Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย คว้า “สนามบินดีเด่น” ยืนหนึ่งด้านบริการและสังคม

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ผงาดคว้ารางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” ประจำปี 2568 ยืนหนึ่งผู้นำบริการ-รับผิดชอบต่อสังคมในโอกาสครบรอบ 46 ปี AOT 

ประวัติศาสตร์ใหม่ของท่าอากาศยานเชียงราย: รางวัลที่สะท้อนมาตรฐานระดับชาติ

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในโอกาสครบรอบ 46 ปีแห่งการดำเนินงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ได้สร้างความภาคภูมิใจครั้งใหม่ให้กับชาวเชียงรายและภาคเหนือ ด้วยการคว้ารางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” และ “กลุ่มหรือหน่วยงาน ทอท. ดีเด่น” ในพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติบุคลากรผู้ทรงคุณค่าของ AOT ประจำปี 2568 ที่จัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ AOT กรุงเทพมหานคร

พิธีมอบรางวัลดังกล่าว มี นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เป็นประธาน เพื่อยกย่องพนักงานและหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นทั้งด้านบริการและการสนับสนุนสังคม นอกจากนี้ยังเป็นเวทีเพื่อเชิดชูเกียรติพนักงานที่ทำงานครบ 25 ปี อันเป็นรากฐานแห่งความมั่นคงและต่อยอดคุณภาพองค์กรตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ

แรงผลักดันสู่ความสำเร็จเมื่อบริการเหนือความคาดหมายกลายเป็นมาตรฐาน

การได้รับรางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” และ “กลุ่มหรือหน่วยงาน ทอท. ดีเด่น” ในปีนี้ ไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางยุทธศาสตร์ การทุ่มเทอย่างเต็มที่ของผู้บริหารและพนักงานทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันขับเคลื่อน “สนามบินแม่ฟ้าหลวง” ให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมและบริการของภาคเหนือที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน นักเดินทาง และภาคธุรกิจ

โดยเฉพาะบทบาทของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในการช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ทั้งการสนับสนุนในช่วงเกิดอุทกภัยจังหวัดเชียงราย และการประสานความร่วมมือกับองค์กรภายนอกในการพัฒนาเมือง เชียงรายจึงไม่ได้เป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักเดินทาง แต่เป็น “ส่วนหนึ่งของชุมชน” ที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน

รางวัลที่เป็นมากกว่าเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ

รางวัลสำคัญที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้รับ ประกอบด้วย

  • รางวัล “กลุ่มหรือหน่วยงาน ทอท. ดีเด่น” สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของบุคลากรทุกคน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือผู้ใช้บริการในทุกสถานการณ์
  • รางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” รางวัลสูงสุดในปีนี้ ซึ่งยืนยันถึงมาตรฐานระดับสากล ทั้งด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ ระบบบริหารจัดการ และนวัตกรรมที่ถูกนำมาใช้พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
  • รางวัล “พนักงานดีเด่น” ที่มอบให้กับนางสาวจารุทรรศน์ สิงห์เรือง เจ้าหน้าที่พัสดุอาวุโส 5 ส่วนพัสดุ ทชร. ตอกย้ำถึงศักยภาพ ความตั้งใจ และความโปร่งใสของบุคลากร
  • รางวัล “บุคลากรหน่วยงานภายนอกผู้ทำคุณประโยชน์ให้ ทอท.” ที่มอบให้กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย สำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนระบบสื่อสารสนามบิน

ภูมิหลังการเติบโตสถิติยืนยันสนามบินแม่ฟ้าหลวงเป็นศูนย์กลางใหม่ของภาคเหนือ

จากรายงานประจำปี 2567 ของ AOT ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายมีจำนวนผู้โดยสารกว่า 2.5 ล้านคนในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2566 และเที่ยวบินรวมกว่า 17,000 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10% สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวน

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ผู้ใช้บริการ นักท่องเที่ยว และภาคธุรกิจมีต่อสนามบินแม่ฟ้าหลวง ซึ่งกลายเป็น “ประตูสู่อินโดจีน” และเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างภาคเหนือของไทยกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแรงกระเพื่อมในระยะยาว

  1. ยกระดับภาพลักษณ์จังหวัดและประเทศ
    รางวัลที่ได้รับเป็นสิ่งยืนยันถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นผู้นำการบริการระดับประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่การขนส่งทางอากาศ แต่ยังรวมถึงบทบาทเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
  2. สร้างความเชื่อมั่นในตลาดธุรกิจและท่องเที่ยว
    ความสำเร็จของสนามบินช่วยดึงดูดการลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม โลจิสติกส์ และบริการ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจเชียงรายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
  3. จุดประกายแรงบันดาลใจให้บุคลากรและองค์กรอื่น
    ความภาคภูมิใจและแรงบันดาลใจจากรางวัลจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้บุคลากรทุกคนเดินหน้าพัฒนาและยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ขณะที่องค์กรอื่นๆ ก็สามารถนำแนวคิดของสนามบินแม่ฟ้าหลวงไปปรับใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานในอุตสาหกรรมของตนเอง

วิสัยทัศน์ใหม่ “ศูนย์กลางการบินแห่งอนาคต” ของภาคเหนือ

ภายใต้การนำของ น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ และผู้บริหารรุ่นใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อรองรับการเติบโตในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการขยายพื้นที่ รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ การนำระบบดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพบริการ และการเป็นสนามบิน “สีเขียว” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG Model) ของประเทศ

เสียงสะท้อนจากผู้บริหาร

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กล่าวว่า

“รางวัลเหล่านี้เป็นผลของความร่วมมือร่วมใจ และยืนยันถึงความตั้งใจของเราทุกคนที่จะผลักดันสนามบินแม่ฟ้าหลวงให้เป็นศูนย์กลางการบินของภาคเหนือ เราจะเดินหน้าต่อไป ทั้งด้านบริการ เทคโนโลยี และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้สมกับความเชื่อมั่นของทุกคน”

สรุปและข้อคิดส่งท้าย

การที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้รับรางวัลใหญ่ในปีนี้ ไม่ใช่เพียงความสำเร็จขององค์กร แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจของชาวเชียงรายและคนไทยทั้งประเทศ เป็นบทพิสูจน์ว่าองค์กรขนาดกลางในภูมิภาคสามารถยืนหยัดในเวทีระดับชาติและสร้างมาตรฐานใหม่ของการให้บริการและความรับผิดชอบต่อสังคม

ในอนาคต สนามบินแห่งนี้ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นอีกมาก สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของผู้คนในภาคเหนืออย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT). (2568). เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ พิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติบุคลากรผู้ทรงคุณค่าของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปี 2568
  • รายงานประจำปี 2567 ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • ข้อมูลสถิติผู้โดยสารและเที่ยวบิน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ปี 2566-2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เชียงราย-น่าน เทคโนโลยี ววน. หนุนชุมชนรับมือน้ำ

กองทุน ววน.” หนุนงานวิจัย-นวัตกรรม บูรณาการรับมือภัยน้ำ เชียงราย-น่าน ชูเทคโนโลยีสร้างความมั่นใจชุมชน

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและน่าน กำลังได้รับความสนใจและการขับเคลื่อนเชิงรุกอย่างเป็นระบบ จากทั้งภาครัฐ นักวิชาการ และเครือข่ายวิจัยทั่วประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจาก “กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)” ซึ่งเดินหน้าหนุนงานวิจัยมุ่งเป้าโครงการ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ครอบคลุมงานด้านการเตือนภัย ระบบบริหารจัดการน้ำ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำ

กองทุน ววน. ขับเคลื่อนทีมวิจัยปฏิบัติการ เฝ้าระวังน้ำในภาคเหนือ

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 4,405 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรเสียหาย 500 ไร่ จากอิทธิพลของมรสุมและฝนสะสมติดต่อกันหลายวัน กองทุน ววน. ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและระดมนักวิจัยเชิงปฏิบัติการจากหลากหลายสถาบัน เข้าร่วมเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่เป้าหมาย อาทิ เชียงรายและน่าน เพื่อเสริมมาตรการรับมือภัยพิบัติของประเทศ

ผศ. ดร.อังกูร ว่องตระกูล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย เปิดเผยถึงการดำเนินงานว่า ทีมวิจัยของแผนงาน “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและชุมชน 7 แห่งต้นน้ำกก เพื่อจัดตั้งจุดติดตามสถานการณ์น้ำสำคัญในแต่ละชุมชน สนับสนุนข้อมูลระดับน้ำในแต่ละวัน รายงานต่อศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าและเพจ “ระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วม” เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

เทคโนโลยี-นวัตกรรมยกระดับระบบเตือนภัยและการวิเคราะห์

การพัฒนาระบบแผนที่ความเสี่ยงคาดการณ์ฝนสะสมและพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุน ววน. โดยระบบนี้สามารถเผยแพร่แผนที่เสี่ยงน้ำท่วมจากฝนสะสมรายตำบลล่วงหน้า 48 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ Thaiwater.net และแอปพลิเคชัน Thaiwater ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังได้รับข้อมูลเตือนภัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ล่าสุดในจังหวัดน่าน “ระบบ Sing Command” ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ภายใต้การบริหารจัดการของชลประทานจังหวัดน่าน ทำงานประสานกับทีมวิจัยเพื่อวางระบบวิเคราะห์-พยากรณ์สถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้า โดยดึงข้อมูลพยากรณ์ฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและข้อมูลดาวเทียมมาพัฒนาโมเดลคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3 วัน ก่อนถอดความเป็นภาษาง่าย ๆ ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบสถานการณ์ทันเวลา

การบูรณาการภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัย-ชุมชน ร่วมพัฒนา “แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม” เชิงลึก

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน “น้ำมั่นคงฯ” เน้นว่า โมเดลสำเร็จในการลดผลกระทบภัยพิบัติจากน้ำท่วม คือการผลักดันให้เกิด “แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมระดับพื้นที่” ที่พัฒนาโดยทีมวิจัยร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น และชัยภูมิ เชื่อมโยงกับการจัดทำพิมพ์เขียว (Blueprint) การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมชุมชน และการใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น เซนเซอร์ IoT ระบบอัตโนมัติ การจำลองน้ำท่วมแบบดิจิทัล เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำในแต่ละพื้นที่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เชียงราย” ที่ปัจจุบันมีระบบติดตามระดับน้ำแม่น้ำกก ณ สะพานแม่นาวางและสะพานพ่อขุนเป็นรายชั่วโมง ร่วมมือกับศูนย์อุทกวิทยาชลประทาน ภาคเหนือตอนบน ทำให้สามารถคาดการณ์ระดับน้ำและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที ช่วยสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่และลดความสูญเสียจากน้ำท่วมซ้ำซาก

ถอดบทเรียนการจัดการน้ำ จากวิกฤตสู่โอกาสเปลี่ยนผ่าน

กรณีศึกษาจังหวัดเชียงรายแสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำต้องอาศัยความร่วมมือหลายภาคส่วน ทั้งจากรัฐบาลกลาง (ผ่านนโยบายและงบประมาณ) หน่วยงานในพื้นที่ (ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ ชลประทาน อปท.) ภาควิชาการและเครือข่ายประชาชนในท้องถิ่น ที่สำคัญคือบทบาท “กองทุน ววน.” ในการหนุนนำความรู้และนวัตกรรมมาสร้างต้นแบบระบบเตือนภัยและแผนรับมือที่ตอบโจทย์พื้นที่

ในเชิงยุทธศาสตร์ แม้เทคโนโลยีและการพยากรณ์จะช่วยลดความเสี่ยงภัยจากน้ำท่วม แต่ความท้าทายคือการถ่ายทอดและปรับใช้โมเดลเหล่านี้ให้เกิดผลลัพธ์จริงในระดับชุมชน พร้อมทั้งการจัดการข้อมูลเชิงลึก เช่น แบบจำลอง Digital Elevation Model (DEM) ที่ยังเป็นจุดอ่อนสำคัญสำหรับการพยากรณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่ ทีมวิจัยกำลังผลักดันให้ สสน. สนับสนุนข้อมูลและเชื่อมต่อเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยน้ำในภูมิภาค

นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยในจังหวัดน่านก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยผนวกเอาข้อมูลพยากรณ์ฝนจากหลายแหล่งมาสื่อสารกับประชาชนผ่านภาษาเข้าใจง่าย เพื่อให้การเตรียมพร้อมรับมือเป็นไปอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

จากการระดมเครือข่ายวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐ-ท้องถิ่น ทำให้ระบบบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงรายและน่าน มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เทคโนโลยีและข้อมูลแบบเปิดช่วยลดช่องว่างการสื่อสารและเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาวของชุมชน ลดความสูญเสียซ้ำซากจากภัยน้ำ และสร้างต้นแบบให้จังหวัดอื่นๆ

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องและความยั่งยืนของการบูรณาการทั้งในเชิงนโยบาย งบประมาณ และเครือข่ายวิชาการในพื้นที่ หากสามารถขยายผลนวัตกรรมและระบบเตือนภัยจาก “จุดนำร่อง” สู่พื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการบริหารความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) Thaiwater.net
  • ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน
  • เครือข่ายงานวิจัยและทีมมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือ
  • รายงานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

หนีเมือง มาหาธรรมชาติ เชียงรายนำทัพกาแฟ-ชาไทย สู้ศึกนำเข้า

เชียงรายเปิดตัวงานกาแฟ-ชายิ่งใหญ่ สะท้อนการเติบโตตลาดกาแฟไทยท่ามกลางการพึ่งพานำเข้าเพิ่มขึ้น

เชียงราย, 26 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่ตลาดกาแฟโลกกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ผลิตท้องถิ่นและสร้างโอกาสทางธุรกิจในวงการกาแฟไทย

งานที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Escape into Nature – หนีเมือง มาหาธรรมชาติ” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 นี้ ไม่เพียงเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการในวงการกาแฟและชาของจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่กำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายในยุคปัจจุบัน

ตลาดกาแฟโลกเติบโตต่อเนื่อง แต่ไทยยังผลิตไม่เพียงพอ

ข้อมูลจากองค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization) ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคกาแฟทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การบริโภคกาแฟของโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี ขณะที่รายงานจากเว็บไซต์ Money Buffalo ระบุว่า ทั่วโลกมีการดื่มกาแฟเฉลี่ยประมาณ 2,250 ล้านแก้วต่อวัน และมีผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่มยอดนิยม แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย สถานการณ์การเติบโตของตลาดกาแฟในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า ในปี 2566 คนไทยบริโภคกาแฟรวมกันมากถึง 90,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่เพียงประมาณ 30,000 ตัน การเพิ่มขึ้นของการบริโภคถึง 3 เท่าในระยะเวลา 1 ทศวรรษนี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับกาแฟมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกลับผลิตกาแฟได้ไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยปริมาณการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45,000–50,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คนไทยบริโภค ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าการนำเข้ากาแฟพุ่งขึ้นแตะระดับกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่สำคัญในตลาดกาแฟไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตในประเทศ หากสามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ ก็อาจกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาวได้

อุตสาหกรรมกาแฟไทยเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกาแฟไทยกำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะการผลิตในประเทศที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้า ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องการกาแฟสดและกาแฟพิเศษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกาแฟในประเทศเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 3% โดยในปี 2565/66 มีการใช้เมล็ดกาแฟดิบในภาคอุตสาหกรรมถึง 93,551 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/63

ในส่วนของภาพรวมกาแฟโลกสำหรับปี 2024/25 การผลิตกาแฟทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.9 ล้านกระสอบ (ขนาด 60 กิโลกรัม) จากปีที่แล้วเป็น 174.9 ล้านกระสอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของผลผลิตในเวียดนามและอินโดนีเซีย การส่งออกทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในเวียดนามและอินโดนีเซียสามารถชดเชยปริมาณการส่งออกที่ลดลงจากบราซิลได้

การบริโภคทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.1 ล้านกระสอบเป็น 168.1 ล้านกระสอบ โดยบริโภคเพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ขณะที่สต็อกปลายปีคาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านกระสอบเหลือ 20.9 ล้านกระสอบ

เชียงรายจัดงานใหญ่ยกระดับผู้ผลิตท้องถิ่น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายในฐานะหนึ่งในแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟและใบชาชั้นเลิศของประเทศไทย ได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น

นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ว่า “จุดประสงค์สำคัญของงาน คือการรวมตัวของผู้ประกอบการร้านชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ โรงคั่ว ร้านต้นแบบ ไปจนถึงผู้ผลิตวัตถุดิบและแปรรูป เพื่อให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยน แรงบันดาลใจ และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยอัตลักษณ์ของท้องถิ่น”

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่ยังเป็นเวทีให้เกษตรกร ผู้ผลิต และคาเฟ่ท้องถิ่น ได้แสดงศักยภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ

ผู้ประกอบการท้องถิ่นโชว์ศักยภาพ

งานนี้มีผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้าร่วมจำนวนมาก โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนซ้าย โซนกลาง และโซนขวา ซึ่งแต่ละโซนมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน

ในโซนซ้าย มีร้านเด่นๆ เช่น กาแฟสมถะ (SAMATHA) จากบ้านผาอี้ อำเภอแม่สาย ที่ผลิตกาแฟอาราบิก้าคั่วพิเศษรสชาติเข้ม หอม เต็มบอดี้ พร้อมกลิ่นดินขึ้นและความละมุนของดอยผาฮิในทุกแก้ว และไร่รื่นรมย์เกษตรอินทรีย์ จากอำเภอเทิง ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปลอดสาร 100%

โซนกลางเป็นจุดตัดของรสชาติและความคิดสร้างสรรค์ โดยมี Ploysai Coffee Roaster ที่เริ่มต้นจากตึกแถวเล็กๆ สู่โรงคั่วระดับโกดัง มีเมล็ดให้เลือกกว่า 20 ชนิด และ Chillrista เจ้าของรางวัลสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย 2 ปีซ้อน ทั้ง Arabica และ Robusta

ส่วนโซนขวาเป็นแหล่งรวมกลิ่นอายคลาสสิกและแบรนด์ใหญ่ อาทิ กาแฟโบราณโกปี ที่นำเสนอกาแฟโบราณต้นตำรับและโอเลี้ยงยกล้อที่หอมหวานกลมกล่อม และ Café Doitung จากพระตำหนักดอยตุง พร้อมเมนู Iced Macadamia Nut Latte ที่หอมละมุนอย่างมีระดับ

กิจกรรมหลากหลายสร้างประสบการณ์ใหม่

งานนี้ไม่เพียงเป็นการจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมหลากหลายที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าชม ได้แก่ Camp Coffee Experience ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชมการสาธิตการใช้งานเครื่องชงกาแฟหลากหลายประเภท พร้อมเทคนิคจากบาริสต้ามืออาชีพ

Private Tea & Coffee Workshop ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลิ้มรสและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการชาและกาแฟ อาทิ The Roastery By Roj, สวรรค์บนดิน, One Tea At A Time, และ 22grams Coffee & Roastery

Campfire Moment ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ล้อมวงจิบชาและกาแฟท่ามกลางเสียงดนตรีในบรรยากาศอบอุ่นของแคมป์ไฟ และ Tasting Zone ที่เปิดประสบการณ์ชิมเครื่องดื่มชา-กาแฟขึ้นชื่อประจำเชียงรายแบบไม่อั้น

นอกจากนี้ยังมี Bakery & Snack Corner ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชิมและช้อปของหวาน-ขนมโฮมเมดจากร้านดังทั่วเชียงราย

เวิร์กชอปพิเศษสำหรับสมาชิก

สำหรับสมาชิก Central X จะได้รับสิทธิ์ Workshop เพ้นท์แก้วกาแฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ขณะที่สมาชิก The1 จะได้รับสิทธิ์ Workshop ดริปกาแฟ หรือ Sensory ฟรี ในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 เมื่อมียอดกิน/ช้อปในโซนพลาซาครบ 5,000 บาทขึ้นไป โดยจำกัด 20 สิทธิ์ตลอดแคมเปญ

โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมกาแฟไทย

การจัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคเอกชนและรัฐในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายจากการผลิตที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของการบริโภคกาแฟในประเทศไทยถึง 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศที่ยังมีที่ว่างให้เติบโตได้อีกมาก หากผู้ผลิตในประเทศสามารถพัฒนาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ

จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศ มีศักยภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทย โดยเฉพาะการเน้นคุณภาพและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งตรงกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ specialty coffee และ sustainable coffee

การรวมตัวของผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงใหญ่ในงานนี้ยังเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ และการยกระดับคุณภาพให้สามารถแข่งขันกับกาแฟนำเข้าได้ ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะของเกษตรกร และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

เชียงรายนำทางสู่อนาคตกาแฟไทย

งาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการจัดงานแสดงสินค้าทั่วไป แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ระดับสากล ผ่านการรวมตัวของผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @CentralChiangrai งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.30 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซนจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมกาแฟไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์กาแฟไทยในตลาดโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization)
  • เว็บไซต์ Money Buffalo
  • Euromonitor International
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CHIANGRAI COFFEE LOVER – CCL)
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เกาะกูด สยบข่าวลวง ยืนยันดินแดนไทย ไร้ข้อสงสัย

เจาะลึกปัญหาข่าวลวงเกาะกูด: ความจริงที่ต้องรู้เพื่อรักษาความสมานฉันท์

ตราด,วันที่ 18 มิถุนายน 2568 – โรงแรมตราดซิตี้ ในงานครบรอบ 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด การเสวนาในหัวข้อ “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” ได้นำเสนอประเด็นร้อนที่ครองความสนใจของทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เกาะกูด ดินแดนแห่งท้องทะเลบูรพาที่งดงามด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม กลับถูกพูดถึงในฐานะประเด็นข้อพิพาทด้านเขตแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยมีข่าวลือและข้อมูลที่บิดเบือนทำให้เกิดความสับสนและความกังวลในหมู่ประชาชน

การเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเว็บไซต์ตราดออนไลน์ และ นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะกูด ร่วมกันถกประเด็นอย่างเข้มข้นเพื่อคลายปมปัญหาข่าวลวงและนำเสนอข้อเท็จจริงในมิติต่างๆ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการบริหาร 'The Nation'

ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง เกาะกูดกับประเด็นเขตแดน

เรื่องราวของเกาะกูดเริ่มต้นจากความซับซ้อนของเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งนายสุภลักษณ์ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงที่มาของปัญหา เขากล่าวว่า ประเทศไทยและกัมพูชามีการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area – OCA) ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2516 โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมราว 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อแบ่งเขตและพัฒนาทรัพยากรร่วมกันยังไม่บรรลุผล โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาเคยอ้างสิทธิในอดีต แต่ในทางนิตินัย เกาะกูดได้รับการยืนยันว่าเป็นของประเทศไทยตามสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 2450 และการอยู่อาศัยของประชากรไทยในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง

นายสุภลักษณ์ย้ำว่า “ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนทั้งในแง่นิตินัยและพฤตินัย ไม่มีเอกสารใดจากกัมพูชาที่สามารถยืนยันการอ้างสิทธิได้อย่างถูกต้อง” เขายังชี้ว่า การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนหรือเสียดินแดน แต่เป็นการหาทางออกเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงการพัฒนาร่วม (Joint Development Area) คล้ายกรณีของไทยและมาเลเซีย

นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเวปไซด์ตราดออนไลน์

ข่าวลวง ภัยเงียบที่บั่นทอนความมั่นใจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดกลายเป็นประเด็นที่สร้างความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน เช่น การอ้างว่าเกาะกูดกำลังจะถูกยกให้กัมพูชา หรือมีการสู้รบในพื้นที่ นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ จากตราดทีวี ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นที่มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน เปิดเผยว่า “ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการนำประเด็นเกาะกูดมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการเมืองร้อนแรง บางครั้งสื่อบางแห่งหรือกลุ่มบุคคลพยายามสร้างความตื่นตระหนกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

เขายังเล่าถึงความท้าทายในการนำเสนอข่าวสารในฐานะสื่อท้องถิ่นว่า “เราไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะมันอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและความมั่นใจของประชาชน เราเช็คข้อมูลจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากนายก อบต. เกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีความถูกต้องและไม่สร้างความเสียหาย”

ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ รำไพพรรณี จันทบุรี

ด้าน ผศ.ดร.เสาวนีย์ เน้นย้ำถึงบทบาทของนักวิชาการและการสอนนิเทศศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล “ในฐานะนักวิชาการ เราเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้การตรวจสอบแหล่งข่าว โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวลวงแพร่กระจายง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย การเช็คข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ” เธอยังแนะนำว่า การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรง เช่น การละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับการแชร์ข้อมูลเท็จ

เสียงจากเกาะกูดความจริงจากคนในพื้นที่

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต. เกาะกูด ตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่า ชีวิตของชาวเกาะกูดยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แม้จะเผชิญกระแสข่าวลวง “ชาวเกาะกูดไม่ได้ตื่นตระหนก เรายังใช้ชีวิตตามปกติ การท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นอาจลดลงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วงที่มีข่าวลือหนักๆ ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวลดลงถึง 30% เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนกลัวว่าจะมีสู้รบหรือสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่รู้จักเกาะกูดผ่านโซเชียลมีเดีย

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด

นายเดชาธรยังย้ำว่า “เกาะกูดคือหัวใจของคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดตราดอย่างชัดเจน เราไม่กังวลเรื่องการสูญเสียดินแดน เพราะมีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และการอยู่อาศัยที่ยืนยันความเป็นไทย” เขายังเรียกร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

สื่อมวลชน ผู้กำหนดทิศทางความเข้าใจ

นายสุภลักษณ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการสื่อมวลชนมากว่า 30 ปี กล่าวถึงหลักการสำคัญของการรายงานข่าวว่า “สื่อมวลชนต้องรายงานตามความเป็นจริง โดยไม่เลือกข้างหรือสร้างวาทกรรมที่บิดเบือน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความรู้สึกของประชาชน” เขายังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยกตัวอย่างกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งเคยเกิดความขัดแย้งจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างความเสียหายต่อชุมชนท้องถิ่นที่หวังพึ่งพาการท่องเที่ยว

“การเจรจาคือทางออกที่ดีที่สุด” นายสุภลักษณ์กล่าว “ในยุโรปมีตัวอย่างมากมายที่ชุมชนในเขตแดนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องขีดเส้นแบ่งแยกอย่างเข้มงวด เราไม่ควรปล่อยให้วาทกรรมชาตินิยมหรือผลประโยชน์ทางการเมืองมากำหนดทิศทางของสื่อ”

งาน 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด ที่โรงแรมตราดชิตี้ อ.เมือง จ.ตราด

ทางออกของปัญหาข่าวลวง

การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของการสื่อสาร แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว วิทยากรทั้งสี่ท่านเห็นพ้องกันว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ การนำเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์ และการส่งเสริมความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ทับซ้อน

ผศ.ดร.เสาวนีย์ เสนอว่า “การศึกษาและการอบรมเยาวชนให้รู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง” ขณะที่นายกฤษฎาพงษ์เน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ “เราต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. และกองทัพเรือ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน”

นายเดชาธรทิ้งท้ายด้วยข้อความที่สร้างความมั่นใจว่า “เกาะกูดคือบ้านของเรา และเราจะปกป้องมันด้วยความสมานฉันท์ ไม่ใช่ด้วยความขัดแย้ง ทุกคนที่มาเกาะกูดจะได้สัมผัสกับความสวยงามและความสงบสุขที่เรามี”

ร่วมสร้างความจริงเพื่ออนาคต

การเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยคลายปมปัญหาข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูด แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบของสื่อมวลชน นักวิชาการ และผู้นำชุมชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ เกาะกูดไม่ใช่แค่ดินแดนแห่งความงามทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้องไทยและกัมพูชา การรักษาความสงบสุขและความมั่นใจของประชาชนจึงเป็นภารกิจร่วมกันของทุกฝ่าย

ในยุคที่ข่าวลวงสามารถจุดกระแสได้ในพริบตา การยึดมั่นในความจริงและการเจรจาด้วยเหตุผลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา เกาะกูดจะยังคงเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลบูรพา และเป็นบ้านของคนไทยที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การเสวนา “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด
  • ข้อมูลจาก ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์, และนายเดชาธร จันทร์อบ
  • เอกสารสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส (2450) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE FEATURED NEWS

พลังศิลปะพลิกชีวิต พุทธรักษ์ ดาษดา สู่มิติใหม่ 7-Eleven Art Gallery

เมื่อ 7-Eleven กลายเป็นแกลเลอรี่ศิลปะ เรื่องราวแห่งการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และคนเราเริ่มมองหาความหมายใหม่ในชีวิตประจำวัน มีเรื่องราวหึ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในจุดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ นั่นคือการเปลี่ยนโฉมร้านสะดวกซื้อธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่แห่งศิลปะ ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับความงาม สร้างเอกลักษณ์และเปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโครงการ “7-Eleven Art Gallery” ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ร้านค้าปลีกเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหมาย และเป็นแลนด์มาร์คที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ผ่านกระบวนการ Co-Creation ที่เชื่อมโยงงานศิลปะ วัฒนธรรม และแบรนด์เข้าด้วยกัน

การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงในเชียงราย

ในจังหวัดเชียงราย ซีพี ออลล์ ได้ร่วมมือกับขัวศิลปะ (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย) ในการสร้างงานศิลปะแห่งแรกที่ร้าน 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา 2 ด้วยผลงานชื่อ “The Magical Land” ในปี 2024 ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิตของผู้คน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรม รวมถึงพืชผลทางการเกษตรกรรมของชุมชนและเส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่รวมเป็นจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของงานชิ้นแรกนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่สองที่สาขาชุมชนห้วยปลากั้ง ด้วยผลงานชื่อ “The Wonderland” ในปี 2025 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้ซ่อนเรื่องราวไว้ในชื่อ

เบื้องหลังความสำเร็จของผลงาน “The Wonderland” คือศิลปินหญิงชื่อ “อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา” ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อจริงเสียงจริงที่มารดาตั้งให้ มิใช่ชื่อในวงการอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ตามข้อมูลของ the cloud ชื่อของ อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา คือ “ถ้ามี ‘ษา’ มันจะเหมือนดอกไม้ใช่ไหม ตั้งแต่เวลาใครประกาศชื่อเรา เขาจะเติม ‘ษา’ ให้ กลายเป็น ‘พุทธรักษา’ แม่บอกว่าอิ๋มเกิดวันพุธ เลยเป็นพุทธรักษ์” เธอชี้แจงท่ามกลางกรอบรูป เฟรมผ้าใบ แจกันดอกไม้ แมลงสตัฟฟ์ในขวดโหล และสารพัดของกระจุกกระจิกที่คับคั่งอยู่ในห้องทำงานของ ‘ดาษดาสตูดิโอ’

เรื่องราวของพุทธรักษ์เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่กล้าหาญและเสี่ยงภัย นั่นคือการลาออกจากงานประจำเพื่อออกมาทำงานศิลปะเต็มตัว ด้วยการรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเพื่อจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกของตัวเอง (Solo Art Exhibition)

“ในระหว่างนั้นที่แสดงงาน ก็เจอผู้คนมากมายที่มาชมผลงาน พูดคุย ซัพพอร์ตผลงานและติดตามผลงานเสมอ จากครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้” เธอเล่าด้วยความซาบซึ้ง

สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอทำงานต่อไปคือการได้รับกำลังใจจากผู้คนที่ติดตามผลงาน ไม่เพียงแต่การซื้อขายผลงานเท่านั้น แต่ยังมีคนเดินทางมาเยี่ยมชมสตูดิโอ ส่งกำลังใจ และบอกว่าผลงานของเธอเป็นแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขาสบายใจเมื่อได้เห็น

กระบวนการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อนแต่ลงตัว

การทำงาน Mural Art ขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย พุทธรักษ์อธิบายกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย มีทีมเพ้นท์ มีทีมติดตั้งนั่งร้านให้มีความปลอดภัย และตัวเธอเองเป็นคนออกแบบเรื่องราวทั้งหมดของงาน ลงพื้นที่สำรวจและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละครั้ง

ทีมที่มาทำงานร่วมจะเป็นคนที่จบทางด้านศิลปะและนักศึกษาศิลปะที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อให้งานลุล่วงด้วยความสมบูรณ์และตรงตามวิสัยทัศน์ของศิลปิน การมีทีมเวิร์คที่ดีทำให้สามารถรับงาน Mural Art ในพื้นที่ใหญ่ขึ้น หรือพื้นที่ที่ไม่เคยทำได้ในอนาคต

“The Wonderland” ผลงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ผลงาน “The Wonderland” ที่สาขาห้วยปลากั้งไม่ใช่แค่ภาพสวยงามบนกำแพง แต่เป็นผลงานที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างจริงจัง พุทธรักษ์ได้ลงไปสำรวจพื้นที่ พูดคุยกับผู้คน จึงได้รู้ที่มาที่ไปของชื่อหมู่บ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับปลากั้ง ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์หนึ่งที่ลักษณะคล้ายปลาช่อน ที่เมื่อก่อนเคยมีมากมายในลำธารของชุมชนแห่งนี้

ผลงานนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งดอกโบตั๋นที่เป็นเนื้อหาหลักของผลงาน มีสมญานามราชาแห่งเหล่ามวลดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ความซื่อสัตย์ และมีเมตตา ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศ

แมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนาปรากฏอยู่ในผลงาน เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย ที่มีลักษณะมีหูสองคู่และตาห้าดวง รับประทานถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลเป็นทองคำ ตามความเชื่อของภาคเหนือเชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทอง ความอุดมสมบูรณ์”

นกผีเสื้อในผลงานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศิลปินเพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอุทยานลำน้ำกก แม่น้ำในภาพเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงสัพชีวิตของผู้คน สัตว์ต่างๆ ผืนดิน ต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เชื่อมโยงและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ปลากั้งที่บินตามดอกไม้เป็นการเปรียบเทียบกับผู้คนที่มาใช้ชีวิตและอาศัยชุมชนห้วยปลากั้งเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบสัมมาอาชีพมาจนถึงปัจจุบันไม่ต่างจากเมื่อครั้งอดีต

เด็กในดอกไม้เป็นตัวแทนของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่ ที่มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี สื่อถึงการผลิบานของผู้คนในรุ่นต่อๆไป รวมถึงในวัดห้วยปลากั้งเองที่พระอาจารย์พบโชคยังอุปการะเด็กชายขอบที่ยากไร้ในการให้ที่พัก อาหาร และให้การศึกษากับเด็กๆเหล่านี้

ความลงตัวระหว่างศิลปะกับแบรนด์

สิ่งที่น่าสนใจในผลงานนี้คือการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของชุมชนกับอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างลงตัว พุทธรักษ์ได้สอดแทรกสีแดง ส้ม เขียว ขาว ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ 7-Eleven เข้าไปในกลีบดอกไม้ของดอกโบตั๋นที่เป็นองค์ประกอบหลักของผลงาน เพื่อสื่อถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและ 7-Eleven ที่ผสมกลมกลืนซึ่งกันและกันอย่างอ่อนน้อม พร้อมกับยินดีดูแลและช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมกับชุมชนโดยรอบ

พลังของศิลปะในการเปลี่ยนแปลงสังคม

เมื่อถูกถามถึงพลังของศิลปะในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อผู้คนและสังคม พุทธรักษ์มองว่างานศิลปะในพื้นที่สาธารณะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจระหว่างคนในชุมชน การที่ผู้คนได้เห็นเรื่องราวของตนเองถูกสะท้อนผ่านงานศิลปะ ทำให้เกิดความภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

มากกว่านั้น งานศิลปะยังเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับการนำเรื่องราวของแมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนามาสู่สายตาของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่าย

ความฝันและเป้าหมายในอนาคต

พุทธรักษ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาตัวเองและงานศิลปะ เธอกำลังเตรียมตัวและเก็บรวบรวมผลงานเพื่อจัดแสดงเดี่ยวที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นความฝันที่เธอหวังจะทำให้เป็นจริงในอนาคตอันใกล้

ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะและเทคนิคของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ข้อคิดสำหรับคนที่อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปะ

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มต้นหรือพัฒนาตนเองบนเส้นทางศิลปะ พุทธรักษ์มีข้อแนะนำที่มาจากประสบการณ์จริง เธอเชื่อมั่นว่าการทำงานด้านศิลปะ (Fine Art) สามารถเป็นอาชีพได้ สามารถหล่อเลี้ยงทางใจและทางกายให้เราไม่ต่างกันกับสายอาชีพอื่นๆเลย

“ในทางความสุนทรีย์ภายในจิตใจ จึงส่งผลมาสู่ทางกระบวนการการใช้ชีวิต ระบบการทำงาน เรารู้ว่าเรารัก เราชอบ และถนัดในด้านใด มีเป้าหมายและมุ่งมั่นทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอย หาความรู้ ศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ” เธอแนะนำ

เมื่อศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อมโลก

โครงการ 7-Eleven Art Gallery และผลงาน “The Wonderland” ของพุทธรักษ์ ดาษดา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่และสร้างความหมายใหม่ให้กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ร้านสะดวกซื้อที่เคยเป็นแค่จุดซื้อของใช้ประจำวัน กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่คนอยากแวะไปชม เป็นแลนด์มาร์คที่สร้างความภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันน และอนาคตเข้าด้วยกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับการนำศิลปะมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม มากกว่าการมองเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ

ผลงานของพุทธรักษ์แสดงให้เห็นว่าศิลปินรุ่นใหม่ของไทยมีความสะามารถและวิสัยทัศน์ที่จะสร้างงานศิลปะที่มีคุณค่าทั้งในด้านความงามและความหมายทางสังคม โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ท้องถิ่นหรือความเป็นไทย

เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนได้เห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก แต่สามารถอยู่ร่วมกับเราในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืน และที่สำคัญคือ ศิลปะมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แท้จริงต่อสังคมและชุมชนของเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์
  • ขัวศิลปะเชียงราย (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย)
  • ซีพี ออลล์
  • การสัมภาษณ์พิเศษกับ พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “The Wonderland”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

จับตา อบจ.-เทศบาล ACT ชี้ ‘งานผู้ใหญ่’ ช่องทางโกง ทำรัฐเสียหาย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เตือนจับตา “อบจ.-เทศบาล” ทั่วประเทศ หวั่นซ้ำรอยโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ เผยช่องทางคอร์รัปชันดูดงบฯ สาธารณะ หลังเงินเลือกตั้งสะพัด 2-4 หมื่นล้าน

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศทั้งอบจ.และเทศบาล กว่า 2,500 แห่ง กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคผู้บริหารท้องถิ่นชุดใหม่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนและสังคมร่วมกันจับตาการใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หลังจากมีผลวิจัยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ว่า จะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 20,000–40,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินมหาศาลนี้มักจะกลายเป็นต้นทุนทางการเมืองที่กลุ่มอิทธิพลพยายามถอนทุนคืนผ่านกลไกของโครงการสาธารณะหลากหลายประเภท

จุดเสี่ยงโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ–เงินภาษีสูญเปล่า

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาโครงการรัฐที่ “ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” เป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมคอร์รัปชันและความไร้ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณในประเทศ ที่พบเห็นได้ตั้งแต่ศูนย์โอทอป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงน้ำดื่มประชารัฐ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงสนามกีฬา ฯลฯ เหล่านี้ต่างใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นทุนสร้าง หากแต่ท้ายที่สุดกลับต้องกลายเป็นอนุสรณ์ของความล้มเหลวหรือช่องทางทุจริตซ้ำซาก

ขณะที่ผลวิจัยชี้ว่า งบประมาณที่สูญเปล่าจากโครงการเหล่านี้รวมกันอาจสูงนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ภาครัฐก็ยังไม่สามารถระบุจำนวนโครงการที่ถูกทิ้งร้างได้อย่างชัดเจน เพราะขาดระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญอีกประการ คือ การเมืองท้องถิ่นที่ถูกอิทธิพลของกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ครอบงำ ทั้งจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้า และผู้รับเหมาที่ร่วมวางแผนจัดซื้อจัดจ้าง และจ่ายเงินทอนอย่างเป็นระบบ

รูปแบบทุจริต“โครงการเพื่อใคร–ใครได้ประโยชน์”

การสร้างโครงการรัฐในท้องถิ่นส่วนใหญ่ มักใช้วิธีการ copy-paste หรือ “ก๊อบโครงการ” จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีการศึกษาความต้องการที่แท้จริง เช่น ระบบประปา เตาเผาขยะ โรงไฟฟ้า สนามกีฬา หรือแม้แต่ศูนย์เรียนรู้ ฯลฯ หลายกรณีเป็นผลจากแรงกดดันจากส่วนกลาง หรือการวางแผนของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำหนดผู้รับเหมาและขบวนการเงินทอนเรียบร้อยตั้งแต่ต้นทาง ทำให้มักเกิดการลดสเปก ตัดเนื้องานหรือหากขบวนการผิดพลาด ผู้รับเหมาขาดทุนจนต้องทิ้งงานไว้กลางทาง

อีกส่วนหนึ่งของโครงการที่เป็น “งานของผู้ใหญ่” หรือโครงการขนาดใหญ่ในระดับจังหวัด มักถูกล็อกสเปกหรือเขียน TOR ให้เฉพาะเจาะจง เช่น กรณีอควาเรียมหอยสังข์ที่สงขลา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในป่าสงวน โครงการสนามฟุตซอล 37 แห่ง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ใช้งบประมาณมหาศาลและเมื่อเกิดปัญหาก็ยากจะหาผู้รับผิดชอบ

ความมักง่าย+ผลประโยชน์ทับซ้อน

นอกจากทุจริตโดยตรงแล้ว ความมักง่ายและขาดการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญ หลายโครงการเกิดขึ้นโดยไม่ถามความต้องการของชุมชน ไม่ศึกษาความเป็นไปได้ หรือเลือกที่ดินที่ห่างไกลชุมชน พอสร้างเสร็จก็กลายเป็นภาระในการบริหารจัดการต่อ หรือต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมเพิ่มเติม จนกลายเป็น “ภาระงบฯ บานปลาย” ไปในที่สุด ขณะที่โครงการบางประเภท เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการถูกยุบ เช่น สิ่งปลูกสร้างรองรับสถานการณ์โควิด ก็กลายเป็นอาคารร้างใช้ประโยชน์เพียงครั้งเดียว

ศรัทธาประชาชนและทรัพยากรประเทศถูกทำลาย

แม้จะมีการร้องเรียนและตรวจสอบโดย สตง. หรือ ป.ป.ช. บ้าง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ หรือกระบวนการตรวจสอบที่ยาวนาน ขณะที่ผลวิจัยระบุว่าคนใน อปท. กว่า 21% ยอมรับว่าเคยพบเห็นการทุจริตในองค์กร แต่มีเพียง 4% ที่กล้าร้องเรียน ปัญหาเหล่านี้ตอกย้ำภาพว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนงบประมาณ แต่กลับสูญเสียโอกาสพัฒนาจากคอร์รัปชันและการบริหารจัดการที่ล้มเหลว

ทางออกร่วมตรวจสอบ–เพิ่มกลไกภาคประชาชน

ล่าสุด สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณและโครงการรัฐผ่าน Government Innovation Lab และกลไกคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสและกระตุ้นภาคประชาชนให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล ตั้งแต่การเริ่มโครงการจนสิ้นสุด

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็น “หูเป็นตา” ติดตาม ตรวจสอบ และรายงานข้อสงสัยในทุกขั้นตอนของโครงการท้องถิ่น เพื่อให้เงินภาษีของประชาชนถูกใช้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดการเกิด “โครงการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” ที่บั่นทอนศรัทธาและความมั่นคงของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว. หนุนวิจัย “เชียงราย” นำร่องวิจัยโครงสร้างรับมือ ‘น้ำท่วม’

สกสว.หนุนนักวิจัยลงพื้นที่เชียงราย สำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม มุ่งปั้นจังหวัดต้นแบบจัดการสาธารณภัย

เชียงราย, 4 มิถุนายน 2568 – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศเดินหน้า “โครงการสำรวจความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมในภาคเหนือ” โดยเลือก จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่นำร่อง ดึงนักวิจัยวิศวกรรมโครงสร้างและทีมวิศวกรอาสาหลายร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายอย่างเป็นระบบ หวังยกระดับการจัดการสาธารณภัยด้วยองค์ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ผนึกกำลังภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชนเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากในเชียงราย จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

พื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซาก ทั้งอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม รวมถึงแผ่นดินไหวและฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตชุมชน และความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ สกสว. ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย นำทีมสำรวจบ้านเรือน สะพาน ถนน และโครงสร้างสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของน้ำหลาก

ศ. ดร.อมร พิมานมาศ หัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า “เราใช้โอกาสจากเหตุการณ์ฟื้นฟูน้ำท่วมครั้งล่าสุด ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิต สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโครงสร้างสำคัญอย่างเป็นระบบ นำเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ รองรับการวางแผนฟื้นฟูและออกแบบมาตรการป้องกันในอนาคต”

เชียงรายสู่เมืองต้นแบบ “จัดการสาธารณภัย” บูรณาการวิจัย-นโยบาย

จุดเด่นของโครงการคือการนำองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมโครงสร้างมาผสานกับ “ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล” จัดทำ “แผนที่ความเสียหาย” และ “แผนที่เสี่ยงภัย” เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำของรัฐ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องซ่อมแซมหรือป้องกันเป็นการเร่งด่วน

ศ.ดร.อมร ระบุอีกว่า “เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว”

ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน-ภาครัฐ เพิ่มภูมิคุ้มกันสังคมไทย

นอกจากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ระบบป้องกันน้ำท่วมและวิธีลดความเสียหายของโครงสร้างต่อประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาเชิงวิชาการ และคู่มือความรู้สำหรับชุมชน

ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า “ข้อมูลจากงานวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือและฟื้นฟูภัยพิบัติทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสร้างกำแพงกั้นน้ำ ระบบเตือนภัย การออกแบบบ้านเรือนที่ทนทานต่อน้ำหลาก และการวางแผนจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรขยายการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ทั่วประเทศ”

วางรากฐาน “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่” สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม สกสว. เผยว่า “สกสว.มีแผนประสานงานกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อขยายผลโครงการนี้ ทั้งด้านการสร้างฐานข้อมูลเสี่ยงภัยดิจิทัล และการผลักดันนวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ในรูปแบบของสตาร์ทอัพ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดกฎ/เทศบัญญัติเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงสร้างในพื้นที่เสี่ยง”

การทำงานแบบบูรณาการเช่นนี้จะนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำ “แผนที่เสี่ยงภัยแบบซ้อนทับ” (Overlay Risk Map) เพื่อดูจุดเสี่ยงแต่ละประเภทภัยพิบัติในพื้นที่เดียวกัน ต่อยอดสู่การวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเตือนภัยล่วงหน้า และการฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังให้เข้มแข็งขึ้น

ผลลัพธ์และข้อเสนอแนะ

  • เชียงรายเป็นต้นแบบการประสานความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาครัฐ และชุมชนในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก
  • องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สามารถถ่ายทอดสู่พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในประเทศได้จริง
  • ควรผลักดันข้อมูลวิจัยสู่นโยบายและกฎ/เทศบัญญัติในระดับท้องถิ่น
  • สกสว. วางแผนขยายผลสู่การสร้างมาตรฐานวิศวกรรมภัยพิบัติสำหรับประเทศไทย
“การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (โครงการต้นแบบ จังหวัดเชียงราย)” ซึ่งมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) www.tsri.or.th
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) www.disaster.go.th
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • รายงานประชุมและข้อมูลโครงการ “การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (เชียงราย)”
  • ข่าวที่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวไทย, ThaiPBS, สยามรัฐ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ป่อเต็กตึ๊งทุ่ม 511 ล้าน ช่วยเหลือ-รักษา-สร้างชีวิต

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเปิดผลงานปี 2567 ทุ่มงบ 511 ล้าน ช่วยเหลือประชาชนกว่า 1.4 แสนราย เตรียมเปิดศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาวภายในปีนี้

กรุงเทพฯ – 26 พฤษภาคม 2568 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะกรรมการมูลนิธิ แถลงผลงานประจำปี 2567 โดยระบุว่า มูลนิธิฯ ยังคงยึดมั่นในปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ตลอดระยะเวลา 115 ปีของการดำเนินงาน โดยในปีนี้ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ 501 ล้านบาท

สามภารกิจหลัก ครอบคลุมการช่วยเหลือทุกมิติ

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า งบประมาณกว่า 511 ล้านบาท ถูกจัดสรรเพื่อภารกิจ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. การช่วยชีวิต: มูลนิธิฯ มีทีมบรรเทาสาธารณภัย อาสากู้ภัย และทีมฌาปนกิจ ซึ่งออกปฏิบัติงานทั่วประเทศ โดยมีสายด่วน 1418 และแอปพลิเคชันรองรับการแจ้งเหตุฉุกเฉิน สถิติปี 2567 มีผู้ขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนมากถึง 140,000 สาย พร้อมให้การช่วยเหลือด้านนิติเวช และรับฝากฝังศพไร้ญาติ ณ สุสานจังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้งบรวมกว่า 166 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับการช่วยเหลือกว่า 491,905 ราย
  2. การรักษาชีวิต: มูลนิธิฯ ให้บริการแพทย์สงเคราะห์ชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ห่างไกล สนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลขาดแคลน รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลหัวเฉียวและคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว โดยใช้งบประมาณกว่า 38.4 ล้านบาท
  3. การสร้างชีวิต: ดำเนินโครงการเพื่อการศึกษา การส่งเสริมอาชีพ และคุณภาพชีวิตกว่า 10 โครงการ เช่น โครงการทุนการศึกษา อบรมวิชาชีพ และสนับสนุนชุมชน งบรวมกว่า 278 ล้านบาท มีผู้ได้รับการสงเคราะห์รวม 956,645 ราย

ผลงานด้านการแพทย์ การศึกษา และศาสนา

แพทย์หญิงมนนภา ขุนณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว เปิดเผยถึงโครงการช่วยเหลือ 7 โครงการ รวมงบกว่า 29 ล้านบาท โดย 3 โครงการหลัก ได้แก่ การช่วยผู้ป่วยฟอกไต (12 ล้านบาท) การใช้รถ X-Ray Digital Mobile (7.4 ล้านบาท) และโครงการค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยยากไร้ (2 ล้านบาท)

ขณะที่นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้อำนวยการคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว เผยว่า คลินิกให้บริการผู้ป่วยรวมกว่า 325,720 รายในปี 2567 ผ่านโครงการหลากหลาย เช่น โครงการสงเคราะห์โรคหลอดเลือดสมอง การแจกสมุนไพร และกิจกรรมสาธารณสุขเชิงรุก

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึง 4 มิติเด่น ได้แก่ 1. หลักสูตรใหม่ 3 หลักสูตร 2. รายวิชาบ่มเพาะจิตอาสา 3. งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อชุมชน 4. โครงการบริการสังคม 40 โครงการ งบรวมกว่า 30 ล้านบาท

ก่อสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว คืบหน้าเกือบสมบูรณ์

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ระบุว่า ศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว ที่ตั้งอยู่ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วกว่า 96.25% งานโครงสร้างอาคารเสร็จแล้ว 100% และตกแต่งประติมากรรมจีนกว่า 90% โดยคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ภายในปี 2568

เมื่อวันที่ 19 มกราคม และ 19 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิฯ จัดพิธีเบิกเนตรและพุทธาภิเษกศาลเจ้า โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคณะสงฆ์จีนนิกายกว่า 15 รูปเจริญพุทธมนต์ เป็นศูนย์รวมพลังศรัทธาและแลนด์มาร์กใหม่ด้านศาสนาและวัฒนธรรม

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งใช้งบประมาณรวมปี 2567: 511 ล้านบาท
  • ผู้ได้รับการช่วยเหลือรวม: 1,774,270 ราย
  • งบด้านช่วยชีวิต: 166 ล้านบาท (491,905 ราย)
  • งบด้านรักษาชีวิต: 38.4 ล้านบาท
  • งบด้านสร้างชีวิต: 278 ล้านบาท (956,645 ราย)
  • โทรศัพท์สายด่วน 1418: กว่า 140,000 สาย
  • ผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว: 325,720 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
  • โรงพยาบาลหัวเฉียว
  • มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์มูลนิธิฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘ไดกิ้น’ ส่ง “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ยกระดับอากาศสถานศึกษาเชียงราย

ห้องเรียนปลอดฝุ่นนวัตกรรมเพื่ออนาคตเด็กไทยจากไดกิ้น

เชียงราย, 21 พฤษภาคม 2568 – ในยามที่หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปกคลุมท้องฟ้าของจังหวัดเชียงราย เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องเผชิญกับภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของพวกเขา อากาศที่ปนเปื้อนมลพิษภายในอาคารกลายเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพราะอาการภูมิแพ้กำเริบจากฝุ่นละออง กลายเป็นภาพสะท้อนของความท้าทายที่สถานศึกษาทั่วประเทศกำลังเผชิญ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมระบบปรับอากาศ ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปิดตัว ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านคุณภาพอากาศภายในอาคารแห่งแรกในภาคเหนือ ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย ซึ่งไม่เพียงเป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศในสถานศึกษา แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับเด็กปฐมวัยทั่วประเทศไทย

เมื่อภัยเงียบจากฝุ่นละอองรุกคืบ

ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ภาคเหนือของประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมักใช้เวลานานในห้องเรียนที่มีระบบระบายอากาศไม่เพียงพอ ทำให้มลพิษจากภายนอกและภายในอาคารสะสมตัว ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หรือแม้แต่พัฒนาการที่ล่าช้า

ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เปิดโล่ง แต่ภายในอาคารเองก็เป็นแหล่งสะสมของมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากวัสดุก่อสร้าง หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการหายใจของเด็ก ๆ และบุคลากรในห้องเรียนที่หนาแน่น สถานการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ไดกิ้นและพันธมิตรตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศในสถานศึกษา โดยเฉพาะในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เด็ก ๆ ใช้เวลาเกือบทั้งวัน

การรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ ความร่วมมือเพื่ออนาคต

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ไดกิ้นได้จับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึง บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ร่วมกันพัฒนาโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ที่สามารถขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

โครงการนี้ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายในงานมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศและแนวทางการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ห้องเรียนปลอดฝุ่น

หัวใจสำคัญของโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” คือการติดตั้ง ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างครบวงจร ระบบนี้สามารถกรองฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ห้องเรียน พร้อมติดตั้ง เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ครูและผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งของห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งแรกในภาคเหนือ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกรมอนามัยในฐานะที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย นอกจากนี้ ยังมีการอบรมครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์เพื่อเสริมสร้างทักษะในการดูแลระบบคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไดกิ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคารมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เราเชื่อว่านวัตกรรมของเราจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศไทย”

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน

การเปิดตัวห้องเรียนปลอดฝุ่นไม่ใช่เพียงการติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการผสานนวัตกรรมและความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคม เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากมลพิษ ลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ครูและบุคลากรได้รับความรู้และเครื่องมือในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งเดียว ไดกิ้นและพันธมิตรตั้งเป้าที่จะขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยใช้ห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืน การลงทุนในคุณภาพอากาศวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและอนาคตของเด็กไทยในวันหน้า

ทำไมห้องเรียนปลอดฝุ่นถึงสำคัญ

การจัดการคุณภาพอากาศในสถานศึกษาไม่เพียงช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กและบุคลากร แต่ยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้และพัฒนาการในระยะยาว การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ เช่น PM2.5 และ VOCs เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือแม้แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การติดตั้งระบบระบายอากาศและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความเข้มข้นของมลพิษเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของเด็ก

นอกจากนี้ การอบรมบุคลากรในสถานศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการจัดการคุณภาพอากาศยังช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ครูและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมจะสามารถดูแลและบำรุงรักษาระบบได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อเด็ก จากรายงานของ IQAir ในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับที่ 36 ของโลกในด้านมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ภาคเหนือเผชิญกับระดับ PM2.5 สูงเกินมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉลี่ยในเชียงรายพบระดับ PM2.5 สูงถึง 50-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในบางวัน
  • ผลกระทบต่อสุขภาพ การศึกษาโดยกรมอนามัยระบุว่า เด็กปฐมวัยที่สัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงมีความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 30% และอาจมีพัฒนาการทางสติปัญญาลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • คุณภาพอากาศในอาคาร จากข้อมูลของสมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร พบว่า 80% ของอาคารสถานศึกษาในประเทศไทยมีระบบระบายอากาศที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีการสะสมของ CO2 และฝุ่นละอองภายในอาคารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอนามัย สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร
  • บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด
  •  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เริ่มแล้ว “ลิ้นจี่เมืองเชียงราย” งานดีที่เซ็นทรัล ถึง 20 พ.ค. นี้

ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” เปิดพื้นที่กลางเมืองช่วยเหลือเกษตรกร สู้ราคาตกช่วงผลผลิตล้นตลาด

เชียงรายระดมทุกภาคส่วน เปิดพื้นที่จำหน่ายลิ้นจี่คุณภาพจากสวนโดยตรง

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาผลไม้ฤดูร้อนชนิดนี้ตกต่ำลงกว่าทุกปี หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เร่งหามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เกษตรกรสามารถส่งตรงลิ้นจี่คุณภาพดีถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

ล่าสุด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลผลิตลิ้นจี่ ภายใต้ชื่องาน ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมกาดจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตคุณภาพสู่ผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม และสร้างการรับรู้ให้กับลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายในฐานะผลไม้คุณภาพของประเทศ

ผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในปี 2568 จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตลิ้นจี่รวมกว่า 2,145 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 89.9% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและพื้นที่ปลูกขยายตัว ผลผลิตจำนวนมากจึงออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 25 – 40 บาท/กิโลกรัม ในบางพื้นที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับเกษตรกรในหลายอำเภอ เช่น แม่จัน แม่สาย พาน เวียงแก่น และเวียงป่าเป้า ที่ถือเป็นพื้นที่ปลูกหลักของจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในด้านการตลาดอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายจากผลผลิตล้นตลาด

กิจกรรมส่งเสริมการขาย เพิ่มช่องทางกระจายผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” จึงเป็นความร่วมมือเชิงบูรณาการที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยเปิดพื้นที่จำหน่ายผลผลิตสดจากสวนโดยตรงจำนวน 2 จุดหลัก ได้แก่

  1. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 10 ราย แบ่งพื้นที่ออกเป็นบูทขายผลผลิตแบบคละเกรด ราคาเริ่มต้น 35 – 80 บาท/กิโลกรัม ตามคุณภาพ
  2. บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภายใต้ตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน คนเชียงราย เน้นจำหน่ายผลผลิตแบบคัดคุณภาพ AA และ A ในราคาคงที่ 50 บาท/กิโลกรัม

ภายในงานยังมีกิจกรรมเสริม เช่น ลิ้นจี่ชิมฟรี โปรโมชั่นลดราคา และการจำหน่ายลิ้นจี่ของฝาก ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเดินจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง

การรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า เสริมรายได้เกษตรกรแบบไม่ต้องตั้งร้าน

อีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรคือระบบรับคำสั่งซื้อแบบ Pre Order ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจัดทำขึ้น โดยมีการรวบรวมคำสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่

ในรอบแรกของการจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ลิ้นจี่คุณภาพ AA+A ถูกบรรจุในตะกร้าน้ำหนัก 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาตะกร้าละ 250 บาท และมีการส่งมอบที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยสามารถระบายผลผลิตได้กว่า 1.6 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 80,000 บาท

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ สนับสนุนพื้นที่ฟรี ดึงกลุ่มผู้บริโภคเข้าถึงผลผลิต

การดำเนินงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ที่เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ปลูกลิ้นจี่ และเพิ่มโอกาสการขายในทำเลศูนย์กลางเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ยังร่วมกันประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อผลผลิตผ่านกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกษตรกรฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้

ความร่วมมือที่เป็นต้นแบบการจัดการผลผลิตเกษตรกรรม

สถานการณ์ราคาผลไม้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน เป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปี หากไม่มีมาตรการรองรับเชิงระบบ อาจทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้และขาดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” สะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่การตลาดตรงถึงผู้บริโภค ช่วยลดความเสี่ยงจากการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง และยังเสริมสร้างแบรนด์ผลไม้ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่จดจำ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายปี 2568: 2,145 ตัน (เพิ่มจากปี 2567 เกือบ 90%)
  • ราคาเฉลี่ยลิ้นจี่ตกต่ำบางพื้นที่ต่ำกว่า 30 บาท/กิโลกรัม
  • ยอดจำหน่ายวันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 1.6 ตัน มูลค่า 80,000 บาท
  • จุดจำหน่ายหลัก: 2 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลเชียงราย และศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • ราคา Pre Order แบบคัดคุณภาพ: 50 บาท/กิโลกรัม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

  • รายงานผลผลิตและราคาตลาดลิ้นจี่: กรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2568

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News