Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“เชียงราย” จัดประชุมสำคัญ พร้อมเปิดตัว ‘มหกรรมไม้ดอก’

การประชุมกรมการจังหวัดเชียงรายครั้งที่ 11/2567 พร้อมประชาสัมพันธ์มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย นายราชัน มีน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมกรมการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 11/2567 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

พิธีมอบโล่เกียรติคุณเชิดชูเกียรติ

ในช่วงก่อนเริ่มการประชุม มีพิธีมอบโล่เกียรติคุณและเข็มกลัดเชิดชูเกียรติ “รางวัลหม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร บุคคลสำคัญของโลก” ประจำปี 2567 ให้แก่นางสาวเทียนรุ่ง เครือนพรัตน์ จากโรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมแสดงความยินดี

การแนะนำผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการใหม่

ในที่ประชุมมีการแนะนำผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการที่เพิ่งย้ายมาดำรงตำแหน่งใหม่ในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ตำแหน่งเดิมผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และผู้บริหารอื่น ๆ รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานที่สำคัญในจังหวัด

การหารือเรื่องสำคัญในที่ประชุม

ในที่ประชุมมีการรายงานและพิจารณาเรื่องสำคัญ ดังนี้:

  • การเตรียมต้อนรับนายกรัฐมนตรี: นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดเชียงรายในวันที่ 1 ธันวาคม 2567
  • พิธีวันสำคัญ: การจัดพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2567 และพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ วันที่ 7 ธันวาคม 2567
  • การประชาสัมพันธ์งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 21 และมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024: งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2567 – 5 มกราคม 2568 ในธีม “The Magical Garden” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
  • การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP: ประชาสัมพันธ์การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ในรูปแบบกระเช้าของขวัญสำหรับเทศกาลปีใหม่
  • การรายงานภาวะเศรษฐกิจ: สรุปรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังและการค้าชายแดนของจังหวัดเชียงราย

ประชาสัมพันธ์มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024

นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวในที่ประชุมว่า มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024 จะจัดขึ้นในธีม “The Magical Garden” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยงานนี้จะแบ่งเป็น 2 โซนหลัก ได้แก่:

  1. สวนไม้งามริมน้ำกก อ.เมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2567 – 5 มกราคม 2568
  2. พื้นที่อำเภอแม่สาย ได้แก่ วัดถ้ำเสาหินพญานาคและหน้าด่านพรมแดนไทย-เมียนมา ระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2567 – 5 มกราคม 2568

งานนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบ “Social Impact Tourism” ภายใต้แนวคิด “เที่ยวเชียงราย ช่วยเชียงราย”

การรณรงค์หยุดความรุนแรงในครอบครัว

บริเวณด้านหน้าห้องประชุม มีการตั้งบูทรณรงค์หยุดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีในครอบครัว โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย หวังสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความรักในครอบครัว

สรุป

การประชุมในครั้งนี้เป็นการติดตามความคืบหน้าของงานในจังหวัดเชียงราย พร้อมวางแผนการดำเนินงานในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ที่มีกิจกรรมสำคัญหลากหลาย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE TOP STORIES

รมช.เกษตรฯ หนุนส่งออกโคเนื้อ เชียงรายสู่ตลาดโลก

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เยี่ยมชมท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อเชียงราย

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.30 น. ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพเมียนมา

การสนับสนุนการส่งออกปศุสัตว์ไทย

ปัจจุบันท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีบทบาทสำคัญในการส่งออกโค กระบือ และสุกร โดยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 มีการส่งออกโคจำนวน 424 ตัว กระบือ 95 ตัว สุกร 42,894 ตัว และลูกสุกร 8,055 ตัว รวมถึงซากสุกร 919,553 กิโลกรัม ซากไก่ 573,942 กิโลกรัม และซากโค 1,400 กิโลกรัม

นายอิทธิ ได้กล่าวชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันการส่งออกสัตว์และผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งฝากถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้ใส่ใจดูแลสุขภาพสัตว์ ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการใช้สารเร่งเนื้อแดง

เยี่ยมชมเครือข่ายโคเนื้อล้านนา

ในช่วงบ่าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สวนลุงดี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานของเครือข่ายโคเนื้อล้านนา ซึ่งริเริ่มโดยนายนเรศ รัศมีจันทร์ ประธานเครือข่ายฯ โดยเครือข่ายฯ มีเป้าหมายในการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อบีฟมาสเตอร์ให้มีคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดเชียงราย

เครือข่ายฯ ได้ดำเนินการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อตั้งแต่การนำตัวอ่อนพันธุ์บีฟมาสเตอร์จากต่างประเทศ มาย้ายฝากและเลี้ยงดูจนได้พ่อพันธุ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการรีดน้ำเชื้อแจกจ่ายให้เกษตรกรในเครือข่ายกว่า 800 รายในพื้นที่ภาคเหนือ

นายนเรศ ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการสร้างตลาดรองรับโคขุน โดยการจัดตั้งคอกกลางเพื่อรับซื้อโคจากสมาชิกเครือข่ายในราคารับประกัน ก่อนนำไปขุนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อโคขุนคุณภาพในแบรนด์ ลานนาบีฟ ซึ่งจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงในร้านอาหาร “สวนลุงดี”

ปัญหาและแนวทางแก้ไขในอุตสาหกรรมโคเนื้อ

นายนเรศ ระบุว่า อุตสาหกรรมโคเนื้อในประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาหลายประการ เช่น การแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกับเนื้อโคนำเข้า การขาดมาตรฐานและการตรวจสอบย้อนกลับ ต้นทุนการผลิตสูง และการสนับสนุนจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอ

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เครือข่ายฯ ได้เสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น

  1. การพัฒนาพันธุกรรมและการเลี้ยงดูที่มีประสิทธิภาพ
  2. การสร้างระบบผลิตเนื้อกล่อง (Boxed Beef)
  3. การจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System)
  4. การส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร
  5. การกระตุ้นการบริโภคเนื้อโคในประเทศ

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้รับทราบสถานการณ์และราคาเนื้อโคในปัจจุบันซึ่งน่าเห็นใจผู้เลี้ยงโคและผู้ประกอบการ ขอให้กำลังใจส่วนปัญหาต่างๆที่นำเสนอ จะได้นำไปปรึกษาเพื่อช่วยกันแก้ไขต่อไป

ตรวจเยี่ยมด่านกักกันสัตว์เชียงราย

จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังด่านกักกันสัตว์เชียงราย ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ เพื่อรับฟังข้อมูลและตรวจเยี่ยมโครงการสถานกักกันสัตว์สำหรับส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ด่านกักกันสัตว์แห่งนี้มีความสามารถในการกักสัตว์ชนิดโค-กระบือจำนวน 200-300 ตัว และเป็นจุดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะขนส่งสัตว์

นายอิทธิ  ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันนี้มาดูสถานที่กักกันสัตว์ เพื่อดูสถานที่ที่จะก่อสร้างที่กักกันสัตว์ ก่อนที่จะส่งออก และฝากถึงผู้เลี้ยงโคกระบือ ช่วยดูแลโค กระบือ ไม่ให้เกิดโรค ต้องพยายามฉีดวัคซีนให้ครบ และอย่าใช้สารเร่งเนื้อแดง พร้อมขอบคุณเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ และสุกรที่ให้ความร่วมมือกับทางกรมปศุสัตว์ด้วย สินค้าส่งออกที่สำคัญของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ได้แก่ เมล็ดถั่วและธัญพืช  เบียร์  สินค้าอุปโภค บริโภคและรถยนต์  สำหรับการส่งออกสัตว์และซากสัตว์ ตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 มีการส่งออกสัตว์ ได้แก่ โค  424  ตัวกระบือ 95 ตัว สุกร  42,894 ตัว ลูกสุกร 8,055 ตัว การส่งออกซากสัตว์ สุกร 919,553 กิโลกรัม  ไก่ 573,942 กิโลกรัม และโค 1,400 กิโลกรัม

ปัจจุบัน ด่านกักกันสัตว์เชียงรายมีแผนการขยายพื้นที่เพื่อสร้างสถานกักกันสัตว์ปลอดโรคเพิ่มเติม โดยมีพื้นที่ขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) ประมาณ 37 ไร่ เพื่อรองรับการส่งออกสัตว์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

สรุปและข้อเสนอแนะ

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร กล่าวปิดท้ายว่า การพัฒนาการส่งออกสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ให้เกษตรกร พร้อมยืนยันว่าจะผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้รับฟังจากเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยต่อไป

สำหรับด่านกักกันสัตว์เชียงราย มีสถานที่ปฏิบัติงานจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย ปฏิบัติงานด้านสารบัญ อำนวยการ และการตรวจสอบสินค้าปศุสัตว์เข้า – ออก เขตด่านศุลกากรแม่สาย และท่าปศุสัตว์เชียงแสน ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน เป็นจุดตรวจสอบส่งออกสัตว์มีชีวิต ชนิด โค กระบือ สุกร และเป็นที่ตั้งของจุดทำความสะอาดยานพาหนะขนส่งสัตว์ และด่านกักกันสัตว์เชียงราย ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใช้เป็นสถานที่กักกันสัตว์ซึ่งสามารถกักสัตว์ชนิด โค – กระบือ ได้จำนวน 200 ถึง 300 ตัว ซึ่งที่อำเภอเชียงของ สามารถส่งออก โค กระบือ สุกร และแพะมีชีวิต ซากสัตว์ และอาหารสัตว์ ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ – ห้วยทราย และส่งออกสัตว์ปีก ซากสัตว์ และอาหารสัตว์ ไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผ่านทางท่าเรือผาถ่าน ตำบลเวียง 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

“สมรสเท่าเทียมไทย จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่ม 4 ล้านคน”

ไทยพร้อมรับกฎหมายสมรสเท่าเทียม คาดดึงดูดนักท่องเที่ยว 4 ล้านคนต่อปี

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดของแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว Agoda (อโกด้า) ซึ่งประเมินถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกัน โดยกฎหมายดังกล่าวมีกำหนดเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่รับรองกฎหมายดังกล่าว และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันและเนปาล

ดึงดูดนักท่องเที่ยว 4 ล้านคนต่อปี

จากการประเมินของ Agoda คาดการณ์ว่าการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนต่อปี หรือราว 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 69,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 2 ปี หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้

กระจายรายได้ทั่วทุกภาคส่วน

รายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าวจะกระจายไปยังหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย อาทิ การจองที่พัก การบริการอาหารและเครื่องดื่ม การจับจ่ายซื้อสินค้า และการเดินทางภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว

สร้างงานกว่า 152,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ กฎหมายสมรสเท่าเทียมยังส่งผลดีต่อการสร้างงาน โดยคาดว่าจะสามารถสนับสนุนการจ้างงานเพิ่มอีก 152,000 ตำแหน่ง โดยในจำนวนนี้ 76,000 ตำแหน่ง จะเกิดขึ้นโดยตรงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอีก 76,000 ตำแหน่ง จะกระจายไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ยังคาดว่าผลเชิงบวกจากกฎหมายดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยเพิ่มขึ้น 0.3%

ดันไทยสู่เจ้าภาพ WORLD PRIDE 2030

รัฐบาลไทยยังตั้งเป้าหมายในการเสริมสร้างยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ด้วยการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน “WORLD PRIDE 2030” ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศระดับโลก โดยมีตัวอย่างจากนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่เป็นเจ้าภาพในปี 2023 สามารถสร้างรายได้สูงถึง 185.6 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท

สนับสนุนความหลากหลาย เสริมเศรษฐกิจไทย

“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศอย่างเต็มที่ เพื่อเสริมยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ รวมถึงเสริมภาพลักษณ์ความเปิดกว้างของประเทศไทยในเวทีโลก” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

เดินหน้าสู่อนาคตที่เท่าเทียม

การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แต่ยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ตลาดโลกอย่างยั่งยืน ไทยกำลังเดินหน้าสู่อนาคตที่เท่าเทียมและเปิดกว้าง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Agoda (อโกด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายผลักดันการท่องเที่ยวคาร์บอนนิวทรัล สู่ตลาดสากลอย่างยั่งยืน

เชียงรายผลักดันท่องเที่ยวแนวใหม่ สู่มาตรฐานระดับสากล ด้วยแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 เพจ Chiangrai Geopark-อุทยานธรณีเชียงราย รายงานถึงความสำเร็จของกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้โครงการ “ฝึกอบรมทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์” (Famtrip) ที่จัดขึ้นในปีงบประมาณ 2567 เพื่อผลักดันเชียงรายเข้าสู่ตลาดการท่องเที่ยวระดับสากล ด้วยแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และยั่งยืน

ท่องเที่ยวครบ 5 เส้นทางในจังหวัดเชียงราย

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นใน 5 เส้นทางการท่องเที่ยวหลัก ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่ฟ้าหลวง และอำเภอเชียงของ โดยเน้นส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนท้องถิ่นที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

กิจกรรมนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย สมาคมมัคคุเทศก์จังหวัดเชียงราย รวมถึงสื่อมวลชนและอินฟลูเอ็นเซอร์ในพื้นที่

เข้าสู่การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มุ่งสู่การท่องเที่ยวคาร์บอนนิวทรัล

ผลจากการดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ อบจ.เชียงราย ได้รับการประสานงานจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO เพื่อนำเส้นทางการท่องเที่ยวเข้ารับการประเมินผ่านระบบคาร์บอนนิวทรัล ด้วยเครื่องมือคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของ TGO เบื้องต้นกิจกรรมดังกล่าวผ่านการประเมินในระดับที่ดีเยี่ยม พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนขยายกลุ่มเป้าหมายการท่องเที่ยวสู่ตลาดต่างประเทศ

ผลักดันเชียงรายสู่ตลาดการท่องเที่ยวระดับโลก

อบจ.เชียงราย วางเป้าหมายให้โครงการนี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัด ด้วยการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองต่อกระแสการท่องเที่ยวแนวใหม่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในระดับประเทศและระดับสากล เพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงราย

อบจ.เชียงรายแสดงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาจังหวัดให้เป็นต้นแบบของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ที่ไม่เพียงแต่สนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมในระยะยาวอีกด้วย

ข้อมูลสำคัญของข่าว

  • โครงการ: ฝึกอบรมทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์ (Famtrip)
  • พื้นที่ดำเนินการ: 5 อำเภอในจังหวัดเชียงราย
  • ผลการประเมิน: ผ่านมาตรฐานคาร์บอนนิวทรัลโดย TGO
  • เป้าหมาย: การขยายตลาดการท่องเที่ยวสู่ระดับสากล

เชียงรายจึงไม่เพียงเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย แต่ยังพร้อมเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวแนวใหม่ที่ตอบสนองต่อเทรนด์การเดินทางที่เปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Chiangrai Geopark-อุทยานธรณีเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

รัฐช่วยชาวนาไร่ละพัน ลดผลกระทบราคาข้าวตกต่ำ

รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท กระตุ้นผลผลิตเกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการด้านการผลิต เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถเพิ่มผลผลิตและลดผลกระทบจากราคาข้าวที่ตกต่ำในปีนี้ โดยเห็นชอบการสนับสนุนเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ซึ่งจะครอบคลุมเกษตรกรจำนวน 4.68 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ รวมวงเงิน 38,000 ล้านบาท

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยชาวนา

นางนฤมล ระบุว่า การสนับสนุนดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือเฉพาะฤดูเก็บเกี่ยวครั้งนี้เท่านั้น เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร และเป็นการเพิ่มศักยภาพการผลิตในระยะสั้น สำหรับแผนการช่วยเหลือระยะยาว จะต้องพิจารณาแนวทางเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนอย่างยั่งยืนต่อไป

ที่ประชุมยังได้ยกเลิกโครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ซึ่งใช้งบประมาณ 29,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยเปลี่ยนมาเป็นการจ่ายเงินสนับสนุนไร่ละ 1,000 บาทแทน ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการสามารถช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยได้อย่างครอบคลุมและตรงจุดยิ่งขึ้น

เปลี่ยนโครงการปุ๋ยคนละครึ่งเพื่อช่วยชาวนา

นางนฤมล อธิบายว่า งบประมาณที่มีอยู่จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) จำนวน 29,000 ล้านบาท จะถูกนำมาใช้ในโครงการนี้ โดยเพิ่มเติมงบประมาณอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งทางผู้บริหาร ธกส. ยืนยันว่าสามารถบริหารจัดการได้

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวแสดงความพึงพอใจกับโครงการดังกล่าว แม้ในอดีตชาวนาเคยได้รับเงินสนับสนุนไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาข้าวตกต่ำ การได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้จึงช่วยลดความเดือดร้อนของเกษตรกรรายย่อยได้

เงินสนับสนุนเพื่อความยั่งยืนในอนาคต

แม้ตัวแทนเกษตรกรจะแสดงความต้องการได้รับการสนับสนุนมากกว่าที่กำหนด แต่รัฐบาลยังต้องพิจารณางบประมาณที่มีอย่างรอบคอบ โดยเงินบางส่วนจะถูกนำไปพัฒนาแหล่งน้ำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคตสำหรับภาคเกษตรกรรม

นางนฤมล กล่าวปิดท้ายว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการสนับสนุนเกษตรกรไทย และคาดว่าจะสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ เพื่ออนุมัติเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับชาวนาไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

นายกฯ ชูแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย เสร็จก่อนฤดูฝนปี 2568

นายกฯ เคาะแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย เร่งเสร็จก่อนฤดูฝนปีหน้า

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เป็นผู้นำทีมวางแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เพื่อป้องกันเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำในปีหน้า

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษก ศปช. เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงรุก โดยแผนระยะเร่งด่วนต้องเร่งให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 ก่อนฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการขุดลอกแหล่งน้ำ การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และการสร้างแนวป้องกันตลิ่ง ทั้งนี้ ศปช.เห็นชอบในหลักการแผนงานที่เสนอมาแล้ว และจะนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรในสัปดาห์นี้ เพื่อเริ่มดำเนินงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

แผนระยะกลางและระยะยาว

ในระยะกลางและระยะยาว แผนงานจะรวมถึงการขุดคลองผันน้ำ การสร้างแก้มลิงชั่วคราว และการพัฒนาระบบป้องกันตลิ่งที่มีความยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญ เช่น แม่น้ำปิงในจังหวัดเชียงใหม่ และแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย

การแก้ปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก ระหว่างไทย-เมียนมา

สำหรับปัญหาการไหลของน้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นพื้นที่เขตแดนระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) ได้เห็นพ้องในการขุดลอกแม่น้ำเพื่อเพิ่มช่องทางการระบายน้ำ และแก้ปัญหาสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแม่น้ำ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดเชียงราย ดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากประชาชน

นายจิรายุเปิดเผยว่า มีเสียงสะท้อนจากประชาชนในอำเภอแม่สายว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ซ้ำอีก ทาง ศปช. จึงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการรุกล้ำลำน้ำอย่างจริงจัง เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่

การดูแลเยียวยากำลังพลที่ได้รับผลกระทบ

ในขณะเดียวกัน ศปช. ได้เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงกลาโหม รวบรวมรายชื่อกำลังพลที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาท ส่งให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการหารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อจัดการเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว

นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานเชิงรุกของ ศปช. ที่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติในอนาคตอย่างเต็มที่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

รถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำที่พาน กู้ภัยเร่งช่วยเหลือจนเปิดใช้ถนนได้ปกติ

รถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำที่พาน กู้ภัยเร่งช่วยเหลือจนเปิดใช้ถนนได้ปกติ

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 04.50 น. เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกน้ำมันเตาพลิกคว่ำบริเวณถนนพหลโยธินขาขึ้น หน้าบริษัททนาเกรน หมู่ 6 ตำบลสันกลาง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยรถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำขวางถนน ส่งผลให้การจราจรติดขัดเป็นเวลาหลายชั่วโมง

เหตุการณ์และการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
ในที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บเป็นชาย อายุประมาณ 50-60 ปี มีบาดแผลเล็กน้อยที่ศีรษะ หน่วยกู้ชีพองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สันกลาง ได้นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลพานเพื่อรับการรักษาทันที

การกู้รถและเคลียร์พื้นที่

ต่อมา เจ้าของรถบรรทุกได้นำรถเครนมายกย้ายรถที่พลิกคว่ำออกจากพื้นที่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานที่ร่วมกันเคลียร์พื้นถนน โดยได้ฉีดล้างคราบน้ำมันและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมืออย่างแข็งขัน

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหลายภาคส่วน ได้แก่

  1. สถานีตำรวจภูธรพาน
  2. สายตรวจทางหลวง
  3. แขวงการทางเชียงราย
  4. กู้ชีพ อบต.ม่วงคำ
  5. กู้ชีพสมาคมเจริญเมือง
  6. เทศบาลเมืองพาน
  7. อบต.เจริญเมือง
  8. อบต.ป่าหุ่ง
  9. อบต.แม่เย็น

ทุกหน่วยงานได้ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่จนสามารถเปิดถนนให้ใช้งานได้ตามปกติในเวลาประมาณ 14.00 น.

ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน

อุบัติเหตุครั้งนี้เน้นย้ำความสำคัญของการขับขี่อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงเวลามืดหรือเมื่อขับขี่รถบรรทุกสารเคมีหรือเชื้อเพลิงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอขอบคุณประชาชนในพื้นที่และผู้ใช้รถใช้ถนนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมทั้งยืนยันที่จะดูแลความปลอดภัยและจัดการอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งของทุกฝ่ายในพื้นที่ เพื่อความปลอดภัยและการจัดการปัญหาที่รวดเร็ว ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการอุบัติเหตุในพื้นที่สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สะพานข้ามแม่น้ำกกแม่จัน-ดอยหลวง คืบหน้า 56% เสร็จเม.ย. 68

กรมทางหลวงชนบทเร่งสร้างสะพานข้ามแม่น้ำกก เชื่อม อ.แม่จัน-อ.ดอยหลวง ร่นระยะทางกว่า 25 กิโลเมตร ยกระดับเศรษฐกิจเชียงราย

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เดินหน้าก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำกก เชื่อมต่อระหว่างอำเภอแม่จันและอำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของประชาชน ลดต้นทุนการขนส่ง และยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยโครงการดังกล่าวได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง ล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 56 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568

ลดระยะทางเดินทาง เพิ่มประสิทธิภาพคมนาคม

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า สะพานข้ามแม่น้ำกกดังกล่าวเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยลดระยะทางการเดินทางจากเดิมกว่า 25 กิโลเมตร ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ โดยจุดเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่ถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.4004 บริเวณบ้านผ่านศึก หมู่ที่ 10 ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน และสิ้นสุดที่บ้านวังเขียว หมู่ที่ 8 ตำบลหนองป่าก่อ อำเภอดอยหลวง

รายละเอียดโครงการ

โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำกกประกอบด้วยสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กความยาว 160 เมตร ผิวจราจรกว้าง 9 เมตร พร้อมถนนแอสฟัลต์ติกคอนกรีตต่อเชื่อมสะพานความยาว 2,522 เมตร กว้าง 6 เมตร รวมความยาวตลอดโครงการ 2,682 เมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 59.590 ล้านบาท

สะพานนี้ไม่เพียงช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้น แต่ยังเชื่อมต่อถนนสาย ชร.4004 กับถนนหลวงหมายเลข 1271 ทำให้การเดินทางจากชุมชนสู่ท่าเรือเชียงแสนและอำเภอดอยหลวงเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่

โครงการนี้ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย ข้าวโพด ยางพารา และผลิตภัณฑ์ในชุมชน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

นอกจากนี้ สะพานยังช่วยให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเดินทางไปยังสถานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล วัดพระพุทธบาทผาเรือ และโรงเรียนผ่านศึกสงเคราะห์ 2 ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

แผนงานและความคืบหน้า

ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างคานอัดแรง (I-GIRDER) พื้นสะพาน และถนนเชิงลาด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568 เมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ สะพานนี้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประชาชนในอำเภอแม่จันและอำเภอดอยหลวง

ความสำคัญต่อชุมชน

นอกจากช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการนี้ยังเป็นการส่งเสริมความเจริญในพื้นที่ โดยเฉพาะชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมและแหล่งผลิตสินค้าชุมชนที่สำคัญ

กรมทางหลวงชนบทยืนยันว่าจะดำเนินโครงการนี้อย่างเต็มที่เพื่อส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ช่วยพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

อนุทินมอบสำเภาทอง ผลักเศรษฐกิจไทยโต 3% ยั่งยืน

อนุทินมอบรางวัลสำเภาทอง ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ย้ำความสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลสำเภาทองและรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัดสำเภาทอง ประจำปี 2567 ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยในโอกาสนี้ นายอนุทินยังได้รับมอบสมุดปกขาวหอการค้าไทย ซึ่งรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะเร่งด่วน

เน้นย้ำบทบาทของกระทรวงมหาดไทยในการสนับสนุนเศรษฐกิจ 

นายอนุทินกล่าวว่า แม้กระทรวงมหาดไทยจะไม่ได้ดูแลตัวเลขเศรษฐกิจโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในฐานะ “เกตเวย์” หรือประตูสำคัญที่เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัด โดยเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเอกชน ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจสามารถประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“แต่ละจังหวัดมีคลัสเตอร์เศรษฐกิจที่ต้องผลักดัน ขณะเดียวกันเราต้องการรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีบทบาทด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะ เพื่อดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” นายอนุทินกล่าว

เป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ในปี 2568 หอการค้าไทยตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% โดยสมุดปกขาวหอการค้าไทยได้เสนอแนวทางเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่

  1. การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ
  2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs
  3. การวางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายอนุทินกล่าวเสริมว่า ข้อเสนอในสมุดปกขาวเหล่านี้จะถูกนำมาบูรณาการร่วมกับแผนปฏิบัติงานของกระทรวงมหาดไทย เพื่อผลักดันให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รางวัลสำเภาทอง สะท้อนการพัฒนาจังหวัด

ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับรางวัลสำเภาทองในครั้งนี้ ได้รับการยอมรับในด้านการบริหารจัดการและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างโดดเด่น โดยรางวัลดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องหมายของความสำเร็จในเชิงนโยบาย แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัดและระดับประเทศ

สมุดปกขาว: พิมพ์เขียวสู่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

สมุดปกขาวหอการค้าไทยฉบับปี 2567 ยังระบุถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หอการค้าไทยยืนยันว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

การสนับสนุนจากภาครัฐ: จุดเปลี่ยนสำคัญ

นายอนุทินย้ำว่าการสนับสนุนจากภาครัฐไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยกระทรวงมหาดไทยพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกด้าน

งานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเวทีสำหรับการรับฟังข้อเสนอแนะและแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว ยังสะท้อนถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย พร้อมแผนฟื้นฟูยั่งยืน

การประชุมวางแผนแก้ปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม เชียงใหม่-เชียงราย

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) ครั้งที่ 2/2567 โดยมี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยที่ปรึกษา ศปช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์

เร่งรัดแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ

นายสุริยะ กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อเร่งรัดการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อบูรณาการทรัพยากรและแผนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและเกิดความเป็นเอกภาพ

คณะทำงานดังกล่าวจะรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอแผนงานต่อที่ประชุมศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ก่อนนำเสนอแผนต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

ผลการประชุมและแผนดำเนินงานที่สำคัญ

ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบแนวทางสำคัญเพื่อปกป้องและลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน

    • รับทราบคำสั่งที่ 1/2567 ของคณะทำงานศึกษาวางแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ
    • ประเมินผลการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยเน้นความคืบหน้าและความสอดคล้องของแผนงาน
  2. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่

    • เสริมสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมและปรับปรุงระบบการระบายน้ำ
    • ฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
  3. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย

    • บูรณาการการจัดการน้ำและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    • วางระบบเตือนภัยล่วงหน้าและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ

ความสำคัญของการประชุมและเป้าหมายในอนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

ทั้งนี้ นายสุริยะ ย้ำว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้พิจารณาการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบตรวจวัดระดับน้ำแบบอัตโนมัติ และการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เมื่อแผนงานได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในปลายเดือนนี้ คาดว่าจะสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย

ข้อสรุป

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มอย่างจริงจัง โดยใช้แนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE