Categories
EDITORIAL

DINK คู่รักยุคใหม่ รายได้สูง การศึกษาสูง ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ และโครงสร้างประชากรโลก

ปรากฏการณ์ DINK วิถีชีวิตคู่รักยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าสังคมไทยและโลก

ประเทศไทย, 16 พฤศจิกายน 2568 – ในยุคที่ค่านิยมทางสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลุ่มคู่รักรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “DINK” (Dual Income, No Kids) หรือคู่รักที่มีรายได้ทั้งสองฝ่ายแต่เลือกที่จะไม่มีบุตร กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในสหรัฐอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย กลุ่มนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างประชากรของประเทศ

คู่รักยุคใหม่ เลือกอิสระเหนือบรรทัดฐาน

เช้าวันเสาร์ที่แสนสงบ ในขณะที่หลายครอบครัวต้องตื่นแต่เช้าตรูเพื่อพาลูกไปเรียนพิเศษหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ คู่รักกลุ่ม DINK กลับมีอิสระในการตัดสินใจว่าจะใช้เวลาอย่างไร บางคู่เลือกนอนหลับเต็มอิ่ม 8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น บางคู่ออกกำลังกายในฟิตเนส บางคู่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวระยะยาว หรือบางคู่เลือกที่จะทุ่มเทเวลาให้กับงานอาชีพที่พวกเขาหลงใหล

นี่คือวิถีชีวิตที่คู่รัก DINK ภาคภูมิใจและเลือกที่จะดำเนินต่อไป แม้จะต้องเผชิญกับคำถามและแรงกดดันจากสังคมที่ยังยึดมั่นในค่านิยมแบบดั้งเดิมที่ว่า “การมีบุตรคือหน้าที่ของคนที่แต่งงาน”

คำว่า DINK ซึ่งย่อมาจาก “Dual Income, No Kids” ถูกกำหนดให้เป็นคำที่ใช้อธิบายครัวเรือนที่มีผู้ใหญ่สองคนที่มีรายได้และไม่มีบุตร ลักษณะเด่นของกลุ่มนี้คือการมีรายได้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าครอบครัวที่มีบุตร ทำให้มีรายได้ใช้จ่ายตามอัธยาศัยสูงกว่าอย่างมาก

ตัวเลขที่พูดถึงการเติบโต

สถิติล่าสุดชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มประชากรนี้ ในสหรัฐอเมริกา กลุ่ม DINK ที่แต่งงานแล้วในช่วงอายุ 30-40 ปี ได้เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2013 เป็น 12% ในปัจจุบัน การเติบโตนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีพื้นฐานมาจากคุณสมบัติทางการศึกษาและอาชีพที่โดดเด่น

ข้อมูลระบุว่า 58% ของคู่รัก DINK ทั้งสองฝ่ายมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ เทียบกับเพียง 43% ของคู่รักที่มีบุตร นอกจากนี้ 81% ของคู่รัก DINK ทั้งสองฝ่ายทำงานเต็มเวลา เทียบกับ 68% ของคู่รักที่มีบุตร ระดับการศึกษาสูงและความมุ่งมั่นในการทำงานเต็มเวลาของทั้งสองฝ่ายนี้ บ่งชี้ถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่สูงมากหากต้องหยุดชะงักทางอาชีพ

ในแง่ของรายได้ ครัวเรือน DINK มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยที่ 193,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี สูงกว่าคู่รักที่มีบุตรซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 151,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีอย่างเห็นได้ชัด รายได้ส่วนเกินนี้ทำให้พวกเขามีความยืดหยุ่นในการออม การลงทุน และการใช้จ่ายตามอัธยาศัยมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการท่องเที่ยว สินค้าฟุ่มเฟือย และการพัฒนาตนเอง

ปรากฏการณ์ในเมืองไทย คู่รักที่มีฐานะดีในเขตเมือง

สำหรับประเทศไทย ปรากฏการณ์ DINK กำลังเติบโตอย่างโดดเด่นโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ การวิเคราะห์เฉพาะกลุ่ม DINK ในประเทศไทยชี้ให้เห็นว่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวอายุ 30-39 ปี คิดเป็น 77.5% มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาโท 61.3% และที่น่าสนใจคือมีรายได้ครัวเรือนสูงกว่า 90,000 บาทต่อเดือนถึง 57.5%

การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโครงสร้างพื้นฐานและการขยายตัวของเศรษฐกิจในเขตเมืองของประเทศไทย ทำให้ประชากรหันมาใช้ชีวิตในเมืองที่สะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งสนับสนุนการเติบโตของคู่รักที่เลือกใช้ชีวิตคู่โดยไม่มีบุตร

ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของ DINK ไทยนั้นมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากครอบครัวที่มีบุตร พวกเขาให้ความสำคัญสูงสุดกับความสะดวกในการเดินทาง โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกที่อยู่อาศัยคือเวลาเดินทางระหว่างบ้านและที่ทำงาน ตามมาด้วยระยะทางระหว่างบ้านกับศูนย์การค้า การจัดสรรเงินทุนที่สูงเพื่อความใกล้ชิดกับสถานที่ทำงานและแหล่งพักผ่อนนี้ เป็นการซื้อเวลาคืนมา ซึ่งเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดสำหรับกลุ่ม DINK ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจึงเริ่มปรับตัว โดยมีความต้องการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวที่เน้นการใช้ประโยชน์พื้นที่สูงและสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะที่ครบครันเพิ่มมากขึ้น

แรงจูงใจเบื้องหลังการเลือก มากกว่าเรื่องเงิน

หากจะพูดถึงเหตุผลที่คู่รักเลือกเป็น DINK ปัจจัยทางเศรษฐกิจถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าที่อยู่อาศัย ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายรายวัน โดยในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรอยู่ที่เฉลี่ย 29,419 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ถือเป็นปัจจัยยับยั้งที่สำคัญ

นอกจากเรื่องของค่าใช้จ่ายแล้ว คู่รัก DINK ยังใช้ข้อได้เปรียบทางการเงินของตนเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคลที่หลากหลาย เช่น การเกษียณอายุก่อนกำหนดตามแนวคิด FIRE (Financial Independence, Retire Early) การออมอย่างเข้มข้น การลงทุนเพื่อซื้อบ้าน การเดินทางท่องเที่ยวระยะยาว หรือการพัฒนาตนเองผ่านหลักสูตรต่าง ๆ

แต่เหนือไปกว่าเรื่องเงิน ความทะเยอทะยานในอาชีพคือปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง วิถีชีวิต DINK มอบอิสระสูงสุดในการดำเนินชีวิต โดยไม่มีข้อจำกัดด้านครอบครัวในการแสวงหาความทะเยอทะยานในอาชีพ ความยืดหยุ่นนี้อนุญาตให้คู่รักสามารถย้ายไปอยู่เมืองใหม่ เปลี่ยนอาชีพ หรืออุทิศเวลาให้กับงานที่ต้องการความทุ่มเทสูงได้อย่างเต็มที่

การตัดสินใจไม่มีบุตรมีผลกระทบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเส้นทางอาชีพของผู้หญิง โดย 68% ของผู้หญิง DINK ในประเทศต่าง ๆ อาทิ อินเดีย จีน และสหรัฐอเมริกา รายงานว่ามีความพึงพอใจในอาชีพ “สูงขึ้นมาก” เนื่องจากไม่จำเป็นต้องหยุดชะงักหรือจำกัดความทะเยอทะยานเพื่อการเป็นมารดา สำหรับผู้ชาย สถานะ DINK มักจะสัมพันธ์กับความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้น การเป็นผู้ประกอบการ และความเต็มใจที่จะย้ายที่อยู่หรือยอมรับความเสี่ยงทางอาชีพที่สำคัญ

คุณภาพชีวิตที่แตกต่าง มีเวลาสำหรับตนเองและคู่ครอง

ข้อมูลทางจิตวิทยาชี้ให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่น่าสนใจ กลุ่ม DINK รายงานว่ามีคะแนนความเครียดที่รับรู้ต่ำกว่าและคะแนนความพึงพอใจในชีวิตสูงกว่าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงวัยกลางคนตอนต้น อายุ 28-50 ปี คู่รัก DINK ได้รับประโยชน์จากการมีเวลาและทรัพยากรมากขึ้นสำหรับกิจกรรมด้านสุขภาพส่วนตัวและงานอดิเรก

การศึกษาหนึ่งระบุว่าผู้ที่เลือกที่จะไม่มีบุตรมีแนวโน้มที่จะรายงานอาการวิตกกังวล ความเหนื่อยล้า หรือความไม่มีความสุขเรื้อรังน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญในช่วงอายุ 30-55 ปี

การขาดความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรช่วยให้คู่รัก DINK สามารถให้ความสำคัญกับความผูกพันในความสัมพันธ์ได้อย่างเต็มที่ โดยจัดสรรเวลาคุณภาพให้กับคู่ครอง ซึ่งมักส่งผลให้ความสัมพันธ์แข็งแกร่งขึ้น มีความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้ง และมีอิสระในการเลือกวิถีชีวิตร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า 32% ของ DINK ใช้บริการด้านสุขภาพจิตอย่างสม่ำเสมอ เทียบกับเพียง 17% ของผู้ปกครอง แสดงให้เห็นถึงความต้องการเฉพาะสำหรับบริการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ที่มุ่งเน้นไปที่การจัดการความกดดันทางสังคมและการค้นหาความหมายในชีวิตนอกเหนือจากความเป็นพ่อแม่

รูปแบบการบริโภคที่แตกต่าง จากสัตว์เลี้ยงสู่การท่องเที่ยว

เนื่องจากมีรายได้ใช้จ่ายตามอัธยาศัยสูง กลุ่ม DINK จึงเป็นเป้าหมายหลักสำหรับการตลาดสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการลงทุน และการท่องเที่ยว การใช้จ่ายของพวกเขาจะเน้นไปที่ประสบการณ์และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคู่รัก

ที่น่าสนใจคือการเกิดขึ้นของกลุ่มย่อยที่เรียกว่า DINKWAD (Dual Income, No Kids, With A Dog) หรือคู่รักที่เลือกที่จะเลี้ยงสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ แทนการมีบุตร และให้ความสำคัญกับการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นบุตร โดยเรียกสัตว์เลี้ยงของตนว่า “ลูกรักขนปุย”

คู่รักกลุ่ม DINKWAD ลงทุนอย่างหนักในการดูแลสัตว์เลี้ยง โดยซื้ออาหารพรีเมียม อุปกรณ์เสริมที่มีสไตล์ และการเดินทางที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าร่วมได้ ความมุ่งมั่นทางการเงินต่อสัตว์เลี้ยงสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกับการเลี้ยงดูบุตร โดย DINKWAD ใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 1,906 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีสำหรับสัตว์เลี้ยง และให้ความสำคัญกับการประกันภัยสัตว์เลี้ยงเพื่อจัดการค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสุขภาพของสัตว์เลี้ยง

นอกจากนี้ คู่รัก DINK ยังมักเดินทางบ่อยและนานขึ้น เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดด้านการศึกษาหรือความต้องการทางสังคมของบุตร ในแง่ของการจัดทำงบประมาณ การวางแผนทางการเงินสำหรับ DINK แนะนำให้จัดสรร 20% ของงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายด้านไลฟ์สไตล์ อาทิ การรับประทานอาหารนอกบ้าน ความบันเทิง และการเดินทาง ขณะที่จัดสรร 30% สำหรับการลงทุนและการสร้างความมั่งคั่ง

ความขัดแย้งที่น่าสนใจ รายได้สูงแต่วินัยทางการเงินยังไม่เพียงพอ

แม้ว่ากลุ่ม DINK จะมีรายได้สูงและความยืดหยุ่นทางการเงิน แต่การศึกษาหลายชิ้นพบความขัดแย้งที่น่าสนใจ จากข้อมูลในสหรัฐอเมริกา แม้ว่า DINK จะมีรายได้สูงกว่า แต่พวกเขามีความมั่งคั่งเฉลี่ยที่ต่ำกว่าคู่รักที่มีบุตร โดย DINK มีความมั่งคั่งเฉลี่ย 214,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับ 361,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับคู่รักที่มีบุตร

นอกจากนี้ อัตราการเป็นเจ้าของบ้านของ DINK อยู่ที่ 71% ซึ่งต่ำกว่าคู่รักที่มีบุตรที่อยู่ที่ 79% สิ่งนี้บ่งชี้ว่า DINK อาจจัดลำดับความสำคัญของสภาพคล่องทางการเงินและความยืดหยุ่นในการลงทุนเหนือการผูกมัดเงินทุนกับสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย

กรณีศึกษาที่น่าสนใจมาจากสิงคโปร์ ผ่านรายงาน OCBC Financial Wellness Index 2024 ซึ่งพบว่ากลุ่ม DINK มีผลการดำเนินงานต่ำกว่ากลุ่มผู้ปกครองในหลายตัวชี้วัดทางการเงินระยะยาว ข้อมูลชี้ชัดว่า 58% ของคู่รัก DINK ในสิงคโปร์ยังไม่ได้เริ่มวางแผนเกษียณอายุ โดย 55% ของกลุ่มที่ยังไม่เริ่มไม่มีเจตนาที่จะเริ่มภายในปีหน้า

ที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้นคือ 85% ของ DINK ประเมินความต้องการทางการเงินสำหรับการเกษียณอายุต่ำเกินไป นอกจากนี้ เพียง 39% เท่านั้นที่ทบทวนแผนการเงินประจำปี เทียบกับ 50% ของผู้ปกครอง และมีเพียง 21% ที่ขอคำแนะนำทางการเงินจากผู้เชี่ยวชาญ เทียบกับ 32% ของผู้ปกครอง

ความบกพร่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการจัดเตรียมการส่งต่อทรัพย์สินเมื่อเสียชีวิต เช่น พินัยกรรมหรือทรัสต์ โดยมีเพียง 57% ของ DINK ที่จัดเตรียมไว้ เทียบกับ 82% ของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่สำคัญต่อการโอนสินทรัพย์และการตัดสินใจในวาระสุดท้ายของชีวิต

ความท้าทายเฉพาะ การวางแผนผู้สูงอายุโดยไม่มีบุตรคอยดูแล

ประเด็นสำคัญที่กลุ่ม DINK ต้องเผชิญคือการวางแผนการดูแลในวัยสูงอายุ ในโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม บุตรจะเป็นศูนย์กลางของแผนการดูแลระยะยาว และการตัดสินใจในวาระสุดท้ายของชีวิต การที่กลุ่ม DINK ไม่มีบุตรวัยผู้ใหญ่คอยทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและผู้ประสานงานดูแลสุขภาพ ทำให้เกิดภาวะ “สุญญากาศผู้ดูแล” ที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงินชี้ให้เห็นว่า การวางแผนทางการเงินสำหรับ DINK จึงต้องรวมถึงการเตรียมเงินทุนไว้สำหรับการซื้อบริการดูแล ผู้สนับสนุน และการกำกับดูแลทางการเงินอย่างมืออาชีพอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากการพึ่งพาบริการฟรีจากครอบครัว

โครงสร้างทางกฎหมายเฉพาะทางเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ DINK เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากการหาประโยชน์ทางการเงินและการทุพพลภาพ เครื่องมือที่สำคัญได้แก่ หนังสือมอบอำนาจถาวร และ Living Trusts เพื่อแต่งตั้งตัวแทนและผู้ดูแลผลประโยชน์สืบทอด นอกจากนี้ คู่รัก DINK ยังต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้จัดการดูแลผลประโยชน์และผู้จัดการดูแลมืออาชีพ เพื่อจัดการการตัดสินใจด้านสุขภาพและการเงินในช่วงที่ความสามารถทางสติปัญญาลดลง โดยต้นทุนของการจ้างบริการเหล่านี้ต้องถูกคำนวณรวมอยู่ในเป้าหมายการเกษียณอายุ

สำหรับคู่รัก DINK ที่เป็นชาวต่างชาติที่เกษียณอายุหรือพำนักอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ต้องจัดการกับความซับซ้อนของการวางแผนสืบทอดมรดกข้ามประเทศ เนื่องจากสินทรัพย์มักจะถูกถือครองในหลายเขตอำนาจศาล จำเป็นต้องมีการดำเนินการทางกฎหมาย เช่น การทำพินัยกรรมไทยที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือการจัดตั้ง Living Trusts เพื่อจัดการสินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศ

แรงกดดันทางสังคม การต่อสู้กับคำว่า “เห็นแก่ตัว”

แม้ว่ากลุ่ม DINK จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็ยังต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคมที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การแสดงออกถึงวิถีชีวิตที่หรูหราและสะดวกสบาย เช่น การโพสต์เรื่อง “เราได้นอนหลับเต็มอิ่ม 8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น” หรือ “บ้านของเราสะอาดและเงียบสงบ” ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านทางออนไลน์อย่างรุนแรง โดยคู่รัก DINK มักถูกกล่าวหาว่าเป็น “คนเห็นแก่ตัว” และ “พวกวัตถุนิยม”

ในสังคมที่มีค่านิยมดั้งเดิม เช่น จีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่ม DINK เผชิญกับการตีตราทางสังคมที่รุนแรงยิ่งขึ้น พวกเขามักถูกกล่าวหาว่าขาดความรับผิดชอบทางสังคม และถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะมีคนดูแลในวัยชรา ในประเทศจีน แรงกดดันจากครอบครัวถือเป็นแหล่งของการตีตราที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคาดหวังในการ “สืบสายตระกูล”

การตีตรานี้เป็นสาเหตุของความเครียดทางจิตวิทยาและความสับสนในอัตลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่รู้สึกว่าถูกกำหนดโดยสิ่งที่ขาดไป อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชี้ว่าการตัดสินใจนี้เป็นการเลือกความ “เห็นแก่ตัวที่ดีต่อสุขภาพ” ที่มุ่งเน้นการจัดลำดับความสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดี ความสมดุลทางอารมณ์ และความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

การวิพากษ์วิจารณ์และการถูกตีตราทางสังคมอย่างรุนแรงนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเสียงวิจารณ์ แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงความท้าทายที่วิถีชีวิต DINK มีต่อบรรทัดฐานทางสังคมที่ยึดถือมายาวนาน ทั้งในโลกตะวันตกและเอเชีย ปฏิกิริยาของสาธารณชนตอกย้ำถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกลุ่มประชากรนี้

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระแสที่ไม่อาจหยุดยั้ง

ปรากฏการณ์ DINK เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย การเข้าถึงการศึกษาระดับสูง โอกาสทางอาชีพ และความเป็นอิสระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง

ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย ปัจจัยทางการเงินเป็นเหตุผลหลักที่คู่รักเลือกวิถีชีวิตที่ไม่มีบุตร เนื่องจากต้นทุนค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายแซงหน้าการเพิ่มขึ้นของรายได้ การเติบโตของกลุ่ม DINK ในภูมิภาคนี้กำลังเปลี่ยนแปลงความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความต้องการบริการผู้ดูแลผลประโยชน์เฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ

สำหรับประเทศไทย การที่สังคมไทยมีความคาดหวังดั้งเดิมว่าบุตรจะเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ ทำให้ DINK ในประเทศไทยต้องดำเนินการล่วงหน้าอย่างยิ่งยวดในการจัดตั้งโครงสร้างการสนับสนุนทางการเงินและสุขภาพที่ถูกกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าความต้องการของพวกเขาจะได้รับการดูแลโดยไม่มีการแทรกแซงจากครอบครัว

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาด โอกาสและความท้าทาย

การเติบโตของกลุ่ม DINK กำลังสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในหลายอุตสาหกรรม สถาบันการเงินกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เน้นการเติบโตสูงและมีความหลากหลายทั่วโลก เพื่อรองรับเป้าหมายการเกษียณอายุก่อนกำหนดของ DINK ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังปรับตัวเพื่อรองรับคู่รักที่ต้องการประสบการณ์การเดินทางระยะยาวและมีคุณภาพสูง

ตลาดสัตว์เลี้ยงกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่ม DINKWAD โดยมีการพัฒนาบริการสัตว์เลี้ยงเฉพาะทาง การเงินเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง และบริการด้านโลจิสติกส์การเดินทางที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าร่วมได้

อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังปรับกลยุทธ์การตลาด โดยมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพในการประหยัดเวลา สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพแบบครบวงจร และความใกล้ชิดกับศูนย์กลางทางอาชีพ เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดลำดับความสำคัญของ DINK ในด้านอาชีพและเวลาพักผ่อน

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของกลุ่ม DINK ยังก่อให้เกิดความท้าทายระดับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความยั่งยืนของกำลังแรงงานและอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง ผู้กำหนดนโยบายต้องยอมรับว่าแนวโน้ม DINK เป็นปฏิกิริยาต่อการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเป็นพ่อแม่

ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ การปรับตัวสู่อนาคต

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงินแนะนำว่า คู่รัก DINK ควรให้ความสำคัญกับการควบคุมภาวะเงินเฟ้อทางวิถีชีวิต โดยการใช้โปรแกรมการออมอัตโนมัติที่เข้มงวด ซึ่งจะดักจับเปอร์เซ็นต์ที่สูงของการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน เช่น 30% ของรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายตามอัธยาศัยที่มากเกินไป

การวางแผนการเกษียณอายุสำหรับ DINK ควรรวมบริการผู้ดูแลผลประโยชน์มืออาชีพและผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผน โดยมีการประมาณการและจัดสรรงบประมาณสำหรับต้นทุนการดูแลระยะยาวเหล่านี้อย่างชัดเจน เพื่อจัดการกับภาวะสุญญากาศผู้ดูแล

สำหรับผู้กำหนดนโยบาย จำเป็นต้องมีการลงทุนครั้งใหญ่ในมาตรการต่าง ๆ เช่น การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่เท่าเทียมกัน การดูแลบุตรที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง และการจัดเตรียมงานที่ยืดหยุ่น เพื่อรักษาอัตราการเจริญพันธุ์และขนาดของกำลังแรงงาน

รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมสำหรับประชากรสูงวัยที่มีฐานะดี ซึ่งจะพึ่งพาบริการดูแลมืออาชีพอย่างมากแทนที่จะพึ่งพาครอบครัว สิ่งนี้เรียกร้องให้มีการขยายและควบคุมภาคการดูแลผู้สูงอายุ ผู้จัดการดูแลผลประโยชน์ และบริการดูแลสุขภาพระยะยาว

นโยบายสาธารณะและการนำเสนอของสื่อควรมุ่งเน้นการทำให้วิถีชีวิตที่หลากหลายเป็นที่ยอมรับ เพื่อลดการตีตราทางสังคมที่ก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลในหมู่บุคคลที่เลือกที่จะไม่มีบุตร

การยอมรับความหลากหลายทางเลือกชีวิต

ปรากฏการณ์ DINK ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือกระแสชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการของสังคมสมัยใหม่ ซึ่งผู้คนมีอิสระมากขึ้นในการเลือกวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายส่วนบุคคลของตน

แม้ว่ากลุ่ม DINK จะเผชิญกับความท้าทายทั้งจากการตีตราทางสังคมและความซับซ้อนในการวางแผนทางการเงินระยะยาว แต่พวกเขาก็กำลังเปิดทางสำหรับการยอมรับความหลากหลายทางเลือกชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือทั่วโลก

สิ่งสำคัญคือสังคมต้องเรียนรู้ที่จะเคารพและยอมรับทางเลือกที่แตกต่าง พร้อมกับสร้างระบบสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับทั้งผู้ที่เลือกมีบุตรและผู้ที่เลือกไม่มีบุตร เพื่อให้ทุกคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ

การเติบโตของกลุ่ม DINK เป็นสัญญาณบอกเหตุที่สำคัญสำหรับภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมโดยรวม ที่ต้องปรับตัวและพัฒนานโยบาย ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของประชากร ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลและความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม

อนาคตของสังคมไม่ได้ขึ้นอยู่กับการบังคับให้ทุกคนเลือกเส้นทางเดียวกัน แต่อยู่ที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ทุกคนสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองได้ พร้อมกับได้รับการสนับสนุนและความเคารพจากสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • รายงาน “การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ด้านประชากรศาสตร์ พลวัตทางการเงิน และช่องโหว่ทางการตลาดในศตวรรษที่ 21: กลุ่มประชากร DINK (Dual Income, No Kids)”
  • OCBC Financial Wellness Index 2024 – การศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมทางการเงินของกลุ่ม DINK และผู้ปกครองในสิงคโปร์
  • สำนักสถิติแรงงานสหรัฐอเมริกา (U.S. Bureau of Labor Statistics) – ข้อมูลสถิติครัวเรือน DINK ในสหรัฐอเมริกา ปี 2013-2025
  • การศึกษาเรื่อง “DINK Lifestyle in Southeast Asia: Demographic Shifts and Real Estate Market Implications” – การวิเคราะห์พฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยของกลุ่ม DINK ในประเทศไทย
  • งานวิจัย “Childless by Choice: Psychological Well-being and Life Satisfaction Across Cultures” – การศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของกลุ่ม DINK ในหลายประเทศ
  • American Pet Products Association (APPA) – สถิติการใช้จ่ายของกลุ่ม DINKWAD สำหรับสัตว์เลี้ยง
  • รายงาน “Financial Independence, Retire Early (FIRE) Movement: Analysis of DINK Participation and Saving Patterns”
  • การศึกษา “Social Stigma and Mental Health Challenges Faced by Childfree Individuals in Traditional Asian Societies”
  • งานวิจัย “Long-Term Care Planning for Childless Elderly: The Growing Need for Professional Fiduciary Services”
  • รายงานประชากรศาสตร์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – แนวโน้มอัตราการเจริญพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เร็วกว่าแผน ≠ ดีพอ จี้รัฐบาลแก้ปัญหาฝุ่น-ไฟส่องสว่างหน้า รร.เทศบาล 6 ที่เกิดซ้ำซาก

เชียงรายวาระแห่งชาติ–วาระเมือง “ทางลอด 850 ล้าน” ระหว่างทางสู่ความเจริญ กับโจทย์เร่งด่วนเรื่อง “มหาฝุ่น-ความปลอดภัย” ของพลเมือง

เชียงราย, 11 พฤศจิกายน 2568 — เมื่อ “ตัวเลขความคืบหน้า” ปะทะ “คุณภาพชีวิตรายวัน”  เมืองกำลังขยับสู่เป้าหมายใหญ่อีกครั้ง ผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐภูมิใจ—โครงการก่อสร้างทางลอดและปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ (แยก อบจ./ท.6) สายชร.1023 โดยกรมทางหลวงชนบท (ทช.) วงเงิน 849.800 ล้านบาท กำหนดก่อสร้าง ปี 2567–2570 ซึ่งล่าสุด “คืบหน้า ~31% เร็วกว่าแผน” ขณะเร่งทำโครงสร้างทางลอดและผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อปลดล็อกคอขวดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงและหนุนเศรษฐกิจการขนส่ง-ท่องเที่ยวภาคเหนือตอนบน

แต่ในอีกฟากหนึ่งของความก้าวหน้า—บนผิวถนนเดียวกัน—คือ “มหาฝุ่น-หลุม-ความมืด-ป้ายไม่ชัด” ที่ผู้ใช้ถนนและผู้ปกครองหน้า รร.เทศบาล 6 ต้องเผชิญทุกวัน เสียงสะท้อนในชุมชนออนไลน์ “จาวเจียงฮาย New.V3” ชี้ชัดว่า ความเดือดร้อนนั้น “เห็นและดมได้” ตั้งแต่เวลารับ-ส่งเด็กจนถึงช่วงค่ำ ซึ่งไฟส่องสว่างไม่เพียงพอและแนวกั้นพื้นที่ก่อสร้างยังสับสน

นี่คือ ความขัดแย้งเชิงนโยบาย ที่ไม่ใช่ “เอา-ไม่เอาโครงการ” หากแต่ถามว่า อะไรควรทำก่อน อะไรควรหยุดชั่วคราว และใครรับผิดชอบ” เพื่อให้ความเจริญระยะยาวไม่แลกกับสุขภาวะปัจจุบันของพลเมือง โดยเฉพาะเด็ก-คนทำงานที่ต้องผ่านจุดก่อสร้างวันละหลายครั้ง

ภาพรวมโครงการ ขอบเขต-เหตุผล-เส้นตาย

ตามเอกสาร/แถลง ทช. โครงการนี้ออกแบบเป็น อุโมงค์ลอดทางแยก 4 ช่องจราจร ความยาวประมาณ 425.50 เมตร พร้อมงาน ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้กว้างขึ้นตลอดช่วง ~410 เมตร ปรับปรุงถนน ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภค รวมระยะทางดำเนินการราว 1.635 กม. เป้าประสงค์หลักคือ แก้คอขวดหน้าสนามบิน และรองรับการเติบโตเมือง-ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยตั้งธง เสร็จปี 2570 หากคุมงานได้ตามแผนปัจจุบันที่ “เร็วกว่าแผน”

ทช.ระบุด้วยว่า ได้ “กำชับผู้รับจ้าง-ผู้ควบคุมงาน” ให้ติดตั้ง ป้ายเตือน-ป้ายลดความเร็ว-สัญญาณไฟกะพริบ-อุปกรณ์ความปลอดภัย ให้สังเกตเห็นชัดเพื่อความปลอดภัยระหว่างการเดินทางของประชาชนในพื้นที่—ข้อความที่ฟังดู “ครบ” บนกระดาษ แต่ชาวเมืองจำนวนมากบอกว่า ไม่ครบเมื่อยืนอยู่หน้างานจริง”

เสียงหน้างาน บทเรียนที่กำลังก่อตัวทุกเช้าเย็น

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ใช้ถนนหน้า อบจ./รร.เทศบาล 6 โพสต์รูป-ข้อความลักษณะคล้ายกัน—ฝุ่นลอยหนา, เศษทราย-หิน-เหล็ก, หลุม-ทางต่างระดับ, กรวยไม่พอ, ป้ายไม่ชัด, ไฟไม่พอช่วงกลางคืน บางรายอ้าง “รถตกท่อ” และ “ลื่นเพราะทรายไหลมากอง” พร้อมเรียกร้อง รถน้ำล้างถนน/รถดูดฝุ่นเป็นกิจจะลักษณะ โดยเฉพาะ “ช่วงก่อนเลิกเรียน” เพื่อลดความเสี่ยงเด็กสูดฝุ่นสะสม

“สงสารเด็กๆ รถติดไม่พอมาโดนฝุ่นอีก… ฝุ่นตลบเวลารถลงจากสะพาน… ควรมีรถน้ำล้างถนนทุกครั้งหลังทำเสร็จ เหมือนจังหวัดอื่นๆ… กรวยกั้น-ไฟส่องสว่างให้ชัด โดยเฉพาะกลางคืน” — ความเห็นจากผู้ใช้ถนนรายหนึ่ง

แม้จะเป็นการบอกเล่าจากชุมชนออนไลน์ ไม่ใช่รายงานราชการ แต่ด้วย ความถี่-ความสอดคล้องของประเด็น และ จุดเสี่ยงซ้ำ ๆ (หน้าโรงเรียน-ช่วงลงสะพาน-หน้า อบจ.) ก็เพียงพอให้เกิด “ธงเชิงปฏิบัติ” ว่าหน่วยงานรัฐ-ผู้รับจ้างควร ยกระดับมาตรการหน้างานทันที แยกจากตารางงานเทคโนโลยี/วิศวกรรม

มาตรฐานอากาศ เส้นแบ่งที่ตัวเลขอธิบายได้

ในทางสาธารณสุข “ฝุ่นจากงานก่อสร้าง” เป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของ PM10/PM2.5 ที่กระทบระบบหายใจโดยตรง ประเทศไทยปรับมาตรฐาน PM2.5 (24 ชม.) เป็น 37.5 µg/m³ มีผลปี 2566 และปรับเกณฑ์ AQI ให้เข้มขึ้น ขณะเดียวกัน WHO 2021 แนะนำค่าที่เข้มกว่ามากที่ 15 µg/m³ (24 ชม.) เพื่อปกป้องกลุ่มเสี่ยง (เด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยเรื้อรัง) ความต่างของมาตรฐานนี้ชี้ว่า แม้ไม่เกินเกณฑ์ไทย” ก็ยังไม่แปลว่าปลอดความเสี่ยงสุขภาพโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อรับสัมผัสซ้ำทุกวันระหว่างก่อสร้างยาวนานหลายปี

ดังนั้น มาตรการควบคุมฝุ่นหน้างาน เช่น รถน้ำล้างถนนสม่ำเสมอ, รถดูดฝุ่น, ผ้าใบคลุมกองวัสดุ, ล้างล้อรถบรรทุกก่อนออกถนนสาธารณะ, แนวกั้นกันฝุ่น, ทำความสะอาดทางเท้า-ไหล่ทาง ไม่ใช่ “ของสวยงาม” แต่เป็น เส้นแบ่งระหว่างความคืบหน้าโครงการ กับคุณภาพชีวิตที่รับได้ของพลเมือง

ใครควรทำอะไร “ทันที” โรดแมปแก้ปัญหาระยะสั้น

1.ทช./ผู้รับจ้าง (เจ้าของงาน/ผู้ดำเนินการ)

  • ความปลอดภัย 24/7 เพิ่ม/ย้ำการติดตั้ง ป้ายเตือน-ไฟกะพริบ-ไฟส่องสว่าง-กรวยกั้น-แบริเออร์สะท้อนแสง ในจุดเสี่ยง โดยเฉพาะ “โซนลงสะพาน-หน้าโรงเรียน-คอขวดหน้า อบจ.” ให้มองเห็นได้ชัดในยามค่ำคืน และปรับผิวจราจรชั่วคราวไม่ให้เกิด “ขั้นต่างระดับ/หลุม” ที่เสี่ยงรถสองล้อ
  • ฝุ่น-ความสะอาด จัด รอบรถน้ำ/รถดูดฝุ่น เฉพาะกิจ “ช่วงก่อน-หลังเลิกเรียน” และ “ช่วงจราจรหนาแน่น” พร้อม ล้างล้อรถบรรทุก และ เก็บเศษวัสดุ-ทรายไหล ที่จุดโค้ง/จุดเลี้ยว
  • เปิดเผยข้อมูล ปัก ป้ายตารางงานรายสัปดาห์ และ ช่องทางร้องเรียนตรง ของผู้ควบคุมงาน เพื่อให้ประชาชนแจ้งเหตุได้แบบเรียลไทม์ และติดตามการแก้ไขได้

2.จังหวัด-อบจ./เทศบาล (เจ้าบ้าน/ผู้ประสาน)

  • บูรณาการหน้างาน ใช้ศักยภาพ “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)” หรือกลไกเทียบเท่า ตั้ง War-Room รายสัปดาห์ ร่วม ทช./ผู้รับจ้าง/ตร.จร./โรงเรียน/ชุมชน เพื่อจูนแผนงานกับ ตารางรับ-ส่งนักเรียน/ช่วงกิจกรรมเมือง
  • ล้างถนนเสริม หากผู้รับจ้างยังทำไม่ทั่วถึง ให้เทศบาล/อบจ. จัดรถล้างถนนเสริม เฉพาะจุดวิกฤตชั่วคราว (โดยทำบันทึกค่าใช้จ่ายเพื่อ เรียกคืนจากสัญญา/ค่าปรับ ตามความเหมาะสม)
  • สื่อสารเชิงรุก จัด เพจ/ไลน์ทางการ สรุปงานประจำสัปดาห์ จุดปิด-จุดเปิด เส้นทางเลี่ยง พร้อมแผนที่ เข้าใจง่าย

3.โรงเรียน-ชุมชน (ผู้ได้รับผลกระทบ)

  • จัดระเบียบรับ-ส่งนักเรียน (เลน Drop-off/รับขึ้นชัดเจน, อาสาจราจรผู้ปกครองร่วมกับตำรวจ)
  • บันทึกเหตุ-แจ้งเหตุ บันทึกภาพ/พิกัด “จุดเสี่ยงซ้ำ” ส่ง War-Room เพื่อให้การแก้ไข “จับต้องได้” และติดตามได้

แล้ว “อะไรควรหยุด-อะไรควรไปต่อ” การจัดลำดับในเมืองที่มีงานใหญ่หลายจุด

ความเห็นหนึ่งที่สะท้อนกังวลคือ “เดือนหน้าจะมีงานดอกไม้ริมน้ำกก ใกล้พื้นที่ก่อสร้าง ทำไมจึงจัดซ้อนช่วงรถติดหนัก” นี่ไม่ใช่การคัดค้านกิจกรรมท่องเที่ยว หากเป็นคำถามเรื่อง การจัดลำดับเวลาและทรัพยากร เมืองที่เดินหน้าหลายวาระพร้อมกัน—งานโครงสร้างพื้นฐาน, อีเวนต์ใหญ่, ดันซอฟต์พาวเวอร์—จำเป็นต้องมี “ตัวช่วยชั่งน้ำหนักผลลัพธ์-ต้นทุนสังคม” เช่น

  • หยุด/ชะลอบางกิจกรรม ชั่วคราวถ้ากระทบภาพลักษณ์-ประสบการณ์นักท่องเที่ยวหนักในจุดงานก่อสร้าง
  • เร่งเสร็จงานเฉพาะจุด (เช่น ปรับผิวชั่วคราว/สะสางฝุ่น) ให้ทันกรอบอีเวนต์
  • เสริมระบบขนส่ง (ชัตเทิล/ปิดถนนชั่วคราวบางช่วงเวลา) ลดการปะทะกันระหว่าง “พีคงาน” กับ “พีคจราจร”

ตัวชี้วัดใหม่ เร็วกว่าแผน ดีพอ หากยังไม่ “ปลอดภัยไร้ฝุ่น”

บทเรียนจากหลายเมืองชี้ว่า KPI งานก่อสร้าง ที่เน้น “%คืบหน้า” เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป เมืองควรผูก “ความเร็ว” เข้ากับ ตัวชี้วัดด้านความปลอดภัยและอากาศ เช่น

  • อุบัติเหตุ/เดือนในเขตก่อสร้างต้องเป็น ศูนย์ หรือแสดงแนวโน้มลงอย่างชัดเจน
  • ค่าฝุ่นเฉลี่ย (จุดติดตามเฉพาะกิจ) ต้องไม่เกินเกณฑ์ไทย และพยายามเข้าใกล้แนว WHO โดยเฉพาะช่วงรับ-ส่งนักเรียน
  • เวลาเดินทางเฉลี่ยช่วงพีค ต้องไม่แย่ลงจากฐานเดิม เมื่อปรับแผนปิด-เปิดช่องทาง

การประกาศ “31% เร็วกว่าแผน” จึงควรมี “ดัชนีคู่” ว่า ณ วันเดียวกันนั้น เมือง “ปลอดภัยกว่าเมื่อวาน-อากาศสะอาดกว่าเมื่อวาน” มากน้อยเพียงใด ไม่ใช่แค่ “งานก้าวหน้า” แต่ “คนอยู่ได้”

คำถามสุดท้ายที่เมืองต้องตอบ “เราได้ถามชาวเชียงรายแล้วหรือยัง?”

ผู้สื่อข่าวพบว่า แม้ประชาชนเข้าใจ “ความจำเป็นของโครงสร้างพื้นฐาน” แต่ก็เรียกร้อง สิทธิขั้นพื้นฐาน ระหว่างรอคอย ได้แก่ ถนนที่สะอาด-ปลอดภัย-มีสัญญาณเตือนที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหน้าโรงเรียน-หน้า อบจ. ซึ่งเป็น “หน้าบ้านราชการ” เอง
ในเชิงธรรมาภิบาล เวทีสื่อสารรายสัปดาห์ ระหว่าง ทช./จังหวัด/ท้องถิ่น/โรงเรียน/ชุมชน—ที่เปิดเผยตารางงาน, จุดเสี่ยง, งานแก้ไข—จะ ลดช่องว่างความไว้ใจ และทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “เสียงของเขาแปรเป็นปฏิบัติการจริง” ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนสไลด์

ตรงกลางของ “รัฐ-ชาวเชียงราย” เริ่มต้นที่ “ความปลอดภัย-สุขภาวะ”

รัฐมีเหตุผลเรื่องความเจริญระยะยาว เมืองมีความฝันเรื่องเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว แต่ จุดตั้งต้นเดียวที่ตรงกัน คือ “ประชาชนต้องปลอดภัยและหายใจได้สะดวก” วันนี้—ไม่ใช่รอปี 2570
คำตอบเชิงปฏิบัติจึงไม่ใช่ “หยุดหรือไปต่อ” แบบศูนย์-หนึ่ง หากเป็น “ไปต่ออย่างมีวินัยหน้างาน” โดย

  • ทช./ผู้รับจ้าง ยกระดับมาตรการความปลอดภัย-ควบคุมฝุ่นทันที และ เปิดข้อมูล-ช่องร้องเรียนตรง
  • อบจ./เทศบาล ตั้ง War-Room บูรณาการ เติมรถล้างถนน-สื่อสารเส้นทางเลี่ยง
  • โรงเรียน/ชุมชน จัดการจราจรรับ-ส่ง และบันทึกเหตุซ้ำ ให้การแก้ไข “มองเห็นได้” ภายในสัปดาห์ ไม่ใช่เป็นเพียงบันทึกการประชุม

เชียงรายจะ “ผ่าทางตัน” ได้ เมื่อเรา ไม่ปล่อยให้ความเจริญวิ่งแซงคุณภาพชีวิต และกล้ากำหนด KPI ที่ยึดพลเมืองเป็นศูนย์กลาง ควบคู่ ไปกับเส้นตายวิศวกรรม

โครงการทางลอดแยกศูนย์ราชการ (ชร.1023), อ.เมือง จ.เชียงราย

  • หน่วยงานเจ้าของ: กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • วงเงินก่อสร้าง: 849.800 ล้านบาท
  • โครงสร้าง: อุโมงค์ลอด 4 ช่องจราจร ยาว ~425.5 ม. + ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ~410 ม. + ปรับปรุงถนน-ไฟส่องสว่าง-สาธารณูปโภค รวมช่วงดำเนินการ ~1.635 กม.
  • สถานะล่าสุด: คืบหน้า ~31% เร็วกว่าแผน (อยู่ระหว่างก่อสร้างโครงสร้างทางลอด/ผนังคสล.)
  • เป้าหมาย: แก้คอขวดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง, หนุนโลจิสติกส์-ท่องเที่ยว, รองรับการเติบโตเมือง
  • กรอบเวลา: คาดเสร็จปี 2570

ไม่ปฏิเสธความจำเป็นของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ย้ำว่าความเร็วของโครงการต้อง “ล็อกคู่” กับมาตรฐานความปลอดภัย-อากาศสะอาดที่ตรวจสอบได้ หากทำได้ เชียงรายจะไม่ต้องเลือกระหว่าง “ความหวังระยะยาว” กับ “ความเดือดร้อนวันนี้”—เพราะเมืองสามารถทำทั้งสองอย่างได้พร้อมกัน ด้วยวินัยและความโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL ENTERTAINMENT

เด็ก 8 ขวบ “โฟกัส” คว้าแชมป์สตรีทแดนซ์ประเทศไทย นำทีมเชียงรายบุก UDO WORLD 2026

โฟกัส” 8 ขวบ พิชิตแชมป์สตรีทแดนซ์ไทย เปิดประตูสู่เวทีโลกที่อังกฤษ ทีม “ตึกขาวเชียงราย” สร้างปรากฏการณ์ คว้าโควตาชิงแชมป์ UDO ASIA-WORLD 2026

เชียงราย,4 พฤศจิกายน 2568 – ในวงการสตรีทแดนซ์ไทย มีคำถามที่ผู้คนมักตั้งไว้เสมอว่า “เมื่อไหร่ ความพยายามจะเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ” คำตอบของคำถามนี้ได้ถูกพิสูจน์อย่างชัดเจน เมื่อเด็กหญิงวัย 8 ขวบจากเชียงราย ยืนอยู่บนเวทีแห่งชัยชนะ ณ The Street Ratchada กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ที่ดังกึกก้อง นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะพาคุณไปสู่การเดินทางอันยาวนานของความฝัน ความอดทน และความกล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ หรือที่ทุกคนเรียกว่า “น้องโฟกัส” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี จังหวัดเชียงราย เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองและจังหวัดบ้านเกิด ด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย ประเภท SOLO U10 (โซโล่รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี) ในการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชิงชัยในระดับประเทศ แต่คือประตูสำคัญที่จะนำพาเธอและทีมเต้นจาก MY DANCE ACADEMY (MYDA) หรือที่รู้จักในนาม “ตึกขาวเชียงราย” ไปสู่เวที UDO ASIA และ UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ

จากห้องซ้อมเล็กๆ สู่เวทีระดับชาติ เส้นทางที่ไม่ธรรมดา

เมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งปี น้องโฟกัสยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เต้นอยู่ในห้องซ้อมของสถาบัน MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางเสียงดนตร์และเหงื่อที่ไหลพราก วันแล้ววันเล่า เธอและเพื่อนๆ ในทีมต่างต้องผ่านการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง บางครั้งก็เหนื่อย บางครั้งก็ท้อแท้ แต่สิ่งหนึ่งที่ครูผู้สอนปลูกฝังให้กับเด็กๆ ทุกคนคือ “Trust The Process” หรือ “เชื่อในกระบวนการ และรอเป็น”

การแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND 2025 ครั้งนี้เป็นการชิงชัยที่ยิ่งใหญ่ มีผู้เข้าแข่งขันจากทั่วประเทศกว่า 80 คน ในประเภทเดียวกับน้องโฟกัส ทุกคนต่างมีความสามารถและมีความฝันเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้น้องโฟกัสโดดเด่นคือ “พลังแห่งความมั่นใจและสปิริตนักสู้” ที่ปรากฏชัดเจนในทุกการเคลื่อนไหวบนเวที เมื่อผลการแข่งขันประกาศออกมา น้องโฟกัสได้ยืนอยู่บนแท่นแชมป์ พิสูจน์ให้เห็นว่า ความพยายามและความอดทนที่สะสมมาตลอดหลายปี สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้

“นี่ไม่ใช่แค่เหรียญรางวัล แต่คือการพิสูจน์ว่า เด็กจากจังหวัดเล็กๆ อย่างเชียงราย สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักเต้นจากเมืองใหญ่ได้” คุณครูสายเมฆและคุณครูยุ้ย โค้ชประจำทีม MYDA กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ

ไม่ใช่แค่หนึ่งรางวัล ผลงานที่น่าทึ่งของทีม MYDA

ความสำเร็จของน้องโฟกัสเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมความสำเร็จที่ทีม MY DANCE ACADEMY สร้างขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้ นอกจากตำแหน่งแชมป์ประเภท SOLO U10 แล้ว น้องโฟกัสยังได้รับรางวัลอันดับ 2 ในประเภท DUO U10 (การเต้นคู่) โดยได้จับคู่กับ น้องใบทาย (เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี ชั้น ป.3/9 จากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย) แสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านและการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม

ผลการแข่งขันโดยรวมของทีม MYDA ในครั้งนี้สามารถสรุปได้ดังนี้

รางวัลหลัก

  • แชมป์ประเทศไทย ประเภท SOLO U10: น้องโฟกัส (ศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์)
  • อันดับ 2 ประเภท DUO U10: น้องโฟกัส & น้องใบทาย
  • อันดับ 3 ประเภท TEAM PERFORMANCE U18: ทีม MYDA VARSITY (สมาชิก: นาน่า, ขวัญ, ทรีทรี, พิมพ์, มีน, โมโม่, หยก)
  • อันดับ 4 ประเภท SOLO U18: น้องพิมพ์ (นางสาวณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี จากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม)
  • อันดับ 5 ประเภท DUO O18: ครูพี่เปีย (นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 22 ปี) และครูพี่ส้มโอ (นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี)

การผ่านเข้ารอบ TOP 8 THAILAND:

  • ประเภท Locking Battle: นาน่า (เด็กหญิงณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี) และทรีทรี (เด็กชายวัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 13 ปี)
  • ประเภท Hip Hop Battle: หยก (เด็กหญิงหทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี)
  • ประเภท Solo U10: ใบทาย
  • ประเภท Solo U18: โมโม่ (นางสาวโมนะ วังวิญญู อายุ 17 ปี)

การผ่านเข้ารอบ TOP 16 THAILAND นอกจากนี้ยังมีนักเต้นอีกหลายคนที่ผ่านเข้ารอบ TOP 16 ในหลายประเภท ทั้ง Solo และ Battle รวมถึงบุ้งกี๋ (เด็กหญิงปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 14 ปี), ขวัญ (เด็กหญิงนีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี), เบล, พิมพ์, ครูพี่ส้มโอ และครูพี่เปีย

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือการพิสูจน์ว่า ระบบการฝึกสอนของ MY DANCE ACADEMY มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล สามารถสร้างนักเต้นที่มีทั้งทักษะและจิตใจที่แข็งแกร่งได้จริง

ความกล้า” ที่ล้ำค่ากว่าเหรียญทอง การลงสนาม Battle ครั้งแรก

หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของน้องโฟกัสในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ใช่การคว้าแชมป์ แต่คือการตัดสินใจ “กล้า” ที่จะลงสนาม Battle (การต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1) เป็นครั้งแรกในชีวิต ในประเภท Locking Battle รุ่น U14 (อายุไม่เกิน 14 ปี) ซึ่งคู่แข่งล้วนเป็นนักเต้นที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่า

น้องโฟกัสสามารถผ่านเข้ารอบ TOP 16 THAILAND ได้สำเร็จ แม้จะหยุดเส้นทางไว้ที่รอบนี้และไม่ผ่านเข้าสู่ TOP 8 แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือ “บทเรียนแห่งความกล้าหาญ” ที่ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน นอกจาก Locking Battle แล้ว น้องโฟกัสยังผ่านเข้ารอบ TOP 16 ใน Hip Hop Battle U14 และ All Style Battle U14 อีกด้วย รวมเป็นการลงสนาม Battle ทั้งหมด 3 สไตล์ในครั้งแรกของชีวิต

“นี่คือครั้งแรกของน้องโฟกัสในสนาม Locking Battle กับพี่ๆ ที่อายุมากกว่าและเต้นเก่งกันมาก แต่โฟกัสเลือก ‘กล้าที่จะลองในสนาม Battle’ และ ‘กล้าที่จะยืนบนเวที’ พร้อมโชว์พลังและความมั่นใจของตัวเองอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะยังไม่ผ่านเข้ารอบ TOP 8 แต่ความกล้า ความใจสู้ และพลังของหนู คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนชื่นชมและภูมิใจที่สุด เก่งมากนะโฟกัส ครูและทุกคนภูมิใจในตัวหนูมากจริงๆ” ครูสายเมฆและครูยุ้ย กล่าวถึงน้องโฟกัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

การลงสนาม Battle ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการสอนของ MYDA ที่ไม่ได้เน้นแค่การชนะ แต่เน้นการสร้าง “ความกล้าที่จะเผชิญหน้า” และ “ความเชื่อมั่นในตัวเอง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะนำพาเด็กๆ ไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

“Trust The Process” ปรัชญาที่เปลี่ยนความฝันเป็นจริง

เบื้องหลังความสำเร็จทุกชิ้นของทีม MYDA คือปรัชญา “Trust The Process” หรือ “เชื่อในกระบวนการ และรอเป็น” ที่ทีมครูได้ปลูกฝังให้กับเด็กๆ ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาก้าวเข้ามาในห้องซ้อม

“ช่วงเวลาที่เด็กๆ ต่อสู้กับความพยายาม ความยากและความท้าทาย ที่เด็กๆ อาจจะรู้สึกว่า อดทนฝึกฝนเป็นปีๆ แบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำได้กับเค้าสักที เมื่อไหร่จะขึ้นไปยืนบนนั้นกับเค้าสักที…ครูเห็น การถอดใจ ความท้อ ความไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ของเด็กๆ หลายคนมาหลายครั้ง ตลอดระยะทางที่เดินมาด้วยกัน” ครูทั้งสองเล่าถึงความรู้สึกในฐานะผู้ที่เฝ้าดูและผลักดันเด็กๆ มาตลอด

“และทุกครั้งก็ได้เห็น spirit ของการสู้ต่อของทุกคนที่ลุกกลับขึ้นมา สู้ และเชื่อ ว่าตัวเอง สามารถจะผ่านช่วงเวลาฝึกฝนที่ต้องอดทนในความยาก ที่คนมากมาย ‘ไม่ทนแล้ว’ เพื่อให้มันออกดอกออกผลได้”

คำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของทีมครูว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่คือผลลัพธ์ของการสะสมความพยายาม การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความอดทนที่จะรอคอยจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึง

“วันนี้ เวทีนี้ ผลลัพธ์และค่าสถิติที่ครูพูดมาตลอดตั้งแต่วันแรก มันค่อยๆ แสดงผลลัพธ์ของมันเองให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า คุณค่าของความพยายาม ความอดทน ความไม่ยอมแพ้ และ การ ‘รอเป็น’ มันเป็นยังไง…สถิติ มันทำงานแล้ว คำว่า trust the process มันรวมถึง trust in time ด้วยจริงๆ” ครูทั้งสองกล่าวทิ้งท้าย

เส้นทางต่อไป ก้าวสู่เวทีระดับเอเชียและโลก

ความสำเร็จในการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND 2025 ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่กว่า นักเต้นและทีมครูของ MY DANCE ACADEMY ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการชิงแชมป์ระดับทวีปเอเชีย (UDO ASIA) และการชิงแชมป์ระดับโลก (UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026) ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ

การแข่งขัน UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ถือเป็นหนึ่งในเวทีที่ใหญ่ที่สุดและทรงเกียรติที่สุดในโลกของสตรีทแดนซ์ โดยเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยองค์กร United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่มีมาตรฐานการตัดสินที่เข้มงวดและเป็นที่ยอมรับในวงการเต้นทั่วโลก การที่นักเต้นจากเชียงรายจะได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

“Next station ถึงเวลา พาเชียงราย Gen ใหม่ไปบุกเวทีโลก ไปมั้ยไม่รู้…แต่ไปเถอะเชื่อครู ไม่มีหน้าต่างของโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตโลกกว้าง ในเส้นทางนักเต้น ในมิติของความพร้อม ในมิติของทักษะที่สะสมพอให้ไปแล้วตักตวงประสบการณ์ได้เต็มที่อย่างถ่องแท้ ในมิติของช่วงอายุ ‘วัยเด็กห้วงสุดท้าย’ ของหลายๆ คน ก่อนที่จะต้องลงสนามไปเจอกับผู้ใหญ่ หรือ ‘คนรุ่นครู’ ปีนี้แหละ หน้าต่างที่ดีที่สุด ของ myda crew generation นี้” ทีมครูกล่าวถึงแผนการในอนาคตด้วยความมุ่งมั่น

การตัดสินใจส่งเด็กๆ ไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษในปี 2026 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การชิงชัย แต่คือการสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสบรรยากาศของการแข่งขันระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเต้นจากนานาประเทศ และที่สำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นว่า “ความฝันไม่มีขีดจำกัด” ไม่ว่าจะมาจากจังหวัดใดหรือมีพื้นฐานอย่างไร

ตึกขาวเชียงราย สัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจ

MY DANCE ACADEMY หรือ “ตึกขาวเชียงราย” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจสำหรับเยาวชนในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ การที่สถาบันการเต้นแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย สามารถผลิตนักเต้นที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศและระดับสากล แสดงให้เห็นว่า โอกาสในการพัฒนาทักษะและไล่ตามความฝันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น ความพยายาม และการมีระบบการสนับสนุนที่ดี

ทีมครูของ MYDA ประกอบด้วยครูสายเมฆ ครูยุ้ย ครูหมีพู ครูเปีย ครูส้มโอ และครูกร้อ ซึ่งทุกคนได้อุทิศเวลาและความรู้ในการฝึกสอนและดูแลนักเต้นเยาวชน โดยมีโปรแกรมพิเศษที่ชื่อว่า “MYDA DANCE INTENSIVE PROGRAM” ซึ่งเน้นการฝึกฝนอย่างเข้มข้น มีระบบการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน และที่สำคัญคือ มีการปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความมีวินัย การเคารพผู้อื่น และการเป็นนักกีฬาที่ดี

“พวกเราภูมิใจในความตั้งใจของเด็กๆ มากจริงๆ ทุกสเต็ปบนเวทีคือพลังจาก ‘ตึกขาวเชียงราย'” ครูทั้งหลายกล่าวพร้อมกัน

ความสำเร็จที่สะท้อนถึงการพัฒนาวงการสตรีทแดนซ์ไทย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนบุคคลหรือของสถาบันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของวงการสตรีทแดนซ์ไทยในภาพรวม โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคที่เริ่มมีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันกับนักเต้นจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อย่างเท่าเทียม

การที่น้องโฟกัส นักเต้นวัย 8 ขวบ สามารถคว้าแชมป์ประเทศไทยจากคู่แข่งกว่า 80 คน แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของหลักสูตรการฝึกสอนที่ได้มาตรฐานและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลของ UDO (United Dance Organisation) ซึ่งเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้านการจัดการแข่งขันสตรีทแดนซ์ และมีการกำหนดมาตรฐานการตัดสินที่เข้มงวด โปร่งใส และเป็นธรรม

การแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 มีความพิเศษตรงที่เป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้นักเต้นเยาวชนที่เป็นสมาชิก UDO Academy และมีประวัติการสอบ UDO Examination อย่างน้อย 1 ครั้งระหว่างปี 2023-2025 เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 17 ปีลงมา กฎเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดและความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานของนักเต้นเยาวชนไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การที่ทีม MYDA สามารถส่งนักเต้นผ่านเข้ารอบ TOP 8 และ TOP 16 THAILAND ได้หลายคนในหลายประเภท ทั้ง Solo, Duo, Team Performance และ Battle หลายสไตล์ ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านของนักเต้นและความหลากหลายของหลักสูตรการสอน ไม่ว่าจะเป็น Locking, Hip Hop, All Style หรือการเต้นแบบ Performance ที่เน้นการออกแบบท่าเต้นและการแสดงออกทางศิลปะ

ความหมายของการได้ไปแข่งที่ UDO WORLD 2026

การได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 ที่ประเทศอังกฤษ ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักเต้นสตรีททั่วโลก การแข่งขัน UDO World Championships เป็นเวทีที่รวบรวมนักเต้นที่ดีที่สุดจากทั่วโลกมาแข่งขันกัน โดยในปี 2024 การแข่งขันได้มีรางวัลเงินสดสำหรับผู้ชนะในหมวด Ultimate Advanced Team สูงถึง 10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 440,000 บาท) แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของเวทีนี้

การแข่งขัน UDO WORLD 2026 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านการจัดการแข่งขันเต้นระดับโลก การที่นักเต้นเยาวชนจากเชียงรายจะได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะของตนเองไปสู่อีกระดับหนึ่ง

นอกจากการแข่งขัน UDO WORLD แล้ว นักเต้นจาก MYDA ยังได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC CHAMPIONSHIPS อีกด้วย ซึ่งเป็นเวทีระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์และความพร้อมให้กับนักเต้นก่อนที่จะไปแข่งขันในระดับโลก

รายชื่อและสมุดพกของความพยายาม คนทำงานเบื้องหน้า–เบื้องหลัง

  1. เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ (โฟกัส) ป.3/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี – CHAMPION SOLO U10
  2. เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี (ใบทาย) ป.3/9 โรงเรียนอนุบาลเชียงราย – 2nd DUO U10
  3. เด็กหญิงหทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย (หยก) อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2 – ผ่านรอบลึก
  4. น.ส.อารยา สัทธานนท์ (มีน) 17 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.5 – ทีม/เดี่ยว
  5. น.ส.โมนะ วังวิญญู (โมโม่) 17 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.5 – TOP 8/16 หลายหมวด
  6. น.ส.ณิชารี ปงรังษี (พิมพ์) 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.5 – 4th SOLO U18
  7. เด็กหญิงนีรชา ณ ลำพูน (ขวัญ) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.3 – ผ่านรอบลึก
  8. เด็กหญิงณิชนันท์ กันยานนท์ (นาน่า) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.3 – ผ่านรอบลึก
  9. เด็กชายวัชรวีร์ เกาะทอง (ทรีทรี) 13 ปี โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ม.1 – ผ่านรอบลึก
  10. เด็กหญิงกัญพัชย์ วงค์ฮู้ (ทอฝัน) 14 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2 – ผ่านรอบคัด
  11. ด.ญ.ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ (บุ้งกี๋) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม – ผ่านรอบลึก
  12. น.ส.วชิรญาณ์ นามวงค์ (ครูพี่เปีย) อายุ 22 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – 5th DUO O18
  13. นายธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – ทีมงาน/ผู้ร่วมกิจกรรม
  14. น.ส.ศุภกานต์ ปัญญาพล (ครูพี่ส้ม) อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY – 5th DUO O18
  • คณะครู–ผู้ฝึกสอน: ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูหมีพู, ครูเปีย, ครูส้ม, ครูกร้อ

เสียงจากครูผู้สอน มุมมองที่ลึกซึ้งกว่าความชนะแพ้

ในการให้สัมภาษณ์หลังการแข่งขัน ทีมครูของ MY DANCE ACADEMY ได้แสดงความรู้สึกและมุมมองที่ลึกซึ้งต่อการเติบโตของลูกศิษย์ ซึ่งไม่ได้เน้นแค่เรื่องของเหรียญรางวัล แต่เน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาตัวตนของเด็กๆ

“เก่งมากๆ ตัวอ่อน MYDA ทั้งหลาย! มาไกลกันมากๆ! ก็เพราะมันยากนี่แหละ มันถึงพิเศษขนาดนี้ ไม่งั้นใครๆ ก็คงจะเดินเล่นได้รางวัลกันแบบไม่มีคุณค่าใด” คำพูดของครูทั้งสองสะท้อนถึงความเข้าใจในเส้นทางของการเป็นนักเต้นมืออาชีพ ที่ต้องผ่านความยากลำบากและการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง

การที่ครูใช้คำว่า “ตัวอ่อน” ในการเรียกลูกศิษย์ แสดงให้เห็นถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อเด็กๆ พร้อมกับการเห็นพวกเขาเป็นเหมือนลูกหลานที่ต้องดูแลเอาใจใส่และผลักดันให้เติบโตไปในทิศทางที่ดี

ผลกระทบต่อชุมชนและสังคม แรงบันดาลใจที่แผ่ขยาย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะกับนักเต้นในทีมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อชุมชนและสังคมในหลายระดับ

ในระดับโรงเรียน นักเรียนที่เป็นนักเต้นของ MYDA ได้กลายเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเพื่อนๆ ในโรงเรียน โดยเฉพาะน้องโฟกัสจากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี น้องใบทายจากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย และนักเต้นคนอื่นๆ ที่มาจากโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย อาทิ โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ซึ่งการที่นักเรียนเหล่านี้สามารถสร้างผลงานได้ในระดับประเทศและจะได้ไปแข่งขันในระดับโลก จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนคนอื่นๆ ได้เห็นว่า การตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝน และมีวินัย สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้จริง

ในระดับจังหวัด ความสำเร็จครั้งนี้ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในด้านกีฬาและศิลปะการแสดง แสดงให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายไม่ได้มีความโดดเด่นแค่ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังสามารถผลิตนักกีฬาและศิลปินรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับสากลอีกด้วย

ในระดับประเทศ ความสำเร็จของทีมจากภูมิภาคช่วยสร้างความหลากหลายและความเท่าเทียมในวงการสตรีทแดนซ์ไทย แสดงให้เห็นว่า ความสามารถไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีการสนับสนุนและการพัฒนาที่ดี

บทบาทของผู้ปกครอง กำลังใจที่สำคัญเบื้องหลัง

เบื้องหลังความสำเร็จของนักเต้นเยาวชนทุกคน ผู้ปกครองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ การที่ผู้ปกครองให้การสนับสนุน ทั้งด้านการเงิน เวลา และกำลังใจแก่ลูกหลาน เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เด็กๆ สามารถฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องและมีสมาธิในการพัฒนาทักษะ

การเดินทางไปแข่งขันที่กรุงเทพมหานคร การพักค้างคืนหลายวัน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการแข่งขัน ล้วนต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ การให้กำลังใจและการเป็นแรงผลักดันทางใจของผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญต่อความมั่นใจและพลังใจของเด็กๆ บนเวทีการแข่งขัน

ความท้าทายข้างหน้า การเตรียมตัวสู่เวทีโลก

แม้จะคว้าแชมป์ประเทศไทยมาได้แล้ว แต่การเตรียมตัวไปแข่งขันในระดับโลกยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งในด้านการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาทักษะให้สูงขึ้น การเตรียมความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ การจัดหาทุนทรัพย์สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ และการปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของการแข่งขันระดับสากลที่มีความเข้มข้นสูงกว่า

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ รวมถึงค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจเป็นภาระที่หนักสำหรับครอบครัวและสถาบัน ดังนั้น การระดมทุนและการหาแหล่งสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นของทีมครูและนักเต้น รวมถึงการสนับสนุนจากผู้ปกครองและชุมชน ความท้าทายเหล่านี้น่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้ และจะกลายเป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับเด็กๆ ในการเติบโตเป็นนักเต้นมืออาชีพในอนาคต

ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาต่อไป

จากความสำเร็จครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาที่น่าสนใจหลายประการ

  1. การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้นักกีฬาและศิลปินรุ่นเยาว์ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพและแข่งขันในเวทีระดับสากล
  2. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันสอนเต้นในภูมิภาคต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และร่วมกันพัฒนามาตรฐานการสอน จะช่วยยกระดับคุณภาพของนักเต้นไทยโดยรวม
  3. การพัฒนาหลักสูตรและมาตรฐาน การพัฒนาหลักสูตรการสอนที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน UDO ที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก จะช่วยให้นักเต้นไทยมีความพร้อมในการแข่งขันระดับสากลมากขึ้น
  4. การสร้างระบบการสนับสนุนทางการเงิน การจัดตั้งกองทุนหรือทุนการศึกษาสำหรับนักเต้นที่มีความสามารถแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จะช่วยเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีพรสวรรค์ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
  5. การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจ การประชาสัมพันธ์ให้สังคมเห็นคุณค่าของศิลปะการเต้น โดยเฉพาะสตรีทแดนซ์ ว่าไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิง แต่เป็นกีฬาและศิลปะที่ต้องใช้ทักษะ ความมีวินัย และการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง

บทเรียนแห่งความพยายามและความหวัง

เรื่องราวของ “น้องโฟกัส” วัย 8 ขวบ และทีม MY DANCE ACADEMY จากเชียงราย เป็นมากกว่าแค่ข่าวความสำเร็จทางกีฬา แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึง “คุณค่าของความพยายาม” “พลังของความเชื่อมั่น” และ “ความหมายของการรอคอย”

การเดินทางจากห้องซ้อมเล็กๆ ในเชียงราย มาสู่แท่นแชมป์ประเทศไทย และจะก้าวต่อไปสู่เวทีโลกที่ประเทศอังกฤษ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นจากจุดใด หากมีความมุ่งมั่น มีครูที่ดี มีระบบการสนับสนุนที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือ มีความเชื่อในตัวเอง ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ปรัชญา “Trust The Process” ที่ทีม MYDA ใช้ในการฝึกสอน ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดหรือคำขวัญ แต่เป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่สอนให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะอดทน มีวินัย เคารพกระบวนการ และเชื่อมั่นว่า การฝึกฝนและความพยายามที่สั่งสมมาทุกวันนี้ จะค่อยๆ แสดงผลออกมาในเวลาที่เหมาะสม

สำหรับน้องโฟกัสและเพื่อนๆ นักเต้นของ MYDA การแข่งขันที่ประเทศอังกฤษในปี 2026 จะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญในชีวิต ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ประสบการณ์ที่ได้รับจะเป็นทรัพย์สินอันมีค่าที่จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต และจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นนักเต้นมืออาชีพในอนาคต

ขอแสดงความยินดีกับ เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ (น้องโฟกัส) นักเต้นและทีมครูทุกคนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้กับการเดินทางสู่เวทีระดับเอเชียและระดับโลกในปี 2026

ข้อมูลการแข่งขันและผลการแข่งขัน

  • ข้อมูลจากการแถลงข่าวและรายงานผลการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 จัดโดย UDO Academy Thailand
  • สถานที่จัดการแข่งขัน: THE STREET HALL, The Street Ratchada, กรุงเทพมหานคร
  • ระยะเวลาการแข่งขัน: 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568

ข้อมูลเกี่ยวกับ UDO (United Dance Organisation)

  • UDO เป็นองค์กรระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในด้านการจัดการแข่งขันสตรีทแดนซ์ มีมาตรฐานการตัดสินและระบบการแข่งขันที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  • UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ (Great Britain)
  • มาตรฐานการแข่งขันและกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นไปตามระเบียบ UDO International Rules 2025/26

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • MY DANCE ACADEMY (MYDA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

1,406 กม. ข้ามจังหวัด เจ้าของฟาร์มสเตย์ระนอง พาทีม 50 คนเที่ยวเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง

จากระนองสู่เชียงราย เมื่อเจ้าของฟาร์มสเตย์พาทีม 50 คนเดินทาง 1,406 กม. สร้างปรากฏการณ์ท่องเที่ยวเมืองรอง

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 – ในยุคที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น การตัดสินใจของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักแห่งหนึ่งจากจังหวัดระนอง ที่เลือกนำพนักงานทั้ง 50 คนเดินทาง ระยะทางเหมือนข้ามประเทศ จากจังหวัดทางใต้สู่ล้านนาภาคเหนือ กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับจังหวัดปลายทาง แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวของเมืองรองอย่างเชียงรายไปยังกลุ่มผู้ท่องเที่ยว ที่มีฐานผู้ติดตามโซเชียลกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลกในครั้งนี้

จากป่ารกร้างสู่ฟาร์มสเตย์ดัง พลังของการสื่อสารดิจิทัล

วิโรจน์ ฉิมมี หรือที่คนรู้จักในนาม “เบส” เจ้าของ “บ้านไร่ ไออรุณ” ฟาร์มสเตย์ในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เล่าถึงที่มาของการเดินทางครั้งนี้ว่า เริ่มจากความตั้งใจที่จะให้รางวัลกับพนักงานทุกคน หลังจากที่ทุกคนร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจที่เคยเป็นเพียงป่ารกร้าง ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย

“ผมหยอดกระปุกสะสมเงินมาได้ 1 ล้านบาท เพื่อจะพาพนักงานไปเติมพลัง ไปมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง” วิโรจน์โพสต์ในช่องทาง บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun  “อยากพาทุกคนไปไกลสุดในประเทศนี้ เท่าที่จะทำได้ ปีนี้เราจะไปอุดหนุนชาวจังหวัดเชียงรายกัน”

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 50 คน โดยต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 และกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งหมายถึงการสูญเสียรายได้ช่วงปลายเดือนที่เป็นช่วงท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

1,406 กิโลเมตร ข้ามน้ำข้ามทะเล จากใต้ริมทะเลสู่เหนือสุดทะเลหมอก

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากสนามบินระนอง ที่อยู่ห่างจากบ้านไร่เพียง 28 กิโลเมตร คณะเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย โดยใช้งบประมาณค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด 4 แสนบาท เดินทางไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เชียงราย ระยะทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร

“ครั้งแรกในชีวิตที่ทุกคนได้เดินทางมาที่จังหวัดนี้” วิโรจน์เล่า “หลายคนในทีมเป็นชาวบ้านที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก ได้เห็นท้องฟ้า ท้องทะเล จากภาคใต้มาถึงเมืองเหนือ”

สิ่งที่น่าสนใจคือ สนามบินระนองในปัจจุบันมีเที่ยวบินให้บริการถึง 2 ไฟลต์ต่อวัน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่ได้มากขึ้น สะท้อนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน

เส้นทางท่องเที่ยว สัมผัสเชียงรายในทุกมิติ

โปรแกรมการเดินทาง 4 วัน 3 คืน ที่วิโรจน์วางแผนไว้ ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย เริ่มจากมื้อแรกที่ร้านข้าวซอยวิจิตตรา ร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ พร้อมเมนูข้าวซอยและน้ำเงี้ยวที่ทุกคนประทับใจ

คืนแรกพักกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยียบนยอดดอย ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย พร้อมหมูกระทะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนที่จะออกเดินทางสำรวจจุดท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ ผาฮี้-ผาหมี, ไร่สิงห์ปาร์ค, อาข่า ฟาร์มวิว, สวนดอกไฮเดรนเยีย ดอยช้าง, ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง แต่ละจุดล้วนมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความงามของธรรมชาติ ไร่กาแฟบนภูเขาสูง ฟาร์มแกะที่มีนักท่องเที่ยวต่อคิวซื้อบัตรเข้าชม ไปจนถึงดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์

คืนที่สองเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย พักที่โรงแรม The Riverie by Katathani ริมแม่น้ำกก ซึ่งทีมงานของโรงแรมได้ต้อนรับด้วยพวงมาลัยและการ์ดที่เขียนวางไว้บนเตียงทุกห้อง แม้จะไม่ได้แจ้งความเป็นพิเศษล่วงหน้า แต่การบริการที่เป็นเลิศทำให้ทุกคนประทับใจ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น มากกว่าตัวเลข

การเดินทางของคณะ 50 คนจากระนองสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเชียงรายในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเช่ารถ ไปจนถึงการซื้อของฝากจากชุมชนต่างๆ

หากประมาณการอย่างหยาบจากงบประมาณ 1 ล้านบาท หักค่าตั๋วเครื่องบิน 4 แสนบาท คงเหลืองบประมาณ 6 แสนบาท ที่ใช้จ่ายในพื้นที่เชียงราย เฉลี่ยคนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าที่พัก 2 คืน ค่าอาหาร 4 วัน ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมูลค่าทางการตลาดที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของธุรกิจที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย โพสต์ภาพและเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวเชียงราย กลายเป็นการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด

“การลงทุนของจังหวัดเชียงราย แค่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยิ้มแย้ม ก็เป็นการสร้างกำไรในระยะยาว” วิโรจน์กล่าว “แม้จะมีบางคนมองว่า ทางร้านก็จะได้การลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า แต่เราก็ต้องดูว่าทำไมต้องเลือกเดินทางมาไกลจากระนองถึงเชียงรายมากกว่า 1,406 กม.”

เชื่อมโยงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “เที่ยวดี มีคืน”

การเดินทางของคณะบ้านไร่ ไออรุณ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “เที่ยวดี มีคืน” ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ประชาชนผู้เสียภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้รับสิทธิประโยชน์จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ

สำหรับมาตรการสำหรับบุคคลธรรมดา ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง (1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย) และ 20,000 บาทสำหรับเมืองหลัก (1 เท่าของค่าใช้จ่าย) ครอบคลุมทั้งค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาตรการสำหรับบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมหรือสัมมนาให้กับพนักงานได้ถึง 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าสำหรับเมืองหลัก ซึ่งตรงกับกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่นำพนักงานเดินทางไปเพื่อเติมพลังและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

การเรียนรู้ที่คุ้มค่ากว่าเงิน

วิโรจน์เปิดเผยว่า ธุรกิจของเขาเป็นเพียงกิจการเล็กๆ ที่ผลประกอบการไม่ได้มีกำไรเหลือเงินเยอะ แต่เขาเลือกที่จะลงทุนกับคน ด้วยความเชื่อว่าการพาพนักงานออกไปสัมผัสประสบการณ์ภายนอก จะช่วยพัฒนาทักษะและทัศนคติในการทำงาน โดยเฉพาะธุรกิจบริการอย่างฟาร์มสเตย์

“เราเลือกใช้วิธีนี้ในการพัฒนาคนมาหลายปีแล้ว ปีละ 1 ครั้ง” เขากล่าว “อยากพาทุกคนออกเดินทางมาพัก มาชาร์จพลัง มาเป็นผู้ใช้บริการ มาเห็นว่าที่อื่นเค้าทำอะไรกัน ในสถานที่ที่เราไม่เคยไป”

ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับนั้นครอบคลุมทุกมิติของการท่องเที่ยว ตั้งแต่การได้นั่งเครื่องบิน ได้เห็นการบริการของแอร์โฮสเตส ได้นั่งรถขึ้นดอยที่มีคนขับคอยเล่าประวัติสถานที่ ได้เห็นโฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ได้สัมผัสการบริการที่ยอดเยี่ยมจากที่พักต่างๆ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่จะนำมาต่อยอดในการพัฒนา “บ้านไร่ ไออรุณ” ของตัวเองให้ดีขึ้น

“ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ จะเป็นพลังบวกให้เราทุกคนกลับไปพัฒนาบ้านไร่ เพื่อกลับไปเป็นผู้ให้บริการที่ดีขึ้น” วิโรจน์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ภาคเหนือยุคใหม่ พร้อมรับนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “Season of North 2026 : สุขทันที…ฤดูนี้ฤดูเหนือ” พร้อมเผยกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นการเติบโตของการท่องเที่ยว

นายขจรเดช อภิชาติตรากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า แม้ตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 จะทรงตัว แต่คาดการณ์ว่า 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้การท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลายและมีกิจกรรมปลายปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2569 ททท. ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 178 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า

กลยุทธ์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรอง

ททท. ได้วางกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภาคเหนือ ประการแรกคือการใช้พลังของรีวิวและโซเชียลมีเดีย การตลาดแบบ “ตามรอยรีวิว” และการบอกต่อจากอินฟลูเอนเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่มีผู้ติดตาม 1 ล้านคนนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังทางการตลาดแบบนี้

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน ผู้ประกอบการและสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่เริ่มมีสายการบินตรงจากต่างประเทศเข้าสู่พื้นที่ ทำให้การเข้าถึงง่ายขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ประการสุดท้ายคือการกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ซึ่งพบว่ามีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองมากขึ้น เช่น เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ททท. ยังเน้นการขยายตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และญี่ปุ่น เพื่อชดเชยความผันผวนของตลาดหลักและสร้างความหลากหลายของนักท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เทศกาลและกิจกรรมตลอดทั้งปี

แคมเปญ Season of North 2026 มุ่งเน้นให้ภาคเหนือเป็นจุดหมายที่ “เที่ยวได้ทุกฤดู” ผ่าน 3 มุมความสุขหลัก คือ ฤดูแห่งการให้รางวัลแก่ชีวิต (พักผ่อน/สุขภาพ) ฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง (ความสุข/ฮีลใจ) และฤดูแห่งการแบ่งปัน (บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเหนือ)

ในช่วงฤดูกาลนี้ ภาคเหนือมีกิจกรรมหลากหลายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลทุเรียนอุตรดิตถ์ งานสีสันดอยตุงและเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานแพร่คราฟต์ และเทศกาลใหญ่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน อาทิ ยี่เป็งเชียงใหม่ โคมแสนดวงที่เมืองลำพูน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟสุโขทัย ลอยกระทงสายตาก และนมัสการพระธาตุดอยกองมู แม่ฮ่องสอน

บทเรียนและแรงบันดาลใจ

กรณีของบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นหลายมิติของการท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านประสบการณ์จริง การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบกระจายรายได้สู่ชุมชน

วิโรจน์เล่าถึงที่มาของความฝันในการสร้างบ้านไร่ที่บ้านเกิดว่า “ผมคุยกับพ่อตลอดถึงสิ่งที่อยากทำ แต่กับแม่ผมต้องอ้างไปก่อนว่าจะกลับมาทำงานเป็นสถาปนิกในตัวเมืองระนอง เพราะแม่เป็นแม่ค้าในตลาด ถ้าเพื่อนที่เป็นแม่ค้าด้วยกันรู้เข้า ทุกคนจะแห่ถามแม่ว่า ลูกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ แล้วกลับมาทำอะไรที่บ้าน ผมไม่อยากให้แม่ต้องกังวลกับคำถามเหล่านี้ ก็เลยบอกแม่ไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจกลับมาสร้างบ้าน”

ความตั้งใจนั้นประสบผลสำเร็จ จากป่ารกร้างกลายเป็นฟาร์มสเตย์ที่ผสมผสานที่พัก คาเฟ่ ร้านอาหาร และขายของฝากงานแฮนด์เมด กลางสวนผักและผลไม้ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น. และที่สำคัญคือการสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง มีพนักงาน 50 คนที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ

“ผลลัพธ์ที่ได้มัน คือความสุขทางใจ ไม่ใช่แค่พนักงานนะ นายจ้างอย่างผมใจมันก็ฟูไปด้วย” วิโรจน์กล่าวถึงการพาพนักงานเดินทาง “เดินคนเดียวไปได้ไว แต่เดินได้ไกล ก็ต้องไปด้วยกัน”

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

มาตรการเสริมอื่นๆ ที่หนุนการท่องเที่ยว

นอกจากมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการเสริมอื่นๆ อีก 3 มาตรการ ได้แก่ การเร่งรัดเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านการฝึกอบรม (Front Load) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก และกำหนดให้เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงิน

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ระหว่าง 29 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่พักมีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพที่พัก

และมาตรการลดอัตราภาษีกิจกรรมบันเทิง ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเทค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ จาก 10% เป็น 5% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกลางคืนและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ความท้าทายและโอกาสข้างหน้า

แม้ว่าการท่องเที่ยวภาคเหนือจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ความผันผวนของสภาพอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูแล้ง และการพัฒนาคุณภาพการบริการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โอกาสก็มีมากมาย ทั้งการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนและเอเชียตะวันออกที่กำลังฟื้นตัว แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ที่ดี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

การมีอินฟลูเอนเซอร์และผู้ประกอบการอย่างวิโรจน์ ที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากและเลือกมาท่องเที่ยวเชียงราย ถือเป็นโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นการสื่อสารแบบ organic ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เชียงราย แบบจำลองของการท่องเที่ยวเมืองรองที่ประสบความสำเร็จ

เชียงรายถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรอง จากจังหวัดที่เคยถูกมองว่าเล็กที่สุดในภาคเหนือ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ด้วยจุดเด่นหลายประการ

ประการแรกคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติอันงดงามบนพื้นที่ภูเขาสูง วัดวาอารามที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ ไร่กาแฟและไร่ชาบนดอยสูง ฟาร์มแกะและสวนดอกไม้นานาพันธุ์ และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามบินที่เริ่มมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ถนนและการคมนาคมที่สะดวกขึ้น และที่พักหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โรงแรมระดับหรูจนถึงโฮมสเตย์ชุมชน

ประการที่สามคือคุณภาพการบริการที่ดี ดังที่วิโรจน์ให้ความเห็นว่า “พี่ๆพนักงานที่โรงแรม น่ารักมากดูแลพวกเราเป็นอย่างดี มีพวงมาลัยรอต้อนรับ มีการ์ดเขียนวางไว้บนที่นอนทุกห้อง ทุกคนประทับใจในงานบริการมากครับ” การบริการที่เป็นเลิศนี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจและทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีก

บทส่งท้าย เมื่อการท่องเที่ยวกลายเป็นการลงทุนในคน

เรื่องราวของวิโรจน์และทีมงาน 50 คนจากบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการลงทุนในการพัฒนาคน การเรียนรู้ และการสร้างแรงบันดาลใจ

การเดินทาง 1,406 กิโลเมตร ข้ามจากจังหวัดเล็กที่สุดในภาคใต้มาสู่เมืองรองของภาคเหนือ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขระยะทาง แต่เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการท่องเที่ยวระหว่างเมืองรองด้วยกัน การสร้างความเข้าใจและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ต่างๆ และที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังผ่านโซเชียลมีเดีย

จากผู้ติดตาม 1 ล้านคน ที่ได้เห็นภาพความสวยงามของเชียงราย ความอบอุ่นของการต้อนรับ และรอยยิ้มของทีมงานที่มีความสุขกับการเดินทาง กลายเป็นแรงจูงใจให้คนอื่นๆ อยากมาสัมผัสประสบการณ์เดียวกัน นี่คือพลังของการท่องเที่ยวแบบ storytelling ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบเดิมๆ

ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่าง “เที่ยวดี มีคืน” ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 1.5 เท่าสำหรับเมืองรอง และแคมเปญ “Season of North 2026” ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ย่อมเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้เกิดกรณีศึกษาแบบนี้มากขึ้นในอนาคต

สำหรับวิโรจน์และทีมงาน พวกเขาได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 พร้อมจัดดอกไม้และตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยือน บ้านไร่ ไออรุณ ในจังหวัดระนอง ด้วยการบริการที่ดียิ่งขึ้น จากประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้

“โคตรภูมิใจ” คำพูดสั้นๆ ที่วิโรจน์ใช้สรุปทริปนี้ สะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการรายเล็กที่กล้าตัดสินใจลงทุนในคน และได้เห็นรอยยิ้มความสุขของพนักงานทุกคนที่ได้ออกไปสัมผัสโลกกว้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืม บนยอดดอยแห่งเชียงราย จังหวัดเมืองรองเหนือสุดของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เปิดไทม์ไลน์ “ผู้ว่าฯ สั้นที่สุด?” 14 วันที่เชียงราย กับบทบาทที่ทิ้งไว้ให้เมืองชายแดนเหนือ

“14 วันในเชียงราย” กับบทบาท–ผลกระทบจากคำสั่งโยกย้ายกลางคันของ “รัฐพล นราดิศร” และโจทย์ใหญ่ที่ทิ้งไว้ให้เมืองชายแดนเหนือ

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — เมื่อเสียงนาฬิกาการเมืองดังขึ้นอีกครั้ง หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 ตุลาคม มีมติแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยระดับสูง 45 ราย ตามข้อเสนอของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หนึ่งในนั้นคือคำสั่งให้ นายรัฐพล นราดิศร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ที่เพิ่งเข้ารับหน้าที่เมื่อ 1 ตุลาคม 2568 และแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่แทน ขณะที่ นายทศพล เผื่อนอุดม พ้นจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย

ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามพร้อม ๆ กันสองสาย สายแรก—“14 วันในเชียงราย” ผู้ว่าฯ รัฐพล ทำอะไรไว้บ้าง? และสายถัดมา—การเปลี่ยนตัวกลางคันส่งผลอย่างไรต่อโจทย์เร่งด่วนของจังหวัดชายแดนเหนือ ที่กำลังเผชิญทั้งปัญหา “สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก” งานบูรณาการด้านน้ำท่วม และโมเมนตัมเศรษฐกิจ–การท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเป็นไฮซีซัน

บทความนี้ชวนผู้อ่านถอดรหัส “ไทม์ไลน์ 14 วัน” ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนล่าสุดที่กำลังจะกลายเป็น “อดีต” อย่างรวดเร็ว พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อจังหวัด และตั้งคำถามว่า ระบบ” ที่ดีพอจะทำให้งานเดินต่อได้แม้ตัวบุคคลเปลี่ยนหน้า—อยู่ตรงไหน

สัปดาห์ที่ 1: สัญลักษณ์–สื่อสาร–ลงพื้นที่น้ำท่วม

1 ต.ค. 2568 — วันแรกของการปฏิบัติหน้าที่ นายรัฐพล นราดิศร เดินตามธรรมเนียมปฏิบัติ ขึ้นไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญสืบชะตาจวนผู้ว่าฯ ต่อด้วยการเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ รัชกาลที่ 4 และลงพื้นที่ตรวจแนวป้องกันน้ำท่วมที่ อำเภอแม่สาย จุดชายแดนที่ทุกฤดูฝนต้องจับตา—การออกสตาร์ตเช่นนี้สะท้อนแนวทาง “จัดวาระงานพิเศษภาคสนาม” ให้เห็นในวันแรก

2 ต.ค. — เข้าพบกราบนมัสการพระมหาเถระในพื้นที่ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นสัญลักษณ์การสร้างความไว้วางใจและพลังทางสังคมวัฒนธรรม สำหรับจังหวัดที่ศาสนาและประเพณีคือฐานทุนทางสังคมสำคัญ

3 ต.ค. — เปิดรายการ ผู้ว่าฯ เชียงราย…พบประชาชน” ถือเป็นสัญญาณว่า ผู้บริหารจังหวัดตั้งใจใช้ “แพลตฟอร์มสื่อสารตรง” เพื่ออัปเดตงาน–รับฟังปัญหา การสื่อสารเชิงรุกในช่วงตั้งไข่ของการทำงาน—ยิ่งสำคัญต่อพื้นที่ที่มีหลายวาระเร่งด่วนคาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน

4 ต.ค. — ลงพื้นที่ร่วมกับ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามงานและผลักดันการพัฒนาแหล่งน้ำ–การเกษตรที่ อำเภอเชียงแสน อำเภอการค้าที่เป็นประตูเศรษฐกิจชายแดนสู่ลุ่มแม่น้ำโขง การเชื่อมต่อ “นโยบายกลาง–ปฏิบัติการพื้นที่” ตั้งแต่วันแรก ๆ คือจุดแข็งที่ควรจับตาหากไม่มีคำสั่งโยกย้ายกลางคัน

5 ต.ค. — แสดงความยินดีกับ โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี ที่ได้รับรางวัล “Hall of Fame” Thailand Tourism Awards 2025 (กินรี) สะท้อนการให้ความสำคัญกับ ภาคบริการ–การท่องเที่ยว ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลทอง และเป็นเครื่องยนต์รายได้หลักของเชียงรายในช่วงปลายปี

ภาพรวมสัปดาห์แรก วางฐาน “สามมิติ” — (1) พิธีการ–ความชอบธรรมทางสังคม (2) ช่องทางสื่อสารตรงกับประชาชน และ (3) ลงพื้นที่เศรษฐกิจ–น้ำ–ชายแดน เพื่อผูกนโยบายกับพื้นที่จริง

สัปดาห์ที่ 2: บูรณาการ “สารปนเปื้อน–จิตอาสา–บอร์ดนโยบายกลาง” ก่อนชัทดาวน์ด้วยคำสั่งโยกย้าย

6 ต.ค. — พบหารือ รักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และคณะสื่อมวลชนเรื่องแนวทางพัฒนาจังหวัด ยืนยัน “สนามบิน–โลจิสติกส์การบิน” เป็นโครงสร้างขับเคลื่อนนักท่องเที่ยว–การลงทุน และเยี่ยมให้กำลังใจ มิสเตอร์เวอร์นอน แฮร์รี่ อันสเวิร์ธ (หนึ่งในฮีโร่ถ้ำหลวง) ที่รักษาตัวที่ โรงพยาบาลแม่จัน แสดงบทบาท “เจ้าภาพเมือง” ที่ไม่ลืมทุนทางมนุษย์และเครือข่ายโลกที่โยงกับเชียงราย

8 ต.ค. — นำชาวพุทธร่วมพิธี ตักบาตรเทโวโรหณะ วันออกพรรษา เชื่อม “มิติอัตลักษณ์” กับ “มิตินโยบาย” ให้ชัดว่าการพัฒนาจังหวัดบนฐานวัฒนธรรมจะเดินคู่กัน

9 ต.ค. — เข้าร่วมประชุมกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตาม–เร่งรัดการแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก นี่คือวาระเร่งด่วนสูงสุดของเมืองในปีนี้ เพราะส่งผลซ้อนทับทั้ง สุขภาพ–ประปาชุมชน–เศรษฐกิจประมง–ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว การที่ผู้ว่าฯ พาโจทย์นี้ขึ้นโต๊ะนโยบายระดับรองนายกฯ ภายในสัปดาห์สอง สื่อถึงการขยับคันโยกให้ “การเมืองส่วนกลาง” ลงน้ำหนักกับปัญหา

10 ต.ค. — นำกิจกรรม จิตอาสาพัฒนา” ทำความสะอาด สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย ถวายเป็นพระราชกุศล ร.9 และเข้าร่วมประชุมทางไกลโครงการ คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งเกี่ยวพันกับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ–ท่องเที่ยวภายในประเทศ—ประเด็นที่เชียงรายกำลังรอรับอานิสงส์

11 ต.ค. — ต้อนรับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ เพื่อนำนโยบายลงพื้นที่และรับรายงานปัญหาจังหวัด โดยเฉพาะ สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำ—การบูรณาการแบบ “เกษตร–น้ำ–สุขภาพ” เริ่มปรากฏในรูปของการประชุมร่วมหลายระดับ

13 ต.ค. — เป็นประธานทำบุญตักบาตรและวางพวงมาลาถวายราชสักการะ “วันนวมินทรมหาราช” (ร.9) วันสำคัญของแผ่นดินที่ทุกจังหวัดจัดงานคู่กันทั้งมิติพิธีการและงานสาธารณะประโยชน์

14 ต.ค. — ให้การต้อนรับคณะ นักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 84 บรรยายสรุปภาพรวมและศักยภาพจังหวัด ก่อนคณะลงพื้นที่ศึกษาดูงาน 3 อำเภอชายแดนสำคัญ—ในวันเดียวกันนั้นเองคือ “วันประกาศมติ ครม.” ให้ผู้ว่าฯ รัฐพลย้ายไปเชียงใหม่

ความหมายของสัปดาห์ที่สอง เห็นภาพการ “ล็อกคีย์วาระ” 3 เรื่องใหญ่—(1) สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก (2) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวปลายปี (3) การจัดการทรัพยากร–สาธารณูปโภค—ผ่านการประชุมกับรองนายกฯ สองกระทรวงหลัก และการทำงานกับสนามบิน เมือง ชุมชน

14 วัน…มากพอจะเห็นทิศทาง แต่สั้นเกินจะเห็นผลลัพธ์

การประเมิน “ผลงาน” ภายใต้เวลาจำกัดเพียง 14 วัน ย่อมไม่แฟร์ หากจะตัดสินด้วย “ผลลัพธ์สุดท้าย” เพราะหลายเรื่องเป็น “ระบบ–ข้ามหน่วยงาน” ต้องใช้หลายเดือนจึงจะเห็นผลเชิงประจักษ์ อย่างไรก็ดี จากไทม์ไลน์ที่ปรากฏ เราเห็น ทิศทางการทำงาน ที่วางคานไว้แล้ว ได้แก่

  1. การยกวาระสารปนเปื้อนแม่น้ำกกขึ้นระดับนโยบาย — ภายใต้สถานการณ์ที่ตรวจพบสารโลหะหนักในน้ำประปาหมู่บ้านบางแห่ง ผัก และปลา (แม้หลายตัวอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แต่มีความเสี่ยงสะสม) การขับเคลื่อนที่โต๊ะรองนายกฯ–กระทรวงทรัพยากรฯ ช่วย “ล็อกอำนาจ” ทางงบประมาณ–วิชาการ–บุคลากรจากส่วนกลางให้ลงสู่พื้นที่ได้เร็วขึ้น
  2. เศรษฐกิจท่องเที่ยวปลายปี — การสื่อสารกับสนามบิน–ภาคการท่องเที่ยว และการต่อกุญแจเชื่อมมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ช่วยรักษา “โมเมนตัมไฮซีซัน” ที่เชียงรายต้องการมากที่สุดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
  3. พื้นที่สาธารณะ–จิตอาสา — บทบาทเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม สร้าง “ทุนทางสังคม” เพื่อแบกงานยาว ๆ เช่น การจัดการขยะ–รักษาพื้นที่สีเขียว–ขับเคลื่อนเมืองน่าอยู่

ผลกระทบจากการเปลี่ยนตัว งานจะสะดุดหรือระบบจะรับได้?

คำถามเชิงโครงสร้าง ที่ต้องตอบไม่ใช่แค่ “ใคร” เป็นผู้ว่าฯ แต่คือ “ระบบจังหวัด” เข้มแข็งพอหรือไม่ที่จะทำให้ 4 ห้องเครื่อง เดินต่อเนื่องแม้ตัวบุคคลเปลี่ยนกลางคัน

  • ห้องเครื่องที่ 1 สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก
    งานนี้ต้องพึ่ง สามมิติแบบสวมซ้อน — (ก) วิทยาศาสตร์–ห้องแล็บ (การตรวจคุณภาพน้ำ/ปลา/ผักแบบเปิดเผยต่อเนื่อง, การคัดกรองสุขภาพกลุ่มเสี่ยง) (ข) ประปาชุมชน–แหล่งน้ำสำรอง (บาดาล/ผิวดินสำรอง, บริหารต้นทุนน้ำ) และ (ค) การทูตข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องกิจกรรมต้นน้ำ หาก “ห้องแล็บ–แผนสำรอง–กลไกเจรจา” ไม่หยุด งานก็ไปต่อแม้เปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ
  • ห้องเครื่องที่ 2 ป้องกันล่วงหน้าน้ำหลาก–ท่วมซ้ำ
    จังหวัดกำลังเดินหน้า Flood Mark–Mobile Mapping System (MMS) เพื่อทำ Flood Map มาตรฐาน ข้อมูลนี้เป็น “ทรัพยากรไม่ขึ้นกับตัวบุคคล” ขอเพียง ศูนย์ข้อมูล–หน่วยประสาน เดินเอกสาร–งบประมาณ–การติดตั้งหมุด–การอ่านแผนที่ให้ชุมชนเข้าใจต่อเนื่อง
  • ห้องเครื่องที่ 3 เศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว
    ฤดูกาลท่องเที่ยว—โดยเฉพาะงานเทศกาลปลายปี–ปีใหม่—ต้องการ “ความชัดเจน–ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น” พร้อมกัน การสื่อสารเชิงรุกเรื่องคุณภาพน้ำ–อาหาร–สุขอนามัย จะเป็นคีย์เวิร์ดการตลาดของเชียงรายในช่วงนี้มากกว่าภาพสวยเพียงอย่างเดียว
  • ห้องเครื่องที่ 4 พื้นที่สาธารณะ–การมีส่วนร่วม
    โครงการจิตอาสา–พัฒนาพื้นที่ริมน้ำ–สวนสาธารณะ ต้องถูกร้อยเข้ากับ “นโยบายสุขภาวะเมือง” และ “เศรษฐกิจฐานราก” ให้มากกว่าเป็นงานปลุกใจ ความต่อเนื่องของกิจกรรมคือปัจจัยชี้วัดว่าระบบไหลลื่นจริงหรืออิงเฉพาะผู้นำคนใดคนหนึ่ง

สถิติสั้นที่สุด?” ข้อสังเกตที่ยังต้องตรวจทาน

มีการตั้งข้อสังเกตในพื้นที่ว่า หากยึดวันที่เข้ารับตำแหน่ง 1 ต.ค. ถึงวันที่มีมติ ครม. 14 ต.ค. และหากคำสั่งโยกย้ายมีผลปฏิบัติทันที อาจทำให้ นายรัฐพล นราดิศร กลายเป็นหนึ่งในผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย มีการอ้างอิงถึงกรณี นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าฯ เชียงราย ที่ดำรงตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน (1 พ.ค. 2513 – 20 ก.ย. 2513) ก่อนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่จากเหตุซุ่มโจมตีที่บ้านห้วยกว้าน อ.เชียงแสน

อย่างไรก็ดี การตัดสินว่า “สั้นที่สุด” จำเป็นต้องตรวจทานเอกสารราชการ–เอกสารจดหมายเหตุอย่างเป็นทางการ และนับ “วันที่มีผลคำสั่ง” ตามรูปแบบทางปกครอง ไม่ใช่เพียง “วันที่มีมติ” เท่านั้น เพื่อความถูกต้องเชิงหลักฐาน—จึงควรถือเป็น ข้อสังเกต ที่ต้องให้หน่วยงานวิชาการท้องถิ่น–หอจดหมายเหตุ หรือกระทรวงมหาดไทย ตรวจทานอย่างเป็นทางการ

จากเชียงรายสู่เชียงใหม่ ความหมายในระดับพื้นที่

การโยกย้ายทันทีของผู้ว่าฯ รัฐพลไปเชียงใหม่ ทำให้เกิด “สองเวคเตอร์” ที่ต่างทิศกัน

  • เชียงราย ต้องการความต่อเนื่องของงาน—โดยเฉพาะโครงสร้างข้อมูลน้ำ–สุขภาวะ–เศรษฐกิจชายแดน—ที่ได้เริ่มต้นขยับในสองสัปดาห์แรก
  • เชียงใหม่ กำลังรอผู้ว่าฯ ใหม่ที่เข้าใจโจทย์ของมหานครท่องเที่ยว–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการจัดการปัญหาฝุ่นควัน–คุณภาพอากาศ–การใช้ที่ดิน—ซึ่งต้องการความเป็น “ซีอีโอจังหวัด” สูง

ในทางนโยบายภาพใหญ่ การโยกย้ายระดับสูง 45 ราย ถูกอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดวางกำลัง คน–งาน–พื้นที่” ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์เร่งด่วนของรัฐบาลกลาง—คำถามที่ตามมา คือ ตัวชี้วัด” ที่จะทำให้ประชาชนสัมผัสได้ว่าการโยกย้ายนี้ทำให้งานเดินเร็วขึ้นจริงคืออะไร และจะสื่อสาร “ผลลัพธ์” ให้สังคมตรวจสอบได้อย่างไร

ข้อเสนอเชิงระบบ ทำอย่างไรให้งานเดินแม้ผู้นำเปลี่ยน

  1. ทำ “พิมพ์เขียวงานเร่งด่วนจังหวัด” แบบ 90–120 วัน
    สรุป “4 ห้องเครื่อง”—สารปนเปื้อน–น้ำท่วม–ท่องเที่ยว–มีส่วนร่วม—ใส่ Milestones–KPIs–เจ้าภาพ–คู่ปฏิบัติ ชัดเจน แผนนี้ควรเผยแพร่สาธารณะให้ติดตามได้
  2. ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลน้ำ–สุขภาวะ” จังหวัด
    รวมผลตรวจคุณภาพน้ำ/ปลา/ผัก (แยกชนิดสาร เช่น ตะกั่ว สารหนู ปรอท) และแหล่งน้ำดิบ—อัปเดตรายสัปดาห์ เปิดข้อมูลแบบอ่านง่าย ลดความกำกวมของถ้อยคำทางเทคนิค
  3. เร่ง “Flood Mark–MMS–Flood Map” ให้เสร็จก่อนฤดูฝนหน้า
    แผนที่เฉพาะกิจแสดงเส้นทางน้ำ–จุดวิกฤต–ระดับน้ำสูงสุดที่ผ่านมา ให้ประชาชนและท้องถิ่นใช้วางแผน รับมือเชิงรุก
  4. สื่อสารความปลอดภัย–เศรษฐกิจท่องเที่ยว
    ควบคู่การตลาดปลายปี สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องรู้คือ “มาตรฐานความปลอดภัยด้านน้ำ–อาหาร–สาธารณสุข” เผยแพร่ลิสต์สถานประกอบการที่ผ่านมาตรฐาน/พื้นที่ริมน้ำที่ได้รับการปรับปรุง–ตรวจสอบแล้ว
  5. กลไกข้ามพรมแดนเรื่องต้นน้ำ
    ผลักดันวงเจรจาไทย–เมียนมาเรื่องการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–การสอบสวนกรณีสารปนเปื้อน ให้มี ช่องทางสื่อสารฉุกเฉิน ระหว่างหน่วยงานปฏิบัติการสองฝั่ง

 “คน” เปลี่ยนได้ แต่ “ระบบ” ต้องเดินหน้า

14 วัน อาจสั้นเกินกว่าจะให้คำว่า “สำเร็จ” แต่ เพียงพอ ที่จะเห็นว่าเชียงรายกำลังจัดวางงานเร่งด่วนอย่างไร การโยกย้ายกลางคันของผู้ว่าฯ รัฐพลจึงเป็นบททดสอบสำคัญว่า “ระบบจังหวัด” มีวุฒิภาวะมากพอหรือยังที่จะพางานเดินต่อ โดยไม่สะดุด—ถ้าพิมพ์เขียว–ข้อมูล–การสื่อสาร–การมีส่วนร่วม เดินไปพร้อมกัน “ตัวบุคคล” จะกลายเป็นตัวเร่ง ไม่ใช่ “คอขวด”

ในฐานะจังหวัดชายแดนที่เป็นทั้ง ประตูการค้า–การท่องเที่ยว–ประตูธรรมชาติ เชียงรายจำเป็นต้องมี ระบบนิเวศการบริหาร ที่ไม่ขึ้นกับชื่อใคร และทั้งหมดนี้เริ่มได้จาก “วันนี้”—วันที่คนเชียงราย–ภาคส่วนต่าง ๆ ยืนยันร่วมกัน ว่า งานสำคัญต้องไปต่อ ไม่ว่าป้ายหน้าจวนผู้ว่าฯ จะเปลี่ยนชื่อเป็นใครก็ตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 ตุลาคม 2568 — กรณีเห็นชอบตามเสนอของกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง–โยกย้ายข้าราชการระดับสูง 45 ราย (อ้างถึงเอกสารชี้แจงอย่างเป็นทางการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/กระทรวงมหาดไทย)
  • กระทรวงมหาดไทย — หนังสือ/ข่าวประชาสัมพันธ์คำสั่งแต่งตั้ง–โยกย้าย นายรัฐพล นราดิศร จากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และการแต่งตั้ง นายทศพล เผื่อนอุดม เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม / กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย
  • กรมประมง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ถอดบทเรียน “แม่ข่า-โอตารุ” สู่การสร้าง “ถนนศิลปิน” ริมคลองเกาะทองอย่างยั่งยืน

คลองเกาะทอง” จะไปให้สุดแบบ “คลองแม่ข่า–โอตารุ” ได้อย่างไร แผนพลิกคลองบำบัดน้ำเสีย สู่ถนนศิลปินและแลนด์มาร์กสีเขียวกลางเมืองเชียงราย

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ถ้าสักเช้าวันหนึ่ง เราได้เห็นเงาน้ำเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ตัดกับแนวไม้ดอกสีสดที่เรียงรายริมตลิ่ง ผู้คนจิบกาแฟ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยานเคียงข้างคลอง และวงดนตรีบรรเลงรับลมเหนือ—ภาพฝันแบบ “โอโตรุเบา ๆ” อยู่กลางเมืองเชียงราย จะเป็นไปได้แค่ไหน?
คำตอบกำลังค่อย ๆ เดินหน้าอยู่ที่ คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง”—พื้นที่ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายและ 3 ชุมชนหลัก (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) กำลังร่วมกันปรับภูมิทัศน์จากคลองลำเลียงน้ำเสียให้กลับมาสะอาด เป็นระเบียบ ร่มรื่น พร้อมวางระบบ น้ำหมุนเวียนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อฟื้นระบบนิเวศอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าผลักดันให้เป็น แลนด์มาร์กสีเขียว แห่งใหม่ของเมือง

ในเวลาไล่เลี่ยกัน โซเชียลมีเดียต่างบันทึกความฮอตของ คลองแม่ข่า” เชียงใหม่—พื้นที่ฟื้นฟูที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ เดินสบายด้วยแนวซีรีนบล็อกริมขอบน้ำ ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–สตูดิโอศิลปินผุดขึ้นรายทาง กลายเป็นจุดเช็กอินใหม่ที่ชวนให้คนไปสัมผัสบรรยากาศชิล ๆ ได้แทบทุกฤดู ขณะที่ภาพจำต้นแบบระดับโลกอย่าง คลองโอตารุ (Otaru Canal) ในฮอกไกโด—ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือสินค้า แต่วันนี้เป็นย่านพิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–งานศิลป์ มีไฟระยิบยามค่ำคืนและเทศกาลฤดูหนาว—ก็ย้ำให้เห็นว่า “คลองในเมือง” สามารถแปลงร่างเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริง หากออกแบบ “ประสบการณ์” และ “ระบบจัดการน้ำ” ได้ลงตัว

บทความเชิงข่าว–วิเคราะห์ชิ้นนี้ชวนผู้อ่านเจาะลึกว่า คลองเกาะทองของเชียงราย จะ ก้าวจากโครงสร้างพื้นฐานสิ่งแวดล้อม ไปสู่ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบบ “แม่ข่า–โอตารุโมเดล” ได้อย่างไร พร้อมร้อยเรียงข้อเท็จจริง แผนงานที่มีอยู่ กลไกเทคนิค อนาคตเศรษฐกิจชุมชน และ “จุดเปลี่ยน” ที่จะทำให้เส้นทางนี้ไปถึงปลายทางอย่างยั่งยืน

จากคลองลำเลียงน้ำเสีย สู่ “ระเบียงสีเขียว” ของคนทั้งสามชุมชน

บริบทพื้นที่ คลองเกาะทองคือเส้นทางนำน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดเดิมในย่านชุมชนหนาแน่นของเมืองเชียงราย ปัญหาที่สะสมมายาวนานคือ น้ำชะงัก–ตะกอน–กลิ่น–ขยะล่องลอย และสภาพภูมิทัศน์ที่ไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ เทศบาลนครเชียงรายจึงวางแผน ปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งระบบ—ตั้งแต่งานสะสาง–จัดระเบียบ–ปลูกไม้ดอก (เช่น พุทธรักษา ยี่โถสีม่วง) ตลอดแนวคลอง ไปจนถึงการออกแบบทางเดิน–พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับทุกวัย พร้อม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เพื่อเร่งการไหล–เติมน้ำดี–ผลักน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดอย่างเป็นระบบ

หมุดหมายและแรงขับ วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ผู้บริหารเทศบาลลงพื้นที่ร่วมปลูกต้นไม้และจัดระเบียบทางกายภาพ—เป็นสัญญาณว่าช่วง “ก่อรูป” เริ่มปรากฏให้เห็นจริงบนพื้นดิน ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ เป้าประสงค์ชัดเจนสองชั้น (1) แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลน้ำเสียแบบยั่งยืนด้วยโซลูชันพลังงานสะอาด และ (2) เปลี่ยนพื้นที่ริมคลองให้เป็น สาธารณูปการเพื่อสุขภาวะ—เดิน–วิ่ง–ปั่นได้ ปลอดภัย สวยงาม ใช้งานได้ทุกวัน

ทุนสังคมที่พร้อม ความร่วมมือของ 3 ชุมชน (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) เป็น “แรงขับนุ่ม” ที่สำคัญ เพราะพื้นที่นี้เคยเผชิญข้อจำกัดด้านน้ำและอุทกภัยร่วมกัน การรวมพลังดูแล “คลองบ้านเรา” จึงไม่ใช่กิจกรรมสวยงามชั่วคราว แต่เป็น ผลประโยชน์ร่วม ของคนในละแวกโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนเกาะทองเองเคยได้รับการยอมรับเป็น แหล่งเรียนรู้ต้นแบบ จากการขับเคลื่อนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง—ทุนทางสังคมแบบนี้เป็น “เงื่อนไขสำเร็จ” ของงานพัฒนาเมืองที่ใช้เวลานาน

ถอดบทเรียน “คลองแม่ข่า–เชียงใหม่” ทำไมฟีลญี่ปุ่นจึงเวิร์ก และเราจะยกมาปรับใช้ที่เชียงรายอย่างไร

บรรยากาศและการออกแบบ คลองแม่ข่าในสายตาผู้มาเยือนคือแถวทางเดินที่ สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียบง่าย เสริมด้วย ซีรีนบล็อกคอนกรีต รับเส้นสายตลิ่งที่ชัด และเปิดมุมมองให้เห็นสายน้ำอย่างปลอดโปร่ง ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–งานคราฟต์เรียงตัวพองามโดยไม่บีบพื้นที่สาธารณะ ผลรวมทั้งหมดส่ง “กลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ” ที่คุ้นตาในงานออกแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่—น้อยแต่พอดี เน้นผิวสัมผัสวัสดุและสัดส่วนที่เดินสบาย

กิจกรรมคือหัวใจ แม่ข่าประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้มีแค่ “พื้นที่” แต่มี กิจกรรมที่ไหล—ศิลปินข้างคลอง ตลาดน้อย ๆ ช่วงบ่าย–เย็น มุมดนตรีสด งานแสดงชั่วคราว และคาแรกเตอร์ร้านที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้คนมีเหตุผลกลับมาอีกบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วจบ

บทเรียนสู่เชียงราย

  • 1. มาตรฐานน้ำและความสะอาด ความสวยงามอยู่ไม่ได้ถ้าน้ำมีกลิ่นหรือขยะลอย นี่คือ “ชั้นฐาน” ที่ต้องทำให้เสถียรก่อน—ซึ่งแผนโซลาร์ปั๊มของเชียงรายตอบโจทย์นี้ตรงจุด
  • 2. ผังใช้ประโยชน์พื้นที่ (Zoning) จัดสรรแนว Walkway–Green–Water Edge ให้เดินต่อเนื่อง ไม่เบียดล้ำทางน้ำ ร้านค้าควรตั้งถอยหลังพอสมควรเพื่อคง “ขอบน้ำ” ให้โปร่งและเป็นของส่วนรวม
  • 3. คัดสรร–คัดคุณภาพกิจกรรม แทนการเปิดเสรีทุกอย่าง ควรตั้ง เกณฑ์คุณภาพ และเลือกกิจกรรม–ร้านค้าที่สอดคล้องอัตลักษณ์เชียงราย (งานศิลป์–ช่างฝีมือ–กาแฟ–อาหารพื้นถิ่น) เพื่อหลีกเลี่ยง สตรีทของก๊อบปี้”
  • 4. ดูแลตลอดชั่วโมงใช้งาน ทีม Operation & Maintenance (O&M) ต้องทำงานเงียบ ๆ แต่เข้มข้น—ล้างทาง–เก็บขยะ–ตรวจน้ำ–ดูไฟ—เพราะความประทับใจของเมืองอยู่ที่ “จุดเล็ก ๆ” ที่ไม่สะดุด
Hokkaido: Otaru Canal Cruise and Seal Engraving Experience

แบบฝันที่จับต้องได้ “โอตารุโมเดล” กับถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง

แรงบันดาลใจจากโอตารุ โอตารุเคยเป็น คลองขนส่งสินค้า ก่อนปรับบทบาทเป็น พิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–ร้านอาหาร ย่านเดียวกันในตอนกลางวันจะมี ศิลปิน–นักวาด–นักดนตรี สลับคิว โคมไฟสไตล์วิกตอเรียนและการประดับไฟยามค่ำทำให้ภาพรวม “โรแมนติก” และ เทศกาล Otaru Snow Story ช่วงกลาง พ.ย.–ต้น ก.พ. ก็ช่วยยืดฤดูกาลท่องเที่ยว

พิมพ์เขียวที่เข้ากับเชียงราย

  • คอนเซ็ปต์ “ถนนศิลปินกลางเมือง” เชียงรายเป็นเมืองศิลป์โดยสายเลือด—จากงานจิตรกรรม–ประติมากรรม–คราฟต์พื้นถิ่นสู่ศิลปะร่วมสมัย ริมคลองเกาะทองสามารถกำหนดแนวยาว “Artist Strip” ที่มีซุ้มงานวาด/งานปั้น/เป่าแก้ว/สกรีนพิมพ์—เชื่อมกับสตูดิโอขนาดเล็กและแกลเลอรีในระยะเดินถึง
  • คืนชีวิตให้ “น้ำ” ยามค่ำ ใช้ แสง–เงา–ไฟ เป็นภาษาของพื้นที่ เช่น โคมไฟย้อนยุคเรียงช่วง–งาน Projection Mapping บางเทศกาลบนผนังที่จัดทำเฉพาะกิจ—ทำให้ “คืนเชียงราย” ชวนเดินปลอดภัยและน่าจดจำ
  • เทศกาลตามวาระ วางปฏิทิน คลองศิลป์เชียงราย” ฤดูหนาว–ฤดูร้อน–ฤดูฝน แต่ละวาระมีธีมกิจกรรมต่างกัน (ตลาดงานพิมพ์, ดนตรีฟังสบาย, ศิลปะกับเด็ก, งานอาหารพื้นถิ่นในคืนลมหนาว) เพื่อกระจายคนและยืดการใช้งานทั้งปี
  • เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ Pop-up ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และ วิสาหกิจชุมชน เข้าถึงหน้าเช่าราคายุติธรรม แลกกับการรักษามาตรฐานและร่วมดูแลพื้นที่ร่วมกัน

โครงสร้างเทคนิค–การบริหารน้ำ หัวใจที่มองไม่เห็น แต่ทำให้ทุกอย่าง “อยู่ได้”

ทำไม “น้ำหมุนเวียน” สำคัญ คลองบำบัดน้ำเสียจะมีกลิ่นและเกิดตะกอนหากน้ำ นิ่ง การวางระบบ Solar Pump เพื่อจ่าย “น้ำดี” เข้า—ให้เกิด Flow ต่อเนื่อง—ช่วยสองเรื่องพร้อมกัน (1) ไล่น้ำเสีย ลงสู่ระบบบำบัด และ (2) เติมออกซิเจน ฟื้นระบบนิเวศทางน้ำ เมื่อหน้าร้อนยาวหรือหน้าแล้งมา น้ำยัง เคลื่อน จึงลดโอกาสเกิดกลิ่นได้มาก

ข้อควรระวัง

  • วาง เกณฑ์คุณภาพน้ำเป้าหมาย รายเดือน (เช่น ค่าความขุ่น–กลิ่น–การเกิดตะกอนริมตลิ่ง) และเผยแพร่เป็น Dashboard สาธารณะ ให้ชุมชนตรวจสอบได้
  • นอกจากปั๊ม ควรมี กระบวนการกรองหยาบ–ตะแกรงขยะ ที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ทีมชุมชนช่วยยก–เก็บได้ในกิจกรรมประจำสัปดาห์
  • ผนวก พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ากับ แบตเตอรี่สำรอง ในจุดสำคัญ เพื่อรักษาการไหลยามฟ้าปิด–ฝนต่อเนื่อง
  • ทำ คู่มือ O&M ที่ชัดเจน ตารางตรวจ–จุดทดสอบน้ำ–การแจ้งเหตุซ่อม–เวลาแก้ปัญหามาตรฐาน (SLA) ระหว่างเทศบาล–ชุมชน–ผู้รับจ้างบำรุงรักษา

ทั้งหมดนี้คือ “เครื่องจักรเงียบ” ที่ทำให้หน้าบ้าน (ทางเดิน–ร้าน–ศิลปะ) สวยและไม่สะดุด—ถ้าใจกลางระบบน้ำทำงานไม่ล้ม ความน่าเชื่อถือของแลนด์มาร์กก็ยืนระยะ

คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam
คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam

เศรษฐกิจย่านและผลประโยชน์สังคม ตัวเลขที่ควรมองและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผลต่อคุณภาพชีวิต

  • พื้นที่สีเขียวและทางเดิน–วิ่ง–ปั่น ช่วยเพิ่ม กิจกรรมทางกาย ของคนเมืองแบบ “เดินได้ทุกวัน”
  • ความปลอดภัย ดีขึ้นจากระบบไฟ–กล้อง–การออกแบบพื้นที่เปิดโล่ง ลด “มุมอับ”
  • ทุนสังคม แข็งแรงขึ้นเมื่อชุมชนมี “งานกลางแจ้งร่วมกัน” อย่างสม่ำเสมอ

ผลต่อเศรษฐกิจในรัศมีเดินเท้า

  • โอกาสของ SMEs/วิสาหกิจชุมชน คาเฟ่–ของที่ระลึก–สตูดิโอเวิร์กช็อป–เช่าจักรยาน—รายได้กระจายสู่คนในพื้นที่โดยตรง
  • ผลทวีคูณ (Multiplier) เมื่อย่านมีเหตุผลให้มาเยือน ทั้งเช้า–บ่าย–ค่ำ ร้านค้าในตรอกใกล้เคียงจะได้ลูกค้าต่อเนื่อง เกิด เศรษฐกิจย่อยรายรอบคลอง
  • การตลาดเมือง (City Branding) ภาพ “คลองสวย–สะอาด–ศิลปะ” เสริมแบรนด์ “นครแห่งความสุข” ของเชียงราย เชื่อมกับสินทรัพย์ท่องเที่ยวหลักของเมือง (วัด–พิพิธภัณฑ์–ย่านเก่า–คาเฟ่) และ ปั่นต่อ ไปยังแลนด์มาร์กใหม่ ๆ ได้ในแนวทาง เที่ยวระยะสั้น–หลายจุด

ชวนคิด แม่ข่าพิสูจน์แล้วว่า “บรรยากาศดี + เดินง่าย + ร้านมีเอกลักษณ์” = คนอยากกลับมาอีก ส่วนโอตารุสอนว่า “เทศกาล + แสงยามค่ำ” = ยืดเวลาการใช้งานพื้นที่ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้น หากคลองเกาะทองเดินตามนี้อย่างมีวินัย ตัวเลขผู้มาเยือนและรายได้ชุมชนจะ “ไหล” ตามสายน้ำที่หมุนเวียนไม่หยุด

ธรรมาภิบาล–กติกาย่าน–การมีส่วนร่วม ทำให้ย่าน “สวยและเป็นธรรม” พร้อมเติบโต

ตั้งกติกาให้ชัดตั้งแต่ต้น

  • Zoning & Design Code ความกว้างทางเดิน–ระยะร่นอาคาร–ความสูง–วัสดุริมตลิ่ง–สีและป้าย—เพื่อให้ภาพรวมเรียบ งาม และเดินสบาย
  • Vendor & Activity Curation ระบบคัดสรรผู้ค้า/ศิลปินที่คุมคุณภาพสินค้า–บริการ และร้อยกับอัตลักษณ์เชียงราย ลดโอกาส “สตรีทซ้ำแบบทุกเมือง”
  • เสียงของชุมชน เวทีรับฟังความเห็นสม่ำเสมอ (รายไตรมาส) เพื่อปรับแผนกิจกรรม–เวลาเปิด–ระบบดูแลพื้นที่ ไม่ให้ย่าน “เหนื่อยล้า” จากความนิยม
  • ค่าตอบแทนเป็นธรรม อัตราหน้าร้าน/การใช้พื้นที่สาธารณะควรมี Rate พิเศษ สำหรับชุมชนรอบคลอง–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่–ผู้พิการ/ผู้สูงอายุ–กิจกรรมสาธารณะ เพื่อให้ เศรษฐกิจย่านเติบโตแบบไม่ทิ้งกัน

โครงสร้างบริหารร่วม (Joint Operations)
สร้างกลไก คณะกรรมการคลองเกาะทอง” มีตัวแทนเทศบาล–สามชุมชน–ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม–ตำรวจ–นักท่องเที่ยว–ภาคธุรกิจในรัศมี เดินงานร่วมกัน 3 วงหลัก

  1. น้ำและสิ่งแวดล้อม (วัดคุณภาพน้ำ–ดูแลปั๊ม–เก็บขยะ–ความสะอาด)
  2. กิจกรรมและย่าน (ปฏิทินเทศกาล–คัดสรรผู้ค้า–มาตรฐานร้าน–ความปลอดภัยยามค่ำ)
  3. การสื่อสารและการตลาดเมือง (แบรนด์คลอง–สื่อสารภาพเดียว–ข้อมูลผู้มาเยือน–สำรวจความพึงพอใจ)

แผนเดินหน้า 12–18 เดือน จาก “งานกายภาพ” สู่ “ย่านที่มีชีวิต”

เฟส 1: งานฐานราก (0–6 เดือน)

  • เดินเครื่อง Solar Pump และระบบกรองหยาบ/ตะแกรงขยะ
  • ปรับขอบคลอง–ปรับผิว–วาง Walkway ต่อเนื่อง–เพิ่มไฟส่องสว่าง–จุดนั่งพัก
  • ปลูกไม้ดอก–ไม้พุ่ม–เพิ่มร่มเงาบางช่วง—เลือกชนิดดูแลง่าย ทนสภาพอากาศเหนือ
  • ทดลอง กิจกรรมความถี่ต่ำ (เสาร์–อาทิตย์/รายเดือน) เพื่อเทสต์การจัดการฝูงชน–จุดขาย–จุดเสี่ยง

เฟส 2: กติกาและคัดสรร (6–12 เดือน)

  • ออก Design Code–Vendor Code พร้อมประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
  • เปิดรับผู้ค้า/ศิลปินรอบแรก—คละประเภท เพื่อสร้างประสบการณ์หลากหลาย
  • ตั้งทีม O&M ประจำคลอง (เทศบาล + อาสาชุมชน + ผู้รับจ้าง) พร้อม SLA ชัดเจน

เฟส 3: เทศกาลและแสงเมือง (12–18 เดือน)

  • เปิดตัวเทศกาล คลองศิลป์เชียงราย” ครั้งที่ 1 (ธีมฤดูหนาว) พร้อมงานไฟ–ดนตรี–เวิร์กช็อปเด็ก
  • เชื่อมเส้นทางจักรยาน/เดินต่อไปย่านใกล้เคียง—ทำ Map เมืองเดินได้
  • เริ่มเก็บข้อมูลผู้มาเยือน–การใช้จ่าย–ความพึงพอใจ (แบบสอบถาม/นับคน) เพื่อปรับแผนปีถัดไปอย่างมีข้อมูล

ความเสี่ยงและทางกันคลื่น เมืองที่งามอย่างยั่งยืนต้อง “เอาชนะความเคยชิน”

  • เสน่ห์หายเพราะล้น ถ้ากิจกรรม–ร้าน–คนแน่นเกินไปจนเดินไม่สบาย–ขยะสะสม–เสียงดัง–จราจรรอบย่านตึง ภาพจำจะเปลี่ยนเร็ว ต้องใช้ เพดานการใช้พื้นที่ (Carrying Capacity) ที่ประเมินจากความกว้างทางเดิน–จำนวนจุดนั่ง–ทางหนีไฟ และหมุนเวียนกิจกรรมไม่ให้หนาแน่นเกินไป
  • ราคาที่ดิน–ค่าเช่าไหลแรง ตั้ง โควต้า/เพดานค่าเช่าพื้นที่สาธารณะ ฝั่งชุมชน เพื่อคง สมดุลสังคม ไม่ให้คนดั้งเดิมถูกเบียดออก
  • ระบบน้ำสะดุด = ความเชื่อมั่นหาย กำหนด ทีมฉุกเฉิน ซ่อมบำรุงภายในเวลามาตรฐาน พร้อม สื่อสารโปร่งใส กรณีเกิดเหตุ—รักษาความเชื่อใจของสาธารณะ
  • ความสับสนภาพลักษณ์ วาง แบรนด์คลองเกาะทอง ให้ชัด (โลโก้–โทนสี–ป้าย–ภาษาภาพ) และสร้าง คู่มือใช้แบรนด์ สำหรับผู้ค้า/กิจกรรม เพื่อให้ภาพรวม “พูดภาษาเดียวกัน”

มองไกล “โครงสร้างพื้นฐานของความสุข” ที่พาคนทั้งเมืองเดินไปด้วยกัน

“คลองในเมือง” ไม่ควรเป็นเพียง แนวระบายน้ำ แต่เป็น ที่ว่างของความสุขร่วมกัน คลองเกาะทองกำลังเดินหน้าในทางนี้ด้วยชุดเครื่องมือครบมือ—ระบบน้ำหมุนเวียนสะอาด + ทางสาธารณะเดินสบาย + ชุมชนเข้มแข็ง + วิสัยทัศน์เมืองแห่งความสุข หากเรียนรู้จากแม่ข่าและดึงแรงบันดาลใจบางส่วนจากโอตารุ (ในแบบที่เป็นเชียงรายเอง) การเกิดขึ้นของ ถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

และเมื่อทุกอย่างเข้าที่—ตั้งแต่กลิ่นน้ำที่หายไปจนถึงไฟยามค่ำที่อบอุ่น—ชื่อของคลองเกาะทองจะค่อย ๆ ถูกเรียกขานด้วยคำใหม่ หมุดหมายใหม่ของเชียงราย” ที่คนอยากกลับมาซ้ำ เพียงเพราะที่นั่น เดินแล้วสบายใจ

ข้อเสนอฉบับย่อ “คลองเกาะทองสไตล์เชียงราย”

  • หัวใจเทคนิค เดินเครื่อง Solar Pump + ระบบกรองหยาบ + Dashboard คุณภาพน้ำสาธารณะ
  • หัวใจพื้นที่ Walkway ต่อเนื่อง–ไฟทาง–ที่นั่ง–ไม้ดอก–ร่มเงา–ขอบน้ำโปร่ง
  • หัวใจกิจกรรม ถนนศิลปิน–ตลาดงานคราฟต์–ดนตรีรับลม–เทศกาลไฟฤดูหนาว
  • หัวใจธรรมาภิบาล Zoning & Design Code + Vendor Code + เพดานใช้พื้นที่ + ส่วนร่วมชุมชน
  • หัวใจยั่งยืน ทีม O&M เฉพาะ–SLA ซ่อมไว–เผยแพร่ข้อมูลโปร่งใส–แบบสำรวจผู้ใช้พื้นที่สม่ำเสมอ

 

ทำไม “คลองเกาะทองเวอร์ชันญี่ปุ่นเบา ๆ” จึงคุ้มค่าเมือง

  1. สุขภาวะประชาชน เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมกายภาพประจำวัน—เมืองสุขภาพดี “ลดค่ารักษา” ในระยะยาว
  2. ศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้น—รายได้จ่อเข้าคนท้องถิ่น–ผู้ประกอบการรายเล็ก
  3. แบรนด์เมือง แข็งแรง—เชียงรายไม่ได้มีดีแค่แลนด์มาร์กดังเดิม แต่มี “คลองสีเขียวสายใหม่” ใจกลางเมือง
  4. การเรียนรู้ของเมือง—ชุมชนได้ทักษะดูแลพื้นที่สาธารณะและระบบเทคนิค (น้ำ–ไฟ–ความปลอดภัย) อย่างแท้จริง

สิ่งที่เชียงรายทำอยู่ไม่ใช่เพียง “ปรับภูมิทัศน์” แต่คือการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของความสุข ให้คนเมือง—และถ้าหัวใจเทคนิค–การจัดการ–กิจกรรม–ธรรมาภิบาล วิ่งไปพร้อมกัน คลองเกาะทองจะไม่ใช่แค่ “ที่สวย” แต่จะเป็น “ที่ที่อยากอยู่และอยากกลับมา” เหมือนที่แม่ข่าทำได้ และโอตารุเล่าเรื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ

จาก “คลองบำบัดน้ำเสีย” สู่ “ถนนศิลปินริมคลอง”—เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเรียก แต่คือ การสร้างระบบ ให้คน เดิน–ดู–ดื่มด่ำ–และดูแลร่วมกัน เมื่อระบบน้ำไหลอย่างมีชีวิต ทางเดินต่อเนื่องอย่างพอดี ร้านค้า–งานศิลป์มีตัวตนของเชียงราย และกติกาย่านทำให้เติบโตอย่างเป็นธรรม วันนั้น “คลองเกาะทอง” จะไม่ใช่เพียงทางผ่านของน้ำ แต่เป็น ทางผ่านของความสุข ที่คนทั้งเมืองภูมิใจ และนักเดินทางอยากแวะซ้ำ—เหมือนที่เราเคยเห็นที่แม่ข่า และตกหลุมรักที่โอตารุมาแล้ว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ผู้ว่าฯ เชียงราย ประหยัด สมานมิตร วาระสั้นสุด 4 เดือน 20 วัน

“4 เดือน 20 วัน” ที่เปลี่ยนความทรงจำของเมือง ไขปริศนา ‘ผู้ว่าฯ วาระสั้นที่สุด’ แห่งเชียงราย กับเหตุซุ่มโจมตีกลางยุคคอมมิวนิสต์ และความหมายของคำว่า ‘เสียสละ’ บนพรมแดนลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 13 ตุลาคม 2568 — หากนับรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจากอดีตถึงปัจจุบัน มีทั้งผู้ว่าฯ ที่พาเมืองผ่านยุคเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจชายแดน GMS ยุคท่องเที่ยวเฟื่องฟู จนถึงยุคภัยพิบัติและโรคระบาด แต่มีเพียง “หนึ่งชื่อ” ที่ทำให้คนท้องถิ่นเมื่อเอ่ยถึงแล้วเงียบลงชั่วอึดใจ—นายประหยัด สมานมิตร” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายซึ่งดำรงตำแหน่ง สั้นที่สุด เท่าที่บันทึกโดยละเอียดระบุไว้ 4 เดือน 20 วัน ก่อนจะจากไป ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 20 กันยายน 2513

นี่ไม่ใช่สถิติเพื่อจดจำ “ความสั้น” ของวาระทำงาน แต่เป็น แผลเป็นร่วมของเมือง ที่เชื่อมคำว่า “ผู้ว่าฯ” เข้ากับคำว่า ชีวิตและความเสี่ยง”—ภาพซุ่มโจมตีที่ บ้านห้วยกว้าน อ.เชียงแสน เมื่อ 50 กว่าปีก่อน มิใช่เพียงเรื่องเล่าริมฝั่งโขง แต่แปรสภาพเป็น อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า สำหรับผู้คนที่ยังคงสัญจรผ่าน เพื่อทบทวนว่าบทบาทผู้ว่าฯ นอกเหนือจากการอนุมัติโครงการและประชุมส่วนราชการ คือการ นำหน้า ในพื้นที่ที่ ไม่แน่นอน และพร้อม “เดินเข้าไป” เมื่อรัฐต้องเจรจากับความขัดแย้ง

ทำไม “วาระสั้น” จึงสำคัญต่อประวัติศาสตร์เมือง

เชียงรายไม่ใช่เพียงเมืองท่องเที่ยวหรือประตูการค้า แต่เป็น พื้นที่ประวัติศาสตร์ความมั่นคง มีพรมแดนติดลาวและใกล้พม่า อยู่ในเครือข่ายลุ่มน้ำโขงที่วัฒนธรรม เศรษฐกิจนอกระบบ และความขัดแย้งเคยปะทะกันอย่างซับซ้อน การ “ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด” ของผู้ว่าฯ จึงไม่ใช่เรื่องหมุนเวียนตำแหน่งธรรมดา แต่เป็น จุดยอดสามเหลี่ยม ของระบบราชการ—ตำแหน่งบริหารสูงสุดระดับจังหวัดที่ ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อให้กระบวนการรัฐเดินหน้าบนพื้นที่จริง

ข้อมูลลำดับรายชื่อผู้ว่าฯ ที่เรียงต่อกันจาก ยุค “เจ้าเมือง” สู่ ยุค “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เผย “พิกัดเวลา” ของเมืองแห่งนี้ ตั้งแต่ เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386–2407) สู่ พระยารัตนาณาเขต (พ.ศ. 2433–2442) จนถึงผู้ว่าฯ ในระบอบปกครองสมัยใหม่หลายสิบคน—บางคนอยู่ครบวาระยาว บางคนหมุนเวียนรวดเร็วด้วยเหตุผลด้านโยกย้ายราชการ แต่ กรณีปี 2513 มี “เงื่อนไขพิเศษ” ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก ผู้ว่าฯ เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ใน ยุคความรุนแรงซ่อนเร้น ของขบวนการคอมมิวนิสต์ภาคเหนือ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนที่ 28 นายประหยัด สมานมิตร 1 พ.ค. พ.ศ. 2513 - 20 ก.ย. พ.ศ. 2513 (1 พ.ค. 1970 - 20 ก.ย. 1970)

รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายตั้งแต่อดีต

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2386 – 2407 (ค.ศ. 1843 – 1864)
  2. เจ้าหลวงฮุนเรือน (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2407 – 2419 (ค.ศ. 1864 – 1876)
  3. เจ้าหลวงสุริยะ (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2419 – 2433 (ค.ศ. 1876 – 1890)
  4. พระยารัตนาณาเขต (ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด) พ.ศ. 2433 – 2442 (ค.ศ. 1890 – 1899)
  5. พระพลอาษา พ.ศ. 2442 – 2445 (ค.ศ. 1899 – 1902)
  6. หลวงอาษาภูธร พ.ศ. 2445 – 2446 (ค.ศ. 1902 – 1903)
  7. พระยารามราชภักดี พ.ศ. 2447 – 2450 (ค.ศ. 1904 – 1907)
  8. พระยาอุดรกิจภูบาล พ.ศ. 2450 – 2453 (ค.ศ. 1907 – 1910)
  9. พระยารามราชเดช (ศุข ดิษยบุตร) พ.ศ. 2453 – 2458 (ค.ศ. 1910 – 1915)
  10. พระราชยา (เจิม ปันยารชุน) พ.ศ. 2458 – 2460 (ค.ศ. 1915 – 1917)
  11. พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) พ.ศ. 2460 – 2479 (ค.ศ. 1917 – 1936)
  12. พระพนมครานุรักษ์ (ฮกไถ่ พิศาลบุตร) พ.ศ. 2479 – 2482 (ค.ศ. 1936 – 1939)
  13. พ.ต.อ. พระยานรากรบริรักษ์ พ.ศ. 2482 – 2485 (ค.ศ. 1939 – 1942)
  14. หลวงรักษ์นราธร (โชค ชมธวัช) พ.ศ. 2485 – 2487 (ค.ศ. 1942 – 1944)
  15. ขุนไตรกิตยานุกูล (อัมพร กิตยานุกุล) พ.ศ. 2487 – 2489 (ค.ศ. 1944 – 1946)
  16. นายชลอ จารุจินดา พ.ศ. 2489 – 2490 (ค.ศ. 1946 – 1947)
  17. ขุนวิสิฐอุดรการ (กรี วิสิฐอุดรการ) พ.ศ. 2490 – 2491 (ค.ศ. 1947 – 1948)
  18. ขุนสนิทประชาราษฎร์ พ.ศ. 2491 – 2491 (ค.ศ. 1948 – 1948)
  19. นายชลอ จารุจินดา พ.ศ. 2491 – 2492 (ค.ศ. 1948 – 1949)
  20. พ.ต.ท.ขุนวีรเดชกำแหง (ชม จารุสิทธิ์) พ.ศ. 2492 – 2493 (ค.ศ. 1949 – 1950)
  21. พ.ต.เล็ก ทองสุนทร พ.ศ. 2493 – 2497 (ค.ศ. 1950 – 1954)
  22. พ.อ.จำรูญ จำรูญรณสิทธ์ พ.ศ. 2497 – 2498 (ค.ศ. 1954 – 1955)
  23. พ.ต.อ.เลื่อน กฤษณามระ พ.ศ. 2498 – 2500 (ค.ศ. 1955 – 1957)
  24. พ.ต.อ.เนื่อง รายะนาค พ.ศ. 2500 – 2501 (ค.ศ. 1957 – 1958)
  25. นายเครือ สุวรรณสิงห์ พ.ศ. 2501 – 2504 (ค.ศ. 1958 – 1961)
  26. นายชูสง่า ไชยพันธุ์ (ฤทธิประศาสน์) พ.ศ. 2504 – 2512 (ค.ศ. 1961 – 1969)
  27. นายสิทธิ์ สงวนน้อย 20 พ.ค. พ.ศ. 2512 – 30 เม.ย พ.ศ. 2513 (20 พ.ค. 1969 – 30 เม.ย. 1970)
  28. นายประหยัด สมานมิตร 1 พ.ค. พ.ศ. 2513 – 20 ก.ย. พ.ศ. 2513 (1 พ.ค. 1970 – 20 ก.ย. 1970)
  29. นายศรศักดิ์ สุวรรณเทศ 1 ต.ค. พ.ศ. 2513 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2514 (1 ต.ค. 1970 – 30 ก.ย. 1971)
  30. พล.ต.วิทย์ นิ่มนวล 1 ต.ค. พ.ศ. 2514 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2516 (1 ต.ค. 1971 – 30 ก.ย. 1973)
  31. นายชุม บุญเรือง 1 ต.ค. พ.ศ. 2516 – 27 ส.ค. พ.ศ. 2522 (1 ต.ค. 1973 – 27 ส.ค. 1979)
  32. นายศักดา อ้อพงษ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2522 – 30 ก.ค. พ.ศ. 2525 (1 ต.ค. 1979 – 30 ก.ค. 1982)
  33. นายมนตรี ตระหง่าน 1 ต.ค. พ.ศ. 2524 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2528 (1 ต.ค. 1981 – 30 ก.ย. 1985)
  34. นายอร่าม เอี่ยมอรุณ 1 ต.ค. พ.ศ. 2528 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2531 (1 ต.ค. 1985 – 30 ก.ย. 1988)
  35. นายบรรณสิทธิ์ สลับแสง 1 ต.ค. พ.ศ. 2531 – 30 เม.ย พ.ศ. 2534 (1 ต.ค. 1988 – 30 เม.ย. 1991)
  36. นายคำรณ บุณเชิด 1 ต.ค. พ.ศ. 2534 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2539 (1 ต.ค. 1991 – 30 ก.ย. 1996)
  37. นายวิจารณ์ ไชยนันทน์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2539 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2542 (1 ต.ค. 1996 – 30 ก.ย. 1999)
  38. นายสำเริง ปุณโยปกรณ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2542 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2544 (1 ต.ค. 1999 – 30 ก.ย. 2001)
  39. นายรุงฤทธิ์ มกรพงษ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2544 – 27 ต.ค. พ.ศ. 2545 (1 ต.ค. 2001 – 27 ต.ค. 2002)
  40. นายนรินทร์ พานิชกิจ 28 ต.ค. พ.ศ. 2545 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2547 (28 ต.ค. 2002 – 30 ก.ย. 2004)
  41. นายวรเกียรติ สมสร้อย 1 ต.ค. พ.ศ. 2547 – 28 ก.พ. พ.ศ. 2549 (1 ต.ค. 2004 – 28 ก.พ. 2006)
  42. นายอุดม พัวสกุล 5 มิ.ย. พ.ศ. 2549 – 12 พ.ย. พ.ศ. 2549 (5 มิ.ย. 2006 – 12 พ.ย. 2006)
  43. นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ 13 พ.ย. พ.ศ. 2549 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2550 (13 พ.ย. 2006 – 30 ก.ย. 2007)
  44. นายปรีชา กมลบุตร 1 ต.ค. พ.ศ. 2550 – 5 พ.ค. พ.ศ. 2551 (1 ต.ค. 2007 – 5 พ.ค. 2008)
  45. นายไตรสิทธิ์ สินสมบูรณ์ทอง 6 พ.ค. พ.ศ. 2551 – 15 มีนาคม พ.ศ. 2552 (6 พ.ค. 2008 – 15 มี.ค. 2009)
  46. นายสุเมธ แสงนิ่มนวล 16 มี.ค. พ.ศ. 2552 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2553 (16 มี.ค. 2009 – 30 ก.ย. 2010)
  47. นายสมชัย หทยะตันติ 1 ต.ค. พ.ศ. 2553 – 27 พ.ย. พ.ศ. 2554 (1 ต.ค. 2010 – 27 พ.ย. 2011)
  48. นายธานินทร์ สุภาแสน 29 ธ.ค. พ.ศ. 2554 – 5 ต.ค. พ.ศ. 2555 (29 ธ.ค. 2011 – 5 ต.ค. 2012)
  49. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ 8 ต.ค. พ.ศ. 2555 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2558 (8 ต.ค. 2012 – 30 ก.ย. 2015)
  50. นายบุญสง เตชะมณีสถิตย์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2558 – 4 เม.ษ. พ.ศ. 2560 (1 ต.ค. 2015 – 4 เม.ย. 2017)
  51. นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร 5 เม.ษ. พ.ศ. 2560 – 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 (5 เม.ย. 2017 – 29 มิ.ย. 2018)
  52. นายประจญ ปรัชญ์สกุล 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 (29 มิ.ย. 2018 – 30 ก.ย. 2021)
  53. นายภาสกร บุญญลักษม์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2564 – 1 ธ.ค. พ.ศ. 2565 (1 ต.ค. 2021 – 1 ธ.ค. 2022)
  54. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ 2 ธ.ค. พ.ศ. 2565 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2567 (2 ธ.ค. 2022 – 30 ก.ย. 2024)
  55. นายชรินทร์ ทองสุข นายรัฐพล นราดิศร 17 พ.ย. พ.ศ. 2567 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2568 (17 พ.ย. 2024 – 30 ก.ย. 2025)
  56. นายรัฐพล นราดิศร 1 ต.ค. พ.ศ. 2568 – ปัจจุบัน (1 ต.ค. 2025 – ปัจจุบัน)

20 กันยายน 2513 นาทีปะทะและ “ความทรงจำสาธารณะ” ที่ก่อตัว

เอกสารบันทึกและคำบอกเล่าที่ถูกรวบรวมภายหลังระบุว่า นายประหยัด สมานมิตร พร้อมด้วย พตท.ศรีเดช ภูมิประหมัน (อดีตผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย) และ พ.อ.จำเนียร มีสง่า (อดีตผู้ช่วยหัวหน้ากองข่าว กองทัพภาคที่ 3) เดินทางเพื่อ ภารกิจเจรจา ให้อดีตผู้ก่อการยอมมอบตัวและคืนสู่สังคมตามนโยบายภาครัฐ แต่ระหว่างทาง ถูกซุ่มยิง ที่บ้านห้วยกว้าน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงปลิดชีพเจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 นาย หากยังกลายเป็น จุดหักเห ในความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ–พื้นที่” ให้จำเป็นต้อง ปรับยุทธศาสตร์ การทำงานชายแดนจาก “การปราบปราม” สู่ การพัฒนาและมีส่วนร่วมของชุมชน ในระยะยาว

เพื่อ ไม่ให้ความทรงจำสูญหาย ชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันจัดสร้าง อนุสรณ์สถาน 3 ผู้กล้า ณ จุดเกิดเหตุ ให้กลายเป็น “ห้องเรียนเปิด” สำหรับคนรุ่นหลัง—เตือนความจำว่าความเปราะบางของชายแดนไม่ได้เป็นเพียงแผนที่ หากเป็น ชีวิตของคนทำงานภาครัฐ ที่ต้องเดินเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงเพื่อปิด “รอยรั่ว” ของสังคม

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนที่ 56. นายรัฐพล นราดิศร 1 ต.ค. พ.ศ. 2568 - ปัจจุบัน (1 ต.ค. 2025 - ปัจจุบัน)

บทบาทผู้ว่าราชการจังหวัด มากกว่าผู้บริหารบนโต๊ะประชุม

ตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ผู้ว่าราชการจังหวัดคือ หัวหน้าบังคับบัญชาราชการส่วนภูมิภาค ในเขตจังหวัด มีหน้าที่รับนโยบายจากคณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม และนายกรัฐมนตรี นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ (มาตรา 54) พร้อมอำนาจกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย และมีบทบาทสำคัญด้าน ความมั่นคง–สาธารณภัย ในฐานะ ผู้อำนวยการจังหวัด ตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง—ผู้ว่าฯ ไม่ได้ยืนอยู่บน แผนพัฒนา อย่างว่างเปล่า แต่ยืนอยู่บน สนามจริง ที่ต้องกลั่นนโยบายผ่าน ภูมิศาสตร์–ชุมชน–การเมือง–ความมั่นคง เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ “ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง” ของผู้ว่าฯ แต่ละคน ไม่ได้สะท้อน ประสิทธิภาพเชิงผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว หากสะท้อน บริบทการทำงาน ณ เวลานั้น ๆ ด้วย

สถิติวาระ ภาพรวม “สั้น–ยาว” ที่ฉายพัฒนาการเมืองเชียงราย

เมื่อนับรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในห้วง พ.ศ. 2536–2566 จำนวน 19 คน ที่ผู้ร้องขอข่าวสรุปไว้ จะเห็นภาพดังนี้

  • วาระ 1 ปี พบมากที่สุด 9 คน
  • วาระไม่ถึง 1 ปี 5 คน
  • วาระ 2 ปี 2 คน
  • วาระ 3 ปี 2 คน
  • วาระมากกว่า 4 ปี 1 คน

ขณะเดียวกัน ในจำนวนนี้มีผู้ว่าฯ ที่เป็น คนเชียงราย เองเพียง 2 คน (คิดเป็น 10.5%) คือ นายวรเกียรติ สมสร้อย และ นายประจญ ปรัชญ์สกุล ซึ่งสะท้อนภาพ “ระบบโยกย้ายกลาง–ภูมิภาค” ของไทยที่เน้น หมุนเวียนกำลังคน ตามความเหมาะสมเชิงระบบ มากกว่าการจำกัดผู้บริหารระดับจังหวัดให้มาจากท้องถิ่นเสมอไป

ในมิติ “วาระสั้นที่สุด” ที่ คำนวณได้จากวัน–เดือน–ปี ชัดเจน ข้อมูลยืนยันว่า นายประหยัด สมานมิตร อยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน ขณะที่กรณีอื่น ๆ ที่ “สั้นมาก” เช่น นายอุดม พัวสกุล (5 มิ.ย. 2549 – 12 พ.ย. 2549) ก็ยังยาวกว่า และกรณี ขุนสนิทประชาราษฎร์ (พ.ศ. 2491 – 2491) แม้ดูสั้นแต่ขาดข้อมูลวัน–เดือน จึงไม่อาจฟันธงเทียบได้อย่างเป็นธรรม

ในอีกฟากหนึ่งของสเปกตรัม “ผู้ว่าฯ วาระยาว” ที่สุดในรายการ คือ เจ้าหลวงธรรมลังกา (หากนับสมัย “เจ้าเมือง”) รวม ประมาณ 21 ปี ตามผลต่างปี พ.ศ. 2386–2407 ส่วนห้วงสมัยระบบราชการสมัยใหม่ ผู้ว่าฯ ที่อยู่ยาวในยุคหลังคือ พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) 19 ปี (พ.ศ. 2460–2479) และในยุคร่วมสมัยหลังปี 2536 ชื่อที่โดดเด่นด้านความต่อเนื่องคือ นายประจญ ปรัชญ์สกุล รวม 3 ปี 94 วัน—ตัวเลขที่บอกเล่าว่า “เสถียรภาพของนโยบายจังหวัด” มักมาจาก ความต่อเนื่องของคน ไม่ต่างจากความต่อเนื่องของงบประมาณ

เมื่อนับตั้งแต่ปี 2536 – 2566 มีผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นคนเชียงราย วรเกียรติ สมสร้อย ผู้ว่าราชการเชียงราย คนที่ 41 ดำรงตำแหน่ง 1 ต.ค. พ.ศ. 2547 - 28 ก.พ. พ.ศ. 2549 (1 ต.ค. 2004 - 28 ก.พ. 2006)

สั้นที่สุดเพราะเสียสละ” บทเรียนจากบ้านห้วยกว้าน

เคสของ นายประหยัด สมานมิตร แตกต่างจากการโยกย้ายธรรมดา—วาระสั้นเกิดจาก การพลีชีพระหว่างหน้าที่ ในการนำข้อตกลงนโยบายรัฐไปสู่การเจรจาในพื้นที่ขัดแย้ง โดยมี พตท. ศรีเดช และ พ.อ.จำเนียร เป็นแนวร่วม การลอบโจมตีไม่เพียงพรากชีวิต 3 ผู้บังคับบัญชา แต่สะท้อน รอยเลื่อนความไว้วางใจ ระหว่างรัฐ–ขบวนการในเวลานั้น และชี้ให้เห็น “เส้นบาง ๆ” ของภาวะผู้นำผู้ว่าฯ ที่ต้องแบกรับทั้ง การปกป้องชีวิตประชาชน และ ชีวิตของตนเอง

อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า จึงมิใช่เพียงก้อนหินแกะสลัก แต่มันคือ นโยบายความทรงจำ (policy of memory) ที่ชุมชนร่วมกันตระหนักว่า “ผู้ว่าฯ” ในพื้นที่ชายแดน ไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะการอนุมัติโครงการหรือเร่งงบจังหวัด แต่ยังเป็น ผู้นำภาคสนาม ที่พร้อมเผชิญหน้าความไม่แน่นอนเพื่อ “เปิดประตูสู่สันติวิธี” ยุคต่อมา แม้โมเดลการจัดการความขัดแย้งจะค่อย ๆ เปลี่ยนทิศไปสู่ การพัฒนา–การสื่อสาร–การกระจายอำนาจ มากขึ้น แต่ ราคาที่ต้องจ่ายในอดีต ทำให้ทุกย่างก้าวของนโยบายชายแดนวันนี้ ระมัดระวังและฟังเสียงพื้นที่ มากกว่าเดิม

ผู้ว่าฯ ในโครงสร้างกฎหมาย อำนาจ–ข้อจำกัด และ “ความเสี่ยงส่วนบุคคล”

บทบาทผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 วางกรอบชัดเจนว่าเป็น ตัวแทนรัฐส่วนกลาง ในพื้นที่ มีหน้าที่ รับนโยบาย–สั่งการ–กำกับดูแล และในสถานการณ์ฉุกเฉินยังมีบทบาทพิเศษตาม กฎหมายสาธารณภัย ในการออกคำสั่งจำกัดพื้นที่หรือกำชับภารกิจช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี โครงสร้างราชการไทยยังคงมี สายบังคับบัญชาซ้อนทับ (หน่วยงานภูมิภาคขึ้นตรงต่อกระทรวงต้นสังกัดด้านงานบุคคล) ทำให้ผู้ว่าฯ ต้องบริหารด้วย อิทธิพลเชิงบูรณาการ มากกว่าคำสั่งฝ่ายเดียว และเมื่อการตัดสินใจต้อง “เร็ว–เด็ดขาด” ในวิกฤต ผู้ว่าฯ ก็เผชิญ ความเสี่ยงทางกฎหมายส่วนบุคคล มากกว่าตำแหน่งบริหารพลเรือนทั่วไป

เคสปี 2513 จึงเป็น สัญลักษณ์สองชั้น—ชั้นแรกคือ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ของผู้ว่าฯ ในพื้นที่ขัดแย้ง ชั้นที่สองคือ ความรับผิดชอบเชิงโครงสร้าง ที่ย้ำว่า “ผู้ว่าฯ คือด่านหน้า” ในการจับคู่นโยบายชาติกับภูมิสังคมของจังหวัด เมื่อพันธกิจเช่นนี้สืบทอดมาในยุคปัจจุบัน เทียบกับโจทย์ชายแดนที่เปลี่ยนจาก ความมั่นคงแบบเข้ม สู่ ความมั่นคงแบบใหม่ (อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ มลพิษข้ามแดน) บทบาทผู้ว่าฯ จึงยัง ยืนอยู่แถวหน้า—แต่เครื่องมืออาจเปลี่ยนจาก “ปืน–ค่าย” เป็น “ข้อมูล–เครือข่าย–การสื่อสารสาธารณะ”

เมื่อนับตั้งแต่ปี 2536 – 2566 มีผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นคนเชียงราย ประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการเชียงราย คนที่ 52 ดำรงตำแหน่ง 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 - 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 (29 มิ.ย. 2018 - 30 ก.ย. 2021)

5 ผู้ดำรงตำแหน่งที่สั้นที่สุด

  1. นายประหยัด สมานมิตร (พ.ศ. 2513): ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดคือ 4 เดือน 20 วัน (1 พฤษภาคม 2513 ถึง 20 กันยายน 2513)
  2. นายอุดม พัวสกุล (พ.ศ. 2549): ดำรงตำแหน่ง 5 เดือน 8 วัน (5 มิถุนายน 2549 ถึง 12 พฤศจิกายน 2549)
  3. ขุนสนิทประชาราษฎร์ (พ.ศ. 2491): ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2491 เพียงปีเดียว ทำให้มีวาระไม่เกิน 1 ปี (ไม่ระบุวันและเดือนที่แน่นอน)
  4. หลวงอาษาภูธร (พ.ศ. 2445 – 2446): ดำรงตำแหน่งในช่วง 2 ปีปฏิทิน ซึ่งมีผลต่างปี 1 ปี (วาระไม่เกิน 2 ปี)
  5. นายรุงฤทธิ์ มกรพงษ์ (พ.ศ. 2544 – 2545): ดำรงตำแหน่ง 1 ปี 27 วัน (1 ตุลาคม 2544 ถึง 27 ตุลาคม 2545)

5 ผู้ดำรงตำแหน่งที่ยาวนานที่สุด

การคำนวณในกลุ่มนี้ใช้ผลต่างของปี พ.ศ. เนื่องจากข้อมูลในช่วงแรกไม่มีวันและเดือนที่ชัดเจน

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386 – 2407): ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยมีช่วงระยะเวลาครอบคลุมถึง 21 ปี
  2. พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) (พ.ศ. 2460 – 2479): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 19 ปี
  3. เจ้าหลวงสุริยะ (พ.ศ. 2419 – 2433): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 14 ปี
  4. เจ้าหลวงฮุนเรือน (พ.ศ. 2407 – 2419): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 12 ปี
  5. พระยารัตนาณาเขต (พ.ศ. 2433 – 2442): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 9 ปี

ตัวเลขชวนคิด เมื่อวาระเปลี่ยน นโยบายเปลี่ยนหรือไม่?

ในทางบริหาร “วาระ” ของผู้ว่าฯ ที่สั้นกว่าหนึ่งปีซึ่งพบมากในช่วงสามทศวรรษหลัง สะท้อนวัฏจักรโยกย้ายที่เร็วและการปรับตัวต่อบริบทประเทศ แต่คำถามที่ผู้อ่านเชิงลึกอยากรู้คือ แล้วนโยบายจังหวัดเสียความต่อเนื่องหรือไม่?” ประสบการณ์หลายพื้นที่ชี้ว่าความต่อเนื่องขึ้นกับ สามสิ่ง:

  1. แผนพัฒนาจังหวัด ที่เขียนดีและมีฉันทามติ
  2. ทีมราชการประจำจังหวัด (รองผู้ว่าฯ, หัวหน้าส่วน) ที่รักษาเกมยาว
  3. ความร่วมมือท้องถิ่น–เอกชน–ภาคประชาสังคม ที่ “กว้างและแน่น” พอจนผู้ว่าฯ ใหม่เข้ามาแล้ว “สวมบทได้ทันที”

เชียงรายในช่วงหลังมีจุดแข็งด้าน เครือข่ายภาคส่วน และ บทบาทชายแดนเศรษฐกิจ ที่ชัดเจน ทำให้การเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ ไม่ทำให้นโยบายหยุด แต่แน่นอนว่าการมีผู้ว่าฯ ที่อยู่ ยาวพอ ย่อมช่วยให้ การประสานงบ–การเจรจานโยบาย กับส่วนกลางสะดวกขึ้น—ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมชื่ออย่าง นายประจญ ปรัชญ์สกุล (3 ปี 94 วัน) จึงปรากฏในความทรงจำของภาคธุรกิจ–ท้องถิ่นในฐานะ “ตัวกลางความต่อเนื่อง” ของยุคหนึ่ง

ความหมายร่วมสมัยของ “สามผู้กล้า” จากสนามรบสู่สนามเรียน

ทุกเดือนกันยายนที่เวียนมาถึง อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า ณ บ้านห้วยกว้าน ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่วางพวงมาลัย แต่เป็น บทเรียนพลเมือง ให้กับนักเรียน–ครู–ข้าราชการรุ่นใหม่ ว่าความมั่นคงของจังหวัดที่เราเห็นในวันนี้วางอยู่บน การเลือกรับความเสี่ยง ของคนรุ่นก่อน เราอาจไม่ต้องเดินเข้าป่าเพื่อเจรจาอีกแล้ว แต่เราต้อง กล้าเดินเข้าหากัน เมื่อความเห็นต่างในชุมชนทำให้โครงการพัฒนา “ชะงักงัน” การเชื่อม ข้อมูล–เหตุผล–ความไว้วางใจ คือ “อาวุธ” ของยุคใหม่ที่ผู้ว่าฯ ต้องใช้แทนปืนและเครื่องแบบหนัก

ทำไมเรื่องนี้ควรถูกเล่า “วันนี้”

ในขณะที่เชียงรายกำลังเผชิญโจทย์ยุคใหม่—ตั้งแต่ มลพิษข้ามแดนในแม่น้ำกก–โขง, การท่องเที่ยวสีเขียว, เศรษฐกิจชายแดนหลังโควิด, จนถึง การจัดการภัยพิบัติ—บทเรียนปี 2513 เตือนให้เรารู้ว่าการบริหารจังหวัดไม่เคยเป็น “งานเอกสาร” แต่เป็น งานสนามจริง ที่ยืนอยู่ตรงรอยต่อของ อำนาจรัฐ–ชีวิตคน–ภูมิประเทศ

เมื่อมีคนถามว่า “ใครคือผู้ว่าฯ เชียงรายที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด และเพราะอะไร”—คำตอบที่ตรงที่สุดคือ นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าฯ ที่อยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน เพราะ สละชีวิต บนเส้นทางไปปิดรอยร้าวของสังคม 20 กันยายน 2513 และคำตอบที่ “สำคัญกว่า” คือ เรา ในฐานะประชาชน–ชุมชน–สื่อ–นักการเมือง—จะทำอย่างไรให้ การสละชีวิตครั้งนั้นไม่สูญเปล่า โดยแปลง “ความทรงจำ” ให้เป็น “วัฒนธรรมการคุยกัน” ที่แข็งแรง และแปลง “บทเรียนความเสี่ยง” ให้เป็น “การออกแบบนโยบาย” ที่ฟังเสียงพื้นที่มากขึ้น

เส้นเวลาและรายละเอียดสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • วาระสั้นที่สุด (คำนวณได้จากวัน/เดือน/ปีแน่ชัด):
    นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
    เริ่ม 1 พ.ค. 2513 – สิ้นสุด 20 ก.ย. 2513 = 4 เดือน 20 วัน
    เสียชีวิตจากเหตุซุ่มโจมตีระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ บ้านห้วยกว้าน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน
  • เหตุการณ์ 20 ก.ย. 2513:
    ผู้เสียชีวิตร่วมเหตุการณ์: พตท.ศรีเดช ภูมิประหมัน และ พ.อ.จำเนียร มีสง่า
    ภายหลังมีการจัดสร้าง อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า ณ จุดเกิดเหตุ
  • สถิติช่วง พ.ศ. 2536–2566 (19 คน):
    วาระ 1 ปี = 9 คน / วาระ < 1 ปี = 5 คน / วาระ 2 ปี = 2 คน / วาระ 3 ปี = 2 คน / วาระ > 4 ปี = 1 คน
    ผู้ว่าฯ “คนเชียงราย” = 2 คน (10.5%)
  • วาระยาวในยุคประวัติศาสตร์:
    เจ้าหลวงธรรมลังกา ~ 21 ปี (พ.ศ. 2386–2407)
    พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) 19 ปี (พ.ศ. 2460–2479)
  • ฐานะตามกฎหมาย (สรุปย่อ):
    ผู้ว่าฯ เป็นหัวหน้าบริหารราชการส่วนภูมิภาค (มาตรา 54) รับนโยบายจากส่วนกลาง–กำกับดูแล อปท.–มีอำนาจพิเศษเมื่อเกิดสาธารณภัยตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องพตท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  •  ข้อมูลจังหวัดเชียงราย https://www.chiangrai.go.th/
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

กาแฟ-ศิลปะผสานพลัง! เชียงรายพลิกโฉมสู่ “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ต้องรอหน้าหนาว

เชียงราย เมื่อจุดแข็ง “กาแฟ-ศิลปะ” พร้อมสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดปี

จุดเปลี่ยนของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ต้องรอหน้าหนาว เมื่อศักยภาพที่มีอยู่พร้อมถูกผสานเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

เชียงราย 2 ตุลาคม 2568 — ในช่วงเวลาที่เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังแข่งขันกันดึงดูดนักเดินทาง จังหวัดเชียงรายกลับยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ คำถามที่วงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกำลังตั้งขึ้นคือ เชียงรายจะยังคงเป็น “เมืองที่ต้องรอ” เทศกาลใหญ่หรือฤดูหน้าหนาวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ หรือจะพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน

การวิเคราะห์จากนักสื่อสารและผู้สังเกตการณ์ในแวดวงศิลปวัฒนธรรมชี้ให้เห็นว่า คำตอบอยู่ที่การผสานพลังระหว่างสองจุดแข็งที่เชียงรายมีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือ นั่นคือ “วัฒนธรรมกาแฟและคาเฟ่” กับ “ชุมชนศิลปินและศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งหากนำมาบูรณาการอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายกลายเป็น “เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาค

มรดกกาแฟที่ไม่เพียงแค่เครื่องดื่ม

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองที่มีร้านกาแฟมากมาย แต่คือแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพที่มีชื่อเสียงระดับสากล โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้าจากชุมชนชาวเขาบนพื้นที่สูง ชาวอาข่าในพื้นที่เชียงรายได้พัฒนาฝีมือการปลูก แปรรูป และคั่วกาแฟจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

จากข้อมูลของวิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยผาหมี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนอาข่าที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน และมีกำลังการผลิตกาแฟกะลาหลักแสนกิโลกรัมต่อปี โดยราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำงานในธุรกิจกาแฟของชุมชนเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาและการต่อยอดสู่รุ่นถัดไป

ความสำเร็จของกาแฟเชียงรายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ไร่กาแฟ แต่ขยายตัวสู่วงการคาเฟ่ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ จนมีคำกล่าวในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “เชียงรายมีร้านกาแฟเยอะกว่าร้านข้าว” การออกแบบคาเฟ่ในเชียงรายมักผสมผสานระหว่างความเป็นร่วมสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น บรรยากาศที่เป็นมิตร และการใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่นคุณภาพสูง ทำให้คาเฟ่ในเชียงรายไม่ใช่แค่สถานที่ดื่มกาแฟ แต่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ

ศิลปินและศิลปะที่รอคอยเวที

ขณะที่วงการกาแฟกำลังเติบโต อีกหนึ่งจุดแข็งของเชียงรายที่ไม่ควรมองข้ามคือชุมชนศิลปินที่มีความหลากหลายและมีพลัง เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังระดับชาติ และยังคงดึงดูดศิลปินรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายมาสร้างฐานการทำงานในพื้นที่ ด้วยต้นทุนการครองชีพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และชุมชนศิลปินที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ศิลปินเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาขาดพื้นที่แสดงผลงานอย่างต่อเนื่อง แกลเลอรีศิลปะในเชียงรายมีจำนวนจำกัด และส่วนใหญ่เปิดให้จัดแสดงเฉพาะเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ศิลปินรุ่นใหม่หรือศิลปินที่ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ขาดโอกาสในการนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ

จุดนี้เองที่เป็นโอกาสทองสำหรับการบูรณาการระหว่างวงการกาแฟและศิลปะ คาเฟ่ที่มีอยู่มากมายในเชียงรายสามารถกลายเป็น “แกลเลอรีเคลื่อนที่” หรือพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและเปิดกว้างมากกว่าแกลเลอรีแบบดั้งเดิม การจิบกาแฟท่ามกลางงานศิลปะไม่ใช่แนวคิดใหม่ในระดับสากล แต่ในบริบทของเชียงราย มันคือโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและยั่งยืน

บทเรียนจาก Thailand Biennale 2023 ความสำเร็จที่ไม่ควรจบ

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าการผสานกาแฟและศิลปะในเชียงรายสามารถประสบความสำเร็จได้ คือ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 งานศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “The Open World” (เปิดโลก)

งานครั้งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินกว่า 60 คนจาก 21 ประเทศ และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่ที่หลากหลายทั่วจังหวัดเชียงราย รวมถึงคาเฟ่ โรงแรม ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบ Site-specific หรืองานศิลปะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะ

ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 5 เดือน สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ คาเฟ่และพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต่างได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ได้จางหายไปหลังงานสิ้นสุดลง คาเฟ่และพื้นที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามปกติโดยไม่มีการจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป เพราะหากสามารถรักษาโมเมนตัมและพัฒนาให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีได้ เชียงรายจะไม่ต้องรองาน Biennale ครั้งต่อไปอีก 2 ปี แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์เป็นเมืองที่มีศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันได้

ยุทธศาสตร์ “เมืองศิลปะคาเฟ่”: จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

การสร้าง “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ใช่เพียงแค่ให้ศิลปินนำผลงานมาแขวนในร้านกาแฟเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน รูปแบบที่เป็นไปได้ประกอบด้วยหลายมิติ:

  1. สร้างย่านศิลปะคาเฟ่และเส้นทางศิลปะ

การรวมกลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ต่างๆ ของเชียงรายให้เป็น “ย่านศิลปะคาเฟ่” โดยแต่ละร้านจะมีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้แสดงผลงาน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม “เส้นทางศิลปะคาเฟ่” ได้เหมือนการเดินชมแกลเลอรี แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่า พร้อมทั้งได้ดื่มด่ำกับกาแฟคุณภาพสูงของเชียงรายไปในตัว การสร้างแผนที่หรือแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการในแต่ละคาเฟ่จะช่วยให้นักท่องเที่ยววางแผนการเยี่ยมชมได้สะดวกขึ้น

  1. โครงการ Art Residency ในคาเฟ่

การสร้างโครงการ Art Residency หรือการให้ศิลปินพักอาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้คาเฟ่เป็นฐานการทำงาน ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับบริบทของคาเฟ่หรือชุมชนรอบข้าง และนำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าชมได้เห็น

รูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยือนคาเฟ่ ที่จะได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน เรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ และเข้าใจบริบททางศิลปะมากขึ้น การมีศิลปินประจำจะทำให้แต่ละคาเฟ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเรื่องราวที่น่าติดตาม

  1. ขายประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า

นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ “ซื้อกาแฟดี” หรือ “ดูงานศิลปะ” แยกกัน แต่พวกเขาต้องการ “ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย” ที่สามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและสร้างความประทับใจที่ยาวนาน

การจิบกาแฟชั้นดีที่มีเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปจากชุมชนชาวเขา ภายใต้ผลงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวของเชียงราย หรือการได้พูดคุยกับศิลปินเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นและบอกต่อ

  1. ใช้ความสำเร็จดึงดูดการลงทุน

ในยุคที่นักลงทุนระมัดระวังและต้องการเห็น “หลักฐานความสำเร็จ” (Proof of Concept) ก่อนตัดสินใจ การแสดงให้เห็นว่าโมเดลเมืองศิลปะคาเฟ่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้จริงคือกุญแจสำคัญ

เมื่อมีคาเฟ่บางร้านเริ่มประสบความสำเร็จจากการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น และมีรายได้ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้เจ้าของคาเฟ่รายอื่นๆ เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้ยังสามารถใช้ดึงดูดการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสนับสนุนศิลปะทั้งในและต่างประเทศ

การลงทุนจากภายนอกจะช่วยขยายขนาดของตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการจัดการนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรมบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับเมืองศิลปะอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแข็งแกร่ง

กรณีศึกษา: “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ปรากฏว่ามีศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังทำให้มันเป็นจริงอยู่แล้ว นิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพที่ว่า

นิทรรศการนี้จัดโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ที่ย้ายมาอยู่เชียงรายได้ 5 ปี และมีความสนใจในงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับ NANZI (Nanzi Meechumna) ศิลปินรับเชิญ โดยใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านกาแฟที่ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

แนวคิดหลักของนิทรรศการคือการสำรวจ “สภาวะจิตภายใน” ของผู้คนในยุคที่โซเชียลมีเดียครอบงำชีวิต ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์บนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพของร้านคาเฟ่ งานชิ้นนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งสะท้อนถึงการคัดกรองสิ่งที่ถูกมองเห็นและสิ่งที่ถูกซ่อนบนโลกออนไลน์

วัชราอธิบายว่า งานนี้ต้องการ “ชวนแง้มประตูเข้ามา ‘ส่อง’ พื้นที่ ข้าวของ และผู้คน ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนความหมายอยู่ในระหว่างบรรทัด” โดยสำรวจผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ยังเป็นปัจจัยในการกำหนดวิธีคิด วิธีมอง และการแสดงออกของผู้คน

นิทรรศการนี้สะท้อนประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในสังคมร่วมสมัย เช่น ความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย การผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความสำเร็จ ความงาม และมาตรฐานทางสังคม รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาคุณค่าในตัวเองท่ามกลางความคาดหวังภายนอก

ที่สำคัญคือรูปแบบการจัดแสดงแบบ Site-specific ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ทำให้ผู้เข้าชมไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟ แต่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของตัวเองผ่านบรรยากาศที่คุ้นเคย

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ซึ่งการเปิดเข้าชมฟรีและเวลาที่ยาวนานตลอดวันทำให้งานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมศิลปะเท่านั้น ภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม “Mangos(on)teen” ที่เพิ่มมิติความสนุกสนานและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

แม้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่จะดูมีศักยภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืนยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ

ความเข้าใจและการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจ หลายเจ้าของคาเฟ่อาจยังไม่เห็นคุณค่าของการนำศิลปะเข้ามาในพื้นที่ หรือกังวลว่าจะเพิ่มต้นทุนหรือสร้างความยุ่งยาก การสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หรือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การขาดระบบสนับสนุนและประสานงาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรหรือเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างคาเฟ่ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ การมีหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการตารางการแสดง ประสานงานระหว่างศิลปินและเจ้าของพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ และจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและยั่งยืนมากขึ้น

การสร้างตลาดและผู้ชม การพัฒนาฐานผู้ชมที่เข้าใจและชื่นชมศิลปะร่วมสมัยต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบงานศิลปะบางประเภท การจัดกิจกรรมให้ความรู้ การพูดคุยกับศิลปิน หรือการจัด workshop ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น

ความยั่งยืนทางการเงิน ศิลปินต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคาเฟ่ก็ต้องการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนศิลปะและความยั่งยืนทางธุรกิจเป็นความท้าทาย การหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรศิลปะ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่อย่างแท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถบรรจุแนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เข้าในแผนการตลาดการท่องเที่ยวเชียงราย สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคาเฟ่ต่างๆ และประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรม การสร้างแคมเปญ “Chiang Rai: Where Coffee Meets Art” หรือคำขวัญที่คล้ายกันจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สามารถให้การสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณสำหรับโครงการศิลปะในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของศิลปินท้องถิ่นและการสร้างเครือข่ายกับศิลปินและองค์กรศิลปะในระดับชาติและนานาชาติ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การจัดทำป้ายบอกทางและข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมประจำปี เช่น “Chiang Rai Art & Coffee Festival” เพื่อรวมพลังและสร้างโมเมนตัม

สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเป็นแหล่งผลิตศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นพื้นที่ทดลองแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับคาเฟ่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นักศึกษาได้พื้นที่แสดงผลงานจริง และคาเฟ่ได้งานศิลปะที่สดใหม่และร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ

แนวคิดการผสานกาแฟและศิลปะเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายท่านชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมาเห็นสถานที่ แต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น การผสานกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวและอัตลักษณ์ของพื้นที่ คือการสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมที่นักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังมองหา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองว่า การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่น กาแฟที่มีเรื่องราวและบริบททางวัฒนธรรมจะมีมูลค่าสูงกว่ากาแฟธรรมดา และคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ศิลปะจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีจ่ายมากขึ้น

นักวิจารณ์ศิลปะบางท่านแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิด แต่ก็เตือนให้ระวังเรื่องการรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานศิลปะ การทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงการตกแต่งหรือเครื่องมือทางการตลาดโดยปราศจากเนื้อหาที่มีความหมายอาจทำให้โครงการสูญเสียคุณค่าในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการคัดสรรและดูแลคุณภาพของงานที่นำมาจัดแสดง

เปรียบเทียบกับเมืองต้นแบบในต่างประเทศ

การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล มีหลายเมืองที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เชียงราย

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมกาแฟและศิลปะริมถนน (Street Art) ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตรอกซอกซอยในเมืองเต็มไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตีและจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณภาพสูง ขณะที่คาเฟ่เล็กๆ มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม “ตรอกศิลปะ” พร้อมดื่มกาแฟคุณภาพสูงได้ในเวลาเดียวกัน เมลเบิร์นจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น แม้จะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสคาเฟ่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย หลายคาเฟ่ตั้งอยู่ในอาคารไม้เก่าที่ได้รับการบูรณะ และมีการจัดแสดงงานศิลปะหรือหัตถกรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ดื่มชาหรือกาแฟ แต่มาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน

พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งกาแฟและศิลปะอิสระ” โดยมีการสนับสนุนจากเทศบาลให้คาเฟ่และร้านค้าท้องถิ่นเป็นพื้นที่แสดงงานของศิลปินอิสระ มีกิจกรรม “First Thursday” ที่แกลเลอรีและพื้นที่ศิลปะต่างๆ เปิดให้เข้าชมฟรีในวันพฤหัสบดีแรกของทุกเดือน พร้อมกับคาเฟ่และบาร์ต่างๆ ที่มีการแสดงดนตรีสดและกิจกรรมทางศิลปะ

สิ่งที่เมืองเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ความต่อเนื่องและความเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การจัดงานใหญ่ๆ เป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ศิลปะและกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก การผสานศิลปะกับคาเฟ่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างเนื้อหาที่ “Instagrammable” หรือเหมาะกับการถ่ายรูปและแชร์บนโซเชียลมีเดีย

งานศิลปะที่น่าสนใจในพื้นที่คาเฟ่จะกระตุ้นให้ผู้มาเยือนถ่ายรูปและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเป็นการโปรโมตฟรีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แฮชแท็กเช่น #ChiangRaiArtCafe #CoffeeAndArt #ChiangRaiCulture สามารถสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตามกระแสเหล่านี้

นอกจากนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ หรือระบบ QR Code ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะและศิลปิน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนและทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับงานมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก็สะท้อนถึงปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียนี้เอง การที่งานศิลปะพูดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อจิตใจ ขณะเดียวกันก็อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเผยแพร่และดึงดูดผู้ชม คือความขัดแย้งที่น่าสนใจและสะท้อนความซับซ้อนของยุคสมัย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

หากเชียงรายสามารถพัฒนาเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ได้อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงบวกจะเกิดขึ้นในหลายมิติ

ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนในวงกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่เจ้าของคาเฟ่และศิลปิน แต่ยังรวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ช่างฝีมือ ธุรกิจที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนธุรกิจบริการอื่นๆ การมีนักท่องเที่ยวตลอดปีจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่มักเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล

ด้านสังคม จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปินรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำงานในบ้านเกิดโดยไม่ต้องย้ายไปเมืองใหญ่ ผู้คนในชุมชนจะมีโอกาสเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับชุมชนจะช่วยสร้างความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เน้นประสบการณ์มากกว่าการบริโภคมวลชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวที่มาเพื่อศิลปะและวัฒนธรรมมักใช้เวลาพำนักนานขึ้นและใช้จ่ายในชุมชนมากกว่า แต่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านักท่องเที่ยวแบบมวลชน

ก้าวต่อไป: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นจริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ระยะแรก (6 เดือนแรก): โครงการนำร่อง เริ่มจากการรวมกลุ่มคาเฟ่ที่สนใจประมาณ 5-10 ร้านในพื้นที่ใจกลางเมืองเชียงราย จัดหาศิลปินที่สนใจเข้าร่วม และสร้างตารางการจัดแสดงที่ชัดเจน จัดกิจกรรมเปิดตัวพร้อมประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สอง (ปีที่ 1-2): ขยายและพัฒนา หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ขยายไปยังคาเฟ่ในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ จัดกิจกรรมประจำปีเช่น Art & Coffee Festival และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อขอการสนับสนุน

ระยะที่สาม (ปีที่ 3 เป็นต้นไป): ยกระดับสู่มาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับเมืองศิลปะในต่างประเทศ เชิญศิลปินต่างชาติมาจัดแสดง และส่งศิลปินไทยไปแสดงในเมืองพี่เมืองน้อง พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมสำหรับบุคลากร และสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนซึ่งสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความต่อเนื่อง และคุณภาพ หากเชียงรายสามารถทำให้ศิลปะและกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของเมืองอย่างแท้จริง มันจะไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “วิถีเชียงราย” ที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เชียงรายไม่ต้องรออีกต่อไป

เชียงรายมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ที่มีชีวิตชีวาตลอดปี กาแฟคุณภาพสูงจากชุมชนท้องถิ่น คาเฟ่ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ศิลปินที่มีความสามารถและแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ความสำเร็จจาก Thailand Biennale ที่พิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ ส่องภาวะจิตภายใน: นิทรรศการที่สะท้อน “Soft Power” แห่งคาเฟ่ เพื่อเป็นการพิสูจน์แนวคิดนี้ การเคลื่อนไหวของศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความคิดที่สดใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเชียงราย ล่าสุดคือ นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์”

นิทรรศการนี้จัดแสดงโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ผู้ย้ายมาอยู่เชียงรายและสนใจงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับศิลปินรับเชิญ NANZI Nanzi Meechumna โดยใช้พื้นที่ของ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) เป็นพื้นที่ทดลอง

แก่นสารของงาน เป็นงานทดลองขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น บนชั้นสองของร้านกาแฟ ที่สำรวจ สภาวะจิตภายใน” ผ่านความสัมพันธ์บนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลและวาทกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดความคาดหวัง ความวิตกกังวล และการ นอยซ์” ภายในจิตใจ

  • งานทดลองกึ่ง Site-Specific: งานนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งเชื่อมโยงตัวตนบนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพในร้านกาแฟ
  • การเชื่อมโยงบริบท: สะท้อนความสัมพันธ์ของการกระทำที่ก่อให้เกิด ความนอยซ์” ที่ส่งคลื่นแทรกซ้อนไปในบริบทภายนอก พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมมองกลับเข้าสู่ภายในตัวเอง เพื่อสำรวจคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการตัดสินและความคาดหวังทางสังคม

นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์” จะจัดแสดงที่ OBOON Coffee House (ชั้นสอง) ตั้งแต่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 08.00 – 17.00 น. โดยมีการเปิดตัวในวันที่ 13 กันยายน เวลา 16.30 น. ซึ่งภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม Mangos(on)teen เปิดทำการอีกด้วย

การเกิดขึ้นของนิทรรศการเช่นนี้ในพื้นที่ของคาเฟ่ เป็นการตอกย้ำว่าเชียงรายมีศักยภาพในการเป็น เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่มีชีวิตชีวาด้วยตัวเอง การนำเสนอผลงานที่ลึกซึ้งและทันสมัยเช่นนี้ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างร้านกาแฟ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เชียงรายไม่ต้องรอให้ใครมาจุดไฟ แต่สามารถสร้างแสงสว่างให้ตัวเองได้ตลอดปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TRAVEL

สิ้นสุดยุคทัวร์ชะโงก เชียงรายต้องเร่งพัฒนา AI รับมือ 10 เทรนด์ท่องเที่ยวโลก 2026

เชียงราย สามารถตอบรับได้ 7 จาก 10 เทรนด์หลัก ด้วยศักยภาพด้านอากาศเย็น-ธรรมชาติ-วัฒนธรรมชนเผ่า แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว

เชียงราย, 1 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกที่กำลังเข้าสู่ปี 2026 จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “พร้อมแค่ไหนในการรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว”

รายงานเชิงลึกจากศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึง 10 แนวโน้มหลักของการท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกจุดหมายปลายทาง โดยมีแกนหลักอยู่ที่การเดินทางที่เน้นเจตจำนง ความยั่งยืน และการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของยุค “ทัวร์ชะโงก” และนำไปสู่การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และชุมชน

รายงานเชิงลึกจากหน่วยงานด้านตลาดการท่องเที่ยวและสถาบันวิจัยระดับนานาชาติ (TAT Academy, Mastercard Economics Institute, Virtuoso, Intrepid Travel ตลอดจนผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์) ชี้ประเด็นร่วมกันว่า นักเดินทางยุคใหม่กำลังมองหา “ประสบการณ์ที่มีเจตจำนงและคุณค่า” มากกว่า “ภาพถ่ายที่ได้เช็กอินครบทุกจุด” ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการปรับตัวของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั่วโลก—โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีธรรมชาติบริสุทธิ์อากาศเย็น วิถีชุมชนแท้ และบริการสุขภาพองค์รวมครบวงจร

และเมื่อย้อนมองเชียงราย—ซึ่งประกาศเป้าหมาย 20 ปีให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองแห่งสุขภาพ–เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง–พัฒนาอย่างยั่งยืน”—หลายฟันเฟืองที่เมืองนี้เดินไว้ล่วงหน้า กลับกลายเป็น “คำตอบตรงจังหวะ” ของ 10 เทรนด์ 2026 อย่างน่าสนใจ ซึ่ง 10 เทรนด์ท่องเที่ยวของโลก 2026 คือ

1) Coolcation Travel — “หนีร้อนสู่ขุนเขา” จุดแข็งโดยธรรมชาติของเชียงราย

คลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงทั่วโลกผลักให้นักท่องเที่ยวมองหาจุดหมายปลายทางที่อากาศเย็นกว่า มีภูเขาและป่าไม้ล้อมรอบ เทรนด์ “Coolcation” จึงพุ่งขึ้นเป็นตัวเลือกหลักของกลุ่มกำลังซื้อกลางถึงสูง เชียงรายมี “สินทรัพย์ธรรมชาติ” ตรงโจทย์—อุณหภูมิที่นุ่มนวลกว่าเมืองใหญ่ภาคกลาง–ภาคใต้ ช่วงฤดูหนาว–ปลายฝนมีหมอกไหล ภูเขาซ้อนคลื่น วิวพรีเมียมในระยะเดินทางสั้น ๆ จากตัวเมือง

2) Slow Travel — “น้อยเมือง–นานวัน–ลึกประสบการณ์”

แนวคิด “อยู่ให้นานขึ้น–รู้จักให้ลึกขึ้น” ทำให้เมืองรองที่มีจังหวะเนิบช้าได้รับความนิยม เชียงรายมีองค์ประกอบพร้อม เมืองขนาดกะทัดรัด–ขับรถสั้น ๆ ถึงชุมชนหัตถกรรม–ไร่กาแฟ–งานศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น กรณีตัวอย่างเช่นแพ็กเกจ “Active Senior 50+ – Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่จัดเส้นทาง 2 วันขึ้นไป ผสานพิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัดร่วมสมัย คาเฟ่ริมแม่น้ำ และโฮมคาเฟ่ชุมชน—เป็นภาพสะท้อนว่าตลาดพร้อมทดลอง “สโลว์–ดีพ–มีความหมาย”

3) Off-Season Travel — “หน้าฝน–ปลายฝน–ต้นหนาว” จากช่วงโลว์ สู่ช่วงรัก

การท่องเที่ยวนอกฤดู (off-season/shoulder season) ทำให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความแออัด มีพื้นที่สงบ และได้ราคาคุ้มค่า เชียงรายมี “เสน่ห์หน้าฝน”—เขียวชุ่ม ต้นน้ำไหล อากาศเย็นในบางอำเภอ หากมีแผนกิจกรรมเชิงธรรมชาติ–ศิลปวัฒนธรรม–เวิร์กชอป–คาเฟ่–สปา–ชุมชนรองรับ ก็สามารถเปลี่ยน “หน้าที่เคยเงียบ” ให้กลายเป็น “หน้าที่คนรัก”

4) Solo Travel — “อิสระ–ปลอดภัย–มีเพื่อนร่วมทางเมื่ออยากมี”

การเดินทางคนเดียวโดยเฉพาะนักเดินทางหญิงเติบโตเร็ว เงื่อนไขที่จุดหมายต้องมีคือความปลอดภัย การเดินทางสาธารณะสะดวก การต้อนรับเป็นมิตร และกิจกรรมที่คนเดียวก็สนุก เชียงรายมีเมืองที่เดินง่าย–คาเฟ่–สตูดิโอศิลป์–ชุมชนสร้างสรรค์–คอร์สสั้นและกิจกรรมเชื่อมคนแปลกหน้าผ่านงานคราฟต์/กาแฟ/โยคะ

5) Foodie Travel — “กินดี–ทำเอง–เข้าใจชุมชน”

เทรนด์อาหารปี 2026 เน้นอาหารท้องถิ่น–เอกลักษณ์–พร้อม “ลงมือทำ” เชียงรายมีทุนทางอาหาร–กาแฟ–ชา–ผักผลไม้ภาคเหนือ–ครัวชุมชน–โฮมคาเฟ่ รวมถึงเชฟ/ร้านที่หยิบจับวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูร่วมสมัย

6) Hyper-personalised Travel — “ทริปที่ใช่ ไม่ใช่ทริปที่เยอะ”

การออกแบบเส้นทางด้วยข้อมูลความสนใจรายบุคคล กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ เชียงรายมี “พาเลตต์ประสบการณ์” หลากหลาย แต่ยังต้องการ “โครงข้อมูล” ที่ต่อกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อคัดสรรทริปที่เหมาะกับบุคคล (เช่น ศิลป์–สุขภาพ–กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ–ถ่ายภาพ)

7) AI Fellow Travel — “เอไอเป็นเพื่อนร่วมทริป”

แนวโน้มปี 2026 ชี้ว่า AI จะช่วยวางแผน–จอง–อัปเดตความหนาแน่นจุดท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ เชียงรายควรมี ข้อมูลเปิด (open data) เช่น เวลาแออัด, ที่จอด, เส้นทางสั้น–ปลอดภัย, สภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ, งานอีเวนต์—เพื่อให้แชตบอต/เอไอของผู้เดินทาง “คุยกับเมือง” ได้

8) Holistic Travel — “เกินกว่า Wellness ฟื้นกาย–ใจ–อารมณ์แบบวัดผลได้”

โลกกำลังขยับจาก Wellness สู่ Holistic Travel—เน้นผลลัพธ์วัดได้ เช่น การนอน (sleep), การหายใจ/เยียวยาด้วยธรรมชาติและสายน้ำ (blue health), การพักเงียบ (silent retreat) เชียงรายประกาศทิศ “Wellness City” โดยมีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และเครือสาธารณสุขเป็นแกนวิชาการ/บริการ จุดแข็งคือธรรมชาติ–ศิลป์–วัฒนธรรมที่ช่วยซัพพอร์ตสุขภาวะเชิงลึก

9) Value-Driven Travel — “เที่ยวที่สะท้อนคุณค่า–คืนคุณค่าให้พื้นที่”

นักเดินทางเลือกจุดหมายที่เคารพสิ่งแวดล้อม มีความเป็นธรรม สนับสนุนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ “มีส่วนร่วม” เชียงราย—ด้วยโครงเรื่องเมืองสร้างสรรค์–ชุมชนเข้มแข็ง–หัตถกรรม/เกษตรคุณค่า—มีฐานพร้อมเปลี่ยนจาก “ผู้ชม” เป็น “ผู้ร่วมสร้าง”

10) Low-Carbon Luxury — “ลักชัวรีสายเขียว–เดินทางช้าลงแต่ลึกขึ้น”

กลุ่มลักชัวรีพร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืน (มีงานวิจัยระบุสัดส่วนสูงกว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรายได้สูงยอมจ่ายเพิ่มเพื่อทางเลือกที่ยั่งยืน) ความคาดหวังคือ carbon-tracking ของแพ็กเกจ การลดการบินต่อ การใช้รถไฟ/รถไฟหรู/EV การเข้าพักที่มีมาตรฐานพลังงานสะอาด–ของเสียต่ำ เชียงรายมีโรงแรมบูทิก–รีสอร์ตธรรมชาติหลายระดับและภูมิประเทศเอื้อต่อ “ความหรูสงบ” แต่ยังต้องยกระดับโครงสร้างสีเขียวและหลักฐานการลดคาร์บอนที่ตรวจสอบได้

 

การวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลภาคสนามและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับเทรนด์เหล่านี้ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านธรรมชาติ ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังคงมีช่องว่างสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการบริการที่ต้องเร่งพัฒนา

พันดาว 1000 Stars

จุดแข็งเด่นชัด อากาศเย็นและธรรมชาติ ตอบโจทย์เทรนด์ “Coolcation Travel”

หนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายคือความสามารถในการตอบสนองต่อเทรนด์ “Coolcation Travel” หรือการท่องเที่ยวเพื่อหนีความร้อน ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสหลักของตลาดโลก รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และ Virtuoso ระบุตัวเลขที่น่าสนใจว่า 82 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีพิจารณาจุดหมายปลายทางที่มีสภาพอากาศเย็นกว่า เนื่องจากทั่วโลกได้เผชิญกับปีที่ร้อนระอุมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023

เชียงรายด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิสามารถลดลงต่ำถึง 10-15 องศาเซลเซียส พื้นที่อย่างดอยตุง ดอยแม่สลอง และพื้นที่บนเขาในอำเภอเชียงของและอำเภอแม่สรวย ล้วนเป็นจุดหมายที่มีอากาศเย็นสบาย รายล้อมด้วยป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ข้อได้เปรียบนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่รายงานโดย Intrepid Travel ซึ่งระบุถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจุดหมายปลายทางที่มีทะเลสาบ ป่าไม้ และอากาศบริสุทธิ์ เชียงรายจึงมีโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและอากาศเย็นสบายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเขตเมืองใหญ่ที่ต้องการหนีความร้อนจากช่วงฤดูร้อน

Athu Akhahome

การท่องเที่ยวแบบ “ช้าๆ” และนอกฤดู ศักยภาพที่พร้อมใช้

เทรนด์ “Slow Travel” หรือการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเพื่อซึมซับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่เชียงรายมีศักยภาพสูงในการรองรับ จากข้อมูลโปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าเชียงรายสามารถนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เน้นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ไม่เร่งรีบ และเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรแกรมดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านดำ วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น การเรียนรู้งานศิลปะที่ขัวศิลปะ และการแวะเยี่ยมชุมชน Athu Akha Home ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าอาข่า กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เน้นการเดินทางเร่งรีบเปลี่ยนสถานที่ทุกชั่วโมง แต่มุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

การท่องเที่ยวในแบบนี้สอดคล้องกับรายงานของ The Getaway Co. ซึ่งระบุว่านักเดินทางในปี 2026 ต้องการใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง มากกว่าการเปลี่ยนเมืองใหญ่หลายแห่งภายในห้าวัน พวกเขาต้องการ “สัมผัส” สถานที่นั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “มองเห็น” เชียงรายซึ่งมีเมืองหลวงขนาดกะทัดรัด มีชุมชนท้องถิ่นที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม และมีแหล่งท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ในรัศมีไม่ไกลเกินไป จึงเหมาะสมกับการท่องเที่ยวแบบนี้อย่างยิ่ง

นอกจากนี้ เทรนด์ “Off-Season Travel” หรือการท่องเที่ยวนอกฤดูก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเชียงราย เนื่องจากจังหวัดนี้มีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้ในฤดูหนาว ทุ่งข้าวเขียวชอุ่มในฤดูฝน หรือบรรยากาศเงียบสงบในช่วงไหล่ฤดู การท่องเที่ยวนอกฤดูช่วยให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและเข้าถึงประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เชียงรายสามารถนำเสนอได้โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างใหม่มากนัก

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร จุดขายที่แข็งแกร่ง

เทรนด์ “Value Driven Travel” และ “Foodie Travel” เป็นอีกสองประเด็นที่เชียงรายมีความโดดเด่น เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ เช่น อาข่า ลาหู่ ยาว ม้ง ซึ่งแต่ละชนเผ่ามีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

โปรแกรม Athu Akha Home ที่ปรากฏในแผนการท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่มีคุณค่า นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เรียนรู้วิถีชีวิต ประเพณี และงานฝีมือท้องถิ่น การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิด “Authenticity is the new luxury” ที่รายงานโดย TAT Academy และหลายหน่วยงานระดับโลก ซึ่งระบุว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ได้แสวงหาโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดหรือจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ต้องการประสบการณ์ที่ “เป็นจริง” และสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นได้

ด้านอาหาร เชียงรายมีความหลากหลายทางอาหารท้องถิ่นที่โดดเด่น ทั้งอาหารล้านนา อาหารชนเผ่า และอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ร้านอาหารต่างๆ ที่ปรากฏในโปรแกรมท่องเที่ยว เช่น บ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพในการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชียงรายจะมีความหลากหลายของอาหารท้องถิ่น แต่ยังขาดการพัฒนาในด้าน “ประสบการณ์การทำอาหารด้วยตนเอง” (hands-on cooking experience) ที่เป็นส่วนสำคัญของเทรนด์ Foodie Travel ในปี 2026 ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ต้องการแค่ลิ้มลอง แต่ต้องการลงมือทำด้วยมือของตนเอง การพัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นหรืออาหารชนเผ่าที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่เชียงรายควรเร่งพัฒนา

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โอกาสที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่

เทรนด์ “Holistic Travel” หรือการเดินทางเพื่อเยียวยาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามภาวะการอดนอนว่าเป็น “การระบาดด้านสุขภาพทั่วโลก” ซึ่งทำให้การเดินทางที่มุ่งเน้นการพักผ่อน การฟื้นฟู และการเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้รับความสนใจอย่างสูง

เชียงรายมีศักยภาพในการรองรับเทรนด์นี้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักผ่อน ความเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ และบรรยากาศธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดหายไปคือโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ตอบสนองต่อเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเฉพาะทาง เช่น Sleep Tourism, Blue Health Travel และ Silent Retreats ซึ่งต้องการเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

รายงานจาก Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าโรงแรมระดับไฮเอนด์ในต่างประเทศได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น เตียงอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจและรูปแบบการหายใจ ระบบแสงสว่างตามวงจรชีวิต และเมนูอาหารที่ปรับสมดุลเมลาโทนิน แม้ว่าเชียงรายจะมีโรงแรมและรีสอร์ตจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีระดับนี้ยังไม่แพร่หลาย

อีกทั้ง แนวคิด Silent Retreats หรือการเดินทางเพื่อความเงียบ ซึ่งมุ่งเน้นการทำสมาธิโดยไม่มีการพูดคุย เขตปลอดหน้าจอ หรือการพักในเคบินที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง แม้ว่าเชียงรายจะมีพื้นที่ธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโปรแกรมประเภทนี้ก็ตาม การวิจัยระบุว่าการใช้เวลาในความเงียบช่วยลดฮอร์มอนความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และอาจส่งเสริมการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับจังหวัดที่ต้องการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ช่องว่างด้านเทคโนโลยี ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

หนึ่งในจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายในการรองรับเทรนด์การท่องเที่ยว 2026 คือช่องว่างด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเทรนด์ “Hyper-personalised Travel” และ “AI Fellow Travel” ซึ่งเป็นแกนหลักของประสบการณ์การท่องเที่ยวในอนาคต

รายงานของ TAT Academy ระบุว่านักท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ต้องรอให้ใครมาจัดทริปให้ พวกเขาสามารถใช้โลกออนไลน์ ทั้งโซเชียลมีเดียและปัญญาประดิษฐ์เพื่อออกแบบการเดินทางที่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการและตอบโจทย์ประสบการณ์ส่วนตัว ในอนาคตอันใกล้ AI จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือ แต่จะกลายเป็น “เพื่อนร่วมเดินทาง” ที่ช่วยวางแผน จอง และจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการ

สิ่งที่เชียงรายยังขาดหายไปคือระบบข้อมูลดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ไปจนถึงการอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI จำเป็นต้องใช้ในการให้คำแนะนำที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบจองออนไลน์ที่ทันสมัย ระบบชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่น่าสนใจ

Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อและการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้หมายความว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การฝึกอบรมผู้ประกอบการ และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวที่ครอบคลุมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

Solo Travel และความปลอดภัย ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

เทรนด์ “Solo Travel” หรือการเดินทางคนเดียวกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิง การเดินทางคนเดียวถูกมองว่าเป็นวิธีแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และเป็นรูปแบบที่ทรงพลังของการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยและการต้อนรับที่อบอุ่นสำหรับนักเดินทางคนเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญที่จุดหมายปลายทางต้องให้ความสำคัญ เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังขาดระบบสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น โรงแรมหรือที่พักที่ออกแบบมาสำหรับผู้เดินทางคนเดียวโดยเฉพาะ ทัวร์ “Solo Together” ที่จัดขึ้นสำห

รับนักเดินทางคนเดียวเพื่อสร้างการเชื่อมต่อโดยไม่มีข้อผูกมัด หรือแม้แต่แอปพลิเคชันและระบบข้อมูลที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวเดี่ยวรู้สึกปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ประเด็นด้านภาษาและการสื่อสารยังเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางคนเดียว การขาดข้อมูลภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่ครอบคลุมในสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และระบบขนส่งสาธารณะ อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่มั่นใจและลดความสนใจในการเลือกเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเดินทางคนเดียว

Social-First Itineraries และพลังของโซเชียลมีเดีย

อีกหนึ่งเทรนด์ที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญคือการที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok และ Instagram Reels ได้กลายเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ดูดี ถ่ายรูปสวย หรือกลายเป็นไวรัล สามารถทำให้จุดหมายปลายทางบางแห่งได้รับความนิยมอย่างมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

เชียงรายมีจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงในการกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะวัดร่องขุ่นที่มีสถาปัตยกรรมสีขาวล้วนที่โดดเด่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำที่มีความลึกลับและศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ทุ่งดอกไม้และวิวทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นความท้าทายใหม่ที่เชียงรายต้องเผชิญ

การที่สถานที่แห่งหนึ่งกลายเป็นไวรัลอาจนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประสบการณ์ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) การสร้างกฎระเบียบที่เหมาะสม และการสื่อสารกับชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสดังกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน

Low-Carbon Luxury Travel โอกาสสำหรับตลาดระดับสูง

เทรนด์ “Low-Carbon Luxury Travel” หรือการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีที่เน้นการลดคาร์บอน เป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ผลสำรวจในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับตัวเลือกที่มีความยั่งยืนมากกว่า

เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาตลาดนี้ โดยเฉพาะการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสานความหรูหราเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่แล้วเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดมายังเชียงราย การพักในรีสอร์ตที่ใช้พลังงานหมุนเวียน การรับประทานอาหารออร์แกนิกจากฟาร์มท้องถิ่น และการมีระบบติดตามคาร์บอนในแพ็กเกจการเดินทาง ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทรนด์นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนที่ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักความยั่งยืน และชุมชนท้องถิ่นที่ต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม

กรณีศึกษา โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย”

โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นตัวอย่างที่ดีของการพยายามตอบรับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ โปรแกรมนี้ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างวัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงการเรียนรู้ศิลปะที่ขัวศิลปะ และการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชนเผ่าที่ Athu Akha Home

โปรแกรมดังกล่าวตอบโจทย์เทรนด์ Slow Travel ด้วยการจัดกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบ ให้เวลานักท่องเที่ยวได้สัมผัสและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเทรนด์ Value Driven Travel ด้วยการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นและการให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ การเลือกร้านอาหารท้องถิ่นอย่างบ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth ยังตอบโจทย์เทรนด์ Foodie Travel ที่เน้นการลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์

การเลือกที่พักอย่าง เดอะ เลเจนด์ เชียงราย บูทิค รีสอร์ท ที่เป็นโรงแรมบูทิคขนาดเล็ก ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ใช่โรงแรมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบเหมือนกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนและจัดการการเดินทาง การเพิ่มกิจกรรมที่เน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น โยคะ สมาธิ หรือการออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ และการมีระบบติดตามคาร์บอนเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ Low-Carbon Luxury Travel

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สิ่งที่เชียงรายต้องทำเพื่อก้าวสู่ 2026

จากการวิเคราะห์ความสามารถของเชียงรายในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลก มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้

ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

  1. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน รวมถึงระบบอัปเดตเรียลไทม์
  2. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ เช่น ระบบจองออนไลน์ ระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI-ready เพื่อรองรับการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ด้านความปลอดภัยและบริการ

  1. พัฒนาระบบสนับสนุนนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น ที่พักที่เหมาะสม ทัวร์ Solo Together และแอปพลิเคชันความปลอดภัย
  2. ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านภาษาต่างประเทศในทุกจุดบริการ
  3. สร้างเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

  1. ส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรม Silent Retreats และ Wellness Programs ที่มีคุณภาพ
  2. สนับสนุนให้โรงแรมและรีสอร์ตลงทุนในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการนอนหลับ
  3. พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและการเยียวยาจิตใจ

ด้านความยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบติดตามและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับแพ็กเกจท่องเที่ยว
  2. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานประกอบการท่องเที่ยว
  3. พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านวัฒนธรรมและชุมชน

  1. เสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  2. พัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นและกิจกรรม hands-on experience ที่มีคุณภาพ
  3. สร้างกลไกการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนอย่างเป็นธรรม

ด้านการจัดการนักท่องเที่ยว

  1. พัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) ในจุดท่องเที่ยวหลัก
  2. สร้างช่องทางการสื่อสารและกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยว
  3. เตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางที่ต้องเดินหน้า

แม้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นในเชียงรายจะไม่ปรากฏในเอกสารที่นำมาประกอบข่าวนี้ แต่จากการวิเคราะห์รายงานของ TAT Academy สถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และหน่วยงานชั้นนำระดับโลกอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็น “อุตสาหกรรมบริการ” ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งประสบการณ์และคุณค่า”

Mastercard Economics Institute ย้ำว่าผู้บริโภคในปี 2026 มีความซับซ้อน ตระหนักถึงคุณค่า และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คำถามที่สำคัญที่สุดในการเดินทางในปี 2026 คือ “คุณไปทำไม” ไม่ใช่ “คุณไปไหน” การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการให้จุดหมายปลายทางอย่างเชียงรายปรับกระบวนทัศน์จากการ “ขายสถานที่” เป็นการ “นำเสนอความหมาย”

The Getaway Co. ซึ่งเป็นบริษัททัวร์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ได้สรุปไว้ว่า “การเดินทางในโลกยุคใหม่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มีสติ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความใส่ใจ วิธีการเดินทางมีความสำคัญพอๆ กับสถานที่ที่คุณไป”

เชียงรายยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นใน 3 เทรนด์หลัก ได้แก่:

  1. Coolcation Travel – ความได้เปรียบด้านภูมิอากาศเย็นและธรรมชาติ (ระดับความพร้อม: 90%)
  2. Slow Travel และ Off-Season Travel – วัฒนธรรมและชุมชนที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวแบบช้าๆ (ระดับความพร้อม: 80%)
  3. Value Driven Travel และ Foodie Travel – ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร (ระดับความพร้อม: 75%)

เทรนด์ที่มีความพร้อมปานกลาง ได้แก่: 4. Holistic Travel – มีพื้นฐานแต่ขาดโครงสร้างเฉพาะทาง (ระดับความพร้อม: 60%) 5. Low-Carbon Luxury Travel – มีโอกาสแต่ต้องลงทุนพัฒนา (ระดับความพร้อม: 55%)

เทรนด์ที่ยังมีความพร้อมต่ำและต้องเร่งพัฒนา ได้แก่: 6. Solo Travel – ขาดระบบสนับสนุนเฉพาะ (ระดับความพร้อม: 50%) 7. Hyper-personalised Travel – ขาดข้อมูลดิจิทัลและระบบ (ระดับความพร้อม: 40%) 8. AI Fellow Travel – ขาดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (ระดับความพร้อม: 30%)

เทรนด์ที่ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน: 9. Social-First Itineraries – มีศักยภาพแต่ขาดการจัดการที่เหมาะสม

ระยะเวลา 18 เดือนที่เหลือก่อนถึงปี 2026 เป็นช่วงเวลาทองสำหรับเชียงรายในการเร่งปิดช่องว่างเหล่านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น

การท่องเที่ยวในยุคใหม่ไม่ได้วัดความสำเร็จด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่วัดด้วยคุณภาพของประสบการณ์ ความยั่งยืนของผลกระทบ และความสามารถในการสร้างคุณค่าให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น เชียงรายมีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในยุค 2026 หากสามารถแก้ไขจุดอ่อนและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร 
  • ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย – รายงาน “10 Trends การท่องเที่ยว ที่ต้องรู้ในปี 2026” เผยแพร่เมื่อ 19 กันยายน 2568
  • Mastercard Economics Institute – “การพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 2026: จากการตะลอนเที่ยวสู่การเดินทางที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าและเจตจำนง”
  • The Getaway Co. – รายงาน “Unlock the Ultimate 2026 Travel Trends to Inspire Your Next Adventure” เผยแพร่เมื่อ 15 กรกฎาคม 2025
  • Virtuoso – การสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี ปี 2024
  • Intrepid Travel – รายงานแนวโน้มจุดหมายปลายทางยอดนิยม ปี 2024-2026
  • Eclectic Trends และ Travel Trade Days
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แผน 20 ปี เชียงราย สู่เมืองสร้างสรรค์-สุขภาพ-โลจิสติกส์ โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงรายเร่งทบทวนแผน 20 ปี สู่ “มหานครชายแดน” เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองสุขภาพ–โลจิสติกส์เชื่อม GMS ถ้าทำครบเกมรุก โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงราย, 30 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เมืองเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยตัวแทนกว่า 250 คน จากภาครัฐ ภาควิชาการ เอกชน และท้องถิ่น ภายใต้โจทย์เดียวกันว่า “แผน 20 ปี ของเชียงราย” ต้องถูก “ปรับจูน–ประกบ–เร่งเครื่อง” ให้เท่าทันโลกและบริบทใหม่ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ เชียงราย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เมืองแห่งสุขภาพ เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง พัฒนาอย่างยั่งยืน” ไปให้ถึงเส้นชัยตามกรอบ พ.ศ. 2566–2585

การประชุมเชิงปฏิบัติการฉบับทบทวนครั้งนี้มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และมี น.ส.ปัทมาภรณ์ จันทรคณา ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดฯ ชี้แจงกรอบดำเนินการ ว่าการทบทวนนี้สอดคล้องแนวทางของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ที่กำหนดให้ทุกจังหวัดปรับเป้าหมายพัฒนา “ทุก 5 ปี” เพื่อไม่ให้แผนระยะยาวล้าสมัย และเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่อัปเดตแล้วจริง

เส้นเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน จากจังหวัดปลายทางท่องเที่ยว สู่มหานครชายแดนที่ยั่งยืน

คำถามที่ทุกคนเฝ้าฟังคำตอบคือ—ถ้าทำตามแผนได้ครบ เชียงรายจะยืนอยู่จุดไหน?”
คำตอบถูกวางไว้ชัดในเอกสารประชุม เชียงรายจะก้าวเป็น “Sustainable Border Metropolis” เมืองชายแดนที่เติบโตด้วยความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ เชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับจีน–ลาวผ่านระเบียงเศรษฐกิจ R3A/NSEC และยืนหยัดด้วย “โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง–ซอฟต์เพาเวอร์ทรงพลัง–ฐานรากเข้มแข็ง–สิ่งแวดล้อมสมดุล”

4 ช่วงเวลา 20 ปี จังหวะก้าวที่ถูกกำหนด

  • ช่วงที่ 1 (2566–2570): ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เชิงสุขภาพ เกษตรปลอดภัย—สร้างแบรนด์และจุดจำหน่าย/กิจกรรมที่หนุนเศรษฐกิจฐานราก
  • ช่วงที่ 2 (2571–2575): เร่งผลักดัน UNESCO Creative City และ Geopark, เปิดใช้โครงสร้างพื้นฐานหลัก, เดินเครื่อง Smart City และ “นวัตกรรมการแพทย์”
  • ช่วงที่ 3 (2576–2580): ขยายบทบาทสู่ ศูนย์กลางสุขภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ดัน “เกษตรมูลค่าสูง” และจัดการทรัพยากรแบบสมดุล
  • ช่วงที่ 4 (2581–2585): ปิดเกมด้วย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง, เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง, เมืองคาร์บอนต่ำ, และ สังคมร่วมสมัยที่เท่าเทียม

จุดเด่นที่ “เริ่มทำแล้ว” ฐานรากกับฟันเฟืองที่หมุนอยู่จริง

ตลอดสองปีแรกของแผน จังหวัดรายงาน “ความคืบหน้าเชิงรูปธรรม” หลายมิติ ซึ่งเป็น “หมุดหมายตั้งต้น” ของการเปลี่ยนผ่าน

1.เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ / Soft Power เมือง

  • เชียงรายเดินเกมแบรนด์เมืองต่อเนื่อง ภายใต้กรอบเมืองสร้างสรรค์ และกิจกรรมระดับนานาชาติ (เช่น เทศกาลบอลลูนนานาชาติที่คว้ารางวัล) เพื่อยกระดับการรับรู้ พร้อมโยงสู่การยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตร–หัตถกรรม ด้วยดีไซน์/เรื่องเล่าที่จับใจ
  • เมืองหันจากการขาย “สถานที่” ไปสู่การขาย “ประสบการณ์” และ “อารมณ์ร่วม”—ตั้งแต่งานออกแบบเชิงวัฒนธรรมล้านนา จนถึงผลิตภัณฑ์กาแฟ/ชา/สิ่งทอที่เล่าเรื่องชุมชนได้
  1. เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) รับบท “สมองและหัวใจ” ของนวัตกรรมสุขภาพจังหวัด ผลักดันองค์ความรู้/งานวิจัย/หลักสูตร/บริการ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ผลิตภัณฑ์สมุนไพร/อาหารสุขภาพ ที่มีรากจากภูมิปัญญาล้านนา
  • สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลเครือข่าย เดินเกม “สุขภาพไปหาเมือง” เช่น โมเดลคลินิก/จุดตรวจ/ฉีดวัคซีนในพื้นที่ใช้ชีวิตจริง (ศูนย์การค้า/ชุมชน) ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ สร้างวัฒนธรรม “ดูแลตัวเองเป็นกิจวัตร”

2.ศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ รายงานความก้าวหน้าประมาณ 41% (คาดเปิดใช้งาน พ.ศ. 2571) ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมเหนือ-ลุ่มน้ำโขง-จีน บทบาท “ด่านเชียงของ/สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4” จะยิ่งโดดเด่น
  • โครงข่ายถนน/อุโมงค์/ทางลอดสำคัญในเมืองเดินหน้า (เช่น ทางลอดแยกศูนย์ราชการ), ระบบเชื่อม R3A ได้รับการเร่งรัด เพื่อรองรับคน–ของ–บริการสุขภาพข้ามแดน
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง (CEI) อยู่ในแผนยกระดับความจุและบริการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะเป็น “หมุดธุรกิจ” เสริมบทบาทการบิน/ท่องเที่ยว/ขนส่งในอนาคต

ถ้าดึง 3 ฟันเฟืองนี้ประสานกัน—การเดินทางสะดวก (Rail/Road/Air), เมืองมีซอฟต์เพาเวอร์จริงจัง, และบริการสุขภาพ–นวัตกรรมเข้าที่—เชียงรายจะเปลี่ยน “สถานะ” ทางเศรษฐกิจของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าทำครบ…เชียงรายจะยืนตรงไหนในแผนที่เศรษฐกิจ–สังคมของภาคเหนือและ GMS?

  1. เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง
    สถานะ UNESCO Creative City (และแผน Geopark) จะเป็น “ตราประทับคุณภาพ” ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อมกิจกรรมศิลปะ–วัฒนธรรม–การออกแบบ–เทศกาล สู่ผลิตภัณฑ์/บริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น ชุมชนมีรายได้กระจาย ไม่ใช่กระจุกในแลนด์มาร์กไม่กี่แห่ง
  2. ศูนย์กลางสุขภาพ GMS
    ด้วย “บันได 3 ขั้น”—(ก) โครงสร้างพื้นฐานเข้าถึงง่าย, (ข) นวัตกรรมการแพทย์/ผลิตภัณฑ์สุขภาพจาก มฟล.–สาธารณสุข, (ค) แพ็กเกจ Wellness & Medical Tourism—เชียงรายสามารถเป็น ศูนย์กลางส่งเสริมสุขภาพ สำหรับผู้คนจากลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้–นักเดินทางระหว่างประเทศ ที่ต้องการบริการคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้
  3. ศูนย์กลางโลจิสติกส์–การค้าชายแดน
    รถไฟทางคู่ไปถึงเชียงของ = ลดต้นทุน–เวลา ขยายคลัง/ศูนย์กระจายสินค้า/แปรรูป–บรรจุภัณฑ์ เกิดงานบริการต่อเนื่อง (ขนส่งเย็น, e-commerce cross-border, QC/มาตรฐานอาหารปลอดภัย) เมืองกลายเป็น “เครือข่ายศูนย์” ไม่ใช่ “ปลายเส้นทาง”
  4. เมืองคาร์บอนต่ำและสังคมเท่าเทียม
    โลจิสติกส์ระบบราง + ผังเมืองที่ดี + พลังงานสะอาด + การจัดการของเสีย–มลพิษ หมายถึงเส้นทางสู่ Net-Reduction ที่จับต้องได้ ขณะที่การกระจายรายได้ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์/สุขภาพ/โลจิสติกส์ จะค่อย ๆ อุดช่องว่าง SDG 1 (ความยากจน) ให้แคบลง

แต่ “จุดเสี่ยง–คอขวด” ก็ใหญ่พอ ๆ กับความฝัน

  • SDG 9 (นวัตกรรม–โครงสร้างพื้นฐาน) หากงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, ศูนย์ทดสอบ–มาตรฐาน, Sandbox นวัตกรรมเมือง ไม่ขยับเร็ว แพลน Smart City/HealthTech ในระยะที่ 2 จะช้า
  • SDG 7 (พลังงานสะอาด) เมืองคาร์บอนต่ำในระยะที่ 4 ต้องเริ่มลงทุน “วันนี้”—โซลาร์บนหลังคาสาธารณะ/เอกชน, EV logistics, โรงไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล–เศษวัสดุเกษตร, ศูนย์รีไซเคิล–แยกขยะต้นทาง
  • SDG 1 (ความยากจน) ถ้า “มูลค่าเพิ่ม” ไม่ซึมถึงฐานราก—เกษตรกร/แรงงานนอกระบบ/ผู้สูงอายุ การเติบโตจะกระจุก ไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องออกแบบ “Product–Skill–Market” สำหรับฐานรากอย่างเป็นระบบ

Roadmap เร่งด่วน 3 ข้อ (เพื่อไม่ให้พลาดโค้งสำคัญใน 5 ปีแรก)

  1. ทำ SDG 9 และ 7 ให้เป็น “KPI ข้ามหน่วยงาน”
    ตั้งงบกลางจังหวัดสำหรับ ดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานเมือง/ห้องทดลองมาตรฐาน และ โครงการพลังงานสะอาดในสถานที่สาธารณะ ที่วัดผลได้—เชื่อมตรงกับเป้าหมาย Smart City–คาร์บอนต่ำ
  2. ใช้ “จังหวะรถไฟ–R3A–สนามบิน” เป็นเครื่องเร่ง
    ก่อนรถไฟเปิดเต็มระบบ ควรทำ แพ็กเกจโลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–สุขภาพ ทดลองตลาดจีนตอนใต้/CLMV ผ่านถนน R3A พร้อมเชื่อมปฏิบัติการสนามบิน/ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ที่กำลังยกระดับ
  3. ยก “ดีไซน์” เป็นวาระจังหวัด–บ่มเพาะผู้ประกอบการฐานราก
    ต่อท่อความรู้จากมหาวิทยาลัย/ดีไซเนอร์ ไปยังเกษตรกร–วิสาหกิจชุมชน—ให้มีงบ “ออกแบบ–ต้นแบบ–แบรนด์–คอนเทนต์–ตลาดออนไลน์” แบบมืออาชีพต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อแปลง Soft Power เป็นรายได้จริง

เสียงจากเวทีและหมายเหตุเชิงนโยบาย

แม้เวทีวันนี้จะเป็นเชิงเทคนิค แต่สารตั้งต้นจากฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัดชัดเจน “ไม่ใช่แค่ทำแผนให้ครบ เรายิ่งต้อง ‘ทำงานแบบเครือข่าย’” — ภาครัฐ (จังหวัด/อำเภอ/อปท.), มหาวิทยาลัย (มฟล./มหาวิทยาลัยในพื้นที่), สาธารณสุข, เอกชน (ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การแพทย์–การบิน), ชุมชน ต้อง “ล็อกเป้าร่วม” และ “รายงานผลร่วม” ทุก 6–12 เดือน เพื่อให้ทุกโครงการ “คืบหน้าเท่ากัน” ไม่ใช่ไปเร็วเฉพาะบางเสาแล้วเหลื่อมล้ำในภาพรวม

ภาพที่เห็นได้ชัดหลังปิดการประชุมคือ “เชียงรายเริ่มมีร่างของมหานครชายแดน”—เส้นเลือดใหญ่กำลังก่อรูป, กล้ามเนื้อเศรษฐกิจสร้างสรรค์เริ่มขึ้นรูป, ปอดสีเขียว–สุขภาพเมืองกำลังถูกออกแบบ… “งานยาก” คือการทำให้ทุกอวัยวะ เต้นจังหวะเดียวกัน ตลอด 20 ปี

สรุปสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/หน่วยงาน

  • ธีมเมือง “ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ + สุขภาพ + โลจิสติกส์ชายแดน + คาร์บอนต่ำ” คือสูตรผสมที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ–วัฒนธรรม–พรมแดนของเชียงราย
  • ตัวเร่ง ทำ SDG 9 และ 7 ให้ “ขึ้นจริง” ใน 3 ปี—เพราะเป็นฐานของ Smart City, HealthTech, และคาร์บอนต่ำ
  • ตัวชี้ขาด โครงสร้างพื้นฐาน “เดินตามแผน” + กลไกกำกับแบบ KPIs ข้ามหน่วยงาน + เงินทุน/มาตรการจูงใจเอกชน
  • ภาพเส้นชัย เชียงรายเป็นเมืองปลายทางที่ผู้คน “อยากไป–อยู่ได้–ทำงานได้–รักษาพยาบาลได้–ค้าขายเชื่อมโลกได้” และฐานราก “อยู่ดี–มีกิน–สะอาด–เท่าเทียม”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย — กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) / ก.น.บ.
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) / สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมทางหลวง
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT
  • เครือข่ายการท่องเที่ยว/อุตสาหกรรมสร้างสรรค์จังหวัดเชียงราย
  • กรอบ SDGs ระดับจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News