Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS HEALTH

สสส.-มฟล. ผนึกพลัง! ใช้คลิปสั้นขับเคลื่อน “เชียงรายเมืองสุขภาพ” ผ่านระบบอาหาร

วันแห่งการ “ลงมือสื่อสาร” ของคนรุ่นใหม่

เชียงราย, 15 พฤศจิกายน 2568 – ห้องประชุม “ประดู่แดง 2” อาคารพลเอกสำเภาชูศรี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แน่นขนัดไปด้วยนักศึกษา ทีมสร้างสรรค์จากหลายสาขา และเครือข่ายร้านอาหาร-โรงแรม 4 อำเภอนำร่อง เมืองเชียงราย, แม่สาย, เชียงแสน, เชียงของ ต่างตั้งใจมาดูว่าพลังของคลิปวิดีโอสั้นและงานเล่าเรื่อง (storytelling) จะเปลี่ยน “พฤติกรรมการกิน” ของผู้คนได้อย่างไร สภาพแวดล้อมของสถานที่จัดงานซึ่งเป็นหอประชุมหลักของมหาวิทยาลัยช่วยให้การบรรยาย การเสวนา และการสาธิตเกิดขึ้นไหลลื่นตลอดทั้งวัน

งานนี้เกิดขึ้นภายใต้ “โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และดำเนินงานโดยบริษัทประชารัฐรักสามัคคีเชียงราย (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ขับเคลื่อน “Chiang Rai Wellness City” ให้เป็นรูปธรรม ผ่านระบบอาหารปลอดภัยที่ตรวจสอบได้และยั่งยืน (ThaiHealth เป็นหน่วยงานรัฐลักษณะกองทุนสาธารณะที่สนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพในมิติต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง)

เวทีเสวนา จาก “อยู่ไม่เป็นสุข” สู่ “สามห่วงโซ่คล้องใจ”

ช่วงสายเปิดวงเสวนาในหัวข้อ “อาหารเพื่อสุขภาวะต่อการพัฒนาเชียงรายเมืองสุขภาพ” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนหน่วยงานหลัก ได้แก่ อาจารย์ ดร.สง่า ดามาพงษ์ (ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส.), นายกิตติ ทิศสกุล (ผู้จัดการโครงการฯ และประธาน บ.ประชารัฐรักสามัคคีเชียงราย), นายเสน่ห์ แสงคำ (เกษตรจังหวัดเชียงราย), นายวชิระ หน่อแหวน (นักสาธารณสุขชำนาญการ สสจ.เชียงราย) และอาจารย์ฐานปัทม์ ไชยชมภู (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)

แกนคิดของวงคือการแก้ “สามปัญหาหลัก” ที่ทำให้สังคม “อยู่ไม่เป็นสุข” ทางอาหาร  (1) ต้นน้ำ เกษตรกรยังใช้สารเคมีสูง, (2) กลางน้ำ ร้านอาหารยังปรุงไม่ชูสุขภาพ, (3) ปลายน้ำ ผู้บริโภคขาดความรอบรู้ ด้วย “สามห่วงโซ่คล้องใจ” ให้เชื่อมกันครบวงจร แหล่งผลิตปลอดภัย ครัว-ร้านปรุงดีต่อสุขภาพ ผู้บริโภคเลือกกินอย่างรู้เท่าทัน

ในวงเสวนา นายกิตติ ทิศสกุล อธิบาย “ยุทธศาสตร์เชิงสื่อสาร” ของโครงการว่า ใช้ “นักศึกษามหาวิทยาลัย” เป็นผู้สื่อสารลำดับแรก ผ่านคลิปสั้นที่เล่า “ที่มาของจานอาหารปลอดภัย” ตั้งแต่วัตถุดิบถึงครัว และขยายผลด้วยแพลตฟอร์ม “Give and Give” ในแนวเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) เพื่อเชื่อมเครือข่ายร้านอาหาร-โรงแรมกับเกษตรกรปลอดภัย ให้เกิดทั้งยอดขาย คะแนนสะสม สิทธิประโยชน์ และกองทุนสีเขียวกลับคืนสู่ชุมชน ผลลัพธ์คือ “วงจรแรงจูงใจ” ใหม่ที่ทำให้คนกิน-ร้าน-ชุมชนได้ประโยชน์พร้อมกัน (อ้างอิงข้อมูลตามถ้อยคำผู้จัดงานที่ให้ไว้)

ฝั่งภาคเกษตร นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย สะท้อนแนวทางลดสารเคมีด้วยการส่งเสริม “ปุ๋ยหมักชีวภาพจากเศษอาหาร/วัสดุเหลือใช้” และการให้ความรู้เรื่องโครงสร้างดิน ใช้ปุ๋ยอะไร เหมาะกับพืชใด ก่อนเชื่อมตลาดสีเขียวและตลาดหลัก เพื่อระบายผลผลิตล้นตลาดด้วยช่องทางที่โปร่งใส มีมาตรฐาน ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามภาครัฐระดับจังหวัดที่ผลักดัน “เมืองอาหารปลอดภัย” ผ่านหลายมาตรการตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

จุดต่างที่เป็น “นวัตกรรม” สื่อ + เมนูพื้นถิ่น + อาหารเป็นยา

“จุดขาย” ของ Hackathon นี้ไม่ได้อยู่ที่เทคนิคภาพหรือการตัดต่อเท่านั้น แต่คือ “การแปลงคุณค่าพื้นถิ่นให้เป็นภาษาคนรุ่นใหม่” เมนูท้องถิ่นล้านนาที่มีสมุนไพรและภูมิปัญญาชุมชนเดิมอยู่แล้ว ถูก “รีดีไซน์การเล่าเรื่อง” ให้ดึงดูดมากขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และสร้าง “แรงบันดาลใจให้ลอง”  โดยไม่ทิ้งอัตลักษณ์ของถิ่น สิ่งนี้สอดคล้องกับคำแนะนำของ WHO ที่เน้น “อาหารที่หลากหลาย สมดุล และปลอดภัย” เป็นฐานสุขภาวะ และสนับสนุนให้เกิดนโยบายและสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ปัญหา “เศษอาหาร/อาหารล้นตลาด” ซึ่งเป็นแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจระดับโลก ก็ถูกยกเป็นโจทย์ท้าทายให้ทีมพัฒนาคอนเซ็ปต์แพลตฟอร์มและบริการเพื่อ “อัพไซเคิล” วัตถุดิบส่วนเกิน สอดรับข้อเท็จจริงจาก FAO ว่าความสูญเสีย/สูญเปล่าของอาหารเกิดกระจายตลอดห่วงโซ่อุปทาน หากปิดรูรั่วตรงนี้ได้ เมืองสุขภาพย่อมเดินได้เร็วขึ้นและยั่งยืนกว่าเดิม

เวทีประกวด รางวัลและไอเดียที่ขับเคลื่อนจริง

ผลรางวัล Hackathon Project (6 รางวัล)

  • ชนะเลิศ (5,000 บาท + โล่) ทีม “หิวมาก” ผลงาน กาสะลอง @ ไร่พีบี วัลเล่ย์ เชียงราย | อาหารปลอดภัยที่ปลูกด้วยใจกลางขุนเขา
  • รองชนะเลิศอันดับ 1 (3,000 บาท + โล่) ทีม “ซวยแล้วหนู คู่หูพี่มาแล้ว” ผลงาน Malongder Healthy Lanna Cuisine
  • รองชนะเลิศอันดับ 2 (2,000 บาท + โล่) ทีม “Neet more rest time” ผลงาน Safe Food Cuisine Sathanee Nam Nueng
  • Popular Vote (5,000 บาท + โล่) ทีม “ST” ผลงาน Beyond Sky Café at Chiang Kong | Hackathon Healthy Food
  • ชมเชย (1,000 บาท + โล่) จำนวน 2 รางวัล
    • ทีม “Dynamic Duo” ผลงาน เมนูชูสุขภาพ ร้านเอกโอชา เชียงราย ยำตะไคร้กุ้งสด
    • ทีม “ติดบ้านไหม” ผลงาน ข้าวมันไก่ไหหลำ เชียงของ | 60 Years of Flavor in Chiang Khong

รางวัลนักสื่อสารโครงการ (รางวัลละ 1,500 บาท)

  • The Maximum Output Award (ปริมาณคอนเทนต์มากที่สุด) ทีม “ยาลือ”
  • The Public Influence Award (อิทธิพลสื่อสูงสุด ยอด Like/Comment/Share/Save) ทีม “ช่วยด้วย”
  • The Creative Excellence Award (ความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม) ทีม “หิวข้าว”

สาระสำคัญของผลงานชนะเลิศ คือการตีความ “อาหารปลอดภัย” ให้จับต้องได้ ในมุมมองของผู้บริโภครุ่นใหม่ เชื่อมฉากไร่กาแฟและแปลงผักบนภูเขาเข้ากับครัวร้านอาหารเมือง และลงท้ายด้วยคำชวน “ลองเปลี่ยนจานถัดไปของคุณให้ดีต่อสุขภาพและดีต่อชุมชน”  นี่คือพลังของสื่อที่ทำให้ “ทางเลือกที่ดี” กลายเป็น “ดีลที่ใช่” ในชีวิตประจำวัน

สาระจากผู้จัด “จากไอเดีย สู่ระบบนิเวศตลาดจริง”

นายกิตติ ทิศสกุล ผู้จัดการโครงการฯ อธิบายถึงกลไกตลาด “Give and Give” ในเชิงนโยบายว่า ตั้งใจให้เป็น แพลตฟอร์มสร้างแรงจูงใจสองทาง ผู้ประกอบการร้านอาหาร/โรงแรมซื้อวัตถุดิบปลอดภัยก็ได้ “คะแนน-ส่วนลด-สิทธิประโยชน์” กลับไป ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของมูลค่าการซื้อ ถูกกันไว้เป็น “กองทุนสีเขียว” เพื่อไปขับเคลื่อนกิจกรรมอาหารปลอดภัยในชุมชนต่อ พลิกโมเดล “ซื้อแล้วจบ” ให้เป็น “ซื้อแล้วหมุนต่อ” สู่การเปลี่ยนพฤติกรรมในวงกว้าง (ข้อความสรุปจากผู้จัดงานตามข้อมูลที่ผู้ใช้จัดเตรียม)

เมื่อถามถึงโจทย์ “ผลผลิตล้นตลาด/เศษอาหารเหลือทิ้ง” ผู้จัดโครงการย้ำแนวทาง แปรรูป-หมุนเวียน-กลับเข้าสู่ไร่นา ด้วยความรู้ทางดินและปุ๋ยหมัก รวมถึงการเปิด “พื้นที่ตลาดสีเขียว” ให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าแหล่งปลอดภัยได้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้สอดประสานกับคำแนะนำเชิงนโยบายเรื่องอาหารเพื่อสุขภาวะและพฤติกรรมสุขภาพที่ WHO ผลักดันในระดับโลก

ทำไม “เชียงราย” ต้องขับเคลื่อนประเด็นนี้ “ตอนนี้”

  1. ภาระโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และพฤติกรรมการบริโภค
    WHO ระบุชัดว่าพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมและการไม่มีกิจกรรมทางกายคือปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ NCDs โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็งบางชนิด การลงทุนด้าน “ระบบอาหารที่ดีและสื่อสารพฤติกรรมสุขภาพ” ให้เกิดขึ้นในระดับพื้นที่ จึงเป็น “คุ้มค่าที่สุด” เมื่อมองทั้งมุมสุขภาพและเศรษฐกิจระยะยาวของจังหวัด
  2. โอกาสทางเศรษฐกิจของอาหารปลอดภัยและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
    จังหวัดผลักดันภาพ “เมืองสุขภาพ Chiang Rai Wellness City” และ “เมืองอาหารปลอดภัย” ผ่านหลายความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ-เอกชนที่ต่อเนื่อง มิติ “อาหาร” เป็นประตูสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ล้านนา ข้อมูลด้านนโยบายสาธารณะและการรณรงค์เรื่องอาหารปลอดภัยในเชียงรายปรากฏต่อเนื่องในสื่อภาครัฐระดับจังหวัดตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อน “ฉันทามติ” ระดับท้องถิ่นให้เดินไปทิศทางนี้อย่างจริงจัง
  3. ลดสูญเสียอาหาร กำไรทั้งสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และกระเป๋าเงินชุมชน
    FAO ย้ำตัวเลขโลกที่ “ชวนคิด” อาหารราว 14% สูญเสียในซัพพลายเชน และอีกประมาณ 19% สูญเปล่าที่ด่านค้าปลีก-บริการอาหาร-ครัวเรือน การออกแบบแพลตฟอร์ม/บริการที่ “ดูดซับ-ยืดอายุ-แปรรูป-รีเทิร์น” อาหารส่วนเกินให้มีมูลค่า คือคานงัดที่เชื่อม “เป้าหมายสุขภาพ” เข้ากับ “เศรษฐกิจท้องถิ่นสีเขียว” อย่างจับต้องได้

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว และการบ้านหลังจบเวที

ระยะสั้น

  • เครือข่ายร้านอาหาร-โรงแรม 50+ แห่งมี “ต้นแบบคอนเทนต์” พร้อมใช้ ทั้งภาพลักษณ์แบรนด์ และข้อมูลที่ชี้ชวนผู้บริโภคเลือกเมนูสุขภาวะ
  • นักศึกษามี “ทักษะสื่อสารสาธารณะ” ฝั่งสุขภาพ-โภชนาการ ผ่านงานจริงกับผู้ประกอบการ
  • เกิด “บทสนทนาสาธารณะ” เรื่องอาหารปลอดภัยที่กว้างขึ้น จากเวทีสู่สื่อออนไลน์ของผู้เข้าแข่งขัน

ระยะกลาง

  • แพลตฟอร์ม “Give and Give” หากเดินหน้าต่อ จะทำให้ พฤติกรรมการจัดซื้อ ของผู้ประกอบการขยับไปหาวัตถุดิบปลอดภัยมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะมีแรงจูงใจเป็นแต้ม/ส่วนลด/สิทธิประโยชน์ และมี “กองทุนสีเขียว” เติมเชื้อเพลิงกิจกรรมสาธารณะกลับสู่ชุมชน
  • ตลาดสีเขียวกับช่องทางค้าปลีกหลักในพื้นที่ จะเป็น “วาล์วระบาย” ผลผลิตล้นตลาด พร้อมฐานข้อมูลสม่ำเสมอสำหรับวาง KPI เมืองสุขภาพ

ระยะยาว

  • หาก “การสื่อสาร” ต่อเนื่องควบคู่ “นโยบายเชิงสิ่งแวดล้อมเอื้อสุขภาพ” (health-promoting environments) ตามแนวทาง WHO เชียงรายจะเข้าใกล้เส้นชัย เมืองสุขภาพ มากขึ้น ทั้งในเชิงตัวชี้วัดสุขภาพประชากรและความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเมืองปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ

ข้อเสนอเชิงนโยบาย/ภาคปฏิบัติ (จากบทเรียนบนเวที)

  1. ตั้ง “ดัชนีอาหารปลอดภัยระดับอำเภอ”
    ชั่งน้ำหนัก 3 ด้าน (ก) สัดส่วนแหล่งผลิต/เกษตรกรที่ผ่านมาตรฐานลดสาร, (ข) สัดส่วนเมนูชูสุขภาวะในร้านเครือข่าย, (ค) อัตราการรับรู้/การเลือกของผู้บริโภค เผยแพร่รายไตรมาสเพื่อให้เกิดการแข่งขันเชิงบวกในพื้นที่
  2. ย้ำบทบาท “นักสื่อสารสุขภาวะ” เป็นโครงการต่อเนื่อง
    บ่มเพาะ cohort นักศึกษาและครูพี่เลี้ยงใหม่ทุกปี เพิ่ม “ธนาคารสคริปต์/ชุดภาพ” กลางให้ร้าน-โรงแรมใช้ได้ฟรีภายใต้เงื่อนไขอ้างอิงแหล่งวัตถุดิบปลอดภัย
  3. ขยาย “Give and Give” สู่ระบบแต้มร่วม (federated points)
    เชื่อมกับตลาดสีเขียว/ตลาดชุมชน เพื่อให้แต้มใช้ได้หลายที่ เพิ่มแรงจูงใจทั้งฝั่งผู้ประกอบการและผู้บริโภค พร้อมระบบเก็บข้อมูล (data lake) เพื่อนำไปวิเคราะห์รูปแบบการบริโภคและวางแคมเปญเชิงพฤติกรรม
  4. ยกระดับงาน “ลดเศษอาหาร” เป็นแชมเปี้ยนของเมือง
    ตั้งโจทย์ Hackathon รุ่นต่อไปให้เน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์/บริการอัพไซเคิลวัตถุดิบส่วนเกิน, การคาดการณ์อุปสงค์ด้วยข้อมูล (demand prediction), และการคืนคุณค่าเศษอาหารสู่ไร่เป็นปุ๋ยชีวภาพ โดยตั้งเป้าตัวชี้วัดสาธารณะให้ชัดเจน (เช่น ลดอาหารสูญเปล่าในเครือข่าย x%) ให้เชื่อมโยงตัวเลข FAO เพื่อการติดตามผลที่เทียบได้มาตรฐานสากล

มุม “คนอ่านใช้ประโยชน์ได้ทันที”

  • หากเป็นผู้ประกอบการร้านอาหาร/โรงแรม เริ่มจาก “เมนูนำร่อง” 1–2 รายการที่ชูสุขภาวะและเล่า “ที่มา” ของวัตถุดิบ เชื่อมกับคอนเทนต์ทีมมหาวิทยาลัยที่ผลิตไว้ แล้วโยงเข้าระบบแต้มของแพลตฟอร์ม
  • หากเป็นผู้บริโภค ลอง “1 มื้อเพื่อชุมชน” ต่อสัปดาห์ เลือกเมนูจากร้านเครือข่ายอาหารปลอดภัย/ตลาดสีเขียว และแชร์เรื่องราวจานนั้นบนโซเชียล เพื่อขยายอิทธิพลสาธารณะเชิงบวก
  • หากเป็นภาครัฐท้องถิ่น ประกาศ Roadmap เมืองสุขภาพ ที่ผูกตัวชี้วัดด้านอาหารปลอดภัยกับนโยบายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และรายงานผลทุกไตรมาสอย่างโปร่งใส

จาก “เวทีหนึ่งวัน” สู่ “ระบบนิเวศความร่วมมือ”

Hackathon ครั้งนี้พิสูจน์ว่าการขับเคลื่อนเมืองสุขภาพเริ่มได้จาก “คลิปสั้น ความคิดยาว” เมื่อการเล่าเรื่องอาหารพื้นถิ่นถูกจับคู่กับระบบตลาดแบบมีแรงจูงใจ และเสริมหลังบ้านด้วยองค์ความรู้เกษตรปลอดภัย เมืองก็จะได้ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และความยั่งยืนในคราวเดียว สิ่งที่เชียงรายกำลังทำ จึงไม่ใช่แค่การประกวดสื่อ หากคือการวางรากฐาน “ระบบอาหารเพื่อสุขภาวะ” ที่คนทั้งเมืองมีส่วนร่วม ตั้งแต่ไร่ไปถึงจาน และจากจานกลับสู่ชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
    เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO
  • FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations)
  • สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย (กรมประชาสัมพันธ์)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เปิดตัว “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” 15 เมตร สานภูมิปัญญา 4 ชนเผ่า ตอกย้ำ UNESCO City of Design

เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ผลงานชิ้นเอกแห่งภูมิปัญญาล้านนาและการออกแบบระดับ UNESCO

เชียงราย,11 พฤศจิกายน 2568ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาสูง 15 เมตร ถักทอด้วยภูมิปัญญา 4 ชนเผ่า สืบสานพระปณิธานพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตอกย้ำสถานะ “City of Design” จังหวัดเชียงราย ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย บรรยากาศของการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในครั้งนี้มิได้เป็นเพียงงานรื่นเริงตามปกติธรรมดา แต่กลายเป็นเวทีแสดงศักยภาพด้านการออกแบบของจังหวัดเชียงรายในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ (City of Design)” ของ UNESCO อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านงานศิลปะชิ้นเอกที่ชื่อว่า “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” ซึ่งเป็นต้นคริสต์มาสไม้ไผ่สานสูงกว่า 15 เมตร ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ของชนเผ่าบนยอดดอยถึง 4 กลุ่มชาติพันธุ์

ซึ่งกำหนด 26 พฤศจิกายน 2568 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จะถูกประดับด้วยแสงไฟนับพันดวงจะส่องประกายขึ้นพร้อมกัน เวลาสร้างสรรค์ยาวนานหลายเดือน ในงานจะมีพิธีเปิดไฟอย่างยิ่งใหญ่ คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นจำนวนมากในช่วงไฮซีซั่นของจังหวัดเชียงราย

รากฐานของความสำเร็จ พระปณิธานที่ยั่งยืน

การจัดงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง” ในครั้งนี้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน แต่ปีนี้มีความพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาดอยตุง) กับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งจังหวัดเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 เพื่อสืบสานพระปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ดำเนินโครงการพัฒนาดอยตุงมาเป็นเวลากว่า 36 ปี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนชนเผ่าบนพื้นที่สูงให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการพัฒนาดอยตุงได้รับการยกย่องในระดับสากลว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะหลักการ “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่แก้ไขปัญหาความยากจนควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2556 สมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้รับรอง “แนวปฏิบัติสากลว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (United Nations Guiding Principles on Alternative Development)” ซึ่งมีรากฐานมาจากประสบการณ์ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ

ผลงานชิ้นเอก ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา

ภายใต้แนวคิด “The Magic of Chiang Rai” ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์โดยทีมงานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งสูงกว่า 15 เมตร โดยมีต้นคริสต์มาสขนาดเล็กอีก 6 ต้นล้อมรอบ สะท้อนถึงภูเขาหมอกแห่งดอยตุงและความหลากหลายของชนเผ่าในพื้นที่

สิ่งที่ทำให้ผลงานนี้โดดเด่นคือการประดับตกแต่งด้วยงานหัตถศิลป์จาก 4 ชนเผ่าหลักของเชียงราย ได้แก่ ชาวอาข่า ชาวลาหู่ ชาวลัวะ (ละว้า) และชาวไทใหญ่ โดยแต่ละลวดลายมีความหมายและเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ชาวอาข่า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีงานปักและลูกปัดที่ประดับตกแต่งอย่างประณีต สื่อถึงความอ่อนโยนและความขยันอดทนของสตรีชนเผ่า ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าสู่ลูกหลาน ลวดลายของชาวอาข่ามักใช้ลูกปัดและงานปักที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสะท้อนถึงความศรัทธาและความงดงามของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม

ชาวลาหู่ โดดเด่นด้วยลวดลายเรขาคณิตและการใช้สีตัดกันอย่างมีชีวิตชีวา สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับพลังงานของธรรมชาติและวิถีการดำรงชีวิต ผ้าทอของชาวลาหู่มีลักษณะที่โดดเด่นด้วยลวดลายที่สื่อถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ชาวลัวะ (ละว้า) มีเอกลักษณ์ในการทอที่เน้นความเรียบง่ายแต่แข็งแรง ใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้จากท้องถิ่น สื่อถึงความผูกพันกับผืนป่าและรากเหง้าของบรรพบุรุษ การทอผ้ามีความหนาแน่น ใช้เทคนิคมัดหมี่หรือมัดก่าน ลวดลายมีความเป็นเอกลักษณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่อากาศเย็น

ชาวไทใหญ่ นำเสนอลวดลายที่หลากหลายและซับซ้อน มักได้รับอิทธิพลจากลายน้ำไหลและดอกไม้บนดอยตุง สื่อถึงความอ่อนช้อยของวัฒนธรรมล้านนา การทอมีเทคนิคที่หลากหลาย เช่น ซิ่นลายน้ำไหล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมล้านนาในพื้นที่ราบ แต่ถูกปรับให้เข้ากับวัสดุและฝีมือของดอยตุง

การผสมผสานงานหัตถศิลป์จาก 4 ชนเผ่านี้บนโครงสร้างไม้ไผ่สาน ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความสามัคคี แต่ยังแสดงถึงการใช้วัสดุจากท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ตามแนวทางที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้บุกเบิกมาอย่างยาวนาน

ยอดของต้นคริสต์มาสถูกประดับด้วยริบบิ้นสีทอง เป็นสัญลักษณ์แทนความจงรักภักดีและการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขา

จาก Local สู่ Global ตอกย้ำ City of Design

ความสำคัญของต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้อยู่แค่ความงดงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็น “ต้นแบบ (Prototype)” สำหรับการสร้างสรรค์ต้นคริสต์มาสอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ นี่คือการตอกย้ำอย่างเป็นรูปธรรมถึงการเป็น City of Design ของเชียงราย ที่ไม่ได้มีเพียงแค่งานศิลปะบริสุทธิ์ แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและความภาคภูมิใจให้กับชุมชนชนเผ่าอย่างยั่งยืน

การที่จังหวัดเชียงรายได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ในสาขาการออกแบบ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 นั้น เป็นผลมาจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวในช่วงที่เชียงรายได้รับการรับรองว่า เมืองสร้างสรรค์ทั้ง 55 เมืองที่ได้รับการยอมรับจาก UNESCO นั้น เป็นเมืองที่กำลังเป็นผู้นำในการเพิ่มการเข้าถึงวัฒนธรรมและกระตุ้นพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

การส่งต่อ “ซอฟต์พาวเวอร์งานคราฟต์มาสเตอร์พีซ” จากดอยตุงสู่เวทีระดับประเทศ ทำให้เชียงรายเป็น “เดสติเนชันสำคัญของโลก” ในช่วงไฮซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสเสน่ห์แห่งอัตลักษณ์ล้านนาอย่างแท้จริง

ธุรกิจเพื่อสังคม สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดำเนินงานภายใต้ปรัชญาที่ว่า “อะไรที่ชาวบ้านถนัดและทำได้ดีอยู่แล้ว ก็ไปเสริมให้ดียิ่งขึ้น” จึงมุ่งผนวกภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการทำธุรกิจแบบสากล โดยได้ว่าจ้างนักออกแบบมาทำงานร่วมกับคนในท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีเอกลักษณ์ ได้คุณภาพตามมาตรฐาน และเป็นที่ต้องการของตลาดสากล

ผลงานที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่สวยงาม แต่ยังเป็นการสร้างงานและรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนชนเผ่า ทำให้พวกเขาไม่ต้องพึ่งพาการปลูกฝิ่นหรือทำลายป่าอีกต่อไป

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยกล่าวว่า “วันนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงทำงานต่างจากในอดีต เราไม่ได้เพียงแค่เข้าไปในพื้นที่และสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่เราทำสิ่งต่างๆด้วยการมีความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆเป็นลักษณะ Engagement เพิ่มมากขึ้น เราอยากมีเพื่อนที่เดินไปบนเส้นทางนี้มากขึ้น”

ในปี พ.ศ. 2557 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัลนิเคอิเอเชียจากหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวนิเคอิของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะองค์กรยอดเยี่ยมของเอเชียด้านการพัฒนาชุมชนและวัฒนธรรม สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากลของผลงานที่เกิดจากพระปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว เชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก

จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือ ตามสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี พ.ศ. 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6,193,932 คน คิดเป็นร้อยละ 24 ของนักท่องเที่ยวทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวรวม 25,783,263 คน โดยเชียงรายครองอันดับที่ 2 รองจากจังหวัดเชียงใหม่

การจัดงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ในช่วงไฮซีซั่น คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมเดินทางมาท่องเที่ยวภาคเหนือเพื่อชมทะเลหมอกและสัมผัสอากาศหนาว

งานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาชมความงดงามของต้นคริสต์มาสหมอกพันวาเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชนเผ่าบนพื้นที่สูง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2568 โดยมุ่งเป้าสู่การผลักดัน “ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” ผ่านแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ซึ่งเชียงรายในฐานะ UNESCO City of Design ถือเป็นจุดขายสำคัญที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และความสามารถในการสร้างสรรค์ของไทย

ความร่วมมือที่ขับเคลื่อนความสำเร็จ

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ประสบความสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น การที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เปิดพื้นที่ให้จัดงานและสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาคเอกชนในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ร่วมกับการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ได้ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่ดูแลให้งานสอดคล้องกับนโยบายด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและเทศบาลนครเชียงรายให้การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวก ในขณะที่จังหวัดเชียงรายทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือแบบบูรณาการนี้สะท้อนถึงความตระหนักร่วมกันว่า การพัฒนาท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย การที่ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาได้รับการพัฒนาเป็นต้นแบบให้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถถูกยกระดับและขยายผลไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้นได้

การเป็น UNESCO City of Design ของเชียงรายไม่ใช่เพียงแค่ตราสัญลักษณ์ แต่เป็นความรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมการออกแบบที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม

ในอนาคต จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน โดยใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรมล้านนา ภูมิปัญญาชนเผ่า และความหลากหลายทางชีวภาพ ผสมผสานกับนวัตกรรมและการออกแบบร่วมสมัย

เสียงจากผู้เกี่ยวข้อง มุมมองที่หลากหลาย

แม้ว่าข้อมูลที่นำเสนอจะไม่มีคำกล่าวโดยตรงจากผู้บริหารในงานครั้งนี้ แต่จากการศึกษาผลงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการพัฒนาดอยตุงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการทำงานที่ชัดเจน

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เคยกล่าวถึงหลักการทำงานว่า “เราต้องการให้ชาวบ้านมีทางเลือกในการดำรงชีวิต ไม่ใช่บอกว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นการสร้างทางเลือกที่ดีกว่า ที่ให้รายได้มากกว่า และยั่งยืนกว่า”

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงแนวทางการทำงานของมูลนิธิที่เน้นการเสริมพลังให้กับชุมชน ไม่ใช่การเข้าไปแก้ปัญหาแบบชั่วคราว แต่เป็นการสร้างศักยภาพให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว สำหรับชาวบ้านในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง ผลงานเช่นต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่ชื่นชม แต่เป็นตัวแทนของความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของตนเอง เป็นการพิสูจน์ว่างานหัตถกรรมที่พวกเขาทำมาตลอดชีวิตนั้นมีคุณค่าและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจ

โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โครงการได้ช่วยเหลือครัวเรือนในพื้นที่กว่า 11,284 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรประมาณ 50,000 คน ครอบคลุมพื้นที่ 150 หมู่บ้าน ใน 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย

รายได้ของครัวเรือนในโครงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปลูกข้าวโพดและพืชเชิงเดียวที่ให้รายได้น้อยและไม่แน่นอน เปลี่ยนมาเป็นการทำงานหัตถกรรม การปลูกกาแฟอาราบิก้า การปลูกมะคาเดเมีย และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งให้รายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่า ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการได้ช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้กว่า 7,165 ไร่ ทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมกลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง แหล่งน้ำที่เคยแห้งขอดกลับมามีน้ำไหลตลอดปี และความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมา

ในด้านสังคม โครงการได้ช่วยลดปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ จากการที่ชุมชนมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นหรือค้ายาเสพติด เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น และชุมชนมีความเข้มแข็งในการพึ่งพาตนเอง

ความท้าทายและโอกาส

แม้ว่าผลงานจะได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ การรักษามาตรฐานคุณภาพของงานหัตถกรรมในขณะที่ต้องเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเป็นเรื่องที่ต้องสมดุล การถ่ายทอดทักษะและภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่ที่อาจมีความสนใจในอาชีพอื่นๆ มากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ก็เป็นโอกาสในการพัฒนา การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการออกแบบ การจัดการผลิต และการตลาด สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น การสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงและการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ การเป็น UNESCO City of Design ช่วยเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเมืองสร้างสรรค์อื่นๆ ทั่วโลก เชียงรายสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของเมืองอื่นๆ ในเครือข่าย และนำความรู้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

บทเรียนสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน

ความสำเร็จของโครงการพัฒนาดอยตุงและการจัดงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ให้บทเรียนสำคัญหลายประการ

  • การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการเข้าใจบริบทของชุมชนและเคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ใช่การนำเอารูปแบบการพัฒนาที่สำเร็จที่อื่นมาใช้โดยไม่ปรับเปลี่ยน
  • การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องทำอย่างสมดุล ไม่ให้เกิดการแสวงหาผลกำไรจนลืมคุณค่าทางวัฒนธรรม และไม่ยึดติดกับการอนุรักษ์จนชุมชนไม่สามารถพัฒนาได้
  • ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่มีหน่วยงานใดที่สามารถทำงานสำเร็จได้ด้วยตัวเอง การสร้างเครือข่ายและพันธมิตรที่เข้มแข็งช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
  • การพัฒนาต้องให้ชุมชนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ไม่ใช่การพัฒนาให้ชุมชน แต่เป็นการพัฒนากับชุมชน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจ
  • การใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสามารถสร้างผลกระทบที่กว้างไกล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มากกว่าการพัฒนาแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

เชิญชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์

ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกท่านสามารถเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้ได้ด้วยการเดินทางมาชมผลงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” และงานศิลปะอื่นๆ ในงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ซึ่งจัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

พิธีเปิดไฟครั้งยิ่งใหญ่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก “แก้ม วิชญาณี” ศิลปินเสียงทรงพลังที่จะมาสร้างสีสันให้กับงาน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลากหลายตลอดช่วงเทศกาล รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนจากโครงการพัฒนาดอยตุงที่ผู้เข้าชมสามารถสนับสนุนชุมชนได้โดยตรง

การเดินทางมาชมงานไม่เพียงแต่เป็นการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม และการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

มองไปข้างหน้า อนาคตของเชียงรายและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในระดับสากล ในอนาคต คาดว่าจะมีโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น

จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการออกแบบและหัตถกรรมร่วมสมัย โดยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ การจัดเวิร์กช็อป และการแลกเปลี่ยนความรู้กับนักออกแบบและศิลปินจากทั่วโลก การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด เช่น วัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำ โครงการพัฒนาดอยตุง และชุมชนหัตถกรรม จะช่วยกระจายรายได้และสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งและมีคุณค่า

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การสร้าง Virtual Tour การใช้ Augmented Reality เพื่อเล่าเรื่องราวของงานศิลปะและวัฒนธรรม และการสร้าง Platform สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์ จะช่วยขยายการเข้าถึงและสร้างโอกาสใหม่ๆ

ที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เชียงรายต้องพัฒนาในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของตนเอง แต่ใช้จุดแข็งเหล่านี้เป็นฐานในการสร้างความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” และผลงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” เป็นมากกว่างานศิลปะหรือการจัดเทศกาล เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังเกี่ยวกับคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน และศักยภาพของการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก

จากต้นไม้ไผ่สานสูง 15 เมตรที่ตั้งอยู่หน้าศูนย์การค้า เราเห็นเรื่องราวของการสืบสานพระปณิธาน เห็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ถูกถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน เห็นความพยายามของชุมชนในการพัฒนาตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เห็นความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม และเห็นอนาคตของการท่องเที่ยวและการพัฒนาที่คำนึงถึงคน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

นี่คือ “The Magic of Chiang Rai” ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความงดงามที่มองเห็นได้ แต่เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับชุมชนและสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาดอยตุง)
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม – ข้อมูลการรับรอง UNESCO City of Design (2566)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – สถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย (2567)
  • สหประชาชาติ – United Nations Guiding Principles on Alternative Development (2556)
  • central pattana
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว.-TSEA ลุย! 3 แพลตฟอร์มวิจัยสู้ภัยพิบัติ วางแผนที่เสี่ยง-ระบบเตือนภัยน้ำ-แผ่นดินไหว

เชียงรายจับมือ สกสว.เดินหน้าโมเดล “เมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” บูรณาการวิจัย-นโยบาย-ท้องถิ่น รับมือน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-สารพิษ

หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 รุนแรงสุดในรอบ 30 ปี เชียงรายเปิดเวทีบูรณาการหน่วยงานวิจัย-ภาครัฐ-ท้องถิ่น พัฒนา 3 แพลตฟอร์มรับมือภัยพิบัติ ครอบคลุมน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-ความปลอดภัยอาหารน้ำ มุ่งสู่ “Disaster Resilient City” ด้วยฐานข้อมูลดิจิทัล-แผนที่เสี่ยงภัย-ระบบเตือนภัยทันสมัย

 

เชียงราย, 9 พฤศจิกายน 2568 – เชียงรายประกาศ “โมเดลเมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” จับมือ สกสว.–นักวิจัย–ท้องถิ่น เร่งทำฐานข้อมูล–ยกระดับโครงสร้างอาคาร–พัฒนาแพลตฟอร์มเตือนภัย ครอบคลุมน้ำท่วม–แผ่นดินไหว–ความปลอดภัยอาหารน้ำ บนเวทีการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงของทุกภาคส่วน เมื่อผู้บริหารระดับสูง นักวิจัย วิศวกร และผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่นกว่า 50 คน มาร่วมกันถอดบทเรียนและวางแผนรับมือภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซากในพื้นที่ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2567 ที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี

“วันนี้เราไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ แต่เป็นจังหวะ ‘กระชับ’ งานให้ลงสู่หน้างานจริง ตั้งแต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไปจนถึงปัญหาสารพิษในแม่น้ำ” ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเปิดเวทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สะท้อนโจทย์ใหญ่ที่เชียงรายกำลังเผชิญ และชี้ชัดว่าคำตอบคือการ “เชื่อมองค์ความรู้กับการปฏิบัติ” ให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ของประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

เมื่อภัยพิบัติกลายเป็น “ปกติใหม่” ของเชียงราย

ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ประชาชนชาวเชียงรายต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในรอบสามทศวรรษ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อธิบายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่ทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และโครงสร้างอาคารบ้านเรือนอย่างมหาศาล

แต่น้ำท่วมไม่ใช่ภัยเพียงอย่างเดียวที่เชียงรายต้องเผชิญ จังหวัดแห่งนี้ยังเป็น “พื้นที่เสี่ยง” ต่อแผ่นดินไหวตามแนวรอยเลื่อนภาคเหนือ โดยเฉพาะความทรงจำอันเจ็บปวดจากแผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 ซึ่งเป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสารพิษในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำอิง ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารจากน้ำและสุขภาพของประชาชน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เชียงรายต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ซับซ้อนและซ้ำซ้อน จนกลายเป็น “ปกติใหม่” ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างจริงจัง

“ปรากฏการณ์ลานีญาที่หวนกลับตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ทำให้ฝนแปรปรวนและตกหนักในบางช่วงเกินฐานเฉลี่ย เพิ่มความเสี่ยงต่ออุทกภัยเฉียบพลัน ตามการประเมินแนวโน้มขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก” นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเสริม เน้นย้ำว่าการเตรียมพร้อมไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน

3 แพลตฟอร์ม – หนึ่งเป้าหมาย ทำให้วิจัยใช้ได้จริง

เวทีวันนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน นำโดยจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) สกสว. สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายวิศวกรในพื้นที่ ร่วมกันวางรากฐานสำคัญเพื่อยกระดับเชียงรายสู่ “Disaster Resilient City” หรือเมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ

ศ.ดร.สมปอง อธิบายกรอบการทำงานอย่างชัดเจนว่า ความร่วมมือนี้เดินบน 3 แพลตฟอร์มพร้อมกัน ได้แก่

แพลตฟอร์มที่ 1 แก้ปัญหาและป้องกันน้ำท่วม – ตั้งแต่การสำรวจฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้างระดับอาคาร การทำแผนที่ความเสี่ยงและแผนที่ความเสียหาย ไปจนถึงออกแบบมาตรการซ่อม เสริม และกันน้ำแบบยึดโยงแผนที่จริง

แพลตฟอร์มที่ 2 ยกระดับองค์ความรู้และความพร้อมด้านแผ่นดินไหว – นำบทเรียนจากแผ่นดินไหวแม่ลาว 2557 มาปรับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายวิศวกรท้องถิ่นและระบบตรวจวัด-แจ้งเตือน

แพลตฟอร์มที่ 3 นิเวศข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในแหล่งน้ำ – โดยเฉพาะแม่น้ำโขง กก อิง และแหล่งน้ำสาขา สกสว.ผลักดันต้นแบบแพลตฟอร์มข้อมูลปลาและความปลอดภัยจากการบริโภค ที่ผนวกข้อมูลจากกรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และห่วงโซ่ซื้อขาย เพื่อให้ผู้บริโภค ผู้ค้า และท้องถิ่นใช้ได้จริง

“บทบาทของ สกสว. คือ ‘โซ่ข้อกลาง’ ระหว่างนโยบายระดับประเทศ หน่วยจัดสรรทุน นักวิจัย และหน้างานของจังหวัด เป้าหมายคือส่งองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปอยู่ในมือคนทำงานท้องถิ่นให้เร็วที่สุด” ศ.ดร.สมปอง กล่าวย้ำ โดยเน้นว่างานวิจัยต้อง “ใช้งานได้จริง” ตั้งแต่ต้นทาง (ข้อมูล) กลางทาง (แบบและมาตรการ) จนปลายทาง (งบประมาณ-สื่อสารสาธารณะ-การมีส่วนร่วม)

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นักวิศวกรอาสานับร้อย ลงพื้นที่สร้างฐานข้อมูลดิจิทัล

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสร้างฐานข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุม ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่าโครงการนี้ได้ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจความเสียหายอย่างเป็นระบบ

“เราเอาเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาช่วย เก็บฐานข้อมูลให้ครบและแม่นยำ เพื่อรองรับการฟื้นฟู ออกแบบการป้องกันในอนาคต และจัดลำดับพื้นที่ที่ต้องซ่อม เสริม และกันน้ำแบบเร่งด่วน” ศ.ดร.อมร อธิบาย

ผลที่ได้ไม่ใช่เพียงรายการ “ซ่อมอะไร ที่ไหน” แต่คือแผนที่ดิจิทัล 2 ชั้น ได้แก่ แผนที่ความเสียหาย (Damage Map) ที่ลงลึกถึงระดับอาคารสาธารณะและชุมชนวิกฤต และ แผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ที่ประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของเหตุการณ์ในอนาคต

เมื่อนำแผนที่ทั้งสองมาซ้อนเข้ากับข้อมูลน้ำฝน การระบายน้ำ การใช้ที่ดิน ร่องน้ำธรรมชาติ และโครงสร้างชลศาสตร์ที่มีอยู่ จะสามารถ “วางคิวงาน” ที่ตอบโจทย์ทั้งผลกระทบและความคุ้มค่า เช่น จุดไหนต้องเสริมกันน้ำ จุดไหนต้องเพิ่มช่องทางระบายน้ำ หรือจุดไหนคุ้มที่จะย้ายวิถี ย้ายของ หรือย้ายจุดสาธารณะมากกว่าทุ่มงบโครงสร้างหนัก

“เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว” ศ.ดร.อมร กล่าวเสริม

ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ท้องถิ่นพร้อม ศูนย์บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เผยว่าการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่มีความพร้อมสูง ภายใต้นโยบาย “7 เรือธง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจังหวัดเชียงราย” โดยเฉพาะนโยบายที่ 4 คือ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)

ศูนย์นี้ออกแบบให้สามารถสังเกตการณ์ ประสาน สั่งการ ซ่อมแซม และสื่อสารได้ในที่เดียว โดยยึดหลัก “ข้อมูลจริง หน้างานจริง ตัดสินใจเร็ว” เพื่อปิดรอยรั่วระหว่างหน่วยงานและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ

“เครื่องยนต์ของท้องถิ่นคือศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ที่ช่วยให้เราดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตรงจุด” นายกอทิตาธร กล่าว

แพลตฟอร์มข้อมูลปลาปลอดภัย นวัตกรรมปกป้องสุขภาพประชาชน

แพลตฟอร์มที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือระบบข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในห่วงโซ่อาหารจากปลา โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง กก และอิง ซึ่งจะผนวกข้อมูลหลายกระทรวง ได้แก่ กรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และข้อมูลการซื้อขาย เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระดับชนิด แหล่ง และช่วงเวลา พร้อมคำแนะนำที่เข้าใจง่าย

“ถ้าเป็นสารปนเปื้อนบางชนิดพฤติกรรมแตกต่างกัน อยู่ในน้ำอาจยังไม่เป็นพิษ แต่สะสมในเนื้อปลาแล้วเป็นอันตราย เราต้องแปลงองค์ความรู้แบบนี้ให้เป็นคำเตือนและคำแนะนำที่ใช้ได้จริงในมือถือประชาชน” ศ.ดร.สมปอง อธิบายถึงความสำคัญของระบบนี้

ตัวอย่างเช่น สารตะกั่ว (Lead) เมื่ออยู่ในปลาสามารถกรองออกได้ แต่ปรอท (Mercury) กลับอยู่ในน้ำไม่เป็นพิษ แต่พอสะสมในตัวปลากลับอันตรายมาก ความรู้เช่นนี้จะถูกนำเสนอผ่านแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย

ต้นแบบแพลตฟอร์มดังกล่าวตั้งเป้าเปิดใช้สาธารณะภายใต้หลักข้อมูลถูกต้อง ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงไซเบอร์ โดยจะเชื่อมต่อกับช่องทางสื่อสารของจังหวัด อบจ. และสาธารณสุข เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางและผู้ค้าได้จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

เงิน เวลา ความเชื่อใจ สามเสาหลักของความสำเร็จ

การขับเคลื่อนโครงการขนาดนี้ต้องการสามเสาหลักที่เดินคู่กัน

เสาที่ 1 เงิน – งบฉุกเฉินเพื่อบรรเทาทันที เช่น กรอบช่วยเหลือดำรงชีพ 9,000 บาทต่อครัวเรือน โอนผ่านพร้อมเพย์ธนาคารออมสิน ตามแนวทางของคณะรัฐมนตรีและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อให้เงินถึงมือได้รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และงบลงทุนสำหรับซ่อม เสริม กันน้ำ และเสริมกำลังอาคารที่มีหลักฐานข้อมูลรองรับ

เสาที่ 2 เวลา – กำหนดไทม์ไลน์ชัดเจนตั้งแต่สำรวจ ออกแบบ จัดซื้อ ก่อสร้าง ทดสอบ จนส่งมอบ พร้อมตัวชี้วัด เช่น จำนวนอาคารที่ผ่านการเสริมกำลัง ความสามารถระบายน้ำที่เพิ่มขึ้น และเวลาตอบสนองเหตุ

เสาที่ 3 ความเชื่อใจ – โปร่งใส ตรวจสอบได้ เปิดเผยแผนที่ รายการงาน งบประมาณ และสถานะคืบหน้าแบบที่ประชาชนติดตามได้ตลอดเวลา

จากการสำรวจในพื้นที่ พบว่ามีโครงการแก้ไขปัญหาที่รอการดำเนินการประมาณ 67 โครงการ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยจะมีการจัดลำดับความสำคัญตามความเร่งด่วนและผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เชื่อมแผนท้องถิ่นกับแผนน้ำประเทศ

ทุกมาตรการในพื้นที่ต้องเชื่อมโยงเข้ากับแผนภาพใหญ่ของประเทศ ภายใต้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และบทบาทศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติในภาวะวิกฤต ภายใต้กรอบ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ที่เชื่อมแผนงาน 20 กระทรวงและหลายพันโครงการเข้าด้วยกัน

การที่เชียงรายสร้างแผนที่เสี่ยง แผนที่ความเสียหาย และรายการโครงการฟื้นฟูตามลำดับเร่งด่วน คือ “ภาษากลาง” ที่ทำให้งานวิจัย ข้อเสนอเชิงวิศวกรรม และข้อเท็จจริงงบประมาณคุยกับ สทนช. และหน่วยส่วนกลางได้อย่างมีเอกสารและตัวชี้วัดรองรับ

จากบทเรียนแม่ลาวสู่มาตรฐานความปลอดภัยรุ่นใหม่

แผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายกว้างขวาง เป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย และกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญต่อการออกแบบมาตรการเสริมความมั่นคงอาคารในภูมิภาคเหนือจนถึงปัจจุบัน

บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนากฎ แบบ และวิธีการที่รัดกุมขึ้น ทั้งด้านการออกแบบโครงสร้าง การตรวจสอบอาคาร และการเตรียมพร้อมชุมชน ซึ่งเอกสารวิชาการหลากชิ้นได้สรุปผลการสั่นไหว ความเสียหาย และข้อเสนอเพื่อยกระดับมาตรฐานสำหรับอาคารไทยในพื้นที่เสี่ยง

ในเชียงรายวันนี้ งานของ TSEA และเครือข่ายวิศวกรจังหวัดกำลังรวบรวม สำรวจ และประเมินโครงสร้างสำคัญ เพื่อจัดลำดับการเสริมกำลัง (retrofitting) ตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารราชการ สะพานชุมชน ไปจนถึงโครงสร้างสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยมุ่งเก็บฐานข้อมูลเชิงลึกระดับอาคาร เพื่อใช้ในการขอ จัดสรร และติดตามงบประมาณอย่างมีเป้าหมาย

วิธีทำงาน ซ่อมด่วน-เสริมระบบ-ยกระดับมาตรฐาน

จากรายการโครงการที่ทีมวิศวกร หน่วยงานจังหวัด และ อบจ. ร่วมกันสำรวจและคัดกรอง สามารถสรุปกรอบปฏิบัติการเป็น 3 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 ซ่อมด่วน (Immediate Fix) – จุดตัดน้ำ จุดท่วมซ้ำ จุดเสี่ยงพังทลายที่ต้องซ่อม กัน และเสริมทันที เพื่อให้โรงเรียน สถานพยาบาล และเส้นทางอพยพใช้งานได้ปลอดภัยในฤดูเสี่ยง

ระดับที่ 2 เสริมระบบ (System Upgrade) – เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ (คลอง ท่อ บ่อบำบัด) ทำโครงสร้างหน่วงน้ำ ปรับโซนนิ่งการใช้งานพื้นที่ ช่วยลดความเสี่ยงซ้ำซ้อน

ระดับที่ 3 ยกระดับมาตรฐาน (Code & Capacity) – ปรับมาตรฐานการออกแบบ ตรวจสอบ และซ่อมบำรุงอาคารในเขตเสี่ยงแผ่นดินไหว และสร้างเครือข่ายวิศวกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน บริหารจัดการแผนที่ อุปกรณ์ และการซ้อมแผนได้เองระยะยาว

“เป้าหมายสุดท้ายของเราคือให้ความสูญเสียจากน้ำ แผ่นดินไหว และสารพิษลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และให้ชาวเชียงราย ‘มั่นใจ’ ว่าเมืองของเขามีระบบพร้อมรับมือ” ศ.ดร.สมปอง กล่าวสรุปวิสัยทัศน์ของโครงการ

ตัวเลขที่ชวนคิด

การดำเนินงานครั้งนี้มีตัวเลขสำคัญที่สะท้อนความจริงจังและขนาดของปัญหา

  • 9,000 บาทต่อครัวเรือน – กรอบช่วยเหลือดำรงชีพกรณีภัยพิบัติ โอนผ่านธนาคารออมสินและพร้อมเพย์ ตามแนวทางของรัฐบาลและ ปภ. เพื่อเพิ่มความเร็ว ความโปร่งใส และความตรวจสอบได้
  • Mw 6.1-6.3 – ขนาดแผ่นดินไหวแม่ลาวปี 2557 เหตุการณ์ตัวแบบที่ทำให้ไทยเร่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารในภาคเหนือ
  • 67 โครงการ – จำนวนโครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่รวบรวมได้จากการสำรวจ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท
  • 30 ปี – ช่วงเวลาที่น้ำท่วมปี 2567 เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในเชียงราย สะท้อนความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ปรากฏการณ์ลานีญา – ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่มโอกาสฝนมากกว่าปกติในบางภาค ชี้ความจำเป็นของระบบหน่วง ระบาย และสื่อสารเตือนภัยที่ทำงานทันการณ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จากงานวิจัยต้นแบบสู่เมืองที่เรียนรู้ได้

งานในครั้งนี้ไม่ได้จบที่เอกสารรายงาน แต่มุ่งให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่สามารถยกขึ้นขยายผลได้ ทั้งโมเดลการสำรวจความเสียหายเชิงโครงสร้าง แพลตฟอร์มข้อมูลความปลอดภัยอาหารจากน้ำ เครื่องมือสื่อสารสาธารณะ และคู่มือ “จากงานวิจัยสู่การใช้งบจริง”

ผลลัพธ์สำคัญที่ผู้จัดคาดหวัง ได้แก่

  1. ความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และชุมชน โดยเฉพาะการเสริมกำลังโครงสร้างอาคารให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
  2. ความร่วมมือระหว่างวิชาการและนโยบาย ที่เดินทางได้ทั้งสองทาง คือปัญหาจริงสู่โจทย์วิจัย และงานวิจัยสู่คำสั่งและงบประมาณจริง
  3. กรอบแผนงานวิจัยและงบประมาณ ระยะ 1-3 ปี สำหรับรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายในอนาคต ที่เชื่อมต่อยุทธศาสตร์ระดับชาติ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง”

ภาพอนาคต เมืองที่ปลอดภัยเริ่มจาก “แผนที่เดียวกัน”

เชียงรายกำลังวางรากฐาน “ความยืดหยุ่น” ด้วยแผนที่เดียวกัน (ข้อมูลเดียวกัน) และภาษางบประมาณเดียวกัน (ตัวชี้วัด รายการงาน ไทม์ไลน์ และงบที่สื่อสารกันได้ระหว่างท้องถิ่น ส่วนกลาง นักวิจัย และประชาชน)

จุดเด่นของโมเดลนี้คือความเร็วในการเชื่อมหน่วยงานและความคมของการตัดสินใจ เพราะทุกฝ่าย “เห็นภาพเดียวกัน” และ “รู้ว่าอะไรคุ้มค่าที่สุดต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจท้องถิ่น”

“วันนี้เราเอาองค์ความรู้จากงานวิจัย เทคโนโลยี และข้อมูลที่เชื่อถือได้มาสร้างเป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่เอกสารบนโต๊ะ แต่เป็นเครื่องมือในมือคนทำงานหน้าดิน เป็นข้อมูลที่ประชาชนเข้าถึงได้ และเป็นหลักฐานที่ใช้ขอและติดตามงบประมาณได้” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวย้ำ

นางอทิตาธร นายก อบจ.เชียงราย เสริมว่า “เราพร้อมรับเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ พร้อมเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึง แต่ขอให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน และปลอดภัยจากการถูกแฮ็ก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน”

การทำงานในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การรับมือภัยพิบัติ” ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานท้องถิ่น วิศวกร ไปจนถึงประชาชนทุกคน

งบประมาณและการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามถึงงบประมาณและความยั่งยืนของโครงการ ศ.ดร.สมปอง อธิบายว่า สกสว. ในฐานะกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณให้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ถึงประชาชน

“เรากำลังทำแพ็กเกจในมุมของการทำงานเชิงบูรณาการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายแบบเต็มประสิทธิภาพ การจัดสรรงบประมาณจะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเราจัดสรรได้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ไปจนถึงประชาชน” ศ.ดร.สมปอง กล่าว

สำหรับงบประมาณรายปีที่ใช้ในการดำเนินงานด้านภัยพิบัติทั้งหมดของประเทศ ครอบคลุมทั้งเรื่องน้ำ ฝุ่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม และสารพิษ อยู่ที่ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาทต่อปี โดยมีการปรับเปลี่ยนตามกระบวนการและความจำเป็นเร่งด่วน

“ประเด็นสำคัญคือการขับเคลื่อนนโยบายต้องตอบโจทย์ในมุมของความรวดเร็ว เพราะเรื่องของภัยพิบัติ เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ถ้าเกิดแล้วเราต้องเยียวยา ต้องแก้ปัญหาหน้างานทันที การกำหนดเวลาและการมีแผนที่ชัดเจนจึงสำคัญมาก” ศ.ดร.สมปอง กล่าวเน้นย้ำ

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและบ่อยขึ้น จากข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ชี้ว่าปรากฏการณ์ลานีญามีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นและส่งผลให้ฝนมากกว่าปกติในหลายภูมิภาค รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหมายความว่าระดับน้ำที่เคยคิดว่าสูงที่สุดที่ 5 เมตรอาจกลายเป็น 10 เมตรในอนาคต

“เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดิมได้อีกต่อไป” นายประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวสะท้อนความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า

เชียงรายกำลังก้าวสู่การเป็น “Disaster Resilient City” อย่างแท้จริง ด้วยการบูรณาการระหว่างงานวิจัย นโยบาย และการปฏิบัติในพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นฐาน การทำงานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานระบบที่ยั่งยืน สามารถปรับตัวและเรียนรู้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

การที่ทุกภาคส่วน “เห็นภาพเดียวกัน” “ใช้ข้อมูลเดียวกัน” และ “พูดภาษางบประมาณเดียวกัน” คือกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จ และสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่เผชิญปัญหาคล้ายกันทั่วประเทศ

สำหรับชาวเชียงราย โครงการนี้หมายถึงความหวังว่าในอนาคต เมื่อเกิดภัยพิบัติ ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาจะได้รับการปกป้องดีขึ้น ระบบเตือนภัยจะทำงานได้ทันท่วงที และการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นั่นคือความหมายที่แท้จริงของ “เมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) – กรอบ 3 แพลตฟอร์ม บทบาท “โซ่ข้อกลาง” แพ็กเกจนโยบายและแพลตฟอร์มข้อมูลสาธารณะ
  • ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ – การระดมวิศวกรอาสา ฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้าง แผนที่เสี่ยงภัย
  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย – ภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วม การฟื้นตัว การเชื่อมกลไกจังหวัด
  • นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – นโยบาย “7 เรือธง” โดยเฉพาะ PDOSS ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
  • สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA)
  • ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH)
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

แสตมป์เซเว่นฯ แปรเปลี่ยนการให้เล็กๆ สู่ “ห้องน้ำเพื่อน้อง” รร.ขุนตาลฯ เชียงราย

คืนห้องน้ำที่ปลอดภัยให้เยาวชนกับ ‘ห้องน้ำเพื่อน้อง’ จากภัยน้ำท่วมสู่สุขภาวะระยะยาว กรณีโรงเรียนขุนตาลวิทยาคม จังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 — หลังวิกฤตน้ำท่วมปี 2567 ได้กัดเซาะโครงสร้างพื้นฐานของสถาบันการศึกษาในหลายอำเภอของจังหวัดเชียงรายตั้งแต่ห้องเรียนไปจนถึง “ห้องน้ำ” ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สุดของสุขภาวะนักเรียน เครือข่ายท้องถิ่นและเอกชนหลายแห่งได้ร่วมกันฟื้นฟูเพื่อคืนความปกติของสถานที่ต่าง ๆ ให้กลับมาอย่างเป็นรูปธรรม

ล่าสุด สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้ประสานความร่วมมือไปยังบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในการขับเคลื่อน โครงการ “ห้องน้ำเพื่อน้อง” เพื่อเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับ โรงเรียนขุนตาลวิทยาคม ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย โดยได้ปรับปรุงห้องน้ำให้ “สะอาด ปลอดภัย และเหมาะกับการใช้งานของนักเรียน” พร้อมจัดกิจกรรมมอบขนมและของว่าง เพื่อสร้างกำลังใจให้กับเยาวชน

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีผู้แทนผู้จัดการเขต ชัชวาล นวลยิ่ง และ ปัญชิกา บุรีจันทร์ จากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) พร้อมภาคีภาครัฐในจังหวัด อาทิ พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น โดยมีผู้นำท้องถิ่นที่ให้ความสำคัญและร่วมเป็นสักขีพยานในการส่งมอบครั้งนี้ 3 ตำบล 1.ตำบลต้า คุณเสถียร กาวีวน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้า ,คุณกัมปนาท เรือนสิทธิ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านต้า 2.ตำบลยางฮอม คุณอรุณ ใจจักร รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลยางฮอม ,คุณชานนท์ หลวงจินา เลขานุการ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลยางฮอม และ 3.ตำบลป่าตาลซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน คุณธนวิทย์ วรรณสอน รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลป่าตาล ,คุณธนาวุฒิ วรรณสอน กำนันตำบลป่าตาล และคุณวริยา ทองเอก ผู้ใหญ่บ้าน บ้านเจดีย์ใหม่หมู่ที่ 11 ที่ได้สะท้อนปัญหาในพื้นที่เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข รวมไปถึงเครือข่ายภาคเอกชน เซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่และทรู เข้าร่วม เพื่อส่งมอบ “ห้องน้ำที่สะอาดได้มาตรฐานและปลอดภัย” ให้กับเด็กนักเรียนและเยาวชนโรงเรียนขุนตาลวิทยาคม ซึ่งบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ยึดมั่นและให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องผ่าน “บุญนิธิแสตมป์เซเว่น” ที่ระดมแสตมป์จากลูกค้าเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นงบปรับปรุงสุขาภิบาลในโรงเรียนที่ห่างไกล

น้ำท่วมปี 2567 เปิดแผลกายภาพสุขาภิบาลในโรงเรียน

แม้จังหวัดเหนือสุดของไทยจะเผชิญน้ำหลากเป็นวัฏจักร แต่ ปี 2567 คือบททดสอบหนัก—ระลอกฝนจากพายุและมรสุมทำให้หลายอำเภอเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินสไลด์ และถนนขาด สื่อสาธารณะระดับชาติรายงานสถานการณ์ “เชียงราย–เชียงใหม่” เข้าขั้นน่ากังวลตั้งแต่ต้นฤดูฝน โดยข้อมูลระบุชัดว่าบ้านเรือนและถนนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เป็นต้นมา ขณะที่สื่อกระแสหลักรายงานคำเตือนของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ให้เฝ้าระวังอุทกภัยในหลายจังหวัดภาคเหนือรวมถึงเชียงรายอย่างใกล้ชิดในช่วงเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มฝนเหนือค่าเฉลี่ยในลุ่มน้ำโขง–แม่น้ำกก–แม่น้ำสาขาในไตรมาสสุดท้ายของปีนั้น

ผลกระทบไม่ได้จบแค่การเดินทางขัดข้องหรือบ้านเรือนเสียหาย แต่ โครงสร้างสุขาภิบาลของโรงเรียน ตั้งแต่ถังบำบัด ระบบน้ำใช้ ไปจนถึงพื้น ผนังห้องน้ำ ถูกน้ำกัดกร่อนจนใช้การไม่ได้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะโรงเรียนบนพื้นที่สูง เชิงเขา “ห้องน้ำเสียหาย = สุขภาพเด็กเสี่ยง” คือสมการที่หน่วยงานสาธารณสุขและการศึกษาย้ำตลอดทุกวิกฤตน้ำท่วม เพราะความชื้นสิ่งปฏิกูลที่ระบายไม่ได้ และแหล่งน้ำขัง คือปัจจัยเสี่ยงของโรคระบบทางเดินอาหารและยุงลาย ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขระดับจังหวัดและสื่อวิชาการสาธารณสุขไทยก็เตือนซ้ำในช่วงหลังน้ำลด.

โครงการ “ห้องน้ำเพื่อน้อง” จากแสตมป์ 7-Eleven สู่สุขาภิบาลที่จับต้องได้

ซีพี ออลล์ ขับเคลื่อนงาน “เพื่อสังคม” ผ่านหลายแพลตฟอร์ม หนึ่งในนั้นคือ โครงการ “ห้องน้ำเพื่อน้อง” ที่นำ แสตมป์เซเว่นฯ จากลูกค้าสมทบ “บุญนิธิแสตมป์เซเว่นฯ” ไปปรับปรุงห้องน้ำโรงเรียนห่างไกล แนวคิดเชื่อม “การให้เล็ก ๆ” เป็น “การเปลี่ยนแปลงใหญ่” ที่โรงเรียนสัมผัสได้ทันที โครงการเดินหน้าต่อเนื่องหลายปี มีการสื่อสารผลลัพธ์ผ่านข่าวประชาสัมพันธ์และรายงานกิจกรรม เช่น “World Toilet Day” ที่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ใช้เป็นจังหวะตอกย้ำความสำคัญของสุขาภิบาลในโรงเรียน

พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

สำหรับ โรงเรียนขุนตาลวิทยาคม งานปรับปรุงครอบคลุมการ “ทำความสะอาดใหญ่ ซ่อมโครงสร้าง ยกระดับความปลอดภัยและการเข้าถึง” (เช่น แสงสว่าง พื้นกันลื่น สุขภัณฑ์ที่เหมาะกับเด็ก และจุดล้างมือ) โดย “ภาคีท้องถิ่น เอกชน” ร่วมกันประเมินจุดเสี่ยง ความต้องการก่อนลงมือจริง ทำให้งบประมาณถูกใช้ในจุดที่กระทบสุขภาวะของเด็กมากที่สุด ทิศทางนี้สอดคล้องกับข้อเสนอขององค์การระหว่างประเทศด้าน WASH in Schools (น้ำสะอาด สุขาภิบาล และสุขอนามัยในโรงเรียน) ที่ระบุเสมอว่า “ห้องน้ำ+น้ำสะอาด+จุดล้างมือ” คือสามเหลี่ยมทองคำของสุขภาวะโรงเรียน ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง “การมาเรียนและผลสัมฤทธิ์” ของนักเรียน.

ห้องน้ำที่สะอาดไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทำธุระส่วนตัว แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่โรค ส่งเสริมพฤติกรรมสุขอนามัยที่ดี และทำให้นักเรียนมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น” พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ให้ความเห็นในพิธีส่งมอบ โดยย้ำว่าความร่วมมือครั้งนี้คือโมเดล “เอกชน–รัฐ–ชุมชน” ที่ตอบโจทย์ภาวะหลังภัยพิบัติ

ทำไม “ห้องน้ำ” จึงสำคัญต่อคุณภาพการศึกษา

แม้ “ชักโครก ก๊อกน้ำ สบู่” จะดูเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่รายงานนโยบายและหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากบอกตรงกันว่า

  • สุขาภิบาลดี = เด็กมาเรียนมากขึ้น งานวิจัยสาธารณสุขการศึกษาชี้ว่า การมีห้องน้ำสะอาด จุดล้างมือพร้อม และน้ำสะอาดในโรงเรียน ช่วยลดการขาดเรียนจากโรคติดเชื้อทางเดินอาหารและโรคระบบทางเดินหายใจ นำไปสู่ attendance ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย UNICEF/WHO ผลักดันให้โรงเรียนบรรลุเกณฑ์ “บริการพื้นฐาน (basic service)” อย่างน้อยในสามมิติ—น้ำ สุขาภิบาล สุขอนามัย.
  • หลังน้ำท่วม ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทวีคูณ แหล่งน้ำปนเปื้อนและส้วมชำรุดเพิ่มโอกาสป่วยเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร รวมถึง ลูกน้ำยุงลาย ที่มักระบาดหลังน้ำลด สื่อและหน่วยงานไทยเตือนประจำ จึงยิ่งต้องเร่งรื้อ ซ่อม ยกระดับสุขาภิบาลโรงเรียน.

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การลงทุนกับ “ห้องน้ำโรงเรียน” คือการลงทุนกับ “เวลาเรียน สุขภาพ ศักยภาพมนุษย์” ในระยะยาว

เล่าเรื่องจากขุนตาล จากห้องน้ำชำรุด สู่พื้นที่ปลอดภัยของการเรียนรู้

โรงเรียนขุนตาลวิทยาคมตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ฝนตกชุก ช่วงปลายฤดูฝนปี 2567 น้ำหลากทำให้ พื้น–ผนัง–ท่อระบาย ในบางอาคารเสื่อมสภาพ ห้องน้ำหลายห้องต้องปิดใช้งานชั่วคราว เด็กนักเรียนจำนวนมากต้องต่อคิวใช้ห้องน้ำที่เหลืออยู่ ไม่เพียงกระทบสุขอนามัยแต่กระทบ “สมาธิและเวลาการเรียน” ของเด็กโดยตรง

การเข้ามาของ “ห้องน้ำเพื่อน้อง” จึงถูกออกแบบอย่าง เข้าใจโจทย์พื้นที่” มากกว่าจะเป็นการซ่อมแบบกว้างๆ ทีมร่วมวางแผน “ลำดับชิ้นงาน” โดยยึด 4 มิติหลัก

  1. ความปลอดภัย พื้นกันลื่น ราวจับ ไฟส่องสว่าง, ติดป้ายเส้นทางหนีไฟ ปฐมพยาบาล
  2. สุขาภิบาล สุขภัณฑ์ที่ทำความสะอาดง่าย ท่อระบายใหม่ ระบบระบายน้ำฝน ถังบำบัดที่เหมาะสม
  3. สุขอนามัย จุดล้างมือพร้อมสบู่ การสื่อสารสุขศึกษาเป็นภาพ ภาษาเข้าใจง่าย
  4. การเข้าถึง ช่องทางระดับพื้นสำหรับเด็กเล็ก/ผู้ใช้วีลแชร์ในบางจุด

เมื่อเสร็จสิ้นการปรับโฉม โรงเรียนมี จำนวนห้องน้ำใช้งานได้เพิ่มขึ้น การระบายอากาศดีขึ้น แยกสัดส่วนเพศชัดเจน จุดล้างมือเพียงพอ ครูผู้สอนรายงานว่า “ช่วงพักคาบ หลังรับประทานอาหาร เด็ก ๆ สะดวกสบายมากขึ้น” ขณะที่นักเรียนสะท้อนว่ารู้สึกมี “ความสบายใจ ความมั่นใจ ความรู้สึกปลอดภัย” ในการใช้ห้องน้ำมากขึ้น ทั้งหมดแปลกลับเป็น เวลาเรียนที่ไม่สะดุด ให้กับนักเรียนอีกด้วย

ตัวคูณทางสังคม เมื่อเอกชน ท้องถิ่นจับมือ แก้ปัญหาเร็วขึ้น

แบบจำลองในขุนตาลสะท้อน 3 ตัวคูณทางสังคมที่ควรถอดบทเรียน อย่างการคัดเลือกโรงเรียนแบบฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ สื่อท้องถิ่นทำหน้าที่ “คัดกรองและยืนยันสภาพแวดล้อม” ด้วยหลักฐานภาพถ่าย รายงาน พร้อมเชื่อมกับผู้บริหารโรงเรียนและชุมชน ผลคือ ระบุจุดเสี่ยงได้แม่นยำ และส่งต่อโจทย์ให้เอกชนเข้าไปเติมเต็มตรงจุด ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

และพลังระดมทุนขนาดเล็กแต่ต่อเนื่องของโครงการ ได้อาศัย “แสตมป์เซเว่นฯ” ของลูกค้า และเครือข่ายจิตอาสา ทำให้งบประมาณ คล่องตัว พร้อมใช้ ทันทีที่มีพื้นที่เร่งด่วน การมี “บุญนิธิแสตมป์เซเว่นฯ” เป็นเครื่องมือกลางทำให้เกิดความเชื่อมั่นและตรวจสอบได้ (transparency) ซึ่งเป็นหัวใจของ CSR ยุคใหม่ รวมไปถึง สอดคล้องมาตรฐานสากล (WASH in Schools) การออกแบบ ประเมินผลยึดหลัก “น้ำ–ส้วม–ล้างมือ” เป็นแกน สอดรับทิศทาง UNICEF/WHO ที่ใช้เป็นกรอบวัดผลในระดับนานาชาติ ช่วยให้โรงเรียนไทย โดยเฉพาะในชนบท ก้าวทันมาตรฐานโลก และเข้าถึงองค์ความรู้–เครื่องมือสื่อสารสุขศึกษาได้ง่ายขึ้น.

เสียงจากภาคี เป้าหมายไม่ใช่แค่ “ซ่อม” แต่คือ “เชื่อม”

พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ระบุว่า โครงการนี้ “สะท้อนนโยบายที่ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยโรงเรียน” ในฐานะฐานรากคุณภาพชีวิต ทั้งเด็กและครู โดยเฉพาะโรงเรียนห่างไกลที่ขาดแคลนงบซ่อมบำรุง ซ่อมวันนี้ = ลดโรคพรุ่งนี้” และยังช่วย “เชื่อม” ภาคีท้องถิ่นให้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ด้านสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ มนรัตน์ ก.บัวเกษร กล่าวว่า ในช่วงน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว สถานที่แรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบ ก็คือโรงเรียนขุนตาลวิทยาคม ซึ่งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้คอยรายงานและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาตลอด เมื่อเห็นถึงความเสียหาย จึงได้รีบประสานงานไปทาง ซีพี ออลล์ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการปรับปรุงห้องน้ำ เพื่อส่งคืนสุขอนามัย ความปลอดภัย และศักดิ์ศรี ในการใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง และสิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากก็คือ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ ซีพี ออลล์ ที่นอกจากการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าในเรื่องปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ แล้ว ยังได้หยิบยื่นโครงการอันมีคุณค่าอย่าง “โครงการห้องน้ำเพื่อน้อง” ให้เข้ามาเติมเต็มสิ่งขาดหายที่นี่

ขณะที่ครูและนักเรียนโรงเรียนขุนตาลวิทยาคมให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า “การเข้าถึงห้องน้ำที่เพียงพอ ปลอดภัย เปลี่ยนบรรยากาศโรงเรียนอย่างชัดเจน” เด็กมีวินัยการล้างมือดีขึ้น และห้องน้ำสะอาดขึ้นจากการจัดตารางดูแลร่วมกับนักเรียนแกนนำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ ข้อเสนอเชิงนโยบาย

1) ความคุ้มค่าเชิงสังคม (Social ROI) สูง
ต้นทุนเฉลี่ยการปรับปรุงห้องน้ำหนึ่งบล็อกเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ด้านสุขภาพ เวลาเรียน ภาพลักษณ์โรงเรียน พบว่า “คุ้ม” อย่างมาก เมื่อเทียบกับค่าเสียโอกาสจากการขาดเรียน/การเจ็บป่วยซ้ำๆ ทั้งยังลดภาระซ่อมเฉพาะหน้า เช่น ค่าทำความสะอาดแก้ฉุกเฉินระหว่างเทอม

2) เชื่อมกับภัยพิบัติที่ถี่ขึ้น
สภาพภูมิอากาศสุดขั้วทำให้ รอบภัยพิบัติสั้นลง–ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หลายแหล่งข่าวสากลชี้ว่าภาคเหนือรวมถึงเชียงราย รับแรงปะทะฝนหนัก น้ำหลากมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดรับกับการเตือนภัยในประเทศปี 2567–2568 ดังนั้น สุขาภิบาลโรงเรียนหลังน้ำลดคือ “ภารกิจเร่งด่วน” ที่ต้องตั้งงบสำรองถาวรระดับจังหวัด

3) ยกระดับมาตรฐาน กำหนดเช็กลิสต์ WASH ระดับจังหวัด
เสนอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สาธารณสุขจังหวัด ใช้ เช็กลิสต์ WASH โรงเรียน เป็นเครื่องมือตรวจสุขาภิบาลทุกเทอม (น้ำ ส้วม ล้างมือ การสื่อสารสุขศึกษา) พร้อมสร้าง “ดัชนีสุขาภิบาลโรงเรียน” เผยแพร่สาธารณะ เพื่อเร่งรัดโรงเรียนเปราะบางให้ได้รับการสนับสนุนก่อนเกิดเหตุ

4) กลไกระดมทุนรูปแบบผสม (Blended CSR)
โครงการ “ห้องน้ำเพื่อน้อง” พิสูจน์ว่าการระดมทรัพยากรเล็กๆ จากประชาชนจำนวนมาก สามารถ “ขยับภูเขา” ได้จริง เสนอให้ขยายโมเดลไปยัง “กองทุนย่อยระดับอำเภอ” เปิดรับเงิน วัสดุ แรงงานจิตอาสา และจับคู่โรงเรียนรอซ่อมกับผู้สนับสนุนแบบ real-time

จากแผลน้ำท่วม สู่โอกาสยกมาตรฐานโรงเรียนชนบท

กรณี โรงเรียนขุนตาลวิทยาคม แสดงให้เห็นว่า “เมื่อข้อมูลพื้นที่แม่น ภาคีพร้อม เครื่องมือระดมทุนยืดหยุ่น” การกู้คืนสุขาภิบาลโรงเรียนหลังวิกฤตสามารถทำได้เร็วและยั่งยืน ผลลัพธ์ไม่ได้หยุดแค่ห้องน้ำปรับปรุงใหม่ที่สะอาดขึ้น แต่หมายถึง การเรียนรู้ที่ไม่สะดุด สุขภาพเด็กที่ดีขึ้น และความภูมิใจของชุมชน ที่เห็นโรงเรียนกลับมายืนได้ด้วยพลังรวม ในโลกที่ภัยพิบัติมาไว มาแรงขึ้น การมี “ต้นแบบ” อย่างขุนตาล ที่สื่อท้องถิ่นจับมือเอกชนและรัฐ ช่วยยกระดับให้กับห้องน้ำเด็ก ๆ และเยาวชน คือคำตอบที่เป็นรูปธรรมและต่อยอดได้ ทั้งในเชียงรายและจังหวัดเปราะบางอื่น ๆ ของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • โรงเรียนขุนตาลวิทยาคม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

อบจ.เชียงราย ลุยญี่ปุ่น! ลงนาม EPA Shizuoka Saiko Academy ดันนโยบาย “เรียนที่ไหนก็เลี้ยงชีพได้”

อบจ.เชียงรายลงนามความร่วมมือการศึกษากับญี่ปุ่น “Shizuoka Saiko Academy” หนุน “เรียนได้–สำเร็จได้–เลี้ยงชีพได้” ปูทาง 7 เรือธงสู่สากล

ญี่ปุ่น,5 พฤศจิกายน 2568 –  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินหน้านโยบายการศึกษาที่ “เข้าถึงได้และเลี้ยงชีพได้จริง” ด้วยการลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางการศึกษา (EPA) กับ Shizuoka Saiko Academy ณ เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อยกระดับการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา พร้อมเชื่อม “การศึกษา–อาชีพ–รายได้” ให้เป็นเส้นทางเดียวกันตาม นโยบาย 7 เรือธง ของผู้บริหารท้องถิ่น เชียงรายตั้งเป้าเปลี่ยน “โอกาสต่างประเทศ” ให้กลายเป็น “ทางรอดและทางรุ่ง” ของเยาวชนในจังหวัด ผ่านโมเดลร่วมพัฒนาหลักสูตร ฝึกทักษะ และเปิดเครือข่ายฝึกงาน/ศึกษาต่อ
ประเด็นเด่น (1) การเชื่อมเครือข่ายต่างประเทศเป็นเครื่องเร่งให้ “หลักสูตรคุณภาพ” และ “ทักษะใหม่ที่โลกงานต้องการ” เกิดเร็วและใช้งานจริง (2) นโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ของ อบจ.เชียงราย ถูกผลักเป็นความร่วมมือข้ามพรมแดน (3) เมื่อผูกกับกลไกทุน–แลกเปลี่ยน–ฝึกงานสากล (เช่น แนวทางทุนและโครงการแลกเปลี่ยนของญี่ปุ่น) จะทำให้เส้นทางการเรียน–ทำงานของเด็กเชียงราย “สั้นลงและชัดขึ้น” พร้อมลดต้นทุนความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาในภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการยกระดับการศึกษาท้องถิ่นของ อบจ.เชียงรายในกรอบ 7 เรือธงที่ประกาศไว้สาธารณะแล้ว

 “ลานเชื่อมโอกาส” จากเวียงพิงค์ล้านนา สู่เมืองชา–ภูเขาแห่งชิซูโอกะ

ค่ำลมหนาวต้นฤดูในเชียงราย ปี 2568 คือช่วงเวลาที่ผู้บริหารการศึกษาท้องถิ่นกำลัง “เร่งเครื่อง” เป้าหมายสำคัญ—ทำอย่างไรให้เด็กเชียงราย เรียนได้จริง–สำเร็จได้จริง–และเลี้ยงชีพได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงนโยบายบนเวทีสัมมนา แต่แปรรูปเป็น “ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ” ที่จับต้องได้

เช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำคณะผู้บริหารการศึกษา—นายกฤษฎา ใจหล้า ผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และคณะผู้บริหาร—ร่วมลงนาม Educational Partnership Agreement (EPA) กับ Shizuoka Saiko Academy โดยมี Mr. Seiichi Kudo ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อย้ำความร่วมมือที่ปูทางมาก่อนหน้า และผลักไปสู่ “ความร่วมมือเชิงปฏิบัติ” ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน

หัวใจของ EPA ครั้งนี้ คือ 3 มิติหลัก

  1. วิชาการ–หลักสูตร: ยกระดับการเรียนการสอน โดยผนวกแนวคิด “ทักษะแห่งอนาคต” (Future Skills) ทั้งภาษา เทคโนโลยี นวัตกรรมอาชีพ และความเข้าใจวัฒนธรรม
  2. วัฒนธรรม–ความเป็นพลเมืองโลก: เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนของนักเรียน–ครู ข้ามพรมแดน สร้าง Soft Power และทักษะข้ามวัฒนธรรม (Intercultural Competence)
  3. การทำงาน–การเลี้ยงชีพ: เชื่อม “ทักษะในห้องเรียน” กับ “โลกการทำงานจริง” ผ่านกิจกรรมฝึกงาน โครงงาน และเครือข่ายสถานประกอบการที่เชื่อมกับญี่ปุ่น

นโยบาย 7 เรือธง จากคำมั่นสู่แผนปฏิบัติในสนามจริง

ตลอดสองปีที่ผ่านมา อบจ.เชียงรายประกาศทิศทาง “7 เรือธง” โดยหนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ การยกระดับคุณภาพและการเข้าถึงการศึกษา ประเด็น “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ถูกยกเป็นสโลแกนเชิงภารกิจให้โรงเรียนในสังกัด และเครือข่ายการศึกษาทั้งจังหวัดขับเคลื่อนร่วมกัน ตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ห้องเรียนอาชีพ หลักสูตรเสริมสมรรถนะ ไปจนถึงช่องทางแนะแนวอาชีพ–ศึกษาต่อในระดับนานาชาติ โดย อบจ.เชียงรายได้สื่อสารนโยบายและทิศทางไว้ในช่องทางทางการของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง

EPA กับ Shizuoka Saiko Academy จึงทำหน้าที่เป็น “เครื่องเร่ง” ที่ทำให้เรือธงด้านการศึกษา ไปไกลและไปได้จริง—จากระดับจังหวัดสู่เวทีนานาชาติ—ด้วยความร่วมมือแบบสถาบัน–ต่อ–สถาบัน (school-to-school) ที่มีเป้าหมายร่วม ทักษะ–คุณธรรม–อาชีพ–รายได้ บนฐานคุณภาพมาตรฐานสากล

ทำไม “ญี่ปุ่น–ชิซูโอกะ” จึงตอบโจทย์เชียงราย

ชิซูโอกะ เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ด้านชุมชนการเกษตร (ชาเขียว–พืชเศรษฐกิจ), อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี, และวัฒนธรรมชุมชนเข้มแข็ง—หลายมิติสะท้อนกับบริบทของเชียงราย ไม่ว่าจะเป็น เกษตร–อาหาร–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แบบนี้ จึงมีประโยชน์ในเชิง สถานการณ์เรียนรู้จริง” (Learning in Real Context) ที่ต่อยอดได้ทั้งใน

  • เกษตรคุณภาพ–แปรรูปอาหาร–ธุรกิจชุมชน (เชื่อมต่อทักษะอาชีพของเยาวชน)
  • การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–สุขภาพ (เชื่อมทักษะภาษา การบริการมาตรฐานญี่ปุ่น)
  • เทคโนโลยีเพื่อชุมชน (IoT/Automation เบื้องต้น, การจัดการคุณภาพ, ความปลอดภัยอาหาร ฯลฯ)

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมี “โครงสร้างสนับสนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ” ทั้งรูปแบบทุนการศึกษา และโปรแกรมแลกเปลี่ยนบุคลากรท้องถิ่นที่เปิดรับชาวต่างชาติ เช่น กรอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT) ซึ่งอาศัยเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อคัดเลือก/เสนอชื่อผู้รับทุนในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงโปรแกรมด้านการสอนและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับท้องถิ่น (JET Programme) ที่สนับสนุนให้เยาวชนทั่วโลกเข้าไปทำงานด้านภาษา–วัฒนธรรมกับองค์กรปกครองท้องถิ่นและโรงเรียนของญี่ปุ่น กลไกเหล่านี้เป็น “องค์ประกอบเชิงระบบ” ที่ อบจ.เชียงรายสามารถใช้ประกอบการออกแบบเส้นทางการเรียน–ฝึกงาน–เลี้ยงชีพในระยะยาวให้กับเด็กเชียงรายได้ เมื่อผูกกับความร่วมมือรายสถาบันอย่าง EPA ที่เพิ่งลงนาม

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย การทำข้อตกลงระดับโรงเรียน (EPA) ช่วย “ส่งสัญญาณ” ความพร้อมของพื้นที่ต่อหน่วยงานทุน/เครือข่ายต่างประเทศ—ทำให้การเข้าถึงทุนและโอกาสสากล “มีความเป็นไปได้จริง” มากกว่าการยื่นสมัครในฐานะ “บุคคลรายคน” โดยไม่มีแบ็กเอนด์ของสถาบัน/ท้องถิ่นรองรับ

ภาพใหญ่ของ EPA จากห้องเรียนถึงรายได้ครัวเรือน

1) หลักสูตร–สมรรถนะอาชีพ (Career Readiness)
แผนความร่วมมือที่วางไว้สอดคล้องกับทิศทาง “สมรรถนะอาชีพ” ได้แก่ ภาษา (ญี่ปุ่น/อังกฤษเพื่อการทำงาน), เทคโนโลยีดิจิทัลเบื้องต้น (การสื่อสาร–สื่อดิจิทัล–ข้อมูล), การเป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro-entrepreneurship) และทักษะข้ามวัฒนธรรม ซึ่งเมื่อเชื่อมกับเครือข่ายญี่ปุ่น จะเกิด ชุดกิจกรรมฝึกจริง เช่น โครงงานร่วม (Joint Project), เวิร์กช็อปครู–นักเรียน, ห้องเรียนออนไลน์ข้ามประเทศ, รวมถึง ฝึกงานระยะสั้น ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง—ทั้งฝั่งเชียงรายและชิซูโอกะ—เพื่อนำกลับมาปรับใช้กับเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด

2) ครูคือตัวเร่ง (Teacher Capacity)
ความร่วมมือเน้น แลกเปลี่ยนครู เพื่อถ่ายทอด “วิธีสอน–วิธีประเมิน–วินัยการเรียนรู้แบบญี่ปุ่น” เช่น การจัดชั้นเรียนเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแต่มีวินัยสูง, การเรียนรู้เชิงลงมือทำ (Project/Problem-based), การประเมินจากหลักฐานชิ้นงาน และการดูแลสุขภาวะจิตสังคมในโรงเรียน ซึ่งจะยกระดับคุณภาพ “ทั้งระบบ” มากกว่าการส่งนักเรียนไปต่างประเทศทีละไม่กี่คน

3) วัฒนธรรม–วินัย–Soft Power
พิธี–เทศกาล–กิจกรรมจิตอาสา และ “จิตวิญญาณชุมชน” ของญี่ปุ่น (เช่น ความตรงต่อเวลา ระเบียบ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ) เมื่อหลอมรวมกับ “อัตลักษณ์ล้านนา” (กัลยาณมิตร–ชุมชน–ความสุภาพ) จะกลายเป็นทรัพยากร Soft Power ใหม่ของเด็กเชียงรายในตลาดแรงงานบริการ ท่องเที่ยว สุขภาพ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

4) เส้นทางการเงินเพื่อการเรียนรู้ (Learning Finance)
เมื่อ EPA ทำงานร่วมกับทุน/โครงการสากล—ทั้งระดับรัฐบาลญี่ปุ่น (เช่น แนวทางทุน MEXT) หรือโปรแกรมภาครัฐญี่ปุ่นที่เปิดรับบุคลากรต่างชาติ (เช่น JET Programme)—อบจ.เชียงรายสามารถออกแบบ “แพ็กเกจเส้นทาง” ที่มีทั้ง ทุนต่อยอด–ทุนเดินทาง–ทุนฝึกงาน ประกบกับกิจกรรมในหลักสูตรของโรงเรียนในสังกัด ทำให้การไปต่างประเทศ “ไม่ใช่เรื่องไกลตัว” สำหรับนักเรียนฐานะปานกลาง–รายได้น้อยที่มีสมรรถนะเพียงพอ

เสียงสะท้อนและฉากทัศน์ผลลัพธ์ จากปีที่ 1 ถึงปีที่ 3

แม้ข้อตกลงเพิ่งลงนาม แต่หากบูรณาการอย่างเป็นระบบ สามารถคาดฉากทัศน์ผลลัพธ์ใน 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 (0–12 เดือน)

  • ตั้ง “คณะทำงาน EPA” ร่วมระหว่างโรงเรียน อบจ.เชียงราย–Shizuoka Saiko Academy เพื่อกำหนดกรอบหลักสูตรร่วม (ภาษา–ดิจิทัล–โปรเจ็กต์วัฒนธรรม)
  • เปิด คลาสออนไลน์ข้ามประเทศ รายวิชาเป้าหมาย (เช่น ภาษาเพื่อการทำงาน/บริการ, สื่อดิจิทัล) เดือนละ 1–2 วิชา
  • อบรมครูแกนกลาง Train-the-Trainers เพื่อขยายผลสู่นักเรียน 5–10 โรงเรียนในสังกัด
  • เปิดรับสมัคร ค่ายฤดูร้อน/หนาว (2–4 สัปดาห์) สำหรับกลุ่มเป้าหมายรุ่นแรก 30–50 คน

ระยะที่ 2 (12–24 เดือน)

  • เริ่ม โครงการฝึกงานสั้น (Short-term Internship) กับคู่ร่วมมือญี่ปุ่นหรือผู้ประกอบการเครือข่ายในเชียงรายที่เชื่อมซัพพลายเชนญี่ปุ่น (อาหาร–ท่องเที่ยว–บริการ)
  • สร้าง หลักสูตรพิเศษ “เรียน–ทำ–ได้พอร์ต” สำหรับเด็ก ม.ปลาย/ปวช. ที่เน้นผลงานโครงงานคู่ขนานกับทักษะภาษา
  • เจรจา ทุนย่อย/อุดหนุนค่าเดินทาง จากแหล่งต่าง ๆ ให้ผู้เรียนฐานะยากจน

ระยะที่ 3 (24–36 เดือน)

  • ขยายผลไปสู่ หลักสูตรสองภาษา/สองวัฒนธรรม (Lanna–Japan) สำหรับสายบริการ–ท่องเที่ยว–อาหาร–สื่อสร้างสรรค์
  • สร้าง “ทางด่วนศึกษาต่อ” (Progression Pathway) ไปยังสถาบันอาชีวะ/มหาวิทยาลัยพันธมิตรในญี่ปุ่น ผ่านระบบเทียบโอนผลงาน/สมรรถนะ
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลทุนและงานสากล ระดับจังหวัด ทำงานร่วมกับสถานทูต/องค์กรญี่ปุ่นในไทย–ญี่ปุ่น เพื่อให้คำปรึกษาเป็นระบบ

เชื่อมเศรษฐกิจจังหวัด เมื่อ “ห้องเรียน” กลายเป็น “ระบบนิเวศอาชีพ”

เชียงรายเป็นเมืองที่มีรายได้จาก บริการ–ท่องเที่ยว–เกษตรแปรรูป สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลัง การมีแรงงานวัยรุ่นที่มี ภาษา–วินัย–มาตรฐานบริการแบบญี่ปุ่น จะช่วยยกระดับคุณภาพบริการปลายทาง (โรงแรม–ร้านอาหาร–ไกด์–อีเวนต์) และเพิ่ม “รายได้ต่อหัว” ให้กับครัวเรือนท้องถิ่นได้จริง ขณะเดียวกัน เครือข่ายญี่ปุ่น จะช่วยเปิดทางให้ผู้ประกอบการ SME เชียงรายเรียนรู้ มาตรฐานคุณภาพ–ความปลอดภัย–ประสิทธิภาพ ที่จำเป็นต่อการขยายตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง EPA ไม่ได้ผลิต “บัณฑิตเพิ่ม” แต่ผลิต “คนทำงานคุณภาพ–มีวินัย–มีวัฒนธรรมการบริการ” ซึ่งคือทุนมนุษย์ที่เศรษฐกิจเชียงรายต้องการ

คำถามสังคม–ข้อท้าทาย–แนวกันความเสี่ยง

แม้ภาพรวมเป็นบวก แต่การทำ EPA ให้เกิดผล ต้องบริหารความเสี่ยง 4 ด้านพร้อมกัน

  1. ความยั่งยืนงบประมาณ: การแลกเปลี่ยนต่างประเทศมีต้นทุน อบจ.ต้องออกแบบกลไกทุน ร่วมหลายแหล่ง (ภาครัฐ–เอกชน–CSR–มูลนิธิ) และวางเกณฑ์คัดเลือกที่ยุติธรรม โปร่งใส
  2. ความเสมอภาคโอกาส: ต้องวางมาตรการ “เปิดทางเด็กทุกฐานะ” เช่น ทุนค่าเดินทาง–พาสปอร์ต–เบี้ยเลี้ยง–อุปกรณ์เรียน เพื่อไม่ให้โครงการกลายเป็น “อภิสิทธิ์ของคนกลางเมือง”
  3. คุณภาพ–มาตรฐานการเรียน: การแลกเปลี่ยนต้อง “มีเนื้อหา” มากกว่าท่องเที่ยว ต้องกำหนด ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) และ พอร์ตโฟลิโองานจริง เป็นหลักฐาน
  4. ความปลอดภัย–การคุ้มครอง: เมื่อเกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ ต้องมีมาตรการ คุ้มครองเด็ก–สุขภาวะจิตใจ–การคุ้มครองข้อมูล และช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงง่ายทั้งสองประเทศ

เสียงจากห้องประชุม สารที่ส่งถึงครู–ผู้ปกครอง–นักเรียน

แม้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการไม่ได้เผยแพร่คำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหารในพิธี แต่เนื้อหาการดำเนินการสรุปได้ชัดว่า เป้าหมายร่วม คือ “เชื่อมการเรียนกับการทำงานได้จริง” บนมาตรฐานสากล ผู้ปกครองจึง “เห็นภาพ” เส้นทางของลูกหลานว่า เรียนแล้วไปไหนต่อ ขณะที่ครูได้ เครื่องมือ–เพื่อนร่วมวิชาชีพ ต่างประเทศในการพัฒนาวิธีสอน และนักเรียนได้ พอร์ต–เครือข่าย–ทักษะชีวิต ที่มากกว่าคะแนน

ทำอย่างไรให้ “นโยบาย” ไม่หยุดแค่กระดาษ

  1. ตั้ง Roadmap 12 เดือน พร้อม Milestone รายไตรมาส (วิชาออนไลน์ร่วม / ค่าย / อบรมครู / คัดรุ่นนักเรียน)
  2. สื่อสารสาธารณะผ่าน “แดชบอร์ดการศึกษา อบจ.เชียงราย” ให้สังคมตรวจสอบความคืบหน้าได้
  3. สร้าง เครือข่ายผู้สนับสนุน (Supporters Club) จากภาคเอกชนท้องถิ่น–หอการค้า–สมาคมท่องเที่ยว เพื่อร่วมรับนักเรียนฝึกงานและสนับสนุนทุน
  4. วัดผล “รายได้ต่อหัวจากงานบริการ/ท่องเที่ยว” ของเยาวชนรุ่นที่เข้าร่วม และ “อัตราการศึกษาต่อ/มีงานทำ” ภายใน 6–12 เดือนหลังจบโครงการ เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคม

จาก “เชียงรายโมเดล” สู่ “ข้อตกลงระดับจังหวัด–ระดับเอเชีย”

การลงนาม EPA ระหว่าง อบจ.เชียงราย–Shizuoka Saiko Academy ไม่ได้เป็นเพียงข่าวดีของโรงเรียนหนึ่งหรือรุ่นนักเรียนหนึ่ง แต่เป็น ข้อตกลงเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้จังหวัดมีเครื่องมือใหม่ในการสร้างโอกาสการศึกษา–อาชีพให้เยาวชน อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน หากขับเคลื่อนต่อเนื่อง จะเกิด “เชียงรายโมเดล” ที่ท้องถิ่นอื่นนำไปปรับใช้ได้—เริ่มจากการประกาศนโยบายให้ชัด (เช่น 7 เรือธง), หา “คู่ต่างประเทศที่ใช่”, ผูกกับเครื่องมือทุน–แลกเปลี่ยน–ฝึกงานของนานาชาติ และวัดผลด้วยตัวชี้วัดที่สะท้อน “รายได้–งาน–คุณภาพชีวิต” ของผู้เรียน

ท้ายที่สุด นี่คือคำตอบที่เป็นรูปธรรมของประโยคที่ว่า อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ และสำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้”—เมื่อเชียงรายเลือกเดินไปกับโลก และทำให้โลกเดินมาหาเชียงราย

กล่องข้อมูล (Key Facts)

  • วัน–สถานที่ลงนาม: 5 พฤศจิกายน 2568 เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  • คู่ความร่วมมือ: อบจ.เชียงราย – Shizuoka Saiko Academy (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  • กรอบความร่วมมือ: ยกระดับหลักสูตร/ครู–นักเรียน, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, พัฒนานวัตกรรมการศึกษา, เชื่อมเส้นทางฝึกงาน–ศึกษาต่อ
  • กรอบนโยบายจังหวัด: 7 เรือธงด้านการศึกษา— “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” (ประกาศสาธารณะของ อบจ.เชียงราย)
  • บริบทระบบแลกเปลี่ยน/ทุนญี่ปุ่น: แนวทางทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT), กรอบการแลกเปลี่ยนบุคลากรท้องถิ่น JET Programme  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology (MEXT),
  • Ministry of Foreign Affairs of Japan (MOFA)
  • สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. เชียงราย จัดพิธี “จุดเทียนถวายอาลัย” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

น้อมรำลึกสุดอาลัย! มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนำพสกนิกรเชียงราย ร่วมพิธีถวายความเคารพ

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 – แสงเทียนหลายสิบเล่มค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดของลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมเสียงสวดถวายความอาลัยที่ดังขึ้นอย่างนอบน้อม นี่ไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือภาพสะท้อนของสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สั่งสมมาหลายทศวรรษต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนไทยทั้งแผ่นดิน

พิธี “จุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 18.00 น. หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการสวรรคตอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพันปีหลวง ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าของทั้งประเทศ ภายในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำหน้าที่นำคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนชาวเชียงรายกว่า 100 คน ร่วมถวายอาลัยแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” ด้วยความอ่อนน้อมและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง

พิธีดังกล่าวมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบัน เพราะมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมิได้เป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษาในภาคเหนือ หากยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชปณิธานด้านการพัฒนาคนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ผู้ทรงเป็น “แม่ฟ้าหลวง” อันเป็นที่มาของพระนามมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักยืนอยู่แนวหน้าในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระสำคัญของแผ่นดิน

ความอาลัยที่มากกว่าพิธีการ “พระองค์ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน”

ในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติด้วยถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากในช่วงเวลานี้ว่า

“พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้จัดพิธีจุดเทียนขึ้น เพื่อถวายความเคารพและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

ข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเพียงคำปราศรัยในโอกาสพิเศษ แต่คือการย้ำเตือนว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีบทบาทอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชนชายแดน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวมถึงการทรงงานด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงถูกจดจำอย่างลึกซึ้งในมิติการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมงานหัตถกรรมผ้า การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ได้วางรากฐานให้หลายชุมชนในภาคเหนือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคนในพื้นที่เชียงราย พระองค์ไม่ใช่เพียง “สมเด็จพระราชินี” ในเชิงสถานะทางราชสำนัก แต่เป็น “แม่” ในความหมายจริงของคำว่า ผู้หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก

ดังนั้น พิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เหตุการณ์เชิงพิธีกรรมเพียงชั่วโมงเดียว หากเป็นการแสดงออกถึงความต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับสถาบันฯ ที่ยังคงชัดเจนและมีความหมายในสังคมไทยร่วมสมัย

มฟล. กับบทบาท “พื้นที่กลางของความอาลัย” ของชาวเชียงราย

พิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่จำกัดเพียงบุคลากรในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนบทบาทที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งใจจะทำในฐานะ “พื้นที่กลางของสังคมเชียงราย” ไม่ใช่ “พื้นที่เฉพาะของคนในรั้วมหาวิทยาลัย” เท่านั้น

ในแง่นี้ มฟล. ทำหน้าที่คล้ายศูนย์รวมใจของจังหวัดเชียงรายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการสถานที่เพื่อแสดงความอาลัยร่วมกันอย่างสงบและมีเกียรติ พื้นที่ลานเฉลิมพระเกียรติจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ลานหลวงของจังหวัด” ในค่ำคืนนี้ ผู้เข้าร่วมหลายคนสวมเสื้อผ้าสีสุภาพ สีดำ สีเทา และสีขาว บางคนถือดอกไม้ บางคนถือภาพความทรงจำ บางคนเพียงต้องการยืนร่วมแถวแสงเทียนและพนมมือเงียบ ๆ

สำหรับนักศึกษาหลายคน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้ว่าภาษาอย่าง “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือ “พระราชกรณียกิจ” ที่เคยได้ยินในตำรานั้น แท้จริงแล้วมีผลอย่างไรต่อการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และโอกาสของคนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง

กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เพียง “จัดพิธี” แต่กำลัง “จัดความหมายร่วมของจังหวัด”

มติ ครม. และจังหวะที่ทั้งประเทศยืนไว้อาลัยพร้อมกัน

พิธีที่เชียงรายเกิดขึ้นควบคู่กับมาตรการแสดงความอาลัยระดับชาติ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและสังคม ดังนี้

  • ลดธงครึ่งเสา
    ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
  • การไว้ทุกข์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
    ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมีต่อพระราชสถานะและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง
  • การร่วมไว้อาลัยของประชาชนทั่วไป
    ขอความร่วมมือให้ประชาชนร่วมกันแสดงความอาลัยเป็นเวลา 90 วัน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและบริบทของแต่ละพื้นที่

แนวทางดังกล่าวทำให้บรรยากาศในประเทศในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนบุคคลหรือของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของสังคมไทยทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาชน และภาคชุมชนวัฒนธรรมร่วมกัน

ในมิติทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความจงรักภักดีและความอาลัยยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเมืองและวัฒนธรรมสาธารณะของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในพื้นที่ห่างไกล

ความหมายของ “การไว้ทุกข์ร่วมกัน” ในระดับชุมชน

เมื่อมติ ครม. ประกาศออกมาพร้อม ๆ กับพิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมของจังหวัดเชียงรายว่า จะยืนอยู่ในกรอบแห่งความอาลัยเดียวกันกับทั้งประเทศ

จุดนี้มีความสำคัญในเชิงสังคมการเมือง เพราะในยุคปัจจุบันที่ความหลากหลายทางความคิดทางสังคมและการเมืองมีมากขึ้น พิธีสาธารณะในลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ร่วม” ที่ผู้คนสามารถเข้ามายืนเคียงข้างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภูมิหลังเดียวกัน หรือความคิดเห็นทางการเมืองตรงกันทุกประการ หากแต่มีพื้นที่ร่วมทางอารมณ์และความทรงจำประวัติศาสตร์ร่วมกัน

กล่าวอย่างเรียบง่าย ความอาลัยทำให้สังคมกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม

เชียงราย จังหวัดชายแดนที่เติบโตจากพระราชกรณียกิจ

อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง มีทั้งกลุ่มไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ม้ง ลาหู่ รวมถึงชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหภาพเมียนมา พื้นที่เหล่านี้ในอดีตเผชิญทั้งความยากจนเชิงโครงสร้าง การขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยืดเยื้อ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของสมเด็จพระพันปีหลวงคือการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของสตรีและชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมการทอผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่นในฐานะอาชีพเสริมและอาชีพหลัก ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีของคนท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ที่เดิมอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว”

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญด้านการอนุรักษ์ป่าและการจัดระเบียบพื้นที่ทำกิน เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายฐานการดำรงชีพในระยะยาว แนวคิดเรื่อง “คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ทำลายป่า” ซึ่งปรากฏในหลายโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ กลายเป็นแนวนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรที่ได้รับการสืบสานในระดับหน่วยงานรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น สำหรับชาวเชียงราย ความอาลัยในครั้งนี้จึงไม่ใช่อารมณ์ลอย ๆ แต่ผูกพันกับวิถีชีวิตจริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของถิ่นฐาน

มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สืบสานอุดมการณ์ “การพัฒนาคน”

สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดในพิธี คือการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงย้ำบทบาทของตนเองว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างเดียว แต่ยังมีพันธกิจในการสืบสานแนวทางการพัฒนาคนตามรอยพระราชปณิธานของพระบรมวงศานุวงศ์

การจัดพิธีจุดเทียนถวายอาลัยจึงเป็นการส่งสัญญาณทางสถาบันในสามมิติหลัก

  1. มิติศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
    มฟล. ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยของภาคเหนือตอนบน” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค การจัดพิธีถวายอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตคนชายขอบและคนบนพื้นที่สูง จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงโดยตรงของอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยกับพระราชปณิธานของพระองค์
  2. มิติของการให้การศึกษาเชิงคุณค่า (Value-based Education)
    นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีมิได้เพียง “ทำกิจกรรม” แต่กำลังซึมซับกรอบความคิดแบบไทยร่วมสมัยที่ผสานทั้งอัตลักษณ์ชาติ วัฒนธรรมพลเมือง ความจงรักภักดี และจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ นี่คือการสร้างทุนทางสังคม (social capital) ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเป็นบัณฑิตไม่ใช่เพียงเรื่องวุฒิการศึกษา แต่คือการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วย
  3. มิติของความต่อเนื่องทางสังคม
    ในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว พิธีลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นก่อนสามารถถ่ายทอดความหมายของความจงรักภักดี ความกตัญญู และความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สู่คนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ร่วม ไม่ใช่แค่ผ่านตำราเรียน

กล่าวโดยสรุป การจุดเทียนในค่ำคืนนี้จึงเป็นทั้งการไว้อาลัย การประกาศคุณค่า และการส่งไม้ต่อ

ความสงบ งดงาม และความต่อเนื่องของความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบในช่วงท้ายของพิธี หลายคนหลับตาลงพร้อมกับประคองเปลวเทียนในมือ บางคนยกเทียนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย บางคนปิดหน้าไว้กับฝ่ามือ ราวกับพยายามเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในความทรงจำส่วนตัว นั่นคือภาพของความอาลัยที่มิใช่เพียงเรื่องของรัฐ แต่เป็นเรื่องในหัวใจประชาชน

และเมื่อมองในระดับจังหวัด เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ คือการประกาศว่า จังหวัดเชียงราย ในฐานะจังหวัดชายแดนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเชิงชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และสังคม ยังคงยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ และยังคงมุ่งหมายจะสืบสานคุณค่านั้นต่อไป

บทสรุปเชิงนโยบายและสังคม

  1. พิธีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่ใช่เพียงการจัดตามธรรมเนียม แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงสถาบันของมหาวิทยาลัยในฐานะ “พื้นที่กลางทางสังคม” ที่ให้ทั้งบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
  2. มติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดธงครึ่งเสา 30 วัน การไว้ทุกข์ของข้าราชการเป็นเวลา 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนร่วมอาลัย 90 วัน ชี้ให้เห็นถึงน้ำหนักเชิงสถาบันของพระราชสถานะของสมเด็จพระพันปีหลวง และยังตอกย้ำว่าพระองค์ทรงถูกนับเป็นหนึ่งในเสาหลักทางจิตวิญญาณของชาติ
  3. สำหรับจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังย้ำให้เห็นรากทางสังคม-วัฒนธรรมที่ลึก ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่สูง
  4. ในระยะยาว พิธีอาลัยครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมเชิงรำลึกและเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาสืบสานแนวคิดการพัฒนาชุมชน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ผ่านบทบาททางวิชาการและทางสังคมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ท้ายที่สุด ค่ำคืนที่แสงเทียนสว่างขึ้นเหนือพื้นลานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แต่เป็นการให้คำมั่นร่วมกันว่า “พระมหากรุณาธิคุณจะไม่เลือนหาย” และพันธกิจเพื่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส จะยังเดินหน้าต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาจารย์เฉลิมชัย-เซ็นทรัลเชียงราย! มอบเงิน 4 แสน มทบ.37 ส่งต่อกำลังใจทหารกองทัพภาคที่ 2

ศิลปะส่งแรงใจข้ามพรมแดน “ขัวศิลปะ–เชียงราย” มอบรายได้ 417,336 บาท หนุนภารกิจชายแดนภาคอีสาน สะท้อนพลังเครือข่ายศิลปิน–ชุมชน–เอกชน ร่วมค้ำจุนขวัญกำลังใจทหารหาญ

เชียงราย, 20 ตุลาคม 2568 — ท่ามกลางภูมิทัศน์ชายแดนที่ยังคงต้องอาศัยความพร้อมทางยุทธศาสตร์และกำลังใจจากสังคมพลเรือน เสียงกลองสะบัดชัยอีกระลอกดังขึ้นจากเวทีศิลปะเมืองเหนือ เมื่อ “ขัวศิลปะ” (Art Bridge Chiang Rai) นำโดยเครือข่ายศิลปินเชียงราย จัดมอบรายได้จากนิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จำนวน 417,336 บาท ให้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อส่งต่อไปยัง กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ—ภาพสะท้อนความร่วมแรงร่วมใจของเมืองศิลปะที่ใช้ “พู่กันและผืนผ้าใบ” แปลงเป็นพลังใจให้แนวหน้า

จากสตูดิโอถึงแนวหน้า เรื่องเล่าที่เชื่อมโลกศิลปะกับโลกทหาร

เย็นวันหนึ่งของต้นฤดูหนาวภาคเหนือ บริเวณ ค่ายเม็งรายมหาราช เมืองเชียงราย พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 พร้อมคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ยืนรับมอบเช็คและรายการบัญชีรายได้จากผู้แทน “ขัวศิลปะ” และตัวแทน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ รายได้ที่ระดมจากผู้มีจิตศรัทธาและนักสะสมศิลปะทั้งในและนอกจังหวัดถูกประกาศอย่างโปร่งใสเป็นสามส่วนชัดเจน

  • ภาพพิมพ์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ 150,000 บาท
  • รายได้จำหน่ายเสื้อที่ระลึก ลวดลายจากผลงานศิลป์ 73,018 บาท
  • รายได้จากการจำหน่ายผลงานศิลปะ (หลังหักค่าใช้จ่าย) 194,318 บาท

เมื่อรวมทั้งหมด จึงเป็นตัวเลข 417,336 บาท — ตัวเลขที่ไม่ได้สะท้อนเพียง “มูลค่า” หากแต่สะท้อน “คุณค่า” ของการห่วงใยที่ข้ามพรมแดนภาคเหนือไปยังกำลังพลแนวหน้าภาคอีสาน

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ศิลปินผู้ประสานงานหลักของโครงการให้ถ้อยคำสั้น กระชับ แต่หนักแน่นว่า การมอบเงินในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งกำลังใจจากศิลปินทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อแรงใจให้กับเหล่าทหารหาญที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ประเทศ” ขณะที่ พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวขอบคุณแทนพี่น้องทหาร โดยย้ำว่าเงินดังกล่าว จะถูกส่งต่อผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อมอบให้ กองทัพภาคที่ 2 นำไปสนับสนุนภารกิจป้องกันชายแดน โดยเน้นเขตพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” จากแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ

นิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” ถือกำเนิดจากแนวคิดของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ผู้ผลักดันให้ศิลปะทำบทบาทมากกว่าความงาม—แต่เป็น “เครื่องมือ” สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้รักษาอธิปไตยของชาติ แนวคิดนี้แปรรูปเป็นการลงมือทำ ผ่านการระดมศิลปินหลากรุ่นทั่วประเทศ โดยมี “ขัวศิลปะ” เป็นแกนกลางประสานพลัง และได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ตลอดจนร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าที่ระลึกเพื่อการกุศล

รายละเอียดเชิงปฏิบัติการก็ถูกออกแบบอย่างตั้งใจ—เสื้อยืดลวดลายจากผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย ผลิตสองสี (ขาว–ดำ) ผ้า Cotton นุ่ม สวมใส่สบาย มีตั้งแต่ขนาด S ถึง 3XL ราคา 350 บาท (2XL/3XL เพิ่ม 20 บาท) โดยเปิดจุดจำหน่ายหน้าร้าน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย และ เซ็นทรัล เชียงราย (ชั้น G ข่วงล้านนา) ขณะเดียวกันยังมีช่องทางสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเพจ ขัวศิลปะ, พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, และ Art bridge shop เพื่อลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา

วิธีการดังกล่าวสะท้อนภาพ “Soft Power เชียงราย” ที่ก่อรูปจากฐานวัฒนธรรมและเครือข่ายศิลปะเข้มแข็ง—เมืองที่มีทั้ง วัดร่องขุ่น อันเป็นแลนด์มาร์กสากล เครือข่ายศิลปินร่วมสมัยที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และภาคเอกชนที่เข้าใจบทบาทสาธารณะของศิลปะ เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้เชื่อมเข้าด้วยกัน ศิลปะจึงกลายเป็น “สื่อกลาง” ที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในภารกิจชาติได้อย่างจับต้องได้

ทำไม “กำลังใจ” จึงเดินทางจากเชียงรายไปชายแดนภาคอีสาน

แม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดเหนือสุด ติดกับเมียนมาและลาว แต่ “วงจรน้ำใจ” ครั้งนี้มุ่งตรงสู่ กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันมีแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นสมรภูมิภารกิจหลักในช่วงที่ผ่านมา สะท้อน “แนวคิดเครือข่ายชาติเดียวกัน”—ที่ไม่แบ่งแยกเหนือ–อีสาน–กลาง–ใต้ หากแต่เห็นว่าทุกแนวหน้าคือ “ฉันทามติร่วมของสังคมพลเรือน” ที่ต้องประคับประคอง

การเดินทางของกำลังใจในห้วงเวลานี้มิใช่ครั้งแรก เมื่อ 14 สิงหาคม 2568 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้ขับเคลื่อนโครงการ ลำไยไปแนวหน้า” ขนส่งผลผลิต ลำไยคุณภาพกว่า 2,300 กิโลกรัม โดยสายการบินนกแอร์ (DD101 เชียงราย–ดอนเมือง และเชื่อมต่อ DD324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี) เพื่อนำไปเป็นเสบียงและสัญลักษณ์กำลังใจให้กำลังพล กองบิน 21 อุบลราชธานี และหน่วยที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โครงการนี้กลายเป็น “ต้นแบบ” ว่าจังหวัดเมืองรอง สามารถเป็นศูนย์กลางการส่งต่อพลังใจได้จริง หากมีการจัดการและเครือข่ายที่ดี

เมื่อ “พู่กัน” สานต่อ “ปลายกระบอกปืน”

ภาพของศิลปินในสตูดิโอที่ก้มหน้าละเลียดลายเส้น บางทีอาจดูห่างไกลจากภาพของทหารที่เดินลาดตระเวนในพื้นที่ทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริง ทั้งสอง “ยืนอยู่ขอบฟ้าเดียวกัน”—ศิลปินสร้าง “ความหมายและความหวัง” ส่วนทหารสร้าง “ความปลอดภัยและความมั่นใจ” ให้สังคมดำเนินไปได้อย่างปกติ

บนเวทีรับมอบครั้งนี้ จึงไม่แปลกที่ พลตรีจักรวีร์ จะเอ่ยขอบคุณ “อาจารย์เฉลิมชัย–อาจารย์สุวิทย์–และคณะศิลปิน” ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะเงินทุกบาท คือสัญลักษณ์ของสังคมที่รับรู้ “ความเหน็ดเหนื่อยของแนวหน้า”—เงินจำนวนสี่แสนเศษนี้อาจไม่ใช่งบประมาณก้อนใหญ่เมื่อเทียบกับระบบราชการ แต่มี “พลังทางสัญลักษณ์” สูงยิ่ง เพราะสะท้อนความร่วมมือของ ศิลปิน–ชุมชน–เอกชนท้องถิ่น ที่ตั้งใจ “ระดมและลงมือทำ” โดยสมัครใจ

มองผ่านเลนส์ข้อมูล พลังระดมทุนเชิงสัญลักษณ์ที่ส่งผลจริง

ตัวเลข 417,336 บาท หากแยกโครงสร้างจะเห็น “บทบาทแต่ละภาคส่วน” ชัดเจน

  • งานศิลป์ระดับไอคอน (ภาพพิมพ์อาจารย์เฉลิมชัย) สร้าง “แรงดึงดูด” ให้ตลาดศิลปะและนักสะสม พร้อม “ยกระดับราคา” เพื่อการกุศล
  • สินค้าที่ระลึก (เสื้อยืด) เปิดช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนวงกว้างในราคาที่เข้าถึงได้
  • การขายผลงานรวม (หลังหักค่าใช้จ่าย) คือสนามของศิลปินหลากรุ่น ที่ได้ “ร่วมส่งพลัง” ผ่านงานของตน

การทำงานเช่นนี้เท่ากับนำ “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (creative economy)” มาประสาน “ความมั่นคงเชิงมนุษย์ (human security)” อย่างกลมเกลียว—ทั้งยังเกิด ผลคูณ” (multiplier) ต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ผู้ผลิตเสื้อ–ผู้ให้บริการสถานที่–แรงงานติดตั้งนิทรรศการ–สื่อท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย ล้วนได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจพร้อมกับการทำความดีร่วมกัน

บทบาทของเอกชนท้องถิ่น พื้นที่ที่กลายเป็น “เวทีสาธารณะ”

การสนับสนุนสถานที่จัดงานโดย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ทำให้เกิด “เวทีสาธารณะ” ที่ประชาชนเข้าถึงง่าย มีที่จอดรถ มีระบบรักษาความปลอดภัย และมีสื่อสารผ่านช่องทางของห้างฯ เอง ช่วยขยายการรับรู้ให้กว้างไกลกว่าการจัดในแกลเลอรีเฉพาะทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่ ยอดจำหน่ายเสื้อ และ ผลงานศิลปะ จะทำได้ดีในเวลาอันจำกัด—แบบอย่างเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเอกชนท้องถิ่นมองบทบาทของตนมากกว่าแค่ “พื้นที่เชิงพาณิชย์” แต่เป็น “พื้นที่สาธารณะของเมือง” เมืองนั้นย่อมเข้มแข็งขึ้น

เชื่อมร้อย “Soft Power เชียงราย” เข้ากับ “ขวัญกำลังใจชาติ”

ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายสถาปนาตัวเองชัดเจนในฐานะ “นครศิลปะร่วมสมัยของล้านนา”—มีทั้งพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ มีโรงเรียนศิลป์รุ่นใหม่ และมีเทศกาล–งานแสดงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อรวมเข้ากับ เครือข่ายคมนาคม ที่สะดวก (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง, ทางหลวงเชื่อมพรมแดน, โลจิสติกส์เอกชน) เมืองนี้จึงสามารถพลิก “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “ทุนทางสังคม” และ “ทุนทางความมั่นคง” ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ ลำไยไปแนวหน้า” เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 เป็นตัวอย่างชัด—ระบบโลจิสติกส์ทางอากาศที่จัดวางร่วมกับสายการบินพาณิชย์ สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าการเกษตรไปยังหน่วยปฏิบัติการได้ตรงเวลา พร้อมสร้างมูลค่าเชิงสัญลักษณ์ว่า “ชุมชนเกษตรกร” ก็เป็นส่วนหนึ่งของขวัญกำลังใจทหารได้ เช่นเดียวกับที่ครั้งนี้ “ชุมชนศิลปิน” ทำให้เห็นว่าแปรพลังสร้างสรรค์เป็นพลังใจได้เช่นกัน

มุมมองเชิงนโยบาย เมื่อ “การให้” มีระบบและตรวจสอบได้

แม้โครงการจะเกิดจากภาคประชาสังคมและเอกชนท้องถิ่น แต่กลไกการมอบ–รับ–ส่งต่อยังคงดำเนินไปอย่างมีระบบ—มทบ.37 รับมอบในฐานะหน่วยประสานงานพื้นที่ ก่อน ส่งผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 ไปยัง กองทัพภาคที่ 2 เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจชายแดนตามความเหมาะสม ขั้นตอนเช่นนี้ทำให้การใช้จ่าย “เงินสาธารณะจากการบริจาค” มี ความน่าเชื่อถือ และ ตรวจสอบย้อนกลับ ได้

ขณะเดียวกัน การประกาศ ยอดรายได้แยกรายการ (ภาพพิมพ์/เสื้อ/ผลงานอื่น) และการแสดง รายการบัญชีผลงาน ต่อสาธารณะ ก็ช่วยสร้างมาตรฐานโปร่งใส—ย้ำว่าศิลปะมิได้ห่างจากธรรมาภิบาล หากตรงกันข้าม “ยิ่งเป็นศิลปะเพื่อสาธารณะ ยิ่งต้องโปร่งใส”

ถ้อยคำที่ทิ่มใจ แต่อบอุ่น “ศิลปิน” ขอบคุณ “ทหาร” และ “ทหาร” ขอบคุณ “ศิลปิน”

ในพิธีรับมอบ อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ยืนยันบทบาทของศิลปินว่าไม่ได้อยู่แค่หน้าผืนผ้าใบ หากแต่ยืนอยู่รวมแถวกับสังคมเวลาเกิดภารกิจชาติ ส่วน พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวอย่างสะเทือนใจว่าแรงสนับสนุนจากพลเรือนทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ชายแดน “รู้สึกไม่โดดเดี่ยว” และเป็น “พลังเงียบ” ที่ผลักให้ภารกิจยากลำบากเดินหน้าต่อ

คำกล่าวสองฝั่งนี้คือตัวอย่าง “การสื่อสารสองทาง” ที่ควรเกิดในสังคมประชาธิปไตย—ศิลปินยืนยันว่าจะสร้างผลงานเพื่อประเทศได้อย่างไร และทหารยืนยันว่าจะใช้งบที่ได้รับเพื่อความปลอดภัยของประชาชนได้อย่างไร เมื่อบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ความไว้วางใจสาธารณะก็จะหนาขึ้นเรื่อย ๆ

ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้ “โครงการดี” ขยายผลได้จริง

จากบทเรียนครั้งนี้ มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถพิจารณา

  1. ปฏิทินนิทรรศการประจำปี ขัวศิลปะและเครือข่ายควรวาง “คิวประจำ” สำหรับนิทรรศการเพื่อสาธารณะ—อาจหมุนเวียนธีม (กำลังใจทหาร, ทุนการศึกษา, ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้ผู้สนับสนุนเลือกสมทบตามความสนใจ
  2. ดิจิทัลแพลตฟอร์มโปร่งใส สร้างหน้าเว็บ/แดชบอร์ดแสดงยอดบริจาคแบบเรียลไทม์เชื่อมกับเพจขัวศิลปะ–หอศิลป์–เซ็นทรัลเชียงราย เพื่อให้ประชาชนติดตามยอดและเส้นทางเงินจนถึงหน่วยปลายทาง
  3. เครือข่ายภาคธุรกิจท้องถิ่น นอกจากศูนย์การค้า อาจเชิญโรงแรม–ร้านอาหาร–สตูดิโอพิมพ์–โลจิสติกส์ เข้าร่วมเป็น “พันธมิตรการกุศล” เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายและลดต้นทุนการจัดงาน
  4. คู่มือ “ศิลป์เพื่อสาธารณะ” บันทึกกระบวนการทำงานเป็น “Playbook” ตั้งแต่องค์ความคิด–งานภัณฑารักษ์–งานการตลาด–งานการเงิน–งานบัญชี–งานมอบ/รับ/ส่งต่อ เพื่อให้จังหวัดอื่นหยิบไปปรับใช้ได้ทันที

จากแรงบันดาลใจ สู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

จุดตั้งต้นของเรื่องนี้คือ “แรงบันดาลใจ” ของศิลปินชั้นครู—อาจารย์เฉลิมชัย ที่อยากเห็นศิลปะทำสิ่งมากกว่าการประดับผนัง จากนั้นเครือข่ายศิลปิน–ภัณฑารักษ์–เอกชน–สื่อท้องถิ่น จึงร่วมกัน “จัดเวที” ให้แรงบันดาลใจกลายเป็น “งานนิทรรศการ” และกลายเป็น “ยอดระดมทุน” ที่ส่งต่อไปยังแนวหน้าอย่างมีระบบ เมื่อ มทบ.37 รับมอบและ แม่ทัพภาคที่ 3 ส่งต่อไป กองทัพภาคที่ 2 เส้นเรื่องจึงคลี่คลายด้วยผลลัพธ์ที่จับต้องได้—417,336 บาท ที่ห่อด้วยกำลังใจของผู้คนทั้งเมือง

หากจะสรุปบทเรียนสั้น ๆ เรื่องนี้สอนเราว่า เมืองที่มีวัฒนธรรมเข้มแข็ง ย่อมสร้าง “ทุนสังคม” ได้รวดเร็วในยามต้องการ และเมื่อทุนสังคมนั้นไหลไปสู่แนวหน้าที่ต้องการกำลังใจ—ความมั่นใจของทั้งสังคมก็จะไหลกลับคืนมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย
  • ขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • เซ็นทรัล เชียงราย
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย
  • วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI AUTOMOTIVE FEATURED NEWS

Kia ริช เชียงราย ปักหมุดเชียงราย พิสูจน์ “คุณภาพเกินมาตรฐานโลก” ตอบโจทย์ความคุ้มค่า

จากวัฒนธรรมชาติสู่มาตรฐานโลก Kia ปักหมุดเชียงราย พิสูจน์ “ความคุ้มค่า” ด้วยคุณภาพที่ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพเลือกใช้

การขยายตัวในภูมิภาคเหนือสะท้อนกลยุทธ์ระยะยาว และการยอมรับจากกลุ่มมืออาชีพที่ต้องการ “ความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้”

เชียงราย, 18 ตุลาคม 2568 —แสงแดดเหนือเมืองเชียงราย ถนนพหลโยธินย่านชานเมืองเริ่มคึกคัก ครอบครัวหนึ่งเดินเข้าศูนย์ “เกีย ริช เชียงราย” พร้อมคำถามที่ฟังดูธรรมดา แต่กลับเปิดประเด็นใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลก

ทำไมรถ Kia ถึงไม่ออกรุ่นใหม่บ่อย ๆ แบบแบรนด์อื่น?”

คำถามเดียวนี้ เปิดประตูสู่เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์รถยนต์เกาหลีใต้—ประเทศที่สื่อถึงชาตินิยมและการรักษามาตรฐานคุณภาพกลายเป็นวัฒนธรรมฝังลึก จนทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ส่งออกไปทั่วโลกต้อง “เกินมาตรฐานโลก” ไม่ใช่แค่ “พอใจได้” และวันนี้ มาตรฐานนั้นได้เดินทางมาถึงเชียงราย—จังหวัดที่ห่างไกลจากศูนย์กลางกรุงเทพฯ แต่กลับกลายเป็นจุดทดสอบที่แท้จริงว่า คุณภาพที่พูดถึง” จะอยู่รอดได้หรือไม่ในสายตาของผู้บริโภคที่รอบคอบ—โดยเฉพาะ กลุ่มบุคลากรผู้เชี่ยวชาญสุขภาพ ที่กำลังเป็นฐานลูกค้าสำคัญของแบรนด์นี้

วัฒนธรรมเกาหลีใต้ ตัวขับเคลื่อนคุณภาพที่มองไม่เห็น

เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคือ K-pop, ซีรีส์ หรืออาหาร แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่างคือ วัฒนธรรมแห่งความภูมิใจในชาติและการพัฒนาคุณภาพไม่หยุดนิ่ง ที่ถูกปลูกฝังมาหลายทศวรรษ

Kia Corporation ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) เป็นผู้ผลิตรถยนต์แห่งแรกและเก่าแก่ที่สุดของเกาหลีใต้ โดยชื่อ “Kia” มาจากภาษาฮันจา หมายถึง “ลุกขึ้นมาจากเอเชีย” (to arise from Asia to the world)—ชื่อที่สะท้อนปณิธานในการก้าวสู่เวทีโลกตั้งแต่วันแรก

ข้อมูลปี 2019 จากผู้ผลิตชิ้นส่วนจักรยานและท่อเหล็ก Kia ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับสองของเกาหลีใต้ ภายใต้ Hyundai Motor Group โดยมียอดขายกว่า 2.8 ล้านคันต่อปีทั่วโลก

แต่สิ่งที่ทำให้ Kia แตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ คือ การยอมใช้เวลานาน ในกระบวนการทดสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก่อนจะปล่อยสู่ตลาด—การตัดสินใจที่ขัดกับกระแสตลาดที่ต้องการ “ความใหม่” อย่างรวดเร็ว แต่กลับสอดคล้องกับวัฒนธรรมชาติที่ต้องการ “ความเชื่อมั่นในคุณภาพ” มากกว่า

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Kia Carnival—รถ MPV ขนาดใหญ่ที่กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของครอบครัวไทย และเป็นรุ่นที่ Kia “ยืดวงจร” การพัฒนาออกไปนานกว่ารถทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้าง ระบบความปลอดภัย และซอฟต์แวร์ช่วยขับ “ทำงานได้จริง” ไม่ใช่แค่ “ดูดีในสเปก”

จากยุโรป-อเมริกา สู่การยอมรับในตลาดโลก

Kia ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์ที่ขายดีในเอเชีย แต่ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา Kia ได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ในยุโรปจากครอบคลุมเพียง 35% ของเซกเมนต์ตลาด เป็นมากกว่า 80% ในปัจจุบัน และยอดขายในยุโรปเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2008 โดยบรรลุยอดขาย 385,000 คันในปี 2015

ในอเมริกาเหนือ Kia ได้สร้างโรงงานผลิตแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่เมือง West Point รัฐจอร์เจีย เมื่อปี 2006 และเริ่มผลิตรถในปี 2010 ซึ่งถือเป็นการลงทุนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—หลักฐานว่า Kia ไม่ได้แค่ “ส่งออก” แต่ยังกล้า “ลงทุนผลิตในท้องถิ่น” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและรับผิดชอบต่อตลาดระยะยาว

รางวัลที่พิสูจน์ความเชื่อถือได้

ความพยายามในการยกระดับคุณภาพของ Kia ไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิต แต่ยังสะท้อนผ่านรางวัลจากองค์กรอิสระที่เข้มงวดที่สุดในโลก

ในปี 2023 Kia ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุดในกลุ่ม Mass Market จาก J.D. Power U.S. Vehicle Dependability Study เป็นปีที่สามติดต่อกัน (2021-2023) โดยเจ้าของรถรายงานปัญหาน้อยที่สุดหลังใช้งาน 3 ปี

สิ่งที่น่าสนใจคือKia มีคะแนน 152 ปัญหาต่อ 100 คัน (PP100) ซึ่งดีกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นระดับแนวหน้าอย่าง Toyota ที่ได้คะแนน 168 PP100—ตัวเลขที่พิสูจน์ว่ารถเกาหลีไม่ได้ “แพ้” ญี่ปุ่นในเรื่องความทนทาน

นอกจากนี้ Kia ยังได้รับรางวัล 3 เซกเมนต์จาก J.D. Power ในปีเดียวกัน ได้แก่ Kia Forte (Compact Car), Kia Optima (Midsize Car) และ Kia Sportage (Compact SUV)—การได้รับรางวัลในหลากหลายเซกเมนต์แสดงว่าคุณภาพไม่ได้จำกัดเฉพาะรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่เป็น “มาตรฐานทั่วทั้งแบรนด์”

Kia Carnival—MPV ที่กลุ่มบุคลากรผู้เชี่ยวชาญสุขภาพ ไว้วางใจ

เมื่อพูดถึง Kia Carnival รถ MPV ที่กำลังได้รับความสนใจในไทยอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจคือ กลุ่มลูกค้าหลักไม่ได้เป็นเพียงครอบครัวทั่วไป แต่ยังรวมถึง กลุ่มบุคลากรผู้เชี่ยวชาญสุขภาพ ในจังหวัดเชียงรายจากข้อมูลที่พบจากผู้ใช้ในพื้นที่

Carnival รุ่นปัจจุบัน (2022-2025) ได้รับการประเมินจาก IIHS (Insurance Institute for Highway Safety) โดยให้คะแนนสูงสุด “Good” ในการทดสอบการชนด้านหน้าแบบ Small Overlap และ “Acceptable” ในการทดสอบการชนด้านข้าง—การทดสอบที่เข้มงวดและเป็นมาตรฐานสากล

ทำไมผู้เชี่ยวชาญสุขภาพถึงเลือก Carnival?

เหตุผลที่หนึ่ง: ความปลอดภัยที่ตรวจสอบได้

Carnival มาพร้อมระบบช่วยขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ครบชุด ได้แก่ Forward Collision-Avoidance Assist ที่ตรวจจับรถ คนเดินเท้า และจักรยาน พร้อมเบรกอัตโนมัติ, Blind-Spot Collision-Avoidance Assist ที่เตือนและช่วยควบคุมรถเมื่อเปลี่ยนเลน, Lane Keeping Assist และ Lane Following Assist ที่ช่วยรักษาตำแหน่งรถในเลน

นอกจากนี้ โครงสร้างตัวถังของ Carnival ถูกสร้างจากเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง (High-Strength Steel) เพื่อดูดซับแรงกระแทกในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และมีระบบถุงลมนิรภัยครบชุด รวมถึงถุงลมหน้า, ถุงลมด้านข้าง, ถุงลมม่านและถุงลมเข่าคนขับ

เหตุผลที่สอง: ความคุ้มค่าที่วัดได้

Carnival เป็น MPV ที่มีราคาเริ่มต้นต่ำที่สุดในกลุ่ม (ต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดอเมริกา) และมีการรับประกันที่ยาวนานที่สุดในกลุ่ม ในไทย Kia เสนอการรับประกัน 7 ปี สำหรับรุ่นที่เปิดตัวตั้งแต่มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

เหตุผลที่สาม: พื้นที่ใช้สอยจริง

Carnival มีพื้นที่สัมภาระมากที่สุดในกลุ่ม MPV ถึง 145.1 ลูกบาศก์ฟุต (Kia อ้างว่าเป็น “best-in-class”) และมีที่นั่ง 8 ที่นั่ง พร้อมแถวที่สองแบบเบาะ VIP ที่สามารถปรับได้หลายรูปแบบ—เหมาะกับครอบครัวใหญ่ที่ต้องพาผู้สูงอายุหรือเด็กเดินทางไกล

สำหรับผู้เชี่ยวชาญสุขภาพที่ต้อง “รักษาผู้อื่น” การเลือกรถที่ “รักษาความปลอดภัยของคนที่รัก” จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม—และ Carnival ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุด

การขยายตัวของ Kia ในไทย เชียงรายเป็นจุดเชื่อม

ในปี 2567 Kia ได้ก่อตั้ง Kia Sales (Thailand) Co., Ltd. อย่างเป็นทางการ โดยวางแผนกลยุทธ์ “Plan S-5” ที่มีเป้าหมาย 4 ประการ: (1) ครองส่วนแบ่งตลาด 5% ในตลาดรถยนต์นั่ง, (2) ยอดขายรถไฟฟ้า 50%, (3) อันดับ Top 5 ของการรับรู้แบรนด์, และ (4) ขยายเครือข่ายดีลเลอร์เป็น 5 เท่า

ณ สิ้นปี 2566 Kia มีดีลเลอร์และศูนย์บริการ 19 แห่ง และวางแผนเพิ่มอีก 10 แห่งในปี 2567—การขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สะท้อนความมั่นใจในตลาดไทย

เชียงรายเป็นหนึ่งในจุดสำคัญ ของการขยายเครือข่ายนี้ เนื่องจาก:

  1. ฐานลูกค้าที่มีศักยภาพ: เชียงรายและพะเยามีกลุ่มแพทย์ นักธุรกิจ และครอบครัวขยายที่มีกำลังซื้อสูง และต้องการรถที่เชื่อถือได้สำหรับการเดินทางระยะไกล
  2. การเดินทางท้าทาย: ภูมิประเทศเหนือมีทั้งภูเขา ทางโค้ง และสภาพอากาศแปรปรวน—เป็นสนามทดสอบที่ท้าทายความทนทานของรถอย่างแท้จริง
  3. การแข่งขันที่สูง: ตลาดภาคเหนือมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีฐานลูกค้าแข็งแรงมานาน การที่ Kia สามารถเข้ามาและได้รับการตอบรับที่ดีแสดงว่า “คุณภาพและความคุ้มค่า” เป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญจริง ๆ

จากข้อมูลภายใน ศูนย์ “เกีย ริช เชียงราย” ได้รับการตอบรับที่ดี จนต้องมีการขยับขยายสถานที่ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า—ทั้งจากเชียงรายเองและจังหวัดใกล้เคียงอย่างพะเยา เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน

เหตุใด “วงจรยาว” จึงเป็น “ข้อได้เปรียบ”

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม Kia ถึงไม่ออกรุ่นใหม่บ่อย ๆ?” คำตอบคือ: เพราะ Kia เลือก “ความปลอดภัย” มากกว่า “ความใหม่”

ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รถยนต์ส่วนใหญ่มีวงจรการพัฒนา (Product Cycle) ประมาณ 5-7 ปี โดยมี “ไมเนอร์เชนจ์” (Minor Change) ในช่วงกลาง ๆ เพื่อรักษาความสดใหม่

แต่ Kia—โดยเฉพาะในรุ่นครอบครัวอย่าง Carnival—ยอมใช้เวลานานขึ้น เพื่อ:

  1. ทดสอบโครงสร้างความปลอดภัย (Passive Safety)

โครงสร้างตัวถังแบบใหม่ต้องผ่านการทดสอบการชนหลายรูปแบบ—ทั้งการชนหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง และการพลิกคว่ำ—ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้แน่ใจว่า “กรงนิรภัย” ทำงานได้จริง

  1. ปรับแต่งระบบช่วยขับ (Active Safety/ADAS)

ระบบ ADAS ต้องผ่านการ “เรียนรู้” สถานการณ์ชายขอบ (Edge Cases) เช่น ฝนกลั่น หมอกหนา แดดย้อน หรือเส้นจราจรเลือน—สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่ยากต่อการจำลองในห้องแล็บ

  1. รักษามาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

Kia ต้องการให้รถที่ขายในไทย มีมาตรฐานความปลอดภัยใกล้เคียงหรือเท่ากับที่ขายในยุโรปและอเมริกา—ไม่ใช่ “รุ่นตัดอุปกรณ์” ที่หลายแบรนด์ทำในตลาดพัฒนาแล้ว

เมื่อรวมสามปัจจัยนี้เข้าด้วยกัน “วงจรยาว 6-8 ปี” จึงไม่ใช่ความล่าช้า แต่คือ การลงทุนด้านความปลอดภัยระยะยาว ที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์จริง—เพราะเมื่อรถออกมาแล้ว มันจะ “ใช้งานได้จริง มีปัญหาน้อย และปลอดภัยสูง”

มองอนาคต—Kia กับการขยายตัวในอาเซียน

Kia กำลังพิจารณาสร้างโรงงานผลิตแห่งแรกในอาเซียนที่ประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 250,000 คันต่อปี—การลงทุนครั้งใหญ่ที่จะทำให้ Kia เป็น “ผู้เล่นหลัก” ในตลาดอาเซียนอย่างเต็มตัว

ระหว่างปี 2024-2030 Kia วางเป้าหมายเปิดตัวรถไฟฟ้า (EV) 15 รุ่น โดยมีเป้าหมายยอดขายรถไฟฟ้า 1.6 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030—การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่จะทำให้ Kia กลายเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค

สำหรับตลาดไทย Kia วางเป้ายอดขาย 50% จากรถไฟฟ้าภายในปี 2030 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “30@30” ของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้รถไฟฟ้าคิดเป็น 30% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030

บทเรียนจากเชียงราย “ความเชื่อใจ” เริ่มที่บริการหลังการขาย

การที่ Kia สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดภาคเหนือซึ่งแบรนด์ญี่ปุ่นครองมานาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ราคาถูก” เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ การบริการหลังการขาย” ที่ต้องทำให้ลูกค้ามั่นใจว่า:

  1. มีศูนย์บริการใกล้บ้าน – ไม่ต้องขับรถไปกรุงเทพฯ เมื่อมีปัญหา
  2. มีอะไหล่พร้อมใช้ – ไม่ต้องรอนาน
  3. ช่างเข้าใจระบบ ADAS – ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง
  4. การรับประกันชัดเจน – โดยเฉพาะการรับประกัน 7 ปีที่ Kia ให้

จากการสังเกตในพื้นที่เชียงราย พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ทดลองขับก่อนตัดสินใจซื้อ—พฤติกรรมที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ ที่หลายคนตัดสินใจจากรีวิวออนไลน์ นี่แสดงว่าลูกค้าภาคเหนือ “รอบคอบ” และต้องการ “สัมผัสด้วยตัวเอง” ก่อนลงทุน

การที่ศูนย์ “เกีย ริช เชียงราย” ต้องขยายสถานที่หลังเปิดมายังไม่ถึง 1 ปี เป็นสัญญาณที่ดีว่า Kia กำลังสร้าง “ความเชื่อใจ” ในพื้นที่ได้สำเร็จ—และความเชื่อใจนั้นมาจาก “ประสบการณ์จริง” ของลูกค้า ไม่ใช่แค่โฆษณา

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพกับการเลือกรถ เหตุผลเชิงจิตวิทยา

การที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญสุขภาพเป็นลูกค้าหลักของ Kia ในเชียงรายนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนเหตุผลเชิงจิตวิทยาที่น่าสนใจ:

  1. ความเชี่ยวชาญในการประเมินความเสี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพคือผู้เชี่ยวชาญในการ “ประเมินความเสี่ยง” และ “ตัดสินใจบนพื้นฐานของหลักฐาน” (Evidence-Based Decision) ในชีวิตประจำวัน เมื่อเลือกรถ พวกเขาจึงมองหา “หลักฐาน” ที่ตรวจสอบได้—เช่น ผลทดสอบจาก IIHS, คะแนน J.D. Power หรือสถิติความน่าเชื่อถือ—มากกว่าภาพลักษณ์แบรนด์

  1. การให้ค่ากับ “เวลา”

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพมีเวลาจำกัด การเลือกรถที่ “ทนทาน มีปัญหาน้อย” ช่วยประหยัดเวลาในการซ่อมบำรุง—และ Kia ที่มีคะแนน 152 PP100 (น้อยกว่า Toyota) จึงตอบโจทย์นี้ได้ดี

  1. ความรับผิดชอบต่อครอบครัว

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพที่ “รักษาชีวิตผู้อื่น” มีความรู้สึกรับผิดชอบสูงต่อ “ชีวิตคนในครอบครัว” การเลือกรถที่มีระบบความปลอดภัยครบ จึงเป็นการ “รักษาคนที่รัก” ในอีกรูปแบบหนึ่ง

  1. ความคุ้มค่าระยะยาว

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพเข้าใจเรื่อง “การลงทุนระยะยาว” ดี การที่ Kia ให้การรับประกัน 7 ปี และมีต้นทุนการซ่อมบำรุงต่ำ จึงเป็น “การลงทุนที่คุ้มค่า” เมื่อคิดใน Total Cost of Ownership

นี่คือเหตุผลที่ Carnival ไม่ได้เป็นเพียง “รถครอบครัวทั่วไป” แต่กลายเป็น “เครื่องมือรักษาความปลอดภัย” ในสายตาของกลุ่มมืออาชีพ

จากวัฒนธรรมชาติสู่มาตรฐานโลก—บทเรียนของ Kia

เรื่องราวของ Kia ไม่ใช่เรื่องของ “แบรนด์รถราคาถูก” อีกต่อไป แต่คือเรื่องของ “แบรนด์ที่เลือกคุณภาพมากกว่าความเร็ว”

จากวัฒนธรรมชาตินิยมของเกาหลีใต้ที่ฝังลึก มาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ “ยอมใช้เวลา” เพื่อทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้รับการยอมรับจากตลาดที่เข้มงวดที่สุดในโลกอย่างยุโรปและอเมริกา และสุดท้ายมาถึงเชียงราย—จังหวัดที่ห่างไกลจากศูนย์กลาง แต่กลับเป็น “สนามทดสอบที่แท้จริง” ของคุณภาพและความคุ้มค่า

การที่ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพ—ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาชีวิต—เลือก Kia Carnival เป็น “เครื่องมือรักษาความปลอดภัยของครอบครัว”  ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการตัดสินใจ “บนพื้นฐานของหลักฐาน” —ทั้งผลทดสอบ IIHS, คะแนน J.D. Power, ระบบ ADAS ครบชุด และการรับประกัน 7 ปี

ในยุคที่ตลาดรถยนต์เต็มไปด้วย “ความใหม่” ที่เปลี่ยนไปทุก 2-3 ปี Kia กลับเลือก”ความมั่นคง”ที่ทดสอบมา 6-8 ปี—และนั่นคือสิ่งที่ผู้บริโภคที่มองหา “ความปลอดภัย” มากกว่า “ความแฟชั่น” ต้องการจริง ๆ

สำหรับเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง การขยายตัวของ Kia ไม่ใช่แค่ “มีโชว์รูมเพิ่ม” แต่คือ”การเข้าถึงมาตรฐานโลก” ที่ไม่ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ—และเมื่อศูนย์บริการรักษามาตรฐานได้จริง “ความเชื่อใจ” จะกลายเป็น “ความภักดี” ที่ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในท้ายที่สุด คำถามไม่ใช่ “ทำไม Kia ถึงเปลี่ยนโฉมช้า?” แต่คือ “คุณพร้อมจะรอความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้หรือไม่?”—และคำตอบของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญสุขภาพในเชียงรายคือ “พร้อม เพราะชีวิตคนที่รักมีค่ามากกว่าการไล่ตามแฟชั่น”

สนใจติดต่อ Kia Rich Chiangrai 053-798-799, 065-239-2353

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • J.D. Power U.S. Vehicle Dependability Study 2023
  • IIHS (Insurance Institute for Highway Safety)
  • U.S. News & World Report – Best Cars Rankings
  • Kia Rich Chiangrai 053-798-799, 065-239-2353
  • Kia Sales (Thailand) Co., Ltd.
  • Kia Europe (เว็บไซต์ทางการ)
  • Kia Motors Manufacturing Georgia
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มรภ.เชียงราย ปั้น “ชาดอกซ้อ” ไทลื้อบ้านหาดบ้าย พลิกวิกฤตความหายาก สู่ Functional Tea ระดับโลก ด้วยนวัตกรรม

ดอกซ้อ” พืชพื้นถิ่นไทลื้อ พลิกวิกฤตความหายาก สู่ “Functional Tea” ระดับโลก ยุทธศาสตร์นวัตกรรมที่ท้าทายพลวัตตลาดชามูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 – ในขณะที่ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่พลวัตการค้าระหว่างประเทศกลับแสดงการหดตัวในกลุ่มชาดั้งเดิมอย่างน่าตกใจ แต่กระแสของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อแห่งบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ถูกนำมาผนวกเข้ากับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยกระดับ “ชาดอกซ้อ” ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นที่ออกดอกเพียงปีละครั้ง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าสูง (Functional Tea) ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่นของไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดพรีเมียมโลกที่กำลังมองหาสินค้าที่มี “เรื่องราว” และ “คุณสมบัติที่เหนือกว่า”

การเดินทางของดอกซ้อจาก “ขนมประจำเทศกาล” สู่ “ชาสุขภาพไร้คาเฟอีน” ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ แต่ยังเป็นการก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกได้อย่างถูกจังหวะ ตามข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่ระบุว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาเพื่อสุขภาพเพื่อรักษาและขยายความได้เปรียบทางการค้า

จากต้นไม้พื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ดอกซ้อ (Dok Sor) เป็นต้นไม้พื้นถิ่นทางภาคเหนือที่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น ซึ่งทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เนื้อไม้นำมาทำเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ครก เขียง ซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ไม้ซ้อ ตัวใบใช้เป็นสมุนไพรในการต้มอาบหรือแก้ผดคัน ส่วนผลสุกสามารถนำมาขยี้แล้วกินกับข้าวเหนียว ซึ่งเป็นความรู้ด้านการใช้ประโยชน์ที่บรรพบุรุษชาวไทลื้อได้ส่งต่อกันมาเป็นเวลานาน

เดิมที ดอกซ้อมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับชาวไทลื้อบ้านหาดบ้าย คือการนำดอกมาทำเป็น “ขนมดอกซ้อ” ซึ่งเป็นขนมที่รับประทานเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเท่านั้น การทำขนมดอกซ้อเพื่อถวายพระในวันสงกรานต์นั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นปีใหม่ สัญญาว่าทั้งปีจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ความคิดริเริ่มของชาวบ้านกลับพลิกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ของพืชพื้นถิ่นนี้ให้ไปไกลกว่าขนมดั้งเดิม

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญว่า “เริ่มแรกเกิดจากความคิดที่ว่า หากดอกซ้อสามารถนำมาทำขนมได้ ไฉนจึงไม่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้บ้าง” ความพยายามในการนำมาแปรรูปเป็นชาเริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูกหลายปี ก่อนที่จะได้รับความร่วมมือครั้งสำคัญจากคณะวิทยาการจัดการและคณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ภายใต้โครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย

“ครั้งแรกที่เอามาทำเป็นน้ำดอกซ้อ เราก็ลองผิดลองถูกนานมาก เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ก็เลยต้องศึกษาจากภูมิปัญญาบ้านเรา แล้วก็ลองคิดคิดได้อะไรขึ้นมา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพ” นางสนองเล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาได้นำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงเรื่องราว และการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของชุมชน

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และคุณสมบัติที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพโลก

ชาดอกซ้อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากชาสมุนไพรอื่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้เสริมสร้างจุดเด่นของชาดอกซ้อในมิติทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความหายากและมีกลิ่นเอกลักษณ์ ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นความแตกต่างพื้นฐานของผลิตภัณฑ์นี้

ประการแรก คือกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว ชาดอกซ้อมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทีเป็นธรรมชาติผ่านการตากแดด กลิ่นของมันจะหอมคล้าย “น้ำผึ้งป่า” และดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พบได้ทั่วไปในชาสมุนไพรทั่วไป และมีรสหวานอ่อน ๆ ในตัวชาเอง ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือกลิ่นอโรมา (Aroma) นี้ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับผึ้งป่าที่ไปตอมต้นซ้อแล้วนำกลิ่นเนกตาร์มาสู่ดอกซ้อ เป็นเหตุให้ชาดอกซ้อมีลักษณะเฉพาะตัว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์

คุณสมบัติด้านสุขภาพที่โดดเด่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระบุว่า ชาชนิดนี้ไม่มีคาเฟอีน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้คาเฟอีน เนื่องจากไม่กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ความไม่มีคาเฟอีนนี้เองทำให้ชาดอกซ้อกลายเป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับบุคคลที่ต้องการลดการบริโภคสารกระตุ้นระบบประสาท

นอกจากนั้น ชาดอกซ้อยังช่วยผ่อนคลายและส่งเสริมการหลับสบาย เนื่องจากไม่มีคาเฟอีน และมีกลิ่นอโรมาคล้ายดอกไม้ป่า นักโภชนาการจึงแนะนำว่า ชาชนิดนี้เหมาะสำหรับการดื่มก่อนนอน ชาดอกซ้อมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มที่เรียกว่า “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในชาสมุนไพรทั่วไป แต่จากการส่งตรวจในห้องแล็บ พบว่าในปริมาณชา 500 กรัม มีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูงถึงประมาณ 600 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาสมุนไพรอื่นในตลาด สารกลุ่มนี้ช่วยลดไขมันในเลือด ต้านการเกิดอักเสบในร่างกาย

ความท้าทายในการผลิต และนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกม

ความท้าทายหลักที่ขวางกั้นไม่ให้ชาดอกซ้อขยายตัวในตลาดคือ ข้อจำกัดด้านการเก็บวัตถุดิบและการรักษาคุณภาพ ดอกซ้อเป็นพืชพิเศษที่ออกดอกในช่วง ธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน เท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้น ดอกซ้อที่เก็บมานั้นเน่าเสียง่ายมาก และต้องเก็บและนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นดอกจะเหี่ยวในตอนเย็น ซึ่งทำให้การผลิตมีข้อจำกัดด้านปริมาณและคุณภาพ

ไม่เพียงแต่เวลาการเก็บหรือระยะเวลาการรักษาความสด พื้นที่ปลูกดอกซ้อก็มีข้อจำกัด ต้นซ้อบางต้นใช้เวลาปลูกหลายปีกว่าจะเติบโตและออกดอกได้ การออกดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้นนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อให้สามารถจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัย ทีมวิจัยจึงนำ “ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์” เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมในการผลิตชาดอกซ้อ

อาจารย์ธงชัย ลาหุนะ

ด้าน ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะวิจัยผู้พัฒนาชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย อธิบายว่า หากตากแบบทั่วไปข้างนอก ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ซึ่งทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) มากเกินไป และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน เมื่อนำตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาใช้ ระยะเวลาการตากลดลงเหลือเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นการเร่งให้ชาแห้งเร็วที่สุดโดยยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของชา

นวัตกรรมนี้มีประโยชน์หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มปริมาณการเก็บสต็อกให้จำหน่ายได้ตลอดปี แต่ยังช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกลิ่นต่างๆ ของชาดอกซ้อให้คงอยู่ และยังช่วยป้องกันความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดจากการตากภายนอก เช่น ฝุ่นละออง สัตว์ แมลง หรือเศษหญ้า ทำให้กระบวนการจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มาตรฐาน GHP และกระบวนการผลิตที่เข้มงวด

เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าชาดอกซ้อมีกระบวนการผลิตที่ถูกสุขอนามัย ทางโครงการได้ให้ความรู้และส่งเสริมเรื่อง GHP (Good Hygiene Practice) หรือสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานการควบคุมคุณภาพอาหารรูปแบบหนึ่งที่รับรองโดยหน่วยงานสาธารณสุข

ผู้ช่วยศาสตราจารย์กนกวรรณ ปลาศิลา และอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นผู้นำร่องในการให้ความรู้เรื่องนี้ พวกเขาได้ยกตัวอย่างขั้นตอนสำคัญที่ได้เข้าไปปรับปรุงและควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ชาดอกซ้อถูกผลิตตามมาตรฐานการอาหารปลอดภัย

ขั้นตอนแรก คือการคัดแยกเบื้องต้นและการทำความสะอาด เนื่องจากดอกซ้อร่วงลงพื้นก่อนจึงมีการเก็บ จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ขั้นตอนแรกคือการคัดแยกดอกที่เสีย ดอกที่ไม่สมบูรณ์ หรือดอกที่มีการปนเปื้อนแมลงออกไปก่อน หลังจากนั้นต้องทำความสะอาดด้วยการล้างเพื่อขจัดฝุ่นละอองและเศษต่างๆ

ขั้นตอนที่สอง คือการควบคุมอุณหภูมิและการฆ่าเชื้อ การใช้ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากจะช่วยให้ชาแห้งเร็วแล้ว ยังช่วยในการควบคุมอุณหภูมิและความร้อนจากแสงแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อความชื้นและจุลินทรีย์ที่อยู่ในชา ซึ่งช่วยลดการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน

ขั้นตอนที่สาม คือการจัดการสินค้าคงคลังและการแปรรูปขั้นสุดท้าย มีการวางระบบ First in First Out (FIFO) ในการจัดเก็บ ก่อนการบรรจุลงถุงเล็กๆ ทางกลุ่มจะนำชามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดอีกรอบ คือ การอบด้วยลมร้อน (Hot Air Oven) โดยใช้เตาอบขนาดเล็ก การอบด้วยเตาเล็กๆ มีเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาดอกซ้อเสียความหอม หากอบปริมาณมากและทิ้งไว้นาน กลิ่นจะหายไป ขั้นตอนนี้เป็นการควบคุมคุณภาพขั้นสุดท้ายก่อนการแพ็ค

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการควบคุมสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การสวมเสื้อผ้า ใส่ถุงมือ และการแบ่งโซนการผลิตที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนข้าม (Cross Contamination) ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสของเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอม

ซึ่งเราได้วางแผนกระบวนการพัฒนาชาดอกซ้อให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพชาดอกซ้อ เพื่อเข้าสู่มาตราฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช) และการขอเลขสารบบขององค์การอาหารและยา(อย.) ในลำดับต่อไป

ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา

กลยุทธ์การเล่าเรื่องราว Storytelling และการสร้างแบรนด์

โครงการวิจัยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านวิทยาศาสตร์และการผลิตเท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์การ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายผ่านผลิตภัณฑ์ชาดอกซ้อ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ อธิบายว่า กลยุทธ์ในการสื่อสารเรื่องราวนี้คือการนำอัตลักษณ์ของบ้านหาดบ้ายมานำเสนอผ่านบรรจุภัณฑ์ โดยดึงเอาองค์ประกอบสำคัญของวิถีชีวิตไทลื้อมาใช้ในการออกแบบ

อย่างเช่น ผ้าทอไทลื้อบ้านหาดบ้าย มีความโดนเด่นด้านภูมิปัญญาหัตถกรรมการทอผ้า และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ลวดลายต่างๆ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่น ลายแมงปอ ลายตาไก่ ลายขอใหญ่ ลายขอเล็ก โดยเราได้นำผ้าทอไทลื้อมาสื่อสารผ่านการออกแบบบนบรรจุภัณฑ์เพื่อทำเป็นของที่ระลึก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการนำวัสดุในชุมชนมาต่อยอด สร้างสรรค์เป็นบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงเพิ่มมูลค่า แต่ยังกระจายรายได้สู่ชุมชนและส่งเสริม Soft Power ไทย

ตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม

ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับพลวัตตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 การส่งออกชาดำหดตัว -3.0% ชาเขียว -7.3% แต่ผลิตภัณฑ์ชาแปรรูป (HS 210120) เติบโต +11.9% สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยสวนทางโลก โดยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์เติบโต +13.6% (70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) ชาเขียว +65.2% และใน 8 เดือนแรกปี 2568 เติบโต +21.4% (53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในประเทศ ตลาดชาพร้อมดื่ม (RTD) มีมูลค่า 16,834.7 ล้านบาท (+6.8%) ชา Specialty ร้านใหม่ +205% ใน 3 ปี มัทฉะฟีเวอร์ ยอดสั่งซื้อ 5 ล้านแก้ว (+78%) ชาดอกซ้อจึงมีโอกาสเติมช่องว่าง โดยเฉพาะการนำเข้าผลิตภัณฑ์ชาแปรรูปที่เพิ่ม +13.4% (22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การส่งออกกลุ่มนี้หด -2.5%

การต่อยอดไม่ได้หยุดแค่ชา ทีมวิจัยวางแผนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ น้ำพริกผั่วทรายชาดอกซ้อ และกัมมี่ชาดอกซ้อสำหรับเด็ก อาจารย์ธงชัย กล่าวว่า “จริงๆ ทำอยู่นะ ได้นำแนวคิดในโครงการวิจัยครั้งนี้ เอาไปเป็นโปรเจ็กต์ให้กับนักศึกษา แล้วก็ได้มีการทดลองทำ ก็คือเป็นอาหารเป็นขนม จะมีขนมที่เกี่ยวกับเบเกอรี่ อย่างเช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ อันนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่เป็นแบบสมัยใหม่หน่อยก็คือเป็นอาหารแบบเบเกอรี่ น้ำพริกผั่วทราย ชามะนาวชาดอกซ้อน้ำชามะนาวจะเป็นแบบทานเย็นหรือร้อน อีกอันหนึ่งก็คือจะมีกัมมี่ชาดอกซ้อ ก็คือใช้ประโยชน์ที่เป็นตัวของมันด้วย ซึ่งมันก็บาง เด็กมันไม่ชอบกินเรื่องของผักแล้วก็เอาตัวใยอาหารที่มันอยู่ในดอกซ้อเอามาทำเป็นกัมมี่ มันก็เด็กมันก็กินได้ เพราะถ้าเป็นชาปกติทั่วไปเด็กมันไม่ค่อยกินกัน มันก็สามารถตอบโจทย์ให้กับเด็กได้ด้วย” การขยายเครือข่ายรับซื้อดอกซ้อจากชุมชนใกล้เคียงยังกระจายรายได้ ส่งเสริมการปลูกต้นซ้อซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวและความยั่งยืน

เอกลักษณ์ ดอกซ้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวถึงจุดเปลี่ยนว่า “ตอนแรกที่เอามาทำเป็นดอกซ้อก็คือเอามาทำผ่านกระบวนการการแห้งเอาตากแห้งทำความสะอาดล้างตากแห้งอะไรต่างๆ พอเรามาทำเป็นน้ำดอกซ้อแรกๆ ก็มีหลายที่ก็ เอ๊ะ ทำไมชั้นก็ไม่เคยเห็น เหมือนเหมือนตอนนั้นว่าทำไมดอกซ้อมาทำเป็นน้ำดื่มได้เหรอ คือคนในพื้นที่เขาจะมองว่ามันมันไม่น่า แต่พอเราลองเอามาทำ เออก็กลายเป็น มันได้ผลตอบรับที่น่าภูมิใจ ก็คือนักท่องเที่ยวที่มา เขาบอกว่า เอ๊ะ ชิมแล้วมันแปลก แล้วก็มันกลิ่นหอมของดอกซ้อ มันเป็นเอกลักษณ์ ชงมันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง จุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เมื่อมีหน่วยงานทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้ในเรื่องของชาดอกซ้อ โดยมีโครงการวิจัย ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะได้ไหม เพราะหนึ่งเรายังไม่ได้มีมาตรฐานอะไรรับรองตอนนั้นตอนที่ทำใหม่ๆ เราทำเป็นแค่น้ำดอกซ้อเฉยๆ แต่พอเราทำไปทำมากลายเป็นว่าผลตอบรับที่เราได้จากนักท่องเที่ยว แล้วผู้คนที่มาเที่ยวบ้านเรา ลองชิมแล้วก็มาลองเราลองเอามาต้อนรับนักท่องเที่ยว กลายเป็นว่ามันเป็นผลตอบรับที่น่าภูมิใจ แล้วก็พอมีทางมหาวิทยาลัยเข้ามาสนับสนุนให้เรามั่นใจมากขึ้นในตัวผลิตภัณฑ์”

สำหรับการผลักดันให้ชาดอกซ้อเป็น “ของดีที่ต้องแวะชิม” นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวว่า “การที่เราแนะนำนำเสนอในส่วนของดอกซ้อตัวผลิตภัณฑ์ของดอกซ้อเองก็คือหนึ่งอันดับแรกก็คือการทำขนมแน่นอนอยู่แล้ว อันนี้เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม มรดกที่บรรพบุรุษเขามอบให้เรามาเรามาสานต่อในเรื่องของการนำเสนอ ให้ให้แขกผู้มาเยือนได้ลองชิมทำขนมบ้างทำน้ำบ้าง ซึ่งเราจะใช้ในการต้อนรับแขกนักท่องเที่ยวที่มาจัดเบรกบ้าง ให้ต้อนรับทำเป็นนะคะ อันนี้ก็คือหลังจากที่เราทำท่องเที่ยวก็กลายเป็นว่าทำให้ดอกซ้อกลายเป็นมีชื่อเสียงขึ้นมา และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าต่อไปในอนาคต ดอกซ้อจะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่านี้โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยตอนนี้เริ่มเอา คิดค้นในเรื่องเมนูต่างๆ ขนม จากในไม่ว่าขนมแบบโบราณ หรือว่าขนมที่สากลแบบขนมแบบเค้กทำกัมมี่อะไรพวกนั้นเยอะแยะขึ้นไป อันนี้ก็จะเป็นแล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราอยากเราเราทำให้เราให้นักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับดอกซ้อด้วยเกี่ยวกับเรื่องอาหาร”

ผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย

ในบทสรุป ชาดอกซ้อบ้านหาดบ้ายเป็นตัวอย่างชัดเจนของการผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย ท่ามกลางตลาดชาโลกที่กำลังเปลี่ยนสู่ Functional Teas รัฐบาลควรสนับสนุนนโยบายการลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูป เพื่อลดการพึ่งพานำเข้าและขยายส่งออก HS 210120 ซึ่งเติบโต +11.9% ชาดอกซ้อไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทลื้อสู่โลก หากรัฐและชุมชนเดินหน้าต่อยอด ศักยภาพนี้จะสร้างรายได้ยั่งยืนและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างมหาศาล คิดดูสิว่า พืชหายากปีละครั้งจะเปลี่ยนชีวิตชุมชนได้อย่างไร หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพถ่าย : กีรติ ชุติชัย
  • สนค. (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า) กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงพาณิชย์ (MOC)
  • The Standard
  • The Bangkok Insight
  • กรมการค้าต่างประเทศ (DFT)
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ คณะวิทยาการจัดการ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย จังหวัดเชียงราย
  • ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์
  • นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ประวัติศาสตร์วงการโรงแรมไทย เดอะ ริเวอร์รีฯ คว้า Hall of Fame รางวัลสูงสุด “กินรี”

ประวัติศาสตร์วงการโรงแรมไทย เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี’ คว้า Hall of Fame รางวัลสูงสุด ‘กินรี’ ตอกย้ำเชียงรายคือต้นแบบบริการระดับโลก

เชียงราย, 5 ตุลาคม 2568 – ยามเย็นริมแม่น้ำกกมักจะนิ่งและงดงาม แต่ในค่ำคืนนี้ ชื่อของโรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น ไม่ได้สะท้อนเพียงประกายจากผิวน้ำ หากเปล่งประกายบนเวทีระดับประเทศ เมื่อโรงแรมจากจังหวัดเชียงราย “จารึก” ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการโรงแรมไทย ด้วยการคว้ารางวัล Hall of Fame ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดของเวที Thailand Tourism Awards 2025 หรือที่รู้จักในนาม “รางวัลกินรี” ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้หยุดแค่หนึ่ง แต่เป็น “ทริปเปิลรางวัล” ที่ชี้ชัดว่า “มาตรฐาน” และ “ความยั่งยืน” เดินคู่กันแบบจับต้องได้ ได้แก่

  1. Hall of Fame Awards – รางวัลเกียรติยศสูงสุด ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้มีเพียง 6 สถานประกอบการ จากทั่วประเทศที่ได้รับ และ เดอะ ร riverรี เป็นหนึ่งเดียวของประเภทที่พักที่ก้าวขึ้นสู่หอเกียรติยศจากการชนะต่อเนื่อง 3 ครั้ง,
  2. Thailand Tourism Excellence Awards – รางวัลยอดเยี่ยมด้านความเป็นเลิศการท่องเที่ยวไทย และ
  3. Thailand Tourism Sustainability Awards – รางวัลยืนยันการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

พิธีมอบรางวัลซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ออสการ์แห่งวงการท่องเที่ยวไทย” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ท่ามกลางสายตาร่วมยินดีของผู้บริหารภาครัฐ เอกชน และตัวแทนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น

รางวัลกินรีคือความภาคภูมิใจสูงสุดของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย และคือผลลัพธ์จากความตั้งใจจริงของเราในการสร้างสรรค์คุณภาพ มาตรฐาน และการบริการที่ดีที่สุดเพื่อผู้มาเยือนเชียงรายและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”
คุณสมบัติ อติเศรษฐ์ กล่าวในช่วงกล่าวต้อนรับ (5 ต.ค. 2568 เวลา 17.39 น.)

ด้าน คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเล็คชั่น เสริมว่า

“ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงรางวัล แต่คือแรงผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน และการเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่ระดับสากล”

สามรางวัล” ที่สะท้อนระบบ มากกว่าความงามปลายทาง

รางวัลกินรีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 โดย ททท. เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวไทย—ทั้งมิติประสบการณ์และความไว้วางใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก Hall of Fame จึงไม่ใช่รางวัลที่ได้จาก “ภาพลักษณ์สวยงาม” เพียงชั่วครู่ แต่เป็นเครื่องหมายว่าผู้ประกอบการรายนั้น รักษามาตรฐาน “ยอดเยี่ยม” อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง 3 ครั้ง จนสมควรได้รับการยกขึ้นสู่ “หอเกียรติยศ”

ในเชิงการจัดการ นี่เทียบได้กับการทำ “ออดิตคุณภาพ” ข้ามเวลา ปีแรกอาจยาก, ปีที่สองเริ่มสร้างวัฒนธรรมองค์กร, ปีที่สามคือการพิสูจน์ว่าระบบทั้งหมด—ตั้งแต่แนวคิดบริการ การดูแลบุคลากร การบริหารซัพพลายเชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม—อยู่ในราง จนเป็นเนื้อเดียวกับองค์กร

ความสำเร็จอันดับแรกก็มาจากทีมงานที่แข็งแกร่ง ที่ช่วยผลักดันโรงแรมให้พัฒนามาตรฐานและบริการระดับสากล… ลูกค้า คู่ค้า มหาวิทยาลัย ซัพพลายเออร์ ตลอดจนหน่วยงานราชการ ล้วนเป็น ‘ทุกฟันเฟือง’ ที่สำคัญในการผลักดันโรงแรม”
คุณนันทิดา อติเศรษฐ์ อธิบายถึงหัวใจเบื้องหลัง

เชียงรายในภาพใหญ่ บทพิสูจน์ของ “ปลายทางประสบการณ์”

เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายของนักเดินทางที่มองหา ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ–และความสงบ การที่โรงแรมสัญลักษณ์ริมแม่น้ำกกคว้ารางวัลสูงสุดของประเทศ ตอกย้ำ ว่าเมืองแห่งนี้ไม่เพียง “สวย” แต่ “สุกงอม” ด้วยมาตรฐานบริการระดับสากล ซึ่งแปลความเป็นเศรษฐกิจได้ว่า ปลายทางมีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ทั้งกลุ่มครอบครัว คู่รัก และตลาดไมซ์ขนาดกลางที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และบริการที่ไว้ใจได้

นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวแสดงความยินดี พร้อมชี้นัยสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างตรงไปตรงมา

“การจะได้รับรางวัล Hall of Fame ได้นั้น โรงแรมต้องได้รับ Thailand Tourism Awards ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเท มุ่งมั่น และมาตรฐานการให้บริการที่ยอดเยี่ยม… ความสำเร็จนี้เป็นแบบอย่างที่ชัดเจนในการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ก้าวไกลถึงระดับสากล”

ผู้ว่าราชการจังหวัดยังย้ำว่า การท่องเที่ยวคือกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้–กระจายโอกาส–สร้างงาน–ยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชน ความสำเร็จของโรงแรมจึงไม่ได้หยุดอยู่ที่องค์กร แต่ “ไหลต่อ” ไปสู่ธุรกิจท้องถิ่นรอบข้าง ตั้งแต่ร้านอาหาร ช่างฝีมือ ไปจนถึงผู้ประกอบการนำเที่ยวชุมชน

Sustainability in Process ยุทธศาสตร์ที่อ่านออกในรางวัล

เบื้องหลังคำว่า “ความยั่งยืน” ของเดอะ ริเวอร์รี ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายบนกระดาษ แต่ปรากฏเป็น “รางวัลด้านความยั่งยืน” ควบคู่กับ “ความเป็นเลิศ” เป้าหมายคือการทำให้ความยั่งยืน เป็นกระบวนการประจำวัน ตั้งแต่แผนพัฒนามาตรฐานงานบริการ, ระบบฝึกอบรมบุคลากร, การจัดซื้อที่คำนึงถึงชุมชน–สิ่งแวดล้อม, ไปจนถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

รูปธรรมที่สะท้อนวิธีคิดดังกล่าวคือ ความร่วมมือ (Partnership) กับทุกภาคส่วน—ลูกค้าประจำ, คู่ค้า, มหาวิทยาลัย, ซัพพลายเออร์, หน่วยงานราชการ—เพื่อให้ทุกล้อเฟืองหมุนไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียร่วม จึงเกิด “ภูมิคุ้มกันเชิงระบบ” ทำให้องค์กรสามารถยืนระยะยาว และรักษามาตรฐานที่สูงไว้อย่างคงเส้นคงวา

จากรางวัล…สู่การออกแบบฤดูหนาว “Life of Light” 1 ธ.ค.–28 ก.พ.

ความสำเร็จที่เวทีมอบรางวัลไม่ใช่ “เส้นชัย” สำหรับเดอะ ริเวอร์รี แต่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการต่อยอดประสบการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเชียงรายกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซันฤดูหนาว โรงแรมประกาศจัดกิจกรรมใหญ่ภายใต้ธีม “Life of Light” รูปแบบ สวนสนุกแห่งแสง นำไฟมาประดับกับเครื่องเล่นและจุดถ่ายภาพภายในพื้นที่ริมแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ยาว 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ธันวาคม–28 กุมภาพันธ์ และจะสอดประสานกับเทศกาลในปฏิทิน เช่น ลอยกระทง–คริสต์มาส–ปีใหม่

แนวคิดนี้สะท้อน “วิธีคิดปลายทาง” 3 ข้อพร้อมกัน

  1. ช่วยกระตุ้นดีมานด์ระยะยาว ให้เชียงรายมีสีสันตลอดฤดูหนาว ไม่ใช่เพียงพีคเฉพาะสัปดาห์ปีใหม่,
  2. ต่อยอดแบรนด์ปลายทางริมแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำกกเป็น “ฉาก” ของประสบการณ์ (ไม่ใช่แค่ทิวทัศน์), และ
  3. สร้างกิจกรรมครอบครัว–คู่รัก–ไมซ์ขนาดย่อม ที่ใช้เวลามากขึ้นในพื้นที่โรงแรมและย่านโดยรอบ เกิดการจับจ่าย–การจ้างงานแบบเป็นลูกโซ่

ตัวเลข–เกณฑ์–ภาพจำ” เหตุผลที่รางวัลกินรีถูกเรียกว่าออสการ์

รางวัลกินรีไม่ได้มอบให้จากความสวยงามภายนอก หากต้องผ่านเกณฑ์ที่สะท้อนสามเหลี่ยมคุณค่า ได้แก่ คุณภาพบริการ, ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น, และ ความยั่งยืน ที่ททท.วางไว้เพื่อสอดรับเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ปลายทางคุณภาพ นักเดินทางทั่วโลกจึงยอมรับอย่างกว้างขวางว่ารูปปั้น นางกินรี” บนฉากรับรางวัลคือสัญลักษณ์ของ ความงาม–คุณธรรม–การบริการด้วยหัวใจแบบไทยแท้

ในภาพของผู้บริโภคสมัยใหม่ ยิ่งปลายทางมี “รางวัลที่วัดผลได้–ตรวจสอบย้อนกลับได้” ความเสี่ยงของการเลือกที่พักก็ยิ่งลดลง จากมุมมองเชิงธุรกิจ “ตรากินรี” จึงมี มูลค่าทางการตลาด โดยตัวมันเอง เพราะทำหน้าที่เป็น ตราประทับคุณภาพ บนสื่อทุกชนิด ตั้งแต่เว็บไซต์โรงแรม โปสเตอร์ แพลตฟอร์มจองห้อง ไปจนถึงงานโรดโชว์ต่างประเทศ

คลี่ภาพ “ผลกระทบต่อระบบนิเวศท่องเที่ยวเชียงราย”

  1. การยกระดับมาตรฐานโดยรวม – เมื่อโรงแรมเรือธงของเมืองได้รับ Hall of Fame ผู้ประกอบการรายอื่นย่อม “ตั้งเข็ม” ตามมาตรฐานเดียวกัน เกิดการแข่งขันเชิงคุณภาพ (ไม่ใช่สงครามราคา)
  2. Multipliers ทางเศรษฐกิจ – กิจกรรมฤดูหนาวและการสื่อสารความสำเร็จใหม่ ๆ จะเพิ่มอัตราเข้าพัก (Occupancy) และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป (Average Spend) ให้กับธุรกิจรอบข้าง
  3. ภาพจำปลายทาง – เชียงรายจะถูกมองเป็น “เมืองประสบการณ์” ที่นักท่องเที่ยวสามารถวางแผน 2–3 คืนเพื่อเสพธรรมชาติ–ศิลปะ–ชิมกาแฟพิเศษ–เดินริมกก–และพักในโรงแรมมาตรฐานสูงได้ในทริปเดียว

น้ำเสียงจากภาครัฐ รางวัลที่ไปไกลกว่าโล่ห์

“การท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกสำคัญของจังหวัดเชียงรายและประเทศ สร้างรายได้ กระจายโอกาส สร้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน… ความสำเร็จของเดอะ ริเวอร์รีคือแบบอย่างที่ชัดเจน” — ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

เมื่อคำกล่าวของผู้ว่าฯ สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับจังหวัด และคำกล่าวของผู้บริหารโรงแรมสะท้อนพันธกิจระดับองค์กร ภาพที่เห็นตรงกันคือ “การเติบโตที่มีมาตรฐาน” และ “ความยั่งยืนที่อยู่ในกระบวนการ” ซึ่งจะเป็นฐานให้เชียงรายยืนระยะในตลาดโลกได้ในระยะยาว

คำถามที่ตอบแล้วในเวทีรางวัล ทำอย่างไรให้ “ชนะซ้ำได้ 3 ครั้ง”

หากสรุปบทเรียนที่ถอดได้จากเดอะ ร riverรี ในกรอบคิดเป็นกลาง มี 4 ข้อหลักที่องค์กรบริการใด ๆ ก็ปรับใช้ได้จริง

  • ทำให้มาตรฐานกลายเป็นกิจวัตร จากคู่มือสู่พฤติกรรมทีมงาน ต้องฝึกจนเป็นธรรมชาติ
  • สร้างพันธมิตรในเมือง นักท่องเที่ยวที่ประทับใจ “ย่าน” จะรัก “โรงแรม” โดยปริยาย
  • ออกแบบฤดูกาล ปฏิทินกิจกรรมล่วงหน้ายาว ๆ ทำให้ตลาดวางแผนเดินทางได้
  • สื่อสารอย่างโปร่งใส การเล่าเรื่องรางวัล–แนวทางยั่งยืน–พันธมิตรท้องถิ่น ช่วยเพิ่มความไว้วางใจ

ก้าวต่อไป จาก “หอเกียรติยศ” สู่ “เรือธงการท่องเที่ยวฤดูหนาว”

ภายใต้ธีม Life of Light ที่จะเริ่ม 1 ธันวาคม นี้ เดอะ ริเวอร์รีกำลังแปลงพื้นที่ริมแม่น้ำกกให้เป็น “สวนสนุกแห่งแสง” เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม–เทศกาลไทยในฤดูหนาว แนวทางนี้ไม่เพียงเติม เหตุผลใหม่ให้กลับมาเชียงราย หากยังสื่อสารให้เห็นว่าแบรนด์โรงแรมไม่ได้หยุดอยู่กับถ้วยรางวัล แต่ เคลื่อนไหวอยู่บนเวทีจริง ทุกคืนที่เปิดไฟ ทุกกิจกรรมที่เชื่อมกับชุมชน และทุกรอยยิ้มของผู้มาเยือน

“เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ แต่จะเดินหน้าต่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน” — แถลงปิดท้ายของผู้บริหาร

สำหรับเชียงราย นี่ไม่ใช่เพียงชัยชนะของโรงแรมเดียว แต่เป็น สัญญาณเชิงระบบ ว่าเมืองพร้อมเดินหน้าสู่การเป็น ต้นแบบปลายทางบริการระดับโลก ที่ผสานคุณภาพ–วัฒนธรรม–ความยั่งยืน เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คว้า Hall of Fame จากรางวัลกินรี 2025 หลังรักษามาตรฐานยอดเยี่ยม 3 ครั้งต่อเนื่อง พร้อมคว้า Excellence และ Sustainability รวม 3 รางวัลใหญ่
  • ผู้บริหารย้ำ “Sustainability in Process” และความร่วมมือทุกฟันเฟือง—ลูกค้า คู่ค้า มหาวิทยาลัย ซัพพลายเออร์ หน่วยงานรัฐ—คือหัวใจความสำเร็จ
  • จังหวัดตอกย้ำว่า การท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์เศรษฐกิจ—รางวัลที่ได้จึง “กระจายผลดี” สู่ทั้งระบบนิเวศธุรกิจท้องถิ่น
  • โรงแรมต่อยอดด้วยเทศกาลฤดูหนาว Life of Light ช่วง 1 ธ.ค.–28 ก.พ. ผสานลอยกระทง–คริสต์มาส–ปีใหม่ เพื่อยืดดีมานด์และสร้างประสบการณ์ริมแม่น้ำกก
  • ผลรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เชียงราย กำลังวางตัวเป็น “ปลายทางประสบการณ์และบริการคุณภาพ” ที่ยืนระยะได้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Thailand Tourism Awards 2025
  • โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น (The Riverie by Katathani Collection)
  • สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย/จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News