Categories
FEATURED NEWS

จับตา อบจ.-เทศบาล ACT ชี้ ‘งานผู้ใหญ่’ ช่องทางโกง ทำรัฐเสียหาย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เตือนจับตา “อบจ.-เทศบาล” ทั่วประเทศ หวั่นซ้ำรอยโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ เผยช่องทางคอร์รัปชันดูดงบฯ สาธารณะ หลังเงินเลือกตั้งสะพัด 2-4 หมื่นล้าน

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศทั้งอบจ.และเทศบาล กว่า 2,500 แห่ง กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคผู้บริหารท้องถิ่นชุดใหม่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนและสังคมร่วมกันจับตาการใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หลังจากมีผลวิจัยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ว่า จะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 20,000–40,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินมหาศาลนี้มักจะกลายเป็นต้นทุนทางการเมืองที่กลุ่มอิทธิพลพยายามถอนทุนคืนผ่านกลไกของโครงการสาธารณะหลากหลายประเภท

จุดเสี่ยงโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ–เงินภาษีสูญเปล่า

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาโครงการรัฐที่ “ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” เป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมคอร์รัปชันและความไร้ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณในประเทศ ที่พบเห็นได้ตั้งแต่ศูนย์โอทอป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงน้ำดื่มประชารัฐ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงสนามกีฬา ฯลฯ เหล่านี้ต่างใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นทุนสร้าง หากแต่ท้ายที่สุดกลับต้องกลายเป็นอนุสรณ์ของความล้มเหลวหรือช่องทางทุจริตซ้ำซาก

ขณะที่ผลวิจัยชี้ว่า งบประมาณที่สูญเปล่าจากโครงการเหล่านี้รวมกันอาจสูงนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ภาครัฐก็ยังไม่สามารถระบุจำนวนโครงการที่ถูกทิ้งร้างได้อย่างชัดเจน เพราะขาดระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญอีกประการ คือ การเมืองท้องถิ่นที่ถูกอิทธิพลของกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ครอบงำ ทั้งจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้า และผู้รับเหมาที่ร่วมวางแผนจัดซื้อจัดจ้าง และจ่ายเงินทอนอย่างเป็นระบบ

รูปแบบทุจริต“โครงการเพื่อใคร–ใครได้ประโยชน์”

การสร้างโครงการรัฐในท้องถิ่นส่วนใหญ่ มักใช้วิธีการ copy-paste หรือ “ก๊อบโครงการ” จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีการศึกษาความต้องการที่แท้จริง เช่น ระบบประปา เตาเผาขยะ โรงไฟฟ้า สนามกีฬา หรือแม้แต่ศูนย์เรียนรู้ ฯลฯ หลายกรณีเป็นผลจากแรงกดดันจากส่วนกลาง หรือการวางแผนของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำหนดผู้รับเหมาและขบวนการเงินทอนเรียบร้อยตั้งแต่ต้นทาง ทำให้มักเกิดการลดสเปก ตัดเนื้องานหรือหากขบวนการผิดพลาด ผู้รับเหมาขาดทุนจนต้องทิ้งงานไว้กลางทาง

อีกส่วนหนึ่งของโครงการที่เป็น “งานของผู้ใหญ่” หรือโครงการขนาดใหญ่ในระดับจังหวัด มักถูกล็อกสเปกหรือเขียน TOR ให้เฉพาะเจาะจง เช่น กรณีอควาเรียมหอยสังข์ที่สงขลา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในป่าสงวน โครงการสนามฟุตซอล 37 แห่ง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ใช้งบประมาณมหาศาลและเมื่อเกิดปัญหาก็ยากจะหาผู้รับผิดชอบ

ความมักง่าย+ผลประโยชน์ทับซ้อน

นอกจากทุจริตโดยตรงแล้ว ความมักง่ายและขาดการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญ หลายโครงการเกิดขึ้นโดยไม่ถามความต้องการของชุมชน ไม่ศึกษาความเป็นไปได้ หรือเลือกที่ดินที่ห่างไกลชุมชน พอสร้างเสร็จก็กลายเป็นภาระในการบริหารจัดการต่อ หรือต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมเพิ่มเติม จนกลายเป็น “ภาระงบฯ บานปลาย” ไปในที่สุด ขณะที่โครงการบางประเภท เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการถูกยุบ เช่น สิ่งปลูกสร้างรองรับสถานการณ์โควิด ก็กลายเป็นอาคารร้างใช้ประโยชน์เพียงครั้งเดียว

ศรัทธาประชาชนและทรัพยากรประเทศถูกทำลาย

แม้จะมีการร้องเรียนและตรวจสอบโดย สตง. หรือ ป.ป.ช. บ้าง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ หรือกระบวนการตรวจสอบที่ยาวนาน ขณะที่ผลวิจัยระบุว่าคนใน อปท. กว่า 21% ยอมรับว่าเคยพบเห็นการทุจริตในองค์กร แต่มีเพียง 4% ที่กล้าร้องเรียน ปัญหาเหล่านี้ตอกย้ำภาพว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนงบประมาณ แต่กลับสูญเสียโอกาสพัฒนาจากคอร์รัปชันและการบริหารจัดการที่ล้มเหลว

ทางออกร่วมตรวจสอบ–เพิ่มกลไกภาคประชาชน

ล่าสุด สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณและโครงการรัฐผ่าน Government Innovation Lab และกลไกคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสและกระตุ้นภาคประชาชนให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล ตั้งแต่การเริ่มโครงการจนสิ้นสุด

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็น “หูเป็นตา” ติดตาม ตรวจสอบ และรายงานข้อสงสัยในทุกขั้นตอนของโครงการท้องถิ่น เพื่อให้เงินภาษีของประชาชนถูกใช้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดการเกิด “โครงการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” ที่บั่นทอนศรัทธาและความมั่นคงของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว. หนุนวิจัย “เชียงราย” นำร่องวิจัยโครงสร้างรับมือ ‘น้ำท่วม’

สกสว.หนุนนักวิจัยลงพื้นที่เชียงราย สำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม มุ่งปั้นจังหวัดต้นแบบจัดการสาธารณภัย

เชียงราย, 4 มิถุนายน 2568 – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศเดินหน้า “โครงการสำรวจความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมในภาคเหนือ” โดยเลือก จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่นำร่อง ดึงนักวิจัยวิศวกรรมโครงสร้างและทีมวิศวกรอาสาหลายร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายอย่างเป็นระบบ หวังยกระดับการจัดการสาธารณภัยด้วยองค์ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ผนึกกำลังภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชนเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากในเชียงราย จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

พื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซาก ทั้งอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม รวมถึงแผ่นดินไหวและฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตชุมชน และความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ สกสว. ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย นำทีมสำรวจบ้านเรือน สะพาน ถนน และโครงสร้างสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของน้ำหลาก

ศ. ดร.อมร พิมานมาศ หัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า “เราใช้โอกาสจากเหตุการณ์ฟื้นฟูน้ำท่วมครั้งล่าสุด ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิต สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโครงสร้างสำคัญอย่างเป็นระบบ นำเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ รองรับการวางแผนฟื้นฟูและออกแบบมาตรการป้องกันในอนาคต”

เชียงรายสู่เมืองต้นแบบ “จัดการสาธารณภัย” บูรณาการวิจัย-นโยบาย

จุดเด่นของโครงการคือการนำองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมโครงสร้างมาผสานกับ “ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล” จัดทำ “แผนที่ความเสียหาย” และ “แผนที่เสี่ยงภัย” เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำของรัฐ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องซ่อมแซมหรือป้องกันเป็นการเร่งด่วน

ศ.ดร.อมร ระบุอีกว่า “เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว”

ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน-ภาครัฐ เพิ่มภูมิคุ้มกันสังคมไทย

นอกจากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ระบบป้องกันน้ำท่วมและวิธีลดความเสียหายของโครงสร้างต่อประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาเชิงวิชาการ และคู่มือความรู้สำหรับชุมชน

ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า “ข้อมูลจากงานวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือและฟื้นฟูภัยพิบัติทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสร้างกำแพงกั้นน้ำ ระบบเตือนภัย การออกแบบบ้านเรือนที่ทนทานต่อน้ำหลาก และการวางแผนจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรขยายการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ทั่วประเทศ”

วางรากฐาน “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่” สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม สกสว. เผยว่า “สกสว.มีแผนประสานงานกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อขยายผลโครงการนี้ ทั้งด้านการสร้างฐานข้อมูลเสี่ยงภัยดิจิทัล และการผลักดันนวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ในรูปแบบของสตาร์ทอัพ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดกฎ/เทศบัญญัติเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงสร้างในพื้นที่เสี่ยง”

การทำงานแบบบูรณาการเช่นนี้จะนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำ “แผนที่เสี่ยงภัยแบบซ้อนทับ” (Overlay Risk Map) เพื่อดูจุดเสี่ยงแต่ละประเภทภัยพิบัติในพื้นที่เดียวกัน ต่อยอดสู่การวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเตือนภัยล่วงหน้า และการฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังให้เข้มแข็งขึ้น

ผลลัพธ์และข้อเสนอแนะ

  • เชียงรายเป็นต้นแบบการประสานความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาครัฐ และชุมชนในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก
  • องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สามารถถ่ายทอดสู่พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในประเทศได้จริง
  • ควรผลักดันข้อมูลวิจัยสู่นโยบายและกฎ/เทศบัญญัติในระดับท้องถิ่น
  • สกสว. วางแผนขยายผลสู่การสร้างมาตรฐานวิศวกรรมภัยพิบัติสำหรับประเทศไทย
“การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (โครงการต้นแบบ จังหวัดเชียงราย)” ซึ่งมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) www.tsri.or.th
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) www.disaster.go.th
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • รายงานประชุมและข้อมูลโครงการ “การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (เชียงราย)”
  • ข่าวที่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวไทย, ThaiPBS, สยามรัฐ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ป่อเต็กตึ๊งทุ่ม 511 ล้าน ช่วยเหลือ-รักษา-สร้างชีวิต

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเปิดผลงานปี 2567 ทุ่มงบ 511 ล้าน ช่วยเหลือประชาชนกว่า 1.4 แสนราย เตรียมเปิดศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาวภายในปีนี้

กรุงเทพฯ – 26 พฤษภาคม 2568 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะกรรมการมูลนิธิ แถลงผลงานประจำปี 2567 โดยระบุว่า มูลนิธิฯ ยังคงยึดมั่นในปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ตลอดระยะเวลา 115 ปีของการดำเนินงาน โดยในปีนี้ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ 501 ล้านบาท

สามภารกิจหลัก ครอบคลุมการช่วยเหลือทุกมิติ

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า งบประมาณกว่า 511 ล้านบาท ถูกจัดสรรเพื่อภารกิจ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. การช่วยชีวิต: มูลนิธิฯ มีทีมบรรเทาสาธารณภัย อาสากู้ภัย และทีมฌาปนกิจ ซึ่งออกปฏิบัติงานทั่วประเทศ โดยมีสายด่วน 1418 และแอปพลิเคชันรองรับการแจ้งเหตุฉุกเฉิน สถิติปี 2567 มีผู้ขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนมากถึง 140,000 สาย พร้อมให้การช่วยเหลือด้านนิติเวช และรับฝากฝังศพไร้ญาติ ณ สุสานจังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้งบรวมกว่า 166 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับการช่วยเหลือกว่า 491,905 ราย
  2. การรักษาชีวิต: มูลนิธิฯ ให้บริการแพทย์สงเคราะห์ชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ห่างไกล สนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลขาดแคลน รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลหัวเฉียวและคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว โดยใช้งบประมาณกว่า 38.4 ล้านบาท
  3. การสร้างชีวิต: ดำเนินโครงการเพื่อการศึกษา การส่งเสริมอาชีพ และคุณภาพชีวิตกว่า 10 โครงการ เช่น โครงการทุนการศึกษา อบรมวิชาชีพ และสนับสนุนชุมชน งบรวมกว่า 278 ล้านบาท มีผู้ได้รับการสงเคราะห์รวม 956,645 ราย

ผลงานด้านการแพทย์ การศึกษา และศาสนา

แพทย์หญิงมนนภา ขุนณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว เปิดเผยถึงโครงการช่วยเหลือ 7 โครงการ รวมงบกว่า 29 ล้านบาท โดย 3 โครงการหลัก ได้แก่ การช่วยผู้ป่วยฟอกไต (12 ล้านบาท) การใช้รถ X-Ray Digital Mobile (7.4 ล้านบาท) และโครงการค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยยากไร้ (2 ล้านบาท)

ขณะที่นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้อำนวยการคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว เผยว่า คลินิกให้บริการผู้ป่วยรวมกว่า 325,720 รายในปี 2567 ผ่านโครงการหลากหลาย เช่น โครงการสงเคราะห์โรคหลอดเลือดสมอง การแจกสมุนไพร และกิจกรรมสาธารณสุขเชิงรุก

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึง 4 มิติเด่น ได้แก่ 1. หลักสูตรใหม่ 3 หลักสูตร 2. รายวิชาบ่มเพาะจิตอาสา 3. งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อชุมชน 4. โครงการบริการสังคม 40 โครงการ งบรวมกว่า 30 ล้านบาท

ก่อสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว คืบหน้าเกือบสมบูรณ์

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ระบุว่า ศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว ที่ตั้งอยู่ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วกว่า 96.25% งานโครงสร้างอาคารเสร็จแล้ว 100% และตกแต่งประติมากรรมจีนกว่า 90% โดยคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ภายในปี 2568

เมื่อวันที่ 19 มกราคม และ 19 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิฯ จัดพิธีเบิกเนตรและพุทธาภิเษกศาลเจ้า โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคณะสงฆ์จีนนิกายกว่า 15 รูปเจริญพุทธมนต์ เป็นศูนย์รวมพลังศรัทธาและแลนด์มาร์กใหม่ด้านศาสนาและวัฒนธรรม

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งใช้งบประมาณรวมปี 2567: 511 ล้านบาท
  • ผู้ได้รับการช่วยเหลือรวม: 1,774,270 ราย
  • งบด้านช่วยชีวิต: 166 ล้านบาท (491,905 ราย)
  • งบด้านรักษาชีวิต: 38.4 ล้านบาท
  • งบด้านสร้างชีวิต: 278 ล้านบาท (956,645 ราย)
  • โทรศัพท์สายด่วน 1418: กว่า 140,000 สาย
  • ผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว: 325,720 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
  • โรงพยาบาลหัวเฉียว
  • มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์มูลนิธิฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘ไดกิ้น’ ส่ง “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ยกระดับอากาศสถานศึกษาเชียงราย

ห้องเรียนปลอดฝุ่นนวัตกรรมเพื่ออนาคตเด็กไทยจากไดกิ้น

เชียงราย, 21 พฤษภาคม 2568 – ในยามที่หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปกคลุมท้องฟ้าของจังหวัดเชียงราย เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องเผชิญกับภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของพวกเขา อากาศที่ปนเปื้อนมลพิษภายในอาคารกลายเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพราะอาการภูมิแพ้กำเริบจากฝุ่นละออง กลายเป็นภาพสะท้อนของความท้าทายที่สถานศึกษาทั่วประเทศกำลังเผชิญ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมระบบปรับอากาศ ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปิดตัว ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านคุณภาพอากาศภายในอาคารแห่งแรกในภาคเหนือ ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย ซึ่งไม่เพียงเป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศในสถานศึกษา แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับเด็กปฐมวัยทั่วประเทศไทย

เมื่อภัยเงียบจากฝุ่นละอองรุกคืบ

ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ภาคเหนือของประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมักใช้เวลานานในห้องเรียนที่มีระบบระบายอากาศไม่เพียงพอ ทำให้มลพิษจากภายนอกและภายในอาคารสะสมตัว ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หรือแม้แต่พัฒนาการที่ล่าช้า

ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เปิดโล่ง แต่ภายในอาคารเองก็เป็นแหล่งสะสมของมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากวัสดุก่อสร้าง หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการหายใจของเด็ก ๆ และบุคลากรในห้องเรียนที่หนาแน่น สถานการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ไดกิ้นและพันธมิตรตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศในสถานศึกษา โดยเฉพาะในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เด็ก ๆ ใช้เวลาเกือบทั้งวัน

การรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ ความร่วมมือเพื่ออนาคต

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ไดกิ้นได้จับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึง บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ร่วมกันพัฒนาโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ที่สามารถขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

โครงการนี้ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายในงานมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศและแนวทางการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ห้องเรียนปลอดฝุ่น

หัวใจสำคัญของโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” คือการติดตั้ง ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างครบวงจร ระบบนี้สามารถกรองฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ห้องเรียน พร้อมติดตั้ง เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ครูและผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งของห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งแรกในภาคเหนือ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกรมอนามัยในฐานะที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย นอกจากนี้ ยังมีการอบรมครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์เพื่อเสริมสร้างทักษะในการดูแลระบบคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไดกิ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคารมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เราเชื่อว่านวัตกรรมของเราจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศไทย”

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน

การเปิดตัวห้องเรียนปลอดฝุ่นไม่ใช่เพียงการติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการผสานนวัตกรรมและความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคม เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากมลพิษ ลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ครูและบุคลากรได้รับความรู้และเครื่องมือในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งเดียว ไดกิ้นและพันธมิตรตั้งเป้าที่จะขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยใช้ห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืน การลงทุนในคุณภาพอากาศวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและอนาคตของเด็กไทยในวันหน้า

ทำไมห้องเรียนปลอดฝุ่นถึงสำคัญ

การจัดการคุณภาพอากาศในสถานศึกษาไม่เพียงช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กและบุคลากร แต่ยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้และพัฒนาการในระยะยาว การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ เช่น PM2.5 และ VOCs เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือแม้แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การติดตั้งระบบระบายอากาศและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความเข้มข้นของมลพิษเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของเด็ก

นอกจากนี้ การอบรมบุคลากรในสถานศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการจัดการคุณภาพอากาศยังช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ครูและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมจะสามารถดูแลและบำรุงรักษาระบบได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อเด็ก จากรายงานของ IQAir ในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับที่ 36 ของโลกในด้านมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ภาคเหนือเผชิญกับระดับ PM2.5 สูงเกินมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉลี่ยในเชียงรายพบระดับ PM2.5 สูงถึง 50-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในบางวัน
  • ผลกระทบต่อสุขภาพ การศึกษาโดยกรมอนามัยระบุว่า เด็กปฐมวัยที่สัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงมีความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 30% และอาจมีพัฒนาการทางสติปัญญาลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • คุณภาพอากาศในอาคาร จากข้อมูลของสมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร พบว่า 80% ของอาคารสถานศึกษาในประเทศไทยมีระบบระบายอากาศที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีการสะสมของ CO2 และฝุ่นละอองภายในอาคารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอนามัย สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร
  • บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด
  •  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เริ่มแล้ว “ลิ้นจี่เมืองเชียงราย” งานดีที่เซ็นทรัล ถึง 20 พ.ค. นี้

ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” เปิดพื้นที่กลางเมืองช่วยเหลือเกษตรกร สู้ราคาตกช่วงผลผลิตล้นตลาด

เชียงรายระดมทุกภาคส่วน เปิดพื้นที่จำหน่ายลิ้นจี่คุณภาพจากสวนโดยตรง

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาผลไม้ฤดูร้อนชนิดนี้ตกต่ำลงกว่าทุกปี หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เร่งหามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เกษตรกรสามารถส่งตรงลิ้นจี่คุณภาพดีถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

ล่าสุด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลผลิตลิ้นจี่ ภายใต้ชื่องาน ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมกาดจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตคุณภาพสู่ผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม และสร้างการรับรู้ให้กับลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายในฐานะผลไม้คุณภาพของประเทศ

ผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในปี 2568 จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตลิ้นจี่รวมกว่า 2,145 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 89.9% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและพื้นที่ปลูกขยายตัว ผลผลิตจำนวนมากจึงออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 25 – 40 บาท/กิโลกรัม ในบางพื้นที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับเกษตรกรในหลายอำเภอ เช่น แม่จัน แม่สาย พาน เวียงแก่น และเวียงป่าเป้า ที่ถือเป็นพื้นที่ปลูกหลักของจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในด้านการตลาดอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายจากผลผลิตล้นตลาด

กิจกรรมส่งเสริมการขาย เพิ่มช่องทางกระจายผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” จึงเป็นความร่วมมือเชิงบูรณาการที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยเปิดพื้นที่จำหน่ายผลผลิตสดจากสวนโดยตรงจำนวน 2 จุดหลัก ได้แก่

  1. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 10 ราย แบ่งพื้นที่ออกเป็นบูทขายผลผลิตแบบคละเกรด ราคาเริ่มต้น 35 – 80 บาท/กิโลกรัม ตามคุณภาพ
  2. บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภายใต้ตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน คนเชียงราย เน้นจำหน่ายผลผลิตแบบคัดคุณภาพ AA และ A ในราคาคงที่ 50 บาท/กิโลกรัม

ภายในงานยังมีกิจกรรมเสริม เช่น ลิ้นจี่ชิมฟรี โปรโมชั่นลดราคา และการจำหน่ายลิ้นจี่ของฝาก ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเดินจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง

การรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า เสริมรายได้เกษตรกรแบบไม่ต้องตั้งร้าน

อีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรคือระบบรับคำสั่งซื้อแบบ Pre Order ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจัดทำขึ้น โดยมีการรวบรวมคำสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่

ในรอบแรกของการจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ลิ้นจี่คุณภาพ AA+A ถูกบรรจุในตะกร้าน้ำหนัก 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาตะกร้าละ 250 บาท และมีการส่งมอบที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยสามารถระบายผลผลิตได้กว่า 1.6 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 80,000 บาท

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ สนับสนุนพื้นที่ฟรี ดึงกลุ่มผู้บริโภคเข้าถึงผลผลิต

การดำเนินงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ที่เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ปลูกลิ้นจี่ และเพิ่มโอกาสการขายในทำเลศูนย์กลางเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ยังร่วมกันประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อผลผลิตผ่านกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกษตรกรฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้

ความร่วมมือที่เป็นต้นแบบการจัดการผลผลิตเกษตรกรรม

สถานการณ์ราคาผลไม้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน เป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปี หากไม่มีมาตรการรองรับเชิงระบบ อาจทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้และขาดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” สะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่การตลาดตรงถึงผู้บริโภค ช่วยลดความเสี่ยงจากการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง และยังเสริมสร้างแบรนด์ผลไม้ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่จดจำ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายปี 2568: 2,145 ตัน (เพิ่มจากปี 2567 เกือบ 90%)
  • ราคาเฉลี่ยลิ้นจี่ตกต่ำบางพื้นที่ต่ำกว่า 30 บาท/กิโลกรัม
  • ยอดจำหน่ายวันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 1.6 ตัน มูลค่า 80,000 บาท
  • จุดจำหน่ายหลัก: 2 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลเชียงราย และศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • ราคา Pre Order แบบคัดคุณภาพ: 50 บาท/กิโลกรัม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

  • รายงานผลผลิตและราคาตลาดลิ้นจี่: กรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2568

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

มท. จับมือ อว. สู้ภัยแล้ง-ท่วม วิจัย นวัตกรรมช่วยชาติ

กระทรวงมหาดไทยและ อว. สานพลังแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมด้วยนวัตกรรมและการจัดการระดับพื้นที่

กรุงเทพฯ, 7 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ผนึกกำลังเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมในระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญ การแถลงข่าวและการประชุมคณะทำงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ สกสว. สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการลดภัยพิบัติ สร้างความมั่นคงด้านน้ำ และส่งเสริมรายได้เสริมให้กับชุมชนท้องถิ่นท่ามกลางสภาพอากาศที่คาดการณ์ว่าจะมีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยในปีนี้

ความท้าทายจากสภาพอากาศแปรปรวนและภัยพิบัติทางน้ำ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และเผชิญกับภัยพิบัติทางน้ำทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความแปรปรวนของสภาพอากาศอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เมื่อปี 2567 รวมถึงภัยแล้งที่กระทบพื้นที่เกษตรกรรมในหลายจังหวัด เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) คาดการณ์ว่า ฤดูฝนจะเริ่มเร็วและมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกัน ช่วงฤดูแล้งยังคงเป็นปัญหาสำหรับชุมชนที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค ความท้าทายเหล่านี้เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อป้องกันความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว

ความร่วมมือระหว่าง มท., อว., และ สกสว. เพื่อการบริหารจัดการน้ำ

การแถลงข่าว “การแก้ไขปัญหาน้ำมั่นคง น้ำแล้ง น้ำท่วมระดับพื้นที่” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุม สกสว. นำโดย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว., นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และ ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผอ. สกสว. ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำในระดับพื้นที่ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สร้างความมั่นคงด้านน้ำ และส่งเสริมรายได้เสริมให้กับชุมชน

บทบาทของกระทรวง อว. และ สกสว.

ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล กล่าวว่า กระทรวง อว. มุ่งสนับสนุนด้านวิชาการและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วม โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานให้ทุน และองค์กรที่มีพันธกิจด้านการบริหารจัดการน้ำ เช่น สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสนับสนุนครอบคลุมตั้งแต่การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยี ไปจนถึงการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่จริง นโยบาย “อว.เพื่อประชาชน” และแนวคิด “ววน. เป็นเครื่องมือแก้จน” ของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เช่น ระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง และการสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง

สกสว. ทำหน้าที่เป็น “โซ่ข้อกลาง” ในการประสานงานระหว่างหน่วยงาน โดยสนับสนุนแผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) เรื่อง “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” ซึ่งมีสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยขับเคลื่อน แผนงานนี้มุ่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่เป้าหมาย 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, พะเยา, น่าน, กำแพงเพชร, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, สงขลา และพัทลุง โดยตั้งเป้าบรรเทาความเดือดร้อนใน 100 ตำบล

บทบาทของกระทรวงมหาดไทย

นายชยชัย แสงอินทร์ ระบุว่า กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เน้นย้ำการทำงานเชิงรุกและบูรณาการเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถใช้ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ข้อมูลดาวเทียม และระบบภูมิสารสนเทศ เพื่อวางแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ความร่วมมือกับกระทรวง อว. จะช่วยยกระดับการจัดการน้ำในระดับพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยนำงานวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการลดผลกระทบต่อประชาชน

การคาดการณ์สถานการณ์น้ำ

รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานเป้าหมายสำคัญ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ระบุว่า ปี 2568 ประเทศไทยอยู่ในช่วงลานีญาที่มีค่าความเป็นกลาง ซึ่งอาจนำไปสู่ฝนตกหนักในบางพื้นที่ คาดการณ์ว่าปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ฝนจะตกหนักเป็นจุดๆ และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมเฉพาะพื้นที่มากกว่าน้ำท่วมใหญ่ทั้งภูมิภาค สัญญาณน้ำท่วมเริ่มปรากฏตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ 2568 สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ

แนวทางและนวัตกรรมในการรับมือภัยพิบัติ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำในปี 2568 คณะทำงานได้วางแผนแนวทางที่ผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีตัวอย่างโครงการนำร่องที่น่าสนใจ ดังนี้:

  1. ระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง: การพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วมที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยปรับปรุงสถานีวัดระดับน้ำขนาดเล็กและใช้ข้อมูล GIS เพื่อวิเคราะห์ปริมาณฝนและระดับน้ำในคลองย่อย ตัวอย่างเช่น การขุดลอกแม่น้ำปิงและแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมถึงการรื้อฝายเก่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
  2. การจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง: การสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่น ฝายแกนดินซีเมนต์ บ่อน้ำบาดาล และระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนการเกษตรและน้ำประปาในชุมชน โครงการเหล่านี้ยังส่งเสริมการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ไม้ผลและไม้ดอก เพื่อสร้างรายได้เสริม
  3. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน: การฝึกอบรมและถ่ายทอดความรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชน เพื่อให้สามารถจัดการน้ำในพื้นที่ของตนเองได้ ตัวอย่างที่ตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ 100 ฝาย และพัฒนาระบบสารสนเทศน้ำตำบลเพื่อวางแผนการเกษตรและป้องกันน้ำท่วม

รศ.ดร.สุจริต เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างยั่งยืนต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำและการมีส่วนร่วมของชุมชน ระบบเตือนภัยในปัจจุบันยังขาดความละเอียดในระดับพื้นที่ย่อย ซึ่งทีมวิจัยจะปรับปรุงภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อให้ชาวบ้านสามารถอพยพและเตรียมการล่วงหน้าได้ทันท่วงที นอกจากนี้ การสร้าง “พิมพ์เขียว” การจัดการน้ำในเมืองเชียงใหม่ เชียงราย และขอนแก่น จะเป็นแนวทางสำหรับพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต

โอกาสและความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำ

ความร่วมมือระหว่าง มท., อว., และ สกสว. เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย การใช้แนวทางที่ผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน สามารถตอบโจทย์ความท้าทายจากความแปรปรวนของสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนำร่องใน 10 จังหวัดแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติและสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือ การขยายผลไปยัง 45 จังหวัดที่เผชิญปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมทั่วประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนหรือระบบชลประทาน ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง ดังนั้น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและ อปท. ในการจัดการน้ำด้วยตนเองจึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนมากกว่า การลงทุนในสถานีวัดระดับน้ำขนาดเล็กและระบบสารสนเทศน้ำตำบล จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์และลดความเสียหายจากภัยพิบัติ

ในแง่ของโอกาส การใช้เทคโนโลยี เช่น ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรและลดการพึ่งพาน้ำจากแหล่งใหญ่ การพัฒนากลไกจัดการน้ำในระดับตำบล เช่น ที่ตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน ยังเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นได้

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำและผลกระทบจากภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ปริมาณฝนและสถานการณ์น้ำในปี 2568:
    • คาดการณ์ปริมาณฝนในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม–กันยายน 2568) จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-15% ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก
    • แหล่งอ้างอิง: กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (2568)
  2. ผลกระทบจากน้ำท่วมและน้ำแล้ง:
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท และกระทบครัวเรือนกว่า 50,000 ครัวเรือน
    • พื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปี 2567 มีมากกว่า 2 ล้านไร่
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ:
    • ประเทศไทยมีสถานีวัดระดับน้ำขนาดเล็กเพียง 200 แห่ง เทียบกับญี่ปุ่นที่มี 20,000 แห่ง
    • โครงการฝายแกนดินซีเมนต์ในตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน สร้างแล้วเสร็จ 100 ฝาย จากเป้าหมาย 200 ฝาย
    • แหล่งอ้างอิง: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (2568)
  4. การมีส่วนร่วมของชุมชน:
    • โครงการนำร่องใน 10 จังหวัด มีเป้าหมายพัฒนา 100 ตำบล โดยมีทีมวิจัยจาก 10 มหาวิทยาลัย จำนวน 200 คน และนวัตกรรมกว่า 15 เรื่อง
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (2568)

สรุปและคำแนะนำ

ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวง อว. และ สกสว. เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมในระดับพื้นที่ ด้วยการใช้ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน โครงการนำร่องใน 10 จังหวัดจะเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต การพัฒนาระบบเตือนภัยที่แม่นยำ การสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็ก และการส่งเสริมอาชีพเสริม จะช่วยลดความสูญเสียและสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับประชาชน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมการฝึกอบรมและใช้ระบบสารสนเทศน้ำตำบลเพื่อวางแผนการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งลงทุนในสถานีวัดระดับน้ำและโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

หนุนการศึกษา “ร้อยพลังฯ” จับมือ สพฐ. พัฒนา 95 โรงเรียน

ร้อยพลังการศึกษา” จับมือ “สพฐ” จัดประชุม “ผอ.” 95 ร.ร.ในเครือข่าย เชื่อมต่อพลัง “ชุมชน” หนุนนักเรียน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – จากการรายงานของผู้สื่อข่าว โครงการ “ร้อยพลังการศึกษา” ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิยุวพัฒน์ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดยเชิญผู้อำนวยการจากโรงเรียนในเครือข่ายจำนวน 95 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมระดมความคิดเห็น เพื่อวางแนวทางความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชนในการพัฒนานักเรียนกว่า 320,000 คน ที่อยู่ในโครงการอย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของความร่วมมือ สานพลังรัฐและภาคประชาสังคม

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องจากการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สพฐ. และมูลนิธิยุวพัฒน์ เมื่อปี 2567 โดยมีเป้าหมายขยายผลการใช้ 8 เครื่องมือพัฒนานักเรียน ภายใต้โครงการร้อยพลังการศึกษา สู่โรงเรียนที่มีความต้องการในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ พร้อมกับใช้ศักยภาพของชุมชนเข้ามาร่วมสนับสนุนอย่างเป็นระบบ

การประชุมจัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนจากทั่วประเทศทั้งในเขตเมืองและชนบทเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปรับกลยุทธ์การดำเนินโครงการ และหารือแนวทางการขับเคลื่อนร่วมกับชุมชนในบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่

บทบาทของโรงเรียนและชุมชน แกนกลางของการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า สถานศึกษาในปัจจุบันต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ อุปกรณ์การเรียน หรือความพร้อมของผู้ปกครองและชุมชน การดึงภาคประชาชนและภาคีในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับคุณภาพนักเรียนแบบองค์รวม

“โรงเรียนและชุมชนต้องทำงานร่วมกันให้แน่นแฟ้น โดยใช้พลังของชุมชนเป็นแรงเสริมผ่านกิจกรรมระดมทรัพยากร ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจ และส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน” นายวิษณุกล่าว

ความเห็นจากมูลนิธิยุวพัฒน์ การศึกษาเป็นทางออกของทุกปัญหา

นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิยุวพัฒน์ ระบุว่า ความท้าทายของสังคมไทยในปัจจุบันสะท้อนปัญหาในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งล้วนมีรากมาจากการศึกษาที่ไม่ทั่วถึงและไม่มีคุณภาพ

“ร้อยพลังการศึกษาไม่ได้เพียงพัฒนาโรงเรียน แต่ต้องการเชื่อมพลังจากภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เข้าด้วยกันเพื่อวางรากฐานให้เยาวชนไทยกลายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ” นายวิเชียรกล่าว

การเสวนาและกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรม

ไฮไลต์สำคัญของการประชุมคือเวทีเสวนาหัวข้อ พลังความร่วมมือของโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนานักเรียน” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บริหารโรงเรียนที่เคยดำเนินการร่วมกับชุมชนมาแล้ว นำกรณีศึกษา 5 พื้นที่มาแบ่งปัน ได้แก่:

  • โรงเรียนศรีวินิตวิทยาคม จ.สิงห์บุรี
    ระดมทุนผ่านการทอดผ้าป่าเพื่อตั้งกองทุนบำรุงรักษาห้องคอมพิวเตอร์ ทำต่อเนื่องทุกปี
  • โรงเรียนนราสิกขาลัย จ.นราธิวาส
    มี “รัฐบาลเยาวชนอาสา” และเครือข่าย “แกนนำครอบครัวคุณธรรม” จากนักเรียนทุนยุวพัฒน์
  • โรงเรียนบ้านสบเตี๊ยะ จ.เชียงใหม่
    ทำกิจกรรม “ครอบครัวสัมพันธ์” โดยชุมชนมีส่วนร่วมทั้งติดตามพฤติกรรมและเยี่ยมบ้าน
  • โรงเรียนวังเหนือวิทยา จ.ลำปาง
    สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกับชุมชน ขยายสู่การพัฒนาโปรแกรม Youth Counselor ร่วมกับครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงจากมูลนิธิ Teach for Thailand
  • โรงเรียนบ้านหนองคาง จ.ประจวบคีรีขันธ์
    ประสานงานกับมูลนิธิกระจกเงาเพื่อขอรับคอมพิวเตอร์มือสอง และร่วมมือกับวิทยาลัยอาชีพในพื้นที่ซ่อมแซมอุปกรณ์

โครงการร้อยพลังการศึกษา พัฒนาทุนมนุษย์ผ่านนวัตกรรม 8 เครื่องมือ

โครงการร้อยพลังการศึกษา หรือ Thailand Collaboration for Education (TCFE) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2558 โดยมีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในประเทศไทย ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและภาคีที่มีองค์ความรู้เฉพาะด้าน โดยเครื่องมือหลัก 8 ประการ ได้แก่

  1. ทุนการศึกษา โดยมูลนิธิยุวพัฒน์
  2. สื่อดิจิทัลวิชาคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์ จาก Learn Education
  3. สื่อดิจิทัลภาษาอังกฤษ จาก Winner English
  4. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง จากมูลนิธิ Teach For Thailand
  5. พัฒนาเด็กปฐมวัย โดย ICAP
  6. แนะแนวอาชีพ โดยแพลตฟอร์ม a-chieve
  7. พัฒนาโรงเรียนคุณธรรม โดยมูลนิธิยุวพัฒน์
  8. พัฒนาโภชนาการเด็ก โดยโครงการ FOOD FOR GOOD

ณ ปี 2568 โครงการได้ขยายผลไปยังโรงเรียนกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ และมีเด็กและเยาวชนได้รับโอกาสกว่า 320,000 คน

พลังร่วมจากพื้นที่สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

แม้โครงการร้อยพลังการศึกษาจะเน้นการพัฒนาโรงเรียนเป็นรายพื้นที่ แต่เมื่อมองในภาพรวม กลไกของการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชนที่เกิดขึ้นกำลังส่งผลสะเทือนเชิงบวกต่อระบบการศึกษาของไทยในระดับฐานราก โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในพื้นที่ชายขอบ หรือโรงเรียนที่ประสบปัญหาเรื่องทรัพยากรอย่างหนัก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการใช้ “ทุนทางสังคม” ที่มีอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร ผู้นำท้องถิ่น องค์กรภาคี หรือแม้แต่ผู้ปกครอง มาช่วยเสริมกำลังของโรงเรียน ซึ่งแตกต่างจากโครงการที่เน้นการพึ่งพางบประมาณจากรัฐเพียงด้านเดียว

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การสร้าง “ความต่อเนื่อง” และ “ความยั่งยืน” หลังจากหมดการสนับสนุนจากภาคีบางราย หรือเมื่องบประมาณเปลี่ยนแปลง ซึ่งจุดนี้ สพฐ. และมูลนิธิยุวพัฒน์ยังคงต้องหารือถึงรูปแบบการสนับสนุนระยะยาวอย่างรอบคอบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วมประชุม: 95 แห่ง
  • จำนวนเด็กที่ได้รับโอกาสจากโครงการ: มากกว่า 320,000 คน (ปี 2558–2568)
  • จำนวนเครื่องมือหลักที่ใช้ในโครงการ: 8 เครื่องมือพัฒนา
  • จังหวัดที่มีการยกตัวอย่างกรณีศึกษาความร่วมมือ: 5 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี, นราธิวาส, เชียงใหม่, ลำปาง, ประจวบคีรีขันธ์
  • โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ: มากกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อวดเมือง 68 “เชียงราย” เจ๋ง ลุ้น ‘เทศกาลชากาแฟ’ ระดับโลก

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 จังหวัดเชียงรายคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายด้วย Chiang Rai BREW Festival

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จ โดยจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นและศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันเชียงรายให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่ตอบโจทย์แนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จุดแข็งทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรในพื้นที่เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

ความท้าทายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติที่สวยงาม และการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตร ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น วัดร่องขุ่น ดอยช้าง ดอยแม่สลอง และชุมชนชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการที่พักและการเดินทาง ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายและยั่งยืนมากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของแหล่งท่องเที่ยวในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ซึ่งเผชิญกับปัญหาการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีกำลังซื้อสูง ความท้าทายเหล่านี้ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในเชียงรายต้องร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสร้างจุดเด่นที่ยั่งยืนสำหรับจังหวัด

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว รัฐบาลไทยได้ริเริ่มโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้แต่ละจังหวัดพัฒนาเทศกาลที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน Chiang Rai BREW Festival” เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์และศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดไปนำเสนอใน โครงการ “อวดเมือง 2568”

โดย การแข่งนำเสนอผลงานของจังหวัด Pitching ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่สอดคล้องกับแนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” การนำเสนอในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองวัน โดยวันที่ 29 เมษายน มีตัวแทนจาก 20 จังหวัด และวันที่ 30 เมษายน มีตัวแทนจาก 21 จังหวัด แต่ละจังหวัดมีเวลา 15 นาทีในการนำเสนอสไลด์ 15 หน้า พร้อมตอบคำถามจากคณะกรรมการอีก 5 นาที

จาก 51 จังหวัดที่เข้าร่วม มีเพียง 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย และจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่งนี้ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่ไม่เพียงสะท้อนอัตลักษณ์ของจังหวัด แต่ยังบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ Chiang Rai BREW Festival มีรากฐานจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยแนวคิด “องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากความฝันพญามังราย สู่แรงบันดาลใจแม่ฟ้าหลวง” เทศกาลนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานต้นกาแฟต้นแรกให้แก่ชนเผ่าบนพื้นที่สูง ณ ดอยช้าง เพื่อทดแทนการปลูกพืชเสพติด และพัฒนาให้เป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่กับชาอัสสัมของล้านนา

เทศกาลนี้ต่อยอดจากความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ส่งเสริมเกษตรกรในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ชากาแฟ รวมถึงการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาฯยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล Chiang Rai BREW Festival จึงไม่ใช่เพียงงานอีเวนต์ชั่วคราว แต่เป็นเทศกาลที่ครอบคลุมทั้งปี โดยแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ ตามฤดูกาล ดังนี้

  • ฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม)  เน้นการแข่งขันบาริสต้า เวิร์กช็อปการชงกาแฟ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์
  • ฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน)  เน้นการจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการจัดงานสัมมนานานาชาติ เช่น International Symposium เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการ
  • ฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ทัวร์ไร่ชากาแฟ การเก็บเกี่ยว และการเรียนรู้กระบวนการแปรรูป

การดำเนินงานของเทศกาลได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ สำนักงานจังหวัดเชียงราย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กลุ่ม กกร. จังหวัดเชียงราย กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) บริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง (CRCD) จำกัด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) และสิงห์ปาร์ค ความร่วมมือนี้ทำให้ Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการยกระดับเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

การนำเสนอและความท้าทาย

จากการสัมภาษณ์ นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย เธอเล่าถึงกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการนำเสนอในโครงการนี้ว่า เริ่มจากการประชุมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ซึ่งเรียกทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวคิดเทศกาลที่เหมาะสม ซึ่งภาคเอกชน รวมถึง YEC และ CRCD จึงเสนอให้ใช้ชากาแฟ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเชียงราย มาเป็นหัวใจของเทศกาล” การตัดสินใจเลือก Chiang Rai BREW Festival มาจากการวิเคราะห์จุดแข็งของจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ที่ได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับสากล

ไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน

นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของเทศกาลนี้มาจากการ “เชื่อมโยง” ทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้แปรรูป บาริสต้า ไปจนถึงผู้บริโภค “เราไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน แต่เราต้องการสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนตลอดทั้งปี โดยใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน” เขายังเน้นย้ำว่า เทศกาลนี้จะไม่เพียงมุ่งเน้นการบริโภคชากาแฟ แต่ยังรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การจับคู่ธุรกิจ และการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมชากาแฟ

อย่างไรก็ตาม การเลือกชากาแฟเป็นหัวใจของเทศกาลก็เผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากจังหวัดอื่น เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ ก็มีจุดแข็งด้านกาแฟเช่นกัน นายพงศกร อธิบายว่า “เชียงรายมีความหลากหลายทั้งในแง่ของกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟคุณภาพทั่วไป รวมถึงชาที่มีชื่อเสียงในระดับสากล จุดแข็งของเราคือความสมดุลและความหลากหลายของแหล่งปลูก ซึ่งทำให้เราสามารถนำเสนอเทศกาลที่ครอบคลุมทุกมิติของชากาแฟ”

นอกจากนี้ การพัฒนาเทศกาลนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านการจัดการภาพลักษณ์ของเชียงราย โดยเฉพาะปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เราตระหนักถึงปัญหานี้ และกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข โดยการพัฒนา Chiang Rai BREW Festival จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

ผลการประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ยืนยันว่าเชียงรายเป็น 1 ใน 12 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching จากนี้ไป 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกจะเข้าร่วมเวิร์กช็อปกับเมนเทอร์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอในรอบสุดท้ายระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะมีการจัดบูธเพื่อแสดงศักยภาพของแต่ละจังหวัด

ในรอบนี้ จะมีการคัดเลือก 3 จังหวัดที่โดดเด่นที่สุดเพื่อไปศึกษาดูงานที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 และจาก 3 จังหวัดนี้ จะมีการคัดเลือก 2 จังหวัดที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อจัดเทศกาลอย่างเป็นทางการในปี 2568 นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการคว้างบประมาณเพื่อพัฒนา Chiang Rai BREW Festival ให้เป็นเทศกาลระดับชาติ แต่แม้ว่าเราจะไม่ได้รับงบประมาณ การที่เราได้สร้างการรับรู้และแสดงศักยภาพของเชียงรายในเวทีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

นายพงศกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากเราคว้างบประมาณได้ เราวางแผนที่จะเริ่ม Chiang Rai BREW Festival ในปี 2568 โดยใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้ว เช่น ไร่ชากาแฟ ศูนย์การเรียนรู้ และเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อขมวดให้เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน” เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น การจัดตั้งสมาคมหรือชมรม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการเมืองภายใน “เราต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระภาษีหรือการบริหารจัดการที่ยุ่งยาก”

ความท้าทายและโอกาส

การเข้ารอบ 12 จังหวัดสุดท้ายของเชียงรายในโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching สะท้อนถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของจังหวัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสดังต่อไปนี้:

มิติด้านเศรษฐกิจ

Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกชากาแฟ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับกาแฟพิเศษและชาคุณภาพสูง การจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรและนักลงทุนต่างชาติจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับจังหวัดอื่นที่มีจุดแข็งด้านกาแฟ เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ อาจเป็นอุปสรรคที่ต้องใช้ความหลากหลายและนวัตกรรมในการเอาชนะ

มิติด้านวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์

การใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของเชียงรายเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่และมีรากฐานจากวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์และเกษตรกร การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การตีความชากาแฟให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในบริบทที่นักท่องเที่ยวทั่วไปยังมองว่าซอฟต์พาวเวอร์ของไทยคือศิลปวัฒนธรรมหรือการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม

มิติด้านการท่องเที่ยว

เทศกาลนี้ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์เชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวไร่ชากาแฟและเวิร์กช็อปบาริสต้าจะช่วยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในปัจจุบัน เช่น ปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว หรือราคาค่าบริการที่สูงขึ้น อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเชียงราย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขควบคู่ไปกับการพัฒนาเทศกาล

โอกาสในการพัฒนา

การที่เชียงรายได้รับเลือกเป็น 1 ใน 12 จังหวัดเป็นโอกาสในการสร้างการรับรู้ในระดับชาติและนานาชาติ การเข้าร่วมงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และการศึกษาดูงานที่โอซาก้าจะช่วยให้ทีมงานได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีจากเมืองอื่นๆ และนำมาปรับใช้กับเทศกาลของเชียงราย นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาคเอกชนและหน่วยงานท้องถิ่นจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเทศกาลให้ประสบความสำเร็จ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ผู้สนับสนุนเทศกาลชากาแฟ
กลุ่มที่สนับสนุน Chiang Rai BREW Festival รวมถึงภาคเอกชน YEC และ CCL มองว่าเทศกาลนี้เป็นโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจของเชียงราย โดยใช้จุดแข็งด้านชากาแฟที่มีรากฐานจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความหลากหลายของแหล่งปลูกและการบูรณาการทุกภาคส่วนทำให้เทศกาลนี้มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบในระยะยาว

ทัศนคติการเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถบูรณาการการเกษตร การท่องเที่ยว และนวัตกรรมได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทศกาลนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับจังหวัดอื่นและการจัดการภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนและการเรียนรู้จากเวทีนานาชาติจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เทศกาลนี้ประสบความสำเร็จ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. มูลค่าตลาดกาแฟและชาในประเทศไทย ตลาดกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี โดยกาแฟพิเศษ (specialty coffee) มีสัดส่วนการเติบโต 10% ต่อปี ส่วนตลาดชามีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท
    ที่มา: สมาคมกาแฟและชาไทย, รายงานประจำปี 2567
  3. การส่งออกกาแฟและชา ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกกาแฟมูลค่า 5,000 ล้านบาท และชามูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยจังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตหลัก
    ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, รายงานการส่งออก 2567
  4. ผลกระทบของซอฟต์พาวเวอร์ต่อการท่องเที่ยว การสำรวจของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ในปี 2567 พบว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและความยั่งยืน
    ที่มา: WTTC Global Tourism Report, 2567
  5. การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเชียงราย จากการสำรวจของสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • TCEB Domestic MICE
  • นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย
  •  พงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มิสยูนิเวิร์สเชียงราย 2025 มาแล้ว! เปิดรับสมัคร 15 พ.ค.

เชียงรายแถลงข่าวจัดประกวด MISS UNIVERSE CHIANG RAI 2025 อย่างเป็นทางการ

เชียงรายพร้อมเฟ้นหาสาวงามสู่เวทีระดับประเทศ

เชียงราย, 25 เมษายน 2568 – คุณชนชนก เชียงแรง ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวด “มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย 2025” ได้จัดงานแถลงข่าวรายละเอียดการประกวดอย่างเป็นทางการ ณ ห้องเฮอริเทจ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้สนใจ สื่อมวลชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

แนวคิดโดดเด่น “The Light of Power Brings New Hope”

การประกวดครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Light of Power Brings New Hope” หรือ “แสงแห่งพลังนำพาความหวังใหม่มาให้” โดยมุ่งเน้นการค้นหาผู้หญิงที่ไม่เพียงแต่มีความงามภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก มีวิสัยทัศน์ และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่วัฒนธรรมเชียงราย

นอกจากการเฟ้นหาสาวงามตัวแทนจังหวัดเชียงรายแล้ว การประกวดครั้งนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายในมิติการท่องเที่ยวและการเผยแพร่วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์โดยรวมของจังหวัด

เปิดรับสมัครถึงวันที่ 15 พฤษภาคมนี้

ผู้สนใจเข้าร่วมประกวดสามารถสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และจะมีการจัดประกวดรอบตัดสินในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ แกรนด์คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย

คุณชนชนก ได้รับสิทธิ์จัดประกวดที่จังหวัดพะเยาเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง

นอกจากนี้ คุณชนชนก เชียงแรง ยังได้ประกาศเพิ่มเติมว่า ตนเองได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์ส พะเยา 2025 อีกหนึ่งจังหวัด โดยรายละเอียดและกำหนดการต่างๆ ของจังหวัดพะเยาจะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส พะเยา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในพื้นที่

ชวนชาวเชียงราย-พะเยาร่วมลุ้นเชียร์สาวงามตัวแทนจังหวัด

คุณชนชนกยังเชิญชวนให้ประชาชนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา ร่วมติดตาม ร่วมเชียร์ และให้กำลังใจสาวงามที่จะเป็นตัวแทนจังหวัดเข้าร่วมประกวด Miss Universe Thailand 2025 ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยสามารถติดตามกิจกรรมและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของการประกวดได้ผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย และ มิสยูนิเวิร์ส พะเยา

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกวดความงาม

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและหน่วยงานจัดการประกวดความงามในระดับประเทศ ระบุว่า ในปี 2567 การจัดประกวดความงามในประเทศไทยมีการจัดขึ้นกว่า 200 เวที มีผู้เข้าประกวดรวมทั้งสิ้นมากกว่า 5,000 คน และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางตรงและทางอ้อมนับแสนคนทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ACT จี้ ปปง. ทวงคืน PEP สกัดโกง นักการเมือง

ACT ทวงคืน “มาตรการ PEP” ป้องกันฟอกเงินบุคคลการเมือง

ความเคลื่อนไหวล่าสุด ACT ร้อง กมธ.เร่งตรวจสอบ

เชียงราย, 17 เมษายน 2568 – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกมาทวงถามถึงมาตรการ PEP (Politically Exposed Persons) ที่ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยกเลิกตั้งแต่ปี 2563 ACT ย้ำชัดให้รีบนำกลับมาบังคับใช้โดยเร็วที่สุดภายในกลางปีนี้ เพื่อป้องกันการฟอกเงินของนักการเมืองและบุคคลระดับสูง

จุดเริ่มต้นของปัญหาการยกเลิกมาตรการ PEP

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT เปิดเผยว่า มาตรการ PEP เคยถูกบังคับใช้เมื่อปี 2556 เพื่อป้องกันการฟอกเงินของบุคคลสำคัญ เช่น นักการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูง ศาล และทหาร ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่พำนักในไทย แต่มาตรการนี้กลับถูกยกเลิกโดย ปปง. ในปี 2563 ส่งผลให้การตรวจสอบทางการเงินของบุคคลกลุ่มนี้ลดประสิทธิภาพลง

ACT เรียกร้อง กมธ.ฯ ให้เร่งตรวจสอบ ปปง.

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันได้ยื่นเรื่องไปยัง กมธ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด หลังจากที่ กมธ.ฯ ติดต่อกับ ปปง. ได้รับคำยืนยันว่า มาตรการ PEP ถูกยกเลิกไปจริงตั้งแต่ปี 2563 โดย ปปง. รับปากว่าจะนำกลับมาบังคับใช้ภายในกลางปี 2568 อย่างแน่นอน

ผลกระทบจากการขาดมาตรการตรวจสอบ

การที่มาตรการ PEP หายไป ส่งผลให้ธนาคารและธุรกิจต่างๆ ไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบธุรกรรมการเงินของบุคคลสำคัญชาวไทย เหลือเพียงการตรวจสอบบุคคลต่างชาติเท่านั้น ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมการฟอกเงินและลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการคอร์รัปชัน

ช่องโหว่ของมาตรการ PEP ในอดีต

ในช่วงปี 2556-2563 มาตรการ PEP ถูกใช้งานแต่กลับไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดการนิยามบุคคลเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมถึงเจ้าหน้าที่เกรงกลัวอำนาจทางการเมือง จนไม่กล้าตรวจสอบอย่างจริงจัง ส่งผลให้บุคคลระดับสูงหลุดพ้นจากการตรวจสอบอย่างง่ายดาย

การปรับปรุงมาตรการใหม่ของ ปปง.

นายมานะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ACT มั่นใจว่าการนำมาตรการ PEP กลับมาใช้ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินโดย ป.ป.ช. และการเสียภาษีของกรมสรรพากร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและป้องกันการฟอกเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการคอร์รัปชันในกลุ่มนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง

สถิติการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงินของไทย

รายงานล่าสุดจากบริษัท Secretariat เผยแพร่ดัชนีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงิน ประจำปี 2567 พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 127 จาก 177 ประเทศ ได้คะแนนเพียง 2.53 คะแนน อยู่ในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า Reactive Reformers ซึ่งมีจุดอ่อนสำคัญ คือ

  1. การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ
  2. กรอบการกำกับดูแลที่ไม่ชัดเจน
  3. ความโปร่งใสทางการเงินต่ำ
  4. มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ล้าสมัย

รายงานฉบับนี้ย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปและฟื้นมาตรการที่เข้มงวดโดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันและการฟอกเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดวิเคราะห์สำคัญที่ต้องดำเนินการต่อ

การนำมาตรการ PEP กลับมาใช้อย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการนิยามกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ธนาคารและธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามมาตรการนี้อย่างเคร่งครัด ACT ยืนยันว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณแต่อย่างใด แต่ต้องใช้ความจริงจังในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะ ปปง. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อขจัดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในอดีตให้หมดไปโดยเร็วที่สุด

มาตรการ PEP ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ หากดำเนินการได้สำเร็จ จะช่วยยกระดับการป้องกันการฟอกเงินของไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • รายงานของบริษัท Secretariat เรื่องดัชนีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงินและเศรษฐกิจ ปี 2567
  • สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News