Categories
NEWS UPDATE

เชียงรายสะเทือน! กกจ. สั่งตรวจเข้มปราบ ‘นอมินีต่างชาติ’ และแรงงานเถื่อนทั่วประเทศ

จับตาปราบแรงงานเถื่อนและ “นอมินีต่างชาติ” หลังกรมการจัดหางานสั่งตรวจเข้มทั่วประเทศ ปมแรงงานชายแดน-อาชีพต้องห้าม ปะทุสู่นโยบายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

เชียงราย, 28 ตุลาคม 2568 – เชียงรายกำลัง “หนาวเพิ่ม” ไม่ใช่เพียงเพราะอากาศปลายฝนต้นหนาวเหนือสุดแดนสยาม แต่เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากนโยบายแรงงานฉบับเข้มงวดที่เริ่มเดินเครื่องจริงจังในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 เมื่อกรมการจัดหางาน (กกจ.) ภายใต้กระทรวงแรงงาน ประกาศปฏิบัติการเชิงรุก ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ คุมเข้มการทำงานที่เข้าข่าย “แย่งอาชีพคนไทย” รวมถึงตรวจสอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” คือธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อคนไทยบังหน้า แต่ให้ต่างชาติดำเนินกิจการแท้จริง

นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจหนังสืออนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่เป็นการ “บูรณาการตรวจเข้ม” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวเชิงนานาชาติอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา เกาะสมุย รวมถึงพื้นที่ที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมากและมีพรมแดนเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จังหวัดเชียงราย

“ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ” อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำ พร้อมระบุว่าการเคลื่อนกำลังตรวจในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสองประการ คือ

  1. ป้องกันการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงาน
  2. ป้องกันกรณีต่างชาติลงมือทำงานเองในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ร้านตัดผม หรือบริการเช่ารถในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งถูกมองว่าเป็น “การตัดโอกาสคนไทยโดยตรง” ในสายตาของภาครัฐ

เชียงราย เมืองชายแดนกับแรงงานต่างด้าว 36,568 คนในระบบ

หากมองจากมุมพื้นที่ จังหวัดเชียงรายถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ในประเด็นแรงงานต่างด้าว เพราะเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนทางบกทั้งกับ สปป.ลาว ทางอำเภอเชียงของ และกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทางอำเภอแม่สายและอำเภอแม่จัน ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามแดนเกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราวแบบไป-กลับรายวัน ไปจนถึงการเข้ามาตั้งหลักในอาชีพบริการ พาณิชย์ และก่อสร้าง

จากเอกสารรายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า เชียงรายมีแรงงานต่างด้าว “ที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมาย” ทั้งหมด 36,568 คน ในปี 2567 ซึ่งนับรวมคนต่างด้าวหลายสถานะตามกฎหมายคนต่างด้าวไทย เช่น คนต่างด้าวมาตรา 59 (แรงงานฝีมือ/แรงงาน MOU), มาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อยหรือคนไม่มีสถานะทางทะเบียน), มาตรา 63/2 (กลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้ทำงานภายใต้หลักเกณฑ์เฉพาะ) ตลอดจนแรงงานข้ามแดนแบบไป-กลับบริเวณชายแดนตามฤดูกาลตามมาตรา 64

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานต่างด้าวไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการจ้างงานของจังหวัดในระดับ “เป็นรูปธรรม” แล้ว

หากลงรายละเอียดตามกฎหมายแรงงานคนต่างด้าว พบข้อมูลสำคัญดังนี้

  • แรงงานต่างด้าวตามมาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อย ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ผู้ที่ไม่ได้รับสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว) มีจำนวนมากถึง 16,999 คน ในเชียงรายปี 2567
  • กลุ่มที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 63/2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษ เช่น ตามมติ ครม. วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มีจำนวนรวม 17,349 คน
  • แม้ในมุมมองสาธารณะ เรามักนึกถึงแรงงานเมียนมาในฐานะแรงหลักของการทำงานข้ามแดนบริเวณด่านแม่สาย แต่รายงานระบุว่า กลุ่มแรงงานเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานแบบไป-กลับตามฤดูกาล (มาตรา 64) ในพื้นที่ชายแดนเชียงราย อำเภอแม่สาย แม่จัน และอำเภอเมืองเชียงราย มีจำนวนอย่างเป็นทางการเพียง 29 คนในปีล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานแบบ “ข้ามฝั่งเช้า-กลับเย็น” ที่ชาวบ้านมักพูดถึงนั้น ในทางเอกสารอาจยังเข้าไม่ถึงการขึ้นทะเบียนหรือการอนุญาตเต็มรูปแบบ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดที่คนทำงานภาคสนามในเชียงรายตั้งข้อสังเกตมานานว่า “มีแรงงานมากกว่าที่ตัวเลขบอกไว้” และช่องว่างดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกว่า “แรงงานเถื่อนกำลังแย่งงานคนในจังหวัด”

เมื่อ “แรงงานเถื่อน” ถูกมองว่าแย่งงาน – แต่ตัวเลขแรงงานไทยบอกอีกเรื่อง

ความตึงเครียดทางสังคมที่กำลังคุกรุ่นในเชียงราย มีอยู่สองด้านที่ต้องมองคู่กัน

ด้านแรก คือเสียงสะท้อนในพื้นที่ว่าตลาดแรงงานท้องถิ่นบางส่วนถูก “กดค่าแรง” จากแรงงานที่ไม่มีเอกสารหรือไม่มีใบอนุญาตทำงาน บางคนเข้ามาทำงานในอาชีพบริการที่ปกติควรเป็นพื้นที่หาเลี้ยงชีพของคนในจังหวัด เช่น งานค้าปลีกย่อยหน้าร้าน งานเช่ารถท่องเที่ยว งานตัดผม หรืองานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น

อาชีพเหล่านี้ไม่ใช่อาชีพรองในมุมเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่คืออาชีพตั้งต้นของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดหน้าด่านที่รายได้ท้องถิ่นพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติและคนเดินทางข้ามแดน

ด้านที่สอง คือข้อมูลทางเศรษฐกิจแรงงานของจังหวัดที่สะท้อนภาพอีกด้าน ซึ่งอาจจะไม่ถูกพูดในวงสนทนาเท่าไรนัก

  • ปี 2567 เชียงรายมีตำแหน่งงานว่าง 12,254 อัตรา
  • มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานอย่างเป็นทางการตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คน
  • มีผู้มารับบริการจัดหางาน 3,498 คน
  • และมีการบรรจุงานสำเร็จ 2,375 คน.

ตัวเลขนี้ตีความได้ว่า ธุรกิจในพื้นที่ยัง “ต้องการคนทำงาน” อยู่มาก โดยเฉพาะแรงงานระดับปฏิบัติการและแรงงานบริการพื้นฐาน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การก่อสร้าง การผลิต การขนส่ง หรือการค้าปลีก – ซึ่งล้วนเป็นงานที่เชียงรายพึ่งพาทั้งแรงงานท้องถิ่น แรงงานข้ามชาติในระบบ และแรงงานนอกระบบ

อีกจุดที่น่าสนใจคือ จังหวัดเชียงรายมีแรงงานนอกระบบมากถึง 507,372 คน หรือคิดเป็น 86.25% ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดในจังหวัดในปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานภาคเกษตรกรรมและงานบริการพื้นฐาน นี่หมายความว่า โครงสร้างแรงงานในเชียงราย “อยู่ในเงา” เป็นจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยเองหรือแรงงานต่างด้าว

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “ต่างด้าวมาแย่งงานหรือไม่” แต่คือ “พื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายกำลังอยู่ในระบบจ้างงานที่พรมระหว่างถูกกฎหมาย–ผิดกฎหมายพร่าเลือนเกินไปหรือไม่” และ “ใครคือผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากช่องว่างนี้ – นายจ้าง? ผู้รับงานช่วง? หรือแรงงานเถื่อนเอง?”

“40 อาชีพต้องห้าม” และโทษทั้งจำทั้งปรับ สัญญาณเข้มจากรัฐ

ท่ามกลางความกังวลจากคนในพื้นที่ กระทรวงแรงงานยืนยันชัดเจนว่า ประเทศไทยยังมี “เส้นชัด” ในเรื่องอาชีพที่คนต่างด้าวห้ามทำ โดยประกาศกระทรวงแรงงานกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำไว้ทั้งสิ้น 40 งาน ครอบคลุมตั้งแต่งานตัดผม/เสริมสวย งานขายของหน้าร้าน งานมัคคุเทศก์/จัดนำเที่ยว งานบริการนำรถท่องเที่ยว ไปจนถึงงานขายทอดตลาดและงานเจียระไนเพชรพลอย

การทำงานในอาชีพเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยฝ่าฝืนข้อจำกัดของกฎหมาย มีบทลงโทษชัดเจนทั้งสำหรับแรงงานต่างชาติและนายจ้าง ดังนี้

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท จากนั้นจะถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานเกินสิทธิ จะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท “ต่อคนต่างด้าว 1 คน” ที่จ้าง หากทำผิดซ้ำ โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 50,000 – 200,000 บาทต่อหัว พร้อมทั้งถูกห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

ภาษาง่าย ๆ คือ รัฐไทยกำลังส่งสัญญาณว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “แรงงานต่างด้าวรายคน” อย่างเดียว แต่อยู่ที่ “โครงสร้างการจ้าง” ซึ่งรวมถึงนายจ้างไทยที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย และธุรกิจที่อาจเป็นนอมินีต่างชาติ

เชียงรายในสมการระดับประเทศ ชายแดน ช่องโหว่?

แม้คำสั่งตรวจเข้มของกรมการจัดหางานจะถูกสื่อสารในเชิงปกป้องอาชีพของคนไทย แต่ในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย มีอีกมุมหนึ่งที่ต้องพิจารณา

ข้อมูลของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายชี้ว่า คนเชียงรายจำนวนมากยังคงออกไปหางานต่างประเทศ โดยปี 2567 มีแรงงานไทยในจังหวัดยื่นขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,085 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้าง งานใช้แรงในระบบบริการ หรือแรงงานรับใช้ในครัวเรือน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานในพื้นที่ยังไม่ตอบโจทย์รายได้ที่เพียงพอสำหรับคนบางกลุ่ม

ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่ความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง

  • คนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งออกไปขายแรงงานต่างประเทศ
  • ธุรกิจในเชียงรายยังต้องการแรงงานระดับปฏิบัติการจำนวนมาก
  • นายจ้างในพื้นที่จึงหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น

ในรายงานของจังหวัดระบุชัดว่า “หากแรงงานเหล่านี้ออกไปทำงานต่างประเทศ ทำให้ในจังหวัดเชียงรายขาดแคลนแรงงานตามมา ส่งผลให้นายจ้าง/สถานประกอบการหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น.”

กล่าวอีกแบบ ระบบแรงงานชายแดนกำลังหมุนโดยพึ่งพากันและกัน คือเศรษฐกิจท้องถิ่นยังเดินต่อได้เพราะมีแรงงานข้ามชาติที่ยอมรับค่าแรงและเงื่อนไขงานบางรูปแบบ ขณะเดียวกัน คนเชียงรายบางส่วนย้ายออกไปทำงานต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับบ้าน

ประเด็นนี้ทำให้การ “ปราบต่างด้าวผิดกฎหมาย” ไม่ใช่ภารกิจง่าย ๆ ทางอารมณ์สาธารณะ เพราะถ้าคุมเข้มจนแรงงานขาด นายจ้างท้องถิ่นอาจเผชิญภาวะคนไม่พอทำงาน ในภาคเกษตร ภาคบริการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้าง และโรงงานผลิต ซึ่งล้วนเป็นหมุดเศรษฐกิจหลักของจังหวัดเชียงราย

ทำไม “นอมินี” จึงกลายเป็นคำร้อน

ในคำสั่งปฏิบัติการรอบนี้ คำว่า “นอมินี” ถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “แย่งอาชีพคนไทย” อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่า ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ที่แรงงานรายวัน แต่โยงไปถึงโครงสร้างธุรกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ข้อมูลจากกรมการจัดหางานระบุกรณีตัวอย่างที่ถูกตรวจสอบในหลายจังหวัด

  • ธุรกิจให้เช่ารถและมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว
  • ธุรกิจบริการนำเที่ยว
  • ร้านตัดผม/เสริมสวย
    ทั้งหมดเป็นประเภทกิจการที่มีการร้องเรียนว่า มีต่างชาติเป็นผู้ให้บริการหลักจริงในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ แต่ใช้ชื่อคนไทยในการจดทะเบียนหรือถือหุ้น เพื่ออาศัยช่องว่างทางกฎหมาย

ในมุมเชียงราย ประเด็นนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับเศรษฐกิจชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย (ด่านเมียนมา) และอำเภอเชียงของ (ด่านเชื่อม สปป.ลาว ไปสู่เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำ) ที่พึ่งพารายจ่ายของนักท่องเที่ยว นักเดินทาง และผู้ข้ามแดนเพื่อจับจ่ายสินค้า การบริการท่องเที่ยวโดยมัคคุเทศก์ และการเดินทางเช่ารถข้ามเมือง

กระทรวงแรงงานย้ำชัดว่า อาชีพมัคคุเทศก์และจัดนำเที่ยวเป็น “อาชีพสงวนเฉพาะคนไทยเท่านั้น” การว่าจ้างไกด์ต่างชาติถือว่าผิดกฎหมาย และยังถูกมองว่าเป็นการแย่งรายได้ของแรงงานท้องถิ่นในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

จุดนี้เองที่ทำให้เรื่องแรงงานต่างด้าวในเชียงราย ไม่ได้ถูกพูดถึงแค่ในมิติ “แรงงานในโรงงาน” อีกต่อไป แต่ขยับเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงบริการ ซึ่งเป็นรายได้โดยตรงของคนเชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนวัยทำงานอายุ 18–39 ปี ที่เป็นช่วงอายุซึ่งตลาดแรงงานเชียงรายต้องการสูงที่สุด (สะท้อนจากตำแหน่งงานว่าง 3,328 อัตราในกลุ่มอายุ 25–29 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 27.16 ของตำแหน่งงานว่างทั้งหมดในปี 2567)

ความหมายต่อประชาชนเชียงราย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องจับ-ปรับ

เมื่อมองไปข้างหน้า ประเด็นไม่ได้จบที่การ “กวาดล้าง” หรือ “ปราบปราม” เพียงอย่างเดียว แม้บทลงโทษจะถูกยกระดับให้หนักทั้งจำทั้งปรับ ทั้งแรงงานต่างชาติและนายจ้างก็ตาม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยังต้องเผชิญโจทย์ 3 ชั้นพร้อมกันคือ

  1. จะรักษาพื้นที่ทำกินของแรงงานท้องถิ่น โดยเฉพาะอาชีพบริการระดับต้น ที่คนในพื้นที่ตั้งใจยึดเป็นอาชีพหลักได้อย่างไร
  2. จะป้องกันการเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยต่างชาติในลักษณะนอมินี ซึ่งอาจทำให้เงินไหลออกนอกชุมชน แต่ทำโดยใช้โครงสร้างทางกฎหมายไทยเป็นฉากหน้า ได้อย่างไร
  3. จะดูแลแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเชียงราย – ทั้งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายกว่า 36,000 คน และที่ยังอยู่นอกระบบ – ให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้ (ทั้งด้านแรงงาน มาตรฐานความปลอดภัย ค่าจ้างที่เป็นธรรม) โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดสะดุดอย่างฉับพลัน ได้อย่างไร

ความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเศรษฐกิจเชียงรายยังพึ่งพาการค้าชายแดน ภาคบริการท่องเที่ยว โรงแรม-อาหาร การก่อสร้าง และภาคการผลิต ซึ่งในปี 2565–2567 ยังเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของจีดีพีจังหวัด โดยเฉพาะภาคการขายส่ง-ขายปลีก การก่อสร้าง และกิจกรรมโรงแรมและอาหารที่จ้างงานรวมกันหลายหมื่นตำแหน่ง

กล่าวอีกแบบ การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าววันนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “คนต่างด้าว” แต่คือเรื่องอนาคตของเศรษฐกิจเชียงรายในระยะกลางด้วย

สายด่วนแจ้งเบาะแส สัญญาณว่ารัฐเปิดช่องให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ

กรมการจัดหางานได้เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแส หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย หรือธุรกิจที่สงสัยว่าเป็นนอมินี โดยสามารถโทรแจ้งได้ที่

  • กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2354-1729
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 1–10
  • หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน.

ช่องทางดังกล่าวสะท้อนว่า ภาครัฐกำลังย้ายบางส่วนของภารกิจตรวจสอบมาสู่ระดับชุมชน เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ – โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานท้องถิ่น – เป็น “หูเป็นตา” ให้หน่วยงานรัฐในการระบุจุดร้อน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านนโยบายแรงงานเตือนว่า การใช้กลไกแจ้งเบาะแสต้องเดินคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ไม่เช่นนั้น ความไม่พอใจเชิงเศรษฐกิจอาจถูกแปรเป็นแรงกดดันทางชาติพันธุ์หรือการเหมารวมทางสัญชาติ ซึ่งจะยิ่งทำให้การจัดระเบียบแรงงานในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น

ปราบปรามอย่างเดียวไม่พอ ต้องจัดการ “สมการแรงงานชายแดน” ให้สมดุล

เมื่อมองภาพรวม เชียงรายกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนด้านแรงงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด

ในเชิงตัวเลข จังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนทำงานตามกฎหมายกว่า 36,000 คน ครอบคลุมทั้งคนต่างด้าวตาม MOU แรงงานกลุ่มชนเผ่าพื้นที่สูงที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว แรงงานที่ได้รับผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี และแรงงานชายแดนที่เข้า-ออกตามฤดูกาล พร้อมกันนั้น คนเชียงรายเองจำนวนไม่น้อยกำลังเดินออกนอกประเทศเพื่อไปทำงานต่างแดน เพราะมองว่าค่าตอบแทนที่อื่นยังดีกว่า นำไปสู่ภาวะขาดแรงงานท้องถิ่นในบางอุตสาหกรรม และการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ยิ่งสูงขึ้น

ในเชิงนโยบาย ส่วนกลางกำลังส่งสัญญาณชัด จะไม่ยอมให้ต่างชาติ “แย่งอาชีพสงวนของคนไทย” โดยเฉพาะในภาคบริการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงอาชีพมัคคุเทศก์ ร้านตัดผม ร้านเช่ารถนำเที่ยว ธุรกิจทัวร์รายย่อย และบริการเชิงพื้นที่ที่กระทบรายได้คนในจังหวัดโดยตรง การฝ่าฝืนเจอโทษทั้งจำทั้งปรับทั้งตัวแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง/ผู้ประกอบการไทยที่สนับสนุน

แต่ในทางปฏิบัติ เขตแดนแรงงานในเชียงรายไม่ใช่เส้นตรง ระหว่าง “ไทย” กับ “ต่างชาติ” เท่านั้น หากแต่เป็นสามเหลี่ยมระหว่าง
(1) ความอยู่รอดของแรงงานท้องถิ่น
(2) ความต้องการแรงงานราคาย่อมเยาและต่อเนื่องของผู้ประกอบการ
(3) การควบคุมแรงงานข้ามชาติให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้จริง

ความท้าทายจึงอยู่ที่การทำให้ทั้งสามมุมนี้อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ผลักให้แรงงานจำนวนมาก (ทั้งไทยและต่างด้าว) หล่นกลับไปอยู่ในเงามืดของเศรษฐกิจนอกระบบ ที่ไม่มีหลักประกัน ไม่มีสิทธิพื้นฐาน และไม่มีเสียงในโต๊ะนโยบาย

หรือพูดให้ชัด – การตรวจจับและลงโทษคือเพียง “ขั้นแรก” แต่การออกแบบระบบแรงงานชายแดนที่ยุติธรรมสำหรับทั้งคนในพื้นที่และคนที่เข้ามาหาโอกาสในประเทศไทย จะเป็นบทพิสูจน์จริงของเชียงรายในปีต่อจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY NEWS UPDATE

จากโลกออนไลน์สู่ยอดจอง! เปิดยุทธศาสตร์คว้าโอกาส เมื่อเชียงรายถูกค้นหามากที่สุด

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจาก Google Trends—แรงดันดีมานด์ปลายปีหนุนเมืองรองโดดเด่น รับสัญญาณไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เสียงลมหนาวเริ่มแตะยอดดอยพอดี ขณะที่ “เชียงราย” ผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจากการค้นหาใน Google Trends (ข้อมูล ณ 24 กันยายน 2568) พร้อมแรงเสริมจากบทวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ชี้ว่าดีมานด์เดินทางช่วงไฮซีซันยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเมืองรองในภาคเหนือ สัญญาณทั้งหมดกำลังสอดรับกันอย่างลงตัว ทั้งสภาพอากาศเย็นสบาย เทศกาลปลายปี กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และแพ็กเกจการตลาดที่ถูกจังหวะ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “กระแสออนไลน์” หากสะท้อนการตัดสินใจจริงของผู้เดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่กำลังล็อกเส้นทางปลายปี ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนเจ้าบ้านเริ่มเร่งเครื่องรับลูก เพื่อเปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็น “ยอดจอง–ยอดใช้จ่าย” ที่วัดได้ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

เศรษฐกิจดีมานด์ปลายปีมาแรง เมืองรองได้อานิสงส์ชัด

การติดอันดับ 1 ใน Google Trends ชี้ให้เห็น “อุปสงค์แฝง” ที่กำลังจะปลดล็อกสู่การเดินทางจริง โดยบทวิเคราะห์ แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ เดือนตุลาคม 2568 ของ ททท. ประเมินว่า เดือนนี้จะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 16.28 ล้านคน–ครั้ง และสร้างรายได้ท่องเที่ยวราว 93,857 ล้านบาท แม้ภาพรวมจะชะลอเล็กน้อยเมื่อเทียบปีก่อน แต่สัดส่วนการเดินทางสู่ “เมืองท่องเที่ยว” นอกเมืองหลักขยับขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับโมเมนตัมของเชียงรายที่ขึ้นแท่นเมืองน่าเที่ยวอันดับต้นในโลกออนไลน์

ฝั่ง “ปัจจัยสนับสนุน” ททท.ระบุข้อได้เปรียบสำคัญไว้ 3 มิติ

  1. มาตรการกระตุ้นช่วง Green Season และเทศกาลต่อเนื่องปลายปี
    งานวัฒนธรรมและกิจกรรมดนตรีช่วยกระจายผู้คนสู่เมืองรอง ขณะที่คอนเทนต์เชิงท้องถิ่นดึงดูดเจเนอเรชันใหม่ได้ดี
  2. ฤดูกาลท่องเที่ยวเริ่มหนาวเย็น
    อุณหภูมิที่ลดลงทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่นิยม การเดินป่า กางเต็นท์ และล่าสายหมอกช่วยต่อยอดที่พักและบริการชุมชน
  3. อีเวนต์ดนตรีและกิจกรรมเอาต์ดอร์
    เทศกาลดนตรีและงานวิ่งปลายปีดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y–Z ที่เน้นประสบการณ์และพร้อมจ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยอุปสรรค ยังมีให้จับตา ทั้งค่าครองชีพที่ยังสูง ภาระครัวเรือน และการท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมาคึกคักในบางตลาด ทว่าเมื่อซ้อนทับกับจุดแข็งเชิงภูมิอากาศและคอนเทนต์เฉพาะถิ่น เมืองรองที่เตรียมตัวดีจะ “รับแรงส่ง” ได้มากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเชียงรายอยู่ในจังหวะนั้นพอดี

เชียงรายในเลนส์ข้อมูล ความสนใจพุ่ง–จุดขายชัด–แบรนด์ชุมชนแข็ง

1) สัญญาณความสนใจชัดเจน
การขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends สะท้อนการค้นหาที่เข้มข้น ทั้งคำหลักเกี่ยวกับ วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ไร่ชาฉุยฟง–ขุนน้ำนางนอน–ถนนคนเดิน รวมถึงกิจกรรมฤดูหนาว เช่น ลานดอกไม้–งานแสงสี–วิ่งเทรล ข้อมูลระดับพื้นที่ยังชี้ว่าการค้นหา “ที่พักเชียงราย” และ “คาเฟ่วิวภูเขา” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วงปลายกันยายน–ตุลาคม

2) จุดแข็งด้านความปลอดภัยและไลฟ์สไตล์
เชียงรายถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยวและกลุ่มผู้หญิง/ดิจิทัลโนแมดในเอเชีย จุดเด่นนี้เสริมความเชื่อมั่นด้านการเดินทางคนเดียวและการทำงานระยะไกล (Work from Anywhere) ที่กำลังเป็นกระแส

3) Soft Power เชิงพื้นที่
เมืองศิลปะและกาแฟคือภาพจำที่ชัด วัดร่องขุ่นของเฉลิมชัย–พิพิธภัณฑ์บ้านดำของถวัลย์–ย่านคาเฟ่กาแฟพิเศษจากดอยแม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีหมอกหนาวได้ลื่นไหล เหมาะกับการออกแบบเส้นทาง 2–3 คืน ที่จับคู่ได้ทั้งเมือง–ชานเมือง–ชายแดน

4) ความพร้อมรองรับดีมานด์จริง
สนามบิน การคมนาคมข้ามจังหวัด และคลัสเตอร์ที่พักระดับกลาง–เล็กของชุมชน เติบโตควบคู่กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์และมาตรฐานสะอาดปลอดภัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดให้ความสำคัญ

ภาพใหญ่ในประเทศ โครงสร้างการเดินทางเดือนตุลาคม 2568

รายงานทิศทางตลาดในประเทศของ ททท. ชี้ว่า เมืองท่องเที่ยว นอกกลุ่ม “เมืองหลัก” กำลังแย่งส่วนแบ่งผู้เยี่ยมเยือนได้ดีขึ้น โดยแรงขับมาจาก 4 ตัวแปร

  • งานเทศกาล–วัฒนธรรม–ดนตรี ที่เกิดถี่ขึ้น
  • แพ็กเกจโปรโมชันร่วมเอกชน ที่ลด Pain Point ค่าเดินทางและที่พัก
  • คอนเทนต์สื่อออนไลน์ ที่ลงพื้นที่จริง ทำให้ “หมุดหมายรอง” โดดเด่น
  • สภาพอากาศเย็นลง ที่เร่งให้คนอยากออกนอกเมืองใหญ่

ในเชิงอุปทานฝั่งที่พักและเที่ยวบิน เดือนตุลาคมยังมีที่นั่งรวมราว 4 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนเส้นทางบินสู่ภาคเหนือยังแข็งแรง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเชียงราย–เชียงใหม่–แพร่–น่าน สามารถออกแบบทริปเชื่อมโยงแบบ “Multi-City” ได้คล่องตัว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ โกลเดนวีกหนุนหน้าเอเชีย–ไฟลต์ใหม่ช่วยกระจายตัว

ด้านตลาดต่างชาติ รายงาน แนวโน้มเดือนตุลาคม 2568 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.62 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่มี “แรงหนุนเฉพาะจังหวะ” ที่สำคัญ ได้แก่

  • เทศกาล China Golden Week ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ที่ดันการจองล่วงหน้าขึ้น
  • Forward Booking รวม เติบโต +1.8% โดยตลาดที่โตเด่น คือ อิสราเอล–สหราชอาณาจักร–จีน
  • เส้นทางบินใหม่ 50 เส้นทาง ในหลายภูมิภาค ที่ช่วยเพิ่มความถี่และกระจายผู้โดยสาร

กลุ่ม Short-haul Top 5 ยังนำโดย มาเลเซีย–จีน–อินเดีย–เกาหลีใต้–อินโดนีเซีย ส่วน Long-haul Top 5 ได้แก่ รัสเซีย–สหราชอาณาจักร–สหรัฐฯ–เยอรมนี–ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขึ้นเหนือมักจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” ในทริปเดียว เน้นธรรมชาติ ศิลปะ วัดดัง และคาเฟ่วิวขุนเขา ทำให้เชียงรายได้ส่วนแบ่ง “คืนพัก” เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงโลว์ซีซัน

เชียงรายต้องรับมืออะไร ค่าครองชีพ–โลจิสติกส์–คุณภาพบริการ

แม้สัญญาณเชิงบวกมีมาก แต่ ปัจจัยอุปสรรค ยังเป็นโจทย์ต้องติดตาม

  • ค่าครองชีพและค่าเดินทาง ที่กดดันการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย
  • การดึงคนออกนอกเมืองใหญ่ ที่ยังต้องพึ่งอีเวนต์คุณภาพสูงและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
  • การแข่งขันจากต่างประเทศ เมื่อหลายประเทศอาเซียนเร่งแคมเปญราคาช่วงปลายปี
  • บริหารความหนาแน่น ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ช่วงไพรม์ไทม์เช้า–เย็น เพื่อรักษาประสบการณ์

เชียงรายจึงต้อง “เก็บดีเทล” ให้ครบ โดยเฉพาะการจัดการคิวจุดชมวิว การจราจรในวันพีก สัญญาณอินเทอร์เน็ตในแหล่งท่องเที่ยว และการสื่อสารหลายภาษาในย่านท่องเที่ยวหลัก เพื่อคงมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงที่ดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างพร้อมกัน

การบ้านเชิงนโยบาย–เอกชน–ชุมชน เปลี่ยนการค้นหาเป็นการจอง

1) นโยบาย–หน่วยงานท้องถิ่น
ควรวาง แผนปฏิบัติการ 60 วัน รับไฮซีซันครอบคลุม ความปลอดภัย–จราจร–สิ่งแวดล้อม–สื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมตั้งจุดข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษในย่านหลัก และเตรียมจุดปฐมพยาบาลในงานเทศกาล

2) เอกชน–ผู้ประกอบการ
ปรับแพ็กเกจ เที่ยวยาว–ใช้จ่ายยาว” ผ่านดีลที่พัก + ร้านอาหาร + คาเฟ่ + กิจกรรมท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าต่อบิล แนะนำสินค้าชุมชนและทัวร์ครึ่งวัน เพื่อลด “เวลาว่าง” ในทริป และขยายการใช้จ่ายสู่ชุมชนรอบนอก

3) ชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย
ยกระดับ Content–Commerce ให้เดินคู่กัน เน้นเรื่องเล่าท้องถิ่น บริการที่เป็นมิตร และมาตรฐานความสะอาด–ปลอดภัย พร้อมระบบจองง่ายบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เพื่อลดขั้นตอนตัดสินใจ

ปลายฝนต้นหนาว หนึ่งวันในเชียงรายที่พูดด้วยตัวเอง

เริ่มเช้าด้วยหมอกบางๆ เหนือทุ่งชา นักท่องเที่ยวแวะจิบกาแฟดริปจากเมล็ดดอยแม่สลอง ก่อนมุ่งหน้าไป วัดร่องขุ่น แสงเช้าสะท้อนผิววิจิตรสีขาวโพลน จบช่วงสายที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ซึ่งเล่าเรื่องลึกของล้านนาในภาษาศิลป์ พอเที่ยงก็สลับไปร้านอาหารท้องถิ่นริมกก บ่ายแก่ๆ แวะ คาเฟ่วิวภูเขา ที่ชุมชนเจ้าบ้านลงมือชงด้วยใจ

ยามเย็นเดินควงแขนกันที่ ถนนคนเดินเชียงราย ดนตรีเปิดหมวกดังคลอ ผู้คนเลือกผ้าทอไทลื้อ ข้าวจี่ร้อนๆ ควันกรุ่น ช่วงเวลานี้อาจเป็น “จุดตัดสินใจ” ที่สำคัญที่สุด เพราะประสบการณ์จริงจะทำให้ทุกไลก์–ทุกการค้นหา กลายเป็น “รีวิวปากต่อปาก” ที่พาเพื่อนอีกหลายคนกลับมาในฤดูกาลหน้า

โอกาสของเมืองรองในหน้าหนาว ต้องคว้าด้วยคุณภาพ

การคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “จุดเริ่ม” เชียงรายมีทรัพยากรพร้อมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กาแฟ และความปลอดภัย แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจับต้องได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการอย่างมีวินัย ตั้งแต่คิวจุดชมวิวจนถึงห้องน้ำสาธารณะ ตั้งแต่มาตรฐานที่พักจนถึงถังขยะรีไซเคิล ตั้งแต่ข้อมูลเรียลไทม์จนถึงเจ้าบ้านที่ยิ้มต้อนรับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ปลายปีนี้ “เมืองรองดาวรุ่ง” จึงไม่ได้ชนะกันที่แสงสีที่ดังที่สุด แต่ชนะกันที่รายละเอียดและความสม่ำเสมอที่สุด หากเชียงรายรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลายและต่อยอด Soft Power ให้คมชัด เชียงรายจะไม่ใช่เพียง “คำค้นหายอดนิยม” แต่จะเป็น “คำตอบ” ของนักเดินทางคุณภาพในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Google Trends
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ททท. แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนตุลาคม 2568
  • OAG / ระบบ ForwardKeys
  • ข้อมูลสาธารณะด้านความปลอดภัยนักเดินทาง/ผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด
  • TAT Intelligence Center
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน! มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” คูณสิทธิ 1.5 เท่า ดันเงินสะพัดชุมชน

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน “เที่ยวดี มีคืน” เมืองรองคูณ 1.5 เท่า เปิดเกมภาษี–MICE–รัฐเร่งเบิกจ่าย หนุนเงินสะพัดชุมชน

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – เชียงรายยืนด่านหน้าฤดูท่องเที่ยวปลายปีอีกครั้ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” ถูกเคาะโดย ครม. เพื่ออัดฉีดกำลังซื้อช่วง 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568. เมืองรองได้คูณสิทธิ 1.5 เท่า. ภาคธุรกิจสัมมนาในเชียงรายหักรายจ่ายได้ 2 เท่า. หน่วยงานรัฐถูกตั้ง KPI เร่งเบิกจ่ายอย่างน้อย 60% ภายในมกราคม 2569. สัญญาณทั้งหมดชี้ว่าเม็ดเงินกำลังมุ่งสู่ชุมชน. ผู้ประกอบการต้องพร้อมรับดีมานด์ และชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี. มาตรการนี้มีเป้าหมายเป็น Quick Big Win เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนทันเวลา. ข้อมูลหลักยืนยันจากหน่วยงานรัฐและสื่อสาธารณะหลากหลายแหล่ง

โครงสร้างมาตรการ 5 คันเร่งหนุนดีมานด์–ซัพพลาย

มาตรการของรัฐแบ่งเป็น 5 แกนหลัก. แกนแรกคือภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับค่าที่พักและร้านอาหาร. วงเงินลดหย่อนตามจ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท. เมืองรองได้คูณ 1.5 เท่า สูงสุด 30,000 บาท. 10,000 บาทแรกใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. ส่วน 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. เงื่อนไขครอบคลุมผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT. ส่วนค่าตั๋วเดินทางและของฝากไม่เข้าเกณฑ์. รายละเอียดออกโดยกรมสรรพากรในเอกสารทางการ

แกนที่สองคือมาตรการภาษีนิติบุคคลด้าน MICE. จัดอบรมหรือสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยว “เมืองรอง” หักรายจ่ายได้ 2 เท่า. พื้นที่อื่นหักได้ 1.5 เท่า. นี่คือแรงจูงใจสำคัญให้บริษัทเลือกเชียงราย. แกนที่สามคือเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ. เป้าหมายการใช้จ่ายฝึกอบรม–ประชุม–สัมมนา ปีงบ 2569 ไม่น้อยกว่า 60% ภายในมกราคม 2569. ทั้งหมดถูกสื่อสารโดยหน่วยงานสื่อสารภาครัฐ

แกนที่สี่คือภาษีสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรม. อนุญาตให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง หรือขยายพื้นที่ได้ 2 เท่า. ช่วงเวลามาตรการคือ 29 ตุลาคม 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569. แกนที่ห้าคือการขยายเวลาลดภาษีกิจการบันเทิงจาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี. ช่วยเพิ่มสีสันท่องเที่ยวกลางคืนและกิจกรรมผ่อนคลาย

ทำไม “เชียงราย” ได้เปรียบ

เชียงรายคือเมืองปลายทางที่มีเอกลักษณ์. ภูมิประเทศหลากหลายและวัฒนธรรมเข้มข้น. โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง. ข้อมูลทางการระบุว่า ปี 2566 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้ท่องเที่ยวทะลุ 46,000 ล้านบาท. ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนศักยภาพฐานลูกค้าจริง. หากผนวกแรงคูณภาษี 1.5 เท่า ดีมานด์ปลายปีนี้จึงมีโอกาสเร่งตัว. หน่วยงานรัฐในพื้นที่ยังยืนยันบทบาทเชียงรายในยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว

เมื่อพิจารณาจากนโยบายรัฐปัจจุบัน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นำคณะขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ. ความเคลื่อนไหวล่าสุดสะท้อนบทบาทเชิงรุกด้านการคลังในเวทีระหว่างประเทศและภายในประเทศ. สอดรับทิศทางนโยบายที่ต้องการผลเร็ว และกระจายโอกาสสู่เมืองรอง

จาก “นโยบาย” สู่ “ชุมชน”

นโยบายจะสำเร็จเมื่อกลไกหน้างานทำงานจริง. ภาพแรกคือครอบครัวจากกรุงเทพฯ. พวกเขาเลือกเชียงรายเพราะต้องการธรรมชาติและศิลปะ. สิทธิภาษีช่วยตัดสินใจเร็วขึ้น. โรงแรมในเมืองรองทำแพ็กเกจที่พักพร้อมอาหารท้องถิ่น. ร้านอาหารเตรียม e-Tax ครบถ้วนเพื่อลูกค้ายื่นภาษีได้ทันที. ทริปสั้นๆ เปลี่ยนเป็น 3 คืน. งบประมาณเฉลี่ยต่อทริปเพิ่ม. เงินกระจายสู่โชห่วยและรถสองแถวในชุมชน.

ภาพต่อมาคือฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทเอกชน. งบสัมมนาปลายปีถูกปรับแผนจากเมืองหลักไปสู่เชียงราย. แพ็กเกจห้องประชุมครึ่งวัน บวกกิจกรรมทีมบิลดิ้งกลางไร่ชา. บริษัทได้หักรายจ่าย 2 เท่า. โรงแรมมีอัตราเข้าพักสูงขึ้น. วิสาหกิจชุมชนได้รับงานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง. ผู้ให้บริการท้องถิ่นมีรายได้เพิ่ม.

ภาพสุดท้ายคือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น. งานอบรมบุคลากรย้ายมาจัดในพื้นที่ตัวเอง. โรงแรมขนาดกลางได้คิวเช่าเต็ม. ผู้ประกอบการรถตู้และร้านอาหารรับอานิสงส์. ระบบ e-Tax เตรียมพร้อม. เมื่อรวมกับ KPI เร่งเบิกจ่าย รายนัดหมายจึงเกิดขึ้นเร็วและถี่. สิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนตัวคูณทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน.

เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้เล่นให้ถูกกติกา ได้สิทธิเต็มจำนวน

ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเก็บใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน. 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. ค่าใช้จ่ายที่นำไปลดหย่อนได้ ครอบคลุมค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารในระบบ VAT. ค่าบริการนำเที่ยวของบริษัททัวร์ที่จดทะเบียนก็เข้าเกณฑ์. ส่วนค่าน้ำมัน ทางด่วน ตั๋วเครื่องบิน และของฝาก ไม่เข้าหลักเกณฑ์. ทั้งหมดอ้างอิงตามประกาศและอินโฟกราฟิกของหน่วยงานรัฐ

นิติบุคคลที่จัดสัมมนาในเชียงราย สามารถหักรายจ่าย 2 เท่า. การวางแผนเอกสารภาษีจึงสำคัญยิ่ง. ฝ่ายบัญชีควรตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษีบนใบกำกับ. โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ให้บริการ ต้องออกเอกสารครบ. การเตรียมระบบ e-Tax ที่ไหลลื่นจะช่วยปิดการขาย. รัฐได้วางเงื่อนไขเวลาชัดเจน จึงควรดำเนินการให้ทันกรอบ

โอกาสของผู้ประกอบการเชียงรายยกระดับสู่มาตรฐานและความยั่งยืน

มาตรการปรับปรุงโรงแรม 2 เท่า เปิดโอกาสลงทุนระยะเร่งด่วน. ผู้ประกอบการควรโฟกัสงานที่ยกระดับประสบการณ์แขก. เช่น ปรับฟังก์ชันห้องพักเพื่อรองรับครอบครัว. พัฒนา Co-working zone สำหรับนักท่องเที่ยวทำงานไกล. ติดตั้งโซลาร์เพื่อลดต้นทุนพลังงานระยะยาว. โรงแรมควรเพิ่มระบบจองตรงพร้อม e-Tax อัตโนมัติ. เมื่อรวมกับส่วนลดภาษีฝั่งลูกค้า ความน่าสนใจจะยิ่งเพิ่ม

ภาคบันเทิงและกิจกรรมกลางคืนได้แรงหนุนจากการลดภาษีเหลือ 5%. ผู้ประกอบการผับ บาร์ และโชว์พื้นเมืองควรจัดตารางการแสดงรองรับไฮซีซัน. ควรประสานงานกับชุมชนเรื่องเสียงและความปลอดภัย. ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตคือหัวใจ. หากบริหารดี เมืองจะ “เที่ยวได้ทั้งปี” อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายมีฐานแข็ง พร้อมสปริงตัว

ตัวเลขปี 2566 สะท้อนศักยภาพหลักของจังหวัด. นักท่องเที่ยวรวมกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้สูงกว่า 46,000 ล้านบาท. อัตราฟื้นตัวหลังวิกฤตเป็นไปอย่างมั่นคง. แนวโน้มปี 2567 ภาคบริการยังขยายตัวเด่น. ปัจจัยคือการกลับมาของกิจกรรมและการเชื่อมโยงคมนาคม. เม็ดเงินท่องเที่ยวช่วยดันค้าปลีกและภาษีมูลค่าเพิ่ม. เมื่อผนวกมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” โอกาสจึงชัดเจน

ข้อมูลระดับประเทศยังชี้ว่าดีมานด์ท่องเที่ยวภายในและต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี. นักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยเที่ยวไทยยังเป็นเสาหลัก. ภาคเหนือได้แรงขับจากเมืองรองที่เติบโต. เชียงรายได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้โดยตรง. ผู้เล่นท้องถิ่นจึงควรวางกลยุทธ์ “ยืดเวลาพำนัก” และ “เพิ่มมูลค่าต่อทริป”

แผนปฏิบัติสำหรับ 8 สัปดาห์ทอง

สัปดาห์ที่ 1–2: โรงแรมจัดแพ็กเกจ “เมืองรอง 1.5 เท่า”. รวมห้องพัก อาหารเช้า เมนูท้องถิ่น และกิจกรรมชุมชน. ออก e-Tax ได้ทันที. ทำสื่อสั้น 15 วินาที เน้นคีย์เวิร์ด “หักภาษีเพิ่มได้”.
สัปดาห์ที่ 3–4: เจาะตลาดองค์กร. เสนอห้องประชุมครึ่งวันพร้อมทีมบิลดิ้ง. จับมือวิสาหกิจชุมชนทำเวิร์กช็อปชา กาแฟ หรืองานคราฟต์. ระบุสิทธิ “หัก 2 เท่า” ให้ชัดเจน.
สัปดาห์ที่ 5–6: จัด “เทศกาลอาหารชุมชน”. โปรโมตผ่านเพจท้องถิ่นและพาร์ตเนอร์ OTA. ทุกบูธออก e-Tax ได้. เชื่อมแผนที่เดินเที่ยวในระยะ 1 กิโลเมตร.
สัปดาห์ที่ 7–8: ผลักดันตลาดครอบครัวและสายสุขภาพ. นำเสนอสปาและออนเซ็นธรรมชาติ. สร้างโปรแกรม “เดินป่าเบาๆ” กับไกด์ชุมชน. ปิดแคมเปญด้วยคอนเสิร์ตท้องถิ่นภายใต้กติกาความปลอดภัย.

เจ้าบ้านที่ดีและกระบอกเสียงที่เชื่อถือได้

ททท. เน้นบทบาท “เจ้าบ้านที่ดี” อย่างต่อเนื่อง. การต้อนรับที่อบอุ่นสร้างประสบการณ์และการกลับมา. ชุมชนควรจัดทำลิสต์แหล่งท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ. สื่อท้องถิ่นช่วยคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้อง. ผู้ประกอบการควรทำคู่มือ “ใช้สิทธิอย่างไร” แจกลูกค้า. เมื่อข้อมูลครบถ้วน นักท่องเที่ยวจะมั่นใจและใช้สิทธิได้จริง

 

คำกล่าวจากภาครัฐ ทิศทาง–เป้าหมาย–กลไก

ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงหลัง ครม. มีมติว่า มาตรการชุดนี้ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจสั้น และเพิ่มขีดความสามารถระยะยาว. นโยบายเน้นการกระจายพื้นที่ โดยโฟกัสเมืองรอง. โครงสร้างภาษีถูกออกแบบให้จูงใจทุกภาคส่วน. ภาครัฐย้ำกรอบเวลาชัดเจน และย้ำการใช้ e-Tax เพื่อความโปร่งใส. สาระสำคัญถูกสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะและเอกสารทางการ

ในมุมการคลังระดับนโยบาย บทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความสำคัญ. ท่าทีเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศย้ำความพร้อมด้านเสถียรภาพ. นี่คือบริบทที่หนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและนักลงทุน. ความมั่นใจคือหัวใจของการใช้จ่ายปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร เอกสาร–ดีมานด์–สมดุลชุมชน

ความเสี่ยงแรกคือเอกสารภาษีไม่ครบ. ผู้ประกอบการต้องกำกับคุณภาพใบกำกับ. ลูกค้าต้องตรวจชื่อ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และวันที่จ่าย. ความเสี่ยงที่สองคือดีมานด์กระจุกในสุดสัปดาห์. โรงแรมควรกระจายโปรโมชันไปวันธรรมดา. เสนอสิทธิพิเศษสำหรับ “สัปดาห์ทำงานยืดหยุ่น”. ความเสี่ยงที่สามคือผลกระทบชุมชนจากการท่องเที่ยวหนาแน่น. ควรจัดการเรื่องเสียงและขยะ. สร้างกติกา “ท่องเที่ยวรับผิดชอบ” ในทุกกิจกรรม.

หน้าต่างเวลาสั้น แต่ผลลัพธ์ยาว

เชียงรายมีฐานท่องเที่ยวแข็งแรงและชุมชนเข้มแข็ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” เติมเชื้อไฟฝั่งดีมานด์. มาตรการภาษี MICE และ KPI เบิกจ่ายภาครัฐ ช่วยย้ำความแน่นอน. ซัพพลายที่ยกระดับมาตรฐานจะรับโอกาสได้เต็มที่. หากทุกฟันเฟืองเดินพร้อมกัน เงินจะหมุนสู่ร้านเล็ก ร้านใหญ่ และครัวเรือน. หน้าต่างเวลา 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568 จึงสำคัญยิ่ง. ผู้เกี่ยวข้องควรลงมือทันที. ทำให้สิทธิถูกใช้จริง ทำให้ประสบการณ์ดีจริง. แล้วผลลัพธ์ระยะยาวจะตกผลึกเป็นความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ “เชียงราย” ทั้งปี.

เช็กลิสต์ “ใช้สิทธิอย่างมืออาชีพ”

  1. วางแผนเดินทางให้ตรงกรอบเวลา.
  2. เลือกผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT.
  3. เก็บใบกำกับภาษีครบถ้วน โดยเฉพาะ e-Tax ส่วนเกิน 10,000 บาท.
  4. หากเป็นองค์กร ให้ขอใบเสนอราคาและเอกสารภาษีที่สอดคล้อง.
  5. ใช้สิทธิเมืองรองคูณ 1.5 เท่าให้คุ้ม.
  6. ยื่นแบบภาษีช่วง ก.พ.–มี.ค. 2569 พร้อมแนบหลักฐาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมสรรพากร
  • กรมการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทชร. คว้า “แพลทินัม” ต่อเนื่อง 16 ปีซ้อน AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติใน Thailand Safety Award

ทชร. “แพลทินัม” 16 ปีซ้อน—AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติ สำนักงานใหญ่–สนามบิน 4 แห่งกวาดรางวัล Thailand Safety Award ประจำปี 2568

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินที่เข้มข้นและมาตรฐานความปลอดภัยที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีของ จังหวัดเชียงราย ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) คว้ารางวัล สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ระดับประเทศ – ระดับแพลทินัม” ต่อเนื่อง ปีที่ 16 ในโครงการ Thailand Safety Award ประจำปี 2568 สะท้อนบทพิสูจน์ความสม่ำเสมอด้านการบริหารความปลอดภัยในสถานปฏิบัติงานที่ไม่ใช่เพียง “ทำได้ครั้งเดียว” แต่ “ทำได้ต่อเนื่องยาวนาน” จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ขณะเดียวกัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ ก็ประกาศผลงานโดดเด่นระดับองค์กรทั้งเครือ โดย สำนักงานใหญ่ AOT ได้รับรางวัลระดับประเทศ (ระดับทอง) ต่อเนื่อง ปีที่ 2 และยังมีสนามบินในกำกับอีก 4 แห่ง ที่กวาดรางวัล ได้แก่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ระดับทอง ปีที่ 5), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ระดับทอง ปีที่ 3) และ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ระดับจังหวัด ปีที่ 2) ตอกย้ำภาพรวมการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของเครือข่ายสนามบิน AOT อย่างรัดกุมและเป็นระบบ

พิธีรับมอบจัดขึ้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2568 โดยมี นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ที่ปรึกษา 10 และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน) เป็นผู้แทน AOT เข้ารับรางวัลจาก นายบุญธรรม ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ณ สำนักงานใหญ่ AOT

เล่าเรื่องจาก “รันเวย์เชียงราย” สู่ “รางวัลระดับชาติ”

ในห้วงเวลาที่เชียงรายกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ภาพของผู้โดยสารที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสัมผัสลมหนาว ชิมกาแฟดอย และชมดอกไม้ในเทศกาลใหญ่ กลายเป็น “ฉากหลัง” ของงานดูแลความปลอดภัยที่ไม่อาจละสายตาได้แม้แต่วินาทีเดียว—ตั้งแต่เขตลานจอด เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟทางวิ่ง ไปจนถึงการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกฝ่าย ทชร. ต้องรักษามาตรฐานเหล่านี้ให้ “เข้ม” และ “คงเส้นคงวา” เสมอ

การได้รางวัล แพลทินัม 16 ปีซ้อน ของ ทชร. จึงไม่ใช่เพียงเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ แต่เป็นบัญชีสะสมความไว้วางใจที่ชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ “ฝากชีวิต” ไว้กับสนามบินแห่งนี้ตลอดกว่าทศวรรษครึ่ง

สารหลักจากผู้บริหาร AOT (สรุปใจความจากคำชี้แจงหน่วยงาน)

“รางวัลครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของ AOT ว่า ‘บุคลากร’ คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยึดหลักมาตรฐานวิชาชีพ”

ความปลอดภัย–อาชีวอนามัย” ไม่ใช่เอกสาร แต่คือระบบนิเวศการทำงาน

เบื้องหลังรางวัล Thailand Safety Award คือการประเมินความพร้อมหลายมิติ ทั้งด้านนโยบาย ระบบบริหารความปลอดภัย (Safety Management System: SMS) การประเมินความเสี่ยง การป้องกันอุบัติเหตุ การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉิน การฝึกอบรมและเสริมทักษะบุคลากร ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบสนามบิน

สำหรับ ทชร. ความโดดเด่นคือ วัฒนธรรมความปลอดภัย” (Safety Culture) ที่ถูกทำให้เห็นเป็นรูปธรรม—เช่น การสื่อสารความเสี่ยงแบบข้ามสายงาน, การซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับทุกหน่วย (การแพทย์–ดับเพลิง–จราจรอากาศ–ความมั่นคง), การทบทวนบทเรียนจากเหตุการณ์ใกล้เคียงอุบัติเหตุ (Near Miss) เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และการจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ใส่ใจทั้งความปลอดภัยทางกายภาพและสุขภาพจิตของบุคลากร

ในระดับ AOT ทั้งระบบ ความสำเร็จของสำนักงานใหญ่และสนามบินเครือเดียวกันอีก 3 แห่งบ่งชี้ว่า “นโยบาย” ไม่ได้หยุดอยู่ในเอกสารกลาง แต่ถูกแปลงเป็นแนวปฏิบัติจริง ณ จุดปฏิบัติงาน—ตั้งแต่ลานจอดจนถึงห้องเครื่อง กลายเป็น “โครงข่ายความปลอดภัย” ที่ทำงานสอดประสานกัน

สรุปสถิติรางวัลปี 2568 ภาพรวมความก้าวหน้าของเครือ AOT

องค์กร

ระดับรางวัล

ความต่อเนื่อง

สำนักงานใหญ่ AOT

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 2

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

ระดับประเทศ (แพลทินัม)

ปีที่ 16

ท่าอากาศยานหาดใหญ่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 5

ท่าอากาศยานเชียงใหม่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 3

ท่าอากาศยานภูเก็ต

ระดับจังหวัด

ปีที่ 2

ตัวเลขที่ชวนคิด:

  • “16 ปีซ้อน” ของทชร. เท่ากับ เกือบสองทศวรรษ ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงรักษาเสถียรภาพด้านความปลอดภัยอย่างสูงสุด—ยาวนานพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสนามบินหลายยุค
  • การที่ สามสนามบินระดับภูมิภาค (เชียงราย–เชียงใหม่–หาดใหญ่) กวาด ระดับประเทศ พร้อมกัน สะท้อนพลังของเครือข่ายสนามบินนอกกรุงเทพฯ ที่ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ “ดาวเด่นเดี่ยว” แต่ “เติบโตทั้งพอร์ต”

เหตุใด “สนามบินปลอดภัย” จึงสำคัญต่อจังหวัดและเศรษฐกิจชุมชน

  1. ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและสายการบิน – รางวัลความปลอดภัยที่ได้รับต่อเนื่องทำให้เชียงรายมี “ตราประทับความไว้วางใจ” ช่วยดึงดูดสายการบิน–เที่ยวบินพิเศษในฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนถึงความพร้อมของระบบรองรับการเดินทาง
  2. ต้นทุนโลจิสติกส์และความต่อเนื่องของธุรกิจ – อุบัติเหตุหรือเหตุหยุดชะงักที่สนามบินมีต้นทุนสูงกว่าที่คิด ทั้งต่อผู้โดยสาร ผู้ประกอบการ และภาพลักษณ์ปลายทาง การยกระดับความปลอดภัยจึงเท่ากับ “ประกัน” ความต่อเนื่องของเศรษฐกิจจังหวัด
  3. ความปลอดภัยของบุคลากรและชุมชนรอบสนามบิน – ระบบอาชีวอนามัยที่เข้มแข็งลดอุบัติเหตุหน้างาน ลดการเจ็บป่วยจากการทำงาน และลดความเสี่ยงเหตุรุนแรงที่กระทบพื้นที่โดยรอบ ซึ่งตรงกับความคาดหวังของประชาชนในฐานะ “เพื่อนบ้านสนามบิน”

เชียงรายบนเส้นทาง “สนามบินปลอดภัย–เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน”

ความปลอดภัยของสนามบินไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเขตรั้วขององค์กร แต่เชื่อมโยงกับ พฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และ กิจกรรมในชุมชน โดยรอบ เช่น การเฝ้าระวัง โคมลอย–โดรน–พลุ ในช่วงเทศกาลปลายปีที่อาจคุกคามความปลอดภัยการบิน การที่ทชร. มีระบบรณรงค์ร่วมกับหน่วยงานด้านการบินและชุมชนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็น “ภาพต่อเนื่อง” ของวัฒนธรรมความปลอดภัย—จากรันเวย์สู่เมือง

ด้วยเหตุนี้ รางวัลแพลทินัม จึงหมายถึง “ความสำเร็จร่วม” ของทั้งสนามบินและคนเชียงราย ที่ช่วยกันรักษากติกาเพื่อให้การเดินทางปลอดภัยและจังหวัดเดินหน้าสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง

ถอดบทเรียนความสำเร็จ 4 ปัจจัยที่ทำให้รางวัลยาวนาน

  1. ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญ – เมื่อผู้บริหาร AOT ย้ำชัดว่า “บุคลากรคือพลังขับเคลื่อน” งบประมาณ–เครื่องมือ–เวลาในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยจึงถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่โครงการครั้งคราว
  2. มาตรฐานเดียวกันทั้งเครือ – สำนักงานใหญ่ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์มาตรฐาน” ที่ผลักนโยบายสู่สนามบินทุกแห่ง ทำให้รางวัลเกิดในหลายพื้นที่พร้อมกัน
  3. การประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง – วงจร Plan–Do–Check–Act ถูกนำมาใช้จริงในงานภาคสนาม ตรวจสอบช่องโหว่และยกระดับอย่างสม่ำเสมอ
  4. การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติและชุมชน – ความปลอดภัยไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากทุกคนในระบบ ทั้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้น นักบิน ผู้โดยสาร ผู้ประกอบการร้านค้า ไปจนถึงชุมชนรอบสนามบิน

มุมมองเชิงยุทธศาสตร์ของ AOT  “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ต้องยืนบนรากฐานความปลอดภัย

การประกาศวิสัยทัศน์สู่ ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค จะเป็นได้จริงก็ต่อเมื่อสนามบินหลัก–สนามบินภูมิภาคของไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ในระดับสากล รางวัล Thailand Safety Award ที่ได้รับต่อเนื่องหลายปีจึงทำหน้าที่เสมือน “ตัวชี้วัดเงียบ” ว่าองค์กรกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางนี้อย่างมั่นคง

ในมิติสากล การมีระบบอาชีวอนามัยที่ดี ยังสัมพันธ์กับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยตรง—ทั้งด้านงานที่มีคุณค่า (SDG8) สุขภาพและความปลอดภัย (SDG3) และโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่น (SDG9) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ธุรกิจการบินทั่วโลกจับตามอง

เสียงสะท้อนจากจังหวัด—รางวัลที่ “จับต้องได้”

สำหรับเชียงราย รางวัลของทชร. สะท้อนกลับมาสู่สิ่งที่จับต้องได้ 3 ด้าน

  • ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวฤดูหนาว เที่ยวบินเช่าเหมาลำ–ไฟลต์เสริมมีแนวโน้มตอบรับดีเมื่อสนามบินแสดงศักยภาพด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง
  • การเชื่อมต่อการลงทุนท้องถิ่น ผู้ประกอบการโรงแรม–โลจิสติกส์–เกษตรแปรรูป มองเห็น “ความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐาน” ในจังหวัด
  • ความภาคภูมิใจของคนทำงาน บุคลากรสนามบินและหน่วยสนับสนุนมีแรงจูงใจสูงขึ้น เมื่อผลงานด้านความปลอดภัยถูกยอมรับระดับประเทศ

คำถามสุดท้ายที่ควรถามต่อ  “หลังจากแพลทินัมปีที่ 16 แล้ว เราจะพัฒนาอย่างไรต่อ?”

รางวัลต่อเนื่องยาวนานคือความสำเร็จ แต่ก็ท้าทายให้คิดต่อว่าจะ “ยกระดับ” อย่างไรในก้าวต่อไป ประเด็นที่น่าจับตา ได้แก่

  • เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก (เช่น เซนเซอร์ IoT ตรวจสอบสภาพเครื่องมือภาคพื้นแบบเรียลไทม์, AI วิเคราะห์ความเสี่ยงการปฏิบัติงาน)
  • การจัดการความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศสุดขั้ว ที่อาจกระทบการปฏิบัติการบิน
  • การสร้างทักษะคนรุ่นใหม่ ในสายงานความปลอดภัยการบินที่ต้องผนวกระบบดิจิทัลและการสื่อสารข้ามหน่วยงาน

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็น “ฐานรากของปีที่ 17–18–19” และต่อ ๆ ไป ให้ทชร. และเครือ AOT ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้เหนือความคาดหวัง

สรุปเชิงบรรณาธิการ

  1. ข่าวดีของเชียงราย: ทชร. คว้า แพลทินัม 16 ปีซ้อน—นานพอจะสะท้อน “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ที่ฝังรากจริง
  2. ข่าวดีของประเทศ: AOT ทั้งเครือ “กวาดรางวัล” ทั้งสำนักงานใหญ่และสนามบินภูมิภาคหลัก ยืนยันระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ
  3. ความหมายต่อเศรษฐกิจ–สังคม: ความปลอดภัยสนามบินคือ “โครงสร้างพื้นฐานทางความเชื่อมั่น” ที่หนุนท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การลงทุน
  4. โจทย์ต่อไป: รักษามาตรฐานพร้อมยกระดับเทคโนโลยี–ทักษะ เพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ และสนับสนุนวิสัยทัศน์ศูนย์กลางการบินภูมิภาค

เมื่อความปลอดภัยไม่ใช่แค่ “เกณฑ์สอบผ่าน” แต่เป็น “คุณค่าหลักขององค์กร” รางวัลจึงกลายเป็นเพียงผลลัพธ์ปลายทาง ส่วนสิ่งที่คนเชียงรายและผู้โดยสารทุกคนได้รับจริง ๆ คือ ความอุ่นใจบนทุกเที่ยวบินที่ขึ้น–ลง ณ รันเวย์แห่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT
  • สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (Mae Fah Luang – Chiang Rai International Airport)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง สั่งเข้มงดโคม-คุมโดรน ฝ่าฝืนโทษหนัก

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึก 3 หน่วยงานการบิน ดึงชุมชนรอบสนามบินเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สั่งเข้ม “งดโคม-คุมโดรน” ฝ่าฝืนโทษหนัก สูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อแสงเทียนและโคมลอยกำลังจะปลิวไสวบนท้องฟ้าในช่วง “ยี่เป็ง–ลอยกระทง” ของล้านนา สีสันของเทศกาลที่งดงามก็ทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงบนท้องฟ้า” ที่จับต้องได้มากขึ้นทุกปี ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) จึงเปิดปฏิบัติการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางการบินแบบเชิงรุก ผนึกกำลัง บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความรู้ กำชับกฎหมาย และสร้างเครือข่ายชุมชนรอบสนามบินในการเฝ้าระวังวัตถุบินที่รุกล้ำเขตปลอดภัย โดยเน้นสองโจทย์หลักช่วงเทศกาลคือ โคมลอย–พลุ–ตะไล และ โดรน

พิธีเปิดโครงการ “รณรงค์ส่งเสริมการป้องกันอันตรายจากโคมลอย โคมไฟ โคมควัน และการใช้งานโดรน ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2569” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมไชยนารายณ์ริเวอร์ไซด์ โดยมี นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล ผู้เชี่ยวชาญ 9 และรักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้แทนจาก ฝูงบิน 416 เชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย, สมาคมโรงแรมจังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, มณฑลทหารบกที่ 37, ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากชุมชนรอบสนามบิน เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างคึกคัก

“เราขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย งดการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้โดยสาร และชุมชนของเราเอง” – นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล เน้นย้ำในเวทีรณรงค์

จุดตั้งต้นของยุทธการ เทศกาลสวยงามที่ซ่อน ‘ความเสี่ยงร้ายแรง’

ปีนี้ประเพณียี่เป็ง/ลอยกระทงตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งตามสถิติการเดินทาง มักเป็นช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน “โคมลอย–พลุ–ตะไล” และกิจกรรมโดรนเพื่อถ่ายภาพ ก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นรอบพื้นที่สนามบิน หากปล่อยโดยไม่ควบคุม อาจก่อเหตุ ร้ายแรงต่ออากาศยาน และ “ชีวิต” ได้โดยตรง

แผ่นพับรณรงค์ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ชัดถึง 4 มิติความเสี่ยงจากโคมลอย ที่สาธารณชนควรตระหนัก

  1. ความปลอดภัยต่อการเดินอากาศ – โคมลอยสามารถถูกดูดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้เกิดการ ระเบิด หรือสูญเสียการควบคุม
  2. การรบกวนการบิน – แสงจากโคมหรือเลเซอร์ในอากาศอาจบดบังวิสัยทัศน์นักบิน กระทบการนำร่อนและการสื่อสาร
  3. ผลกระทบต่อสนามบิน – ซากโคมที่ตกใกล้รันเวย์เป็นสิ่งกีดขวาง ทำให้ต้อง ชะลอหรือยกเลิกเที่ยวบิน
  4. อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินภาคพื้น – โคมลอยตกใส่หลังคา สายไฟแรงสูง หรือพื้นที่แห้งแล้งอาจก่อ ไฟไหม้ลุกลาม

คำเตือนดังกล่าวไม่ใช่การคาดเดา เพราะในโลกความจริง เหตุ “วัตถุแปลกปลอมในอากาศ” (FOD) และ การชนกับนก (Bird Strike) ก็เป็นความเสี่ยงคู่ขนานที่ต้องบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง อินโฟกราฟิกของท่าอากาศยานฯ ยังอธิบายภาพจำง่าย ๆ ว่า หากเครื่องบินวิ่งที่ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ชนวัตถุหนัก 5 กิโลกรัม แรงปะทะที่เกิดขึ้น “เทียบเท่าชนช้างหนึ่งตัว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชนกับนกขนาดกลาง–ใหญ่ สามารถสร้าง แรงกระแทกมหาศาล ต่อโครงสร้างอากาศยานได้

ในทุ่งนารอบเชียงรายยังพบ “นกเป้าหมาย” เป็นประจำ เช่น นกปากห่าง (หนัก 1–3 กก.), นกยางควาย/นกยางกรอก (หนักประมาณ 0.2–0.5 กก.) และ นกเอี้ยง หลายชนิดซึ่งแม้ตัวเล็กแต่รวมฝูงได้ง่าย ทชร. จึงทำงานร่วมกับชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดปัจจัยดึงดูด (เช่น แหล่งอาหารและแหล่งพักนก) ใกล้เขตการบิน

เขตปลอดภัยการเดินอากาศ เส้นขีดที่ไม่ควรถูกละเมิด

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ เผย แผนที่เขตห้าม จุด/ปล่อยโคมลอย โคมควัน พลุ ตะไล และวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน “รอบสนามบินโดยเด็ดขาด” ตาม ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องกำหนดเขตบริเวณใกล้เคียงสนามบินเชียงรายเป็นเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ พ.ศ. 2535 ครอบคลุมพื้นที่ใน อำเภอเมืองเชียงราย หลายตำบล รวมถึง อำเภอเวียงชัย (ตำบลเวียงชัย, เวียงเหนือ) และ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง (ตำบลดงมหาวัน, ตำบลทุ่งก่อ) เป็นต้น

สาระสำคัญคือ ผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอยในพื้นที่ นอกเขตห้าม ก็ยังต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด เช่น ยื่นขออนุญาตต่อผู้อำนวยการเขตหรืออำเภอ ระบุวัน–เวลา–สถานที่–จำนวนที่จะปล่อย พร้อมแจ้งท่าอากาศยานหรือศูนย์ควบคุมการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ทั้งนี้ ห้าม จัดกิจกรรมในแนวขึ้น–ลงของอากาศยานหรือพื้นที่ที่อาจส่งผลต่อการนำร่อนโดยตรง

สำหรับ โคมลอยมาตรฐาน ที่ทางการอนุญาต ต้องมีลักษณะตามนี้

  • สูงไม่เกิน 140 ซม. และ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 90 ซม.
  • ทำจากวัสดุธรรมชาติ
  • ใช้เชื้อเพลิงจากกระดาษซับเทียนหรือพาราฟิน น้ำหนักไม่เกิน 55 กรัม และ เผาไหม้ไม่เกิน 8 นาที
  • ห้ามผูกลูกดอก/พลุ/ไฟตก ใต้ท้องโคมลอยโดยเด็ดขาด

กฎหมาย–บทลงโทษ “เข้มกว่าที่คิด” เพื่อยับยั้งความเสี่ยง

การปล่อยโคมลอยหรือจุดพลุในเขตปลอดภัยการเดินอากาศ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โทษสูงสุด “หนักและชัด” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้โดยสารและสาธารณชน

  • ฝ่าฝืนจุด/ปล่อยในเขตปลอดภัย จำคุกไม่เกิน 5 ปี, ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • กรณีทำให้เกิดความเสียหาย/อันตรายต่ออากาศยาน สูงสุดถึง ประหารชีวิต, จำคุกตลอดชีวิต, หรือจำคุก 5–20 ปี และปรับ 600,000–800,000 บาท

กับ “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับ การควบคุมก็เข้มงวดไม่แพ้กัน ตามกรอบของ กพท. และ กสทช.

  • ห้ามบินในระยะ 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือบริเวณขึ้น–ลงชั่วคราวของอากาศยาน เว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินเหนือสถานที่ราชการ โรงพยาบาล เขตหวงห้าม หรือสูงเกิน 90 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • บทลงโทษพื้นฐาน (ฝ่าฝืนเขตห้าม) จำคุกไม่เกิน 1 ปี, ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านการขึ้นทะเบียน

  • กสทช. โดรนน้ำหนัก 2–25 กก. ต้องขึ้นทะเบียนตัวเครื่อง พร้อมเอกสารบัตรประชาชน ภาพ Serial Number และ ประกันภัยบุคคลที่สามไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
  • กพท. (CAAT) โดรน ติดกล้อง หรือ ใช้เชิงพาณิชย์ ต้องขึ้นทะเบียนผ่านระบบ UAS Portal รวมถึงการขึ้นทะเบียน ผู้บังคับ สำหรับโดรนน้ำหนัก ตั้งแต่ 25 กก. ขึ้นไป

ข้อควรรู้ ที่ทชร. ย้ำกับผู้ใช้โดรนทุกคน

  1. โดรน น้ำหนักน้อยกว่า 2 กก. และ ไม่ติดกล้อง เพื่อการใช้งานอดิเรก อาจ ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ยังต้องบินอย่างปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎระยะห่าง/ความสูง
  2. โดรน 2–25 กก. หรือ ติดกล้อง ต้องขึ้นทะเบียนทั้งกับ กสทช. (ตัวเครื่อง) และ กพท. (การใช้งาน/ผู้บังคับ)
  3. ขณะบินต้อง “มองเห็นด้วยตาเปล่า” ตลอดเวลา ห้ามบังคับโดยอาศัยภาพจากกล้องอย่างเดียว

จากเวทีความรู้สู่เครือข่ายเฝ้าระวัง ทำอย่างไรให้ “น่านฟ้าเชียงราย” ปลอดภัยยิ่งขึ้น

สาระการบรรยายของ บวท., กสทช. และ กพท. ในเวทีรณรงค์ 20 ต.ค. ครอบคลุมตั้งแต่ “หลักการจัดการความปลอดภัยด้านการบิน (Safety Management)” การประสานงานการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ไปจนถึง “แนวทางปฏิบัติ” ของชุมชนรอบสนามบินเมื่อพบเห็นวัตถุในอากาศ โดยทชร. เผย QR Code สองรายการสำหรับประชาชน ได้แก่

  • กฎหมาย/ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวัตถุในอากาศ (รวมถึงโคมลอย–โดรน)
  • ช่องทางแจ้งเหตุ หากพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย

ในการปฏิบัติจริง ทชร. เน้น 4 กลไกเฝ้าระวัง ที่ทำงานคู่กับมาตรการเชิงกฎหมาย

  1. เครือข่ายชุมชน – แต่งตั้งอาสาสมัคร/ตัวแทนชุมชนรอบสนามบินเป็น “จุดสังเกตการณ์” แจ้งเบาะแสรวดเร็ว
  2. ประสานท้องถิ่น–ท้องที่ – อบต./เทศบาล/กำนันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมออกประกาศย้ำเตือนก่อนเทศกาล และนัดหมาย “เวลาปลอดภัย” หากจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต
  3. การสื่อสารสาธารณะ – ป้ายรณรงค์ อินโฟกราฟิก และโพสต์สาระย่อยง่าย เช่น ภาพ “โคมลอยอาจเท่ากับชนช้างหนึ่งตัว” เพื่อกระตุ้นการรับรู้
  4. ลาดตระเวน–เฝ้าระวังเชิงรุก – ทีมงานสนามบินตรวจพื้นที่เสี่ยงรอบรันเวย์/แนวขึ้นลงก่อน–ระหว่างเทศกาล

เชียงราย 70% บทพิสูจน์ของเมืองท่องเที่ยว–ฮับการบิน ที่ต้องอยู่ร่วมกับประเพณีอย่างปลอดภัย

เชียงรายกำลังเดินหน้าเป็น “เมืองท่องเที่ยวสุขภาพ–วัฒนธรรม” เทศกาลยี่เป็งคือเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดผู้มาเยือน แต่สนามบินแม่ฟ้าหลวงฯ ก็เป็น “โครงข่ายชีวิต” ของเศรษฐกิจจังหวัด ความสมดุลระหว่าง ความงดงามของประเพณี กับ ความปลอดภัยของน่านฟ้า จึงเป็นโจทย์ยุคใหม่ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้

เวทีรณรงค์ครั้งนี้สะท้อน “บทเรียนเชียงราย” อย่างน้อย 3 ประการ

  • ความรู้เท่าทัน คือเส้นแบ่งระหว่างงานรื่นเริงกับความเสี่ยง – ประชาชนจำนวนมาก “เพิ่งรู้” ว่าการปล่อยโคมลอยบางประเภทมีโทษสูงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หากก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยาน
  • การมีส่วนร่วม ของภาคธุรกิจ–โรงแรม–ชุมชน มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ – โรงแรมและผู้จัดทัวร์คือด่านหน้าในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างจังหวัด/ต่างชาติ
  • มาตรการเชิงระบบ ต้องทำก่อนเทศกาล – การแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วัน การกำหนดพื้นที่–เวลา (ในกรณีที่ได้รับอนุญาต) และการเชื่อมต่อข้อมูลกับหอบังคับการบิน คือหัวใจของการลดความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ

ประเทศไทย 20% กฎเดียวกันใช้ทั้งประเทศ แต่พื้นที่รอบสนามบิน “เข้มเป็นพิเศษ”

แม้มาตรการรณรงค์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในเชียงราย แต่กฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497, ข้อกำหนดของ กพท. และ กสทช. มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสนามบินหลัก–รอง และพื้นที่ที่ประกาศเป็น “เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ” ช่วงเทศกาลลอยกระทง ภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรมปล่อยโคม–พลุ จึงต้องประสานงานกับสนามบินในพื้นที่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ใช้ โดรน ทั่วประเทศ กรอบคิดที่ควรยึดไว้เสมอคือ “มองเห็น–ควบคุมได้–รับอนุญาต” หากบินใกล้สนามบินหรือในพื้นที่อ่อนไหว และ “ขึ้นทะเบียน–ทำประกัน” ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

ต่างประเทศ 10% เวทีโลกก็เผชิญโจทย์เดียวกัน – วัตถุเล็ก ความเสี่ยงใหญ่

หลายประเทศเข้มงวดกับ โคมลอย และ โดรน ใกล้สนามบินอย่างมาก เพราะอุบัติการณ์ “วัตถุเล็ก–ผลกระทบใหญ่” เกิดขึ้นจริง ทั้งกรณีโดรนรุกล้ำเขตห้ามบินจนสนามบินต้อง ปิดรันเวย์ชั่วคราว, หรือเหตุไฟไหม้จากโคมลอยที่ลอยไกลควบคุมไม่ได้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ตอกย้ำว่าแนวนโยบายของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ที่เลือกใช้ “ป้องกันไว้ก่อน” คือทางเลือกที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะยาว

จาก “ความงดงาม” สู่ “ความรับผิดชอบร่วมกัน”

เทศกาลยี่เป็ง–ลอยกระทงคือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเชียงรายและชาวล้านนา การรักษาเสน่ห์นั้นไว้คู่กับการเดินอากาศที่ปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกคน

  • หากต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอย ต้องยื่นขออนุญาต แจ้งวัน–เวลา–สถานที่–จำนวน และประสานสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
  • เลือกใช้ โคมมาตรฐาน ขนาดตามเกณฑ์ และ ห้าม ผูกพลุ/ลูกไฟตก
  • ผู้ใช้ โดรน ต้อง ขึ้นทะเบียน ตามเกณฑ์ของ กสทช.–กพท., ทำประกันบุคคลที่สาม, บินในพื้นที่ปลอดภัย ห่างสนามบินอย่างน้อย 9 กม., ความสูงไม่เกิน 90 เมตร, และมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอ
  • เมื่อพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย แจ้งท่าอากาศยาน ผ่านช่องทางที่ประกาศ (QR Code) ทันที

เสียงปิดท้ายจากเวทีรณรงค์ของเชียงรายชัดเจน น่านฟ้าปลอดภัย คือความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งเมือง” หากทุกภาคส่วนขยับพร้อมกัน เชียงรายจะคงไว้ซึ่งทั้ง ความงามของประเพณี และ ความมั่นคงของเส้นทางบิน ที่เชื่อมผู้คน เศรษฐกิจ และอนาคตของเมืองเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (AOT Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport)
  • บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • ประกาศกระทรวงคมนาคม
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

รองนายกฯ ธรรมนัส สั่งลุยปมสารปนเปื้อนแม่น้ำกก ดันวาระเข้า ครม. เจรจาเหมืองต้นน้ำ

ธรรมนัส’ สั่งลุยปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำกก ดันวาระเข้า ครม. พร้อมตั้งคณะกรรมการจังหวัด ขีดเส้น 3 เดือน “ราคาข้าว–โค–ผลผลิตเกษตร” ต้องขยับขึ้น

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เสียงกระซิบจากริมฝั่งน้ำกกในยามเช้า ไม่ได้เล่าถึงเพียงน้ำขึ้นน้ำลงตามฤดูกาล หากแต่กำลังบอกเรื่อง “ความไม่แน่นอน” ของชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับแม่น้ำมากว่าชั่วคน ตั้งแต่ความปลอดภัยของน้ำกินน้ำใช้ ไปจนถึงปากท้องเกษตรกรที่ต้องชำเลืองดู “ราคาตลาด” ทุกครั้งที่เก็บเกี่ยว ในห้วงเวลานี้ รัฐบาล ปักธงแนวคิด “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” สู่ภาคเหนือตอนบนด้วยปฏิบัติการเชิงรุก นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พาคณะทำงานระดับนโยบาย–เทคนิค ลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เป็นแห่งแรกของภารกิจ

ปลายเข็มนาฬิกาชี้ไปที่ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จุดเริ่มต้นของการรับฟังและสื่อสารนโยบายแบบ “ถึงพื้นที่–ถึงปัญหา–ถึงมือประชาชน” โดยมี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ และ นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนผู้บริหารในสังกัดร่วมขบวน ภาพที่เห็นจึงไม่ใช่เพียง “การลงพื้นที่” แต่คือ “การตั้งโต๊ะทำงาน” กลางจังหวัด—ตั้งแต่การแก้สารปนเปื้อนน้ำ ไปจนถึงการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตทางการเกษตร และการยกระดับคุณภาพครู–การศึกษา

“ปัญหาเก่าก็ยังไม่ถูกแก้ ปัญหาใหม่ก็เพิ่มมาอีก… จึงต้องตั้งกลไกในจังหวัดให้ทำงานจริงจังและเห็นผล”
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี/รมว.เกษตรและสหกรณ์

ตั้งคณะกรรมการจังหวัด เปลี่ยนความเดือดร้อนให้กลายเป็นแผนงาน

มาตรการแรกที่ถูกหยิบขึ้นมาคือ การตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาและขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดเชียงราย มี นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ ทำหน้าที่ประธาน เพื่อให้ศูนย์บัญชาการอยู่ ในพื้นที่–ใกล้ประชาชน” และบูรณาการงานของ กรมปศุสัตว์–กรมส่งเสริมสหกรณ์–กรมวิชาการเกษตร ให้เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายชัดเจนคือ ลดต้นทุนการผลิต (ลดปุ๋ย–ยาฆ่าแมลง–ปัจจัยการผลิตสำคัญ) พร้อมขยาย ช่องทางตลาด โดยใช้ ระบบสหกรณ์ เป็นแกนกลาง เพื่อให้เกษตรกรรวมกลุ่มมีอำนาจต่อรองมากขึ้นและวิ่งเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น

ตัวชี้วัดระยะสั้น ถูกประกาศชัด—“ภายใน 3 เดือน ราคาข้าว–ราคาวัว–ราคาผลผลิตเกษตร ต้องปรับขึ้น”—ถ้อยคำนี้ย้ำแรงกดดันที่ฝ่ายปฏิบัติจะต้องเร่งเครื่อง ทำทั้งฝั่ง ลดต้นทุน และ เพิ่มรายได้ ไปพร้อมกัน

วาระด่วนเข้าคณะรัฐมนตรี ปัญหาสารปนเปื้อนน้ำ ต้องคุยข้ามพรมแดน

หัวใจของความกังวลในวันนี้คือ คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งประชาชนร้องเรียนมายาวนานว่ามี สารอันตรายปนเปื้อน จากกิจกรรมเหมืองแร่ ต้นน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อความเสี่ยงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของชุมชนชายฝั่ง การแก้ปัญหาจึงไม่อาจทำได้เพียง “กวาดหน้าบ้านตัวเอง” แต่ต้อง “เปิดประตูไปพูดคุยกับเพื่อนบ้าน” อย่างมีกลไก

“วันอังคารนี้ ผมจะนำเรื่องสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ กระทรวงการต่างประเทศ หรือนักการทูต ไปเจรจากับ เจ้าของเหมืองต้นน้ำกก–น้ำสาย อย่างเป็นระบบ”
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า

ขณะเดียวกัน มาตรการ เชิงวิศวกรรม–เชิงสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศถูกสั่งเดินหน้าควบคู่ อาทิ ให้ กรมชลประทาน พิจารณา ประตูระบายน้ำ/ฝายดักตะกอน บริเวณต้นน้ำก่อนเข้าสู่ อำเภอแม่อาย เพื่อกรองสารปนเปื้อนและ ลดการไหลผ่านสู่จังหวัดเชียงราย พร้อมสั่งการ กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และกรมประมง ทำ เฝ้าระวัง–ตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสัตว์น้ำ อย่างเข้มข้น เพื่อยืนยันความปลอดภัยต่อการอุปโภคบริโภค ที่สำคัญคือให้ จัดหาแหล่งน้ำสำรอง สำหรับประชาชน แม้ค่าความปนเปื้อน “ยังไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ความมั่นใจนำหน้าความเสี่ยง

เชียงราย เมืองชายแดน–ลุ่มน้ำ–เกษตร–ท่องเที่ยว ที่ต้องการ “การบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ”

เชียงราย มีประชากรกว่า 1.2 ล้านคน บนพื้นที่ราว 7.2 ล้านไร่ ครอบคลุม 18 อำเภอ 124 ตำบล 1,725 หมู่บ้าน และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 144 แห่ง เป็นจังหวัดชายแดนที่เชื่อม เมียนมา–สปป.ลาว และมีระบบนิเวศทางน้ำสำคัญทั้ง กก–อิง–โขง รวมถึง หนองหลวง แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ราว 9,000 ไร่ โครงสร้างเศรษฐกิจเอนเอียงสู่ เกษตร–ป่าไม้–ประมง–ท่องเที่ยว พืชเศรษฐกิจหลากหลายตั้งแต่ ข้าวเจ้า–ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์–ชา–กาแฟ–สับปะรด–มันสำปะหลัง–ส้มโอ–ลำไย–ลิ้นจี่ แต่ขณะเดียวกันก็เผชิญ น้ำท่วม–น้ำป่า–ดินถล่ม–หมอกควัน รวมถึง มลพิษน้ำ ที่ยืดเยื้อ นี่เองที่ทำให้ “แผนฟื้นฟูแหล่งน้ำ–สร้างแหล่งน้ำสำรอง–กำจัดวัชพืช” มีความหมายเกินกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา เพราะมันคือ หลักประกันความมั่นคงมนุษย์

ในเวทีเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำเสนอโครงการเร่งด่วนหลายรายการ อาทิ ขุดลอกหนองหลวง–ก่อสร้างฝายดักตะกอนดินซีเมนต์–ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด–กำจัดผักตบชวา–พัฒนาโครงสร้างท่องเที่ยวบริเวณคันทางหนองหลวง เพื่อรองรับบทบาท Landmark สำหรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ซึ่งสอดคล้องกับ นโยบาย 7 เรือธง ของ อบจ. เชื่อม “น้ำ–เกษตร–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน” เข้าด้วยกัน

ลดต้นทุน–เพิ่มรายได้ ใช้ “สหกรณ์” เป็นตัวคูณ

แกนยุทธศาสตร์ฝั่งเกษตรถูกวางเป็น “สองมือ” มือซ้าย ลดต้นทุน (ลดการใช้ปุ๋ย–สารเคมี–ปรับปัจจัยการผลิตให้เหมาะสมกับดิน–น้ำ–พืช) โดยอาศัยองค์ความรู้จาก กรมวิชาการเกษตร–กรมพัฒนาที่ดิน–กรมปศุสัตว์ ส่วนมือขวา เพิ่มรายได้ ผ่านการรวมกลุ่ม สหกรณ์ ให้เข้มแข็ง ทั้งเพื่อ แสวงหาตลาด–เพิ่มช่องทางจำหน่าย–ยกระดับมาตรฐานสินค้า และ ต่อรองราคา ในห่วงโซ่อุปทาน นัยของถ้อยแถลงคือทำให้ เงินลงทุน 1 บาท” เกิดผลคูณมากกว่า 1 เมื่อรวมกลุ่ม–จัดซื้อร่วม–ขายร่วม–ขนส่งร่วม

ด้านหนึ่ง คำมั่น 3 เดือน เป็นเสมือน ตัวตั้งเวลา สำหรับฝ่ายปฏิบัติให้ “สับเปลี่ยนเกียร์” ขณะที่อีกด้านเป็น แรงกดดันเชิงคาดหวัง ของตลาดในพื้นที่ การเดินเกมจึงต้อง สื่อสารตรง–โปร่งใส–รายงานผลต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเชื่อมั่น ทั้งต่อเกษตรกรและผู้ซื้อปลายน้ำ

มิติการศึกษา ครู–โรงเรียน–มหาวิทยาลัย คือกลไก “ยกระดับทุนมนุษย์”

ในห้องเดียวกัน การศึกษา ถูกยกขึ้นมาคู่ขนานกับการเกษตร เพราะท้ายที่สุด “คน” คือผู้ทำให้แผนกลายเป็นผลลัพธ์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับลูกนโยบาย ยกระดับคุณภาพชีวิตครู ด้วยความเชื่อว่า “ครูคือพ่อแม่คนที่สอง” หากครูเข้มแข็ง เยาวชนก็มีแรงส่งสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ พร้อมทั้ง บทบาท มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร.) ในการสนับสนุน Thailand Zero Dropout (TZD) เป้าหมาย “เด็กและเยาวชนนอกระบบ = ศูนย์” ผ่านการพัฒนาทักษะ ภาษา เทคโนโลยี และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เสริมภาพรวมว่า เชียงรายเป็น “ประตูการค้า–การลงทุนลุ่มโขง” ที่พร้อมต่อยอด หากได้รับ แผนเร่งซ่อม–แผนลงทุนใหม่ ที่ยันบนทรัพยากรคน–น้ำ–ดิน–เกษตร–ท่องเที่ยวอย่างสมดุล

จากเวทีรับฟังสู่การมอบจริง สัญลักษณ์–สัญญาณ–ความหวัง

ภายหลังเวทีรับฟังปัญหา รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ มอบ โฉนดเพื่อการเกษตร เมล็ดพันธุ์–พันธุ์สัตว์น้ำ–หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน–น้ำหมักชีวภาพ–ต้นกาแฟ อาราบิก้า–โรบัสตา ให้ผู้แทนเกษตรกร และปล่อย คาราวานกล้ากาแฟ 64,150 กล้า ภาพเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ แม้ไม่ใช่มาตรการมหภาคในตัวเลขใหญ่ แต่สะท้อน ความต่อเนื่องจาก “พูด–ฟัง–ทำ” และความมุ่งหวังให้ “ต้นทุนชีวิต” ของเกษตรกรลดลงตั้งแต่ฤดูเพาะปลูก

มาตรการฟื้นฟูน้ำ วิศวกรรม–ข้อมูล–การมีส่วนร่วม

แกนเทคนิคของปัญหาน้ำปนเปื้อนมีสามเสาหลัก

  1. วิศวกรรม — ประตูระบายน้ำ/ฝายดักตะกอนบริเวณต้นน้ำก่อนแม่อาย ช่วย ชะลอ–กัก–กรอง เพื่อลดการแพร่ปนเปื้อนสู่ตอนล่าง และช่วยบริหารน้ำหลาก–แล้ง
  2. ฐานข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อม — เฝ้าระวัง น้ำ–ดิน–สัตว์น้ำ อย่างเป็นระบบ โดย กรมพัฒนาที่ดิน–กรมชลประทาน–กรมประมง เพื่อให้ ข้อมูลนำการตัดสินใจ และเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างโปร่งใส
  3. การมีส่วนร่วมของพื้นที่ — คณะกรรมการจังหวัด–ผู้นำท้องถิ่น–ชุมชนริมลำน้ำ ร่วมออกแบบจุดติดตาม–มาตรการเร่งด่วน–แผนสื่อสารความเสี่ยง เพื่อให้ ความรู้–ความเชื่อมั่น เดินคู่กัน

ทั้งหมดนี้ผนวกกับการผลักดันในระดับ คณะรัฐมนตรี เพื่อเปิดช่องให้ กระทรวงการต่างประเทศ เจรจากับคู่ภาคีต้นน้ำ ตั้ง มาตรฐานร่วม–กลไกแจ้งเตือน–กรอบตรวจสอบ ที่จับต้องได้

โครงการของพื้นที่ หนองหลวง–ฝาย–ธนาคารน้ำ–ท่องเที่ยว

รายการที่ อบจ.เชียงราย เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรี สะท้อนวิธีคิด “น้ำหนึ่งหยด ใช้หลายรอบ” ตั้งแต่ กำจัดผักตบชวา–วัชพืชกีดขวางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหล, ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด 11 จุด เพื่อเติมน้ำลงชั้นใต้ดิน, ขุดลอก 4 จุด เพื่อเพิ่มความจุรับฤดูฝน–กักฤดูแล้ง, ฝายดักตะกอนดินซีเมนต์ เพื่อลดการไหลของสารแขวนลอย, และ พัฒนาโครงสร้างท่องเที่ยวรอบหนองหลวง เพื่อสร้าง ประโยชน์ทวีคูณ ให้กับชุมชน—ตั้งแต่การเกษตรถึงเศรษฐกิจท่องเที่ยว

โครงการเหล่านี้ผูกเข้ากับ ปฏิทินกิจกรรม ขนาดใหญ่อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ที่จะใช้พื้นที่หนองหลวงเป็น Landmark หนึ่งใน “7 เรือธง” ของจังหวัด เป้าหมายคือให้ น้ำ–ดิน–ภูมิทัศน์ กลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ ได้จริง

คำถามนโยบาย 3 เดือน ราคาเกษตรจะขึ้นอย่างไรให้ยั่งยืน?

คำประกาศ “3 เดือน ราคาเกษตรต้องขึ้น” คือ สัญญา ต่อชาวบ้าน และเป็น โจทย์นโยบาย ต่อข้าราชการและตลาด ทางปฏิบัติจำเป็นต้องเดินสามทางคู่กัน

  • ต้นทุน ต้องเห็นโครงการลดต้นทุนที่ จับต้องได้เร็ว เช่น การจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพกว่า, การใช้ปุ๋ย–สารเคมีอย่างเหมาะสมกับดิน (ลดปริมาณแต่ไม่ลดผลผลิต), การส่งเสริม ชีวภัณฑ์ ที่ต้นทุนต่ำกว่าในบางกรณี
  • ตลาด เร่งรวมกลุ่มผ่าน สหกรณ์ ทำ ดีลตลาด กับผู้ซื้อปลายน้ำ/ห้าง/แพลตฟอร์ม, วางเวลาเก็บเกี่ยว–ขนส่ง เพื่อ ลดการอิ่มตัวช่วงพีก, ส่งเสริม แปรรูปขั้นต้น เพื่อเพิ่มอายุเก็บรักษาและลดการขายตัดราคา
  • ข้อมูล–สื่อสาร ประกาศ ราคาอ้างอิง–สถิติปริมาณ–ความต้องการตลาด แบบรายสัปดาห์ ช่วยเกษตรกรตัดสินใจ, เปิดช่องทางร้องเรียน หักค่าชั่ง/หักคุณภาพไม่เป็นธรรม และวางกลไกไกล่เกลี่ยรวดเร็วในจังหวัด

หากทำสามทางนี้คู่กับ มาตรการน้ำ (ซึ่งกระทบต้นทุนจริง เช่น น้ำพอเพียง = ปุ๋ยน้อยลง–ผลผลิตคงที่) โอกาสบรรลุผลภายในกรอบเวลาที่ตั้งไว้จะสูงขึ้น

ความเสี่ยง–เงื่อนไขสำเร็จ ทางเทคนิค–ทางการเมือง–ทางเวลา

  • ทางเทคนิค การสร้างฝาย/ประตูน้ำต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม–ตะกอน–การไหล–การอพยพของสัตว์น้ำ เพื่อไม่สร้างปัญหาใหม่ หาก ดีไซน์ถูก–บำรุงรักษาได้ จะเป็นเกราะป้องกันระยะยาว
  • ทางการเมือง/การทูต การเจรจากับต่างประเทศเรื่องเหมืองต้นน้ำต้องการ ข้อมูลวิทยาศาสตร์–กรอบกฎหมาย–คณะทำงานร่วม และ แรงหนุนทางการเมือง ในระดับ ครม.
  • ทางเวลา “3 เดือน” สั้นมากในวัฏจักรเกษตร จำเป็นต้อง เลือกผลิตภัณฑ์/พื้นที่เป้าหมาย ที่มีความพร้อมสูง เพื่อสร้าง “ชัยชนะระยะสั้น” (quick wins) ขณะวางฐานยั่งยืนระยะกลาง–ยาว

บทบาทมหาวิทยาลัย–โรงเรียน จากองค์ความรู้สู่บริการประชาชน

มฟล. และ มร.ชร. ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเพียงในฐานะสถานที่ แต่คือ แหล่งความรู้ ที่สามารถเสริมภารกิจจังหวัดได้ เช่น ห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–อาหาร, โครงการวิจัยระบบการผลิตพืชในพื้นที่สูง–พืชเศรษฐกิจ, หลักสูตรสั้นสำหรับเกษตรกร/ผู้นำชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม–การตลาดดิจิทัล, และบทบาทเป็น แพลตฟอร์ม TZD เพื่อตามเก็บเด็ก–เยาวชนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา/อาชีพ

แนวคิด “ครูคือพ่อแม่คนที่สอง” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการย้ำ ทำให้ สวัสดิการ–คุณภาพชีวิตครู กลายเป็น “เงื่อนไขโครงสร้าง” ของการพัฒนาคน เมื่อครูมั่นคง ห้องเรียนมั่นคง คุณภาพการเรียนรู้ก็จะมั่นคง

เสียงจากเวที–ภาพจากพื้นที่ เมื่อรัฐ–ท้องถิ่น–ประชาชนขยับพร้อมกัน

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวถึงศักยภาพเชิงพื้นที่ที่รอการ “จุดระเบิด” ด้วยงบลงทุนที่แม่นยำและทันเวลา ขณะที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ชี้ช่อง “ประตูการค้า–การลงทุนลุ่มโขง” ที่จะขยายโอกาส หากปัญหาพื้นฐาน น้ำ–สิ่งแวดล้อม–ราคาเกษตร ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม

ในอีกมุม “โฉนด–พันธุ์พืช–กล้ากาแฟ” ที่ถูกมอบ เป็นภาพเล็กที่บอกเรื่องใหญ่—ความพร้อมของชุมชน ที่อยากกลับมายืนได้ด้วยขาตนเอง หากมีน้ำพอ–ต้นทุนลด–ตลาดชัด–เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมหมู่บ้าน–หนองหลวงเป็นจุดหมายใหม่—วงจรเศรษฐกิจฐานรากก็มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง

จาก “ปัญหาน้ำ” สู่ “วาระจังหวัด” และ “การทูตน้ำ”

เรื่องราวที่เริ่มจาก “สารปนเปื้อนในแม่น้ำ” ถูกยกระดับเป็น “วาระจังหวัด” ผ่าน คณะกรรมการแก้ปัญหา และ “วาระแห่งชาติ” ผ่าน คณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเปิดหน้าต่างไปสู่ “การทูตน้ำ” กับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน คำมั่น 3 เดือน ให้ราคาข้าว–โค–ผลผลิตเกษตรขยับขึ้น ก็เป็นแรงขับภายในที่บังคับให้ทุกหน่วยต้อง บูรณาการ–ทำจริง–วัดผลได้ บททดสอบครั้งนี้จึงไม่ใช่โจทย์เดี่ยวของกระทรวงเกษตรฯ หากเป็น โจทย์รวม ของ เกษตร–ทรัพยากร–ต่างประเทศ–มหาดไทย–ศึกษา–ท้องถิ่น–ชุมชน และ มหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าทำสำเร็จ เชียงรายจะไม่เพียง “ผ่านพ้นวิกฤตน้ำ” แต่จะมี “สัญญาใหม่กับอนาคต”—น้ำสะอาด–ราคายุติธรรม–ท่องเที่ยวยั่งยืน–เด็กไม่หลุดจากระบบ—ที่ทุกฝ่ายร่วมเป็นเจ้าของ

“เราจะตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมาดูแลปัญหานี้โดยเฉพาะ…เพราะนี่คือความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง”
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

Grocegry โตสวนทางเศรษฐกิจ! คนเชียงรายเปลี่ยนพฤติกรรม ซื้อถี่-คุมงบ-เน้นสุขภาพ

คนไทยรัดเข็มขัด หยิบตะหลิวแทนเมนู เชียงรายกำลัง “เข้าเทรนด์” ทำอาหารเอง-ซื้อรายวัน ตลาด Grocery โตสวนเศรษฐกิจ

ประเทศไทย, 1 ตุลาคม 2568 — เช้าวันจันทร์ที่ตลาดชุมชนย่านในเมือง รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงหน้าแผงผักจนแน่น กะหล่ำปลีหัวใหญ่ ผักกาดขาวสดฉ่ำ และเนื้อหมูส่วนสันในถูกหยิบกวาดลงตะกร้าทีละน้อยแต่ถี่ขึ้น แม่บ้านวัยทำงานบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ช่วงนี้ตั้งใจซื้อของสดทุกสองวัน จะได้ไม่ทิ้ง ลดค่าใช้จ่ายด้วย” ภาพเล็ก ๆ แบบนี้สะท้อน “สัญญาณใหม่” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศคนไทยหันมาทำอาหารเอง และ เปลี่ยนมาซื้อรายวัน มากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

ซึ่งเชียงรายกำลังเจอเทรนด์ “ทำอาหารเอง–ซื้อรายวัน” แบบเดียวกับประเทศ และมี “แรงส่ง” มากกว่าหลายพื้นที่จากฐานวิถีชุมชน–ธรรมชาติ–สุขภาพ ผู้ชนะจะเป็นครัวเรือนที่รู้จักวางแผนเมนู–คุมงบ–คุมคุณภาพ, ผู้ค้าปลีกที่ยืดหยุ่นด้วย SKU เล็ก–Omnichannel–มาตรฐานปลอดภัย และภาครัฐท้องถิ่นที่ทำให้ ข้อมูล–สุขอนามัย–โลจิสติกส์ เดินพร้อมกัน หากเชียงราย ผนวก Grocery เข้ากับ “เมืองแห่งสุขภาพ” ได้จริง เมืองจะไม่เพียงแค่ “รับเทรนด์” แต่จะ “ยกระดับคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน” ให้จับต้องได้ในจานข้าวทุกมื้อของคนเชียงราย

รายงานของ The 1 Insight (ศูนย์ข้อมูลพฤติกรรมสมาชิก The 1) ระบุชัดว่า สินค้ากลุ่ม Grocery ขยายตัวทั้ง “ปริมาณ” และ “ความถี่” เพราะผู้บริโภคเลือกทำอาหารเองแทนการรับประทานนอกบ้าน สินค้าหมวด วัตถุดิบทำอาหาร (Cooking Ingredients) โตแรงเป็นพิเศษเติบโตถึง 2 เท่า ในปีล่าสุด ขณะที่ “รูปแบบการซื้อ” ก็ขยับจากช็อปใหญ่ปลายสัปดาห์ มาเป็น ซื้อรายวัน–รายสองวัน” ในวันธรรมดา เพื่อควบคุมงบและลดของเสีย ส่วนที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ ต่างจังหวัดโตแรงกว่ากรุงเทพฯ โดย การใช้จ่ายต่อครั้งในต่างจังหวัดโตเร็วกว่าในเมืองถึงราว 2 เท่า สะท้อนว่า “หัวเมือง” กลายเป็นสมรภูมิเศรษฐกิจของตลาด Grocery แบบเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง

คำถามจึงโยนกลับมาที่เชียงรายเมืองชายแดนที่ตั้งเป้าเป็น “เมืองแห่งสุขภาพ–เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์” เราเจอเทรนด์นี้เต็ม ๆ แล้วหรือยัง และควรรับมืออย่างไรเพื่อให้ครัวเรือน–ผู้ประกอบการ–เกษตรกร ได้ประโยชน์สูงสุด

ภาพใหญ่ของพฤติกรรมใหม่ ทุกเจเนอเรชันลงครัว แต่คนละสไตล์

The 1 Insight แยกภาพผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ และเมื่อฉายลงสังคมเชียงรายที่มีทั้งครัวเรือนเกษตร, วัยทำงานกลับถิ่น, นักศึกษา และผู้สูงวัย จะเห็นว่า “ทุกกลุ่มพร้อมเข้าครัว” แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน

  • กลุ่มขับเคลื่อนหลัก (Gen X และ Millennial Family) ใช้จ่ายสูงสุดในหมวด Grocery รายการยอดนิยมคือ เนื้อสัตว์–ผักสด–เครื่องปรุงพื้นฐาน สอดคล้องครัวเรือนมีลูกเล็ก/ผู้สูงวัยอาศัยรวมกัน ทำให้ “ทำอาหารเอง” เป็นกิจวัตรเพื่อตอบทั้ง สุขภาพ–รสชาติ–ความหลากหลาย
  • กลุ่มใช้จ่ายต่อคนสูงสุด (Silver Spenders) แม้จำนวนไม่มาก แต่ จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงราว 3 เท่า เน้น วัตถุดิบคุณภาพสูง–ออร์แกนิก ตรงกับโครงสร้างประชากรเชียงรายที่มีสัดส่วนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น และความสนใจด้าน อาหารปลอดภัย–สุขภาวะ
  • กลุ่มเร่งรีบ (Gen Y/Gen Z เมือง–มหาวิทยาลัย) ผสม “ทำง่ายที่บ้าน” กับ สินค้าสะดวกทาน เช่น โยเกิร์ต อาหารแช่แข็ง ขนมปัง พร้อมเครื่องดื่มโปรตีน/นมทางเลือกเป็น สุขภาพแบบทันใจ

บทสรุปเชิงพฤติกรรม ภาพรวม ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่เป็น ลงทุนในคุณภาพชีวิต” ผ่านการคุมวัตถุดิบและโภชนาการด้วยตนเอง ขณะที่รูปแบบการซื้อที่ ถี่กว่า แต่ต่อครั้งน้อยลง กลายเป็นสมการใหม่ที่ค้าปลีก–ซัพพลายเชนต้องปรับตัว

ทำไมต่างจังหวัด (อย่างเชียงราย) โตไวกว่า 4 ปัจจัยโครงสร้างที่ผลักดัน

  1. โครงสร้างครัวเรือนและพื้นที่อยู่อาศัย
    บ้านเดี่ยว–ทาวน์เฮาส์ในเชียงรายเอื้อต่อ “ครัวจริงจัง” มากกว่าอยู่คอนโดพื้นที่จำกัดในเมืองใหญ่ การปรุงอาหารเองจึงสะดวกและคุ้มกว่า
  2. เครือข่ายตลาดสด–สินค้าเกษตรชุมชน
    เชียงรายมี ตลาดเช้าตามชุมชน–กลุ่มวิสาหกิจเกษตร ที่เข้าถึงง่าย ทำให้วัตถุดิบสดคุณภาพดีถูกนำเสนอได้ทุกวัน ตรงกับ “โมเดลซื้อรายวัน”
  3. วิถีสุขภาพ–เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
    จังหวัดผลักดันเรื่องสุขภาวะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอาหารปลอดภัย จิตสำนึกสุขภาพ สูงขึ้น วัตถุดิบดีมีทางเลือกมากขึ้น จึงเกิด “ดีมานด์บวก”
  4. อีคอมเมิร์ซ–เดลิเวอรีที่เข้าถึง
    บริการจัดส่งจากซูเปอร์มาร์เก็ต–ร้านโชห่วย–มินิมาร์ทยุคใหม่ ช่วย “ลดต้นทุนเวลา” สำหรับคนทำงาน/ครอบครัวเลี้ยงลูก ชี้ว่า Omnichannel เป็นบทใหม่ของต่างจังหวัดแล้ว

ผลรวมทั้งสี่ข้อ ทำให้เชียงราย อยู่ในตำแหน่งที่รับเทรนด์ได้เร็ว ยิ่งเมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องจัดลำดับความสำคัญค่าใช้จ่าย การซื้อถี่ขึ้นในพื้นที่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

สัญญาณที่เห็นได้ภาคสนาม (บนกรอบความเป็นกลาง)

แม้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขทางการรายจังหวัดอย่างละเอียด แต่จาก โครงสร้างตลาด–บริการที่เกิดขึ้นจริง สามารถระบุ “สัญญาณปลายทาง” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศ ได้แก่

  • ยอดสั่งเดลิเวอรีวัตถุดิบ/ของสดช่วงเย็น–หัวค่ำ เพิ่มขึ้นในย่านที่พักอาศัย/แหล่งงาน (แรงส่งจากแคมเปญสะสมแต้ม/ส่งฟรี)
  • ยอดขายวัตถุดิบเบสิก เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมูส่วนยอดนิยม ผักใบเขียว สมุนไพรพื้นฐาน (ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด) และ เครื่องปรุง “พรีเมียมขนาดเล็ก” สำหรับทำเมนูสุขภาพที่บ้าน
  • สินค้ากลุ่ม Ready-to-cook / Ready-to-heat เช่น อกไก่ปรุงรส, ข้าวโพด/ผักแช่แข็งพอร์ชันเล็ก, น้ำซุปเข้มข้นหมุนเวียนลอตไวขึ้น เพราะตอบโจทย์ ทำเอง ครึ่งหนึ่ง” ของคนเมืองเร่งรีบ
  • ตลาดชุมชนช่วงวันธรรมดา คึกคักขึ้น โดยเฉพาะเช้า/เย็น สอดคล้องแนวโน้ม ซื้อวันธรรมดา แทนซื้อรวบปลายสัปดาห์”

ทั้งหมดนี้สอดรับกับชุดข้อมูลของ The 1 Insight เรื่อง ซื้อรายวัน” และ “ต่างจังหวัดโตแรง” ซึ่งชี้ทิศทางชัดว่า เชียงรายกำลังเดินบนเส้นเดียวกับประเทศ

โอกาส–ความเสี่ยง–สิ่งที่เชียงรายควรทำ “ตอนนี้เลย”

1) โอกาสของครัวเรือน “กินดี–คุมงบ–ปลอดภัย”

  • สร้าง เมนูสั้น 7 วัน ที่ใช้วัตถุดิบทับซ้อน ลด Food Waste และประหยัดค่าเดินทาง
  • ใช้ ช่องทางเดลิเวอรี เฉพาะรายการหนัก/เน่าเสียง่าย (นม–เนื้อแช่เย็น) ลดทริปซื้อถี่โดยไม่เพิ่มต้นทุนเวลา
  • เลือก ตรารับรอง/มาตรฐานสุขอนามัย ของตลาด–ซูเปอร์–ร้านชำ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะครัวเรือนผู้สูงวัย/เด็กเล็ก

2) โอกาสของผู้ประกอบการค้าปลีก–เกษตร–แปรรูป “แพ็กเล็ก–หมุนไว–แต้มต่อสุขภาพ”

  • ปรับสินค้าเป็น พอร์ชันเล็ก–ขนาดทดลอง (SKU เล็ก) สำหรับลูกค้าที่ซื้อถี่และคุมงบ
  • เพิ่มไลน์ วัตถุดิบ–เซ็ตทำอาหารสุขภาพ (โปรตีนสูง/ไขมันดี/โซเดียมต่ำ) พร้อมสูตรทำง่าย 15–20 นาที
  • ทำ Omnichannel จริงจัง ร้านหน้าบ้าน + แอป/แชต + เดลิเวอรีภายใน 2 ชม. โดยเชื่อม คะแนนสมาชิก/แคมเปญสะสมแต้ม (ตัวอย่างความร่วมมือระดับประเทศอย่าง Tops x GrabMart ชี้ให้เห็นรูปแบบการเพิ่มความคุ้มค่าให้ลูกค้า)
  • ลงทุน โคลด์เชนต้นน้ำ–ปลายน้ำ (ตู้แช่/รถห้องเย็นขนาดเล็ก) และ มาตรฐานสุขอนามัย สร้างความต่างให้ต่างจังหวัดจับต้อง “คุณภาพระดับเมืองใหญ่”

3) โอกาสเชิงนโยบายเมือง “Wellness x Grocery = สุขภาพระดับครัวเรือน”

  • ผนวกแนวคิด Wellness City เข้ากับ พาณิชย์ชุมชน โครงการ “ครัวสุขภาพเชียงราย” ส่งเสริม ผัก–โปรตีนท้องถิ่น–สมุนไพรล้านนา พร้อมป้ายโภชนาการเข้าใจง่าย
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลค้าปลีก–ตลาดสดระดับจังหวัด (Dashboard เปิดเผยรายเดือน เช่น สินค้าขายดี 10 อันดับ วัตถุดิบขาด–ล้น) เพื่อให้ผู้ประกอบการ วางสต็อกตรงดีมานด์ ลดทิ้งของ ลดราคาเหวี่ยง
  • ดัน เทศกาลกินดี–ทำกับข้าวที่บ้าน ช่วง “ไหล่ฤดู” (หน้าฝน/ปลายฝน) เพื่อกระจายรายได้และดึงนักท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (เรียนทำอาหาร–เยี่ยมแปลงเกษตร–คาเฟ่สุขภาพ)

 “เช็กลิสต์ร้านดัง” สู่ “เมนูบ้านที่อร่อยและคุ้มกว่า”

“เมื่อก่อนเลิกงานก็ชวนกันกินข้าวนอกบ้าน สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เดี๋ยวนี้ทำกับข้าวเองสัก 3 วัน ที่เหลือค่อยสั่งกลับบ้าน” พ่อวัยทำงานย่านรอบเมืองเล่าให้ฟัง ในมือถือของเขามีลิสต์ส่วนผสมพื้นฐาน อกไก่ 500 กรัม, เห็ด 1 แพ็ก, ผักใบเขียว 2 ชนิด, ไข่ 10 ฟอง และโยเกิร์ต เซ็ตพื้นฐานที่อยู่ได้ 3–4 มื้อ ต้นทุนต่อจานลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการกินนอกบ้าน “ประหยัดขึ้น แต่ก็ได้คุณภาพอย่างที่อยากกิน” เขาว่า

ถัดจากนั้นไม่กี่ซอย คุณยายวัย 65 ปี หยิบผักออร์แกนิกและปลานิลจากบ่อชุมชนลงตะกร้า “หมอว่าให้ลดเค็มเพิ่มผัก” เธอเล่าว่าเลือกซื้อ พอร์ชันเล็ก แต่ ซื้อบ่อย เพื่อคงความสด “กินเท่าที่พออิ่ม ไม่ต้องเหลือทิ้ง”

เรื่องเล่าเล็ก ๆ เหล่านี้ คือชีวิตจริงของ “เทรนด์ใหญ่” ที่กำลังเคลื่อน ทำอาหารเอง, ซื้อรายวัน, เลือกสุขภาพ และเชียงรายก็กำลังเดินตามโค้งเส้นนี้อย่างสอดคล้อง

มองข้ามช็อต เชียงรายจะ “ชนะ” เทรนด์นี้ได้อย่างไรใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. แพ็กเกจ “ครัวสุขภาพเชียงราย”
    รวมชุดวัตถุดิบพื้นฐาน + สูตร 7 วัน + คูปองส่วนลดเดลิเวอรี/รับแต้มสมาชิก ร่วมมือซูเปอร์มาร์เก็ต–ตลาดชุมชน–เกษตรกรท้องถิ่น
  2. ตรารับรอง “สะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน” สำหรับตลาด–ร้านชำ
    สร้างความมั่นใจให้ผู้สูงวัย/ครอบครัว พร้อมอบรมสุขอนามัย–การจัดการโคลด์เชน การติดฉลากโภชนาการเข้าใจง่าย
  3. Open Data ค้าปลีก–อาหารปลอดภัยของจังหวัด
    ฐานข้อมูลราคากลาง–สินค้าขายดี แหล่งผลิตที่ตรวจสอบได้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ คุมสต็อก และช่วยผู้บริโภค คุมงบ ได้ด้วยข้อมูล
  4. ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (Learning Tourism)
    คอร์สสั้น “จากแปลงถึงจาน” เยี่ยมเกษตรกร–เรียนทำอาหารล้านนาสุขภาพ–กาแฟ/ชาเชียงราย รับเทรนด์ผู้สูงวัย–ครอบครัว–กลุ่มสนใจสุขภาพ
  5. ทางเท้าปลอดภัย แสงสว่าง–มุมพักคอยเดลิเวอรี
    รายละเอียดเล็ก ๆ แต่สำคัญในเมือง/หน้าตลาด รองรับพฤติกรรม “ซื้อถี่ รับของเร็ว” โดยเฉพาะช่วงเย็น–หัวค่ำ

ความเสี่ยงต้องระวัง ราคาเหวี่ยง ของเสีย–ความปลอดภัยอาหาร

  • ราคาเหวี่ยงช่วงสั้น เมื่อดีมานด์รายวันเพิ่ม หากสต็อกต้นน้ำ กลางน้ำไม่ยืดหยุ่น อาจเกิด “ดีดราคา” ชั่วคราว ทางออกคือ ข้อมูลล่วงหน้า–การกระจายสต็อก และ พอร์ชันย่อย
  • ของเสียจากซื้อถี่แต่เกินใช้ ต้องมี ความรู้จัดการวัตถุดิบ (เก็บยังไงให้สด, แปรรูปยังไงให้ยืดอายุ) สื่อสารผ่านโรงพยาบาล สาธารณสุข–ห้าง ตลาด
  • ความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) คุม โคลด์เชน–พื้นที่เตรียมอาหาร คุณภาพน้ำแข็ง การขนส่ง ให้เข้มมาตรฐานเดียวกันในตลาด โชห่วย รถพ่วงข้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The 1 Insight (กลุ่มเซ็นทรัล)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / เครือข่าย Wellness City (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, โรงพยาบาลในจังหวัด)
  • จังหวัดเชียงราย/กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • หน่วยงานมาตรฐานอาหารและสุขอนามัยระดับชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“โฮงยาไทย Premium Clinic” กลางเซ็นทรัล นำร่องบริการสุขภาพถึงมือถึงชุมชน

เชียงรายพลิกโฉมบริการสุขภาพ “ถึงมือ-ถึงใจ-ถึงชุมชน” เซ็นทรัล เชียงราย จับมือ ‘โฮงยาไทย’ เปิด ‘ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร’ นำร่องลดแออัดโรงพยาบาล เชื่อมประสบการณ์การรักษาเข้ากับวิถีชีวิตเมือง

เชียงราย, 29 กันยายน 2568 เสียงปรบมือดังก้องลานชั้น 2 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ในบ่ายวันอาทิตย์—ภาพของแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารศูนย์การค้า และประชาชนที่หลั่งไหลมารอรับฟังข่าวดี สะท้อน “จุดตัดสำคัญ” ของระบบสุขภาพจังหวัดบนดอย เมื่อ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่คนเมืองเรียกติดปากว่า “โฮงยาไทย” ประกาศความร่วมมือกับ เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ภายในศูนย์การค้า—บริการแพทย์คุณภาพที่เลื่อนไหลไปกับจังหวะชีวิตในเมือง โดยตั้งเป้าช่วย “กระจายภาระ” ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลหลัก ลดระยะรอคอย และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับคนเชียงรายและจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นรูปธรรม

 “MOU” กลางเมือง เมื่อโรงพยาบาลไปหาประชาชน

ความร่วมมือครั้งนี้ “ไม่ใช่เพียงเช่าพื้นที่” หากคือการออกแบบประสบการณ์สุขภาพใหม่ทั้งระบบ จุดยืนชัดจากโพสต์ทางการของโรงพยาบาลที่ระบุการลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง โฮงยาไทย กับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเตรียมเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic” ซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็น ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ให้บริการตรวจสุขภาพ เจาะเลือด วัคซีน และปรึกษาแพทย์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายในโลเคชันที่เดินถึงง่าย จอดรถสะดวก และเชื่อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองโดยตรง

การเคลื่อนย้าย “บริการหน้าเคาน์เตอร์” มาไว้ใน “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Center of Life ของผู้พัฒนาศูนย์การค้าอย่าง Central Pattana (CPN) ที่ประกาศบทบาทศูนย์การค้าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่เพียงการจับจ่าย ซึ่งเมื่อบรรจบกับบริการสุขภาพ จะสร้าง “ประสบการณ์ที่จำเป็น” ใกล้มือประชาชนยิ่งขึ้น

โรงพยาบาลใหญ่—ผู้ป่วยนอกล้น ระบบนัดแน่น

“การรอคอย” คือความจริงที่คนไข้รับรู้ร่วมกัน โฮงยาไทยในฐานะ โรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ มีขนาดเตียงใช้งานจริงกว่า 800 เตียง—ตัวเลขสะท้อนภาระงานที่สูงของจังหวัดชายแดนที่เป็น “แม่เหล็ก” ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั้งในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงผู้ป่วยใน 821 เตียง (รวม ICU หลายสาขา) ซึ่งอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำของภูมิภาคเหนือ

แนวโน้มระดับประเทศก็ชี้ว่าโรงพยาบาลใหญ่กำลังปรับตัวเพื่อลดความแออัดผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่าน Telemedicine และการกระจายจุดบริการ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้รับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวันของโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงจาก 23,022 คน/วัน (ปี 2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (ปี 2567) หลังหน่วยบริการเร่งใช้เครื่องมือดิจิทัลและรีดีไซน์เส้นทางบริการ—ตัวเลขที่สอดรับกับทิศทาง “ดึงบริการเบา” ออกจากโรงพยาบาลหลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยหนักและซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ศูนย์ตรวจสุขภาพที่ “ไปหา” ประชาชนในห้าง จึงไม่ใช่แฟชั่น หากเป็น “การปฏิรูปเชิงพื้นที่” ให้บริการป้องกันโรคและดูแลโรคไม่รุนแรงใกล้บ้าน เพื่อให้โรงพยาบาลหลัก “ว่างพอ” สำหรับกรณีฉุกเฉินและซับซ้อน—คลี่ปมหลักของระบบ

ตรวจ เจาะ วัคซีน ปรึกษาแพทย์—ครบวงจรในจุดเดียว

จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของเซ็นทรัล เชียงรายและเครือข่ายท้องถิ่น บริการหลักของ ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ประกอบด้วย
1) โปรแกรมตรวจสุขภาพและ การตรวจโลหิต (Blood Work) สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
2) วัคซีน จำเป็นตามช่วงวัย และตามฤดูกาล เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน
3) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมเวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ครอบครัว รวมถึงการบูรณาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนจีนกับเวชกรรมสมัยใหม่ ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลิกบุหรี่ และสุขภาวะองค์รวมในคนทำงานและผู้สูงอายุ

ทิศทาง “แพทย์บูรณาการ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในนโยบายสาธารณสุขไทย ช่วงหลัง กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ และ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผสาน “ตะวันตก–ตะวันออก” ให้บริการตอบโจทย์ปัจเจก—แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดสู่ระดับพื้นที่ผ่านคลินิกปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพในเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทำเลและเวลา สุขภาพที่ไม่ต้อง “ลางานทั้งวัน”

การตั้งจุดบริการในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจ–ฉีด–ปรึกษา” ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ลดต้นทุนแฝงจากการเดินทางและการรอคอย โดยแนวปฏิบัติของโฮงยาไทยก่อนหน้านี้ก็เคลื่อนบริการบางส่วนไปใกล้ชุมชน เช่น โครงการเจาะเลือดล่วงหน้าใกล้บ้าน ร่วมกับพันธมิตรแล็บในจังหวัดเพื่อย่นเวลา รอผลสั้น พบแพทย์ไว—กรอบคิดเดียวกับการเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพ ในห้าง ที่พยายาม “วางเส้นทาง” ให้สั้นและง่ายที่สุดสำหรับประชาชนที่ต้องการบริการป้องกันและติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ดุลยภาพใหม่ระหว่าง “คุณภาพ–ความสะดวก–ความเท่าเทียม”

แม้ในงานเปิดตัวจะเน้นภาพรวมมากกว่าคำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหาร แต่สาระที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดสื่อสารตลอดปีที่ผ่านมา คือภารกิจ ยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน” และ ขยายจุดเข้าถึงวัคซีน–คัดกรอง เพื่อไล่ทันความเสี่ยงในทุกอำเภอ—การมี “แขนขา” ในห้างจึงช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่เดินห้างเป็นกิจวัตร พร้อมย้ำบทบาท “สาธารณสุขเชิงรุก” ในพื้นที่เมืองหลักของจังหวัด

ในอีกมุมหนึ่ง การจับมือครั้งนี้ยังสะท้อน “ดุลยภาพใหม่” ระหว่าง คุณภาพทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์ (ซึ่งมีศักยภาพเตียงรวมกว่า 800 เตียง และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพครบถ้วน) กับ ความสะดวก และ ประสบการณ์ผู้ใช้บริการ ที่เครือเซ็นทรัลขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Center of Life—ทำให้บริการสุขภาพฐานราก “น่าไป” ไม่ใช่ “จำใจไป”

ข้อมูลชวนคิด ตัวเลขที่บอกว่า “ใกล้ขึ้น–เร็วขึ้น–คุ้มค่าขึ้น”

  • ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หลังใช้ Telemedicine และออกแบบเส้นทางบริการใหม่—จาก 23,022 คน/วัน (2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (2567) สะท้อนว่าการ “ย้ายบริการเบาออกนอกอาคารใหญ่” มีผลลัพธ์จริงระดับระบบ
  • ศักยภาพเตียงโฮงยาไทย 821 เตียง คือทรัพยากรอันจำกัดที่ควรถูกใช้กับผู้ป่วยซับซ้อน—การให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานและวัคซีนในเมือง จึงช่วย กันคิว ห้องตรวจและเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
  • วาระการแพทย์บูรณาการ ระดับกระทรวง ทำให้ แพทย์แผนไทย/จีน ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคทั่วไปและส่งเสริมสุขภาพ—เหมาะกับบริการในห้างที่ต้องการความ “นุ่มนวล–เข้าถึงง่าย” แต่ยังคงมาตรฐานทางการแพทย์

จากจุดตั้งต้นสู่แผนขยาย ฐานรากของ “เมืองสุขภาวะ”

การเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพในศูนย์การค้า ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือ “ฐาน” ของการขยายเครือข่ายบริการสุขภาพในเมือง—โมเดลที่อาจต่อยอดสู่ คลินิกเรื้อรังคงที่, มุมสุขภาพวัยทำงาน, บริการวัคซีนตามฤดูกาล หรือ กิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เชิงรุกในวันหยุด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาต่อเนื่องผ่านการตั้งจุดบริการนอกโรงพยาบาลในพื้นที่ชุมชนและอำเภอรอบนอก

และเมื่อ ศูนย์การค้าสมัยใหม่ กลายเป็น “สนามปฏิบัติการ” ของสุขภาวะ เมืองย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ—เพราะทุกกิจกรรมสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใช้สอยของห้าง ส่งต่อ รายได้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น (ร้านอาหาร–คาเฟ่–สินค้าเพื่อสุขภาพ) ขณะเดียวกันก็ช่วยบ่มเพาะ “วัฒนธรรมดูแลตัวเอง” ให้เป็น กิจวัตร มากกว่า ภาระ

เสียงสะท้อนจากชุมชน “โฮงยาไทย” ที่ใกล้ขึ้น

สื่อท้องถิ่นหลายสำนักและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเชียงรายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยพาดหัวร่วมกันว่า พรีเมียมคลินิกในห้าง—ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด” พร้อมอธิบายขอบเขตบริการที่ “เหมาะกับอาการทั่วไปและโรคเรื้อรังคงที่” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับบริการฉุกเฉิน ซึ่งยังต้องไปที่โรงพยาบาลหลักเหมือนเดิม—การสื่อสารเช่นนี้ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ใช้บริการให้ตรงกับธรรมชาติของคลินิกในเมือง

นอกจากนี้ บัญชีทางการของ โฮงยาไทย ยังสื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่าน Facebook Live ทั้งเรื่องก้าวต่อไปขององค์กร และบริการใหม่ ๆ เช่น Telehealth Center—เป็นสัญญาณว่าโรงพยาบาลกำลัง “เดินสองขา” ทั้ง ทางไกล และ ทางใกล้ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการหลากหลายให้ประชาชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ความเสี่ยง–ข้อพึงระวัง คุณภาพมาตรฐานและการเชื่อมข้อมูล

แม้ศูนย์ในห้างจะตอบโจทย์ “เข้าถึงง่าย” แต่โจทย์เชิงเทคนิคสำคัญคือ การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ระหว่างคลินิกในเมืองกับโรงพยาบาลหลัก ทั้ง แฟ้มเวชระเบียน, ผลแลบบนระบบ, ยานัดหมาย, และ การดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง—หากออกแบบระบบดี จะทำให้ผู้ป่วย ตรวจ–รับยา–ติดตาม ได้ในเมือง และกลับโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็น ซึ่งโฮงยาไทยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแล็บเครือข่ายและการนัดหมายล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงมีฐานข้อมูลพร้อมต่อยอดสู่บริการในห้างได้รวดเร็ว

อีกด้าน มาตรฐานความปลอดภัย ของการให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ต้องคงคุณภาพเทียบเท่าพื้นที่โรงพยาบาล ทั้งการควบคุมการติดเชื้อ การจัดการเวชภัณฑ์ และระบบส่งต่อฉุกเฉิน—ซึ่งการมี พันธมิตรภาคเอกชน ที่มีระบบบริหารจัดการพื้นที่เข้มแข็ง (เช่น CPN) ช่วยลดความเสี่ยงปฏิบัติการในวันแรก ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมืองที่ “กอดสุขภาพ” ไว้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเรื่องเล่ามาถึงฉากสุดท้าย—เชียงรายกำลังวางรากฐาน เมืองสุขภาวะ” ด้วยการเหลื่อมซ้อนบริการสาธารณสุขลงบนพื้นที่ชีวิตจริง บนทางเดินที่ใคร ๆ ก็แวะได้ โฮงยาไทยยังคงเป็น แบ็กโบน ของการรักษาระดับสูง ส่วน ศูนย์ตรวจสุขภาพในห้าง รับช่วงงานป้องกัน–คัดกรอง–ติดตามอาการทั่วไป—นี่คือ ระบบสองชั้น ที่พยายามส่ง “ทรัพยากรแพทย์” ไปอยู่ “ที่ถูกที่–ถูกเวลา–ถูกคน”

และเมื่อประชาชน “พบหมอ” ง่ายขึ้น “ฉีดวัคซีน” ใกล้ขึ้น “เจาะเลือด” สะดวกขึ้น—ระบบสุขภาพทั้งจังหวัดก็จะ หายใจโล่งขึ้น เฉกเช่นอากาศยามเช้าบนดอยตุง

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • MOU โฮงยาไทย x เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic / ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ในห้าง—นำบริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และปรึกษาแพทย์ใกล้ชุมชนเมือง เพื่อลดแออัดโรงพยาบาลหลักและเพิ่มการเข้าถึงบริการเชิงป้องกันของประชาชน
  • โฮงยาไทย = โรงพยาบาลศูนย์ ศักยภาพเตียง 821 เตียง (หลาย ICU)—ทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกกันไว้สำหรับกรณีซับซ้อนและฉุกเฉิน การดึงบริการเบาออกนอกโรงพยาบาลจึงช่วยใช้เตียงให้ตรงภารกิจมากขึ้น
  • แนวโน้มประเทศ ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์ลดลงต่อเนื่องหลังปรับใช้ Telemedicine และรีดีไซน์บริการ—ยืนยันประสิทธิผลของ “การกระจายจุดบริการ” และ “ดิจิทัลเฮลท์” ในการคลายคอขวดระบบ
  • นโยบายบูรณาการแพทย์ กรมการแพทย์จับมือกรมการแพทย์แผนไทยฯ ผลักดันบริการผสมผสาน—สอดรับบริการแพทย์แผนไทย/จีนในศูนย์ตรวจสุขภาพรูปแบบใหม่ในเมือง
  • สาธารณสุขจังหวัด ขับเคลื่อนวัคซีนพื้นฐานและงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก—การมีจุดบริการในห้างช่วยเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวได้มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • Central Chiangrai
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

บอลลูนเชียงรายคว้า Gold Award IFEA! จุดไฟ Festival Economy นำร่องเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายผงาดเวทีโลก “Gold Award” IFEA จุดไฟ Festival Economy—ททท.ชู “อาหารถิ่น” เป็น Soft Power กอบกู้รายได้ท่องเที่ยว ขณะที่ “แกงแคไก่เมือง” นำร่องเศรษฐกิจชุมชน

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 — ท่ามกลางแรงท้าทายของภาคท่องเที่ยวไทยที่รายได้โดยรวม หดตัว -5% ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 หรือราว 1 ล้านล้านบาท ประเทศไทยได้รับข่าวดีที่ส่งพลังใจไปทั่วภูมิภาค เมื่อ จังหวัดเชียงราย ก้าวขึ้นคว้า Gold Award สาขา Best Event จากเวทีระดับโลก 2025 IFEA/Haas & Wilkerson Pinnacle Award ด้วยผลงาน “Singha Park Chiangrai International Balloon Fiesta 2025” ขณะที่ เชียงใหม่ คว้า Silver Award สาขา Best Parade จากขบวนรถบุปผชาติใน “มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับเชียงใหม่ 2568” เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงบันทึกความสำเร็จของ “สองเมืองเหนือ” บนแผนที่อีเวนต์โลก หากยังเป็นภาพสะท้อนยุทธศาสตร์ Festival Economy ที่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) — ทีเส็บ ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับ งานเทศกาลฝีมือไทย (homegrown) ให้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

จากบอลลูนสู่บัลลังก์ทองทำไมเชียงราย “ชนะใจโลก”

จุดเปลี่ยนสำคัญของเชียงรายเกิดขึ้น 13 กันยายน 2568 เมื่อผลงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติเชียงรายคว้ารางวัลสูงสุดบนเวที IFEA — องค์กรวิชาชีพเทศกาลและอีเวนต์นานาชาติที่ยกย่อง “ความคิดสร้างสรรค์ + มาตรฐานการจัดงาน + ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม” การตัดสินดังกล่าวสะท้อน จุดแข็งเชิงพื้นที่ ของเชียงรายอย่างครบถ้วน:

  • ทุนธรรมชาติ ของสิงห์ปาร์คฯ ที่โอบด้วยภูเขา–ไร่ชา–อากาศเย็น
  • ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับอีเวนต์ขนาดใหญ่ (การจราจร–ความปลอดภัย–บริการทางการแพทย์)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชนและเอกชน ทำให้เทศกาล “มีชีวิต” ไม่ใช่ “งานโชว์” เพียงครั้งคราว

ควบคู่กัน เชียงใหม่ ตอกย้ำ “เมืองแห่งวัฒนธรรมและศิลปะ” ผ่านรางวัล Best Parade (Silver Award) จาก “มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับฯ” ที่ยืนระยะความนิยมมานาน—เทศกาลที่สร้างอัตลักษณ์เมืองอย่างมีชั้นเชิง และสอดรับกับสถานะ MICE City ของเชียงใหม่ซึ่งได้รับการรับรองจาก IFEA ตั้งแต่ปี 2565

สารตั้งต้นเดียวกันของทั้งสองเมืองคือ “ความเป็น Homegrown”—เทศกาลที่เติบโตจากทุนวัฒนธรรม–วิถีชุมชน ส่งต่อการเล่าเรื่อง (storytelling) ให้โลกเข้าใจ “ตัวตน” ของภาคเหนือ

ทีเส็บกับยุทธศาสตร์ “Festival Economy” เมื่ออีเวนต์กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ความสำเร็จบนเวที IFEA ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทีเส็บ วางหมุดหมาย ยกระดับงานไทยสู่สากล” ผ่านการคัดสรรเทศกาลศักยภาพ ให้คำปรึกษา–มาตรฐานการจัดงาน–การตลาด–สื่อสารต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนค่าใช้จ่าย “การส่งผลงานเข้าประกวด” เพื่อพา งานไทยทำ (homegrown) ก้าวสู่สายตานานาชาติ เมื่อ เทศกาลได้รางวัล เมืองก็ได้ ตรารับรองความน่าเชื่อถือ ดึงดูดทั้ง นักเดินทางเชิงประสบการณ์ (experience seekers) และ นักลงทุนกิจการบริการ เข้ามาเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจเมือง

ในระดับพื้นที่ เชียงราย ถูกยกเป็น เมืองไมซ์ดาวรุ่ง” จากการคว้ารางวัล Gold ซึ่งทำให้สมการ “ดึงงาน–ดึงเงิน–สร้างงาน” เด่นชัดยิ่งขึ้น—ตั้งแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว–โรงแรม–ขนส่ง–อาหาร–คราฟต์–ดนตรี–ศิลปะ ไปจนถึงซัพพลายเชน SME ที่เกี่ยวเนื่อง

วิกฤตรายได้ท่องเที่ยว -5% ทำไมต้อง “อาหารถิ่น” เป็นหัวหอก

แม้ข่าวดีจากเวทีโลก แต่ “ภาพใหญ่” ยังน่าห่วง—KResearch ประเมินรายได้ท่องเที่ยว 8 เดือนแรกปี 2568 ลดลง -5% (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) และคาดทั้งปีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 1.5 ล้านล้านบาท หดตัว 6% จากปีก่อน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางพฤติกรรมจับจ่ายที่ระมัดระวังและภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงเปิดแคมเปญ “Local Taste Local Thai: ชิมไทยให้ถึงถิ่น” เจาะ กลุ่ม expat ซึ่ง อาศัยและทำงานในไทย ประมาณ 3.3 ล้านคน (ข้อมูลสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ก.แรงงาน) กลุ่มนี้ “รู้ค่าใช้จ่าย–เข้าใจวัฒนธรรม–พร้อมเดินทางซ้ำ” ททท.ชู “อาหาร” เป็น Soft Power เชื่อมการเดินทาง—ร่วมพันธมิตรเอกชนตั้งแต่สายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร แพลตฟอร์มสะสมแต้ม (Taste Pass) เพื่อเปลี่ยน “มื้ออาหาร” ให้เป็น “ทริป” และต่อยอดเป็น “เศรษฐกิจท้องถิ่น”

TasteAtlas ยังช่วย “คิวเรตความอยาก” ผ่าน 100 จานแห่งปี—ตั้งแต่ โรตีจาไน–ข้าวเหนียวมะม่วง–ไก่ย่าง–ขนมครก–ทอดมันกุ้ง–ปลาทอด—ยืนยัน “ความหลากหลายที่เข้าถึงง่าย” ของอาหารไทยสำหรับต่างชาติ

แกงแคไก่เมือง” เชียงราย มรดกกินได้—โมเดลเศรษฐกิจชุมชน

ภาพของ Soft Power มิได้หยุดที่แคมเปญ ทว่า “ลงดิน” เป็นรูปธรรมในงาน เทศกาลอาหารถิ่น “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 (12–14 ก.ย. 2568) โดย กระทรวงวัฒนธรรม/กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป (The Lost Taste)” ซึ่ง แกงแคไก่เมือง” ของเชียงราย กลายเป็น ดาวเด่น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ทำไมแกงแคถึง “ปัง” บนเวทีชาติ?

  • เมนูสุขภาพ–อายุยืน ใช้ผักสมุนไพรพื้นบ้าน >10 ชนิด และ ไก่บ้านวัยเหมาะ (ราว 2–3 เดือน) จากชุมชน—ลดสารเคมี–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก
  • พริกแกงตำมือ–เรียงลำดับการใส่ผัก คือภูมิปัญญาที่บอกเล่า “ความรักในวัตถุดิบ” ของล้านนา
  • โครงการ “ผักสวนครัว รั้วกินได้” ทำให้ supply ผักพื้นบ้าน “สด–ปลอดภัย–มีเรื่องราว” เชื่อมผู้ปลูก–ครัว–ผู้บริโภค

ผลลัพธ์ มากกว่าอาหาร: งานเทศกาลปีก่อนมีผู้ร่วมงาน >50,000 คน/ปี สร้างมูลค่าเศรษฐกิจท้องถิ่น >10 ล้านบาท จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารถิ่น ผู้ผลิตชุมชน เพิ่มขึ้น 25% เทียบปีแรก และผลสำรวจพบผู้ร่วมงาน 85% ประทับใจรสชาติ “ที่เคยลืม” และ 78% แสดงความตั้งใจ เดินทางตามรอย” ไปจังหวัดต้นทาง—นี่คือ วงจรเศรษฐกิจใหม่ ที่เริ่มจาก “ครัว” แล้วจบลงที่ “ทริป”

สาระสำคัญ: “อาหารถิ่น” ทำหน้าที่เป็น สะพาน เชื่อม Soft Power → การเดินทาง รายได้ชุมชน และเมื่อบูรณาการกับ อีเวนต์ เมืองจะมี “จุดหมาย” ที่ชัดเจนทั้งในปฏิทินและในใจนักเดินทาง

เสียงจากนโยบายวัฒนธรรม อาหารคือการลงทุนระยะยาว

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ย้ำในพิธีเปิดว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” พร้อมมาตรการ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ–จัดทำฐานข้อมูล–ถ่ายทอดทักษะสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ “อาหาร” ไม่ใช่เพียงเมนู หากเป็น ระบบนิเวศ ที่ก่อรายได้และความภาคภูมิใจแก่ชุมชน

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ต่อจิ๊กซอว์ผ่านกิจกรรมเส้นทางเรียนรู้ อร่อยตามรอยภูมิปัญญา” (6 เส้นทาง) และ Cooking Show โดยเชฟมืออาชีพ ที่คงรสอัตลักษณ์แต่ยกระดับการนำเสนอ—ช่วย “แปลภาษา” อาหารถิ่นให้ผู้คนยุคใหม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น

เชียงรายบนแผนที่การท่องเที่ยวใหม่: เมื่อรางวัลโลก + อาหารถิ่น = จุดหมายเศรษฐกิจ

สองเส้นเรื่อง “รางวัลอีเวนต์โลก” และ “อาหารถิ่นดาวเด่น” มาบรรจบกันที่เชียงราย—เมืองชายแดนซึ่งมีทุนธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ครัวพื้นบ้านเข้มแข็ง เมื่อนำมาบูรณาการกับ ปฏิทินงาน (Balloon Fiesta, งานวัฒนธรรม–ศิลปะ–ดนตรี) และ เส้นทางอาหาร เมืองจะสามารถ ยืดระยะพำนัก (length of stay) และ เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผลต่อผู้ประกอบการ:

  • โรงแรม/โฮมสเตย์วางแพ็กเกจ “ห้องพัก + ชิมแกงแค + ชมบอลลูน”
  • ร้านอาหาร–คาเฟ่ทำ “เมนูเล่าเรื่อง” ใช้วัตถุดิบชุมชน—เสิร์ฟใบรับรองแหล่งที่มา (traceability)
  • ทัวร์ชุมชนจัด workshop สมุนไพร–ทำพริกแกง ให้ expat/นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ “ลงมือทำ–เข้าใจวิถี”

ผลต่อชุมชน: เกษตรกร–ผู้สูงอายุ–กลุ่มสตรี มี ตลาดแน่นอน เพิ่มรายได้จากผักสมุนไพร–ไก่บ้าน–งานคราฟต์ที่เชื่อมโยงกับเทศกาล—เป็นการกระจายรายได้ที่ “กินได้จริง”

โอกาสและโจทย์นโยบาย ทำอย่างไรให้ “พีก” ไม่ใช่ “พุ่งวูบ”

  1. ยึดปฏิทินอีเวนต์ให้แน่น: ประกาศล่วงหน้า 6–12 เดือน สร้างความมั่นใจตลาดต่างประเทศ ดึงสายการบิน–ทัวร์–แพลตฟอร์มมาวางแผนร่วม
  2. ยกระดับมาตรฐานงาน: ความปลอดภัย–การจราจร–การแพทย์ฉุกเฉิน–การจัดการขยะ–คาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อให้รางวัล “งอก” เป็นความเชื่อมั่นถาวร
  3. ทำเส้นทาง “กิน–เที่ยว–เรียนรู้”: จับมือ ททท.–ภาคเอกชน สร้างแพ็กเกจ “Festival + Local Taste” เน้นเรื่องเล่า–แหล่งวัตถุดิบ–บุคคลต้นเรื่อง
  4. บ่มเพาะแรงงานท้องถิ่น: หลักสูตรมัคคุเทศก์อาหาร/ผู้จัดการอีเวนต์/สื่อสารการเล่าเรื่อง (storytelling) ให้ชุมชนเป็น “เจ้าบ้านมืออาชีพ”
  5. ข้อมูลโปร่งใส–วัดผลได้: เก็บสถิติผู้ร่วมงาน ยอดใช้จ่าย ระยะพำนัก แรงกระเพื่อมต่อ SME เพื่อใช้ตัดสินใจงบในปีถัดไป

เลนส์กว้างกว่านั้น Expat 3.3 ล้านคน—ตลาด “ใกล้ตัว” ที่ลืมมอง

กลุ่ม expat คือ นักท่องเที่ยวระยะยาว” ที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว—เข้าใจราคา–การเดินทาง–ระเบียบวัฒนธรรม หากเมืองอย่างเชียงรายสื่อสาร คาแรกเตอร์ท้องถิ่น” ผ่านอาหาร–เทศกาล–กิจกรรมเรียนรู้ภาษา–ศิลปะ ให้สอดคล้องกับฤดูกาล (เช่น ฤดูบอลลูน–ฤดูชา–ฤดูกาลผักสมุนไพร) จะเพิ่ม ทริปสั้นซ้ำ” สร้างเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่ง high season เพียงระยะเดียว

เชื่อมโยงระดับชาติ: เมื่อ ททท. เดินหน้าแคมเปญ Local Taste Local Thai พร้อมพันธมิตรการบิน–รีวอร์ด—เชียงรายสามารถเป็น Pilot City ที่ “แพ็ก” รางวัล IFEA + อาหารถิ่น + เส้นทางเรียนรู้ ออกสู่ตลาด expat และต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง (ญี่ปุ่น–เกาหลี–ยุโรป) โดยอาศัย การสื่อสารหลายภาษา และ เครื่องมือดิจิทัล เป็นตัวช่วย

จากหม้อแกงถึงบอลลูน

“เหนือไม่มีสูตรตายตัว” เชฟท้องถิ่นเปรย—แกงแค ดีเพราะ “ความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ” คล้ายกับ เทศกาลบอลลูน ที่ไม่มีสูตรสำเร็จ หากต้อง ดึงพลังชุมชน–ช่างฝีมือ–ภาคธุรกิจ ขึ้นมาโอบรับแขกทั้งเมือง ทุกปีท้องฟ้าเชียงรายระบายสีด้วยบอลลูนจากนานาชาติ ด้านล่างคือแผงอาหารที่หอมเครื่องแกง—เรื่องเล่าทั้งสองเส้นนี้กำลังค่อย ๆ ผูกเข้าหากัน และนั่นทำให้ ภาพลักษณ์เมือง คมชัด: อบอุ่น เรียบง่าย แต่มาตรฐานสูง น่ากลับมาอีกครั้ง

รางวัลคือ “ใบเบิกทาง” อาหารคือ “หัวใจ” เมืองคือ “เวที”

เชียงราย ไม่ได้ชนะเพราะโชค แต่ชนะเพราะ รู้จักตัวเอง แล้วเล่าเรื่องให้โลกฟังได้อย่างมีศิลปะ—จากทุ่งชาและบอลลูนสู่หม้อแกงแคที่มีกลิ่นเครื่องเทศสดๆ ความสำเร็จ Gold Award จาก IFEA และแรงขับเคลื่อน Festival Economy ของ ทีเส็บ เมื่อเชื่อมกับกลยุทธ์ Soft Power ด้านอาหาร ของ ททท. ทำให้เมืองและชุมชนมี “เครื่องมือสองมือ” ในการกอบกู้และยกระดับเศรษฐกิจท่องเที่ยวหลังวิกฤต

คำถามที่เหลือคือ — เราจะรักษามาตรฐานให้เสถียร และ ขยายผลสู่ความยั่งยืน อย่างไร? คำตอบคงอยู่ที่ การทำงานร่วมกัน ของภาครัฐ–เอกชน–ชุมชน–สถาบันการศึกษา: วางปฏิทินงานให้ชัด อัพสกิลคนท้องถิ่น เปิดข้อมูลโปร่งใส จับมือกันทำเส้นทางกิน–เที่ยว–เรียนรู้ให้มีชีวิต เมื่อนั้น เชียงราย จะไม่ใช่แค่ “เมืองไมซ์ดาวรุ่ง” ในรายงาน แต่คือ เมืองปลายทาง ที่ผู้คนทั่วโลกอยากกลับมา “ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมงานเทศกาลและอีเวนต์นานาชาติ (IFEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) 
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • KResearch (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • กระทรวงแรงงาน 
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • จังหวัดเชียงราย/สิงห์ปาร์ค เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News