Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ไขความลับธุรกิจสำเร็จ 3 ผู้นำ พร้อมเข้าสู่ความท้าทายในโลกธุรกิจ

3 Keys to Success in Challenging Business และโอกาสในการศึกษาปริญญาโทที่ PIM

เปิดประตูสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ กับ 3 ผู้นำแห่งวงการ

งานเสวนา “3 Keys to Success in Challenging Business ไขความลับสู่วิธีสร้างความสำเร็จของธุรกิจ” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 ณ CP ALL Academy สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักบริหาร และผู้ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจเป็นอย่างมาก งานนี้ได้เชิญ 3 ผู้นำธุรกิจระดับแนวหน้า มาถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดสำคัญที่ช่วยสร้างความสำเร็จท่ามกลางความท้าทายของโลกธุรกิจยุคใหม่

ประสบการณ์จริงจาก 3 ผู้นำองค์กรธุรกิจ

  1. คุณรังสรรค์ พรมประสิทธิ์ CEO บริษัท Queue (Thailand) Co.,Ltd.

จาก Software House สู่ Startup ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด คุณรังสรรค์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ QueQ แอปพลิเคชันจองคิวที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ปลดล็อกปัญหาการรอคิวนานในร้านอาหาร โรงพยาบาล และสถานที่สำคัญต่าง ๆ พร้อมเผยความแตกต่างระหว่าง Startup และ SME ที่ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้เร็วและยั่งยืน

  1. คุณจักรพันธ์ ศรีจันทร์ทัพ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ฮับไวเซอร์ จำกัด

Digital Participation & Business Opportunity คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล คุณจักรพันธ์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกใช้แพลตฟอร์มและช่องทางการสื่อสารให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริง

  1. คุณวิชชุพันธ์ จันทร์มณี AVP Human Resource Management บริษัท เพนส์ มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด

Learning & Development คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง คุณวิชชุพันธ์แชร์แนวทาง การจัดวางระบบการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตั้งแต่ระดับพนักงานไปจนถึงผู้บริหาร เพื่อสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและพร้อมเผชิญความท้าทายในอนาคต

 

PIM – โอกาสแห่งการเรียนรู้เพื่ออนาคตที่มั่นคง

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการบริหารธุรกิจด้วยหลักสูตรปริญญาโทที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่:

  1. MBA PIM – นวัตกรรมธุรกิจและการจัดการ 3 Tracks
  • Transform Your Business – เน้นกลยุทธ์ทางธุรกิจในทุกประเภท
  • MBA Vitality Boost – วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ
  • MBA Consulting Design – เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหาร
  1. MBA-POS – การบริหารคนและกลยุทธ์องค์การ
  • เน้น Project-Based Learning และ Current Business Issues
  • เชื่อมโยงทฤษฎีสู่การแก้ปัญหาธุรกิจจริง
  • มีเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจกว่า 2,000 องค์กร พร้อมโอกาสศึกษาดูงานระดับโลก
  1. MCA – นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต ด้านนวัตกรรมการสื่อสาร
  • สร้างนักสื่อสารที่มีจริยธรรมและตอบโจทย์ธุรกิจ
  • เรียนรู้ผ่าน Work-based Researching
  • ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

โอกาสพิเศษ! รับทุนการศึกษาสูงสุด 30,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อปริญญาโทกับ PIM ภายในงานนี้มีการเปิดบ้านแนะนำหลักสูตรพร้อมโอกาสรับทุนการศึกษาสูงสุดถึง 30,000 บาท เพื่อสนับสนุนผู้ที่ต้องการพัฒนาตัวเองและต่อยอดธุรกิจให้เติบโตไปอีกระดับ

หากคุณกำลังมองหาโอกาสทางการศึกษาที่จะช่วยยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) คือคำตอบของคุณ สมัครและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pim.ac.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

AOT เปิดลงทุนรอบสนามบิน โอกาสทองอสังหาฯ 29 เม.ย. 68

AOT Property Showcase 2025: เปิดประตูสู่โอกาสทองด้านการลงทุนรอบสนามบิน

โอกาสครั้งสำคัญของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์

AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดม่านงาน “AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity” งานแสดงโอกาสการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี เปิดโอกาสให้นักลงทุนและภาคเอกชนเข้ามาพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ศักยภาพสูงรอบท่าอากาศยานทั่วประเทศ งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 29 เมษายน 2568 เวลา 09:30 – 12:00 น.Harmony Grand Ballroom, BDMS Connect Center, Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok

ขยายวิสัยทัศน์สู่ Aviation Hub แห่งภูมิภาค

การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของ AOT ในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์จากที่ดินโดยรอบท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่ และแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งล้วนเป็น ทำเลทอง สำหรับการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์กระจายสินค้า ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

จุดเด่นของงาน: The Six Pillars of Opportunity

AOT ได้นำเสนอแนวคิด “The Six Pillars of Opportunity” หรือ 6 เสาหลักแห่งโอกาส ที่จะช่วยผลักดันให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาพื้นที่ โดยประกอบไปด้วย:

  1. ทำเลยุทธศาสตร์ระดับพรีเมียม – การเข้าถึงพื้นที่สำคัญรอบท่าอากาศยานที่เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและขนส่ง
  2. สาธารณูปโภคครบครัน – รองรับการพัฒนาพื้นที่ในหลากหลายรูปแบบ
  3. โลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งระหว่างประเทศ
  4. โอกาสการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน
  5. การสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุน
  6. การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่อยู่รอบสนามบิน

การเสวนาพิเศษ: เจาะลึกศักยภาพอสังหาริมทรัพย์รอบสนามบิน

ภายในงานจะมีการเสวนาหัวข้อ โอกาสทองอสังหาริมทรัพย์ของ AOT ก้าวสู่การเป็น AVIATION HUB” โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ได้แก่:

  • คุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ – กรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง AOT
  • ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ – กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT
  • ดร.กิริฎา เภาพิจิตร – ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service

นักลงทุนได้รับอะไรจากงานนี้?

นักลงทุนที่เข้าร่วมงานจะได้รับ:  การเข้าถึง ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับที่ดินโดยรอบท่าอากาศยาน โอกาสในการลงชื่อเพื่อ เยี่ยมชมพื้นที่จริง และสิทธิพิเศษและข้อเสนอเฉพาะสำหรับนักลงทุนในงาน รวมไปถึง Networking กับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้า

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีจำนวนผู้โดยสารมากกว่า 60 ล้านคนต่อปี (ที่มา: AOT Annual Report 2024)
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี (ที่มา: กรมท่าอากาศยาน)
  • การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รอบสนามบินในประเทศญี่ปุ่น เช่น นาริตะ และฮาเนดะ มีมูลค่าการเติบโตสูงกว่า 15% ต่อปี (ที่มา: Japan Civil Aviation Bureau)

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้แล้ววันนี้

นักลงทุนและผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งเข้าร่วมงาน AOT Property Showcase 2025 ได้แล้ววันนี้ที่:

Line Official Account: https://lin.ee/rWBrKhe  Email: aotproperty@thegoodsun.net

หรือติดต่อ: น.ส.ปัทมา สินประเสริฐพร (08 1912 8358) และ น.ส.นภสร มากช่วย (09 7294 4245)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AOT Property Showcase 2025

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

กฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากสำเร็จ ไทยชาติแรกเอเชีย ACT หนุนต่อยอด

ACT สนับสนุนกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ปลดล็อก 10 ปีแห่งการรอคอย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันชื่นชม “รัฐสภา-ป.ป.ช.” พร้อมเสนอแนวทางเพิ่มเติม

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกแถลงการณ์ต้อนรับการบังคับใช้ มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) ซึ่งช่วยปกป้องผู้แจ้งเบาะแส คุ้มครองสิทธิในการแสดงออก และเสริมสร้างความมั่นใจในการต่อต้านคอร์รัปชัน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฎหมายนี้

มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก” สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้แจ้งเบาะแส นักกิจกรรม และสื่อมวลชนถูกฟ้องร้องหรือคุกคามโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งกฎหมายนี้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนกล้าตรวจสอบและเปิดเผยพฤติกรรมทุจริตมากขึ้น

3 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม

  1. สิทธิผู้บริโภค – ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบและการปกปิดข้อมูลสำคัญของสินค้าและบริการ
  2. สิ่งแวดล้อม – การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและการบุกรุกพื้นที่ป่า
  3. สิทธิมนุษยชน – การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยภาครัฐและเอกชน

ที่มาของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก

กฎหมายนี้มีต้นกำเนิดจากข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมที่เห็นถึงปัญหาการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่และปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก โดยเริ่มต้นจากข้อเสนอของ สภาปฏิรูปแห่งชาติในปี 2558 และได้รับการผลักดันจนผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในปี 2568

หลักการสำคัญของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก

  1. การปกป้องสิทธิในการแสดงออก – ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์และร้องเรียนเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะได้โดยไม่ถูกฟ้องร้องโดยไม่มีเหตุผล
  2. การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส – ให้การป้องกันบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
  3. การเร่งพิจารณาคดี – ศาลสามารถพิจารณายุติคดีที่เข้าข่ายการฟ้องปิดปากได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดภาระของผู้ถูกฟ้อง

บทบาทของ “ป.ป.ช.” ในการบังคับใช้กฎหมาย

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยมีหน้าที่ดังนี้:

  • ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกฟ้องร้อง
  • สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
  • ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อป้องกันการใช้กฎหมายโดยมิชอบ

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน – ผู้คนจะกล้าออกมาร้องเรียนและตรวจสอบการทุจริตมากขึ้น
  2. ลดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่ – นักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตจะไม่สามารถใช้กฎหมายเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างได้
  3. เพิ่มความเชื่อมั่นของนานาชาติ – การมีกฎหมายนี้ช่วยให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นด้านสิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของ Transparency International ปี 2567 พบว่า 85% ของประชาชน เห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาหลักของประเทศ
  • สถาบันเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีกรณีฟ้องปิดปากเพิ่มขึ้น กว่า 150% ในภูมิภาคเอเชีย
  • สำนักข่าว Reuters รายงานว่า กว่า 60 ประเทศทั่วโลก ได้ออกกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สรุป

กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องสิทธิของประชาชนและส่งเสริมธรรมาภิบาลในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องเร่งศึกษาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด และครอบคลุมประเด็นสิทธิผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) / องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ซ่อมใหม่ “สะพานฮาแหล่จะ” แลนด์มาร์คเชียงราย เริ่มมีนา 68

อบจ.เชียงราย ร่วมลงนาม MOU ดำเนินโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ เชื่อมบ้านแคววัวดำ – บ้านผาเสริฐ

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้าื่อข่าวรายงานว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อดำเนินโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ เชื่อมระหว่างบ้านแคววัวดำ หมู่ 12 ตำบลแม่ยาว และบ้านผาเสริฐ หมู่ 6 ตำบลดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

พิธีลงนามจัดขึ้น ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, นายปิยพันธุ์ ธนะโสภณ ประธานคณะกรรมการโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ, นายอภิรักษ์ อินต๊ะวัง นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาว, นายเอื้ออังกูร เทพสมรส นายกเทศมนตรีตำบลดอยฮาง และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นที่ปรึกษาโครงการ

วัตถุประสงค์ของโครงการ

การซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะเป็นไปเพื่อฟื้นฟูการใช้งานให้สามารถใช้สัญจรได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน

ปัจจุบันทางคณะกรรมการโครงการได้คัดเลือก บริษัท บีเทคกรุ๊ป จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างภายใต้งบประมาณ 6,170,000 บาท ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากเอกชน 2 แห่ง ได้แก่:

  1. สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 โครงการ “ช่อง 8 ปันน้ำใจ” จำนวน 6,000,000 บาท
  2. โรงแรมโฆษะขอนแก่น และกลุ่ม Kosa Group จำนวน 170,000 บาท

รายละเอียดของการก่อสร้าง

โครงการนี้ประกอบด้วย:

  • การสร้างสะพานแขวนใหม่โดยใช้โครงสร้างลวดสลิงเดิม
  • การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะ
  • การปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เอื้อต่อการเดินทางและการท่องเที่ยว

โครงการคาดว่าจะเริ่มต้นก่อสร้างภายในเดือนมีนาคม 2568 และแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2568 หากไม่มีอุปสรรคใดๆ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

เมื่อโครงการซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะเสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ต้องเดินทางไกลขึ้นเนื่องจากสะพานพัง รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของตำบลแม่ยาวและตำบลดอยฮาง โดยเฉพาะธุรกิจท้องถิ่น ร้านอาหาร และสินค้า OTOP ที่จะได้รับประโยชน์จากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น

ประโยชน์ของโครงการ

  • อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน: สะพานแขวนฮาแหล่จะเป็นเส้นทางหลักของชาวบ้านจากตำบลแม่ยาว, ตำบลดอยฮาง และตำบลห้วยชมภู ที่ต้องใช้ในการเดินทางไปทำงาน, ไปโรงเรียน และไปยังสถานพยาบาล
  • ลดระยะทางการเดินทาง: สะพานช่วยร่นระยะทางไปกลับได้ถึง 10 กิโลเมตร ทำให้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
  • ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว: คณะกรรมการโครงการตั้งเป้าหมายให้สะพานฮาแหล่จะเป็น แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ความเป็นมาของสะพานแขวนฮาแหล่จะ

สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2541 ด้วยเงินทุนสนับสนุนจากสถานทูตญี่ปุ่น เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทไทย โดยสะพานเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งพืชผลทางการเกษตรและการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ของชุมชน

อย่างไรก็ตาม สะพานได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ที่ระดับน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นจนสะพานพังเสียหาย ไม่สามารถใช้สัญจรได้ ส่งผลให้ประชาชนต้องใช้เส้นทางอ้อมที่มีระยะทางไกลขึ้นและอาจมีอันตรายในการเดินทาง

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

การซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะครั้งนี้เป็นความร่วมมือจากจิตอาสา 100% จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ โดยคณะกรรมการโครงการและผู้เกี่ยวข้องต่างมุ่งมั่นให้สะพานกลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด

ทางคณะกรรมการโครงการซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ และมั่นใจว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จตามกำหนด และสะพานแขวนฮาแหล่จะจะกลับมาเป็นเส้นทางหลักที่ปลอดภัยและเป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนาในจังหวัดเชียงรายต่อไป

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • สะพานแขวนฮาแหล่จะ ถูกสร้างขึ้นในปี 2541 และใช้สัญจรมากกว่า 1,000 คน/วัน ก่อนจะได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
  • งบประมาณโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ 6,170,000 บาท ได้รับการสนับสนุนจาก 2 องค์กรเอกชน
  • สะพานแห่งนี้ช่วยร่นระยะทางเดินทางของประชาชนในพื้นที่ได้ถึง 10 กิโลเมตร
  • การซ่อมแซมคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน กรกฎาคม 2568 และคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น 20-30% ในปีแรกหลังเปิดใช้งาน

อ้างอิง: ข้อมูลจากคณะกรรมการโครงการซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะ, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และเทศบาลตำบลแม่ยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

การบินไทย x จิม ทอมป์สัน เปิดตัว Amenity Kit ลายไทยรักษ์โลก

จิม ทอมป์สัน จับมือ การบินไทย เปิดตัว Amenity Kit ดีไซน์ใหม่ 12 ลายพรินต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ นำเสนอเอกลักษณ์ไทยสู่สายตานักเดินทางทั่วโลก

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568] – บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ภายใต้แบรนด์ จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดตัว Amenity Kit ดีไซน์ใหม่ 12 ลวดลายสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติของประเทศไทย นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากคอลเล็กชันแรกในปี 2566 พร้อมยกระดับประสบการณ์การเดินทางเหนือระดับสำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย

Amenity Kit ดีไซน์ใหม่ สะท้อนเอกลักษณ์ไทย ผ่าน 12 ลวดลายสุดพิเศษ

แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการตอกย้ำอัตลักษณ์ของแบรนด์ จิม ทอมป์สัน ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมของไทยผ่านลวดลายบนผืนผ้า สู่สายตานักเดินทางทั่วโลก โดยทั้ง 12 ลายพรินต์ถูกออกแบบขึ้นเป็นพิเศษเพื่อสะท้อนความงดงามของศิลปะไทยและธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์”

ลวดลายที่โดดเด่นในคอลเล็กชันนี้ ได้แก่

  • Pink Orchid – ถ่ายทอดความงามของกล้วยไม้สีชมพูอ่อน พรรณไม้ที่พบได้ทั่วประเทศไทย
  • Hawaiian Hibiscus – ลายดอกชบาที่สื่อถึงความรักและความเจริญรุ่งเรือง ให้กลิ่นอายของป่าเขตร้อน
  • Elephant Park – ถ่ายทอดความสง่างามของช้างไทย ผ่านลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากจิตรกรรมฝาผนัง
  • Waves in the River – ลวดลายคลื่นน้ำอันอ่อนช้อย ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะเครื่องเขินโบราณ
  • Orchids Bloom – ลวดลายดอกกล้วยไม้บนพื้นหลังสีน้ำเงิน สื่อถึงการเริ่มต้นใหม่
  • Antique Turkish Tiles – ผสมผสานลวดลายพรมและกระเบื้องตุรกีเข้ากับธรรมชาติ
  • Bai Sri Su Khwan – ถ่ายทอดความวิจิตรของพิธีบายศรีสู่ขวัญ อันเป็นเอกลักษณ์ของไทย
  • Dusit Garden – จำลองบรรยากาศของสวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์แห่งแรกของไทย
  • Elephant Porcelain – ลายเครื่องลายครามที่ผสมผสานดอกโบตั๋นและช้างไทยได้อย่างลงตัว

การบินไทยตอกย้ำกลยุทธ์ ‘Beyond Silk’ นำวัฒนธรรมไทยสู่เวทีโลก

กรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติ มุ่งมั่นที่จะนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยไปสู่สายตานักเดินทางทั่วโลก Amenity Kit คอลเล็กชันใหม่นี้ไม่เพียงมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ผู้โดยสาร แต่ยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย และสนับสนุนความยั่งยืนผ่านการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลก”

วัสดุรักษ์โลก ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว

กระเป๋า Amenity Kit ใหม่นี้ยังผลิตขึ้นภายใต้แนวคิด “Sustainable Travel” โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ตัวอย่างของไอเท็มพิเศษภายในกระเป๋า ได้แก่

  • กระเป๋าผ้าพิมพ์ลายจิม ทอมป์สัน – ผลิตจากผ้ารีไซเคิลที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่
  • ผ้าปิดตาและที่อุดหู – ทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้
  • แปรงสีฟันและฝาครอบ – ผลิตจากวัสดุชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • โลชั่นทามือและลิปบาล์ม – ผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ
  • ลูกกลิ้งน้ำมันหอมระเหย – เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลายระหว่างเดินทาง

คอลเล็กชัน Amenity Kit ใหม่นี้จะมอบให้แก่ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย ที่เดินทางในเที่ยวบินที่ใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้สอดคล้องกับแท็กไลน์ “Smooth as Silk” ของการบินไทย

Jim Thompson x Thai Airways: ก้าวใหม่แห่งความร่วมมือเพื่อการเดินทางที่ยั่งยืน

จากความสำเร็จของ Amenity Kit คอลเล็กชันแรกในปี 2566 Jim Thompson และ การบินไทย ยังคงเดินหน้าสานต่อความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อผสานมรดกวัฒนธรรมไทยเข้ากับการเดินทางระดับพรีเมียม

การร่วมมือกันครั้งนี้ตอกย้ำถึงกลยุทธ์ ‘Beyond Silk’ ที่ต้องการพาธุรกิจของเราไปไกลกว่าการเป็นเพียงแบรนด์ผ้าไหม และก้าวเข้าสู่การเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่สามารถนำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก” แฟรงก์ แคนเซลโลนี กล่าว

ในอนาคต Jim Thompson และการบินไทย มีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง รวมถึงการพัฒนา สินค้ารักษ์โลก ที่สามารถใช้ซ้ำได้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สรุปจุดเด่นของ Amenity Kit คอลเล็กชันใหม่

  • ลวดลายสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 12 แบบ ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติของไทย
  • ใช้วัสดุรักษ์โลก ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
  • มอบให้ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย บนเที่ยวบินที่มีระยะเวลาเดินทางมากกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
  • สะท้อนกลยุทธ์ ‘Beyond Silk’ ของ Jim Thompson และ เสริมภาพลักษณ์การบินไทย ในฐานะสายการบินระดับพรีเมียม

การเปิดตัว Amenity Kit คอลเล็กชันใหม่นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำเสนอวัฒนธรรมไทยผ่านการเดินทางระดับโลก พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Jim Thompson และการบินไทย ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่นักเดินทางจากทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) / บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ธปท. ยกระดับมาตรการป้องกันบัญชีม้าและภัยทุจริตทางการเงิน

ธปท. ยกระดับมาตรการจัดการบัญชีม้าและร่วมรับผิดชอบปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยการยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและการผลักดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบจากทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากภัยทุจริตที่เกิดขึ้น

การยกระดับมาตรการการจัดการบัญชีม้า

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ ธปท. ได้ดำเนินการคือการยกระดับการจัดการบัญชีม้าจากระดับบัญชีไปยังระดับบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การปิดบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการตรวจจับบัญชีม้าให้เข้มข้นขึ้น โดยพิจารณาพฤติกรรมการโอนของบัญชีม้าและมูลค่าของธุรกรรม เพื่อครอบคลุมการกระทำผิดที่มีลักษณะใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน กล่าวว่า ธปท. ได้ปรับมาตรการเพื่อให้สามารถจัดการบัญชีม้าที่ยังไม่ได้รับการแจ้งจากผู้เสียหาย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดบัญชีม้าและลดความเสี่ยงของการเกิดภัยทุจริต

การจัดการบัญชีม้าระดับบุคคล

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การจัดการบัญชีม้าที่มีความเสี่ยงสูงโดยการขยายเงื่อนไขในการระงับการโอนเงินจากบัญชีม้าที่ต้องสงสัย และการปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการใช้บัญชีม้าสำหรับการหลอกลวงทางการเงิน

ธนาคารจะต้องดำเนินการขยายการระงับการโอนเงินและปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ไปยังกรณีของบัญชีที่มีความเสี่ยงสูง โดยไม่จำเป็นต้องรอการแจ้งจากผู้เสียหาย ทั้งนี้ ยังต้องแจ้งเตือนผู้ใช้บริการเกี่ยวกับความเสี่ยงในการโอนเงินไปยังบัญชีที่อาจเป็นบัญชีม้า เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

การขยายขอบเขตการจัดการบัญชีม้า

ธปท. ได้ขยายการจัดการบัญชีม้าในวงกว้างมากขึ้น โดยกำหนดให้ธนาคารต้องแลกเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยระหว่างกัน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการป้องกันการทุจริตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะครอบคลุมไปถึงรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเงิน ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตรวจสอบและดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

การพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้า

เพื่อให้ธนาคารสามารถตรวจจับบัญชีม้าที่มีพฤติกรรมผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้าและพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ระบบนี้จะช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล โดยทันทีที่มีการตรวจพบพฤติกรรมที่ผิดปกติ

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้เน้นให้ธนาคารร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อปิดช่องโหว่ในเส้นทางการเงินที่มิจฉาชีพอาจใช้ในการหลอกลวง

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ธปท. มองว่า การแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธนาคาร หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อรับผิดชอบตามมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน

ธปท. จะประกาศกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของธนาคารที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อใช้ในการพิจารณาความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการหลอกลวงทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินการ

บทสรุป

การยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและลดภัยทุจริตทางการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท. เชื่อว่าการทำงานร่วมกันและการพัฒนามาตรการอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดความเสียหายในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงราย Art Festival 2025 รวมศิลปะ สตรีทแดนซ์ระดับประเทศ

Top North Battleground ศึกสตรีทแดนซ์สุดยิ่งใหญ่ในเชียงราย

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 จังหวัดเชียงราย โดยสมาคมขัวศิลปะ จับมือ สถาบัน MY DANCE ACADEMY จัดงาน Top North Battleground ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากกมายจากผู้เข้าร่วมให้เป็นอีกเวทีการแข่งขันของประเทศ และ เป็นอีกในส่วนในเทศกาล Chiangrai Art Festival 2025: Art Camp Art Fest. #4 จัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiangrai Contemporary Art Museum หรือ CCAM) ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ด้วยพื้นที่จัดงานกว่า 10 ไร่ อัดแน่นด้วยกิจกรรมศิลปะ ดนตรี การแสดงร่วมสมัย และการเต้นตลอดเวลา 3 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 24 – 26 มกราคม 2568 ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน

เทศกาลศิลปะที่เชื่อมโยงศิลปะร่วมสมัยและวัฒนธรรม

เทศกาลนี้ถือเป็นจุดบรรจบที่รวมเอาศิลปะและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน บนเวที CCAM ที่เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดเชียงราย ภายในงานมีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คน และนักเต้นที่เข้าร่วมแข่งขันถึง 147 ชีวิตจากหลากหลายรุ่น ซึ่งเป็นการรวมตัวของคนรักเต้นจากทั่วประเทศ

Top North Battleground: การแข่งขันเต้นที่เปิดโอกาสให้ทุกคน

Top North Battleground คือการแข่งขันเต้นระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างเวทีเปิดกว้างให้นักเต้นทุกคนไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพหรือสมัครเล่น รวมถึงเปิดกว้างให้ทีมระดับแชมป์โลกได้มีโอกาสแสดงความสามารถผ่านการเต้นในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเต้นไปกับเสียงดนตรีที่หลากหลาย ตั้งแต่เพลงฮิตกระแสหลักจนถึงเพลงคลาสสิกเหนือกาลเวลา โดยมีการประชันกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งไม่จำกัดแนวการเต้น เช่น ป๊อป ล็อกกิ้ง ฮิปฮอป และอีกมากมาย

Wanna be HAPPY: ตัวแทน MY Dance Academy สู่ความภาคภูมิใจ

ทีม Wanna be HAPPY จากสถาบัน MY Dance Academy สามารถคว้ารางวัลอันดับ 3 ในการแข่งขัน Street Dance ด้วยโชว์ที่โดดเด่นและสร้างสรรค์ ทีมนี้ประกอบด้วยนักเต้นมืออาชีพที่มาพร้อมกับพลังและความสามารถที่น่าทึ่ง

รายชื่อนักเต้นและผู้สร้างผลงานที่โดดเด่น MYDA ATHLETES (ADULT) Dancer & Athletes

  1. นายณภัทร บุญประกอบ Popping & House Part Choreography และVisual Directing, Song Editing & Dubbing
  2. นายศุภพิชญ์ กันยะธง Waacking Choreography
  3. วชิรญาณ์ นามวงค์ Locking Part Choreographyและ ภาพรวมโชว์, Stage Craft, Concept Director
  4. ธนภูพรรณ วงค์อะทะชัยLocking Part Choreography
  5. นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล Concept Director, Overall Visual Director, Song Director

ผู้ช่วยโค้ช : ภัทรศยา มาลา

คณะกรรมการตัดสินและผู้จัดงานที่ยกระดับวงการเต้นไทย

การแข่งขันครั้งนี้ได้รับการตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวงการเต้น ได้แก่

  1. รณกฤต ไกรกิจราษฎร์ (ครูเน)
  2. มนตรี มกราเจริญมงคล (ครูบอส)
  3. เอกราช ชลกิจ (ครูนิกกี้)
  4. Ryan Licudan (ครูไรอัน)
  5. ณทชา ชัยชนะกิจการ (ครูบอย)
  6. สายเมฆ พึ่งอุดม ตัวแทนจากสถาบัน MY DANCE ACADEMY

สายเมฆ พึ่งอุดม และภัทรศยา มาลา ผู้จัดงาน กล่าวว่า “การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การโชว์ทักษะของนักเต้น แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเต้นไทยได้ก้าวไปสู่เวทีระดับโลก และเป็นการส่งเสริมศิลปะการเต้นในฐานะเครื่องมือในการพัฒนาวัฒนธรรมและเศรษฐกิจผ่าน soft power

รางวัลประวัติศาสตร์จาก อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

รางวัลในครั้งนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นถ้วยรางวัลประวัติศาสตร์ที่ออกแบบและลงนามโดย อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งทำให้รางวัลนี้มีคุณค่าทางจิตใจและเป็นที่จดจำสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ผู้สนับสนุนหลักที่ทำให้งานนี้เป็นไปได้

งานนี้นอกจากสำนักข่าวที่ร่วมมามีส่วนร่วมให้กับเทศกาลครั้งนี้อย่างสำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์ แล้ว ยังได้รับการสนับสนุนจากหลากหลายองค์กร เช่น สมาคมสตรีทแดนส์ SDA Street Dance Association (SDA, โรงแรมสุขนิรันดร์, โรงแรมเวียงอินทร์, โตโยต้าเชียงราย, สถาบันสอนเต้น MY Dance Academy, Kore Lab Cafe Chiangrai,  เสื้อผ้า HIPHOP JONE 500, Brandyoung Office (บริษัท แบรนด์ยัง) และเซเว่น อีเลฟเว่น

ปิดท้ายด้วยความประทับใจในงานศิลปะร่วมสมัย

Chiangrai Art Festival 2025 เป็นมากกว่างานศิลปะ แต่คือการรวมตัวของผู้คนที่รักในความสร้างสรรค์และความหลากหลาย งานนี้สร้างความทรงจำที่ไม่มีวันลืมสำหรับทุกคนที่ได้เข้าร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

แกร็บเผยเทรนด์ท่องเที่ยว 2024 ไทยจุดหมายยอดนิยมในอาเซียน

แกร็บเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2024: ไทยครองแชมป์จุดหมายยอดนิยม

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 สะท้อนพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย จากกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนเดินทางไปต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 72% โดย 52% ต้องการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไทยยังครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ วัฒนธรรม และเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์และลอยกระทง

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวอาเซียนสูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็น 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด” ทั้งนี้ แกร็บเผย 5 อินไซต์สำคัญที่สะท้อนแนวโน้มการท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล ได้แก่:

    1. ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด
    2. ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง:  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน
    3. มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
    4. ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ
    5. ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น  ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว

นอกจากนี้ 78% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยข้อมูลทั้งหมดสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : grab

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

โตโยต้าเชียงรายร่วมมือชมรมราชการ มอบผ้าห่มต้านภัยหนาวเชียงราย

บริษัทโตโยต้าเชียงราย มอบผ้าห่มกันหนาวแก่ชมรมหัวหน้าส่วนราชการ เมืองเจียงฮาย

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด นำโดย คุณเรืองชัย จิตรสกุล และ คุณจินตนา จิตรสกุล ผู้บริหารบริษัทฯ และรองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ได้มอบผ้าห่มกันหนาวจำนวน 100 ผืน มูลค่า 45,000 บาท ให้แก่ “ชมรมหัวหน้าส่วนราชการ เมืองเจียงฮาย” โดยมี นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบ ณ โชว์รูม บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด ถนนพหลโยธิน อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกชมรมหัวหน้าส่วนราชการ เมืองเจียงฮาย ได้จัดกิจกรรม “ส่งมอบความห่วงใยถึงชาวเชียงราย” เพื่อนำผ้าห่มกันหนาวไปมอบให้แก่ผู้ขาดแคลนและผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งการบริจาคครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวในจังหวัด

ร่วมส่งความอบอุ่นถึงผู้ที่ขาดแคลน

กิจกรรมครั้งนี้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนทั่วไปที่สนใจร่วมสนับสนุนนำเครื่องกันหนาวมาบริจาคเพิ่มเติม โดยสามารถส่งมอบได้ที่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อรวบรวมไปแจกจ่ายแก่ผู้ที่ต้องการในพื้นที่ต่าง ๆ

สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 092-2468347 (นางสาวนันทวรรณ กันคำ) ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

โตโยต้าเชียงราย ร่วมสร้างชุมชนที่อบอุ่น

บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด มุ่งมั่นส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยเหลือชุมชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการมอบเครื่องกันหนาวหรือการส่งเสริมการศึกษา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยกิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะส่งมอบความอบอุ่นและห่วงใยให้แก่ประชาชนในช่วงฤดูหนาว

ความสำคัญของกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล การจัดกิจกรรมเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจากภัยหนาว แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างสังคมที่อบอุ่นและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เชียงรายกำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นชุมชนที่พร้อมช่วยเหลือและแบ่งปัน เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างอบอุ่นและปลอดภัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News