIT ซึ่งสรุปเป็นภาษาปฏิบัติได้ 4 ข้อใหญ่ ๆ

  1. บังคับทิศทางแสง – โคมไฟภายนอกต้องเป็น fully shielded ส่องลง ไม่ปล่อยแสงเหนือแนวนอน เพื่อตัดแสงเรืองบนท้องฟ้าและแสงรบกวน
  2. โทนแสงอบอุ่น–CCT ≤ 3,000K – ลดแสงสีน้ำเงินที่รบกวนเมลาโทนินและสัตว์กลางคืน
  3. ระดับแสงเท่าที่จำเป็น + กลไกควบคุม – ติดตั้งตัวตั้งเวลา/เซ็นเซอร์ เปิดเมื่อจำเป็น ปิดเมื่อไม่ใช้
  4. ป้าย–แลนด์มาร์กต้องมีเพดานความสว่าง – กำหนดมาตรฐาน nits/cd·m⁻² หลังพระอาทิตย์ตก พร้อมช่วงเวลาดับไฟ

เมื่อแปลหลักการสู่ข้อบัญญัติท้องถิ่น (เทศบาล–อบต.) และเชื่อมกับโครงการเปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นมาตรฐานเดียวทั้งจังหวัด ผลลัพธ์จะเกิดสองชั้นพร้อมกัน ประหยัดพลังงาน ทันที และ ยกระดับคุณภาพท้องฟ้า สู่มาตรฐานรับรอง

โครงเรื่องเศรษฐกิจ ตลาดเฉพาะ–กำลังซื้อสูง–คูณค่าค้างคืน

Astro Tourism ไม่ใช่การท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ นักท่องเที่ยวต้อง “รอเวลา” กับท้องฟ้าจึง ค้างคืน และใช้จ่ายกับที่พัก อาหารท้องถิ่น มัคคุเทศก์ อุปกรณ์ และกิจกรรมต่อเนื่อง โดยจากกรณีศึกษาต่างประเทศ (ซึ่ง NARIT และเครือข่าย DarkSky นำมาเผยแพร่) พบว่า นักท่องเที่ยวที่พักค้างคืนมี ค่าใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวไป–กลับหลายเท่าตัว นี่คือกลไกเศรษฐกิจที่แปลง “ความมืด” ให้เป็น “มูลค่า” ได้จริง

เชียงรายมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ เส้นทางท่องเที่ยวเหนือบน เชื่อมเชียงของ–แม่สาย–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–แม่สรวย ทำให้สามารถจัด เส้นทางดูดาว” แบบ multi-spot (เช่น ดอยตุง – ดอยแม่สลอง – ดอยผาหม่น – ดอยผาหมี) สร้างแพ็กเกจ 2–3 คืนที่พานักท่องเที่ยวไล่กอดทางช้างเผือกตามระดับความสูง–สภาพฟ้า พร้อมกิจกรรมกลางวันอย่างไร่ชา–ไร่กาแฟ–เส้นทางชุมชน รายได้กระจายทั้งหุบเขา

เสียงจากการประชุม แผนที่ต้องเดินทันที

แม้การประชุมวันนี้จะเป็นการหารือเชิงยุทธศาสตร์เบื้องต้น แต่กรอบงานเร่งด่วนเริ่มชัด ได้แก่

  • จัด “แผนที่ฟ้ามืดเชียงราย” ระบุพื้นที่เป้าหมาย (Public/Private) พร้อมระดับคุณภาพท้องฟ้าและเงื่อนไขทางกายภาพ เพื่อคัดเลือก “Quick Win Sites” ขึ้นทะเบียนนำร่อง
  • ยกร่างข้อบัญญัติ LMP ให้เทศบาล/อบต. นำไปใช้จริง เริ่มจากโคมไฟถนน สถานที่ราชการ สถานศึกษา และธุรกิจท่องเที่ยว
  • พัฒนา “คอร์สไกด์ดาราศาสตร์” ร่วมมหาวิทยาลัย–NARIT สร้างบุคลากรท้องถิ่นและทีมวิทยากรดูดาวมืออาชีพ
  • ออกแบบแพ็กเกจ Dark Sky x Wellness (นอนดี–ฟ้าดี–อากาศดี) เจาะตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในประเทศ/ต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มครอบครัวและ Active Senior

ความเสี่ยงที่ต้องจัดการ  “ฟ้ามืด” จะมืดถ้าไม่มีส่วนร่วม

โครงการลักษณะนี้ ต้องใช้ฉันทามติของชุมชน เพราะแสงจำนวนมากอยู่ใน “ภาคเอกชน–บ้านเรือน” หากไม่มีการสื่อสารและแรงจูงใจที่เหมาะสม การบังคับใช้เพียงอย่างเดียวจะก่อแรงต้าน อบจ.จึงต้องทำสองเรื่องคู่ขนาน

  1. ทำความเข้าใจ–เชิญชวน อธิบายผลเสียของมลภาวะทางแสงต่อสุขภาพ สัตว์ป่า พลังงาน และเศรษฐกิจท่องเที่ยว ให้เห็นภาพง่าย ปิดไฟหนึ่งดวง ได้ดาวหนึ่งดวงกลับคืน
  2. ตั้งแรงจูงใจ–ลดต้นทุน สนับสนุนเปลี่ยนโคมไฟมาตรฐาน LMP ให้ครัวเรือน/ธุรกิจ โดยใช้กองทุนพลังงานท้องถิ่นหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี (ร่วมมือภาคเอกชน/สถาบันการเงิน)

แผน 12 เดือนแรก Roadmap สู่ “Dark Sky Province”

ไตรมาส 1 – วัดคุณภาพท้องฟ้าและสำรวจแหล่งกำเนิดแสง (Light Audit) ใน 5 อำเภอเป้าหมาย, ตั้งคณะทำงาน LMP ระดับจังหวัด
ไตรมาส 2 – ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นนำร่อง, เปลี่ยนโคมไฟถนน/สถานที่ราชการ, จัดทำหลักสูตร “ไกด์ดูดาวเชียงราย” รุ่นที่ 1
ไตรมาส 3 – ยื่นขอขึ้นทะเบียนแหล่งท้องฟ้ามืดเพิ่มอย่างน้อย 3 พื้นที่, เปิด “เส้นทาง Dark Sky” ชุดแรก, ทำแคมเปญการตลาดร่วม ททท.–NARIT
ไตรมาส 4 – ประเมินตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยวค้างคืน, อัตราการใช้พลังงานแสงสว่าง, ความพึงพอใจชุมชน) และขยายไปอำเภออื่น

ตัวเลขที่จับต้องได้–คุณภาพชีวิตที่สัมผัสได้

  • เศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวค้างคืนเพิ่มขึ้นในช่วงนอกฤดู โรงแรม–โฮมสเตย์มีอัตราเข้าพักสม่ำเสมอขึ้น ผู้ประกอบการรายย่อยในเส้นทางชุมชนมีรายได้ต่อเนื่อง
  • พลังงาน ค่ากระแสไฟสาธารณะลดลงตามมาตรการ LMP (การใช้แสงเท่าที่จำเป็น + โคม fully shielded + CCT ต่ำ)
  • สิ่งแวดล้อม/สุขภาพ ฟื้นคืนระบบนิเวศกลางคืน เพิ่มคุณภาพการนอนและสุขภาวะของประชาชน เมืองมืดลงอย่างถูกวิธี แต่ ปลอดภัย–เป็นมิตร มากขึ้น
  • แบรนด์จังหวัด เชียงรายมีเอกลักษณ์ “เมืองฟ้ามืด x สุขภาพดี” ต่อจากความโดดเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ขยายภาพจำจังหวัดสู่ ปลายทางคุณภาพระดับโลก

มองไกลกว่าขอบฟ้า เชียงราย–ล้านนาบน–ประเทศไทย

ในระดับภูมิภาคเหนือ เชียงรายสามารถเป็น หัวรถจักรของเครือข่าย Dark Sky ล้านนา เชื่อมเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน สร้าง “Northern Dark Sky Route” เป็นเส้นทางท่องเที่ยวคุณภาพที่ต่างประเทศค้นหาได้ชัด ในระดับประเทศ แนวทางนี้ยังสอดรับ นโยบายท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน ช่วยกระจายรายได้ ลดการแออัด และยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเมือง ยิ่งมืดอย่างมีระเบียบ ยิ่งสว่างทางเศรษฐกิจ

จากดาวบนฟ้า สู่รายได้บนดิน

เรื่องเล่าเชียงรายวันนี้เริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า “เราจะเอาความมืดมาเลี้ยงเศรษฐกิจอย่างไร” คำตอบที่เป็นรูปธรรมคือ ทำให้ความมืดมีคุณภาพ ผ่านมาตรฐาน LMP และการขึ้นทะเบียน Dark Sky สร้างผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่ ช้า–ลึก–ยั่งยืน เชื่อมสุขภาพกายใจของผู้มาเยือนกับคุณค่าธรรมชาติของผู้คนบนดอย

และในคืนที่ดาวเต็มฟ้า หากคุณเงยหน้าแล้วเห็นทางช้างเผือกพาดผ่านเหนือไร่ชานั่นไม่ใช่เพียงท้องฟ้าที่สวยกว่าเดิม แต่คือ นโยบายสาธารณะ ที่แปลง “สิทธิ์ในการเห็นดาว” ให้เป็น สิทธิ์ในการมีรายได้ ของชุมชนเชียงรายอย่างเป็นธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) – NARIT
  • DarkSky International (เดิม International Dark-Sky Association, IDA)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ฐานเกษตรกรหดตัว 4.35% เชียงรายเร่งวางทางรอดโคเนื้อ-ไก่พื้นเมืองชุมชน

เชียงรายรับแรงสั่นสะเทือน “ปศุสัตว์ไทยหดตัว 4.35%” อย่างไร? ถอดบทเรียนจากหนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 โครงสร้างใหม่ของเกษตรกรรายย่อย–รายใหญ่ และทางรอดที่ต้องเร่งวาง

เชียงราย, 2 ตุลาคม 2568 – เบื้องหลังทิวทัศน์อันคุ้นตา ข้อมูลชุดใหม่ของกรมปศุสัตว์ (ข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 ของกลุ่มสารสนเทศและข้อมูลสถิติศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกรมปศุสัตว์) กำลังส่งสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม—จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศลดลง 153,729 ราย หรือ 4.35% ภายในปีเดียว ขณะที่โครงสร้างการผลิตหลายชนิดสัตว์กำลัง “รวมศูนย์” หนักขึ้นกว่าที่เคยภาพใหญ่ของประเทศ เข้าสู่ภูมิภาคเหนือ และซูมให้ลึกลงที่จังหวัดเชียงราย—เพื่อดูให้ชัดว่า เมื่อฐานเกษตรกรหดตัว เศรษฐกิจชุมชนและความมั่นคงทางอาหาร “พื้นที่ปลายทางของแม่น้ำโขง” แห่งนี้จะยืนให้มั่นได้ด้วยวิธีใด

สาระสำคัญที่ต้องรู้

  • ฐานเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั้งประเทศลดลง 4.35% เหลือ 3,378,986 ราย โดย “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” คือฐานใหญ่ที่สุด แต่ก็เผชิญการลดลงมากที่สุดเช่นกัน สะท้อนแรงกดดันต้นทุนและรายได้ในชนบทที่ยังไม่คลี่คลาย
  • ปศุสัตว์หลักบางชนิดถดถอย โดยเฉพาะ “โคเนื้อ” ที่จำนวนรวมทั้งประเทศลดลงจากปีก่อน ราว 3.66% ขณะที่ “สุกรและไก่” ยังพึ่งพาพื้นที่ศูนย์กลางการผลิตไม่กี่เขตอย่างชัดเจน (เขต 7 และเขต 1) ทำให้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงขึ้นหากเกิดโรคระบาดหรือช็อกด้านตลาด
  • ภาคเหนือ—เขตปศุสัตว์ที่ 5 ยังคงเป็นฐานการผลิตที่ “หลากหลายชนิดสัตว์” โดยเฉพาะโคเนื้อที่สวนทางหลายพื้นที่ และมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารครัวเรือน
  • เชียงราย แสดง “ความยืดหยุ่น” ผ่านโครงสร้างแบบผสม: เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากเลี้ยงโคพื้นเมือง–ไก่พื้นเมืองเพื่อยังชีพและเสริมรายได้ ขณะเดียวกันมีคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสำหรับไก่ไข่และสุกรอยู่ร่วมในจังหวัดเดียวกัน—ภาพนี้คือ “ทางสองแพร่ง” ของยุทธศาสตร์ปศุสัตว์จังหวัดที่ต้องตัดสินใจเร็วและตรงเป้า

ประเทศไทย เส้นกราฟฐานเกษตรกรชี้ลง โครงสร้างกำลังเปลี่ยน

หนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 ระบุว่า ปี 2568 ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทุกประเภท 3,378,986 ราย ลดลงจากปี 2567 จำนวน 153,729 ราย (-4.35%) โดย “เขตปศุสัตว์ที่ 3” ซึ่งเป็นฐานใหญ่มากที่สุดยังคงมากสุดที่ 986,434 ราย แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ จำนวนเกษตรกรหายไปมากสุด เช่นกันเมื่อเทียบปีก่อน สะท้อนภาพความเปราะบางที่ไม่ได้จำกัดเพียงพื้นที่ชายขอบ แต่เกิดใน “หัวใจการผลิต” ของประเทศด้วย

ในแง่ชนิดสัตว์ โคเนื้อ ซึ่งเป็น “บัญชีสะสมทรัพย์บนเท้าทั้งสี่” ของชนบทไทย มีจำนวนรวม 9.54 ล้านตัว แต่กระจุกตัวที่เขต 3 และเขต 4 เป็นหลัก ขณะเดียวกัน สุกร จำนวนรวม 12.21 ล้านตัว ยึดฐานหลักที่เขต 7 (ภาคตะวันตก–ภาคกลางบางส่วน) ส่วน ไก่ มีจำนวนรวมมากถึง 516.98 ล้านตัว และมีเขต 1 เป็นฐานไก่เนื้อสำคัญ—ตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นภาพ “การพึ่งพื้นที่ศูนย์กลางไม่กี่จุด” ที่ทวีความเข้มขึ้น หากเกิดโรคระบาดสัตว์ปีกหรือสุกรในฐานผลิตใหญ่ ความเสี่ยงของห่วงโซ่อาหารและราคาผู้บริโภคจะขยายวงทันที

ฐานการผลิตหลากหลาย–พึ่งพาชุมชนสูง

ภาคเหนือมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ 681,023 ราย (คิดเป็นราว 20% ของประเทศ) และมีจำนวนโคเนื้อ 1.49 ล้านตัว, สุกร 2.30 ล้านตัว, ไก่ 68.75 ล้านตัว สะท้อน “โครงสร้างการผลิตแบบผสม” ที่อาศัย รายย่อยจำนวนมาก และการกระจายตัวในหลายจังหวัดมากกว่าภาคอื่น ๆ ความหลากหลายนี้มีข้อดีคือ “ลดความเสี่ยงจากการพึ่งชนิดสัตว์เดียว” และเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาหาร–เศรษฐกิจท้องถิ่นได้ลึกกว่าฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพียงไม่กี่จุด

ในบรรดาจังหวัดเหนือทั้งหมด เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง–แพร่–น่าน–พะเยา–เชียงราย–แม่ฮ่องสอน คือเสาหลักของเขตปศุสัตว์ที่ 5 ซึ่งภาพรวมแสดงสัญญาณ โคเนื้อทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ไก่พื้นเมืองยังคงเป็น “บัญชีอาหารฉุกเฉิน” ของครัวเรือนชนบท—ประเด็นหลังนี้จะเห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อมอง “เชียงราย” อย่างละเอียด

ทางสองแพร่งระหว่าง “ชุมชนพึ่งพาตนเอง” กับ “คลัสเตอร์อุตสาหกรรม”

1) ฐานข้อมูลสำคัญของจังหวัด

  • จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รวม: 76,095 ราย
  • โคเนื้อ: 69,973 ตัว (เกษตรกร 7,646 ราย)
  • กระบือ: 20,463 ตัว (เกษตรกร 2,399 ราย)
  • สุกร: 95,098 ตัว (เกษตรกร 3,803 ราย)
  • ไก่รวม: 5,684,855 ตัว (เกษตรกร 72,519 ราย)
  • เป็ดรวม: 145,935 ตัว (เกษตรกร 4,769 ราย)
  • แพะ–แกะ: แพะ 6,050 ตัว/แกะ 638 ตัว (เกษตรกรรวม 354 ราย)

ตัวเลขชุดนี้บอกอะไร? หนึ่ง—เชียงรายคือจังหวัดที่ “ไก่พื้นเมืองมีบทบาทสูงมากในระดับครัวเรือน” เพราะจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่สูงถึง กว่า 72,000 ราย ขณะที่จำนวนไก่รวมเกิน 5.68 ล้านตัว สอง—โคเนื้อและกระบือ ยังฝังรากในวิถีเกษตรดั้งเดิม โดยมีผู้เลี้ยงจำนวนมากในสเกลเล็ก กระจายตามอำเภอรอบนอก สาม—มิติอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาชัดใน “สุกร–ไก่ไข่เชิงพาณิชย์” ที่ต้องการเงินทุนและการจัดการสูงกว่า

2) “รายย่อยเข้มแข็ง” ในโคเนื้อ–ไก่พื้นเมือง

โครงสร้างโคเนื้อเชียงรายสะท้อน “ฐานรายย่อย” อย่างเด่นชัด เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยง ไม่เกิน 20 ตัว ทั้งในรูปแบบโคพื้นเมืองและลูกผสมที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศบนพื้นที่สูง—เป็นสินทรัพย์ที่แปรรูปได้ทั้ง “รายได้” และ “ความมั่นคงทางอาหาร” ของครัวเรือน ส่วน ไก่พื้นเมือง ก็ทำหน้าที่เดียวกันกับบทบาท “บัญชีเงินฝากมีชีวิต” ที่ถอนใช้ได้เร็วในยามจำเป็น สองชนิดสัตว์นี้จึงเป็น “ตาข่ายนิรภัย” ของชุมชนในช่วงที่ราคาพืชผลหรือค่าจ้างผันผวน

3) “อุตสาหกรรมเข้มข้น” ในสุกร–ไก่ไข่

ขณะเดียวกัน เชียงรายมี สุกร 95,098 ตัว กระจายอยู่ในผู้เลี้ยง 3,803 ราย โดยมีทั้งรายย่อยและรายใหญ่ร่วมพื้นที่เดียวกัน ส่วน ไก่ไข่ (รวมอยู่ในจำนวนไก่ทั้งหมด) เป็นเซ็กเมนต์ที่ต้องใช้ความชำนาญและมาตรฐานสูง—สะท้อนการขยายตัวของฟาร์มขนาดกลาง–ใหญ่ที่เข้ามาเติมเต็มดีมานด์ของตลาดเมือง–โรงงานอาหาร และตลาดนักท่องเที่ยวในพื้นที่เหนือบน

ภาพรวมจึงกลายเป็น “ทางสองแพร่ง” ที่เชียงรายต้องตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์: จะเดินหน้าหนุน ฐานรายย่อย ให้แข็งแรงเชื่อมเศรษฐกิจชุมชน และค่อย ๆ ยกระดับมาตรฐาน–เพิ่มมูลค่า หรือจะวางตำแหน่ง คลัสเตอร์อุตสาหกรรม เฉพาะชนิดสัตว์ให้ชัดเพื่อสร้างงาน–สร้างภาษี—หรือทำ “ทั้งสองขา” อย่างสมดุลโดยไม่ทิ้งใครข้างหลัง

4) ความมั่นคงทางอาหารกับ “ความเสี่ยงใหม่”

แม้โครงสร้างแบบผสมจะเสริมภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ “ความเสี่ยงใหม่” ก็เพิ่มขึ้นตาม—ทั้งต้นทุนอาหารสัตว์ที่ผันผวน ภัยแล้งบนพื้นที่สูงที่ยาวนานขึ้น และโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ปีก–สุกร หากเกิดการระบาดในฟาร์มขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งที่เป็นแหล่งไข่หรือหมูของจังหวัด ผลกระทบด้านราคาอาจ “ส่งผ่าน” ไปยังผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านอาหาร–ท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การทำ ระบบเฝ้าระวังโรคและข้อมูลสาธารณะ ระดับจังหวัด–อำเภอที่ละเอียดถึงคลัสเตอร์การผลิต และการรวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยเพื่อเข้าถึงวัคซีน–อาหารสัตว์–สินเชื่อ–ตลาด จึงเป็น “เครื่องมือเร่งด่วน” ที่ควรขับเคลื่อนภายในปีงบประมาณถัดไป

เชื่อมไปทั้งเขตเหนือจุดแข็งและโอกาส 

เมื่อเทียบกับจังหวัดเหนืออื่น ๆ เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง–พะเยา–แพร่–น่าน–แม่ฮ่องสอน ต่างมีสัดส่วนโคเนื้อ–กระบือ–ไก่พื้นเมืองที่สูงเช่นกัน แต่แต่ละจังหวัดมี “บทบาทเฉพาะ” ของตน เช่น ลำพูนเด่นด้านโคนมขนาดกลาง เชียงใหม่และลำปางมีฐานผู้ประกอบการอาหารสัตว์–โรงชำแหละที่เข้มแข็ง พะเยาและน่านเป็นแนวกันชนวัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์—ห่วงโซ่เหล่านี้ชี้ว่า ถ้าเชียงรายจะ “โตไปกับทั้งภูมิภาค” ยุทธศาสตร์ระดับกลุ่มจังหวัดควรเชื่อม 3 แกนดังนี้

  1. ห่วงโซ่โค–กระบือคุณภาพ: วิจัยพันธุ์ทนแล้ง–ทนโรค ปรับปรุงทุ่งหญ้า และยกระดับโรงเชือด–มาตรฐานฮาลาล–การแปรรูป (เนื้อสไลซ์ สเต๊ก ซุปกระดูก) เพื่อเข้าโมเดิร์นเทรด–ท่องเที่ยวสุขภาพ
  2. คลัสเตอร์ไก่พื้นเมือง–ไก่ไข่: พัฒนาแบรนด์ “ไข่เหนือบน–ไก่พื้นเมืองเชียงราย” พร้อมมาตรฐานสินค้าชุมชน (GI/ฮาลาล/เกษตรอินทรีย์) เพื่อบุกตลาดกรุงเทพฯ และชายแดนพม่า–ลาว
  3. เกษตรทางเลือกสร้างมูลค่า: หนุน “ผึ้ง–ผึ้งชันโรง–แพะ–แกะ” เป็นรายได้เสริม โดยบูรณาการกับท่องเที่ยวชุมชน (ฟาร์ม–สเตย์ เวิร์กช็อปน้ำผึ้งดิบ/ชีสนมแพะ) เพื่อยืดหยุ่นต่อรอบราคาสินค้าโภคภัณฑ์

แนวทางทั้งสามต้องการ “ข้อมูลฐาน” รายหมู่บ้าน–ตำบล ซึ่ง หนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 มีจุดเริ่มต้นให้ต่อยอดได้—ข้อได้เปรียบของภาคเหนือคือเครือข่ายเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง จึงสามารถนำข้อมูลไปสู่การจัดการร่วม (collective action) ได้เร็วกว่าหลายภูมิภาค

ทำอย่างไรไม่ให้รายย่อยหลุดขบวน

เมื่อนำข้อมูลระดับประเทศมาประกอบ จะเห็น ภาพใหญ่ 3 ประการ ที่ควรเร่งดำเนินการเชิงนโยบาย

รักษาฐานรายย่อยด้วย “ต้นทุน–ตลาด–ความรู้” ที่ทันสมัย เกษตรกรรายย่อยเป็น กว่า 96% ของผู้เลี้ยงโคเนื้อทั้งประเทศ (ส่วนใหญ่เลี้ยงไม่เกิน 20 ตัว) การหายไปของกลุ่มนี้หมายถึงรากฐานความมั่นคงทางอาหารที่สั่นคลอน ทางออกคือ “รวมกลุ่ม–ซื้อรวม–ขายรวม–คุ้มครองความเสี่ยงร่วม” พร้อมแพลตฟอร์มข้อมูลต้นทุนอาหารสัตว์–ราคาตลาดแบบเรียลไทม์ที่เข้าถึงได้จริง—from district livestock office ไปถึงมือถือเกษตรกร  

การบริหารความเสี่ยงจาก “การรวมศูนย์” ในสุกร–ไก่เชิงอุตสาหกรรม

เมื่อฐานการผลิตกระจุกอยู่ไม่กี่เขต/ไม่กี่จังหวัด ยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารควรรองรับ “แผนเฝ้าระวังโรค–สำรองผลผลิต–กระจายเส้นทางขนส่ง–สื่อสารราคา” แบบทันเหตุการณ์ เพื่อกันช็อกที่อาจกระทบราคาผู้บริโภคกว้างขวาง ต่อท่อมูลค่าเพิ่มสู่เมือง–ท่องเที่ยว–ชายแดน สินค้าปศุสัตว์คุณภาพ (GI/ฮาลาล/อินทรีย์) และผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น เช่น น้ำผึ้งป่าเหนือบน ชีสนมแพะ เนื้อโคพื้นเมืองแปรรูป มีศักยภาพเจาะตลาดเมือง–นักท่องเที่ยว และตลาดชายแดน—เชียงรายเป็น “ประตูการค้า” ตามธรรมชาติ หากเชื่อมระบบโลจิสติกส์เย็นและจุดกระจายสินค้าระดับตำบล–อำเภอ จะยกระดับรายได้ให้ฐานรายย่อยได้จริง

แผนปฏิบัติการ 6 ข้อสำหรับเชียงราย (และภาคเหนือ)

  1. ทำแผนที่การผลิต (production map) รายตำบล – รู้ว่า “อะไรอยู่ที่ไหน–ใครเลี้ยงอะไร–ขนาดเท่าไร–เชื่อมตลาดใด” แล้วสื่อสารสาธารณะเพื่อลดปัญหาคนกลาง
  2. สหกรณ์อาหารสัตว์ตำบล – ต่อรองซื้อวัตถุดิบรวม ลดต้นทุน และล็อกสัญญาขายบางส่วนเพื่อลดความผันผวน
  3. ยกระดับมาตรฐานรายย่อยเป็น “รายย่อยพรีเมียม” – โคพื้นเมืองเลี้ยงทุ่ง/ไก่พื้นเมืองปล่อยอิสระ พร้อมการตรวจย้อนกลับง่าย ใช้สตอรี่ “ดอย–ป่า–ไร่ชา” เป็นจุดขาย
  4. กันชนโรคระบาดผ่านคลินิกปศุสัตว์เคลื่อนที่ – บริการวัคซีน/สุขภาพสัตว์ถึงหมู่บ้าน และตั้งกองทุนฉุกเฉินโรคสัตว์ระดับอำเภอ
  5. นวัตกรรมการตลาด – เปิด “ตลาดออนไลน์จังหวัด” ให้ผู้บริโภคในเมือง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสั่งสินค้าฟาร์มโดยตรง ส่งผ่านระบบเย็นเดียวกัน
  6. เกษตรทางเลือกเชื่อมท่องเที่ยว – ผึ้งชันโรง–แพะ–แกะ เป็นกิจกรรมเสริมรายได้ ควบคู่เวิร์กช็อปและฟาร์ม–สเตย์สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ

ทำไม “เชียงราย” จึงยังยืนได้

เมื่อฐานเกษตรกรของประเทศหดตัวลง 4.35% เชียงรายยังยืนได้เพราะ “ไม่พึ่งชนิดสัตว์เดียว” และ “ยังมีแขนขารายย่อยให้ชุมชนพึ่งตนเอง” ขณะเดียวกันก็เริ่มมี “กล้ามเนื้ออุตสาหกรรม” ในสุกร–ไก่ไข่รองรับตลาดสมัยใหม่ นี่คือโครงสร้างที่คนทำงานนโยบายต้องช่วย “จัดสมดุล” ระหว่าง ความมั่นคงอาหารชุมชน กับ ขีดความสามารถแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม ให้ไปด้วยกัน

หากวางแผนถูกจุด—ยกระดับข้อมูล, ลดต้นทุน, เพิ่มมาตรฐาน, เชื่อมตลาด—เชียงรายไม่เพียง “รับมือวิกฤต” ได้ แต่ยังสามารถ “ปลดล็อกโอกาส” เป็น ฮับสินค้าปศุสัตว์คุณภาพของล้านนา ที่ส่งออกไปสู่เมืองใหญ่และชายแดน สร้างรายได้ใหม่ให้เกษตรกรรายย่อยนับหมื่นครัวเรือน

เพื่อช่วยให้ผู้นำท้องถิ่น นักวางแผนจังหวัด ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกรใช้เป็นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและธุรกิจ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ ปศุสัตว์ไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน สู่โครงสร้างใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: หนังสือ ข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ในประเทศไทย ปี 2568” จัดทำโดยกลุ่มสารสนเทศและข้อมูลสถิติ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รฟท. เปิดปฐมฤกษ์เชื่อมราง เด่นชัย–เชียงของ ดันโลจิสติกส์เชื่อม GMS

เด่นชัยเชื่อมรางประวัติศาสตร์ สร้างฮับโลจิสติกส์ใหม่ “ล้านนาตะวันออก–ลาว–จีน”  จุดเปลี่ยนระบบรางไทย และคำถามใหญ่หลังพิธีเปิด

เชียงราย/แพร่, 2 ตุลาคม 2568 — เวลา 09.09 น. วันที่ 30 กันยายน 2568 ระฆังช็อตสำคัญของระบบรางไทยดังขึ้นที่ สถานีเด่นชัย จ.แพร่ เมื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทำพิธี เปิดปฐมฤกษ์เชื่อมราง ระหว่างรางรถไฟประวัติศาสตร์กับรางทางคู่สายใหม่ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ช่วงแรกในพื้นที่เด่นชัย—ภาพของรางเหล็กที่ประกบแนบสนิทกัน ไม่ได้หมายถึงแค่การบรรจบราง แต่คือการบรรจบโอกาส จากเมืองราบสูงสู่ชายแดนล้านนาตะวันออก จากชุมชนเล็กริมรางสู่เครือข่ายการค้า ลาว–จีนตอนใต้ และตลาดโลก

บนชานชาลา นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการ รฟท. ทำหน้าที่ประธานในพิธี ท่ามกลางผู้แทนภาครัฐท้องถิ่น อาทิ นายประจักร์ จินดาจำรูญ นายอำเภอเด่นชัย, นายนิคม ชุ่มใจ รองนายกเทศมนตรีตำบลเด่นชัย รวมถึง กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และ กิจการร่วมค้าไอทีดี–เนาวรัตน์ ซึ่งเป็นคีย์พาร์ตเนอร์ในภาคสนาม—ชี้ชัดว่าการขับเคลื่อนระบบรางไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมส่วนกลางเท่านั้น หากแต่ยืนอยู่บน “สนามจริง” ของเมือง–ชุมชน–ผู้ประกอบการ

เด่นชัย จากสถานีอายุ 113 ปี สู่ “หัวต่อใหม่” ของระบบรางล้านนาตะวันออก

สถานี เด่นชัย เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2455 กว่า 113 ปี บนหน้าประวัติศาสตร์การรถไฟไทย เด่นชัยคือ “จุดเปลี่ยนทิศทาง” สำคัญของโครงข่ายเหนือฝั่งตะวันออก และวันนี้สถานีเดิมกำลังถูกจัดวางบทบาทใหม่ให้เป็น Distribution Hub หรือ ศูนย์กระจายสินค้า รองรับรถสินค้า/ตู้คอนเทนเนอร์และขบวนผู้โดยสารภายใต้แผน รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ที่ตั้งเป้าเชื่อม จังหวัดปลายทางชายแดน อย่าง เชียงราย/เชียงของ สู่ สปป.ลาว–จีนตอนใต้ ผ่าน ด่านเชียงของ–ห้วยทราย และเครือข่าย รถไฟลาว–จีน

สาระเชิงยุทธศาสตร์ ของ “หัวต่อเด่นชัย” มี 3 มิติเด่น:

  1. โลจิสติกส์–การค้า ทางคู่เพิ่มความจุเส้นทาง (Line Capacity) ลดการรอหลีก เพิ่มความตรงเวลา (On-time) และทำให้ ต้นทุนต่อหน่วย ขนส่งทางรางมีเสถียรมากขึ้น หากโหนเข้าสู่โครงข่าย ลาว–จีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดแกนขนส่ง “รางต่อราง” จากแหล่งผลิต–ศูนย์กระจาย–ด่านชายแดน ลดการยกถ่ายซ้ำซ้อน
  2. ท่องเที่ยว–การเข้าถึงเมืองรอง ทางคู่สร้าง การเดินทางที่คาดการณ์ได้ (Predictable Travel Time) ลดเวลาต่อรถ และเชื่อมสนามบิน–เมืองท่องเที่ยวในล้านนาตะวันออก ทำให้การท่องเที่ยว นอกฤดู และ เมืองรอง (แพร่, น่าน, พะเยา, เชียงราย) มีแรงส่งจากระบบราง
  3. คุณภาพชีวิต–โอกาสชุมชน รถโดยสารที่ตรงเวลา–ความจุสูง ช่วยลด “ต้นทุนเวลา” ของแรงงาน นักเรียน ผู้ป่วย โดยเฉพาะชุมชนชนบทที่การเข้าถึงบริการรัฐ–โรงพยาบาล–ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ยังพึ่งพาทางถนนเป็นหลัก

พิธีที่ “เชื่อมราง”—และเชื่อมความหวัง

ภาพเชื่อมราง ณ เวลา 09.09 น. อาจดูเป็นสัญลักษณ์ แต่ในทางวิศวกรรมคือหมุดหมาย ความพร้อมเชิงโครงสร้าง ที่ยืนยันว่าพื้นฐานงานดิน–โครงสร้าง–ทางวิ่ง–ทางแยก–ราง–ระบบประแจ เดินหน้าไปสู่จุดที่ รางใหม่ “คอนแท็กต์” กับรางเดิม อย่างปลอดภัย การเชื่อมรางที่เด่นชัยจึงเป็น “Zero Moment” ที่ลั่นกลองสู่เฟสทดสอบ–ปรับเทียบ–บูรณาการระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–ความปลอดภัย ก่อนเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในระยะถัดไป

ตัวแทนฝ่ายปกครองท้องถิ่นอย่าง นายอำเภอเด่นชัย และ รองนายกเทศมนตรีตำบลเด่นชัย ที่เข้าร่วมพิธี สะท้อน “ความพร้อมด้านพื้นที่”—ตั้งแต่การจัดระเบียบจราจรข้ามทางรถไฟ, มาตรการความปลอดภัยชุมชนริมราง, ไปจนถึงการเตรียมพื้นที่สนับสนุนกิจกรรมโลจิสติกส์ (ลานพักสินค้า/คอนเทนเนอร์) และบริการผู้โดยสาร

จากเด่นชัย–ขึ้นล้านนา–แตะชายแดน ทำไม “ทางคู่” คือคำตอบ

ประเทศไทยขนส่งสินค้าด้วยทางถนนมากกว่าทางรางอย่างยาวนาน ขณะที่ ต้นทุนโลจิสติกส์ คิดเป็นสัดส่วนสูงต่อ GDP เมื่อเทียบบางประเทศในภูมิภาค การ “อัพเกรดเป็นทางคู่” จึงเป็นนโยบายเชิงโครงสร้างเพื่อลด คอขวดเชิงเทคนิค ของทางเดี่ยวที่ต้องรอหลีก ซึ่งขัดกับความต้องการบริการขนส่ง ตรงเวลา–ความถี่สูง ทั้งภาคสินค้าและผู้โดยสาร

ในทางปฏิบัติ ทางคู่ ให้ “ความจุเส้นทาง” มากขึ้น ชั่วโมงละหลายขบวน สามารถแทรกขบวนสินค้า–ผู้โดยสารได้อย่างยืดหยุ่น ลดเวลาจอดรอที่สถานีหลีกตลอดเส้นทาง และเมื่อจับคู่กับ ระบบอาณัติสัญญาณ–ควบคุมการเดินรถ ที่ทันสมัย จะยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัย–ความตรงเวลา ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของโลจิสติกส์ยุคอีคอมเมิร์ซ/การผลิตแบบทันเวลา (Just-in-Time) และการท่องเที่ยวที่ผู้โดยสารคาดหวังความแน่นอน

เด่นชัยฮับ” ในภาพใหญ่ลุ่มน้ำโขง เชื่อมลาว–จีนอย่างไรให้ “เกิดผล”

บทเรียนสำคัญ ของโครงข่ายคือ ปลายทางต้องรับกันได้จริง” เด่นชัยอาจทำหน้าที่หัวต่อได้ดี แต่ถ้า ปลายทางเชียงของ–ด่านห้วยทราย และ สถานี/ยาร์ด ฝั่งชายแดนไม่พร้อมรองรับ ขบวน–รอบ–น้ำหนัก–มาตรฐานตู้ หรือ ระบบพิธีการศุลกากร–ด่านควบคุม ยังติดขัด การเชื่อมโยงกับเครือข่าย รถไฟลาว–จีน จะกลายเป็น “ข้อต่อหลวม” ที่ทำให้ประสิทธิภาพหดหาย

ดังนั้น ประเด็นที่ผู้ปฏิบัติการและหน่วยงานสาธารณะต้องโฟกัสหลังพิธีเชื่อมราง คือ

  • โครงสร้างยาร์ด–คลัง–ลานตู้ (ICD/Logistics Park)  ต้องมีความจุรับ–จ่ายตู้, เครน–อุปกรณ์ขนถ่าย, ระบบตรวจ–ชั่ง–ความปลอดภัย ที่รองรับรูปแบบขนส่งหลายโมด (Multimodal)
  • ด่าน–ศุลกากร–พิธีการ ต้องปรับ กระบวนงานไร้รอยต่อ (Seamless) ข้ามแดน ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน, ยกระดับดิจิทัล/แลกเปลี่ยนข้อมูลล่วงหน้า เพื่อให้ “รถไฟสินค้าข้ามแดน” เคลื่อนผ่านได้ตามตารางเวลา
  • ความถี่/ตารางเดินรถ ต้องออกแบบให้สอดรับดีมานด์จริงจากผู้ส่งออก–ผู้นำเข้า ไม่ใช่มีราง–มีสถานี แต่ไม่มี “รอบวิ่ง” ที่เพียงพอและคาดการณ์ได้

ผลสะเทือนต่อ “เชียงราย–ชายแดน” และเมืองรองล้านนาตะวันออก

แม้พิธีจะเกิดที่แพร่ แต่จุดสิ้นสุดของโครงการคือ เชียงของ (ชายแดน) และเมืองหลักอย่าง เชียงราย ได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งด้านท่องเที่ยว–ลงทุน–โลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐานทางราง จะทำให้การวางเครือข่าย คลัง–กระจายสินค้า–ศูนย์รวบรวมการเกษตร ของภาคเหนือฝั่งตะวันออก เข้าถึงชายแดนเร็วขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนเดินทางสู่ เชียงราย/ภูชี้ฟ้า/ดอยตุง/เชียงของ ด้วย เส้นทางราง–ถนน ที่ผสมผสานคล่องตัวกว่าเดิม

ในเชิง เศรษฐกิจฐานราก การมี “รอบรถ–รอบขนส่ง” ที่แน่นอน ช่วยเกษตรกร/SME วางแผนการส่งสินค้าแช่เย็น–เกษตรสด–เกษตรแปรรูปได้ดีขึ้น ลดการสูญเสียปลายทาง ส่วนในมิติ สังคม–บริการสาธารณะ การเดินทางด้วยรางเปิดช่องทางให้คนเปราะบาง–ผู้สูงวัย–นักเรียน เข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาในเมืองได้สะดวกและปลอดภัยกว่า

สถิติ–บริบทชวนคิด (เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย)

  • 113 ปี อายุสถานีเด่นชัย—จากสถานีท้องถิ่นสู่หัวต่อยุทธศาสตร์ของทางคู่
  • 1 ช็อตเชื่อมราง จุดเริ่มของเฟสทดสอบ–บูรณาการระบบ ก่อนเปิดเชิงพาณิชย์
  • หลายหมื่นล้านบาท สเกลงานลงทุนทางคู่และระบบประกอบ (ตามกรอบโครงการทางคู่ทั่วไปของประเทศ) ที่จะคืนผลลัพธ์ผ่าน ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง และ ประสิทธิภาพเวลา
  • ห่วงสำคัญ หากไม่มี ICD/Yard รองรับ–พิธีการข้ามแดนทันสมัย–ความถี่เดินรถเพียงพอ ผลลัพธ์ “รางต่อราง” จะถูกจำกัด

สาระสำคัญ “ความเร็วในการสร้างราง” ต้องเดินคู่กับ “ความเร็วในการจัดระบบปลายทางและพิธีการ” เพื่อให้ ผลประโยชน์สาธารณะ ตกถึงมือประชาชน–ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง

เสียงและมุมมองผู้เกี่ยวข้อง (ถอดความจากสาระในพิธี–ข้อมูลที่เปิดเผย)

  • ฝ่าย รฟท. (นายจเร รุ่งฐานีย) มองการเชื่อมรางเป็น “หลักไมล์” ที่ยืนยันความก้าวหน้าตามแผน และเป็นฐานให้การทดสอบระบบ–ความปลอดภัยก่อนให้บริการจริง
  • ฝ่ายปกครองท้องถิ่น (นายอำเภอเด่นชัย/เทศบาล) ให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยชุมชน ระหว่างก่อสร้าง–ทดลองเดินรถ และโอกาส ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน รอบสถานี
  • ที่ปรึกษา/ผู้รับเหมา (CSDCC/ITD–Nawarat JV) โฟกัส คุณภาพ–มาตรฐานงานวิศวกรรม และการส่งมอบพื้นที่–ระบบตามไทม์ไลน์ เพื่อเปิดทางให้ “งานระบบ” (อาณัติสัญญาณ–สื่อสาร–ทดสอบ) ทำต่อเนื่องได้ทันที

สิ่งที่ต้องเร่งทำ “หลังพิธี”

  1. Roadmap ทดลอง–รับรองความปลอดภัย (Safety Case)  เผยกำหนดการทดสอบวิ่ง, การปรับจูนอาณัติสัญญาณ, การฝึกบุคลากร และ มาตรฐานความปลอดภัย สำหรับเปิดเดินรถ
  2. โครงสร้างโลจิสติกส์ปลายทาง เร่งวางแผน ICD/คลัง/ยาร์ด ที่เชียงของ–เชียงราย–แพร่ ให้ “ราง–ถนน–ศุลกากร” ต่อเชื่อมไร้รอยต่อ
  3. การมีส่วนร่วมชุมชน จัดทำ มาตรการกำกับเสียง–สั่นสะเทือน–ข้ามราง และสื่อสารความเสี่ยง–ข้อปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
  4. แพ็กเกจการท่องเที่ยวทางราง บูรณาการ ททท.–จังหวัด–เอกชนท่องเที่ยว ออกแพ็กเกจ “Rail + Local Experience” สู่เมืองรองล้านนาตะวันออก ช่วงหลังเปิดบริการ

จากรางเหล็กสู่ชีวิตคน

“การเชื่อมราง” ที่เด่นชัย คือภาพจำของ เหล็กชนเหล็ก แต่ สาระ อยู่ที่ “เหล็กสัมผัสชีวิตคน”—เด็กนักเรียนที่ไม่ต้องรอรถนาน, ผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลเมืองได้ตามเวลา, เกษตรกรที่ส่งสินค้าได้ตรงรอบ, นักท่องเที่ยวที่ไปเมืองรองได้สะดวก, ผู้ประกอบการที่วางแผนโลจิสติกส์ได้อย่างมืออาชีพ และชุมชนที่มี ทางเลือกการเดินทาง เพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย

บทสรุปเชิงบรรณาธิการ

  • พิธีเชื่อมรางเด่นชัยคือ “สัญญาณบวก” ว่า โครงสร้างพื้นฐานทางคู่ เดินมาถูกทางในฝั่งล้านนาตะวันออก
  • ความสำเร็จจริง จะเกิดเมื่อ “ราง–ยาร์ด–ด่าน–พิธีการ–ความถี่เดินรถ” ทำงานสอดประสาน และประชาชนรู้สึกถึง คุณภาพเดินทางที่ดีขึ้น
  • สำหรับ เชียงราย–เชียงของ และเมืองรองรอบๆ จุดหมายต่อไปคือ แปลงรางเป็นรายได้ โลจิสติกส์ที่ถูกลง, ท่องเที่ยวที่เข้าถึงง่ายขึ้น, โอกาสฐานรากที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข./OTP) 
  • กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และ กิจการร่วมค้าไอทีดี–เนาวรัตน์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

กาแฟ-ศิลปะผสานพลัง! เชียงรายพลิกโฉมสู่ “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ต้องรอหน้าหนาว

เชียงราย เมื่อจุดแข็ง “กาแฟ-ศิลปะ” พร้อมสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดปี

จุดเปลี่ยนของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ต้องรอหน้าหนาว เมื่อศักยภาพที่มีอยู่พร้อมถูกผสานเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

เชียงราย 2 ตุลาคม 2568 — ในช่วงเวลาที่เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังแข่งขันกันดึงดูดนักเดินทาง จังหวัดเชียงรายกลับยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ คำถามที่วงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกำลังตั้งขึ้นคือ เชียงรายจะยังคงเป็น “เมืองที่ต้องรอ” เทศกาลใหญ่หรือฤดูหน้าหนาวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ หรือจะพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน

การวิเคราะห์จากนักสื่อสารและผู้สังเกตการณ์ในแวดวงศิลปวัฒนธรรมชี้ให้เห็นว่า คำตอบอยู่ที่การผสานพลังระหว่างสองจุดแข็งที่เชียงรายมีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือ นั่นคือ “วัฒนธรรมกาแฟและคาเฟ่” กับ “ชุมชนศิลปินและศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งหากนำมาบูรณาการอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายกลายเป็น “เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาค

มรดกกาแฟที่ไม่เพียงแค่เครื่องดื่ม

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองที่มีร้านกาแฟมากมาย แต่คือแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพที่มีชื่อเสียงระดับสากล โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้าจากชุมชนชาวเขาบนพื้นที่สูง ชาวอาข่าในพื้นที่เชียงรายได้พัฒนาฝีมือการปลูก แปรรูป และคั่วกาแฟจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

จากข้อมูลของวิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยผาหมี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนอาข่าที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน และมีกำลังการผลิตกาแฟกะลาหลักแสนกิโลกรัมต่อปี โดยราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำงานในธุรกิจกาแฟของชุมชนเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาและการต่อยอดสู่รุ่นถัดไป

ความสำเร็จของกาแฟเชียงรายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ไร่กาแฟ แต่ขยายตัวสู่วงการคาเฟ่ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ จนมีคำกล่าวในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “เชียงรายมีร้านกาแฟเยอะกว่าร้านข้าว” การออกแบบคาเฟ่ในเชียงรายมักผสมผสานระหว่างความเป็นร่วมสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น บรรยากาศที่เป็นมิตร และการใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่นคุณภาพสูง ทำให้คาเฟ่ในเชียงรายไม่ใช่แค่สถานที่ดื่มกาแฟ แต่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ

ศิลปินและศิลปะที่รอคอยเวที

ขณะที่วงการกาแฟกำลังเติบโต อีกหนึ่งจุดแข็งของเชียงรายที่ไม่ควรมองข้ามคือชุมชนศิลปินที่มีความหลากหลายและมีพลัง เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังระดับชาติ และยังคงดึงดูดศิลปินรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายมาสร้างฐานการทำงานในพื้นที่ ด้วยต้นทุนการครองชีพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และชุมชนศิลปินที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ศิลปินเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาขาดพื้นที่แสดงผลงานอย่างต่อเนื่อง แกลเลอรีศิลปะในเชียงรายมีจำนวนจำกัด และส่วนใหญ่เปิดให้จัดแสดงเฉพาะเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ศิลปินรุ่นใหม่หรือศิลปินที่ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ขาดโอกาสในการนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ

จุดนี้เองที่เป็นโอกาสทองสำหรับการบูรณาการระหว่างวงการกาแฟและศิลปะ คาเฟ่ที่มีอยู่มากมายในเชียงรายสามารถกลายเป็น “แกลเลอรีเคลื่อนที่” หรือพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและเปิดกว้างมากกว่าแกลเลอรีแบบดั้งเดิม การจิบกาแฟท่ามกลางงานศิลปะไม่ใช่แนวคิดใหม่ในระดับสากล แต่ในบริบทของเชียงราย มันคือโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและยั่งยืน

บทเรียนจาก Thailand Biennale 2023 ความสำเร็จที่ไม่ควรจบ

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าการผสานกาแฟและศิลปะในเชียงรายสามารถประสบความสำเร็จได้ คือ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 งานศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “The Open World” (เปิดโลก)

งานครั้งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินกว่า 60 คนจาก 21 ประเทศ และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่ที่หลากหลายทั่วจังหวัดเชียงราย รวมถึงคาเฟ่ โรงแรม ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบ Site-specific หรืองานศิลปะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะ

ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 5 เดือน สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ คาเฟ่และพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต่างได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ได้จางหายไปหลังงานสิ้นสุดลง คาเฟ่และพื้นที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามปกติโดยไม่มีการจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป เพราะหากสามารถรักษาโมเมนตัมและพัฒนาให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีได้ เชียงรายจะไม่ต้องรองาน Biennale ครั้งต่อไปอีก 2 ปี แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์เป็นเมืองที่มีศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันได้

ยุทธศาสตร์ “เมืองศิลปะคาเฟ่”: จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

การสร้าง “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ใช่เพียงแค่ให้ศิลปินนำผลงานมาแขวนในร้านกาแฟเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน รูปแบบที่เป็นไปได้ประกอบด้วยหลายมิติ:

  1. สร้างย่านศิลปะคาเฟ่และเส้นทางศิลปะ

การรวมกลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ต่างๆ ของเชียงรายให้เป็น “ย่านศิลปะคาเฟ่” โดยแต่ละร้านจะมีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้แสดงผลงาน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม “เส้นทางศิลปะคาเฟ่” ได้เหมือนการเดินชมแกลเลอรี แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่า พร้อมทั้งได้ดื่มด่ำกับกาแฟคุณภาพสูงของเชียงรายไปในตัว การสร้างแผนที่หรือแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการในแต่ละคาเฟ่จะช่วยให้นักท่องเที่ยววางแผนการเยี่ยมชมได้สะดวกขึ้น

  1. โครงการ Art Residency ในคาเฟ่

การสร้างโครงการ Art Residency หรือการให้ศิลปินพักอาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้คาเฟ่เป็นฐานการทำงาน ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับบริบทของคาเฟ่หรือชุมชนรอบข้าง และนำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าชมได้เห็น

รูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยือนคาเฟ่ ที่จะได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน เรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ และเข้าใจบริบททางศิลปะมากขึ้น การมีศิลปินประจำจะทำให้แต่ละคาเฟ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเรื่องราวที่น่าติดตาม

  1. ขายประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า

นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ “ซื้อกาแฟดี” หรือ “ดูงานศิลปะ” แยกกัน แต่พวกเขาต้องการ “ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย” ที่สามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและสร้างความประทับใจที่ยาวนาน

การจิบกาแฟชั้นดีที่มีเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปจากชุมชนชาวเขา ภายใต้ผลงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวของเชียงราย หรือการได้พูดคุยกับศิลปินเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นและบอกต่อ

  1. ใช้ความสำเร็จดึงดูดการลงทุน

ในยุคที่นักลงทุนระมัดระวังและต้องการเห็น “หลักฐานความสำเร็จ” (Proof of Concept) ก่อนตัดสินใจ การแสดงให้เห็นว่าโมเดลเมืองศิลปะคาเฟ่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้จริงคือกุญแจสำคัญ

เมื่อมีคาเฟ่บางร้านเริ่มประสบความสำเร็จจากการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น และมีรายได้ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้เจ้าของคาเฟ่รายอื่นๆ เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้ยังสามารถใช้ดึงดูดการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสนับสนุนศิลปะทั้งในและต่างประเทศ

การลงทุนจากภายนอกจะช่วยขยายขนาดของตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการจัดการนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรมบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับเมืองศิลปะอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแข็งแกร่ง

กรณีศึกษา: “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ปรากฏว่ามีศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังทำให้มันเป็นจริงอยู่แล้ว นิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพที่ว่า

นิทรรศการนี้จัดโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ที่ย้ายมาอยู่เชียงรายได้ 5 ปี และมีความสนใจในงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับ NANZI (Nanzi Meechumna) ศิลปินรับเชิญ โดยใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านกาแฟที่ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

แนวคิดหลักของนิทรรศการคือการสำรวจ “สภาวะจิตภายใน” ของผู้คนในยุคที่โซเชียลมีเดียครอบงำชีวิต ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์บนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพของร้านคาเฟ่ งานชิ้นนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งสะท้อนถึงการคัดกรองสิ่งที่ถูกมองเห็นและสิ่งที่ถูกซ่อนบนโลกออนไลน์

วัชราอธิบายว่า งานนี้ต้องการ “ชวนแง้มประตูเข้ามา ‘ส่อง’ พื้นที่ ข้าวของ และผู้คน ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนความหมายอยู่ในระหว่างบรรทัด” โดยสำรวจผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ยังเป็นปัจจัยในการกำหนดวิธีคิด วิธีมอง และการแสดงออกของผู้คน

นิทรรศการนี้สะท้อนประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในสังคมร่วมสมัย เช่น ความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย การผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความสำเร็จ ความงาม และมาตรฐานทางสังคม รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาคุณค่าในตัวเองท่ามกลางความคาดหวังภายนอก

ที่สำคัญคือรูปแบบการจัดแสดงแบบ Site-specific ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ทำให้ผู้เข้าชมไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟ แต่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของตัวเองผ่านบรรยากาศที่คุ้นเคย

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ซึ่งการเปิดเข้าชมฟรีและเวลาที่ยาวนานตลอดวันทำให้งานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมศิลปะเท่านั้น ภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม “Mangos(on)teen” ที่เพิ่มมิติความสนุกสนานและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

แม้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่จะดูมีศักยภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืนยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ

ความเข้าใจและการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจ หลายเจ้าของคาเฟ่อาจยังไม่เห็นคุณค่าของการนำศิลปะเข้ามาในพื้นที่ หรือกังวลว่าจะเพิ่มต้นทุนหรือสร้างความยุ่งยาก การสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หรือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การขาดระบบสนับสนุนและประสานงาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรหรือเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างคาเฟ่ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ การมีหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการตารางการแสดง ประสานงานระหว่างศิลปินและเจ้าของพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ และจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและยั่งยืนมากขึ้น

การสร้างตลาดและผู้ชม การพัฒนาฐานผู้ชมที่เข้าใจและชื่นชมศิลปะร่วมสมัยต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบงานศิลปะบางประเภท การจัดกิจกรรมให้ความรู้ การพูดคุยกับศิลปิน หรือการจัด workshop ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น

ความยั่งยืนทางการเงิน ศิลปินต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคาเฟ่ก็ต้องการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนศิลปะและความยั่งยืนทางธุรกิจเป็นความท้าทาย การหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรศิลปะ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่อย่างแท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถบรรจุแนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เข้าในแผนการตลาดการท่องเที่ยวเชียงราย สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคาเฟ่ต่างๆ และประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรม การสร้างแคมเปญ “Chiang Rai: Where Coffee Meets Art” หรือคำขวัญที่คล้ายกันจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สามารถให้การสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณสำหรับโครงการศิลปะในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของศิลปินท้องถิ่นและการสร้างเครือข่ายกับศิลปินและองค์กรศิลปะในระดับชาติและนานาชาติ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การจัดทำป้ายบอกทางและข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมประจำปี เช่น “Chiang Rai Art & Coffee Festival” เพื่อรวมพลังและสร้างโมเมนตัม

สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเป็นแหล่งผลิตศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นพื้นที่ทดลองแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับคาเฟ่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นักศึกษาได้พื้นที่แสดงผลงานจริง และคาเฟ่ได้งานศิลปะที่สดใหม่และร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ

แนวคิดการผสานกาแฟและศิลปะเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายท่านชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมาเห็นสถานที่ แต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น การผสานกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวและอัตลักษณ์ของพื้นที่ คือการสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมที่นักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังมองหา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองว่า การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่น กาแฟที่มีเรื่องราวและบริบททางวัฒนธรรมจะมีมูลค่าสูงกว่ากาแฟธรรมดา และคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ศิลปะจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีจ่ายมากขึ้น

นักวิจารณ์ศิลปะบางท่านแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิด แต่ก็เตือนให้ระวังเรื่องการรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานศิลปะ การทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงการตกแต่งหรือเครื่องมือทางการตลาดโดยปราศจากเนื้อหาที่มีความหมายอาจทำให้โครงการสูญเสียคุณค่าในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการคัดสรรและดูแลคุณภาพของงานที่นำมาจัดแสดง

เปรียบเทียบกับเมืองต้นแบบในต่างประเทศ

การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล มีหลายเมืองที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เชียงราย

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมกาแฟและศิลปะริมถนน (Street Art) ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตรอกซอกซอยในเมืองเต็มไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตีและจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณภาพสูง ขณะที่คาเฟ่เล็กๆ มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม “ตรอกศิลปะ” พร้อมดื่มกาแฟคุณภาพสูงได้ในเวลาเดียวกัน เมลเบิร์นจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น แม้จะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสคาเฟ่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย หลายคาเฟ่ตั้งอยู่ในอาคารไม้เก่าที่ได้รับการบูรณะ และมีการจัดแสดงงานศิลปะหรือหัตถกรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ดื่มชาหรือกาแฟ แต่มาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน

พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งกาแฟและศิลปะอิสระ” โดยมีการสนับสนุนจากเทศบาลให้คาเฟ่และร้านค้าท้องถิ่นเป็นพื้นที่แสดงงานของศิลปินอิสระ มีกิจกรรม “First Thursday” ที่แกลเลอรีและพื้นที่ศิลปะต่างๆ เปิดให้เข้าชมฟรีในวันพฤหัสบดีแรกของทุกเดือน พร้อมกับคาเฟ่และบาร์ต่างๆ ที่มีการแสดงดนตรีสดและกิจกรรมทางศิลปะ

สิ่งที่เมืองเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ความต่อเนื่องและความเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การจัดงานใหญ่ๆ เป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ศิลปะและกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก การผสานศิลปะกับคาเฟ่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างเนื้อหาที่ “Instagrammable” หรือเหมาะกับการถ่ายรูปและแชร์บนโซเชียลมีเดีย

งานศิลปะที่น่าสนใจในพื้นที่คาเฟ่จะกระตุ้นให้ผู้มาเยือนถ่ายรูปและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเป็นการโปรโมตฟรีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แฮชแท็กเช่น #ChiangRaiArtCafe #CoffeeAndArt #ChiangRaiCulture สามารถสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตามกระแสเหล่านี้

นอกจากนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ หรือระบบ QR Code ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะและศิลปิน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนและทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับงานมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก็สะท้อนถึงปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียนี้เอง การที่งานศิลปะพูดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อจิตใจ ขณะเดียวกันก็อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเผยแพร่และดึงดูดผู้ชม คือความขัดแย้งที่น่าสนใจและสะท้อนความซับซ้อนของยุคสมัย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

หากเชียงรายสามารถพัฒนาเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ได้อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงบวกจะเกิดขึ้นในหลายมิติ

ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนในวงกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่เจ้าของคาเฟ่และศิลปิน แต่ยังรวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ช่างฝีมือ ธุรกิจที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนธุรกิจบริการอื่นๆ การมีนักท่องเที่ยวตลอดปีจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่มักเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล

ด้านสังคม จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปินรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำงานในบ้านเกิดโดยไม่ต้องย้ายไปเมืองใหญ่ ผู้คนในชุมชนจะมีโอกาสเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับชุมชนจะช่วยสร้างความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เน้นประสบการณ์มากกว่าการบริโภคมวลชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวที่มาเพื่อศิลปะและวัฒนธรรมมักใช้เวลาพำนักนานขึ้นและใช้จ่ายในชุมชนมากกว่า แต่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านักท่องเที่ยวแบบมวลชน

ก้าวต่อไป: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นจริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ระยะแรก (6 เดือนแรก): โครงการนำร่อง เริ่มจากการรวมกลุ่มคาเฟ่ที่สนใจประมาณ 5-10 ร้านในพื้นที่ใจกลางเมืองเชียงราย จัดหาศิลปินที่สนใจเข้าร่วม และสร้างตารางการจัดแสดงที่ชัดเจน จัดกิจกรรมเปิดตัวพร้อมประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สอง (ปีที่ 1-2): ขยายและพัฒนา หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ขยายไปยังคาเฟ่ในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ จัดกิจกรรมประจำปีเช่น Art & Coffee Festival และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อขอการสนับสนุน

ระยะที่สาม (ปีที่ 3 เป็นต้นไป): ยกระดับสู่มาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับเมืองศิลปะในต่างประเทศ เชิญศิลปินต่างชาติมาจัดแสดง และส่งศิลปินไทยไปแสดงในเมืองพี่เมืองน้อง พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมสำหรับบุคลากร และสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนซึ่งสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความต่อเนื่อง และคุณภาพ หากเชียงรายสามารถทำให้ศิลปะและกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของเมืองอย่างแท้จริง มันจะไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “วิถีเชียงราย” ที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เชียงรายไม่ต้องรออีกต่อไป

เชียงรายมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ที่มีชีวิตชีวาตลอดปี กาแฟคุณภาพสูงจากชุมชนท้องถิ่น คาเฟ่ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ศิลปินที่มีความสามารถและแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ความสำเร็จจาก Thailand Biennale ที่พิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ ส่องภาวะจิตภายใน: นิทรรศการที่สะท้อน “Soft Power” แห่งคาเฟ่ เพื่อเป็นการพิสูจน์แนวคิดนี้ การเคลื่อนไหวของศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความคิดที่สดใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเชียงราย ล่าสุดคือ นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์”

นิทรรศการนี้จัดแสดงโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ผู้ย้ายมาอยู่เชียงรายและสนใจงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับศิลปินรับเชิญ NANZI Nanzi Meechumna โดยใช้พื้นที่ของ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) เป็นพื้นที่ทดลอง

แก่นสารของงาน เป็นงานทดลองขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น บนชั้นสองของร้านกาแฟ ที่สำรวจ สภาวะจิตภายใน” ผ่านความสัมพันธ์บนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลและวาทกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดความคาดหวัง ความวิตกกังวล และการ นอยซ์” ภายในจิตใจ

  • งานทดลองกึ่ง Site-Specific: งานนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งเชื่อมโยงตัวตนบนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพในร้านกาแฟ
  • การเชื่อมโยงบริบท: สะท้อนความสัมพันธ์ของการกระทำที่ก่อให้เกิด ความนอยซ์” ที่ส่งคลื่นแทรกซ้อนไปในบริบทภายนอก พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมมองกลับเข้าสู่ภายในตัวเอง เพื่อสำรวจคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการตัดสินและความคาดหวังทางสังคม

นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์” จะจัดแสดงที่ OBOON Coffee House (ชั้นสอง) ตั้งแต่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 08.00 – 17.00 น. โดยมีการเปิดตัวในวันที่ 13 กันยายน เวลา 16.30 น. ซึ่งภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม Mangos(on)teen เปิดทำการอีกด้วย

การเกิดขึ้นของนิทรรศการเช่นนี้ในพื้นที่ของคาเฟ่ เป็นการตอกย้ำว่าเชียงรายมีศักยภาพในการเป็น เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่มีชีวิตชีวาด้วยตัวเอง การนำเสนอผลงานที่ลึกซึ้งและทันสมัยเช่นนี้ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างร้านกาแฟ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เชียงรายไม่ต้องรอให้ใครมาจุดไฟ แต่สามารถสร้างแสงสว่างให้ตัวเองได้ตลอดปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

Grocegry โตสวนทางเศรษฐกิจ! คนเชียงรายเปลี่ยนพฤติกรรม ซื้อถี่-คุมงบ-เน้นสุขภาพ

คนไทยรัดเข็มขัด หยิบตะหลิวแทนเมนู เชียงรายกำลัง “เข้าเทรนด์” ทำอาหารเอง-ซื้อรายวัน ตลาด Grocery โตสวนเศรษฐกิจ

ประเทศไทย, 1 ตุลาคม 2568 — เช้าวันจันทร์ที่ตลาดชุมชนย่านในเมือง รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงหน้าแผงผักจนแน่น กะหล่ำปลีหัวใหญ่ ผักกาดขาวสดฉ่ำ และเนื้อหมูส่วนสันในถูกหยิบกวาดลงตะกร้าทีละน้อยแต่ถี่ขึ้น แม่บ้านวัยทำงานบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ช่วงนี้ตั้งใจซื้อของสดทุกสองวัน จะได้ไม่ทิ้ง ลดค่าใช้จ่ายด้วย” ภาพเล็ก ๆ แบบนี้สะท้อน “สัญญาณใหม่” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศคนไทยหันมาทำอาหารเอง และ เปลี่ยนมาซื้อรายวัน มากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

ซึ่งเชียงรายกำลังเจอเทรนด์ “ทำอาหารเอง–ซื้อรายวัน” แบบเดียวกับประเทศ และมี “แรงส่ง” มากกว่าหลายพื้นที่จากฐานวิถีชุมชน–ธรรมชาติ–สุขภาพ ผู้ชนะจะเป็นครัวเรือนที่รู้จักวางแผนเมนู–คุมงบ–คุมคุณภาพ, ผู้ค้าปลีกที่ยืดหยุ่นด้วย SKU เล็ก–Omnichannel–มาตรฐานปลอดภัย และภาครัฐท้องถิ่นที่ทำให้ ข้อมูล–สุขอนามัย–โลจิสติกส์ เดินพร้อมกัน หากเชียงราย ผนวก Grocery เข้ากับ “เมืองแห่งสุขภาพ” ได้จริง เมืองจะไม่เพียงแค่ “รับเทรนด์” แต่จะ “ยกระดับคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน” ให้จับต้องได้ในจานข้าวทุกมื้อของคนเชียงราย

รายงานของ The 1 Insight (ศูนย์ข้อมูลพฤติกรรมสมาชิก The 1) ระบุชัดว่า สินค้ากลุ่ม Grocery ขยายตัวทั้ง “ปริมาณ” และ “ความถี่” เพราะผู้บริโภคเลือกทำอาหารเองแทนการรับประทานนอกบ้าน สินค้าหมวด วัตถุดิบทำอาหาร (Cooking Ingredients) โตแรงเป็นพิเศษเติบโตถึง 2 เท่า ในปีล่าสุด ขณะที่ “รูปแบบการซื้อ” ก็ขยับจากช็อปใหญ่ปลายสัปดาห์ มาเป็น ซื้อรายวัน–รายสองวัน” ในวันธรรมดา เพื่อควบคุมงบและลดของเสีย ส่วนที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ ต่างจังหวัดโตแรงกว่ากรุงเทพฯ โดย การใช้จ่ายต่อครั้งในต่างจังหวัดโตเร็วกว่าในเมืองถึงราว 2 เท่า สะท้อนว่า “หัวเมือง” กลายเป็นสมรภูมิเศรษฐกิจของตลาด Grocery แบบเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง

คำถามจึงโยนกลับมาที่เชียงรายเมืองชายแดนที่ตั้งเป้าเป็น “เมืองแห่งสุขภาพ–เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์” เราเจอเทรนด์นี้เต็ม ๆ แล้วหรือยัง และควรรับมืออย่างไรเพื่อให้ครัวเรือน–ผู้ประกอบการ–เกษตรกร ได้ประโยชน์สูงสุด

ภาพใหญ่ของพฤติกรรมใหม่ ทุกเจเนอเรชันลงครัว แต่คนละสไตล์

The 1 Insight แยกภาพผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ และเมื่อฉายลงสังคมเชียงรายที่มีทั้งครัวเรือนเกษตร, วัยทำงานกลับถิ่น, นักศึกษา และผู้สูงวัย จะเห็นว่า “ทุกกลุ่มพร้อมเข้าครัว” แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน

  • กลุ่มขับเคลื่อนหลัก (Gen X และ Millennial Family) ใช้จ่ายสูงสุดในหมวด Grocery รายการยอดนิยมคือ เนื้อสัตว์–ผักสด–เครื่องปรุงพื้นฐาน สอดคล้องครัวเรือนมีลูกเล็ก/ผู้สูงวัยอาศัยรวมกัน ทำให้ “ทำอาหารเอง” เป็นกิจวัตรเพื่อตอบทั้ง สุขภาพ–รสชาติ–ความหลากหลาย
  • กลุ่มใช้จ่ายต่อคนสูงสุด (Silver Spenders) แม้จำนวนไม่มาก แต่ จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงราว 3 เท่า เน้น วัตถุดิบคุณภาพสูง–ออร์แกนิก ตรงกับโครงสร้างประชากรเชียงรายที่มีสัดส่วนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น และความสนใจด้าน อาหารปลอดภัย–สุขภาวะ
  • กลุ่มเร่งรีบ (Gen Y/Gen Z เมือง–มหาวิทยาลัย) ผสม “ทำง่ายที่บ้าน” กับ สินค้าสะดวกทาน เช่น โยเกิร์ต อาหารแช่แข็ง ขนมปัง พร้อมเครื่องดื่มโปรตีน/นมทางเลือกเป็น สุขภาพแบบทันใจ

บทสรุปเชิงพฤติกรรม ภาพรวม ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่เป็น ลงทุนในคุณภาพชีวิต” ผ่านการคุมวัตถุดิบและโภชนาการด้วยตนเอง ขณะที่รูปแบบการซื้อที่ ถี่กว่า แต่ต่อครั้งน้อยลง กลายเป็นสมการใหม่ที่ค้าปลีก–ซัพพลายเชนต้องปรับตัว

ทำไมต่างจังหวัด (อย่างเชียงราย) โตไวกว่า 4 ปัจจัยโครงสร้างที่ผลักดัน

  1. โครงสร้างครัวเรือนและพื้นที่อยู่อาศัย
    บ้านเดี่ยว–ทาวน์เฮาส์ในเชียงรายเอื้อต่อ “ครัวจริงจัง” มากกว่าอยู่คอนโดพื้นที่จำกัดในเมืองใหญ่ การปรุงอาหารเองจึงสะดวกและคุ้มกว่า
  2. เครือข่ายตลาดสด–สินค้าเกษตรชุมชน
    เชียงรายมี ตลาดเช้าตามชุมชน–กลุ่มวิสาหกิจเกษตร ที่เข้าถึงง่าย ทำให้วัตถุดิบสดคุณภาพดีถูกนำเสนอได้ทุกวัน ตรงกับ “โมเดลซื้อรายวัน”
  3. วิถีสุขภาพ–เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
    จังหวัดผลักดันเรื่องสุขภาวะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอาหารปลอดภัย จิตสำนึกสุขภาพ สูงขึ้น วัตถุดิบดีมีทางเลือกมากขึ้น จึงเกิด “ดีมานด์บวก”
  4. อีคอมเมิร์ซ–เดลิเวอรีที่เข้าถึง
    บริการจัดส่งจากซูเปอร์มาร์เก็ต–ร้านโชห่วย–มินิมาร์ทยุคใหม่ ช่วย “ลดต้นทุนเวลา” สำหรับคนทำงาน/ครอบครัวเลี้ยงลูก ชี้ว่า Omnichannel เป็นบทใหม่ของต่างจังหวัดแล้ว

ผลรวมทั้งสี่ข้อ ทำให้เชียงราย อยู่ในตำแหน่งที่รับเทรนด์ได้เร็ว ยิ่งเมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องจัดลำดับความสำคัญค่าใช้จ่าย การซื้อถี่ขึ้นในพื้นที่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

สัญญาณที่เห็นได้ภาคสนาม (บนกรอบความเป็นกลาง)

แม้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขทางการรายจังหวัดอย่างละเอียด แต่จาก โครงสร้างตลาด–บริการที่เกิดขึ้นจริง สามารถระบุ “สัญญาณปลายทาง” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศ ได้แก่

  • ยอดสั่งเดลิเวอรีวัตถุดิบ/ของสดช่วงเย็น–หัวค่ำ เพิ่มขึ้นในย่านที่พักอาศัย/แหล่งงาน (แรงส่งจากแคมเปญสะสมแต้ม/ส่งฟรี)
  • ยอดขายวัตถุดิบเบสิก เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมูส่วนยอดนิยม ผักใบเขียว สมุนไพรพื้นฐาน (ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด) และ เครื่องปรุง “พรีเมียมขนาดเล็ก” สำหรับทำเมนูสุขภาพที่บ้าน
  • สินค้ากลุ่ม Ready-to-cook / Ready-to-heat เช่น อกไก่ปรุงรส, ข้าวโพด/ผักแช่แข็งพอร์ชันเล็ก, น้ำซุปเข้มข้นหมุนเวียนลอตไวขึ้น เพราะตอบโจทย์ ทำเอง ครึ่งหนึ่ง” ของคนเมืองเร่งรีบ
  • ตลาดชุมชนช่วงวันธรรมดา คึกคักขึ้น โดยเฉพาะเช้า/เย็น สอดคล้องแนวโน้ม ซื้อวันธรรมดา แทนซื้อรวบปลายสัปดาห์”

ทั้งหมดนี้สอดรับกับชุดข้อมูลของ The 1 Insight เรื่อง ซื้อรายวัน” และ “ต่างจังหวัดโตแรง” ซึ่งชี้ทิศทางชัดว่า เชียงรายกำลังเดินบนเส้นเดียวกับประเทศ

โอกาส–ความเสี่ยง–สิ่งที่เชียงรายควรทำ “ตอนนี้เลย”

1) โอกาสของครัวเรือน “กินดี–คุมงบ–ปลอดภัย”

  • สร้าง เมนูสั้น 7 วัน ที่ใช้วัตถุดิบทับซ้อน ลด Food Waste และประหยัดค่าเดินทาง
  • ใช้ ช่องทางเดลิเวอรี เฉพาะรายการหนัก/เน่าเสียง่าย (นม–เนื้อแช่เย็น) ลดทริปซื้อถี่โดยไม่เพิ่มต้นทุนเวลา
  • เลือก ตรารับรอง/มาตรฐานสุขอนามัย ของตลาด–ซูเปอร์–ร้านชำ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะครัวเรือนผู้สูงวัย/เด็กเล็ก

2) โอกาสของผู้ประกอบการค้าปลีก–เกษตร–แปรรูป “แพ็กเล็ก–หมุนไว–แต้มต่อสุขภาพ”

  • ปรับสินค้าเป็น พอร์ชันเล็ก–ขนาดทดลอง (SKU เล็ก) สำหรับลูกค้าที่ซื้อถี่และคุมงบ
  • เพิ่มไลน์ วัตถุดิบ–เซ็ตทำอาหารสุขภาพ (โปรตีนสูง/ไขมันดี/โซเดียมต่ำ) พร้อมสูตรทำง่าย 15–20 นาที
  • ทำ Omnichannel จริงจัง ร้านหน้าบ้าน + แอป/แชต + เดลิเวอรีภายใน 2 ชม. โดยเชื่อม คะแนนสมาชิก/แคมเปญสะสมแต้ม (ตัวอย่างความร่วมมือระดับประเทศอย่าง Tops x GrabMart ชี้ให้เห็นรูปแบบการเพิ่มความคุ้มค่าให้ลูกค้า)
  • ลงทุน โคลด์เชนต้นน้ำ–ปลายน้ำ (ตู้แช่/รถห้องเย็นขนาดเล็ก) และ มาตรฐานสุขอนามัย สร้างความต่างให้ต่างจังหวัดจับต้อง “คุณภาพระดับเมืองใหญ่”

3) โอกาสเชิงนโยบายเมือง “Wellness x Grocery = สุขภาพระดับครัวเรือน”

  • ผนวกแนวคิด Wellness City เข้ากับ พาณิชย์ชุมชน โครงการ “ครัวสุขภาพเชียงราย” ส่งเสริม ผัก–โปรตีนท้องถิ่น–สมุนไพรล้านนา พร้อมป้ายโภชนาการเข้าใจง่าย
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลค้าปลีก–ตลาดสดระดับจังหวัด (Dashboard เปิดเผยรายเดือน เช่น สินค้าขายดี 10 อันดับ วัตถุดิบขาด–ล้น) เพื่อให้ผู้ประกอบการ วางสต็อกตรงดีมานด์ ลดทิ้งของ ลดราคาเหวี่ยง
  • ดัน เทศกาลกินดี–ทำกับข้าวที่บ้าน ช่วง “ไหล่ฤดู” (หน้าฝน/ปลายฝน) เพื่อกระจายรายได้และดึงนักท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (เรียนทำอาหาร–เยี่ยมแปลงเกษตร–คาเฟ่สุขภาพ)

 “เช็กลิสต์ร้านดัง” สู่ “เมนูบ้านที่อร่อยและคุ้มกว่า”

“เมื่อก่อนเลิกงานก็ชวนกันกินข้าวนอกบ้าน สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เดี๋ยวนี้ทำกับข้าวเองสัก 3 วัน ที่เหลือค่อยสั่งกลับบ้าน” พ่อวัยทำงานย่านรอบเมืองเล่าให้ฟัง ในมือถือของเขามีลิสต์ส่วนผสมพื้นฐาน อกไก่ 500 กรัม, เห็ด 1 แพ็ก, ผักใบเขียว 2 ชนิด, ไข่ 10 ฟอง และโยเกิร์ต เซ็ตพื้นฐานที่อยู่ได้ 3–4 มื้อ ต้นทุนต่อจานลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการกินนอกบ้าน “ประหยัดขึ้น แต่ก็ได้คุณภาพอย่างที่อยากกิน” เขาว่า

ถัดจากนั้นไม่กี่ซอย คุณยายวัย 65 ปี หยิบผักออร์แกนิกและปลานิลจากบ่อชุมชนลงตะกร้า “หมอว่าให้ลดเค็มเพิ่มผัก” เธอเล่าว่าเลือกซื้อ พอร์ชันเล็ก แต่ ซื้อบ่อย เพื่อคงความสด “กินเท่าที่พออิ่ม ไม่ต้องเหลือทิ้ง”

เรื่องเล่าเล็ก ๆ เหล่านี้ คือชีวิตจริงของ “เทรนด์ใหญ่” ที่กำลังเคลื่อน ทำอาหารเอง, ซื้อรายวัน, เลือกสุขภาพ และเชียงรายก็กำลังเดินตามโค้งเส้นนี้อย่างสอดคล้อง

มองข้ามช็อต เชียงรายจะ “ชนะ” เทรนด์นี้ได้อย่างไรใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. แพ็กเกจ “ครัวสุขภาพเชียงราย”
    รวมชุดวัตถุดิบพื้นฐาน + สูตร 7 วัน + คูปองส่วนลดเดลิเวอรี/รับแต้มสมาชิก ร่วมมือซูเปอร์มาร์เก็ต–ตลาดชุมชน–เกษตรกรท้องถิ่น
  2. ตรารับรอง “สะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน” สำหรับตลาด–ร้านชำ
    สร้างความมั่นใจให้ผู้สูงวัย/ครอบครัว พร้อมอบรมสุขอนามัย–การจัดการโคลด์เชน การติดฉลากโภชนาการเข้าใจง่าย
  3. Open Data ค้าปลีก–อาหารปลอดภัยของจังหวัด
    ฐานข้อมูลราคากลาง–สินค้าขายดี แหล่งผลิตที่ตรวจสอบได้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ คุมสต็อก และช่วยผู้บริโภค คุมงบ ได้ด้วยข้อมูล
  4. ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (Learning Tourism)
    คอร์สสั้น “จากแปลงถึงจาน” เยี่ยมเกษตรกร–เรียนทำอาหารล้านนาสุขภาพ–กาแฟ/ชาเชียงราย รับเทรนด์ผู้สูงวัย–ครอบครัว–กลุ่มสนใจสุขภาพ
  5. ทางเท้าปลอดภัย แสงสว่าง–มุมพักคอยเดลิเวอรี
    รายละเอียดเล็ก ๆ แต่สำคัญในเมือง/หน้าตลาด รองรับพฤติกรรม “ซื้อถี่ รับของเร็ว” โดยเฉพาะช่วงเย็น–หัวค่ำ

ความเสี่ยงต้องระวัง ราคาเหวี่ยง ของเสีย–ความปลอดภัยอาหาร

  • ราคาเหวี่ยงช่วงสั้น เมื่อดีมานด์รายวันเพิ่ม หากสต็อกต้นน้ำ กลางน้ำไม่ยืดหยุ่น อาจเกิด “ดีดราคา” ชั่วคราว ทางออกคือ ข้อมูลล่วงหน้า–การกระจายสต็อก และ พอร์ชันย่อย
  • ของเสียจากซื้อถี่แต่เกินใช้ ต้องมี ความรู้จัดการวัตถุดิบ (เก็บยังไงให้สด, แปรรูปยังไงให้ยืดอายุ) สื่อสารผ่านโรงพยาบาล สาธารณสุข–ห้าง ตลาด
  • ความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) คุม โคลด์เชน–พื้นที่เตรียมอาหาร คุณภาพน้ำแข็ง การขนส่ง ให้เข้มมาตรฐานเดียวกันในตลาด โชห่วย รถพ่วงข้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The 1 Insight (กลุ่มเซ็นทรัล)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / เครือข่าย Wellness City (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, โรงพยาบาลในจังหวัด)
  • จังหวัดเชียงราย/กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • หน่วยงานมาตรฐานอาหารและสุขอนามัยระดับชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TRAVEL

สิ้นสุดยุคทัวร์ชะโงก เชียงรายต้องเร่งพัฒนา AI รับมือ 10 เทรนด์ท่องเที่ยวโลก 2026

เชียงราย สามารถตอบรับได้ 7 จาก 10 เทรนด์หลัก ด้วยศักยภาพด้านอากาศเย็น-ธรรมชาติ-วัฒนธรรมชนเผ่า แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว

เชียงราย, 1 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกที่กำลังเข้าสู่ปี 2026 จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “พร้อมแค่ไหนในการรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว”

รายงานเชิงลึกจากศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึง 10 แนวโน้มหลักของการท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกจุดหมายปลายทาง โดยมีแกนหลักอยู่ที่การเดินทางที่เน้นเจตจำนง ความยั่งยืน และการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของยุค “ทัวร์ชะโงก” และนำไปสู่การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และชุมชน

รายงานเชิงลึกจากหน่วยงานด้านตลาดการท่องเที่ยวและสถาบันวิจัยระดับนานาชาติ (TAT Academy, Mastercard Economics Institute, Virtuoso, Intrepid Travel ตลอดจนผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์) ชี้ประเด็นร่วมกันว่า นักเดินทางยุคใหม่กำลังมองหา “ประสบการณ์ที่มีเจตจำนงและคุณค่า” มากกว่า “ภาพถ่ายที่ได้เช็กอินครบทุกจุด” ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการปรับตัวของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั่วโลก—โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีธรรมชาติบริสุทธิ์อากาศเย็น วิถีชุมชนแท้ และบริการสุขภาพองค์รวมครบวงจร

และเมื่อย้อนมองเชียงราย—ซึ่งประกาศเป้าหมาย 20 ปีให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองแห่งสุขภาพ–เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง–พัฒนาอย่างยั่งยืน”—หลายฟันเฟืองที่เมืองนี้เดินไว้ล่วงหน้า กลับกลายเป็น “คำตอบตรงจังหวะ” ของ 10 เทรนด์ 2026 อย่างน่าสนใจ ซึ่ง 10 เทรนด์ท่องเที่ยวของโลก 2026 คือ

1) Coolcation Travel — “หนีร้อนสู่ขุนเขา” จุดแข็งโดยธรรมชาติของเชียงราย

คลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงทั่วโลกผลักให้นักท่องเที่ยวมองหาจุดหมายปลายทางที่อากาศเย็นกว่า มีภูเขาและป่าไม้ล้อมรอบ เทรนด์ “Coolcation” จึงพุ่งขึ้นเป็นตัวเลือกหลักของกลุ่มกำลังซื้อกลางถึงสูง เชียงรายมี “สินทรัพย์ธรรมชาติ” ตรงโจทย์—อุณหภูมิที่นุ่มนวลกว่าเมืองใหญ่ภาคกลาง–ภาคใต้ ช่วงฤดูหนาว–ปลายฝนมีหมอกไหล ภูเขาซ้อนคลื่น วิวพรีเมียมในระยะเดินทางสั้น ๆ จากตัวเมือง

2) Slow Travel — “น้อยเมือง–นานวัน–ลึกประสบการณ์”

แนวคิด “อยู่ให้นานขึ้น–รู้จักให้ลึกขึ้น” ทำให้เมืองรองที่มีจังหวะเนิบช้าได้รับความนิยม เชียงรายมีองค์ประกอบพร้อม เมืองขนาดกะทัดรัด–ขับรถสั้น ๆ ถึงชุมชนหัตถกรรม–ไร่กาแฟ–งานศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น กรณีตัวอย่างเช่นแพ็กเกจ “Active Senior 50+ – Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่จัดเส้นทาง 2 วันขึ้นไป ผสานพิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัดร่วมสมัย คาเฟ่ริมแม่น้ำ และโฮมคาเฟ่ชุมชน—เป็นภาพสะท้อนว่าตลาดพร้อมทดลอง “สโลว์–ดีพ–มีความหมาย”

3) Off-Season Travel — “หน้าฝน–ปลายฝน–ต้นหนาว” จากช่วงโลว์ สู่ช่วงรัก

การท่องเที่ยวนอกฤดู (off-season/shoulder season) ทำให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความแออัด มีพื้นที่สงบ และได้ราคาคุ้มค่า เชียงรายมี “เสน่ห์หน้าฝน”—เขียวชุ่ม ต้นน้ำไหล อากาศเย็นในบางอำเภอ หากมีแผนกิจกรรมเชิงธรรมชาติ–ศิลปวัฒนธรรม–เวิร์กชอป–คาเฟ่–สปา–ชุมชนรองรับ ก็สามารถเปลี่ยน “หน้าที่เคยเงียบ” ให้กลายเป็น “หน้าที่คนรัก”

4) Solo Travel — “อิสระ–ปลอดภัย–มีเพื่อนร่วมทางเมื่ออยากมี”

การเดินทางคนเดียวโดยเฉพาะนักเดินทางหญิงเติบโตเร็ว เงื่อนไขที่จุดหมายต้องมีคือความปลอดภัย การเดินทางสาธารณะสะดวก การต้อนรับเป็นมิตร และกิจกรรมที่คนเดียวก็สนุก เชียงรายมีเมืองที่เดินง่าย–คาเฟ่–สตูดิโอศิลป์–ชุมชนสร้างสรรค์–คอร์สสั้นและกิจกรรมเชื่อมคนแปลกหน้าผ่านงานคราฟต์/กาแฟ/โยคะ

5) Foodie Travel — “กินดี–ทำเอง–เข้าใจชุมชน”

เทรนด์อาหารปี 2026 เน้นอาหารท้องถิ่น–เอกลักษณ์–พร้อม “ลงมือทำ” เชียงรายมีทุนทางอาหาร–กาแฟ–ชา–ผักผลไม้ภาคเหนือ–ครัวชุมชน–โฮมคาเฟ่ รวมถึงเชฟ/ร้านที่หยิบจับวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูร่วมสมัย

6) Hyper-personalised Travel — “ทริปที่ใช่ ไม่ใช่ทริปที่เยอะ”

การออกแบบเส้นทางด้วยข้อมูลความสนใจรายบุคคล กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ เชียงรายมี “พาเลตต์ประสบการณ์” หลากหลาย แต่ยังต้องการ “โครงข้อมูล” ที่ต่อกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อคัดสรรทริปที่เหมาะกับบุคคล (เช่น ศิลป์–สุขภาพ–กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ–ถ่ายภาพ)

7) AI Fellow Travel — “เอไอเป็นเพื่อนร่วมทริป”

แนวโน้มปี 2026 ชี้ว่า AI จะช่วยวางแผน–จอง–อัปเดตความหนาแน่นจุดท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ เชียงรายควรมี ข้อมูลเปิด (open data) เช่น เวลาแออัด, ที่จอด, เส้นทางสั้น–ปลอดภัย, สภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ, งานอีเวนต์—เพื่อให้แชตบอต/เอไอของผู้เดินทาง “คุยกับเมือง” ได้

8) Holistic Travel — “เกินกว่า Wellness ฟื้นกาย–ใจ–อารมณ์แบบวัดผลได้”

โลกกำลังขยับจาก Wellness สู่ Holistic Travel—เน้นผลลัพธ์วัดได้ เช่น การนอน (sleep), การหายใจ/เยียวยาด้วยธรรมชาติและสายน้ำ (blue health), การพักเงียบ (silent retreat) เชียงรายประกาศทิศ “Wellness City” โดยมีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และเครือสาธารณสุขเป็นแกนวิชาการ/บริการ จุดแข็งคือธรรมชาติ–ศิลป์–วัฒนธรรมที่ช่วยซัพพอร์ตสุขภาวะเชิงลึก

9) Value-Driven Travel — “เที่ยวที่สะท้อนคุณค่า–คืนคุณค่าให้พื้นที่”

นักเดินทางเลือกจุดหมายที่เคารพสิ่งแวดล้อม มีความเป็นธรรม สนับสนุนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ “มีส่วนร่วม” เชียงราย—ด้วยโครงเรื่องเมืองสร้างสรรค์–ชุมชนเข้มแข็ง–หัตถกรรม/เกษตรคุณค่า—มีฐานพร้อมเปลี่ยนจาก “ผู้ชม” เป็น “ผู้ร่วมสร้าง”

10) Low-Carbon Luxury — “ลักชัวรีสายเขียว–เดินทางช้าลงแต่ลึกขึ้น”

กลุ่มลักชัวรีพร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืน (มีงานวิจัยระบุสัดส่วนสูงกว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรายได้สูงยอมจ่ายเพิ่มเพื่อทางเลือกที่ยั่งยืน) ความคาดหวังคือ carbon-tracking ของแพ็กเกจ การลดการบินต่อ การใช้รถไฟ/รถไฟหรู/EV การเข้าพักที่มีมาตรฐานพลังงานสะอาด–ของเสียต่ำ เชียงรายมีโรงแรมบูทิก–รีสอร์ตธรรมชาติหลายระดับและภูมิประเทศเอื้อต่อ “ความหรูสงบ” แต่ยังต้องยกระดับโครงสร้างสีเขียวและหลักฐานการลดคาร์บอนที่ตรวจสอบได้

 

การวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลภาคสนามและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับเทรนด์เหล่านี้ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านธรรมชาติ ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังคงมีช่องว่างสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการบริการที่ต้องเร่งพัฒนา

พันดาว 1000 Stars

จุดแข็งเด่นชัด อากาศเย็นและธรรมชาติ ตอบโจทย์เทรนด์ “Coolcation Travel”

หนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายคือความสามารถในการตอบสนองต่อเทรนด์ “Coolcation Travel” หรือการท่องเที่ยวเพื่อหนีความร้อน ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสหลักของตลาดโลก รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และ Virtuoso ระบุตัวเลขที่น่าสนใจว่า 82 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีพิจารณาจุดหมายปลายทางที่มีสภาพอากาศเย็นกว่า เนื่องจากทั่วโลกได้เผชิญกับปีที่ร้อนระอุมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023

เชียงรายด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิสามารถลดลงต่ำถึง 10-15 องศาเซลเซียส พื้นที่อย่างดอยตุง ดอยแม่สลอง และพื้นที่บนเขาในอำเภอเชียงของและอำเภอแม่สรวย ล้วนเป็นจุดหมายที่มีอากาศเย็นสบาย รายล้อมด้วยป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ข้อได้เปรียบนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่รายงานโดย Intrepid Travel ซึ่งระบุถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจุดหมายปลายทางที่มีทะเลสาบ ป่าไม้ และอากาศบริสุทธิ์ เชียงรายจึงมีโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและอากาศเย็นสบายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเขตเมืองใหญ่ที่ต้องการหนีความร้อนจากช่วงฤดูร้อน

Athu Akhahome

การท่องเที่ยวแบบ “ช้าๆ” และนอกฤดู ศักยภาพที่พร้อมใช้

เทรนด์ “Slow Travel” หรือการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเพื่อซึมซับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่เชียงรายมีศักยภาพสูงในการรองรับ จากข้อมูลโปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าเชียงรายสามารถนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เน้นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ไม่เร่งรีบ และเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรแกรมดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านดำ วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น การเรียนรู้งานศิลปะที่ขัวศิลปะ และการแวะเยี่ยมชุมชน Athu Akha Home ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าอาข่า กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เน้นการเดินทางเร่งรีบเปลี่ยนสถานที่ทุกชั่วโมง แต่มุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

การท่องเที่ยวในแบบนี้สอดคล้องกับรายงานของ The Getaway Co. ซึ่งระบุว่านักเดินทางในปี 2026 ต้องการใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง มากกว่าการเปลี่ยนเมืองใหญ่หลายแห่งภายในห้าวัน พวกเขาต้องการ “สัมผัส” สถานที่นั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “มองเห็น” เชียงรายซึ่งมีเมืองหลวงขนาดกะทัดรัด มีชุมชนท้องถิ่นที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม และมีแหล่งท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ในรัศมีไม่ไกลเกินไป จึงเหมาะสมกับการท่องเที่ยวแบบนี้อย่างยิ่ง

นอกจากนี้ เทรนด์ “Off-Season Travel” หรือการท่องเที่ยวนอกฤดูก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเชียงราย เนื่องจากจังหวัดนี้มีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้ในฤดูหนาว ทุ่งข้าวเขียวชอุ่มในฤดูฝน หรือบรรยากาศเงียบสงบในช่วงไหล่ฤดู การท่องเที่ยวนอกฤดูช่วยให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและเข้าถึงประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เชียงรายสามารถนำเสนอได้โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างใหม่มากนัก

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร จุดขายที่แข็งแกร่ง

เทรนด์ “Value Driven Travel” และ “Foodie Travel” เป็นอีกสองประเด็นที่เชียงรายมีความโดดเด่น เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ เช่น อาข่า ลาหู่ ยาว ม้ง ซึ่งแต่ละชนเผ่ามีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

โปรแกรม Athu Akha Home ที่ปรากฏในแผนการท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่มีคุณค่า นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เรียนรู้วิถีชีวิต ประเพณี และงานฝีมือท้องถิ่น การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิด “Authenticity is the new luxury” ที่รายงานโดย TAT Academy และหลายหน่วยงานระดับโลก ซึ่งระบุว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ได้แสวงหาโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดหรือจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ต้องการประสบการณ์ที่ “เป็นจริง” และสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นได้

ด้านอาหาร เชียงรายมีความหลากหลายทางอาหารท้องถิ่นที่โดดเด่น ทั้งอาหารล้านนา อาหารชนเผ่า และอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ร้านอาหารต่างๆ ที่ปรากฏในโปรแกรมท่องเที่ยว เช่น บ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพในการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชียงรายจะมีความหลากหลายของอาหารท้องถิ่น แต่ยังขาดการพัฒนาในด้าน “ประสบการณ์การทำอาหารด้วยตนเอง” (hands-on cooking experience) ที่เป็นส่วนสำคัญของเทรนด์ Foodie Travel ในปี 2026 ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ต้องการแค่ลิ้มลอง แต่ต้องการลงมือทำด้วยมือของตนเอง การพัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นหรืออาหารชนเผ่าที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่เชียงรายควรเร่งพัฒนา

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โอกาสที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่

เทรนด์ “Holistic Travel” หรือการเดินทางเพื่อเยียวยาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามภาวะการอดนอนว่าเป็น “การระบาดด้านสุขภาพทั่วโลก” ซึ่งทำให้การเดินทางที่มุ่งเน้นการพักผ่อน การฟื้นฟู และการเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้รับความสนใจอย่างสูง

เชียงรายมีศักยภาพในการรองรับเทรนด์นี้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักผ่อน ความเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ และบรรยากาศธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดหายไปคือโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ตอบสนองต่อเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเฉพาะทาง เช่น Sleep Tourism, Blue Health Travel และ Silent Retreats ซึ่งต้องการเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

รายงานจาก Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าโรงแรมระดับไฮเอนด์ในต่างประเทศได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น เตียงอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจและรูปแบบการหายใจ ระบบแสงสว่างตามวงจรชีวิต และเมนูอาหารที่ปรับสมดุลเมลาโทนิน แม้ว่าเชียงรายจะมีโรงแรมและรีสอร์ตจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีระดับนี้ยังไม่แพร่หลาย

อีกทั้ง แนวคิด Silent Retreats หรือการเดินทางเพื่อความเงียบ ซึ่งมุ่งเน้นการทำสมาธิโดยไม่มีการพูดคุย เขตปลอดหน้าจอ หรือการพักในเคบินที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง แม้ว่าเชียงรายจะมีพื้นที่ธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโปรแกรมประเภทนี้ก็ตาม การวิจัยระบุว่าการใช้เวลาในความเงียบช่วยลดฮอร์มอนความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และอาจส่งเสริมการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับจังหวัดที่ต้องการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ช่องว่างด้านเทคโนโลยี ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

หนึ่งในจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายในการรองรับเทรนด์การท่องเที่ยว 2026 คือช่องว่างด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเทรนด์ “Hyper-personalised Travel” และ “AI Fellow Travel” ซึ่งเป็นแกนหลักของประสบการณ์การท่องเที่ยวในอนาคต

รายงานของ TAT Academy ระบุว่านักท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ต้องรอให้ใครมาจัดทริปให้ พวกเขาสามารถใช้โลกออนไลน์ ทั้งโซเชียลมีเดียและปัญญาประดิษฐ์เพื่อออกแบบการเดินทางที่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการและตอบโจทย์ประสบการณ์ส่วนตัว ในอนาคตอันใกล้ AI จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือ แต่จะกลายเป็น “เพื่อนร่วมเดินทาง” ที่ช่วยวางแผน จอง และจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการ

สิ่งที่เชียงรายยังขาดหายไปคือระบบข้อมูลดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ไปจนถึงการอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI จำเป็นต้องใช้ในการให้คำแนะนำที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบจองออนไลน์ที่ทันสมัย ระบบชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่น่าสนใจ

Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อและการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้หมายความว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การฝึกอบรมผู้ประกอบการ และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวที่ครอบคลุมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

Solo Travel และความปลอดภัย ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

เทรนด์ “Solo Travel” หรือการเดินทางคนเดียวกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิง การเดินทางคนเดียวถูกมองว่าเป็นวิธีแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และเป็นรูปแบบที่ทรงพลังของการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยและการต้อนรับที่อบอุ่นสำหรับนักเดินทางคนเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญที่จุดหมายปลายทางต้องให้ความสำคัญ เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังขาดระบบสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น โรงแรมหรือที่พักที่ออกแบบมาสำหรับผู้เดินทางคนเดียวโดยเฉพาะ ทัวร์ “Solo Together” ที่จัดขึ้นสำห

รับนักเดินทางคนเดียวเพื่อสร้างการเชื่อมต่อโดยไม่มีข้อผูกมัด หรือแม้แต่แอปพลิเคชันและระบบข้อมูลที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวเดี่ยวรู้สึกปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ประเด็นด้านภาษาและการสื่อสารยังเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางคนเดียว การขาดข้อมูลภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่ครอบคลุมในสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และระบบขนส่งสาธารณะ อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่มั่นใจและลดความสนใจในการเลือกเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเดินทางคนเดียว

Social-First Itineraries และพลังของโซเชียลมีเดีย

อีกหนึ่งเทรนด์ที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญคือการที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok และ Instagram Reels ได้กลายเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ดูดี ถ่ายรูปสวย หรือกลายเป็นไวรัล สามารถทำให้จุดหมายปลายทางบางแห่งได้รับความนิยมอย่างมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

เชียงรายมีจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงในการกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะวัดร่องขุ่นที่มีสถาปัตยกรรมสีขาวล้วนที่โดดเด่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำที่มีความลึกลับและศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ทุ่งดอกไม้และวิวทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นความท้าทายใหม่ที่เชียงรายต้องเผชิญ

การที่สถานที่แห่งหนึ่งกลายเป็นไวรัลอาจนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประสบการณ์ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) การสร้างกฎระเบียบที่เหมาะสม และการสื่อสารกับชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสดังกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน

Low-Carbon Luxury Travel โอกาสสำหรับตลาดระดับสูง

เทรนด์ “Low-Carbon Luxury Travel” หรือการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีที่เน้นการลดคาร์บอน เป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ผลสำรวจในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับตัวเลือกที่มีความยั่งยืนมากกว่า

เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาตลาดนี้ โดยเฉพาะการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสานความหรูหราเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่แล้วเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดมายังเชียงราย การพักในรีสอร์ตที่ใช้พลังงานหมุนเวียน การรับประทานอาหารออร์แกนิกจากฟาร์มท้องถิ่น และการมีระบบติดตามคาร์บอนในแพ็กเกจการเดินทาง ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทรนด์นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนที่ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักความยั่งยืน และชุมชนท้องถิ่นที่ต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม

กรณีศึกษา โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย”

โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นตัวอย่างที่ดีของการพยายามตอบรับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ โปรแกรมนี้ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างวัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงการเรียนรู้ศิลปะที่ขัวศิลปะ และการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชนเผ่าที่ Athu Akha Home

โปรแกรมดังกล่าวตอบโจทย์เทรนด์ Slow Travel ด้วยการจัดกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบ ให้เวลานักท่องเที่ยวได้สัมผัสและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเทรนด์ Value Driven Travel ด้วยการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นและการให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ การเลือกร้านอาหารท้องถิ่นอย่างบ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth ยังตอบโจทย์เทรนด์ Foodie Travel ที่เน้นการลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์

การเลือกที่พักอย่าง เดอะ เลเจนด์ เชียงราย บูทิค รีสอร์ท ที่เป็นโรงแรมบูทิคขนาดเล็ก ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ใช่โรงแรมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบเหมือนกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนและจัดการการเดินทาง การเพิ่มกิจกรรมที่เน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น โยคะ สมาธิ หรือการออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ และการมีระบบติดตามคาร์บอนเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ Low-Carbon Luxury Travel

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สิ่งที่เชียงรายต้องทำเพื่อก้าวสู่ 2026

จากการวิเคราะห์ความสามารถของเชียงรายในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลก มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้

ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

  1. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน รวมถึงระบบอัปเดตเรียลไทม์
  2. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ เช่น ระบบจองออนไลน์ ระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI-ready เพื่อรองรับการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ด้านความปลอดภัยและบริการ

  1. พัฒนาระบบสนับสนุนนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น ที่พักที่เหมาะสม ทัวร์ Solo Together และแอปพลิเคชันความปลอดภัย
  2. ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านภาษาต่างประเทศในทุกจุดบริการ
  3. สร้างเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

  1. ส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรม Silent Retreats และ Wellness Programs ที่มีคุณภาพ
  2. สนับสนุนให้โรงแรมและรีสอร์ตลงทุนในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการนอนหลับ
  3. พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและการเยียวยาจิตใจ

ด้านความยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบติดตามและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับแพ็กเกจท่องเที่ยว
  2. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานประกอบการท่องเที่ยว
  3. พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านวัฒนธรรมและชุมชน

  1. เสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  2. พัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นและกิจกรรม hands-on experience ที่มีคุณภาพ
  3. สร้างกลไกการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนอย่างเป็นธรรม

ด้านการจัดการนักท่องเที่ยว

  1. พัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) ในจุดท่องเที่ยวหลัก
  2. สร้างช่องทางการสื่อสารและกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยว
  3. เตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางที่ต้องเดินหน้า

แม้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นในเชียงรายจะไม่ปรากฏในเอกสารที่นำมาประกอบข่าวนี้ แต่จากการวิเคราะห์รายงานของ TAT Academy สถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และหน่วยงานชั้นนำระดับโลกอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็น “อุตสาหกรรมบริการ” ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งประสบการณ์และคุณค่า”

Mastercard Economics Institute ย้ำว่าผู้บริโภคในปี 2026 มีความซับซ้อน ตระหนักถึงคุณค่า และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คำถามที่สำคัญที่สุดในการเดินทางในปี 2026 คือ “คุณไปทำไม” ไม่ใช่ “คุณไปไหน” การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการให้จุดหมายปลายทางอย่างเชียงรายปรับกระบวนทัศน์จากการ “ขายสถานที่” เป็นการ “นำเสนอความหมาย”

The Getaway Co. ซึ่งเป็นบริษัททัวร์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ได้สรุปไว้ว่า “การเดินทางในโลกยุคใหม่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มีสติ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความใส่ใจ วิธีการเดินทางมีความสำคัญพอๆ กับสถานที่ที่คุณไป”

เชียงรายยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นใน 3 เทรนด์หลัก ได้แก่:

  1. Coolcation Travel – ความได้เปรียบด้านภูมิอากาศเย็นและธรรมชาติ (ระดับความพร้อม: 90%)
  2. Slow Travel และ Off-Season Travel – วัฒนธรรมและชุมชนที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวแบบช้าๆ (ระดับความพร้อม: 80%)
  3. Value Driven Travel และ Foodie Travel – ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร (ระดับความพร้อม: 75%)

เทรนด์ที่มีความพร้อมปานกลาง ได้แก่: 4. Holistic Travel – มีพื้นฐานแต่ขาดโครงสร้างเฉพาะทาง (ระดับความพร้อม: 60%) 5. Low-Carbon Luxury Travel – มีโอกาสแต่ต้องลงทุนพัฒนา (ระดับความพร้อม: 55%)

เทรนด์ที่ยังมีความพร้อมต่ำและต้องเร่งพัฒนา ได้แก่: 6. Solo Travel – ขาดระบบสนับสนุนเฉพาะ (ระดับความพร้อม: 50%) 7. Hyper-personalised Travel – ขาดข้อมูลดิจิทัลและระบบ (ระดับความพร้อม: 40%) 8. AI Fellow Travel – ขาดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (ระดับความพร้อม: 30%)

เทรนด์ที่ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน: 9. Social-First Itineraries – มีศักยภาพแต่ขาดการจัดการที่เหมาะสม

ระยะเวลา 18 เดือนที่เหลือก่อนถึงปี 2026 เป็นช่วงเวลาทองสำหรับเชียงรายในการเร่งปิดช่องว่างเหล่านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น

การท่องเที่ยวในยุคใหม่ไม่ได้วัดความสำเร็จด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่วัดด้วยคุณภาพของประสบการณ์ ความยั่งยืนของผลกระทบ และความสามารถในการสร้างคุณค่าให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น เชียงรายมีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในยุค 2026 หากสามารถแก้ไขจุดอ่อนและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร 
  • ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย – รายงาน “10 Trends การท่องเที่ยว ที่ต้องรู้ในปี 2026” เผยแพร่เมื่อ 19 กันยายน 2568
  • Mastercard Economics Institute – “การพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 2026: จากการตะลอนเที่ยวสู่การเดินทางที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าและเจตจำนง”
  • The Getaway Co. – รายงาน “Unlock the Ultimate 2026 Travel Trends to Inspire Your Next Adventure” เผยแพร่เมื่อ 15 กรกฎาคม 2025
  • Virtuoso – การสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี ปี 2024
  • Intrepid Travel – รายงานแนวโน้มจุดหมายปลายทางยอดนิยม ปี 2024-2026
  • Eclectic Trends และ Travel Trade Days
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แผน 20 ปี เชียงราย สู่เมืองสร้างสรรค์-สุขภาพ-โลจิสติกส์ โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงรายเร่งทบทวนแผน 20 ปี สู่ “มหานครชายแดน” เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองสุขภาพ–โลจิสติกส์เชื่อม GMS ถ้าทำครบเกมรุก โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงราย, 30 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เมืองเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยตัวแทนกว่า 250 คน จากภาครัฐ ภาควิชาการ เอกชน และท้องถิ่น ภายใต้โจทย์เดียวกันว่า “แผน 20 ปี ของเชียงราย” ต้องถูก “ปรับจูน–ประกบ–เร่งเครื่อง” ให้เท่าทันโลกและบริบทใหม่ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ เชียงราย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เมืองแห่งสุขภาพ เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง พัฒนาอย่างยั่งยืน” ไปให้ถึงเส้นชัยตามกรอบ พ.ศ. 2566–2585

การประชุมเชิงปฏิบัติการฉบับทบทวนครั้งนี้มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และมี น.ส.ปัทมาภรณ์ จันทรคณา ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดฯ ชี้แจงกรอบดำเนินการ ว่าการทบทวนนี้สอดคล้องแนวทางของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ที่กำหนดให้ทุกจังหวัดปรับเป้าหมายพัฒนา “ทุก 5 ปี” เพื่อไม่ให้แผนระยะยาวล้าสมัย และเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่อัปเดตแล้วจริง

เส้นเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน จากจังหวัดปลายทางท่องเที่ยว สู่มหานครชายแดนที่ยั่งยืน

คำถามที่ทุกคนเฝ้าฟังคำตอบคือ—ถ้าทำตามแผนได้ครบ เชียงรายจะยืนอยู่จุดไหน?”
คำตอบถูกวางไว้ชัดในเอกสารประชุม เชียงรายจะก้าวเป็น “Sustainable Border Metropolis” เมืองชายแดนที่เติบโตด้วยความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ เชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับจีน–ลาวผ่านระเบียงเศรษฐกิจ R3A/NSEC และยืนหยัดด้วย “โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง–ซอฟต์เพาเวอร์ทรงพลัง–ฐานรากเข้มแข็ง–สิ่งแวดล้อมสมดุล”

4 ช่วงเวลา 20 ปี จังหวะก้าวที่ถูกกำหนด

  • ช่วงที่ 1 (2566–2570): ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เชิงสุขภาพ เกษตรปลอดภัย—สร้างแบรนด์และจุดจำหน่าย/กิจกรรมที่หนุนเศรษฐกิจฐานราก
  • ช่วงที่ 2 (2571–2575): เร่งผลักดัน UNESCO Creative City และ Geopark, เปิดใช้โครงสร้างพื้นฐานหลัก, เดินเครื่อง Smart City และ “นวัตกรรมการแพทย์”
  • ช่วงที่ 3 (2576–2580): ขยายบทบาทสู่ ศูนย์กลางสุขภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ดัน “เกษตรมูลค่าสูง” และจัดการทรัพยากรแบบสมดุล
  • ช่วงที่ 4 (2581–2585): ปิดเกมด้วย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง, เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง, เมืองคาร์บอนต่ำ, และ สังคมร่วมสมัยที่เท่าเทียม

จุดเด่นที่ “เริ่มทำแล้ว” ฐานรากกับฟันเฟืองที่หมุนอยู่จริง

ตลอดสองปีแรกของแผน จังหวัดรายงาน “ความคืบหน้าเชิงรูปธรรม” หลายมิติ ซึ่งเป็น “หมุดหมายตั้งต้น” ของการเปลี่ยนผ่าน

1.เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ / Soft Power เมือง

  • เชียงรายเดินเกมแบรนด์เมืองต่อเนื่อง ภายใต้กรอบเมืองสร้างสรรค์ และกิจกรรมระดับนานาชาติ (เช่น เทศกาลบอลลูนนานาชาติที่คว้ารางวัล) เพื่อยกระดับการรับรู้ พร้อมโยงสู่การยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตร–หัตถกรรม ด้วยดีไซน์/เรื่องเล่าที่จับใจ
  • เมืองหันจากการขาย “สถานที่” ไปสู่การขาย “ประสบการณ์” และ “อารมณ์ร่วม”—ตั้งแต่งานออกแบบเชิงวัฒนธรรมล้านนา จนถึงผลิตภัณฑ์กาแฟ/ชา/สิ่งทอที่เล่าเรื่องชุมชนได้
  1. เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) รับบท “สมองและหัวใจ” ของนวัตกรรมสุขภาพจังหวัด ผลักดันองค์ความรู้/งานวิจัย/หลักสูตร/บริการ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ผลิตภัณฑ์สมุนไพร/อาหารสุขภาพ ที่มีรากจากภูมิปัญญาล้านนา
  • สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลเครือข่าย เดินเกม “สุขภาพไปหาเมือง” เช่น โมเดลคลินิก/จุดตรวจ/ฉีดวัคซีนในพื้นที่ใช้ชีวิตจริง (ศูนย์การค้า/ชุมชน) ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ สร้างวัฒนธรรม “ดูแลตัวเองเป็นกิจวัตร”

2.ศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ รายงานความก้าวหน้าประมาณ 41% (คาดเปิดใช้งาน พ.ศ. 2571) ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมเหนือ-ลุ่มน้ำโขง-จีน บทบาท “ด่านเชียงของ/สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4” จะยิ่งโดดเด่น
  • โครงข่ายถนน/อุโมงค์/ทางลอดสำคัญในเมืองเดินหน้า (เช่น ทางลอดแยกศูนย์ราชการ), ระบบเชื่อม R3A ได้รับการเร่งรัด เพื่อรองรับคน–ของ–บริการสุขภาพข้ามแดน
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง (CEI) อยู่ในแผนยกระดับความจุและบริการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะเป็น “หมุดธุรกิจ” เสริมบทบาทการบิน/ท่องเที่ยว/ขนส่งในอนาคต

ถ้าดึง 3 ฟันเฟืองนี้ประสานกัน—การเดินทางสะดวก (Rail/Road/Air), เมืองมีซอฟต์เพาเวอร์จริงจัง, และบริการสุขภาพ–นวัตกรรมเข้าที่—เชียงรายจะเปลี่ยน “สถานะ” ทางเศรษฐกิจของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าทำครบ…เชียงรายจะยืนตรงไหนในแผนที่เศรษฐกิจ–สังคมของภาคเหนือและ GMS?

  1. เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง
    สถานะ UNESCO Creative City (และแผน Geopark) จะเป็น “ตราประทับคุณภาพ” ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อมกิจกรรมศิลปะ–วัฒนธรรม–การออกแบบ–เทศกาล สู่ผลิตภัณฑ์/บริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น ชุมชนมีรายได้กระจาย ไม่ใช่กระจุกในแลนด์มาร์กไม่กี่แห่ง
  2. ศูนย์กลางสุขภาพ GMS
    ด้วย “บันได 3 ขั้น”—(ก) โครงสร้างพื้นฐานเข้าถึงง่าย, (ข) นวัตกรรมการแพทย์/ผลิตภัณฑ์สุขภาพจาก มฟล.–สาธารณสุข, (ค) แพ็กเกจ Wellness & Medical Tourism—เชียงรายสามารถเป็น ศูนย์กลางส่งเสริมสุขภาพ สำหรับผู้คนจากลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้–นักเดินทางระหว่างประเทศ ที่ต้องการบริการคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้
  3. ศูนย์กลางโลจิสติกส์–การค้าชายแดน
    รถไฟทางคู่ไปถึงเชียงของ = ลดต้นทุน–เวลา ขยายคลัง/ศูนย์กระจายสินค้า/แปรรูป–บรรจุภัณฑ์ เกิดงานบริการต่อเนื่อง (ขนส่งเย็น, e-commerce cross-border, QC/มาตรฐานอาหารปลอดภัย) เมืองกลายเป็น “เครือข่ายศูนย์” ไม่ใช่ “ปลายเส้นทาง”
  4. เมืองคาร์บอนต่ำและสังคมเท่าเทียม
    โลจิสติกส์ระบบราง + ผังเมืองที่ดี + พลังงานสะอาด + การจัดการของเสีย–มลพิษ หมายถึงเส้นทางสู่ Net-Reduction ที่จับต้องได้ ขณะที่การกระจายรายได้ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์/สุขภาพ/โลจิสติกส์ จะค่อย ๆ อุดช่องว่าง SDG 1 (ความยากจน) ให้แคบลง

แต่ “จุดเสี่ยง–คอขวด” ก็ใหญ่พอ ๆ กับความฝัน

  • SDG 9 (นวัตกรรม–โครงสร้างพื้นฐาน) หากงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, ศูนย์ทดสอบ–มาตรฐาน, Sandbox นวัตกรรมเมือง ไม่ขยับเร็ว แพลน Smart City/HealthTech ในระยะที่ 2 จะช้า
  • SDG 7 (พลังงานสะอาด) เมืองคาร์บอนต่ำในระยะที่ 4 ต้องเริ่มลงทุน “วันนี้”—โซลาร์บนหลังคาสาธารณะ/เอกชน, EV logistics, โรงไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล–เศษวัสดุเกษตร, ศูนย์รีไซเคิล–แยกขยะต้นทาง
  • SDG 1 (ความยากจน) ถ้า “มูลค่าเพิ่ม” ไม่ซึมถึงฐานราก—เกษตรกร/แรงงานนอกระบบ/ผู้สูงอายุ การเติบโตจะกระจุก ไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องออกแบบ “Product–Skill–Market” สำหรับฐานรากอย่างเป็นระบบ

Roadmap เร่งด่วน 3 ข้อ (เพื่อไม่ให้พลาดโค้งสำคัญใน 5 ปีแรก)

  1. ทำ SDG 9 และ 7 ให้เป็น “KPI ข้ามหน่วยงาน”
    ตั้งงบกลางจังหวัดสำหรับ ดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานเมือง/ห้องทดลองมาตรฐาน และ โครงการพลังงานสะอาดในสถานที่สาธารณะ ที่วัดผลได้—เชื่อมตรงกับเป้าหมาย Smart City–คาร์บอนต่ำ
  2. ใช้ “จังหวะรถไฟ–R3A–สนามบิน” เป็นเครื่องเร่ง
    ก่อนรถไฟเปิดเต็มระบบ ควรทำ แพ็กเกจโลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–สุขภาพ ทดลองตลาดจีนตอนใต้/CLMV ผ่านถนน R3A พร้อมเชื่อมปฏิบัติการสนามบิน/ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ที่กำลังยกระดับ
  3. ยก “ดีไซน์” เป็นวาระจังหวัด–บ่มเพาะผู้ประกอบการฐานราก
    ต่อท่อความรู้จากมหาวิทยาลัย/ดีไซเนอร์ ไปยังเกษตรกร–วิสาหกิจชุมชน—ให้มีงบ “ออกแบบ–ต้นแบบ–แบรนด์–คอนเทนต์–ตลาดออนไลน์” แบบมืออาชีพต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อแปลง Soft Power เป็นรายได้จริง

เสียงจากเวทีและหมายเหตุเชิงนโยบาย

แม้เวทีวันนี้จะเป็นเชิงเทคนิค แต่สารตั้งต้นจากฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัดชัดเจน “ไม่ใช่แค่ทำแผนให้ครบ เรายิ่งต้อง ‘ทำงานแบบเครือข่าย’” — ภาครัฐ (จังหวัด/อำเภอ/อปท.), มหาวิทยาลัย (มฟล./มหาวิทยาลัยในพื้นที่), สาธารณสุข, เอกชน (ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การแพทย์–การบิน), ชุมชน ต้อง “ล็อกเป้าร่วม” และ “รายงานผลร่วม” ทุก 6–12 เดือน เพื่อให้ทุกโครงการ “คืบหน้าเท่ากัน” ไม่ใช่ไปเร็วเฉพาะบางเสาแล้วเหลื่อมล้ำในภาพรวม

ภาพที่เห็นได้ชัดหลังปิดการประชุมคือ “เชียงรายเริ่มมีร่างของมหานครชายแดน”—เส้นเลือดใหญ่กำลังก่อรูป, กล้ามเนื้อเศรษฐกิจสร้างสรรค์เริ่มขึ้นรูป, ปอดสีเขียว–สุขภาพเมืองกำลังถูกออกแบบ… “งานยาก” คือการทำให้ทุกอวัยวะ เต้นจังหวะเดียวกัน ตลอด 20 ปี

สรุปสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/หน่วยงาน

  • ธีมเมือง “ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ + สุขภาพ + โลจิสติกส์ชายแดน + คาร์บอนต่ำ” คือสูตรผสมที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ–วัฒนธรรม–พรมแดนของเชียงราย
  • ตัวเร่ง ทำ SDG 9 และ 7 ให้ “ขึ้นจริง” ใน 3 ปี—เพราะเป็นฐานของ Smart City, HealthTech, และคาร์บอนต่ำ
  • ตัวชี้ขาด โครงสร้างพื้นฐาน “เดินตามแผน” + กลไกกำกับแบบ KPIs ข้ามหน่วยงาน + เงินทุน/มาตรการจูงใจเอกชน
  • ภาพเส้นชัย เชียงรายเป็นเมืองปลายทางที่ผู้คน “อยากไป–อยู่ได้–ทำงานได้–รักษาพยาบาลได้–ค้าขายเชื่อมโลกได้” และฐานราก “อยู่ดี–มีกิน–สะอาด–เท่าเทียม”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย — กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) / ก.น.บ.
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) / สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมทางหลวง
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT
  • เครือข่ายการท่องเที่ยว/อุตสาหกรรมสร้างสรรค์จังหวัดเชียงราย
  • กรอบ SDGs ระดับจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News