Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เรื่องเล่า‘ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง’ สร้างฝันเด็กดอย สู่ปีกแห่งอนาคต

โครงการทุนการศึกษาพัฒนาเยาวชนชนเผ่าม้ง สู่เส้นทางช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน

เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ติดตามเรื่องราวของโครงการมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนชนเผ่าม้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดเชียงราย ให้มีโอกาสได้รับการศึกษาด้านช่างเครื่องยนต์และพัฒนาไปสู่สายงานช่างซ่อมบำรุงอากาศยานในอนาคต โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย  ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนชนเผ่าม้งจากดอยแม่สลองมาเรียนต่อที่ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย

จุดเริ่มต้นของโครงการทุนการศึกษา

นาวาอากาศตรี สมชนก ศรีปัญญา ได้กล่าวถึงที่มาของโครงการนี้ว่าเกิดขึ้นจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนาโต่ และพบกับนักเรียนที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาสทางการศึกษา ท่านจึงริเริ่มโครงการนำเด็ก ๆ จากพื้นที่ห่างไกลมาเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในสายวิชาชีพด้านเครื่องยนต์และช่างเทคนิค เพื่อต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมการบินที่กำลังเติบโต

หนึ่งในนักเรียนที่ได้รับทุนคือ นายโกศัลย์ ศรชัยปัญญา ซึ่งได้เข้าศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาเทคนิคเครื่องกล วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย และสามารถเรียนจบได้ด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม

เส้นทางแห่งความสำเร็จและเป้าหมายในอนาคต

หลังจากสำเร็จการศึกษาในระดับ ปวส. นายโกศัลย์มีเป้าหมายต่อไปคือการศึกษาภาษาอังกฤษให้เชี่ยวชาญ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่หลักสูตรช่างซ่อมบำรุงอากาศยานของ สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) โดยตำราทั้งหมดจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่นาวาอากาศตรี สมชนก ศรีปัญญา ได้สนับสนุนเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนจากพื้นที่ชนบทสามารถเข้าสู่สายงานอุตสาหกรรมการบินที่มีมาตรฐานระดับสากล

การสนับสนุนจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพเพื่อรองรับโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนที่ได้รับทุนสามารถทำงานใน Back Shop ของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานได้ทันทีหลังจากจบการศึกษา

เสียงสะท้อนจากผู้ได้รับทุนการศึกษา

นายโกศัลย์ ศรชัยปัญญา ได้เขียนจดหมายขอบคุณถึงผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย โดยระบุว่าหากไม่ได้รับทุนการศึกษานี้ ตนเองอาจไม่มีโอกาสได้เรียนต่อจนจบระดับ ปวส. พร้อมทั้งแสดงความตั้งใจที่จะนำความรู้ไปพัฒนาอาชีพและตอบแทนสังคมต่อไป

โครงการ AOT – CEI – CSR : ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย สร้างอนาคตชวนน้องลงดอย มาเป็นช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน

ย้อนกับไปวันที่ 18 เมษายน 2566 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย และตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 ดำเนินโครงการ “AOT – CEI – CSR ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย สร้างอนาคต ชวนน้องลงดอยมาเป็นช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน” เพื่อสนับสนุนเยาวชนจากพื้นที่ห่างไกลให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาในระดับอาชีวะ

เส้นทางการศึกษาสู่ช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน

โครงการนี้มุ่งเน้นให้นักเรียนจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่อยู่บนดอยสูง ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับ ปวช. และ ปวส. ที่วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย โดยได้รับทุนการศึกษาครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้เรียนรู้ด้านช่างเครื่องยนต์ และเตรียมความพร้อมในวิชาพื้นฐานด้านช่างซ่อมบำรุงอากาศยานของ FAA ซึ่งเป็นองค์ความรู้สากลเพื่อพัฒนาไปสู่ระดับนานาชาติ

นักเรียนทุนที่ได้รับโอกาส

ภายใต้โครงการนี้ นักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษา ได้แก่

  1. นายเด่นชัย ลาหู่
  2. นายจะจู ลาหู่นะ
  3. นายพงศกร ลาหู่
  4. นายนรภัทร ลุงหล้าคำ

เยาวชนเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนตลอดหลักสูตร และเมื่อสำเร็จการศึกษา จะมีโอกาสเข้าทำงานในโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

นักศึกษาที่ประสบความสำเร็จจากโครงการ

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของโครงการ คือ นายโกศัลย์ ศรชัยปัญญา นักศึกษาระดับ ปวส. ที่ได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย และสามารถเรียนจบตามเป้าหมายของตนเอง โดยเขาได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อผู้อำนวยการท่าอากาศยาน และทีมงานสนามบินที่ให้โอกาสเขาได้ศึกษาต่อจนสำเร็จ

เป้าหมายและอนาคตของโครงการ

โครงการ AOT – CEI – CSR มีเป้าหมายในการสร้างโอกาสให้เยาวชนจากพื้นที่สูงที่ขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา ได้มีเส้นทางการเรียนรู้ที่สามารถนำไปสู่การประกอบอาชีพที่มั่นคงในอนาคต ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอากาศยานของประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า มีนักเรียนในพื้นที่สูงที่ต้องการศึกษาต่อระดับอาชีวะกว่า 10,000 คน แต่มีเพียง 30% ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐและเอกชน
  • ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในไทยคาดการณ์ว่า จะต้องการช่างเทคนิคเพิ่มขึ้นกว่า 5,000 ตำแหน่งภายในปี 2570 (ที่มา: กรมการบินพลเรือน, 2567)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเป็นหนึ่งในสนามบินหลักที่มีแผนพัฒนาโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต (ข้อมูลจาก AOT, 2567)

แนวโน้มและสถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) ปี 2567 ระบุว่า เยาวชนจากพื้นที่ชนเผ่าและพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทยกว่า 60% ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์ อย่างไรก็ตาม โครงการทุนการศึกษาเช่นนี้สามารถช่วยเพิ่มอัตราการเข้าถึงการศึกษาและพัฒนาทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบินที่คาดว่าจะเติบโตขึ้น 15% ต่อปีในทศวรรษหน้า (ที่มา: กระทรวงศึกษาธิการ, 2567)

สรุป

โครงการทุนการศึกษานี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการสนับสนุนเยาวชนให้มีโอกาสพัฒนาตนเองและก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง โดยมีการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการสนับสนุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรม ความสำเร็จของนักเรียนที่ได้รับทุนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโอกาสทางการศึกษาและความมุ่งมั่นของเยาวชนในการพัฒนาตนเองเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566) / กรมการบินพลเรือน (2567) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT, 2567)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

“นักฉุกเฉินการแพทย์” ขาดแคลน! ม.พะเยา เป็นที่เดียวของภาคเหนือที่เปิดสอน

นักฉุกเฉินการแพทย์ฮีโร่! 10 สถาบันร่วมมือ ผลิต 15,000 คน

พะเยา, 8 มีนาคม 2568 – ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ต้องใช้การช่วยชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของ “นักฉุกเฉินการแพทย์” ซึ่งเป็นอาชีพที่ขาดแคลนและมีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตคนในยามวิกฤต]

อาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์: เสาหลักของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

ข้อมูลเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 นักฉุกเฉินการแพทย์เป็นอาชีพที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยมากนัก แต่เป็นอาชีพที่ขาดแคลนและจำเป็นอย่างยิ่งต่อสังคม โดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งมีสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนในระดับปริญญาเพียงแห่งเดียว คือ มหาวิทยาลัยพะเยา ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ในระดับปริญญามาแล้วประมาณ 13 ปี ปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษาสาขาฉุกเฉินการแพทย์เพียง 674 คน โดยสามารถผลิตบัณฑิตใหม่ได้เพียงปีละ 180-200 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ

ความร่วมมือเพื่อพัฒนาอาชีพฉุกเฉินการแพทย์

มหาวิทยาลัยพะเยา โดยอธิการบดี รองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ ร่วมเป็นหนึ่งใน 10 สถาบันที่ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายเพื่อผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์ โดยมีเป้าหมายผลิตบุคลากรให้ได้ 15,000 คนในระยะเวลา 10 ปี จากที่เคยผลิตได้เพียงปีละ 200 คน งานลงนามดังกล่าวได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และศาสตราจารย์ นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นสักขีพยาน ร่วมกับตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ

10 สถาบันที่เข้าร่วมประกอบด้วย:

  1. สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
  2. มหาวิทยาลัยมหิดล
  3. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  4. มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
  5. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  6. มหาวิทยาลัยพะเยา
  7. มหาวิทยาลัยบูรพา
  8. มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
  9. สถาบันพระบรมราชชนก
  10. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

บทบาทและความสำคัญของนักฉุกเฉินการแพทย์

นักฉุกเฉินการแพทย์ หรือ Paramedic เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานนอกโรงพยาบาล โดยมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตั้งแต่จุดเกิดเหตุจนถึงโรงพยาบาล พวกเขาจะต้องสามารถให้การช่วยชีวิตขั้นสูง เช่น การช่วยหายใจ การกู้ชีพ การจัดการภาวะฉุกเฉินด้านหัวใจ และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กู้ภัย หน่วยดับเพลิง และตำรวจ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

โอกาสทางอาชีพของนักฉุกเฉินการแพทย์

เมื่อสำเร็จการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ นักศึกษาจะมีโอกาสทำงานในหลากหลายสถานที่ ได้แก่:

  • หน่วยแพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาล
  • ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการฉุกเฉิน (EMS Dispatch Center)
  • หน่วยกู้ชีพและกู้ภัย
  • หน่วยสนับสนุนทางการแพทย์ในองค์กรต่างๆ เช่น ท่าอากาศยาน และสถานประกอบการขนาดใหญ่

โครงสร้างการศึกษาและการฝึกอบรม

การศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ใช้ระยะเวลา 4 ปี โดยนักศึกษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ:

  • กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
  • การกู้ชีพและช่วยชีวิตขั้นสูง (Advanced Life Support – ALS)
  • การใช้เครื่องมือแพทย์ฉุกเฉิน เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ และอุปกรณ์ช่วยหายใจ
  • การปฏิบัติการภาคสนามและการฝึกภาคปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง

ความท้าทายและแนวทางพัฒนาอาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์ในอนาคต

แม้ว่าประเทศไทยจะมีการพัฒนาด้านการแพทย์ฉุกเฉินมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องแก้ไข เช่น:

  • การขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากอัตราการผลิตบัณฑิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
  • การกระจายตัวของบุคลากร โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ยังขาดแคลนหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน
  • ความจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้บุคลากรมีความสามารถในการปฏิบัติงานในระดับสากลได้

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนักฉุกเฉินการแพทย์ที่ได้รับใบประกอบวิชาชีพเพียง 674 คน ขณะที่มีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้มีอัตราบุคลากรไม่เพียงพออย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล

นอกจากนี้ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าในปี 2567 มีการเรียกใช้บริการฉุกเฉินทางการแพทย์กว่า 2 ล้านครั้งต่อปี โดยอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุหลักที่ต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินสูงสุด

ข้อสรุป

อาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์เป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างมากในระบบสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากเป็นแนวหน้าในการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีอัตราการขาดแคลนบุคลากรสูง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีคุณภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยพะเยา / admissionpremium 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ไขข้อข้องใจ เหตุผลที่สายการบินเปิดบินเฉพาะฤดูกาล

เข้าใจระบบการจัดสรรเวลาการบินและผลกระทบต่อผู้โดยสาร

ประเทศไทย, 7 มีนาคม 2568 – อุตสาหกรรมการบินเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตารางบินซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก ได้แก่ ตารางบินฤดูร้อน และ ตารางบินฤดูหนาว ซึ่งมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการเส้นทางบินและการใช้ทรัพยากรของสายการบิน รวมถึงการรองรับความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร

หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดบางเส้นทางบินจึงเปิดให้บริการเฉพาะในบางช่วงของปี และบางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าสายการบินมีการยกเลิกเที่ยวบิน ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนตาม ฤดูกาลการบิน” (Season) ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดย สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association – IATA) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)

ฤดูกาลการบินคืออะไร?

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้กำหนดคำว่า ฤดูกาลการบิน” (Season) ไว้ในระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเวลาการเข้าออกสนามบินของอากาศยาน โดยกำหนดให้แบ่งตารางบินออกเป็นสองช่วง คือ:

  • ตารางบินฤดูร้อน (Summer Schedule – S): เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ไปจนถึงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคม มีระยะเวลาประมาณ 30 สัปดาห์
  • ตารางบินฤดูหนาว (Winter Schedule – W): เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ไปจนถึงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคมของปีถัดไป มีระยะเวลาประมาณ 22 สัปดาห์

เช่น W24/25 หมายถึง ตารางบินฤดูหนาวของปี 2024 จนถึงต้นปี 2025

เหตุผลที่สายการบินปรับตารางบินตามฤดูกาล

  1. ความต้องการเดินทางเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้สายการบินเปิดทำการบินเฉพาะบางช่วง คือ อุปสงค์ของผู้โดยสารที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ตัวอย่างเช่น:

  • ฤดูหนาว: นักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกามักเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหลีกหนีอากาศหนาว ทำให้มีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
  • ฤดูร้อน: การเดินทางในภูมิภาคเอเชียมีความคึกคักขึ้น เช่น การเดินทางในประเทศและภูมิภาคอาเซียน
  1. ข้อจำกัดของสนามบินและการจัดสรรเวลาการบิน (Slot Coordination)

สายการบินไม่สามารถกำหนดตารางบินเองได้โดยอิสระ แต่ต้องได้รับการจัดสรรเวลาบินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย สนามบินถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ ตามข้อกำหนดของ IATA:

  • ระดับ 1 (Non-Coordinated): สนามบินที่ไม่มีข้อจำกัดด้านความจุ
  • ระดับ 2 (Facilitated): สนามบินที่มีโอกาสเกิดความคับคั่งบางช่วง เช่น สนามบินเชียงรายและหาดใหญ่
  • ระดับ 3 (Coordinated): สนามบินที่มีข้อจำกัดด้านโครงสร้างและต้องมีการจัดสรรเวลาบิน เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่
  1. ปัจจัยด้านสภาพอากาศและเส้นทางบิน
  • ทิศทางลมและสภาพอากาศมีผลต่อการทำการบิน เช่น ฤดูหนาวในบางประเทศอาจมีหิมะตกหนัก ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือระงับเที่ยวบินชั่วคราว
  • เวลาออมแสง (Daylight Saving Time – DST) ทำให้ต้องปรับตารางบินให้สอดคล้องกับเวลาท้องถิ่นของประเทศปลายทาง

ตารางบินฤดูหนาว 2024/2025 (W24/25) และแนวโน้มของอุตสาหกรรมการบิน

จากข้อมูลของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า:

  • คาดว่าจะมีเที่ยวบินเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 427,994 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 124% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
  • ในจำนวนนี้ มี 370,239 เที่ยวบิน ที่ดำเนินการใน 6 สนามบินหลักของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
  • เส้นทางบินยอดนิยม ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ และฮ่องกง

การเปลี่ยนแปลงของผู้โดยสารในตารางบินฤดูร้อน 2025 (S25)

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ AOT คาดการณ์ว่าในช่วงตารางบินฤดูร้อน 2025 (S25) จะมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 2024

  • ผู้โดยสารในประเทศ: เพิ่มจาก 24 ล้านคนเป็น 32 ล้านคน
  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ: เพิ่มจาก 42 ล้านคนเป็น 55 ล้านคน
  • จำนวนเที่ยวบินคาดการณ์: เพิ่มขึ้นจาก 419,520 เที่ยวบินในปี 2024 เป็น 533,037 เที่ยวบินในปี 2025

ผลกระทบต่อผู้โดยสาร

การแบ่งฤดูกาลการบินส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสาร ดังนี้:

  1. การจองตั๋วเครื่องบินและตารางบิน
  • สายการบินมักเปิดให้จองตั๋วล่วงหน้า 1-2 ฤดูกาลการบิน (6-12 เดือน) ทำให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนเดินทางได้ง่ายขึ้น
  • บางสายการบินต้นทุนต่ำอาจเปิดตารางบินล่วงหน้า 3-4 ฤดูกาลการบิน ทำให้สามารถ จองตั๋วข้ามปีได้
  1. การเปลี่ยนแปลงของตารางบิน
  • เมื่อเปลี่ยนฤดูกาลการบิน อาจมีการ เพิ่ม ลด หรือเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน
  • เส้นทางบินใหม่มักถูกเปิดตัวในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล และมักมี โปรโมชั่นราคาพิเศษ
  1. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการยกเลิกเที่ยวบิน
  • หลายคนเข้าใจผิดว่าสายการบิน ยกเลิกเส้นทางบิน แต่แท้จริงแล้ว เป็นการเปิดให้บริการตามฤดูกาลการบิน
  • เส้นทางบางเส้นทาง เช่น เที่ยวบินเช่าเหมาลำสำหรับนักท่องเที่ยว มักถูกกำหนดให้มีเฉพาะบางช่วงของปี

สรุป

ตารางบินฤดูหนาวและฤดูร้อนถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้สายการบิน สามารถบริหารจัดการเส้นทางบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ สอดคล้องกับความต้องการเดินทางของผู้โดยสารในแต่ละช่วง การเข้าใจหลักการของฤดูกาลการบินจะช่วยให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างเหมาะสม ลดความสับสนเกี่ยวกับการเปิด-ปิดเส้นทางบิน และสามารถเลือกช่วงเวลาการเดินทางที่คุ้มค่าที่สุดได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : wingtips

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ริมโขงสองเมือง เชียงของ – นครพนม มุ่งหน้าสู่การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

เชียงของ vs นครพนม: เปรียบเทียบแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมฝั่งโขง

นครพนม, 6 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงของและนครพนมเป็นสองเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทย ทั้งสองเมืองมีโครงการพัฒนาที่โดดเด่น แต่มีแนวทางที่แตกต่างกันในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามแนวแม่น้ำโขงได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการค้าและการท่องเที่ยวอย่างเชียงของ จังหวัดเชียงราย และนครพนม ทั้งสองพื้นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนระหว่างไทย ลาว เมียนมา และจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองพื้นที่จะมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายกัน แต่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่กลับมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

การพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของนครพนม

นครพนมเป็นจังหวัดที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดมีโครงการ Mekong River Eye และ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ Maekhong River Eye ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเมืองให้กลายเป็น “Restination” หรือเมืองหลักแห่งการพักผ่อน การลงทุนในโครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 54.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น

รายละเอียดโครงการ Mekong River Eye นครพนม

  • โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขง ซึ่งรวมถึงสวนสาธารณะและชิงช้าสวรรค์ยักษ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
  • ระยะเวลาดำเนินการ 300 วัน โดยมีกำหนดสิ้นสุดโครงการในวันที่ 15 ตุลาคม 2568
  • การวางเป้าหมายเศรษฐกิจของนครพนม ให้มีอัตราการเติบโตของ GDP จังหวัดอยู่ที่ 7% ต่อปี และเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวจาก 5,000 ล้านบาทเป็น 8,700 ล้านบาทภายในปี 2571
  • การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว จาก 2.5 ล้านคน เป็น 3.68 ล้านคน ภายในปี 2571
  • กลยุทธ์ 5 สร้าง ได้แก่
    1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย
    2. การสร้างแบรนด์เมืองผ่านอัตลักษณ์ท้องถิ่น
    3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นภายใต้แนวคิด One Day One District (ODOD)
    4. การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ระดับสากล
    5. การยกระดับกิจกรรมระดับจังหวัดเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว

การพัฒนาเชียงของและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง

เชียงของเป็นอำเภอชายแดนที่มีศักยภาพในการเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ของภาคเหนือ โดยมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญหลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ และ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งเชียงของ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3,800 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา โครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขง และ พื้นที่นันทนาการใหม่ริมแม่น้ำโขง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

รายละเอียดโครงการพัฒนาเชียงของ

  • โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ มีระยะทาง 323.1 กิโลเมตร ผ่าน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย มีสถานีทั้งหมด 26 สถานี
  • โครงการพัฒนาเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขง และ พื้นที่นันทนาการ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักลงทุน เช่น ศูนย์โลจิสติกส์เชียงของ และ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO ของเชียงราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่
  • เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเชียงของ โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ และรองรับการขยายตัวของ ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor)

การเปรียบเทียบระหว่างนครพนมและเชียงของ

ปัจจัย

นครพนม

เชียงของ

ลักษณะพื้นที่

เมืองริมแม่น้ำโขง เน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวและนันทนาการ

เมืองชายแดน เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์

โครงการสำคัญ

Mekong River Eye, ชิงช้าสวรรค์ Maekhong River Eye

รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ, ศูนย์โลจิสติกส์, เขตเศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายหลัก

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพักผ่อน

พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน

งบประมาณโครงการ

54.5 ล้านบาท

มากกว่า 3,800 ล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวเป้าหมาย

3.68 ล้านคนภายในปี 2571

มุ่งเน้นการเติบโตของภาคโลจิสติกส์และการค้า

จากข้อมูลที่ได้รับ นครพนมและเชียงของมีแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อน ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจข้ามพรมแดน

ข้อดีของการพัฒนานครพนม:

  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว
  • สร้างงานในภาคบริการและการท่องเที่ยว
  • ดึงดูดนักลงทุนในภาคธุรกิจบริการ

ข้อเสียของการพัฒนานครพนม:

  • อาจต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
  • ใช้งบประมาณที่สูงในการก่อสร้าง แต่ผลตอบแทนอาจไม่แน่นอน

ข้อดีของการพัฒนาเชียงของ:

  • ส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดน และช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • มีโอกาสในการเติบโตระยะยาวจากการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและอาเซียน
  • โครงการโครงสร้างพื้นฐานช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในท้องถิ่น

ข้อเสียของการพัฒนาเชียงของ:

  • ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาและคืนทุน
  • อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและที่อยู่อาศัยของประชาชน

บทสรุป

ทั้ง นครพนมและเชียงของ ต่างมีแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมโขงที่แตกต่างกัน นครพนมเน้นการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการและวัฒนธรรม ผ่านโครงการชิงช้าสวรรค์และการสร้างอัตลักษณ์เมือง ในขณะที่ เชียงของเน้นพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการค้าไทย-จีน

แม้ว่าทั้งสองโครงการจะมีข้อดีและข้อเสีย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม / chiang khong tv / ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

เลือกตั้ง อบจ. 2568 ใครครองพื้นที่? เปิดผลสรุป 76 จังหวัดทั่วไทย

เจาะผลเลือกตั้ง อบจ. 68 เพื่อไทยมาแรง ภูมิใจไทยไม่น้อยหน้า

ประเทศไทย, 6 กุมภาพันธ์ 2568  – Rocket Media Lab เผยข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่ครบวาระทั้ง 47 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะที่อีก 29 จังหวัดได้มีการเลือกตั้งไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ขณะนี้มีการเลือกตั้งนายก อบจ. ครบทั้ง 76 จังหวัดแล้ว

ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ทั้ง 47 จังหวัด

จากผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า พรรคเพื่อไทยสามารถคว้าชัยชนะใน 14 จังหวัด รองลงมาคือพรรคภูมิใจไทย 10 จังหวัด พรรคพลังประชารัฐ 6 จังหวัด พรรคประชาธิปัตย์ 3 จังหวัด พรรคประชาชาติ 3 จังหวัด พรรคกล้าธรรม 2 จังหวัด พรรคประชาชน 1 จังหวัด และมีผู้ชนะเลือกตั้งในฐานะอิสระอีก 1 จังหวัด

เมื่อแบ่งพรรคที่ได้รับชัยชนะในแต่ละภาคของประเทศ พบว่า:

  • ภาคเหนือ: เพื่อไทย 4 จังหวัด, ประชาชน 1 จังหวัด, ภูมิใจไทย 2 จังหวัด

  • ภาคกลาง: พลังประชารัฐ 4 จังหวัด, ชาติไทยพัฒนา 2 จังหวัด, เพื่อไทย 2 จังหวัด, กล้าธรรม 1 จังหวัด

  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เพื่อไทย 5 จังหวัด, ภูมิใจไทย 4 จังหวัด, กล้าธรรม 1 จังหวัด, พลังประชารัฐ 1 จังหวัด

  • ภาคตะวันออก: เพื่อไทย 3 จังหวัด, อิสระ 3 จังหวัด

  • ภาคตะวันตก: ประชาธิปัตย์ 1 จังหวัด

  • ภาคใต้: ประชาธิปัตย์ 2 จังหวัด, รวมไทยสร้างชาติ 3 จังหวัด, ประชาชาติ 3 จังหวัด, ภูมิใจไทย 2 จังหวัด, พลังประชารัฐ 1 จังหวัด

ว่าที่นายก อบจ. ทั้ง 47 จังหวัด เป็นใครมาจากไหน

Rocket Media Lab ได้จัดกลุ่มว่าที่นายก อบจ. ทั้ง 47 คน พบว่า:

  • นายก อบจ. เดิม 29 คน

  • นักการเมืองท้องถิ่น 7 คน

  • นักการเมืองระดับชาติ 5 คน

  • หน้าใหม่ 6 คน (โดยในจำนวนนี้เป็นเครือญาตินักการเมือง 4 คน)

โดยมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ดังนี้:

  • นายก อบจ. เดิมสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้ถึง 43 คน

  • ว่าที่นายก อบจ. หน้าใหม่ 7 คน โดย 3 คนในจำนวนนี้เป็นเครือญาตินักการเมือง

บทสรุปการเลือกตั้ง นายก อบจ. 76 จังหวัด

เมื่อรวมผลการเลือกตั้งครบทั้ง 76 จังหวัด พบว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง 25 จังหวัด รองลงมาคือพรรคภูมิใจไทย 21 จังหวัด พรรคพลังประชารัฐ 9 จังหวัด พรรคประชาธิปัตย์ 3 จังหวัด พรรคประชาชาติ 3 จังหวัด พรรคกล้าธรรม 3 จังหวัด พรรคชาติไทยพัฒนา 2 จังหวัด พรรคประชาชน 1 จังหวัด และมีผู้ได้รับเลือกตั้งในฐานะอิสระอีก 3 จังหวัด

การเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2563

เมื่อนำผลการเลือกตั้งปี 2568 เปรียบเทียบกับปี 2563 พบว่า:

  • 39 จังหวัดยังคงรักษาพื้นที่ทางการเมืองเดิม

  • 37 จังหวัดมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทางการเมือง

พรรคที่สามารถขยายอิทธิพลได้มากที่สุดคือ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคพลังประชารัฐสูญเสียพื้นที่ไปบางส่วน

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

จากการเลือกตั้งครั้งนี้พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในหลายพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคการเมืองระดับชาติ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้สมัครหน้าใหม่ที่สามารถชิงชัยชนะได้ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ครองพื้นที่มาอย่างยาวนาน

ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะทำการตรวจสอบและรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการภายในวันที่ 3 มีนาคม 2568 และนายก อบจ. จะสามารถเข้ารับตำแหน่งภายในวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งจะเป็นการกำหนดทิศทางการบริหารท้องถิ่นในอีก 4 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : rocketmedialab

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

สื่อจีนมอง ‘กลยุทธ์ตัดไฟ-ตัดเน็ต’ ของขวัญไทยก่อนเยือน ‘รัฐบาลจีน’

ไทยใช้มาตรการเข้ม ปราบอาชญากรรมข้ามพรมแดน ได้ใจจีน รัฐบาลจีนชื่นชมมาตรการไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, 6 กุมภาพันธ์ 2568 jeenthainews รายงานว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนจีนเป็นวันที่สอง โดยพบปะกับผู้นำจีน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั้งสองฝ่าย คือมาตรการของรัฐบาลไทยที่ใช้จัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดน อาทิ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์และการพนันออนไลน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จีน หลิวชิ่งปิน ได้ให้ข้อมูลในเว็บไซต์ news.qq.com ของจีน ระบุว่าท่าทีของรัฐบาลจีนที่ชื่นชมมาตรการดังกล่าวของไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลไทยว่ามาตรการที่ดำเนินอยู่นั้นเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนอาจส่งผลให้ไทยได้รับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการด้านความมั่นคงเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ตชายแดนไทย-เมียนมา: ข้อพิสูจน์ความจริงจังของไทย

ก่อนเดินทางมายังกรุงปักกิ่ง นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้ออกคำสั่งให้ตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายสูงมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็น “ของขวัญ” ที่รัฐบาลไทยมอบให้แก่จีน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาที่จีนให้ความกังวลมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการในการฉ้อโกงประชาชนจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การดำเนินการครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับเสียงชื่นชมจากรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยว่าให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและความปลอดภัยในระดับภูมิภาค

กลยุทธ์ของแพทองธาร ได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตนายกฯ ทักษิณ

มีข้อสังเกตจากนักวิเคราะห์ว่า แนวทางของนายกรัฐมนตรีแพทองธารอาจได้รับการแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไทยควรเร่งให้ความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจและการค้า

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่าทักษิณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของไทยมาอย่างยาวนาน นโยบายของแพทองธารในครั้งนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องในแนวทางของพรรคเพื่อไทย ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว

การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลไทยก่อนการเยือนจีน มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางหลักที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนชาวจีนในไทย ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเดินทางเยือนจีนของแพทองธารในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมา

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในอนาคต

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการเยือนจีนครั้งนี้ คือการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) อย่างน้อย 14 ฉบับ ระหว่างไทยและจีน ในด้านต่างๆ อาทิ

  • โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับรถไฟจีน-ลาว
  • การขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่า ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าการดำเนินนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากจีน แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นักวิเคราะห์เตือนว่าหากไทยไม่สามารถรักษาความเข้มงวดของมาตรการเหล่านี้ได้ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของกลุ่ม BRICS ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยในอนาคต

บทสรุป

การเดินทางเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ไม่เพียงแต่ในด้านความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านข้อตกลงระดับทวิภาคีที่มีนัยสำคัญ

แม้ว่ามาตรการที่เข้มงวดของไทยจะได้รับการสนับสนุนจากจีน แต่รัฐบาลไทยยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : jeenthainews / 刘庆彬

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

คุยกับเหล่าทายาทรุ่นใหม่ ‘อทิตาธร’ 4 ป. ตัวช่วยหาเสียงสนามเลือกตั้ง อบจ.

เบื้องหลังทายาทการเมืองในการเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงราย 2568

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568 ได้จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งนายกอบจ.เชียงรายจำนวน 3 คน ได้แก่ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ อดีตนายกอบจ.เชียงรายสมัยที่ผ่านมา, นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ที่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย และคนสุดท้าย นางสาวจิราพร หมื่นไชยวงศ์ ผู้สมัครอิสระ

ในระหว่างการหาเสียงของแต่ละผู้สมัครนั้น มีหนึ่งเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในจังหวัดเชียงราย และได้รับการติดตามจากสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ตลอดการเลือกตั้ง นั่นคือการมีส่วนร่วมของทายาททางการเมืองที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ช่วยหาเสียง โดยเฉพาะในฝั่งของพรรคเพื่อไทยที่นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช มีผู้ช่วยหาเสียงที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากตระกูล ‘ติยะไพรัช’ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเมืองและกีฬาในจังหวัดเชียงราย

การเข้ามาของทายาททางการเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าได้มีการนำทายาทจากครอบครัวการเมืองเข้ามามีบทบาทในการหาเสียง โดยเฉพาะในฝ่ายของพรรคเพื่อไทยที่นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการการเมืองและกีฬา อย่าง ‘ฮั่น’ มิตติ ติยะไพรัช ผู้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลชื่อดังอย่างสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด , “สส.โฮม” ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย เขต 2 และ “ฮาย” ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช

การมีส่วนร่วมของลูกๆ ของทั้งสองตระกูลการเมืองนี้ไม่ใช่เพียงแค่การช่วยหาเสียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้สมัคร

บทสัมภาษณ์: ป่าน ธัญชนก หนุนนำสิริสวัสดิ์

ป่าน ธัญชนก หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจในการช่วยเหลือสังคมและการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้กับแม่ในครั้งนี้ เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและมุ่งมั่นที่จะทำให้การเมืองเป็นเรื่องของทุกคนที่สามารถมีส่วนร่วมได้ และเธอยังให้กำลังใจแม่ในการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ดีขึ้น ป่าน ธัญชนก หนุนนำสิริสวัสดิ์ พี่สาวคนโตจาก 4 ปอ ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือแม่ในการหาเสียงในครั้งนี้ ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้เราได้รู้จักเธอมากขึ้นในมุมมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว การเมือง หรือการช่วยหาเสียง

สัตว์เลี้ยง

ป่านเริ่มต้นด้วยการพูดถึงสัตว์เลี้ยงที่บ้านของเธอ โดยมีสุนัข 6 ตัวและแมว 2 ตัว ซึ่งทั้งหมดนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงตลอดเวลา ป่านกล่าวว่า ทุกตัวเป็นเหมือนลูกๆ ของเตี่ยแม่ เตี่ยแม่รักยิ่งกว่าลูกอีกค่ะ” เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในครอบครัวเมื่อวันหนึ่งเธอกำลังจะตอบคำถามจากเตี่ยและแม่ แต่กลับพบว่าเตี่ยและแม่ไม่ได้ถามเธอ แต่กลับถามน้องหมาของเธอว่า เป็นยังไงบ้าง กินข้าวรึยังลูก” ป่านเล่าด้วยความขำว่า ตอนนั้นก็รู้เลยว่าใครลูกรักกันแน่”

การเมือง

เมื่อพูดถึงการเมือง ป่านเผยว่า จริงๆ ตอนเด็กๆ ก็ไม่ค่อยชอบเรื่องการเมืองเท่าไร เพราะเห็นมาตั้งแต่เล็กๆ แต่พอโตมาก็คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นนักการเมืองก็ตาม” ป่านพูดถึงความสำคัญของการเมืองในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ป่านแค่อยากเห็นบ้านเราพัฒนามากขึ้น คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี facilities ที่ครบครัน มีความสุขที่เป็นความสุขจริงๆ” เธอเชื่อว่าการมีการเมืองที่ดีจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคน

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง

ป่านได้เล่าถึงประสบการณ์ในการช่วยแม่หาเสียงในครั้งนี้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและเต็มไปด้วยความทุ่มเท รอบนี้เป็นการช่วยเหลือแม่ที่เจออะไรหลายอย่างแบบที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนค่ะ” เธอพูดถึงความยากลำบากของแม่ที่ไม่ได้พึ่งพาคนจากพรรคการเมืองอื่น ทำให้การหาเสียงครั้งนี้หนักกว่าที่เคย แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง จากตอนหาเสียงรอบแรก เราก็แค่ช่วยด้านออนไลน์ แต่รอบนี้เราเห็นการทำงานของแม่จริงๆ การทุ่มเทของแม่ในช่วงน้ำท่วมที่บ้านก็ท่วมเหมือนกัน เตี่ยแม่ยังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นผู้ประสบภัย” ป่านเล่าถึงความตั้งใจของแม่ที่ช่วยเหลือชาวบ้านแม้ในช่วงที่บ้านตนเองกำลังประสบปัญหาน้ำท่วม

ได้เจออะไรมาบ้างในการช่วยหาเสียง?

ป่านกล่าวว่า เราได้เจอทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีมากมายเลยค่ะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำมากสำหรับครั้งนี้” เธอพูดถึงความแตกต่างในการหาเสียงในปัจจุบันและอดีต ซึ่งการหาเสียงในยุคนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยต่างๆ ที่ไม่คาดคิด แต่โชคดีที่มีครอบครัวคอยให้กำลังใจและสนับสนุน เราคิดว่าเราจะต้องเริ่มทำการหาเสียงแบบยุคใหม่ที่ fair and free” ป่านกล่าวถึงความตั้งใจในการทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้

สุดท้าย ป่านอยากพูดให้กำลังใจแม่ว่า

วันนี้มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด 100% แต่สิ่งที่แม่ทำอยู่ การไม่โจมตี ไม่หาเรื่องใคร ไม่ใส่สีใคร มันก็ทำให้เด็กๆ มีความหวังว่าประเทศนี้ มันจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ”

บทสัมภาษณ์: ปองพล หนุนนำสิริสวัสดิ์

บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ได้ให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของปองพล หนุนนำสิริสวัสดิ์ ที่นอกจากจะเป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้แล้ว เขายังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการเมืองและการพัฒนาท้องถิ่น ด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในจังหวัดเชียงราย ทั้งในฐานะผู้ช่วยหาเสียงและในฐานะคนในครอบครัวของผู้สมัคร ปองพลได้เรียนรู้และเข้าใจในกระบวนการการเมืองท้องถิ่นที่มีความซับซ้อนและต้องการความทุ่มเทอย่างแท้จริง

ประวัติส่วนตัว

วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับ ปองพล หนุนนำสิริสวัสดิ์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “ปริญญ์” หนุ่มที่มีความสนใจในด้านการเมืองและการช่วยเหลือสังคม เรามาเริ่มต้นกันที่เรื่องราวส่วนตัวของเขาก่อน

สิ่งที่ชอบ

เมื่อพูดถึงสิ่งที่ชอบ ปองพลเปิดเผยว่าเขามีสัตว์เลี้ยงอยู่หลายตัวในบ้าน โดยเฉพาะสุนัข 6 ตัว และแมว 2 ตัว แต่สิ่งที่เขาอยากเล่าให้เราฟังมากที่สุดคือเรื่องของแมวตัวแรกที่เขาเลี้ยง ชื่อว่า “มันเดย์” เป็นแมวที่พี่สาวของเขาเก็บมาเลี้ยงจากพุ่มไม้ข้างออฟฟิศ มันเดย์ตัวเล็กและผอมมากตอนแรก แต่หลังจากมาอยู่กับครอบครัวของเขาได้ไม่กี่ปีก็กลายเป็นแมวตัวใหญ่และอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มันเดย์เป็นแมวขี้อ้อนสุดๆ มันชอบให้กอดมากๆ โดยเฉพาะตอนที่นอนหลับ มันจะกอดตลอดเวลา ถ้าไม่ได้กอดมันจะโวยวายไม่หยุด” ปองพลเล่าอย่างยิ้มๆ พร้อมกล่าวต่อไปว่า ถึงแม้เขาจะมีอาการแพ้ขนแมว แต่เขาก็รักมันมากและไม่สามารถปฏิเสธความขี้อ้อนของมันได้ โดยทุกครั้งหลังจากเล่นกับมันเขาจะระมัดระวังไม่ให้มือไปสัมผัสตาแล้วล้างมือทุกครั้ง

การเมือง

เมื่อมาถึงเรื่องการเมือง ปองพลพูดถึงความสำคัญของการเมืองต่อชีวิตประจำวันว่า การเมืองมีผลกระทบต่อเราทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ภาษี ค่าแรงขั้นต่ำ หรือแม้แต่คุณภาพของบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสาธารณสุข ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของนักการเมือง” เขายกตัวอย่างเช่น การที่รัฐบาลมีนโยบายที่ดีในการควบคุมราคาสินค้าหรือช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะทำให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าการบริหารจัดการไม่ดีค่าครองชีพสูงขึ้นและรายได้ไม่เพิ่มตาม ก็จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น

แม้ว่าบางคนอาจไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การติดตามข่าวสารหรือออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะมันมีผลต่อชีวิตของทุกคน” เขากล่าวถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมในการเมือง

ครั้งนี้ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเป็นอย่างไรบ้าง?

ปองพลบอกว่าการเป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและน่าประทับใจมาก นอกจากผมจะเป็นผู้ช่วยหาเสียงแล้ว ผมยังเป็นลูกชายของผู้สมัครด้วย มันทำให้ผมรู้สึกมีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ใช่แค่ช่วยหาเสียงแบบทั่วไป แต่เป็นการทำงานเพื่อสนับสนุนคุณแม่ของผมด้วย” เขาบอกว่าในครั้งนี้เขาได้เรียนรู้ว่า การเมืองท้องถิ่นมีรายละเอียดเยอะมาก และการที่จะเข้าถึงประชาชนในพื้นที่จริงๆ นั้นจำเป็นต้องฟังปัญหาของพวกเขาโดยตรง

ได้เจออะไรมาบ้างในประสบการณ์การช่วยหาเสียงครั้งนี้?

ปองพลได้บอกว่าเขาได้เจอกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ได้ฟังเรื่องราวปัญหาของพวกเขา บางคนมีความหวังและอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่บางคนก็หมดหวังกับการเมือง เขากล่าวว่า สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าการเมืองท้องถิ่นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง”

เขายังได้เห็นความเหนื่อยและความตั้งใจของคุณแม่ในฐานะนักการเมือง ผมเข้าใจมากขึ้นว่าการเป็นนักการเมืองไม่ง่ายเลย ต้องอดทน เสียสละ และทำงานหนักเพื่อคนส่วนรวม” เขากล่าว

บทสัมภาษณ์: ป้อน พัทธ์ธีรา หนุนนำสิริสวัสดิ์

ป้อน พัทธ์ธีรา หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นตัวอย่างของคนที่มีความตั้งใจและทุ่มเทในการช่วยเหลือสังคมและการเมืองท้องถิ่น โดยไม่เพียงแต่เป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้ แต่ยังเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงานเพื่อคนส่วนรวม ทั้งในฐานะลูกและในฐานะผู้ที่มุ่งมั่นที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในจังหวัดของเขา

ประวัติส่วนตัว

ป้อน พัทธ์ธีรา หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นหนึ่งในคนที่มีความรักและความตั้งใจในการทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองและการพัฒนาชุมชน ที่ทำให้เขาได้รับบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัวและการหาเสียงในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้กับคุณแม่ที่ลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งนี้

สัตว์เลี้ยง

เมื่อพูดถึงสิ่งที่ชอบ ป้อนได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของเขา ซึ่งในบ้านมีสุนัข 6 ตัวที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของครอบครัว เขาบอกว่า “ที่บ้านชอบหมามาก พวกมันเป็นสิ่งฮีลใจของพวกเราเลย” นอกจากนี้ ป้อนยังได้เล่าเรื่องน่ารักของสุนัขตัวหนึ่งในบ้าน ซึ่งเคยเดินไปขอน้ำจากแม่ของเขาแทนที่เขาจะไปให้น้ำเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกแย่งตำแหน่งลูกรักจากสุนัข เพราะแม่กลับไปโอ๋สุนัขแทนที่จะดุเลยทำให้ป้อนหัวเราะและยอมรับว่าบางครั้งก็ต้องยอมแพ้ให้กับความขี้อ้อนของน้องหมา

การเมือง

ป้อนมองว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากในชีวิตประจำวัน “การเมืองอยู่ในทุกๆ อย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ภาษี ค่าแรงขั้นต่ำ หรือคุณภาพของบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสาธารณสุข ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของนักการเมือง” เขายกตัวอย่างเช่นการบริหารของรัฐบาลที่สามารถมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความเหลื่อมล้ำสูง แม้จะจ่ายภาษีเท่ากัน แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้ง
“ถ้าการเมืองดี ปัญหาพวกนี้ก็จะลดลงได้และคนเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามพื้นฐานที่ควรจะมีได้จริงๆ” เขากล่าวถึงความสำคัญของการเลือกผู้บริหารที่ดีที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง

ป้อนได้เล่าถึงการเป็นผู้ช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า “ครั้งนี้ก็เข้มข้นพอสมควรด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เราเห็นแม่ตั้งใจมาก สมัยที่ผ่านมาเรานับถือใจเค้ามากที่ทุ่มเทเพื่อชาวบ้านขนาดนี้”

บทสัมภาษณ์: พิชามญชุ์ หนุนนำสิริสวัสดิ์ (ปอ)

ปอ พิชามญชุ์ หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจในการพัฒนาและช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองท้องถิ่น การช่วยแม่หาเสียงในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เธอเข้าใจการเมืองท้องถิ่นมากขึ้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับครอบครัวของเธอด้วย ความทุ่มเทและความตั้งใจของปอทำให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่ใส่ใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม

ประวัติส่วนตัว

วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับ พิชามญชุ์ หนุนนำสิริสวัสดิ์ หรือ ปอ หนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยแม่ในการหาเสียง ปอเป็นพี่คนหนึ่งในสี่พี่น้องที่มีความรักสัตว์และสนใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง

สิ่งที่ชอบ

ปอเริ่มต้นการพูดถึงสิ่งที่ชอบ โดยเฉพาะเรื่องสัตว์เลี้ยงที่เป็นส่วนสำคัญในครอบครัวของเธอ ครอบครัวของเรารักสัตว์มากๆ ยิ่งกว่าอะไร” ปอกล่าว ด้วยความที่ครอบครัวของเธอมีสัตว์เลี้ยงรวมทั้งหมด 8 ตัว ได้แก่ สุนัข 6 ตัว และแมว 2 ตัว ซึ่งลูกๆ เป็นคนซื้อมาดูแลเอง ปอได้เล่าถึงการเลี้ยงสุนัขและแมวที่บ้านว่า ที่กรุงเทพฯ ปอเลี้ยงสุนัข 3 ตัว ส่วนที่เชียงรายเลี้ยง 4 ตัวค่ะ ทุกตัวเป็นเหมือนลูกๆ ของเราเลย ทุกครั้งที่กลับบ้านเราก็จะได้เล่นกับพวกมัน และมันก็มีความสำคัญกับครอบครัวเราไม่น้อย”

การเมือง

เมื่อพูดถึงการเมือง ปอเริ่มเล่าถึงมุมมองการเมืองของตัวเองที่ได้สัมผัสจากการอยู่ในกรุงเทพฯ และการทำงานที่นั่น การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือสาธารณสุข และการตัดสินใจของนักการเมืองมีผลต่อเราทุกคน” เธอพูดถึงประสบการณ์ที่ได้เห็นจากการจัดการของพรรคการเมืองในปัจจุบัน ถ้าวันนี้การเมืองยังไม่ดีไม่พัฒนา เราก็ไม่มีวันพัฒนาไปได้มากกว่านี้” ปอเชื่อว่าการเมืองมีผลกระทบกับชีวิตทุกคน และทุกคนควรให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง

การเป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้ ปอรู้สึกว่ามันท้าทายมากกว่าครั้งที่ผ่านมา รู้สึกว่าครั้งนี้ท้าทายมากกว่ารอบที่แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเรามือแข็งขึ้นเยอะ เพราะทีมเราใหญ่ขึ้นและมีแต่คนรุ่นใหม่ ทำให้การทำงานเข้าใจกันมากขึ้น” ปอพูดถึงความร่วมมือที่ดีในทีมและความภูมิใจในตัวคุณแม่ที่ทุ่มเทและสู้มากๆ ในการหาเสียง เราภูมิใจในตัวคุณแม่ทั้งเก่งและสู้มากค่ะ”

ได้เจออะไรมาบ้างในการช่วยหาเสียง?

เมื่อถามถึงประสบการณ์ในการช่วยหาเสียงในครั้งนี้ ปอกล่าวว่า เราได้เจอประสบการณ์หลากหลายรูปแบบค่ะ ทีมเราทำทุกอย่างกันเอง ทำให้เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น” เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นและปัญหาของประชาชน สิ่งที่เราพบคือ ความเข้าใจด้านการเมืองท้องถิ่นของชาวบ้านยังไม่มากพอ ทำให้บางครั้งพวกเขายังไม่เข้าใจในเรื่องอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นหรือเรื่องภาษี งบประมาณจังหวัด” ปอได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน เราควรให้ข้อมูลกับประชาชนให้มากขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์มากที่สุดค่ะ”

ความหมายของการมีทายาทการเมือง

การที่ทายาทจากครอบครัวการเมืองเข้ามามีบทบาทในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณของการสานต่อภารกิจเพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนท้องถิ่น การที่ลูกๆ ของนักการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความต่อเนื่องของนโยบายที่เคยดำเนินการไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงในการเมืองท้องถิ่นที่มีความเป็นส่วนตัวและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างใกล้ชิด

บทสรุป

การเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงรายในปี 2568 เป็นการเลือกตั้งที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของทายาทการเมืองในการพัฒนาจังหวัด ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การส่งเสริมชื่อเสียงของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่น การที่ทายาทจากทั้งสองตระกูลมีส่วนร่วมในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมความต่อเนื่องของการพัฒนาในจังหวัดเชียงราย และเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตการเมืองท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็งและมั่นคง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ไขข้อข้องใจ นิสิต-นักศึกษา ต่างกันอย่างไรในมหาวิทยาลัยไทย

ความแตกต่างระหว่างคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ในสถาบันการศึกษาไทย

ในประเทศไทย คำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ถูกใช้เรียกผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา แต่มีความแตกต่างกันทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละสถาบันการศึกษา

ที่มาของคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา”

คำว่า นิสิต” มีรากฐานมาจากภาษาบาลี หมายถึง “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” ซึ่งในอดีตหมายถึงผู้เรียนที่พักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัย เช่น ในยุคเริ่มแรกของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 ผู้เรียนจะต้องพักอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ทำให้มีการเรียกผู้เรียนว่า “นิสิต” สะท้อนถึงลักษณะการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในบริเวณมหาวิทยาลัย

ส่วนคำว่า นักศึกษา” เริ่มต้นใช้ในปี พ.ศ. 2477 พร้อมการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย ผู้เรียนที่นี่ไม่จำเป็นต้องพักอาศัยในมหาวิทยาลัย คำว่า “นักศึกษา” จึงถูกใช้เพื่อแยกแยะลักษณะผู้เรียนที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น

มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้คำว่า “นิสิต”

แม้ว่าคำว่า “นิสิต” จะเลือนหายไปในสถาบันใหม่ ๆ แต่ยังคงถูกใช้ในมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งมานาน เช่น

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  3. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  4. มหาวิทยาลัยนเรศวร
  5. มหาวิทยาลัยบูรพา
  6. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  7. มหาวิทยาลัยทักษิณ
  8. มหาวิทยาลัยพะเยา
  9. มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
  10. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
  11. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะของการใช้ชีวิตแบบนิสิต

ความหมายของ “นิสิต” และ “นักศึกษา” ตามพจนานุกรม

  • นิสิต
    หมายถึงผู้ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง หรือศิษย์ที่เล่าเรียนและอาศัยอยู่ในสำนักของครู
  • นักศึกษา
    หมายถึงผู้ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย หรือในสถานศึกษาระดับสูง

เหตุผลในการใช้คำเรียกที่แตกต่างกัน

การเลือกใช้คำว่า นิสิต” หรือ นักศึกษา” ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์และปรัชญาการศึกษาในแต่ละสถาบัน ตัวอย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่ผู้เรียนต้องมีการพักอาศัยและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ในขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลือกใช้คำว่า “นักศึกษา” เพื่อสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยและการเปิดกว้าง

ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน การใช้คำว่า “นักศึกษา” กลายเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เพราะแสดงถึงความทันสมัยและอิสระของผู้เรียน ขณะที่คำว่า “นิสิต” ยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมหาวิทยาลัยดั้งเดิมเพียงไม่กี่แห่ง

สรุปความแตกต่างระหว่าง “นิสิต” และ “นักศึกษา”

  1. นิสิต: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่มีประเพณีให้ผู้เรียนอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. นักศึกษา: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้าง และไม่จำเป็นต้องมีการพักอาศัยในมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แม้ว่าคำสองคำนี้จะมีความหมายและประวัติที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง “นิสิต” และ “นักศึกษา” ต่างก็เป็นผู้แสวงหาความรู้ในระดับอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : campus / มหาวิทยาลัยพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย พุ่งสูงถึง 71 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง อบจ. ปี 2568 สูงถึง 3.5 พันล้านบาท ประชาชนควรออกมาใช้สิทธิ

จากรายงานของ Rocket Media Lab ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในข้อบัญญัติงบประมาณประจำปี 2568 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั่วประเทศ ซึ่งไม่รวมงบประมาณของ อบจ. แม่ฮ่องสอน และอีก 4 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร บึงกาฬ เลย และสมุทรสาคร ที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งไว้ พบว่า ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ รวมทั้งค่าจัดการเลือกตั้งและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ มีมูลค่ารวมสูงถึง 3,563,810,232 บาท

รายละเอียดค่าใช้จ่าย

  • ค่าใช้จ่ายการเลือกตั้งในจังหวัดเชียงราย
    จังหวัดเชียงรายใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 71 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการจัดการเลือกตั้ง 34,948,553 บาท และค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ 36,051,447 บาท เมื่อนำมาคำนวณเทียบกับประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดเชียงรายที่มีจำนวน 176,685 คน พบว่าต้นทุนเฉลี่ยต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ที่ 401.85 บาทต่อคน
  • งบประมาณเลือกตั้งระดับประเทศ
    ค่าใช้จ่ายการจัดการเลือกตั้งในปีนี้สูงถึง 3.5 พันล้านบาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลายด้าน เช่น การจัดตั้งหน่วยเลือกตั้ง ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง และการประชาสัมพันธ์

ผลกระทบจากการลาออกก่อนครบวาระ

ในปี 2568 มีเพียง 17 จังหวัดที่ต้องจัดการเลือกตั้งนายก อบจ. เนื่องจากบางพื้นที่ได้เลือกตั้งไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีที่นายก อบจ. ลาออกก่อนครบวาระ เช่น จังหวัดปทุมธานี ที่ใช้งบประมาณในการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2567 จาก 79 ล้านบาท เป็น 89 ล้านบาท สะท้อนถึงภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากการลาออกดังกล่าว

อัตราการใช้สิทธิเลือกตั้งและเป้าหมายในปี 2568

ในการเลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 พบว่า อัตราการใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศอยู่ที่ 62.25% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 65% ปีนี้ กกต. ย้ำให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้เงินภาษีที่ใช้ไปในกระบวนการเลือกตั้งเกิดประโยชน์สูงสุด

จังหวัดงบการจัดการเลือกตั้ง 68 (บาท)ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้ง (บาท)งบจัดการเลือกตั้ง68+ค่าตอบแทน (บาท)ประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (คน)งบต่อหัวรวมหมายเหตุ
นครราชสีมา78,098,000110,000,000188,098,000365,192515.07 
เชียงราย34,948,55336,051,44771,000,000176,685401.85 
นครศรีธรรมราช42,150,00034,028,00076,178,000212,271358.87 
บุรีรัมย์50,800,00047,980,00098,780,000432,622228.33 
ร้อยเอ็ด17,938,60040,912,20058,850,800262,516224.18 
สมุทรปราการ120,000,00033,000,000153,000,000752,019203.45 
กำแพงเพชร60,000,000 60,000,000303,089197.96ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
สงขลา34,000,00040,500,00074,500,000407,945182.62 
ระยอง50,000,00020,000,00070,000,000385,091181.78 
น่าน18,000,00020,000,00038,000,000209,669181.24 
กระบี่10,000,00015,000,00025,000,000142,114175.92 
นครนายก15,160,00010,000,00025,160,000157,102160.15 
ชลบุรี40,000,00050,000,00090,000,000570,120157.86 
ชุมพร12,320,00015,300,00027,620,000183,361150.63 
สกลนคร24,563,10224,220,35048,783,452331,807147.02 
สุรินทร์46,370,00015,000,00061,370,000433,837141.46 
ขอนแก่น40,000,00052,000,00092,000,000654,181140.63 
นราธิวาส31,700,00036,569,40068,269,400506,704134.73 
นครสวรรค์20,000,00035,000,00055,000,000411,154133.77 
เชียงใหม่50,000,00050,000,000100,000,000791,945126.27 
ศรีสะเกษ26,000,00044,000,00070,000,000588,876118.87 
นครพนม20,484,41022,015,59042,500,000401,623105.82 
ลพบุรี15,000,00025,000,00040,000,000389,684102.65 
ตาก12,550,00015,750,00028,300,000279,832101.13 
ตรัง28,000,00022,000,00050,000,000517,53096.61 
ปทุมธานี49,000,00040,000,00089,000,000948,93593.79 
ฉะเชิงเทรา29,374,30025,279,50054,653,800587,34293.05 
อุดรธานี41,200,00040,600,00081,800,000906,43790.24 
พิจิตร19,047,00018,953,00038,000,000428,97488.58 
กาฬสินธุ์15,300,00023,000,00038,300,000435,26187.99 
มหาสารคาม17,418,00032,582,00050,000,000572,94487.27 
มุกดาหาร17,000,0002,500,00019,500,000225,05286.65 
สุโขทัย11,000,00016,920,00027,920,000324,79585.96 
ตราด6,700,0007,300,00014,000,000168,30483.18 
พิษณุโลก11,800,00017,000,00028,800,000362,86079.37 
อุตรดิตถ์13,500,00013,000,00026,500,000335,29279.04 
ภูเก็ต8,000,00011,200,00019,200,000243,73378.77 
กาญจนบุรี15,000,00015,000,00030,000,000389,78676.97 
สระบุรี34,000,00018,000,00052,000,000690,99475.25 
แพร่12,500,00017,200,00029,700,000394,80675.23 
ปราจีนบุรี30,000,0008,000,00038,000,000517,46273.44 
หนองคาย30,145,00014,589,40044,734,400611,65173.14 
จันทบุรี10,000,00019,000,00029,000,000420,69468.93 
ชัยภูมิ43,269,62430,595,32673,864,9501,225,77960.26 
สุราษฎร์ธานี57,090,00012,910,00070,000,0001,168,95559.88 
ราชบุรี19,000,00021,000,00040,000,000675,46059.22 
พระนครศรีอยุธยา40,000,00039,500,00079,500,0001,347,31059.01 
ปัตตานี19,102,40030,472,60049,575,000840,26359.00 
เพชรบูรณ์30,188,00043,000,00073,188,0001,277,45857.29 
อำนาจเจริญ20,000,00013,271,48033,271,480598,45155.60 
ประจวบคีรีขันธ์18,500,00013,000,00031,500,000606,83751.91 
พะเยา13,000,00013,000,00026,000,000509,85750.99 
ลำปาง50,000,0005,000,00055,000,0001,096,74450.15 
นครปฐม25,000,00027,000,00052,000,0001,085,48547.90 
เพชรบุรี18,000,00017,000,00035,000,000785,37544.56 
อุบลราชธานี15,701,00048,000,00063,701,0001,459,56243.64 
สุพรรณบุรี20,000,00023,000,00043,000,000999,75443.01 
สมุทรสาคร15,000,000 15,000,000367,83440.78ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
ชัยนาท8,000,00010,000,00018,000,000459,36239.18 
สระแก้ว13,247,65013,452,35026,700,000690,27038.68 
นนทบุรี50,500,00032,000,00082,500,0002,142,23538.51 
ยะลา25,000,00023,000,00048,000,0001,260,36538.08 
สตูล8,650,0008,100,00016,750,000442,90237.82 
ยโสธร12,231,35016,260,72028,492,070772,26536.89 
บึงกาฬ7,639,880 7,639,880261,95529.16ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
อ่างทอง6,900,0005,000,00011,900,000409,31029.07 
สมุทรสงคราม7,000,0005,000,00012,000,000413,72829.00 
หนองบัวลำภู15,000,00015,000,00030,000,0001,057,06028.38 
ลำพูน8,500,00012,700,00021,200,000918,76123.07 
อุทัยธานี13,000,00011,710,00024,710,0001,114,80122.17 
พังงา2,500,0007,000,0009,500,000479,10719.83 
พัทลุง10,000,00011,000,00021,000,0001,116,32018.81 
เลย21,000,000 21,000,0001,259,95516.67ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
สิงห์บุรี4,000,0006,000,00010,000,000678,73214.73 
ระนอง4,700,0005,600,00010,300,000840,62912.25 
แม่ฮ่องสอน   1,493,0420.00ไม่มีการตั้งงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งไว้ในข้อบัญญัติงบประมาณ อบจ. ปี 2568

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ

จากข้อมูลของ Rocket Media Lab พบว่าการจัดการเลือกตั้งที่มีค่าใช้จ่ายสูงสะท้อนถึงความสำคัญของการใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้เงินภาษีที่ถูกใช้นั้นเกิดความคุ้มค่า และแสดงออกถึงความรับผิดชอบของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ การเลือกตั้งที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมจากประชาชนในทุกระดับจะช่วยสร้างความมั่นใจในกระบวนการประชาธิปไตย

สรุป

การเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้มีงบประมาณรวมกว่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งไม่เพียงแค่ช่วยสร้างความโปร่งใส แต่ยังสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / Rocket Media Lab 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ทำไม ‘น้ำฟ้า ธมลวรรณ’ ถึงลงมาสู่ การสมัคร ส.อบจ. ที่ อ.เวียงชัย

การเลือกตั้ง ‘ส.อบจ.เชียงราย’ และ ‘นายก อบจ.เชียงราย’ ที่จะมีขึ้น

คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงราย (กกต.) เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) เชียงราย สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งในพื้นที่

ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย มีผู้สมัครทั้งสิ้น 3 ราย โดยแต่ละราย ได้คงได้มีการนำเสนอนโยบายและวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงรายในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา และการท่องเที่ยว

  • เบอร์ 1 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์
  • เบอร์ 2 นางสลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช
  • เบอร์ 3 นางสาวจิราพร หมื่นไชยวงศ์

ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. เชียงราย

สำหรับการเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. เชียงรายในปีนี้ มีผู้สมัครทั้งสิ้น 103 ราย จาก 36 เขตทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย โดยผู้สมัครทุกคนต่างแสดงความพร้อมและความตั้งใจในการรับใช้ประชาชนในพื้นที่

บทสัมภาษณ์: หนทางเข้าสู่ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ผู้สมัคร ส.อบจ. เชียงราย ในอำเภอเวียงชัย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ส.อบจ.) เพื่อสะท้อนมุมมองและนโยบายจากผู้สมัครที่ตั้งใจอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในครั้งนี้ หลังการติดต่อผู้สมัครหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่ติดภารกิจ ทำให้ทางทีมข่าวได้รับการตอบรับจากหนึ่งในผู้สมัครคือ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ ผู้สมัครรุ่นใหม่จากอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นและแนวคิดในการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์

บทบาทสำคัญของ ส.อบจ. ในการพัฒนาชุมชน

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) มีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร รวมถึงการเสนอร่างข้อบัญญัติเกี่ยวกับงบประมาณและแผนพัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนในพื้นที่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเชียงราย

ช่วยแนะนำตัวเองและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในท้องถิ่น

“สวัสดีค่ะ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ หรือฟ้าค่ะ อายุ 25 ปี จบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ค่ะ พื้นฐานครอบครัวของฟ้าทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ฟ้าจึงมีโอกาสทำงานเกี่ยวกับงานท้องถิ่นร่วมกับ อบจ. เทศบาล และ อปท. บ่อยครั้ง ได้สัมผัสกับปัญหาชุมชน เช่น ถนน อ่างเก็บน้ำ และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังเคยดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุ และบริหารงานท่าทรายให้ครอบครัว ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้ฟ้าเข้าใจปัญหาและความต้องการของท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง”

แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ท่านตัดสินใจลงสมัครสมาชิก ส.อบจ. เชียงราย?

“ฟ้ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย การตัดสินใจลงสมัครครั้งนี้เริ่มต้นหลังจากน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ เราได้ช่วยเหลือพี่น้องในหลายอำเภอ ฟ้ารู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสช่วยเหลือได้มากกว่านี้ เราก็อยากทำ ฟ้าอยากเป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงปัญหาของทุกกลุ่มวัย และช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชน”

มองว่าประสบการณ์หรือคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้

“ฟ้ามีประสบการณ์ทำงานในท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่จริง เข้าใจปัญหาและวิธีแก้ไข ฟ้าคิดว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างฟ้าสามารถนำมุมมองและพลังใหม่ ๆ มาช่วยพัฒนาชุมชนได้ และฟ้าพร้อมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของอำเภอเวียงชัย”

บทบาทของครอบครัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงสมัครครั้งนี้บ้าง

“ครอบครัวฟ้าสนับสนุนการช่วยเหลือชุมชนมาโดยตลอด ท่านสอนเสมอว่าการทำอะไรด้วยใจสำคัญที่สุด ฟ้าได้นำแนวคิดนี้มาใช้และต้องการเปลี่ยนจากการช่วยเหลือเป็นการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน”

หากครั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่เลือกมีแผนงานสำคัญอะไรที่อยากผลักดันในพื้นที่ตัวเอง

“โครงการ ‘ของดีแต่ละตำบล’ คือสิ่งที่ฟ้ากำลังทำอยู่ ฟ้าต้องการโปรโมตสินค้าชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเวียงชัยให้เป็นที่รู้จัก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ฟ้ายังมีแผนสนับสนุนกลุ่มเยาวชนและสตรีร่วมกับผู้สมัครนายก อบจ. คุณนก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในชุมชน”

มุมมองปัญหาหลักในพื้นที่คืออะไร และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

“ปัญหาหลักในเวียงชัยมีหลายมิติ เช่น น้ำประปา เศรษฐกิจ หรือปัญหาชุมชนเฉพาะจุด ฟ้าจะลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็น หาทางแก้ไขร่วมกับชาวบ้าน และดำเนินการให้รวดเร็วที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม”

แล้วถ้าพูดถึงนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือการพัฒนาชุมชนในเชียงรายอย่างไร

“ฟ้าจะสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ส่งเสริมการขายออนไลน์ และสร้างโอกาสให้คนในชุมชนมีงานทำ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของเวียงชัย”

มีวิธีการรับฟังและตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่อย่างไร

“ฟ้าจะลงพื้นที่ให้มากที่สุด และใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางรับฟังปัญหา พร้อมทำงานร่วมกับทีมงานเพื่อตอบสนองข้อร้องเรียนอย่างรวดเร็ว”

ดรัณภพ อินตาพรหม ผู้สมัคร ส.อบจ.เวียงชัย พรรคเพื่อไทย โปรไฟล์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่โดดเด่น

ประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน
ดรัณภพ อินตาพรหม มีพื้นฐานด้านการศึกษาและประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย

  • ปริญญาโท MBA บริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (Stamford International University)
  • ปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (Rajamangala University of Technology Lanna)

ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา

  1. ดำรงตำแหน่ง เลขานุการประจำตัว ส.ส.เชียงราย เขต 2
  2. ผู้ชำนาญการประจำตัว ส.ส.เชียงราย เขต 2 และเขต 4
  3. เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ที่สถานีตำรวจภูธรเวียงชัย
  4. คณะกรรมการสงเคราะห์เด็กและเยาวชน
  5. ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัยในรัฐสภา
  6. อดีตวิศวกรปฏิบัติงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
  7. เป็นเจ้าของกิจการ ห้องเย็นซูริค เชียงราย

นโยบายและเป้าหมายการทำงาน

ดรัณภพมุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่อำเภอเวียงชัยให้มีความก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และสาธารณสุข พร้อมรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ และนำไปสู่การแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ

จุดยืนทางการเมือง

ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.อบจ. พรรคเพื่อไทย ดรัณภพเป็นหนึ่งในผู้สมัครที่มีความตั้งใจจริงให้กับชุมชน โดยเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยในเขตเวียงชัย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 36 เขตของจังหวัดเชียงราย ด้วยโปรไฟล์ที่โดดเด่นและประสบการณ์ที่หลากหลาย คาดว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วันเลือกตั้งและสิทธิของประชาชน

การเลือกตั้งครั้งนี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิมีรายชื่ออยู่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขอเชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น บัตรประชาชน หรือหลักฐานแสดงตนอื่น ๆ ที่ทางราชการออกให้

ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการกำหนดอนาคตของจังหวัดเชียงราย โดยทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในพื้นที่

ประชาชนชาวเชียงรายอย่าลืม!

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มาใช้สิทธิของท่านในการเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคตของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News