Categories
NEWS UPDATE

“อนุพงษ์” สั่งทุกจังหวัดใช้กฎหมาย ขออนุญาตสร้างอาคารไม่ป้องกันไฟ

วันนี้ (3 ส.ค. 66) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ให้เข้มงวดในการตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย ดังกรณีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าดอกไม้เพลิงที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ตามที่ปรากฏข่าว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้า ตามที่ปรากฏในข่าวที่มีการลักลอบนำดอกไม้เพลิงมาเก็บไว้บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในลักษณะนี้ จึงได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ดำเนินการให้ความสำคัญในการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 อย่างเคร่งครัด และให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบ สอดส่องดูแล หากเห็นว่าอาคารมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามความจำเป็นและเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร และหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และเจ้าพนักงานท้องถิ่นเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่อาจรอช้าไว้ได้และมีความจำเป็น ให้มีคำสั่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 7 ห้ามใช้อาคารทั้งหมดหรือบางส่วนจนกว่าจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แจ้งเตือนหรือประชาสัมพันธ์ผ่านหอกระจายข่าว และช่องทางการประชาสัมพันธ์ทุกหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อช่วยดูแล ป้องกัน และเฝ้าระวัง สอดส่องดูแลอาคาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชน โดยเฉพาะอาคารที่ถูกดัดแปลงหรือไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงวัสดุ สิ่งของ หรือสิ่งผิดปกติที่เก็บไว้ในอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบทันที เพื่อป้องกันเหตุที่อาจก่อให้เกิดอันตราย มิให้เกิดขึ้น

“หากพี่น้องประชาชนพบเห็น อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ หรือโทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ damrongdhama.dopa.go.th หรือแอปพลิเคชั่น Dopa Help ทั้งระบบ Android และ iOS” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สธ.เฝ้าระวังมลพิษจากโกดังพลุระเบิด รัศมี 500 เมตร พบน้ำยังมีปัญหา!

 วันนี้ (1 สิงหาคม 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการเผาไหม้ของดินปืน อาจทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ รวมถึงปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในแหล่งน้ำได้ ล่าสุด นพ.ชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ได้รายงานความคืบหน้าการตรวจเฝ้าระวังผลกระทบมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยคณะกรรมประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) ทั้ง 13 อำเภอใน จ.นราธิวาส ศูนย์อนามัยที่ 12 ยะลา และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา ได้ลงพื้นที่ร่วมคัดกรองผลกระทบด้านสุขภาพ เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย รวมถึงตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพแหล่งน้ำใช้ โดยเครื่องมือวัดภาคสนาม ณ จุดเกิดเหตุและรัศมี 500 เมตรโดยรอบ พบว่าไม่มีปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ส่วนคุณภาพน้ำยังไม่เหมาะสมทั้งการอุปโภคและบริโภค จึงเสนอให้ใช้แหล่งนำจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ประปา อบต. และน้ำบาดาลโรงเรียนมูโนะ เป็นต้น


          นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ ทีม MCATT จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ และ 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส ลงพื้นที่เยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวในโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก 10 ราย เป็นผู้ใหญ่ 8 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 7 ราย และเด็ก 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย 2.ครอบครัวผู้เสียชีวิต 1 ครอบครัว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ประเมินบุตรของผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย และ 3.ผู้ได้รับผลกระทบในหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 5  จำนวน 241 ราย เป็นผู้ใหญ่ 209 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 43 ราย เด็ก 32 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 8 ราย รวมผู้มีความเสี่ยงทางสุขภาพจิตทั้งหมด 62 ราย ซึ่งทุกรายทีม MCATT ได้ให้การปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นแล้ว สำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ยังได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วย Crisis intervention หรือการช่วยให้วางแผนรับมือความเครียดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และในรายที่พบความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต จะส่งต่อให้ทีม MCATT ในพื้นที่ประเมินตามมาตรฐานการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลเชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา สร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย

วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 ส.ค. 66 กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคมและเครือข่ายงดเหล้า จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้คำขวัญ “ไกลเหล้า ไกลโรค ไกลอุบัติเหตุ”
 
ในโอกาสนี้ รัฐบาลจึงขอเชิญคนไทยทุกคนร่วมลด ละ เลิก เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอดเทศกาลเข้าพรรษาที่จะมาถึง ให้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ  ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่าทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมากกว่า 230 ชนิด  นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความสูญเสียกับครอบครัวและสังคมโดยรวมจากอุบัติเหตุ ที่นำมาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายได้
 
 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังช่วยลดรายจ่ายภาคครัวเรือนได้มาก ซึ่งข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ด้านพฤติกรรมการดื่มสุราของประชากรไทย ปี 65 ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 64 เหล่านักดื่มต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดื่มเพิ่มขึ้นจากในปี 60 เกือบ 2 เท่า โดยผู้ดื่มหนักเป็นประจำ มีค่าใช้จ่ายการดื่มสุราเฉลี่ยสูงถึง 3,722 บาทต่อเดือน
 
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และมิติของสังคม โดยมิติทางเศรษฐกิจนั้นได้มีกฎกระทรวงที่ลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบการอนุญาตให้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือนพ.ย.65 เพื่อประโยชน์ในการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และลดการผูกขาดทางการตลาด แต่ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อจำกัดไม่ให้กิจกรรมที่มาจากการแข่งขันทางธุรกิจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้น
 
ตลอดจนขับเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประชาชนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ต้องเน้นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เช่น ควบคุมจุดจำหน่าย ความหนาแน่นของร้านค้า การกำหนดโซนนิ่ง เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมการขนส่งทางราง เผยช่วงวันหยุดสะสม 3 วัน 3.01 ล้านคน-เที่ยว

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา 3 วันคือ วันที่ 28 – 30 กรกฎาคม 2566 มีประชาชนใช้บริการระบบรางรวม 3,005,848 คน-เที่ยว ประกอบด้วย รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 261,625 คน-เที่ยว แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 104,502 คน-เที่ยว และผู้โดยสารเชิงสังคม 157,123 คน-เที่ยว 

 

โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 134,645 คน-เที่ยว และขาเข้า 126,980 คน-เที่ยว ซึ่งพบว่า 

 – สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 87,610 คน-เที่ยว (ขาออก 45,357 คน-เที่ยว และขาเข้า 42,253 คน-เที่ยว) 

 – รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ 66,501 คน-เที่ยว (ขาออก 35,022 คน-เที่ยว และขาเข้า 31,479 คน-เที่ยว) 

 – สายเหนือ 54,009 คน-เที่ยว (ขาออก 26,597 คน-เที่ยว ขาเข้า 27,412 คน-เที่ยว) 

 – สายตะวันออก 32,763 คน-เที่ยว (ขาออก 17,077 คน-เที่ยว ขาเข้า 15,686 คน-เที่ยว) 

 – และสายมหาชัย/แม่กลอง 20,742 คน-เที่ยว (ขาออก 10,592 คน-เที่ยว ขาเข้า 10,150 คน-เที่ยว) 

 

และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง)) สะสม 3 วัน มีผู้ใช้บริการแล้ว 2,744,223 คน-เที่ยว ประกอบด้วย Airport Rail Link 144,397 คน-เที่ยว สายสีแดง 44,770 คน-เที่ยว สายฉลองรัชธรรม(สีม่วง) 97,759 คน-เที่ยว สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 701,465 คน-เที่ยว สายสีเหลือง 110,108 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 1,645,724 คน-เที่ยว ทั้งนี้ พบว่า เมื่อวาน (วันที่ 30 กรกฎาคม 2566) ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของวันหยุดต่อเนื่องระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 – 2 สิงหาคม 2566 มีประชาชนใช้บริการระบบราง รวมทั้งสิ้นจำนวน 933,794 คน-เที่ยว (ไม่รวมผู้โดยสารรถไฟทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 12 คน) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 80,348 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง (รวมสายสีแดง) จำนวน 853,446 คน-เที่ยว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

 

1. รถไฟระหว่างเมืองของ รฟท. ให้บริการรวม 228 ขบวน มีผู้ใช้บริการจำนวน 80,348 คน-เที่ยว แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 32,769 คน-เที่ยว และเชิงสังคม 47,579 คน-เที่ยว โดยมีผู้โดยสารขาออกจำนวน 38,195 คน-เที่ยว และผู้โดยสารขาเข้า 42,153 คน-เที่ยว โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 27,238 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 13,067 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 14,171 คน-เที่ยว) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการ 20,032 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 9,640 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 10,392 คน-เที่ยว) สายเหนือ 16,001 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 7,277 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 8,724 คน-เที่ยว) สายตะวันออก 10,440 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 4,857 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 5,583 คน-เที่ยว) และสายแม่กลองและมหาชัย 6,637 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 3,354 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 3,283 คน-เที่ยว) 

2. ระบบรถไฟฟ้า ให้บริการเดินรถไฟฟ้ารวม 2,433 เที่ยว มีผู้ใช้บริการรวมจำนวน 853,446 คน-เที่ยว ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link ให้บริการ 174 เที่ยว จำนวน 44,119 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ให้บริการ 230 เที่ยว จำนวน 13,179 คน-เที่ยว (ไม่รวมผู้โดยสารรถไฟทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 12 คน) รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 216 เที่ยว จำนวน 29,448 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 278 เที่ยว จำนวน 238,873 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 216 เที่ยว จำนวน 25,788 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) ให้บริการรวม 1,319 เที่ยว มีผู้ใช้บริการจำนวน 502,039 คน- เที่ยว (สายสีเขียว 493,740 คน-เที่ยว และสายสีทอง 8,299 คน-เที่ยว) สำหรับด้านความปลอดภัย มีเหตุอันตรายต่อการเดินรถไฟ 2 ครั้ง 

 

โดยเมื่อเวลา 06.38 น. ผู้โดยสารหญิง บนขบวนรถด่วนที่ 51 (กรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่) ถูกประตูห้องน้ำหนีบบริเวณมือ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ขอลงรักษาตัวที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ และเมื่อเวลา 07.17 น. ขบวนรถด่วนที่ 86 รถนั่งชั้น 3 เลขที่ 1193 เพลาล้อที่ 1 ด้านซ้ายมีอาการร้อนจนไม่สามารถพ่วงต่อไปปลายทางได้ เจ้าหน้าที่ได้ตัดรถไว้ที่สถานีศาลายาเพื่อทำการซ่อมแซม โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับอันตรายจากเหตุการณ์นี้ และสำหรับระบบรถไฟฟ้า ไม่มีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางรางได้ประสานผู้ให้บริการระบบราง พิจารณาดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยฯ มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ปฏิบัติงานในการให้บริการเดินรถไฟ รวมทั้งประสานฝ่ายความมั่นคงมาช่วยดูแลในพื้นที่ระบบรางมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 – 2 สิงหาคม 2566นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางราง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 130 ปี องค์กรอัยการ

วันนี้ (27 กรกฎาคม 2566) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 130 ปี องค์กรอัยการ เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว    ที่พระองค์ทรงนำระบบอัยการในประเทศภาคพื้นยุโรป และอังกฤษมาปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทย รวมทั้งเพื่อเป็นที่ระลึก และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานของสำนักงานอัยการสูงสุดให้หน่วยงาน องค์กร ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ โดยจัดทำเป็นเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา มีลวดลาย

ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดสากล ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”

ด้านหลัง กลางเหรียญมีรูปเครื่องหมายราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า “๑๓๐ ปี องค์กรอัยการ ๑ เมษายน ๒๕๖๖” เบื้องล่างมีข้อความว่า “ประเทศไทย” ด้านขวามีเลขบอกราคาว่า “๒๐” ด้านซ้ายมีข้อความว่า “บาท”

ผู้ที่ประสงค์จะขอแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกดังกล่าว สามารถติดต่อขอแลกได้ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ตามช่องทางดังนี้
ส่วนกลาง
• กองบริหารเงินตรา ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี โทร. 0 2565 7944
• หน่วยรับและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2282 4109
• หน่วยจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2618 6340
ส่วนภูมิภาค
• สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ทั่วประเทศ
ช่องทางออนไลน์
• www.treasury.go.th (บริการออนไลน์ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ด้านเหรียญ)
โดยการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ผู้สั่งซื้อเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารเงินตรา โทร. 0 2565 7944 และCall Center กรมธนารักษ์ โทร. 0 2059 4999

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมธนารักษ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ลงตรวจโลจิกติกส์ กัน “ยาเสพติด” ขนส่งสินค้าแนวชายแดน

 
เมื่อ 6 กรกฎาคม 2566 พันเอก นิรันดร์ พึ่งโต หัวหน้าฝ่ายกรรมวิธีข้อมูลศูนย์อำนวยการปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ และคณะฯ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค5 ลงพื้นที่กวดขันการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน การลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทาง ระบบการ ขนส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์ (Logistics) ในพื้นที่อำเภอชายแดน ของ จว.ช.ม. ดังนี้
 
 
1. Kerry Exprees สาขาเชียงดาว
2. บริษัทนิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัดสาขาเชียงดาว
3. J&T Express สาขาเชียงดาว
4. บริษัทปุณปุณขนส่ง บ.ห้วยลึก
5. ไปรษณีย์ สาขาไชยปราการ
6. นิ่มเอ็กซ์เพรส สาขาไชยปราการ
7. FIash Express สาขาไชยปราการ
8. FIash Express อ.ฝาง
9. J&T Express อ.ฝาง่เชียงใหม่
 
 
มาตรการที่สำคัญในการดำเนินการต่อสถานประกอบการ โลจิสติกส์ จากการตรวจสอบครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อสร้างการรับรู้ ให้กับสถานประกอบการและประชาชน ให้มีส่วนร่วมการสกัดกั้นยาเสพติด ในสถานประกอบการและการบังคับใช้กฎหมาย ตามอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อให้ตระหนักถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างจริงจังในการปฏิบัติงาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่สำคัญ
 
 
สำหรับผลการตรวจ สถานประกอบการดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่มีความเข้าใจในข้อกำหนดที่ต้องปฎิบัติและได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เป็นอย่างดี มีข้อควรปรับปรุงแก้ไขเล็กน้อย ซึ่ง เจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 ได้ให้คำแนะนำ และให้แนวทางในการปฏิบัติ และการสังเกตุ พัสดุต้องสงสัยต่างๆ และข้อควรปฏิบัติเมื่อตรวจพบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ครม. “ประยุทธ์” ปฏิรูปกฎหมาย ล้างวาทกรรม ‘คุกมีไว้ขังคนจน’

 

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 จำนวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย 

1.ร่างกฎกระทรวงการแสวงหาข้อเท็จจริง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการชี้แจง หรือแก้ข้อกล่าวหา พ.ศ. …. 

2.ร่างกฎกระทรวงการชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. และ 

3.ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ….

 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า กฎหมายลำดับรอง 3 ฉบับจะสนับสนุนให้การบังคับใช้บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา และจะมีผบังคับใช้ในวันที่ 22 มิถุนายน 2566 นี้เกิดผลได้จริง เพื่อเป็นการปฏิรูปกฎหมายครั้งสำคัญโดยกำหนดให้ผู้กระทำความผิดเพียงเล็กน้อยต้องชำระค่าปรับอย่างเดียว ไม่มีการจำคุกหรือกักขังแทนการปรับ และไม่มีการลงบันทึกในประวัติอาชญากรรม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งหวังผลักดันให้ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ลบล้างวาทกรรม ‘คุกมีไว้ขังคนจน’ และเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย 

 

สาระสำคัญของกฎหมายแต่ละฉบับ สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.ร่างกฎกระทรวงการแสวงหาข้อเท็จจริง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการชี้แจง หรือแก้ข้อกล่าวหา พ.ศ. …. จะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสวงหาข้อเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้รู้ว่ามีการกระทำความผิดทางพินัยหรือไม่และใครเป็นผู้กระทำความผิด และในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐพบเห็นว่ามีบุคคลกำลังกระทำความผิดทางพินัย หรือแทบจะไม่มีความสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดทางพินัย และเจ้าหน้าที่ของรัฐคนเดียวเป็นผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแจ้งเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบข้อกล่าวหา พร้อมทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแจ้งด้วยว่าผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิจะให้การทันทีหรือจะให้ถ้อยคำภายหลังภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งก็ได้ และกำหนดกรอบเวลาให้การพิจารณาและออกคำสั่งปรับเป็นพินัยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยสามารถขยายระยะเวลาได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง ส่วนในกรณีที่จะฟ้องคดีต่อผู้ถูกกล่าวหา เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการอย่างช้าไม่น้อยกว่า 45 วันก่อนวันที่คดีจะขาดอายุความ

 

2.ร่างกฎกระทรวงการชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้การชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ 

(1) ธนาคาร 

(2) หน่วยบริการรับชำระเงินที่เป็นของรัฐหรือเอกชนตามที่หน่วยงานของรัฐกำหนด 

(3) เครื่องรับจ่ายเงินอัตโนมัติ (ATM) 

(4) บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 

(5) โมไบล์แบงกิง (Mobile Banking) 

(6) อินเทอร์เน็ตแบงกิง (Internet Banking) 

(7) สถานที่หรือวิธีการอื่นใดที่สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยทุกช่องทางหน่วยงานรัฐจะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

3.ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย พ.ศ. …. เป็นการวางระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย รวมทั้งระยะเวลาในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการปรับ เป็นพินัย พ.ศ. 2565 ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ได้แก่ หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีช่องทางติดต่อสื่อสารโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลอื่นใด สามารถขยายเวลาการดำเนินการปรับเป็นพินัยได้ สามารถผ่อนชำระได้ และจำนวนค่าปรับเป็นพินัยต้องไม่ต่ำกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับแต่ต้องไม่เกินอัตราขั้นสูงที่กฎหมายซึ่งบัญญัติความผิดทางพินัยกำหนดไว้

 

“รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีผลงานด้านการปฏิรูปกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เห็นเด่นชัดเพราะท่านนายกฯ มีความจริงใจที่จะดำเนินการลดความเหลื่อมล้ำ ยกเลิกวาทกรรม “คุกมีไว้ขังคนจน” ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย พ.ศ. …. จึงกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดทางพินัยมีฐานะยากจนและกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อยังชีพของตนและครอบครัว ให้กำหนดค่าปรับเป็นพินัยในอัตราต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาทหรือไม่น้อยกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ และสามารถขอผ่อนชำระค่าปรับเป็นพินัยโดยพิจารณาฐานะการเงิน รายได้ รายจ่าย และภาระหนี้สินของผู้กระทำความผิดทางพินัย” น.ส.ทิพานัน กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ครบ 1 ปี คนถูกไปแล้ว 17,000 ล้านบาท

 

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และธนาคารกรุงไทย เผยความสำเร็จ 1 ปี  “สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท มากกว่า 20 ล้านครั้งต่อเดือน เพิ่มช่องทางขายให้ผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศกว่า 38,000  ราย เผยมีผู้ถูกรางวัลแล้วกว่า 1 ล้านราย เป็นเงินรางวัลรวมกว่า 17,000 ล้านบาท

นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาช่องทางการซื้อ-ขาย “สลากดิจิทัล” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” นับเป็นความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับบริการของหน่วยงานรัฐ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท  โดยเปิดจำหน่ายสลากดิจิทัลผ่านแอปฯ เป๋าตัง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 (สลากงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2565) จำนวน 5 ล้านใบ ราคาใบละ 80 บาท เพื่อแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา และสามารถตรวจสอบอายุของผู้ซื้อ เพื่อป้องกันการขายสลากให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มีการยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของสลาก และมีบริการเลือกรับเงินรางวัลที่สะดวก ปลอดภัย โดยสามารถโอนเงินรางวัลภายใน 2 ชั่วโมงหลังประกาศผลรางวัล สามารถอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการของหน่วยงานรัฐ สร้างความพึงพอใจและผลตอบรับที่ดีจากประชาชนผู้ซื้อสลากเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ตั้งแต่งวดวันที่ 16 มิถุนายน  2565 จนถึงงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2566 มีผู้ถูกรางวัลสลากดิจิทัลรวมทั้งสิ้น 1,135,099 ราย และมีสลากที่ถูกรางวัลแล้วรวม  5,045,409 ใบ คิดเป็นเงินรางวัลกว่า 17,000 ล้านบาท และมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 รวมทั้งสิ้น 165 ราย โดยในงวดวันที่ 16 เมษายน  2566 มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถูกรางวัลที่ 1 รายเดียวสูงสุดจำนวน 19 ใบ ได้รับเงินรางวัล 114,000,000 บาท

ตลอดระยะเวลา 1 ปีของการซื้อ-ขาย “สลากดิจิทัล” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลรวมกว่า 5.8 ล้านราย  มีสลากดิจิทัลที่จำหน่ายไปแล้วรวมทั้งสิ้น 356 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท เป็นของผู้ค้าสลากรายย่อยจากทั่วประเทศกว่า 38,000 ราย ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตัง ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 40 ล้านราย และจำหน่ายสลากหมดก่อนถึงวันออกรางวัลทุกงวด  คาดว่าปีนี้ จะมีสลากดิจิทัลจำหน่ายบนแอปฯ เป๋าตังไม่น้อยกว่า 25 ล้านใบต่องวด  จากปัจจุบัน 18.6  ล้านใบต่องวด โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

นอกจากนี้ในเดือน กรกฎาคม 2566 นี้จะมีการเปิดให้บริการฟีเจอร์ใหม่ “QR ขายสลากดิจิทัล” เพื่อเพิ่มช่องทางการซื้อ-ขายรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ซื้อและผู้ค้าสลากดิจิทัล ให้สามารถซื้อสลากดิจิทัลฯ ในรูปแบบ Face-to-Face ผ่านแอปฯ “ถุงเงิน” จากผู้ค้าสลากดิจิทัลโดยตรง โดยผู้ซื้อสามารถเลือกสลากฯ ที่ต้องการจากร้านค้า และสามารถใช้แอปฯ เป๋าตัง สแกนเพื่อซื้อสลากและชำระเงินได้ทันที

ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลขณะนี้ อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แม้ว่าจะมีช่องทางสลากดิจิทัลที่ทำให้ประชาชนสามารถซื้อสลากในราคา 80 บาทได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีลูกค้าบางส่วนที่ต้องการสลากแบบใบอยู่ ทำให้การควบคุมราคายังเป็นไปได้ยาก ดังนั้นโครงการร้านค้าสลาก 80 ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว  ก็จะเป็นตัวเชื่อมให้ผู้ที่ต้องการซื้อสลากแบบใบ สามารถซื้อสลากได้ในราคา 80 บาทได้ แต่เนื่องจากเป็นการซื้อสลากที่ใด้ใบสลากไปครอบครอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนมือเพื่อขายต่อเกินราคาได้ จึงมีการควบคุมการจ่ายเงินซื้อสลากผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น ปัจจุบันมีจุดจำหน่ายสลาก 80 กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ 1,236 จุด และจะขยายจำนวนจุดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 6 หลัก (L6) และสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 3 หลัก (N3) นั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการกำหนดประเภทและรูปแบบสลาก เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา “สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและธนาคารกรุงไทย ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และนำมาต่อยอดแก้ปัญหาของประเทศ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสลากฯ 80 บาทได้สะดวก ทั่วถึง และเท่าเทียม ด้วยจุดเด่นของแอปฯ “เป๋าตัง” ที่ได้รับการพัฒนาโดย Infinitas by Krungthai ให้เป็น Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้งานได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัล สะดวก รวดเร็ว และประชาชนคุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงเป็นช่องทางการซื้อ-ขายสลากฯ ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อ และผู้จำหน่ายสลาก  

สำหรับประโยชน์ต่อผู้จำหน่ายสลากฯ คือ ลดค่าใช้จ่ายจากเดิมที่ขายบนแผง หรือเดินเร่ขาย เปลี่ยนมาขายบนแพลตฟอร์ม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่มีช่องทางและโอกาสในการขายเพิ่มขึ้น เพราะแอปฯ เป๋าตังเป็นศูนย์รวมผู้ซื้อจำนวนมาก จากผู้ใช้งานที่มีจำนวนรวมกว่า 40 ล้านราย ทำให้สลากฯ มีโอกาสถูกเลือกซื้อมากกว่าการวางขายตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีเวลาขายมากขึ้น ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น.  ส่วนประโยชน์ของผู้ซื้อสลากดิจิทัล  คือ ซื้อสลากฯ ได้ในราคา 80 บาท สามารถเลือกซื้อเลขสลากที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องไปหาซื้อตามแผง กรณีถูกรางวัล ผู้ซื้อสลากฯ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ง่าย ด้วยการเลือกโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยได้  

จากความสำเร็จในครั้งนี้ เชื่อว่าจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไป โดยธนาคารกรุงไทย จะเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพของแอปฯ เป๋าตัง อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานสลากฯ ทั้งในด้านศักยภาพการทำธุรกรรม พัฒนาระบบการขึ้นเงินรางวัลอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ถูกรางวัล รวมถึงระบบการชำระเงินของผู้จำหน่ายสลาก ที่สามารถทำผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ ช่วยลดปริมาณการทำรายการผ่านช่องทางสาขา หรือ ตู้ ATM นอกจากนี้ ยังร่วมกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย พัฒนาฟีเจอร์ “ตัวอ่านหน้าจอ” หรือ Voice Assistant ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาเข้าถึงการซื้อ-ขายสลากดิจิทัล ผ่านแอปฯ เป๋าตังและถุงเงินได้สะดวก รวดเร็ว

“นวัตกรรมทางการเงินได้ถูกพัฒนามาเป็นลำดับ ตามบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป เช่นกันกับธนาคารกรุงไทย  ที่ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม และพัฒนาบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยทุกกลุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ  ตอบโจทย์ การแก้ปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุลดลง 23% เดือนพฤษภาคม 66

 

กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม โดยสำนักอำนวยความปลอดภัย ได้สรุปรายงานข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศประจำเดือนพฤษภาคม 2566 จากการรายงานอุบัติเหตุทางระบบ HAIMS พบว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จำนวน 1,197 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 178 คน ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 1,019 คน จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุ 1,829 คัน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของกรมทางหลวงเสียหายประมาณ 12 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุประจำเดือนพฤษภาคม 2565 จำนวนอุบัติเหตุลดลงจากปีที่ผ่านมา 23% 

 – ผู้เสียชีวิตลดลง 1% 

 – บาดเจ็บลดลง 7% 

 – จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุลดลง 19% 

 

ซึ่งสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด 68% (818 ครั้ง) รองลงมาได้แก่ หลับใน 8% (90 ครั้ง) และการตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 7% (88 ครั้ง) สำหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง 65% (775 ครั้ง) ทางโค้ง 11% (137 ครั้ง) และทางแยกระดับเดียวกัน 6% (75 ครั้ง) 

ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ 

1.รถปิคอัพบรรทุก 4 ล้อ42% (759 คัน) 

2.รถยนต์นั่ง 25% (454 คัน) 

3.รถจักรยานยนต์ 10% (188 คัน) 

4.รถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) 10% (177 คัน) 

 

ซึ่งหากจำแนกตามภาคของการเกิดอุบัติเหตุพบว่าเส้นทางในภาคเหนือเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 20% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16% และภาคตะวันออก 16% นอกจากนี้ ทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ทางหลวงหมายเลข 7 แขวงคลองสองต้นนุ่น – พิมพา กรุงเทพมหานคร จำนวน 46 ครั้ง  

 

        ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้มีมาตรการแก้ไขที่ได้ดำเนินการร่วมกับตำรวจทางหลวงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะทุกประเภทที่วิ่งบนทางหลวงพร้อมทั้งให้แขวงทางหลวงดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยถนน ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้ง ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดขับขี่ด้วยความระมัดระวัง พักผ่อนให้เพียงพอและตรวจเช็คสภาพรถก่อนการเดินทางทุกครั้ง  เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ร่วมทางรวมถึงป้องกันและลดอุบัติเหตุให้ได้ประสิทธิผลอีกด้วย  


     หากประชาชนผู้ใช้ทางต้องการแจ้งอุบัติเหตุหรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เปิดการประชุมผู้ปกครองนักเรียนรร.ทบอ.บ.ว.

 

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2566 เวลา 09.30 น. พ.อ. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน รอง ผบ.มทบ.37 เป็นประธานเปิดกิจกรรม การประชุมผู้ปกครองนักเรียน รร.ทบอ.บ.ว. ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับ กฎ ระเบียบ ต่างๆ การเรียนการสอน และพบปะครูประจำชั้น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News