Categories
FEATURED NEWS

การบินไทย x จิม ทอมป์สัน เปิดตัว Amenity Kit ลายไทยรักษ์โลก

จิม ทอมป์สัน จับมือ การบินไทย เปิดตัว Amenity Kit ดีไซน์ใหม่ 12 ลายพรินต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ นำเสนอเอกลักษณ์ไทยสู่สายตานักเดินทางทั่วโลก

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568] – บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ภายใต้แบรนด์ จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดตัว Amenity Kit ดีไซน์ใหม่ 12 ลวดลายสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติของประเทศไทย นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากคอลเล็กชันแรกในปี 2566 พร้อมยกระดับประสบการณ์การเดินทางเหนือระดับสำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย

Amenity Kit ดีไซน์ใหม่ สะท้อนเอกลักษณ์ไทย ผ่าน 12 ลวดลายสุดพิเศษ

แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการตอกย้ำอัตลักษณ์ของแบรนด์ จิม ทอมป์สัน ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมของไทยผ่านลวดลายบนผืนผ้า สู่สายตานักเดินทางทั่วโลก โดยทั้ง 12 ลายพรินต์ถูกออกแบบขึ้นเป็นพิเศษเพื่อสะท้อนความงดงามของศิลปะไทยและธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์”

ลวดลายที่โดดเด่นในคอลเล็กชันนี้ ได้แก่

  • Pink Orchid – ถ่ายทอดความงามของกล้วยไม้สีชมพูอ่อน พรรณไม้ที่พบได้ทั่วประเทศไทย
  • Hawaiian Hibiscus – ลายดอกชบาที่สื่อถึงความรักและความเจริญรุ่งเรือง ให้กลิ่นอายของป่าเขตร้อน
  • Elephant Park – ถ่ายทอดความสง่างามของช้างไทย ผ่านลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากจิตรกรรมฝาผนัง
  • Waves in the River – ลวดลายคลื่นน้ำอันอ่อนช้อย ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะเครื่องเขินโบราณ
  • Orchids Bloom – ลวดลายดอกกล้วยไม้บนพื้นหลังสีน้ำเงิน สื่อถึงการเริ่มต้นใหม่
  • Antique Turkish Tiles – ผสมผสานลวดลายพรมและกระเบื้องตุรกีเข้ากับธรรมชาติ
  • Bai Sri Su Khwan – ถ่ายทอดความวิจิตรของพิธีบายศรีสู่ขวัญ อันเป็นเอกลักษณ์ของไทย
  • Dusit Garden – จำลองบรรยากาศของสวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์แห่งแรกของไทย
  • Elephant Porcelain – ลายเครื่องลายครามที่ผสมผสานดอกโบตั๋นและช้างไทยได้อย่างลงตัว

การบินไทยตอกย้ำกลยุทธ์ ‘Beyond Silk’ นำวัฒนธรรมไทยสู่เวทีโลก

กรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติ มุ่งมั่นที่จะนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยไปสู่สายตานักเดินทางทั่วโลก Amenity Kit คอลเล็กชันใหม่นี้ไม่เพียงมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ผู้โดยสาร แต่ยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย และสนับสนุนความยั่งยืนผ่านการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลก”

วัสดุรักษ์โลก ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว

กระเป๋า Amenity Kit ใหม่นี้ยังผลิตขึ้นภายใต้แนวคิด “Sustainable Travel” โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ตัวอย่างของไอเท็มพิเศษภายในกระเป๋า ได้แก่

  • กระเป๋าผ้าพิมพ์ลายจิม ทอมป์สัน – ผลิตจากผ้ารีไซเคิลที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่
  • ผ้าปิดตาและที่อุดหู – ทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้
  • แปรงสีฟันและฝาครอบ – ผลิตจากวัสดุชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • โลชั่นทามือและลิปบาล์ม – ผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ
  • ลูกกลิ้งน้ำมันหอมระเหย – เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลายระหว่างเดินทาง

คอลเล็กชัน Amenity Kit ใหม่นี้จะมอบให้แก่ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย ที่เดินทางในเที่ยวบินที่ใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้สอดคล้องกับแท็กไลน์ “Smooth as Silk” ของการบินไทย

Jim Thompson x Thai Airways: ก้าวใหม่แห่งความร่วมมือเพื่อการเดินทางที่ยั่งยืน

จากความสำเร็จของ Amenity Kit คอลเล็กชันแรกในปี 2566 Jim Thompson และ การบินไทย ยังคงเดินหน้าสานต่อความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อผสานมรดกวัฒนธรรมไทยเข้ากับการเดินทางระดับพรีเมียม

การร่วมมือกันครั้งนี้ตอกย้ำถึงกลยุทธ์ ‘Beyond Silk’ ที่ต้องการพาธุรกิจของเราไปไกลกว่าการเป็นเพียงแบรนด์ผ้าไหม และก้าวเข้าสู่การเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่สามารถนำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก” แฟรงก์ แคนเซลโลนี กล่าว

ในอนาคต Jim Thompson และการบินไทย มีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง รวมถึงการพัฒนา สินค้ารักษ์โลก ที่สามารถใช้ซ้ำได้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สรุปจุดเด่นของ Amenity Kit คอลเล็กชันใหม่

  • ลวดลายสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 12 แบบ ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติของไทย
  • ใช้วัสดุรักษ์โลก ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
  • มอบให้ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย บนเที่ยวบินที่มีระยะเวลาเดินทางมากกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
  • สะท้อนกลยุทธ์ ‘Beyond Silk’ ของ Jim Thompson และ เสริมภาพลักษณ์การบินไทย ในฐานะสายการบินระดับพรีเมียม

การเปิดตัว Amenity Kit คอลเล็กชันใหม่นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำเสนอวัฒนธรรมไทยผ่านการเดินทางระดับโลก พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Jim Thompson และการบินไทย ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่นักเดินทางจากทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) / บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

ธปท. ยกระดับมาตรการป้องกันบัญชีม้าและภัยทุจริตทางการเงิน

ธปท. ยกระดับมาตรการจัดการบัญชีม้าและร่วมรับผิดชอบปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยการยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและการผลักดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบจากทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากภัยทุจริตที่เกิดขึ้น

การยกระดับมาตรการการจัดการบัญชีม้า

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ ธปท. ได้ดำเนินการคือการยกระดับการจัดการบัญชีม้าจากระดับบัญชีไปยังระดับบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การปิดบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการตรวจจับบัญชีม้าให้เข้มข้นขึ้น โดยพิจารณาพฤติกรรมการโอนของบัญชีม้าและมูลค่าของธุรกรรม เพื่อครอบคลุมการกระทำผิดที่มีลักษณะใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน กล่าวว่า ธปท. ได้ปรับมาตรการเพื่อให้สามารถจัดการบัญชีม้าที่ยังไม่ได้รับการแจ้งจากผู้เสียหาย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดบัญชีม้าและลดความเสี่ยงของการเกิดภัยทุจริต

การจัดการบัญชีม้าระดับบุคคล

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การจัดการบัญชีม้าที่มีความเสี่ยงสูงโดยการขยายเงื่อนไขในการระงับการโอนเงินจากบัญชีม้าที่ต้องสงสัย และการปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการใช้บัญชีม้าสำหรับการหลอกลวงทางการเงิน

ธนาคารจะต้องดำเนินการขยายการระงับการโอนเงินและปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ไปยังกรณีของบัญชีที่มีความเสี่ยงสูง โดยไม่จำเป็นต้องรอการแจ้งจากผู้เสียหาย ทั้งนี้ ยังต้องแจ้งเตือนผู้ใช้บริการเกี่ยวกับความเสี่ยงในการโอนเงินไปยังบัญชีที่อาจเป็นบัญชีม้า เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

การขยายขอบเขตการจัดการบัญชีม้า

ธปท. ได้ขยายการจัดการบัญชีม้าในวงกว้างมากขึ้น โดยกำหนดให้ธนาคารต้องแลกเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยระหว่างกัน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการป้องกันการทุจริตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะครอบคลุมไปถึงรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเงิน ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตรวจสอบและดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

การพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้า

เพื่อให้ธนาคารสามารถตรวจจับบัญชีม้าที่มีพฤติกรรมผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้าและพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ระบบนี้จะช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล โดยทันทีที่มีการตรวจพบพฤติกรรมที่ผิดปกติ

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้เน้นให้ธนาคารร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อปิดช่องโหว่ในเส้นทางการเงินที่มิจฉาชีพอาจใช้ในการหลอกลวง

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ธปท. มองว่า การแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธนาคาร หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อรับผิดชอบตามมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน

ธปท. จะประกาศกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของธนาคารที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อใช้ในการพิจารณาความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการหลอกลวงทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินการ

บทสรุป

การยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและลดภัยทุจริตทางการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท. เชื่อว่าการทำงานร่วมกันและการพัฒนามาตรการอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดความเสียหายในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงราย Art Festival 2025 รวมศิลปะ สตรีทแดนซ์ระดับประเทศ

Top North Battleground ศึกสตรีทแดนซ์สุดยิ่งใหญ่ในเชียงราย

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 จังหวัดเชียงราย โดยสมาคมขัวศิลปะ จับมือ สถาบัน MY DANCE ACADEMY จัดงาน Top North Battleground ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากกมายจากผู้เข้าร่วมให้เป็นอีกเวทีการแข่งขันของประเทศ และ เป็นอีกในส่วนในเทศกาล Chiangrai Art Festival 2025: Art Camp Art Fest. #4 จัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiangrai Contemporary Art Museum หรือ CCAM) ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ด้วยพื้นที่จัดงานกว่า 10 ไร่ อัดแน่นด้วยกิจกรรมศิลปะ ดนตรี การแสดงร่วมสมัย และการเต้นตลอดเวลา 3 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 24 – 26 มกราคม 2568 ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน

เทศกาลศิลปะที่เชื่อมโยงศิลปะร่วมสมัยและวัฒนธรรม

เทศกาลนี้ถือเป็นจุดบรรจบที่รวมเอาศิลปะและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน บนเวที CCAM ที่เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดเชียงราย ภายในงานมีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คน และนักเต้นที่เข้าร่วมแข่งขันถึง 147 ชีวิตจากหลากหลายรุ่น ซึ่งเป็นการรวมตัวของคนรักเต้นจากทั่วประเทศ

Top North Battleground: การแข่งขันเต้นที่เปิดโอกาสให้ทุกคน

Top North Battleground คือการแข่งขันเต้นระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างเวทีเปิดกว้างให้นักเต้นทุกคนไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพหรือสมัครเล่น รวมถึงเปิดกว้างให้ทีมระดับแชมป์โลกได้มีโอกาสแสดงความสามารถผ่านการเต้นในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเต้นไปกับเสียงดนตรีที่หลากหลาย ตั้งแต่เพลงฮิตกระแสหลักจนถึงเพลงคลาสสิกเหนือกาลเวลา โดยมีการประชันกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งไม่จำกัดแนวการเต้น เช่น ป๊อป ล็อกกิ้ง ฮิปฮอป และอีกมากมาย

Wanna be HAPPY: ตัวแทน MY Dance Academy สู่ความภาคภูมิใจ

ทีม Wanna be HAPPY จากสถาบัน MY Dance Academy สามารถคว้ารางวัลอันดับ 3 ในการแข่งขัน Street Dance ด้วยโชว์ที่โดดเด่นและสร้างสรรค์ ทีมนี้ประกอบด้วยนักเต้นมืออาชีพที่มาพร้อมกับพลังและความสามารถที่น่าทึ่ง

รายชื่อนักเต้นและผู้สร้างผลงานที่โดดเด่น MYDA ATHLETES (ADULT) Dancer & Athletes

  1. นายณภัทร บุญประกอบ Popping & House Part Choreography และVisual Directing, Song Editing & Dubbing
  2. นายศุภพิชญ์ กันยะธง Waacking Choreography
  3. วชิรญาณ์ นามวงค์ Locking Part Choreographyและ ภาพรวมโชว์, Stage Craft, Concept Director
  4. ธนภูพรรณ วงค์อะทะชัยLocking Part Choreography
  5. นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล Concept Director, Overall Visual Director, Song Director

ผู้ช่วยโค้ช : ภัทรศยา มาลา

คณะกรรมการตัดสินและผู้จัดงานที่ยกระดับวงการเต้นไทย

การแข่งขันครั้งนี้ได้รับการตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวงการเต้น ได้แก่

  1. รณกฤต ไกรกิจราษฎร์ (ครูเน)
  2. มนตรี มกราเจริญมงคล (ครูบอส)
  3. เอกราช ชลกิจ (ครูนิกกี้)
  4. Ryan Licudan (ครูไรอัน)
  5. ณทชา ชัยชนะกิจการ (ครูบอย)
  6. สายเมฆ พึ่งอุดม ตัวแทนจากสถาบัน MY DANCE ACADEMY

สายเมฆ พึ่งอุดม และภัทรศยา มาลา ผู้จัดงาน กล่าวว่า “การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การโชว์ทักษะของนักเต้น แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเต้นไทยได้ก้าวไปสู่เวทีระดับโลก และเป็นการส่งเสริมศิลปะการเต้นในฐานะเครื่องมือในการพัฒนาวัฒนธรรมและเศรษฐกิจผ่าน soft power

รางวัลประวัติศาสตร์จาก อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

รางวัลในครั้งนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นถ้วยรางวัลประวัติศาสตร์ที่ออกแบบและลงนามโดย อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งทำให้รางวัลนี้มีคุณค่าทางจิตใจและเป็นที่จดจำสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ผู้สนับสนุนหลักที่ทำให้งานนี้เป็นไปได้

งานนี้นอกจากสำนักข่าวที่ร่วมมามีส่วนร่วมให้กับเทศกาลครั้งนี้อย่างสำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์ แล้ว ยังได้รับการสนับสนุนจากหลากหลายองค์กร เช่น สมาคมสตรีทแดนส์ SDA Street Dance Association (SDA, โรงแรมสุขนิรันดร์, โรงแรมเวียงอินทร์, โตโยต้าเชียงราย, สถาบันสอนเต้น MY Dance Academy, Kore Lab Cafe Chiangrai,  เสื้อผ้า HIPHOP JONE 500, Brandyoung Office (บริษัท แบรนด์ยัง) และเซเว่น อีเลฟเว่น

ปิดท้ายด้วยความประทับใจในงานศิลปะร่วมสมัย

Chiangrai Art Festival 2025 เป็นมากกว่างานศิลปะ แต่คือการรวมตัวของผู้คนที่รักในความสร้างสรรค์และความหลากหลาย งานนี้สร้างความทรงจำที่ไม่มีวันลืมสำหรับทุกคนที่ได้เข้าร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

แกร็บเผยเทรนด์ท่องเที่ยว 2024 ไทยจุดหมายยอดนิยมในอาเซียน

แกร็บเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2024: ไทยครองแชมป์จุดหมายยอดนิยม

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 สะท้อนพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย จากกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนเดินทางไปต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 72% โดย 52% ต้องการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไทยยังครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ วัฒนธรรม และเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์และลอยกระทง

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวอาเซียนสูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็น 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด” ทั้งนี้ แกร็บเผย 5 อินไซต์สำคัญที่สะท้อนแนวโน้มการท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล ได้แก่:

    1. ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด
    2. ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง:  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน
    3. มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
    4. ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ
    5. ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น  ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว

นอกจากนี้ 78% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยข้อมูลทั้งหมดสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : grab

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

โตโยต้าเชียงรายร่วมมือชมรมราชการ มอบผ้าห่มต้านภัยหนาวเชียงราย

บริษัทโตโยต้าเชียงราย มอบผ้าห่มกันหนาวแก่ชมรมหัวหน้าส่วนราชการ เมืองเจียงฮาย

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด นำโดย คุณเรืองชัย จิตรสกุล และ คุณจินตนา จิตรสกุล ผู้บริหารบริษัทฯ และรองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ได้มอบผ้าห่มกันหนาวจำนวน 100 ผืน มูลค่า 45,000 บาท ให้แก่ “ชมรมหัวหน้าส่วนราชการ เมืองเจียงฮาย” โดยมี นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบ ณ โชว์รูม บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด ถนนพหลโยธิน อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกชมรมหัวหน้าส่วนราชการ เมืองเจียงฮาย ได้จัดกิจกรรม “ส่งมอบความห่วงใยถึงชาวเชียงราย” เพื่อนำผ้าห่มกันหนาวไปมอบให้แก่ผู้ขาดแคลนและผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งการบริจาคครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวในจังหวัด

ร่วมส่งความอบอุ่นถึงผู้ที่ขาดแคลน

กิจกรรมครั้งนี้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนทั่วไปที่สนใจร่วมสนับสนุนนำเครื่องกันหนาวมาบริจาคเพิ่มเติม โดยสามารถส่งมอบได้ที่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อรวบรวมไปแจกจ่ายแก่ผู้ที่ต้องการในพื้นที่ต่าง ๆ

สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 092-2468347 (นางสาวนันทวรรณ กันคำ) ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

โตโยต้าเชียงราย ร่วมสร้างชุมชนที่อบอุ่น

บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด มุ่งมั่นส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยเหลือชุมชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการมอบเครื่องกันหนาวหรือการส่งเสริมการศึกษา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยกิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะส่งมอบความอบอุ่นและห่วงใยให้แก่ประชาชนในช่วงฤดูหนาว

ความสำคัญของกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล การจัดกิจกรรมเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจากภัยหนาว แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างสังคมที่อบอุ่นและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เชียงรายกำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นชุมชนที่พร้อมช่วยเหลือและแบ่งปัน เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างอบอุ่นและปลอดภัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ACT จับตาโกงเลือกตั้ง อบจ. 68 หลังงบจ้างงานพุ่ง 100 ล้าน

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันเผยกลโกงเลือกตั้ง อบจ. 68 ตั้งงบจ้างงานเพิ่มพิเศษ จับตา 20 จังหวัดงบบุคลากรพุ่งกว่า 100 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดข้อมูลกลโกงเลือกตั้ง อบจ. วิธีใหม่  พร้อมชวนสังคมตั้งคำถาม และจับตา “20 อบจ.” ที่มีการตั้งงบฯจ้างบุคลากรเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ  หลายพื้นที่ตัวเลขสูงกว่า 100 ล้านบาท  ขณะที่การใช้เงินซื้อเสียงแบบดั้งเดิมยังคงระอุ คาดตัวเลขต้นทุนที่ผู้สมัครต้องจ่ายอาจไต่เพดานสูงถึง 300 ล้านบาท เตือน “นักซื้อ” ให้ระวังประชาชนรับเงินแต่อาจไม่เลือก

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยถึงกลโกงการเลือกตั้ง อบจ.68 ว่าที่ผ่านมามักเกิดขึ้นจากกลไกการเมืองผ่านเครือข่ายหัวคะแนนและเครือข่ายบ้านใหญ่ที่ถูกจัดวางไว้ครอบคลุมทุกระดับและมีการใช้ควบคู่กับกลไกรัฐผ่านฝ่ายปกครองและเครือข่ายสาธารณะสุข  ขณะที่การทุ่มซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดแค่การซื้อด้วยเงินแบบวิธีการเดิมๆ แต่มี “อุบาย” ใหม่ ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ในปีที่มีการเลือกตั้ง อบจ. มักมีการเพิ่มงบบุคลากร โดยมีข้อสงสัยว่าเป็นการเพิ่มงบเพื่อจ้างพนักงานจ้าง/ลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนอัตรากำลัง บาง อบจ. เพิ่มงบบุคลากรเกินร้อยละ 40 ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งขัดต่อมาตรา 35 ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น

นายมานะ ระบุว่า การโกงในรูปแบบนี้มีผลกระทบต่อการใช้งบประมาณและสร้างระบบที่ขาดความโปร่งใส พร้อมเตือนผู้สมัครให้ระวัง เพราะชาวบ้านอาจรับเงินซื้อเสียง แต่ไม่ลงคะแนนให้ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มักรับเงินแต่ไม่ลงคะแนน

จากข้อมูลการร้องเรียนต่อ กกต. ในปี 2563 มีเรื่องร้องเรียนถึง 718 เรื่อง แต่ส่งฟ้องศาลเพียง 47 เรื่อง หรือร้อยละ 6.5 เท่านั้น ปัญหานี้เกิดจากประชาชนไม่มั่นใจว่า กกต. จะสามารถปกป้องตัวผู้ร้องเรียนและดำเนินคดีได้อย่างจริงจัง

ข้อมูลสำคัญ

  1. จังหวัดที่มีงบบุคลากรเพิ่มสูงสุด:
    • ขอนแก่น: 650 ล้านบาท
    • ร้อยเอ็ด: 433 ล้านบาท
    • นราธิวาส: 360 ล้านบาท
  2. รูปแบบการโกงที่พบ:
    • เพิ่มงบบุคลากรเพื่อสร้างเครือข่าย
    • ใช้งบจ้างเหมาบริการกับบุคคลในเครือข่าย
    • ทุ่มซื้อเสียงผ่านหัวคะแนน
  3. ผลกระทบ:
    • สร้างระบบที่ขาดความโปร่งใส
    • ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบ

พบ อบจ.ที่มีสัดส่วนงบบุคลากรปี 2568 เกินร้อยละ 40

ทั้งนี้  พบ อบจ.ที่มีสัดส่วนงบบุคลากรปี 2568 เกินร้อยละ 40 ทั้งหมด 20 จังหวัดประกอบด้วย

  1. ศรีสะเกษ นราธิวาส มหาสารคาม (เพิ่มเท่ากัน ร้อยละ 57)
  2. มุกดาหาร (ร้อยละ 55)
  3. พิจิตร (ร้อยละ 54)
  4. ชัยภูมิ (ร้อยละ 51)
  5. กาฬสินธุ์ (ร้อยละ 50)
  6. สกลนคร (ร้อยละ 49)
  7. หนองบัวลำภู (ร้อยละ 48)
  8. พัทลุง นครราชสีมา (ร้อยละ 47)
  9. ยะลา ร้อยเอ็ด ขอนแก่น (ร้อยละ 46)
  10. อำนาจเจริญ น่าน (ร้อยละ 45)
  11. แพร่ อุตรดิตถ์ (ร้อยละ 43)
  12. สระแก้ว พะเยา (ร้อยละ 42)

ในจำนวนนี้ อบจ.ที่มีงบบุคลากรปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 สูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่

1) ขอนแก่น 650 ลบ.

2)ร้อยเอ็ด 433 ลบ.

3)นราธิวาส 360 ลบ.

4)มหาสารคาม 355 ลบ.

5)ชลบุรี 335 ลบ.

“ถ้าข้อสงสัยนี้เป็นจริงเท่ากับว่า มีการใช้เงินหลวงสร้างเครือข่ายพวกพ้องมหาศาล เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง ส่วนใหญ่เน้นจ้างลูกหลานคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างหรือพนักงานชั่วคราว 1 – 2 ปี หลังจากนั้นอาจจ้างต่อหรือเลิกจ้าง พื้นที่ไหนตุกติกทำคะแนนไม่เข้าเป้า คนจากพื้นที่นั้นก็จะถูกเลิกจ้าง” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ

คนที่ได้รับสัญญาจ้างเหมามักเป็นคนในเครือข่าย

นอกจากงบฯจ้างคนแล้ว ยังมีงบจ้างงานถูกใช้จ้างเหมาบริการ เช่น ขุดลอกคูคลอง ดูแลสวนสาธารณะ กวาดถนน มีทั้งที่อบจ. จ้างและจัดสรรงบให้เทศบาลหรืออบต.เป็นงบมูลค่าประมาณหลักแสนบาท หรือน้อยกว่า คนที่ได้รับสัญญาจ้างเหมามักเป็นคนในเครือข่าย เม็ดเงินส่วนนี้เกิดจากความตั้งใจทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่ำกว่ารายได้ที่จะเกิดขึ้นจริง เพื่อให้เกิดเงินเหลือใช้กลายเป็นเงินสะสม แล้วขออนุมัติใช้เงินนี้จากสภา อบจ. โดยตั้งเป็นวาระพิเศษหรือวาระจร ทำให้ขาดการศึกษาพิจารณาที่รอบคอบ และชาวบ้านย่อมไม่ได้รับทราบ

“การใช้เงินหลวงสร้างเครือข่ายพวกพ้อง แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มีผู้รู้เห็นจำนวนมาก แต่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวกระทบผู้เสียประโยชน์ หรือขัดใจชาวบ้านบางกลุ่ม แม้นักการเมืองที่เป็นคู่แข่งก็ไม่อยากพูด กลัวเสียโอกาส หากวันข้างหน้าตนเป็นผู้ชนะบ้าง”

เงินเดือนนายก อบจ. 75,550 บาท รวม 4 ปีเป็นเงิน 3,624,000 บาท

สำหรับการทุ่มซื้อเสียงผ่านกลไกการเมือง ผ่านเครือข่ายหัวคะแนนในพื้นที่ และเครือข่ายบ้านใหญ่นั้น ผู้สมัครฯ ที่ยังใช้วิธีเดิมๆ อาจหมดค่าใช้จ่ายในการหาเสียง บวกเงินซื้อเสียงและเงินวงพนัน ราว 60 – 300 ล้านบาท ตามขนาดจังหวัดและความเข้มข้นในการแข่งขัน หลายจังหวัดใช้ อสม. บางคนคุมเสียงในพื้นที่เล็กๆ เพราะเครดิตดี เป็นผู้หญิง คนเชื่อถือมาก ต่างจากกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ติดภาพว่าเป็นคนมีตำแหน่ง มีอิทธิพล ข่มชาวบ้าน หรือมีประวัติอมเงิน

“เงินเดือนนายก อบจ. 75,550 บาท รวม 4 ปีเป็นเงิน 3,624,000 บาท บวกเบี้ยประชุมแล้วยังมองไม่ออกว่าจะถอนทุนคืนจากไหน รู้แต่คนไทยร้อยละ 95.4 บอกว่า ใน อบจ. มีการโกงมโหฬาร”

วิธีการซื้อเสียงแบบดั้งเดิมจะมีการวางเครือข่ายหัวคะแนนเดินจดโพยรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตามพื้นที่ต่างๆ แล้วแจกเงินสดหรือโอนผ่านพร้อมเพย์  ในอัตราตั้งแต่ 200- 3,000 บาท เฉลี่ยทั่วประเทศ 900 บาท  กรณีการไปฟังปราศรัยชาวบ้านจะได้เงินอีกครั้งละ  300 บาท ส่วนรถรับจ้างที่ขนคนได้เงิน 1,500 บาท หลายพื้นที่จะมีการบอกผู้สมัครไว้เลยว่าขอไม่ให้จัดเวทีซ้อนกันเพื่อจะได้ไปหลายงาน บางวันมีรอบเที่ยง บ่าย ค่ำ ก็ได้รับเงิน 3 เวทีตลอดวัน

“ในอดีตชาวบ้านร้อยละ 80 จะรักษาคำพูดเมื่อรับเงินมาแล้ว แต่จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าประชาชนร้อยละ 56 เป็นปลาที่กินเหยื่อแต่ไม่กินเบ็ด คือรับเงินแต่ไม่ลงคะแนนให้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อายุ 18 ถึง 40 ปี”

วางกลยุทธ์ราคาเดิมพันต่างกันตามสถานการณ์

อีกวิธี เป็นการเปิดบ่อนพนันเดิมพันว่าใครจะชนะ ผู้บงการจะวางกลยุทธ์ราคาเดิมพันต่างกันตามสถานการณ์และเขตพื้นที่ เช่น ในกรณีผู้สมัครฯ ยังไม่มั่นใจว่าตนจะชนะเลือกตั้ง ช่วงเริ่มต้นจะหยั่งเสียงด้วยการตั้งราคาต่อรอง 10:3 เพื่อดูศักยภาพคู่แข่ง ถ้ามีคนแทงมากแปลว่ามีคะแนนเสียงดี แล้วขยับราคาต่อรองขึ้นเป็น 2:1 หรือ 3:2 จนไม่มีราคาต่อ หากพบว่าคู่แข่งมีคะแนนเสียงดีมากแล้ว  วิธีการนี้จะจูงใจชาวบ้านให้แทงข้างตนมากๆ จะได้ไปชักชวนคนอื่นๆ มาลงคะแนนให้ตนเพื่อได้เงินเดิมพัน  ในกรณีผู้บงการมั่นใจว่าตนชนะเลือกตั้งแน่ จะแอบวางเดิมพันด้วยเพื่อหวังกำไรมาคืนทุน

คดีเกือบทั้งหมดไม่สามารถสาวถึงตัวบงการ

คนไทยร้อยละ 68 รู้ว่ามีการซื้อเสียงเกิดขึ้น แล้วกกต.หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับทราบหรือไม่ ? ข้อมูลเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2563 มีเรื่องร้องเรียนสู่ กกต. 718 เรื่อง แต่ส่งฟ้องศาลเพียง 47 เรื่อง หรือร้อยละ 6.5 เท่านั้น ในจำนวนนี้มีผู้สมัครฯ ตกเป็นจำเลย ถูกลงโทษอาญาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพียง 4 คดี นอกนั้นเป็นหัวคะแนนหรือใครก็ไม่รู้

กกต. เคยชี้แจงว่าเหตุที่ดำเนินคดีผู้สมัครที่ซื้อเสียงได้น้อยมาก เพราะไม่มีใครแจ้งหรือให้ข้อมูล ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะประชาชนไม่เชื่อว่า กกต. จะกล้าเอาจริงและปกปิดตัวตนผู้ร้องเรียนได้ การร้องเรียนจังดูเป็นเรื่องไร้ค่า เพราะคดีเกือบทั้งหมดไม่สามารถสาวถึงตัวบงการ แม้จะชัดว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการซื้อเสียง คนชนะเลือกตั้งกลับตรวจสอบคุณสมบัติไม่ผ่าน เช่น ติดคดี มีประวัติต้องห้าม ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งก่อน ฯลฯ 

“แน่นอนว่าหาก กกต. ไม่ทำงานเชิงรุก การซื้อเสียงและโกงเลือกตั้งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘เซ็นทรัล’ มอบสถานีเตือนภัยน้ำท่วม เชื่อมสัมพันธ์ไทย-เมียนมา

เซ็นทรัลมอบสถานีเตือนภัยน้ำท่วมให้เมียนมา พร้อมฟื้นฟูชุมชนแม่สาย

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 กลุ่มเซ็นทรัล ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อส่งมอบสถานีโทรมาตรอัตโนมัติสำหรับการเตือนภัยน้ำท่วมให้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 1 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูและสนับสนุนการเตือนภัยน้ำท่วมในพื้นที่แม่สายและท่าขี้เหล็ก

ในงานนี้มีตัวแทนสำคัญจากกลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ คุณสมกมล จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส คุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย คุณณรงค์ ประทินสุขอำไพ ผู้จัดการเขต ร้านซุปเปอร์สปอร์ต ภาคเหนือ และ คุณนราวิขญ์ วงค์ปิน ผู้จัดการฝ่ายขายสินค้าโรบินสัน สาขาเชียงราย ร่วมกับ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นประธานในพิธี

สนับสนุนการติดตั้งสถานีเตือนภัยน้ำหลาก

สถานีโทรมาตรอัตโนมัตินี้ถูกติดตั้งจำนวน 4 สถานี โดยแบ่งเป็นฝั่งเมียนมา 3 สถานี ได้แก่ บ้านโจตาดา บ้านดอยต่อคำ และสะพานอูทูนอ่อง ในเขตบ้านสบสาย และฝั่งไทย 1 สถานี ณ สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1

พันโท ตั้น หล่าย วิน ผู้บังคับการกองบังคับการยุทธศาสตร์ท่าขี้เหล็ก เมียนมา กล่าวขอบคุณฝ่ายไทยในนามประชาชนเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 โดยสถานีโทรมาตรจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแจ้งเตือนล่วงหน้าและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ฟื้นฟูชุมชน

นอกจากการสนับสนุนสถานีเตือนภัยแล้ว มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยังจัดกิจกรรม “คืนพื้นที่ คืนความสุขให้ประชาชน” มอบสิ่งของจำเป็น เช่น ผ้าห่ม 500 ผืน อุปกรณ์กีฬา 10 ชุด ชุดเครื่องครัว และผ้าขนหนู รวมมูลค่า 137,793 บาท เพื่อช่วยฟื้นฟูจิตใจชาวบ้านในชุมชนถ้ำผาจมและชุมชนตลาดสายลมจอย

ความร่วมมือเชิงพื้นที่เพื่อป้องกันภัย

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กล่าวว่าการดำเนินโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยสถานีโทรมาตรอัตโนมัติได้ถูกขยายไปยัง สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งจะช่วยแจ้งเตือนล่วงหน้าแก่ชุมชนเครือข่ายในพื้นที่เสี่ยงภัย

โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากสถานีโทรมาตรและส่งต่อไปยังชุมชนเพื่อการเตรียมพร้อม

ผลักดันมาตรการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

การติดตั้งสถานีโทรมาตรในพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก เช่น บริเวณลำน้ำสาย ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติ พร้อมทั้งวางแผนสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น รถพยาบาลยกสูงและการจัดอบรมทีมกู้ภัยในอนาคต

ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและเมียนมา พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับท้องถิ่นและระดับชาติในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เครือข่ายสื่อมวลชนร่วมต้านคอร์รัปชัน สร้างสังคมโปร่งใสยั่งยืน

เครือข่ายสื่อมวลชนรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชัน เดินหน้าโครงการสื่อสืบสวนระดับชาติ

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 โครงการความร่วมมือ “เครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านคอร์รัปชัน” (Investigative Journalism Fellowship Program for Anti-Corruption) ได้จัดขึ้น ณ The Botanical House ซอยพระราม 9 โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิเพื่อคนไทย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายหลายหน่วยงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมบทบาทสื่อมวลชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชันในสังคม

วัตถุประสงค์โครงการ: เสริมบทบาทสื่อสืบสวนเพื่อสังคมไทยที่โปร่งใส

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานของสื่อมวลชนด้านสืบสวนสอบสวน โดยเฉพาะประเด็นการทุจริตคอร์รัปชันในหลากหลายมิติ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลเพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่สังคม พร้อมปลุกพลังประชาชนให้มีส่วนร่วมในการต่อต้านการคอร์รัปชัน

กิจกรรมภายในงาน: แบ่งปันประสบการณ์ ปลุกพลังสื่อ

ภายในงานมีการบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่

  • คุณวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย
  • คุณปรางค์ทิพย์ ดาวเรือง นักวิจัยอิสระด้านมาเลเซีย และสมาชิกเครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (ICIJ)
  • พิพัฒน์ พึ่งพาพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.
  • มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 

ไฮไลต์กิจกรรมสำคัญ:

  1. เผยผลวิจัยสื่อ: สะท้อนปัญหาและความท้าทายการทำงานสืบสวนสอบสวน
  2. ระดมความคิดสร้างสรรค์: ออกแบบแนวทางแก้ปัญหาและพัฒนาแผนงานสื่อสืบสวน
  3. สร้างเครือข่าย: รวมพลังสื่อมวลชนเพื่อขับเคลื่อนงานตรวจสอบทั่วประเทศ

การมีส่วนร่วมของสื่อมวลชนหลากหลายช่องทาง

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนทั่วประเทศ เช่น ThaiPBS News, ช่อง 7 HD, สำนักข่าวอิศรา, THE STANDARD, The Momentum, Songkhla Focus, นครเชียงรายนิวส์ เป็นต้น โดยมีสื่อท้องถิ่นและสื่อภูมิภาคเข้าร่วมอย่างคึกคัก

คุณกันณพงศ์ – มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารนครเชียงรายนิวส์ กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมสร้างเครือข่ายสื่อมวลชนที่มีเป้าหมายเดียวกันในการตรวจสอบการคอร์รัปชันในทุกมิติ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสื่อท้องถิ่นในฐานะผู้ใกล้ชิดกับปัญหาและประชาชน

ความสำเร็จและเป้าหมายในอนาคต

ท้ายที่สุด ผู้เข้าร่วมโครงการได้ร่วมสร้างเครือข่ายสื่อมวลชนระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการทำงานด้านสืบสวนสอบสวนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังให้เกิดสังคมที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และลดปัญหาคอร์รัปชันในระยะยาว

โครงการนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการทำงานของสื่อมวลชน แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับสื่อในทุกระดับในการใช้ศักยภาพของตนเพื่อตรวจสอบและสร้างสรรค์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายจัดงานสุขภาพ ‘นอนดี ใจ๋แฮปปี้’ สร้างแรงบันดาลใจชุมชน

งาน “นอนดี ใจ๋แฮปปี้” เชียงราย: สร้างสุขภาพดี สร้างแรงบันดาลใจในชุมชน

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 งาน “นอนดี ใจ๋แฮปปี้” ได้จัดขึ้น ณ ลานการ์เด้น โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น จังหวัดเชียงราย ในบรรยากาศที่อบอุ่นและตรงกลุ่มเป้าหมาย ผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยผู้สูงอายุ ประชาชนทั่วไป ผู้นำชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 พรรคประชาชน ที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในชุมชนอย่างเต็มที่

นิทรรศการสุขภาพที่น่าสนใจ

งานเริ่มต้นด้วยนิทรรศการสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าร่วม เช่น การบรรยายเรื่อง “โรคหยุดหายใจขณะหลับ” โดย นพ.จิรยศ จินตนาดิลก ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ ถ่ายทอดผ่านระบบ VDO Conference ที่เข้าใจง่ายและเป็นประโยชน์

กิจกรรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจร

ในเซสชั่นถัดมา มีการจัด โยคะนิทรา โดย ครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะหัวเราะ เพื่อเสริมสร้างสมดุลทางอารมณ์และร่างกาย

ช่วงบ่าย ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้เกี่ยวกับ สมุนไพรเพื่อการนอนหลับ และได้ชมการสาธิตทำอาหารโดยใช้วัตถุดิบสมุนไพรไทยจากเชฟใหญ่ของโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย

นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอนวัตกรรมสุขภาพ เช่น Aidery Connect Application ที่ช่วยเชื่อมโยงกับ IoT เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้น

สร้างแรงบันดาลใจผ่านแนวคิดสิ่งแวดล้อม

ในเซสชั่นที่ 4 มีการนำเสนอแนวคิด Chiang Rai Zero Burn & Zero Flare (CRZF) โดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น ว่าที่ ร.ต.ดุจเดี่ยว วงศ์ภักดิ์ ที่ปรึกษาสภาเกษตรกร และ นางสาวกมลชนก สว่างศิลป์ นักวิชาการพลังงาน ที่มุ่งเน้นลดการเผาและดูแลสิ่งแวดล้อม

การสนับสนุนจากหลากหลายองค์กร

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (เชียงราย), สมาคมศักดิ์ศรีคนพิการไท, ชุมชนสันโค้งน้อย และกลุ่มองค์กรพัฒนาเกษตร รวมถึงบูธจากบริษัทด้านนวัตกรรมและสุขภาพ เช่น Garmin, Boncafé, และไร่รื่นรมย์

ผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมงาน

ผู้เข้าร่วมงานต่างชื่นชมกิจกรรมว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้เรื่องสุขภาพ พร้อมทั้งประทับใจในบรรยากาศที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม งานนี้ไม่เพียงสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดกิจกรรมดี ๆ อีกในอนาคต

งาน “นอนดี ใจ๋แฮปปี้” เชียงรายจึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับชุมชนในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบผ้าห่ม ช่วยชาวเชียงรายต้านภัยหนาว

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือกองทัพไทย มอบผ้าห่มกันหนาวช่วยผู้ประสบภัยเชียงราย ชี้ภัยหนาวเสี่ยงอันตรายรุนแรง

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นาวาอากาศเอก ณัฐพัชร หนองแสง ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ผู้แทนจากกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ร่วมกันส่งมอบ ผ้าห่มกันหนาวและถุงยังชีพ ที่บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค เวชภัณฑ์ และสิ่งของจำเป็น ให้กับประชาชนในพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะอากาศหนาวจัด

ผ้าห่มที่มอบในครั้งนี้ผลิตจาก ขวดพลาสติกรีไซเคิล (Upcycling) โดยวิสาหกิจชุมชนบ้านวัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ผู้ประสบภัยแล้ว ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมจากการลดขยะพลาสติก ตอกย้ำถึงการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และกองทัพไทยต่างเล็งเห็นความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาวะภัยหนาวที่มักส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คน

อากาศหนาวจัด: ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ

อากาศหนาวจัดอาจดูไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริง ภัยหนาว สามารถสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้รุนแรง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว

ข้อมูลจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมของทุกปี อุณหภูมิในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักลดต่ำลงถึง 8-10 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในพื้นที่สูง เช่น ดอยแม่สลองและดอยตุง จ.เชียงราย ซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำถึง 5 องศาเซลเซียส

จากสถิติของ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2566 มีผู้ป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศหนาวเย็นที่พบได้บ่อย ได้แก่

  1. โรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม และหลอดลมอักเสบ
  2. ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายล้มเหลว
  3. โรคผิวหนัง เช่น ผื่นคันและผิวหนังแห้งแตกจากการสูญเสียน้ำในร่างกาย

การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวอย่างเป็นระบบ

การดำเนินการของตลาดหลักทรัพย์ฯ และกองทัพไทยในครั้งนี้ นอกจากเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าแล้ว ยังถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงอันตรายจากอากาศหนาวในวงกว้าง

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล กล่าวว่า
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน โดยการนำแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ ผ่านการผลิตผ้าห่มจากขวดพลาสติกรีไซเคิล ช่วยทั้งผู้ประสบภัยและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน”

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่รับมือกับภัยหนาว ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นเพียงพอ หมั่นดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องทำความร้อนที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย

ความร่วมมือเพื่อสังคมที่ยั่งยืน

การดำเนินโครงการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง พลังแห่งความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ร่วมกันสร้างโอกาสในการเข้าถึงการช่วยเหลือในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน การแจกจ่ายผ้าห่มและถุงยังชีพในครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาภัยหนาวที่กำลังทวีความรุนแรงในหลายพื้นที่ และเป็นกำลังใจให้ประชาชนก้าวผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย

ข้อแนะนำสำหรับประชาชนในช่วงฤดูหนาว

  1. สวมใส่เสื้อผ้าหนาและปิดมิดชิด เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย
  2. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารร้อน เช่น น้ำขิง ซุป และอาหารโปรตีนสูง
  3. หมั่นออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
  4. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนเร็วขึ้น

การมอบผ้าห่มกันหนาวและสิ่งของจำเป็นในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างแท้จริง สร้างความตระหนักถึงอันตรายจากภัยหนาว พร้อมทั้งร่วมผลักดันการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฝ่ายสื่อสารองค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News