Categories
FEATURED NEWS NEWS

ตรวจเครดิตบูโรง่ายๆ ผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้แล้ว วันนี้

ตรวจเครดิตบูโรง่ายๆ ผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้แล้ว วันนี้

Facebook
Twitter
Email
Print

ธนาคารกรุงไทยร่วมกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิต และเครดิตสกอริ่ง ผ่าน “เป๋าตังเปย์”  ซูเปอร์วอลเล็ตยอดนิยมของคนไทย บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพิ่มช่องทางให้ประชาชนตรวจสุขภาพทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว ครบทุกข้อมูลสินเชื่อ ทุกสถานะบัญชี ป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงิน เลือกรับรายงานทางอีเมลภายใน 24 ชั่วโมง หรือรับผลทางไปรษณีย์ภายใน 7 วันทำการ ยกระดับบริการเพื่อให้ประชาชน ตรวจเครดิตบูโรได้ง่ายในทุกช่องทางของธนาคาร  ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคดิจิทัล

ขั้นตอนตรวจเครดิตบูโรผ่านเป๋าตังเปย์ บนแอปฯ เป๋าตัง ทำได้โดย คลิกที่ “เป๋าตังเปย์” และเลือก “ตรวจเครดิตบูโร” ซึ่งประชาชนสามารถเลือกรายงานข้อมูลได้ 2 ประเภท คือ 1.ข้อมูลเครดิต 2.ข้อมูลเครดิตและคะแนนเครดิต (เครดิตสกอริ่ง)  ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.ncb.co.th  หากพบปัญหาในการรับข้อมูลเครดิต ติดต่อ consumer@ncb.co.th หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

ทั้งนี้ เครดิตบูโรและธนาคารกรุงไทย  ให้ความสำคัญและสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเครดิตผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ในการตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเองให้ถูกต้อง ป้องกันภัยไซเบอร์ และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัย เมื่อมีหนี้” รู้จักวางแผนทางการเงิน ตระหนักถึงความสำคัญของการออม และมีวินัยในการชำระหนี้ รักษาเครดิตของตนเอง เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

เตือน! ใช้ป้ายทะเบียนรถปลอม มีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ

เตือน! ใช้ป้ายทะเบียนรถปลอม มีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ

Facebook
Twitter
Email
Print

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบกกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ป้ายทะเบียนรถถือเป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้โดยแสดงว่ารถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะนั้น ๆ ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และออกให้ใช้เฉพาะสำหรับรถคันที่จดทะเบียนไว้ 1 คัน ต่อ 1 หมายเลขทะเบียนเท่านั้น โดยข้อมูลหมวดอักษร หมายเลขทะเบียน จังหวัด ที่ปรากฏในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายวงกลม) ต้องถูกต้องและตรงกัน ณ ปัจจุบัน ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์มีมิจฉาชีพใช้ป้ายทะเบียนปลอมที่ผิดกฎหมายในหลายกรณี อาทิ ใช้ป้ายทะเบียนด้านหน้ารถและด้านหลังรถเป็นคนละหมายเลขกัน ใช้ป้ายทะเบียนรถที่หมายเลขไม่ตรงกับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ใช้ทะเบียนรถป้ายแดงปลอม หรือใช้ป้ายทะเบียนที่มีพื้นหลังเป็นลวดลายกราฟิกแต่ไม่ใช่ป้ายทะเบียนรถเลขสวยที่มีลักษณะพิเศษ (ป้ายประมูล) รวมถึงประชาชนอาจหลงเชื่อซื้อป้ายทะเบียนรถผ่านอินเทอร์เน็ต มีความเสี่ยงจะได้ป้ายทะเบียนปลอมและสูญเสียทรัพย์สิน กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขอเตือนผู้ที่ทำป้ายทะเบียนปลอมจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ฐานปลอมเอกสารราชการ ส่วนเจ้าของรถที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ฐานใช้เอกสารราชการปลอม มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ มีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ มาตรา 11 ฐานติดแผ่นป้ายทะเบียนรถไม่ถูกต้องตามที่ทางราชการกำหนดปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท

รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ป้ายทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมายออกโดย ขบ. สามารถสังเกตได้จากตัวย่อนูน ขส ที่มุมด้านล่างขวา ต้องมีลายน้ำตราเครื่องหมายราชการ ขบ. (รูปมาตุลีเทพบุตรขับรถเทียมม้า) ปรากฏในแผ่นป้ายทะเบียนรถ ลักษณะของสีแผ่นป้ายทะเบียนจะมีความสด สะท้อนแสง ตัวหนังสือหมวดอักษร ตัวเลขมีความคมชัด และจะต้องตรงกันกับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ในส่วนของป้ายแดงแต่ละบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถจะมีหมวดและหมายเลขป้ายแดงหมุนเวียนต้องใช้คู่กับสมุดคู่มือประจำรถและใบอนุญาตให้ใช้รถด้วย โดยผู้ใช้รถป้ายแดงต้องจดบันทึกข้อมูลการใช้รถลงในสมุดคู่มือประจำรถข้อมูลดังกล่าวได้แก่ ชื่อ – นามสกุลผู้ขับรถ ชื่อชนิดรถ หมายเลขตัวรถ หมายเลขเครื่องยนต์ ความประสงค์ในการขับรถยนต์ วันเดือนปีและระยะเวลาที่นำรถออกไปใช้ สำหรับผู้ซื้อรถป้ายแดงต้องตรวจสอบจำนวนวันการใช้รถขณะติดป้ายแดงต้องไม่เกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ

นอกจากนี้ป้ายทะเบียนรถเลขสวยลักษณะพิเศษ (ป้ายประมูล) ที่ถูกต้องตามกฎหมายจะมีลักษณะ คือ พื้นหลังจะเป็นลวดลายกราฟิกมีตัวย่อ ขส ที่มุมด้านขวาล่าง และมีคำหรือข้อความที่มีตัวอักษร 2 ตัว ผสมสระหรือวรรณยุกต์ หรือตัวอักษรมากกว่า 2 ตัว โดยสามารถใช้ตัวอักษรผสมสระ หรือวรรณยุกต์ได้ หมายเลข ตัวอักษร สระรวมแล้วต้องไม่เกิน 7 หลัก และต้องไม่มีข้อความลักษณะต้องห้าม เช่น ข้อความที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร หรือหยาบคาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอันดี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” นำร่องลงทุนบริหาร สภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

“ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” นำร่องลงทุนบริหารสภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

ปตท.สผ. ร่วมกับ ธ.กรุงไทย นำร่องโครงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของ ปตท.สผ. เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ระยะเวลา 1 ปี เป็นครั้งแรกของประเทศ พร้อมนำผลตอบแทนบางส่วนซื้อคาร์บอนเครดิตคุณภาพ

นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน ) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. มีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ตามที่ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ในการประชุม COP26 ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้น บริษัทได้บริหารจัดการการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P Portfolio) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต และกิจกรรมที่ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า และโครงการบลูคาร์บอน เป็นต้น นอกจากนี้ การบริหารจัดการทางการเงินและรักษาโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน การลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของ ปตท.สผ. ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสภาพคล่องแล้ว ยังสามารถนำผลตอบแทนจากการลงทุนบางส่วนไปซื้อคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนในโครงการที่สนับสนุนการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำนวัตกรรมทางการเงินมาใช้ เพื่อส่งเสริมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งกลุ่มนิติบุคคล และนักลงทุนในทุกมิติ ทั้งการปฏิวัติการออกหุ้นกู้เอกชนในรูปแบบหุ้นกู้ดิจิทัล ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ทั้งตลาดแรก และตลาดรอง ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สะดวกและปลอดภัย อีกทั้งบริการด้าน การบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินของนิติบุคคล ภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และในครั้งนี้ธนาคารกรุงไทยได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารเงินลงทุนสำหรับสภาพคล่องของบริษัท มาผนวกกับเป้าหมายด้านการเติบโตอย่างยั่งยืน จับมือกับปตท.สผ. ดำเนินโครงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Investment Program) ถือเป็นประวัติการณ์ใหม่ ครั้งแรกในไทยที่ นำนวัตกรรมด้านการเงิน มาบริหารจัดการด้านการลงทุนให้กับลูกค้า เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งด้านการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และตอบโจทย์นโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยธนาคารสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิตให้กับปตท.สผ.เพิ่มเติม หากปตท.สผ.สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของประเทศในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608

“นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่กรุงไทย และปตท.สผ.ได้ร่วมสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ให้ตลาดเงินและตลาดทุนไทย หลังประสบความสำเร็จในการปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ด้วยหุ้นกู้ดิจิทัลครั้งแรกในเอเชีย พร้อมทำสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน อ้างอิงผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (ESG-Linked Cross Currency Swap) เป็นครั้งแรกในประเทศ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG Financial Solution ของธนาคาร ที่เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ที่ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) โดยเฉพาะ SDGs ข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

PTTEP and Krungthai initiate Thailand’s first carbon credit linked investment program

PTTEP together with Krungthai Bank have jointly promoted sustainable finance through the introduction of a one-year carbon credit linked investment program for PTTEP’s liquidity management, which is the first of its kind in Thailand. Part of the returns will be used to purchase high-quality carbon credits, thereby contributing to the achievement of the greenhouse gas (GHG) reduction goal.

Sumrid Sumneing, Executive Vice President, Finance and Accounting Group at PTT Exploration and Production Public Company Limited (PTTEP), said that PTTEP is committed to achieving Net Zero GHG emissions by 2050, aligning with Thailand’s net zero pledge at COP26. To reach this aspirational goal, the company focuses on managing its exploration and production (E&P) portfolio, which constitutes its core business, and executes GHG emissions reduction plan from the production process. Additionally, PTTEP undertakes GHG offsetting initiatives such as forestation and blue carbon projects. The company recognizes that effective financial management and maintaining a robust capital structure can also be another approach contributing to this goal. By implementing the innovative carbon credit linked investment program, PTTEP aims to enhance liquidity management while using part of the returns from investments to purchase high-quality carbon credits and invest in projects that support GHG emissions management in the future. This groundbreaking financial approach represents the first instance of utilizing financial innovation to support a net zero GHG emissions target, playing a pivotal role in promoting mutual sustainable growth.

Rawin Boonyanusasna, Senior Executive Vice President of the Global Markets Group at Krungthai Bank, emphasized the bank’s unwavering commitment to developing new capital market products and services that cater to the requirements of corporate clients and investors. Past accomplishments include the corporate digital bond, which facilitated trading in both primary and secondary markets, thereby ensuring inclusive, equitable, convenient, and secure access to corporate bond investments. Additionally, the bank provides risk management services for corporate clients. These offerings align with the sustainable development framework. On this occasion, Krungthai Bank leverages its extensive experience and expertise in investment management to enhance liquidity while embracing a sustainable growth agenda. Through a partnership with PTTEP, the bank introduces the carbon credit linked investment program, which marks a significant milestone as it represents the first-ever utilization of financial innovation in Thailand to manage investments for clients, concurrently pursuing investment returns and the organization’s GHG emissions reduction goals. The bank will assist PTTEP in the acquisition of additional carbon credits, contingent upon PTTEP achieving the GHG reduction key performance indicators (KPIs). This collaborative effort contributes to Thailand’s targets of achieving carbon neutrality by 2050 and net zero emissions by 2065.

“Krungthai Bank and PTTEP have achieved yet another significant milestone in financial innovation within the Thai capital market. Building on the success of revolutionizing investment in the country with Asia’s first digital corporate bond and ESG-Linked Cross Currency Swap, we reaffirm our commitment to conducting business with a strong focus on ESG (Environmental, Social, and Governance) principles. This collaboration with PTTEP further solidifies our position as a leading provider of ESG financial solutions, continuously developing new financial products and services that address the United Nations Sustainable Development Goals (SDGs), particularly SDG 13: Climate Action. Our aim is to drive sustainable growth for both our business and the Thai economy, aligning with our vision of ‘Growing Together for Sustainability’,” said Rawin.

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ปตท.สผ.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“SME D Bank” ผนึก “บางจากฯ” หนุนเอสเอ็มอี สร้างและขยายธุรกิจ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

“SME D Bank” ผนึก “บางจากฯ” หนุนเอสเอ็มอี สร้างและขยายธุรกิจ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

SME D Bank จับมือบางจากฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางด้านธุรกิจ สนับสนุน ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprise) หรือเอสเอ็มอี ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพิ่มโอกาสการเข้าถึงเงินทุนเพื่อสร้างและขยายธุรกิจใหม่ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้พัฒนาอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน  

นายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  กล่าวว่า ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมาต่อเนื่อง ด้วยบริการการเงินควบคู่กับการพัฒนา เพื่อให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  โดย SME D Bank พร้อมสนับสนุนด้านการเงินผ่านสินเชื่อต่างๆ  วงเงินรวมกว่า  25,000 ล้านบาท  วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด เริ่มต้น 4.5% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี  สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันบางจากอยู่แล้ว รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าและซัพพลายเชน (supply chain) หรือผู้สนใจจะลงทุนเปิดร้านในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อให้มีเงินทุนไปขยาย ปรับเปลี่ยน  ลงทุนขยายสาขาหรือเสริมสภาพคล่อง

ขณะเดียวกัน SME D Bank จะสนับสนุนด้านการพัฒนาครบวงจรควบคู่กันไปด้วย ผ่านโครงการ SME D Coach จัดโปรแกรมเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นสมาชิกและคู่ค้าของบางจากฯ เช่น โปรแกรมความรู้ด้านมาตรฐาน พัฒนาบรรจุภัณฑ์ บัญชี เตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งทุน และหลักการทำแฟรนไชส์ เป็นต้น   ความร่วมมือกับบางจากฯ ในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างกว้างขวาง เพราะบางจากฯ มีเครือข่ายธุรกิจเกี่ยวโยงกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมาก ประกอบกับทำเลที่ตั้งสถานีบริการน้ำมันบางจากอยู่ในย่านชุมชน นอกจากคู่ค้าจะได้รับประโยชน์แล้ว ยังส่งต่อคุณค่าไปสู่ชุมชนโดยรอบ ทำให้เงินหมุนเวียน กระจายรายได้ ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ  ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บางจากฯ ร่วมมือกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีศักยภาพหลากหลายแบรนด์ เพื่อสร้างสรรค์สถานีบริการน้ำมันบางจากให้มีผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงที่หลากหลายและครบครัน สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าในทำเลที่ตั้งที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกวัยตามแนวคิด Greenovative Destination for  Intergeneration โดยการร่วมมือระหว่างบางจากฯ และ SME D Bank ในครั้งนี้ ทำให้คู่ค้าของบางจากฯ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสในการลงทุนสร้างและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ที่ผ่านมา บางจากฯ  มีนโยบายการดำเนินธุรกิจโดยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนมาอย่างยาวนาน เช่น การนำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกลุ่มชุมชนมาเป็นของสมนาคุณลูกค้าผู้ใช้น้ำมันบางจาก เป็นต้น เพื่อร่วมสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยซึ่งจะช่วยให้สังคมไทยเข้มแข็งอย่างยั่งยืน  

นอกจากนั้น บางจากฯ และ SME D Bank ยังมีแผนร่วมกันจัดกิจกรรม Market Place นำสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยทั่วประเทศที่ผ่านการคัดเลือก มาจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันบางจากและจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Matching) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพในท้องถิ่น ได้เปิดร้านในสถานีบริการน้ำมันบางจาก และในอนาคตสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่องในหลากหลายมิติ  เพื่อร่วมกันเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SME D Bank

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

คปภ. ชวนใช้บริการ “กูรูประกันภัย” กรมธรรม์ออนไลน์ เผยมีผู้ใช้ทะลุ 179,082 ครั้ง

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

Facebook
Twitter
Email
Print

สำนักงาน คปภ. พัฒนาและต่อยอดเว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัย ภายใต้ชื่อ “กูรูประกันภัย” (https://guruprakanphai.oic.or.th) เพื่อรองรับสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้มีการปรับตัวให้เข้าสู่ยุค Next Normal อย่างต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการทั้งด้านการกำกับและส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัย การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้มีความสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์และการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ  โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูลการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกและเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความเหมาะสมกับตนเองและครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้พัฒนาและต่อยอดเว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยภายใต้ชื่อ “กูรูประกันภัย” (https://guruprakanphai.oic.or.th) เพื่อรองรับสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้าถึงผู้เอาประกันภัยผ่านการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยสำนักงาน คปภ. กำหนดให้บริษัทประกันภัย นายหน้าประกันภัยและธนาคารที่ทำการเสนอขายประกันภัยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ต้องขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าระบบสารสนเทศมีความมั่นคงปลอดภัย และต่อมาได้พัฒนาระบบเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ขายกรมธรรม์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ระบบค้นหาและเปรียบเทียบแบบประกันภัย และระบบการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยและการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชนในการทำธุรกรรมประกันภัยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเว็บไซต์กูรูประกันภัย นอกจากประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการผ่านทาง https://guruprakanphai.oic.or.th แล้ว ยังสามารถเข้าไปใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ https://www.oic.or.th/th/consumer โดยกด link เข้าไปใน banner กูรูประกันภัยได้อีกทาง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งนับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2563 จนถึงปัจจุบันมีประชาชนเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์กูรูประกันภัยแล้ว จำนวนกว่า 179,082 ครั้ง

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เว็บไซต์กูรูประกันภัย ถือเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลการเปรียบเทียบ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ  ประกอบด้วย 3 ระบบ คือ ระบบแรก ตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ขายกรมธรรม์ทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัย นายหน้าประกันภัย และธนาคาร ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามประกาศสำนักงาน คปภ. ก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์

ระบบที่ 2 ประชาชนผู้เอาประกันภัยสามารถค้นหาและเปรียบเทียบแบบประกันภัย เพื่อส่งเสริมกลไกทางการตลาด การแข่งขันทางด้านราคา และเป็นการให้ข้อมูลแก่ประชาชนที่สนใจได้รับข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เบี้ยประกันภัย เงื่อนไขการประกันภัย และข้อยกเว้น โดยปัจจุบันระบบเปรียบเทียบของเว็บไซต์นี้ สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัย ประกอบด้วย ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยการเดินทาง และประกันชีวิต โดยผู้สนใจสามารถกำหนดปัจจัยในการพิจารณาผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้ เพื่อให้ตรงความต้องการของตนเอง

สำหรับระบบค้นหาผลิตภัณฑ์ประกันภัย ผู้สนใจสามารถค้นหาแบบประกันภัยได้ ทั้งประเภทผลิตภัณฑ์ประกันภัย ชื่อแบบประกันภัย ชื่อบริษัทประกันภัย

ระบบที่ 3 ระบบการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ และการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากการจัดทำเว็บไซต์กูรูประกันภัยแล้ว สำนักงาน คปภ. ยังได้จัดทำ OIC Gateway ซึ่งเป็นระบบให้ผู้เอาประกันภัยสามารถมาตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยซื้อ เช่น เลขที่กรมธรรม์ประกันภัย บริษัทที่รับประกันภัย ระยะเวลาคุ้มครอง และข้อมูลความคุ้มครองเบื้องต้น และปัจจุบันระบบดังกล่าวยังได้มีการพัฒนา เพื่อเพิ่มความสามารถสามารถในการแสดงข้อมูลให้ผู้เอาประกันภัยทราบมากขึ้น เช่น สรุปจำนวนเงินเอาประกันภัยทั้งหมด สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น

“สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเหมาะสมกับความเสี่ยง โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาการให้บริการประชาชนด้านประกันภัยอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนประชาชนที่มีความสนใจจะเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระเบี้ยและความต้องการที่แท้จริง สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์กูรูประกันภัยเพื่อศึกษาข้อมูลก่อนการพิจารณาตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงาน คปภ.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

ธอส. เปิดผลประมูลบ้านมือสองออนไลน์ “GHB’S NPA Online Auction” กว่า 153 ล้าน

ธอส. เปิดผลประมูลบ้านมือสองออนไลน์ “GHB’S NPA Online Auction” กว่า 153 ล้าน

Facebook
Twitter
Email
Print

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานผลการจัดประมูลบ้านมือสองออนไลน์ “GHB’S NPA Online Auction” ผ่าน Application : GHB ALL HOME ที่จัดขึ้นวันนี้ (19 พฤษภาคม 2566) ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. สามารถจำหน่ายทรัพย์ NPA ได้จำนวนทั้งสิ้น 124 รายการ คิดเป็นมูลค่าที่จำหน่ายได้รวม 153 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 53 รายการ คิดเป็นมูลค่า 62 ล้านบาท และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค จำนวน 71 รายการ คิดเป็นมูลค่า 91 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว ขนาดเนื้อที่ 400 ตารางวา ใน อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี สามารถจำหน่ายได้ในราคา 5.67 ล้านบาท เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่มีเนื้อที่กว้างขวาง เหมาะแก่การอยู่อาศัย และใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย  ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาต่ำสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า ขนาดเนื้อที่ 100 ตารางวา ใน อ.องครักษ์ จ.นครนายก โดยจำหน่ายได้ในราคา 95,000 บาท เท่านั้น!!

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ชนะการประมูลต้องทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และหากทำนิติกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 จะได้ส่วนลดราคาเพิ่ม 10% จากราคาที่ประมูลซื้อได้ และสามารถใช้ “ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับซื้อทรัพย์ NPA พร้อมขายของธนาคาร” (เงื่อนไขเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage บ้านมือสอง ธอส. หรือดูข้อมูลรายการทรัพย์บ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com, Mobile Application : GHB ALL HOME และ Line Official Account : @GHBALLHOME  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

ททท. ชวนมา “หลงแสงเวียง” กับงาน “วิจิตร 5 ภาค @เชียงราย

ททท. ชวนมา “หลงแสงเวียง” กับ “วิจิตร 5 ภาค @เชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อเวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา ททท. ร่วมเปิดงาน “วิจิตร 5 ภาค @เชียงราย หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย” โดยมีนางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ตลอดจนประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “วิจิตร 5 ภาค @เชียงราย หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย” สร้างสีสันบรรยากาศท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ร่ายมนต์เสน่ห์แห่งอารยธรรมล้านนา ด้วยเทคนิคการใช้แสง เสียง ผสานศิลปะ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ประดับ 15 สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัด เพิ่มอัตราพักค้างคืน ดันจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 20,000 คน สร้างรายได้หมุนเวียน 130 ล้านบาท

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา ททท. กล่าวว่า ททท. เล็งเห็นความสำคัญของการมุ่งส่งมอบคุณค่าและความหมายของการท่องเที่ยวไทย (Meaningful Travel) ผ่านการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based Tourism) เพื่อให้เกิดตำนานการเดินทางท่องเที่ยวมิติใหม่ โดย ททท. จึงได้หยิบยกอัตลักษณ์ของศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น มาเป็นเครื่องมือในการออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ พร้อมเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีปฏิสัมพันธ์ซึมซับประสบการณ์จากท้องถิ่นที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ค้นหาตัวตน และเติมเต็มความหมายของการเดินทางให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ซึ่ง ททท. ได้ต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค ผ่านการเล่าเรื่อง ด้วยการใช้เทคนิคของแสง เสียง และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาเป็นเครื่องมือในการสะท้อนอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยเป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวจริงในพื้นที่ และช่วยกระจายรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค ตอบโจทย์พฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทย ซึ่งจากสถิติปี 2565 พบว่า ชาวไทยมีการเดินทางท่องเที่ยวข้ามภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นพาหนะหลัก และข้อมูลที่มีการค้นหามากที่สุดคือ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เส้นทางการเดินทางในพื้นที่ และข้อมูลกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยว ตามลำดับ โอกาสนี้ เพื่อเป็นการเร่งส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายภาพรวมรายได้ตลาดในประเทศ ปี 2566 อยู่ที่ 880,000 ล้านบาท ททท. จึงจัดงาน “วิจิตร 5 ภาค” ขึ้นใน 5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงราย จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดระยอง และจังหวัดนครพนม โดยงาน “วิจิตร 5 ภาค @เชียงราย หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย” ถือเป็นหนึ่งใน 5 พื้นที่ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยมนต์เสน่ห์แห่งเมืองเหนือและอารยธรรมล้านนา ซึ่งเมื่อประกอบกับความสวยงามของเทคโนโลยีสมัยใหม่ จะสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมในการเดินท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จำนวนผู้เยี่ยมเยือนที่มาเที่ยวจังหวัดเชียงรายในปี 2565 มีจำนวนสูงถึง 3.6 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าการจัดงานวิจิตร 5 ภาค @เชียงราย “หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย” นี้ จะเป็นกิจกรรม Event Marketing ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่จะเข้ามาสร้างสีสันบรรยากาศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สามารถต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีใหม่และตอบโจทย์ความสนใจของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้เกิดต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวสัมผัสถึงเสน่ห์วันวานของเมืองเหนือ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมที่หลากหลาย อันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายมากขึ้น ชาวเชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านด้วยมิตรไมตรี และยินดีส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่า มีความหมาย และน่าประทับใจที่สุดแก่นักท่องเที่ยวทุกท่านที่มาเยือน

 

 

15 สถานที่โชว์แสง “หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย”

 

งาน “วิจิตร 5 ภาค@เชียงราย”  พร้อมจัดเต็มการแสดงแสง เสียง ระหว่างวันที่ 20-28 พฤษภาคม 2566 ณ อำเภอเมืองเชียงราย เวลา 18.00 – 24.00 น. โดยเล่าเรื่องเมืองเชียงรายผ่านเส้นทางแห่งกาลเวลา บนท้องถนนที่สว่างไสวด้วยแสงแห่งประวัติศาสตร์ตามแนวคิด  “หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย” ผ่านการจัดแสดง Light up / Mapping / Projection 3D / Light installation และสื่อผสมที่ทันสมัย แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ที่สะท้อนเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น โดยเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวร่วมชมงานในลักษณะ Walking Tour ใน 15 สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย อาทิ อาคารเทิดพระเกียรติฯ หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ       วัดพระแก้ว วัดมิ่งเมือง สวนตุงและโคม รวมทั้งสามารถนั่งรถรางเที่ยวชมงานได้ฟรี ไม่เพียงเท่านั้น ททท. ยังเตรียมนำเสนอการแสดง Highlight ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย(เก่า) อาทิ การจัดแสดงศิลปะวัฒนธรรมพื้นถิ่น การแสดงดนตรี การออกร้านจากผู้ประกอบการในพื้นที่

นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับพันธมิตรผู้ประกอบการในพื้นที่จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด มอบสิทธิพิเศษคูปองมูลค่า 500 บาท ให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายภายในงาน หรือใช้เป็นส่วนลดสินค้าหรือบริการด้านการท่องเที่ยวจากผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงรายที่เข้าร่วมโครงการฯ ในช่วงระยะเวลาจัดงาน รวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท ผ่าน 2 กิจกรรม ได้แก่ 1) ร่วมกิจกรรมทางแฟนเพจเฟสบุ๊ก GoNorthThailand ลุ้นรับคูปองส่วนลดมูลค่า       500 บาท ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป และ 2) สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าพัก ณ โรงแรม/ที่พักในจังหวัดเชียงรายอย่างน้อย 1 คืน ในช่วงระยะเวลาจัดงาน เพียงแสดงคีย์การ์ด / เอกสารการจองที่พัก สามารถรับคูปองมูลค่า 500 บาทต่อ 1 ห้องพัก รวมทั้งสิ้น 1,000 รางวัล ทั้งนี้ ททท. คาดหวังว่าการจัดงานนี้ จะช่วยดันจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 20,000 คน สร้างรายได้หมุนเวียน  130 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาจัดงาน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมสีสันบรรยากาศในแต่ละพื้นที่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : GoNorthThailand, www.wiangoflight.com, TAT Contact Center โทร. 1672 Travel Buddy

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

เปิดปฏิทินสอบรับสมัครสอบ แข่งขันครูผู้ช่วย ปี 66

เปิดปฏิทินสอบรับสมัครสอบ แข่งขันครูผู้ช่วย ปี 66

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อเวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 ..ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือสพฐกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศวันรับสมัครสอบครูผู้ช่วย ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 6 มิถุนายน 2566 เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ..กำหนด จึงได้กำหนดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี .. 2566 ดังนี้

 

1. ประกาศรับสมัคร / ภายในวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566

2. รับสมัคร / วันพุธที่ 31 พฤษภาคม – วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2566 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)

3. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ ภาค  และ ภาค  / ภายในวันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2566

4. ประเมินจากการสอบข้อเขียน

ภาค  ความรู้ความสามารถทั่วไป / วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2566

ภาค  มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ / วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2566

5. ประกาศรายชื่อผู้ผ่าน ภาค  และ ภาค  เพื่อมีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค  / ภายในวันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม2566

6. ประเมินจากการสัมภาษณ์ แฟ้มสะสมงาน และการนำเสนอที่แสดงถึงทักษะและศักยภาพด้านการจัดการเรียนการสอน ภาค  ความเหมาะสมกับตำแหน่ง วิชาชีพและการปฏิบัติงานในสถานศึกษา / ตามวันและเวลาที่ ...เขตพื้นที่การศึกษาหรือ ...สศศกำหนด (ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2566)

7. ประกาศผลการสอบแข่งขัน / ตามวันและเวลาที่ ...เขตพื้นที่การศึกษาหรือ ...สศศกำหนด (ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2566)

 

..ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.obec.go.th หรือโทร. 02 2885511 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลห่วงใยผู้สมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุ และแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย ให้ระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสหลอกลวงเรียกรับเงิน หรือผลประโยชน์โดยแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้สอบผ่าน หรือเข้ารับการบรรจุในตำแหน่งครูผู้ช่วยได้  หากพบเห็นผู้ที่มีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบทันที หากพบมีการหลอกลวงจริงจะดำเนินคดีตามกฎหมายในทันที 

 

ที่สำคัญกระบวนการรับสมัครและจัดสอบครูผู้ช่วยต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เพราะหากผู้สมัครเข้ามาสอบรับราชการด้วยวิธีการทุจริต ย่อมกระทบจรรยาบรรณวิชาชีพ อาจถูกตัดสิทธิสอบครูผู้ช่วยตลอดชีวิตและไม่มีสิทธิสอบเป็นข้าราชการได้อีก..ทิพานัน กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สพฐ

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ที่ระลึก 90 ปี กรมธนารักษ์

กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ที่ระลึก 90 ปี กรมธนารักษ์

Facebook
Twitter
Email
Print

กรมธนารักษ์จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 90 ปี กรมธนารักษ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศประเทศ และเป็นที่ระลึก

กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 90 ปี กรมธนารักษ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร  มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ และเป็นที่ระลึก รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภารกิจของกรมธนารักษ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป
    
วันนี้ (18 พฤษภาคม 2566) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบ 90 ปี กรมธนารักษ์ ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กรมธนารักษ์จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 90 ปี กรมธนารักษ์ โดยจัดทำ จำนวน 2 ประเภท ดังนี้
• เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทขัดเงา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม จำนวนผลิตไม่เกิน 100,000 เหรียญ ราคาจำหน่ายเหรียญละ 200 บาท พร้อมตลับ ใบรับรองและกล่อง
• เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 15 กรัม จำนวนผลิตไม่เกิน 1,000,000 เหรียญ ราคาจ่ายแลกเหรียญละ 20 บาท พร้อมตลับ

โดยมีลวดลายของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสดังกล่าว ดังนี้
ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดสากล ทรงประดับเหรียญที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่าง       มีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ด้านหลัง กลางเหรียญมีรูปเครื่องหมายราชการของกรมธนารักษ์ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า “๙๐ ปี กรมธนารักษ์ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖” เบื้องล่างมีข้อความบอกราคาว่า “๒๐ บาท” และข้อความว่า “ประเทศไทย” โดยมีลายไทยประดิษฐ์คั่นระหว่างข้อความเบื้องบนกับเบื้องล่างทั้งสองข้าง

ผู้ที่ประสงค์จะขอแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกดังกล่าว สามารถติดต่อขอแลกได้ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ตามช่องทางดังนี้
ส่วนกลาง
• กองบริหารเงินตรา ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี โทร. 0 2565 7944
• หน่วยรับและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2282 4109
• หน่วยจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2618 6340
ส่วนภูมิภาค
• สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ทั่วประเทศ
ช่องทางออนไลน์
• www.treasury.go.th (บริการออนไลน์ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ด้านเหรียญ) โดยการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ผู้สั่งซื้อเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดส่งทั้งนี้

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารเงินตรา โทร. 0 2565 7944 และ Call Center กรมธนารักษ์ โทร. 0 2059 4999

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมธนารักษ์

 
Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

SME D Bank หารือ กสม. ส่งเสริมเอสเอ็มอี ส่งต่อประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน

SME D Bank หารือ กสม. ส่งเสริมเอสเอ็มอีดำเนินธุรกิจสอดคล้องสิทธิมนุษยชน คำนึงถึงกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งต่อประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน

Facebook
Twitter
Email
Print

SME D Bank พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยรองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางการประสานความร่วมมือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบ นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พร้อมด้วย นางสาวรตญา กอบศิริกาญจน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ เพื่อหารือแนวทางการประสานความร่วมมือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน รวมถึงปัจจัยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ดำเนินธุรกิจตามเกณฑ์มาตรฐาน โดยเป็นการต่อยอดและขยายผลการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากปีที่ผ่านมา ธนาคารเข้าร่วมโครงการ “HUMAN RIGHTS AWARDS 2022” ณ ห้องรับรอง 703 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) เมื่อเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนของทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นตามพันธกิจ “เติมทุนคู่พัฒนา” เคียงข้างสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย เพิ่มขีดความสามารถก้าวสู่ความสำเร็จ ส่งต่อคุณประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศสู่การเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SME D Bank

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE