Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

มหากาพย์ 24 ชม.! ‘อาร์ม วิญญู’ ระดมพลช่วยหมู 1,150 ตัว พ้นวิกฤตน้ำท่วมเทิง

ภารกิจ 24 ชั่วโมงไม่หยุด: ทีมกู้ภัยเชียงรายช่วยหมู 1,150 ตัว หนีน้ำท่วมฉับพลัน

เชียงราย,ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อธรรมชาติทดสอบความมุ่งมั่นของมนุษย์ เสียงเรือยนต์ดังก้องไปทั่วพื้นที่น้ำท่วมบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เสียงของการขนส่งสินค้าตามปกติ แต่เป็นเสียงของภารกิจกู้ภัยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องใช้เวลานานถึง 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเหลือหมูกว่า 1,150 ตัวให้รอดพ้นจากน้ำท่วมฉับพลันครั้งรุนแรง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการช่วยเหลือสัตว์ แต่เป็นบทพิสูจน์ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่รัฐและอาสาสมัครที่ไม่ยอมถอย แม้เมื่อความเหนื่อยล้าจะถึงขีดสุด และความมืดจะปกคลุมพื้นที่

เมื่อพายุ “วิภา” นำมาซึ่งวิกฤต

สถานการณ์เริ่มต้นจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย น้ำป่าล้นไหลหลากเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหมูและไก่สำคัญของจังหวัด

นายกนก หรือ อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึก ไม่ว่าจะทางโซเชียลหรือคนแจ้งมาโดยตรงพบว่ามีฟาร์มหมูและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน

“เมื่อวานตอนช่วงเช้าเลย ที่มีโพสต์กันในเฟซบุ๊ก จากของท่านนายกฯ ด้วย และหลายคนได้แชร์มา แล้วก็ขอให้ทางหน่วยงานที่มีอุปกรณ์ เครื่องมือ พวกเรือต่างๆ เข้าไปช่วย” เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของภารกิจ

การระดมกำลังและความท้าทายแรก

เมื่อทีมจาก อบจ.เชียงราย นำโดยนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก พร้อมด้วยพันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบุคลากรกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เดินทางถึงพื้นที่ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม

สิ่งที่พบคือภาพที่น่าตกใจ ฟาร์มหมูที่ให้เกษตรกรในพื้นที่เลี้ยงหมู กลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมสูงถึงเอวและอก หมูกว่า 1,150 ตัวติดอยู่ในสภาวะวิกฤต ต้องใช้เรือเข้าไปช่วยเหลือ

“พอไปถึงประมาณสัก 10 โมง 11 โมง ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีเรือของชาวบ้านเป็นเรือลำเล็กประมาณสัก 2 ถึงสามลำ ที่ขนได้ครั้งละ 2 ถึง 3 ตัวไม่เกิน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมีหนึ่งลำที่ขนได้ประมาณ 10 ตัวอีกหนึ่งลำ” นายวิญญู อธิบายถึงสถานการณ์ในช่วงแรก

ความยากลำบากในการดำเนินภารกิจ

ความท้าทายหลักของภารกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนหมูเท่านั้น แต่รวมถึงสภาพพื้นที่ที่ต้องใช้เรือเดินทางระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร จากฟาร์มมาถึงถนนลาดยางของหมู่บ้าน ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 10-15 นาที ในช่วงกลางวัน

“ช่วงแรกหมูยังมีแรงอยู่ มันดิ้น เราต้องจับใส่กรงก่อน ใช้เวลาเป็นหลายนาที เป็นเกือบชั่วโมงบางครั้ง การลำเลียงแต่ละรอบใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เที่ยงมาจนถึง 5-6 โมงเย็น ขนได้แค่ 200-300 ตัวเอง ในช่วงแรก” วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เผยถึงอุปสรรคในช่วงต้น

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อมีทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ รวมเกือบ 20 ทีม จำนวนคนรวมกว่า 100 คน แต่พื้นที่ที่จำกัดและการขาดการประสานงานที่ลงตัว ทำให้การทำงานในช่วงแรกค่อนข้างช้า

เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย

จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อความมืดเข้าปกคลุม

เมื่อเวลาผ่านไปถึงหลัง 18.00 น. ความมืดเริ่มปกคลุมพื้นที่ การทำงานกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ต้องมีการวางระบบไฟส่องสว่างและให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย หลายทีมเริ่มถอนตัวออกไป

“หลังจาก 4 ทุ่ม ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเหลือแค่ 5 ทีม ตอนนั้นจะมีอบจ. ตำรวจ และกู้ภัยอีกสัก 2-3 ทีมที่ยังเหลืออยู่” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

แต่นี่กลับเป็นจุดที่การทำงานเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะหมูเริ่มอ่อนแรง ไม่ดิ้นมากเหมือนเดิม ทำให้สามารถจับโยนลงเรือได้เลย โดยไม่ต้องใส่กรง การวางแผนและการประสานงานดีขึ้น

ช่วงวิกฤตสุดท้ายการตัดสินใจที่ยากลำบาก

เมื่อเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืน หมูที่เหลืออยู่ในพื้นที่ประมาณ 200-300 ตัว ทีมกู้ภัยส่วนใหญ่ขอถอนตัวเนื่องจากความเหนื่อยล้า เหลือเพียง 2 ทีมคือ อบจ.เชียงราย และตำรวจ

“เราคุยกันว่า ตอนแรกก็อยากถอนแต่เห็นหมูแล้วมันไม่ไหว ตอนนั้นหมูเหลือประมาณ 200 กว่าตัว มันเหมือนจะไม่เยอะ เราช่วยมาแบบทั้งวัน แล้วเหลือแค่สองร้อยกว่าตัวเอง ถ้าปล่อยไว้ โอกาสตายมีสูงมาก เพราะน้ำมันขึ้นเรื่อยเรื่อย แล้วหมูมันอ่อนแรงแล้ว” นายวิญญู เล่าถึงการตัดสินใจสำคัญ

วีรกรรมในยามคืนการยืนหยัดจนท้ายที่สุด

หลังจากเที่ยงคืน การทำงานดำเนินต่อไปด้วยเรือเพียง 3 ลำ คือ อบจ.เชียงราย 2 ลำ และตำรวจ 1 ลำ จำนวนคนลดลงเหลือเพียง 20 กว่าคน แต่ความมุ่งมั่นไม่ลดลง

เมื่อถึงตี 3 ทีมตำรวจแจ้งขอถอนตัวเนื่องจากไม่ไหว เหลือเพียงทีมจาก อบจ.เชียงราย 5 คน กับเรือ 2 ลำ รวมกับเจ้าหน้าที่ของฟาร์มที่ยังคงช่วยเหลืออยู่ประมาณ 15-20 คน

“เราก็เลยบอกว่า งั้นเราขอสู้ต่อไปจนจบ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้น่าจะตายทั้งหมด ตอนนั้นจำนวนหมูหลังตี 3 น่าจะเหลือประมาณ 150 ตัวบวกลบ” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่ท้าทายที่สุด

การเคลียร์ครั้งสุดท้ายเมื่อแสงอรุณส่องทาง

จากตี 3 กว่าจนถึงเกือบ 7 โมงเช้า ทีมที่หลงเหลือทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน หมูในฟาร์มถูกเคลียร์ออกไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภารกิจยังไม่จบ

“ประมาณ 7-8 โมงเช้า เราขับเรือวนดูรอบตัวอีกรอบ ก็เห็นหมูลอยคออยู่ตามกอไผ่ มีบางตัวอยู่นอกฟาร์ม เราต้องลงไปจับในน้ำเลย ลึกประมาณไม่ถึง 2 เมตร อันนั้นยากกว่าอยู่ในฟาร์มอีก เพราะต้องดึงขึ้นเรือเอง” นายวิญญู อธิบายถึงช่วงสุดท้าย

ภารกิจสิ้นสุดลงในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 25 กรกฎาคม หลังจากดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ผลลัพธ์และบทเรียน

จากหมูทั้งหมด 1,150 กว่าตัว อัตราการสูญเสียอยู่ที่ไม่เกิน 5% หรือประมาณ 4-5% ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่น่าประทับใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้

นายวิญญู มองว่า บทเรียนสำคัญคือ การเตรียมความพร้อมที่ธรรมชาติไม่มีกำหนดการตายตัว อยากจะก่อตัวขึ้นเมื่อไร มีรูปแบบอย่างไรเราไม่สามารถรับรู้นอกจากต้องพร้อมรับเท่านั้น”

สำหรับด้านการปฏิบัติงาน ปัญหาหลักอยู่ที่การจำกัดของพื้นที่ การสัญจรที่ยาก และการขาดศูนย์ปฏิบัติการที่ชัดเจน แต่ทุกหน่วยงานสามารถประสานงานและช่วยเหลือกันได้เป็นอย่างดี “สิ่งสำคัญคือการที่ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ ไม่ถอดใจยังทำภารกิจต่อเนื่องจนกว่าจะช่วยเสร็จทั้งหมด มันทำให้ทีมที่อยู่ก็พร้อมที่จะทำต่อ มันเหมือนมีคนไม่ทิ้งแล้วเราจะทิ้งไปได้ยังไง” นายวิญญูพูดทิ้งท้าย

หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ

ความหมายเชิงลึกของภารกิจ

ภารกิจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหลายมิติที่สำคัญ:

ด้านการจัดการภัยพิบัติ: แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการจัดการวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งต้องการการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายฝ่าย และการตัดสินใจที่รวดเร็ว

ด้านจิตวิญญาณมนุษย์: การที่เจ้าหน้าที่ยินดีทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุดหย่อน แม้ในสภาวะที่เหนื่อยล้าและท่ามกลางความมืด แสดงถึงจิตสำนึกในการรับใช้สังคมที่แท้จริง

ด้านเศรษฐกิจ: การช่วยเหลือสัตว์เศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงการดูแลสัตว์ แต่เป็นการปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานอาหาร

ด้านการสื่อสาร: การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการขอความช่วยเหลือและประสานงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

ความต่อเนื่องและการเตรียมรับมือในอนาคต

อบจ.เชียงราย ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการอพยพ การจัดหาสิ่งของยังชีพ และการฟื้นฟูในระยะต่อไป

ภารกิจครั้งนี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจในอนาคต และเป็นบทพิสูจน์ว่า เมื่อความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมมาบรรจบกัน ไม่มีภารกิจใดที่เป็นไปไม่ได้

การดำเนินการในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤต ที่ทุกความช่วยเหลือจำเป็นต้องดำเนินอย่างรวดเร็วและทั่วถึง นี่คือเรื่องราวของวีรกรรมเงียบๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดและน้ำท่วม เพื่อความหวังที่จะเห็น 1,150 ชีวิตได้กลับไปสู่ความปลอดภัย

หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย,กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย,สถานีตำรวจในพื้นที่อำเภอเทิง,หน่วยกู้ภัยจากหลายองค์กร,อาสาสมัครและชาวบ้านในพื้นที่,สมาคมกู้ชีพกู้ภัยเทิงการกุศล-หน่วยกู้ภัยเทิง,กู้ภัยบุญช่วย,กู้ภัยเทิง,กู้ภัยศิริกรณ์,กู้ภัยปิยะมิตรแม่สาย,กู้ภัยสิงห์,ตำรวจน้ำ,ตำรวจตระเวนชายแดน,กู้ภัยแสงธรรมเทิง,กู้ภัยแสงธรรมขุนตาล,กู้ภัยเจริญเมือง,กู้ภัยแสงแก้ว,กองร้อยทหารพราน,อส.เทิง,ศ.เขต 15

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การสัมภาษณ์พิเศษ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย
  • รายงานการปฏิบัติงาน กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในพื้นที่
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

“อวดเมือง 2568” เจาะกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power เชียงรายสู้ต่อ

เปิดม่าน “อวดเมือง 2568”  เจาะลึกกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power พร้อมถอดบทเรียน “เชียงราย” สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร, 10 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของงาน SPLASH – Soft Power Forum 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือการนำเสนอ City Showcase ในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ซึ่งเฟ้นหา 2 จังหวัดต้นแบบที่จะได้รับการยกระดับเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” จากผู้เข้าร่วม 51 จังหวัดทั่วประเทศ และในรอบ 12 จังหวัดสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ กาญจนบุรี, ขอนแก่น, จันทบุรี, เชียงราย, นครราชสีมา, พิษณุโลก, เพชรบุรี, แพร่, เลย, ศรีสะเกษ, สุโขทัย และอุบลราชธานี มี 3 จังหวัดจากภาคอีสานอย่าง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ที่สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างน่าจับตา ขณะที่เชียงราย แม้จะไม่ได้ไปต่อในรอบนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำที่จังหวัดต้องเผชิญ

การที่ 3 จังหวัดอีสานอย่างขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ สามารถก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือเทศกาลดนตรีเท่านั้น หากแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการนำ Soft Power มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในมิติที่หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น

ถอดรหัสความสำเร็จของ 3 จังหวัดอีสาน เมื่อ Soft Power สร้างมูลค่าที่จับต้องได้

การวิเคราะห์โครงการของทั้ง 3 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เฉียบคมในการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและโอกาสในการลงทุนอย่างยั่งยืน

  1. ขอนแก่น “เทศกาลม่วน เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ”

ขอนแก่นนำเสนอ “เทศกาลม่วน” ที่ถักทออัตลักษณ์สองสายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว คือ “ม่วนไหม” ที่ยกระดับผ้าไหมมัดหมี่จากผืนผ้าสู่ภาษาแห่งอีสานและนวัตกรรม และ “ม่วนหมอลำ” ที่ขับขานเรื่องราวชีวิตผ่านเสียงดนตรีและบทกลอน สิ่งที่ทำให้ขอนแก่นโดดเด่นคือการมองไปข้างหน้าด้วยแนวคิด MICE และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยเน้นกระบวนการทอผ้าแบบลดขยะ (Zero-Waste Weaving) เทศกาลไร้กระดาษ (Paperless Festival) และการร่วมสร้างจากชุมชนอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล ผู้อำนวยการโครงการ กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่ได้แค่แสดงวัฒนธรรม แต่เรากำลังออกแบบอนาคตของมัน” นี่คือหัวใจสำคัญที่คณะกรรมการมองเห็น ขอนแก่นไม่ได้หยุดอยู่แค่การอนุรักษ์ แต่ต่อยอดด้วยนวัตกรรม มีเวิร์กช็อปสำหรับคนรุ่นใหม่ในการแปลงลายผ้าท้องถิ่นเป็นดิจิทัล ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สร้างแฟชั่นจากไหมพื้นบ้าน และวงหมอลำร่วมสมัยเตรียมออกสู่เวทีนานาชาติ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน การนำเสนอที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทำให้ขอนแก่นมีศักยภาพที่จะเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริง

  1. นครราชสีมา “K-BATTLE International HIPHOP Festival” เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ

โคราชเลือกหยิบยกวัฒนธรรมฮิปฮอปที่หยั่งรากลึกในพื้นที่มานานกว่าสิบปี มายกระดับเป็นเทศกาลระดับนานาชาติ “K-BATTLE International HIPHOP Festival” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของผู้คนที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งการเต้น ดนตรี กราฟฟิตี้ และสตรีทอาร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยง Soft Power นี้เข้ากับปรากฏการณ์ระดับโลก เช่น MILLI บนเวที Coachella หรือ LISA กับมิวสิกวิดีโอที่เยาวราช

เทศกาลนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความบันเทิง แต่ตั้งใจที่จะสร้างและผลักดันบุคลากรที่มีศักยภาพในการเป็นตัวแทน Soft Power ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านดนตรี ศิลปะ และวัฒนธรรม มีกิจกรรมที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อป งานดีไซน์ ไปจนถึงการแข่งขันในศิลปะหลากหลายแขนง การผนึกกำลังกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกด้วยความสุขและความสนุกในศิลปะที่เป็นสากล แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็น Destination ระดับโลกที่น่าลงทุน น่าเที่ยว และน่าอยู่ การนำเสนอที่จับกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่และมีแผนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้โคราชมีจุดแข็งที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนและสร้างภาพลักษณ์เมืองที่ทันสมัย

  1. ศรีสะเกษ “Sound of Sisaket: ซาวสีเกด” มากกว่าเทศกาลดนตรี เพราะที่นี่ทุกท่วงทำนองคือพลัง

ศรีสะเกษนำเสนอ “Sound Of Siaket” ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลดนตรี แต่เป็นเทศกาลประจำเมืองที่รวบรวมความหลากหลายของท่วงทำนอง ทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ความโดดเด่นอยู่ที่ไอเดียการเปลี่ยนย่านเมืองเก่าให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ มีเวทีร้อง เต้น เล่นดนตรี สนามประลองความยิ่งใหญ่ของวงโยธวาทิตระดับโลก โดยมีหมุดหมายในการเข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก

สิ่งที่ทำให้ “ซาวสีเกด” แตกต่างคือการที่ทุกตรอก ซอก ซอย บ้านเก่า หรือแม้แต่ธุรกิจคาเฟ่ และร้านอาหารในย่าน ยังกลายเป็นสตูดิโอมีชีวิต อัดแน่นด้วยกิจกรรม อาทิ เวิร์กช็อป เสวนา พื้นที่แสดงผลงานของคนในพื้นที่ การรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายกลุ่มคน ตั้งแต่ผู้บริหารท้องถิ่น ศิลปิน ครูอาจารย์ ไปจนถึงชาวบ้านทุกวัยที่ร่วมมือร่วมใจกันสร้างบทบาท แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง เทศกาลนี้ไม่ได้มีดีแค่ “เรื่องเที่ยว” แต่เป็นงานที่ชวนทุกคนมาร่วมสร้างเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าภาคภูมิใจไปด้วยกัน การที่ศรีสะเกษมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก และมีการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ทำให้โครงการมีความแข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว

จากการวิเคราะห์ทั้งสามจังหวัด จะเห็นได้ว่า แม้หัวข้อหลักจะเป็นเรื่องของ “ดนตรี” หรือ “เทศกาล” แต่เนื้อหาและเป้าหมายของแต่ละโครงการล้วนเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การยกระดับคุณภาพชีวิต การสร้างโอกาสในการลงทุน และการดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว ไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงฉาบฉวยอย่างที่บางคนอาจเข้าใจผิด

เมื่อความท้าทายกลายเป็นโอกาสด้วยพลังแห่งความร่วมมือ

สำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ด้วยเทศกาล “Chiang Rai BREW Festival” แต่การเดินทางมาได้ไกลถึงรอบ 12 จังหวัดสุดท้าย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพยายามและการทำการบ้านอย่างหนักของทีมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจังหวัดต้องประสบกับปัญหาด้านน้ำ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ

“Chiang Rai BREW Festival” นำเสนอจุดแข็งของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งชาและกาแฟคุณภาพระดับโลก ที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน กำลังผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพจาก 3 มหาวิทยาลัยเลื่องชื่อ และทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เทศกาลนี้ออกแบบมาเพื่อต่อยอดมูลค่าของชาและกาแฟจากผลผลิตท้องถิ่น สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเชื่อมโยงเส้นทางจากแหล่งผลิตถึงปลายน้ำผ่านกิจกรรมตลอดปี เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และเปิดโอกาสในการลงทุนบนเส้นทางชา-กาแฟ

สิ่งที่เชียงรายเน้นย้ำคือการไม่เพียงมุ่งเน้นด้านการบริโภค แต่ขยายไปสู่การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่น นักวิชาการ นักเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพื่อการยกระดับ Local Business to International Business และการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Specialty ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน เทศกาลนี้สะท้อนพลังของทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา และประชาชน ที่มาร่วมกันออกแบบอนาคตของเมืองด้วยเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังผ่านเครื่องดื่มอัตลักษณ์ของเมือง

แม้ปัญหาด้านน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมชา-กาแฟของเชียงรายได้ แต่การที่ทีมงานยังคงมุ่งมั่นนำเสนอศักยภาพของจังหวัดผ่านเทศกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในแก่นแท้ของ Soft Power นั่นคือการสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มีอยู่ และการสร้างความร่วมมือเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย

จุดวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ การที่เชียงรายสามารถมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะมีปัญหาเรื่องน้ำ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของจังหวัดในด้าน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นมีสูงมาก และปัญหาเรื่องน้ำไม่ได้บั่นทอนความพยายามของทีมงาน การที่จังหวัดไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้ล้มเหลว แต่เป็นโอกาสให้เชียงรายได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงแผนงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกำลังกันทั้งจังหวัดเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน และนำจุดแข็งด้านชา-กาแฟมาเป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป

การร่วมมือกันทั้งจังหวัดกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเชียงราย

แนวคิดที่ว่า “เชียงรายต่อให้ไม่เข้ารอบแต่เราสามารถทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” เป็นประเด็นที่สำคัญและเป็นไปได้จริง ปัญหาด้านน้ำในเชียงรายเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ การนำเสนอ “Chiang Rai BREW Festival” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการแสดงศักยภาพ แต่การจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น

  • ภาครัฐ: กำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
  • ภาคเอกชน: ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับชา-กาแฟ
  • ภาคการศึกษา: วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา-กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาคุณภาพสินค้า
  • ภาคประชาชนและชุมชน: มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากชา-กาแฟ

การที่เชียงรายมี “Chiang Rai BREW Festival” เป็นธงนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากฐานทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจังหวัดมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยตัวเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ในโครงการ “อวดเมือง 2568” จะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เชียงรายสามารถพัฒนาแผนงานให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสาน Soft Power เข้ากับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแท้จริง

สรุปและก้าวต่อไป

โครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ได้เปิดโอกาสให้จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้นำเสนอศักยภาพและ Soft Power ของตนเอง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาต่อยอดเป็นเทศกาลและกิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความบันเทิง แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของเมือง

สำหรับเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่การเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้พร้อมกับความท้าทายด้านสถานการณ์น้ำ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพอันมหาศาล การที่จังหวัดสามารถ “ทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” คือบทสรุปที่สำคัญที่สุด การใช้ Soft Power อย่างชาและกาแฟเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการบริหารจัดการน้ำ จะทำให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้ เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่กิจกรรมเฉพาะฤดูกาล แต่มีเป้าหมายในการยกระดับ SME และเศรษฐกิจท้องถิ่น เชื่อมโยงสายการผลิต–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–วัฒนธรรม โดยมีมหาวิทยาลัย 3 แห่งรองรับองค์ความรู้ พร้อมทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แม้ในปีนี้จังหวัดจะประสบปัญหาด้านน้ำ แต่ทีมงานได้ลงมือทำการบ้านกันอย่างหนัก สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

  • สมาคมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA)

  • งาน SPLASH – Soft Power Forum 2025

  • ข้อมูลสรุปโครงการอวดเมือง 2568 The Pitching

  • Facebook : Narumon Namsom Nilmanon

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

สามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นนำทัพ! ขุดลอกแม่น้ำรวก กอบกู้แม่สายจากอุทกภัย

สามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร รุ่น 26 ผนึกกำลังแก้วิกฤตน้ำท่วมเชียงราย: บทบาทนำสู่ความหวังของคนในพื้นที่

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในหลายพื้นที่ การรวมพลังของสามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 กลายเป็นแสงแห่งความหวังในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่คุกคามจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายที่ได้รับผลกระทบหนักจากอุทกภัยในอดีต

เบื้องหลังวิกฤตที่ซ่อนเรื่องราว

นอกเหนือจากการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว การที่ พลตรี วรเทพ บุญญะ รองแม่ทัพภาคที่ 3 และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการก่อสร้าง กองทัพภาคที่ 3, พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง, และ พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 มาร่วมมือกันในครั้งนี้ ยังสะท้อนถึงการตระหนักรู้ในความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2567 ได้ทำลายอำเภอแม่สายอย่างรุนแรง ใช้เวลาถึง 2 เดือนในการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ ความเสียหายครั้งนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่

ภารกิจสำคัญของ “สามทหารเสือ”

การทำงานของนายทหารทั้งสามท่านนี้มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนและเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการใหญ่ๆ ให้บรรลุเป้าหมาย

พลตรี วรเทพ บุญญะ ในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานนโยบายระดับสูงและบูรณาการการทำงานในระดับภาค ท่านได้เน้นย้ำการปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานตามโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและลดผลกระทบภัยพิบัติ พร้อมทั้งมอบขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง เป็นผู้นำทางด้านเทคนิคการก่อสร้างและควบคุมมาตรฐานการดำเนินงาน ท่านลงพื้นที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของกำลังพลกรมการทหารช่างอย่างใกล้ชิด และจัดลำดับความเร่งด่วนในการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 มีบทบาทสำคัญในการประสานงานระดับพื้นที่ และการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มกำลัง

ความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหา

โครงการขุดลอกแม่น้ำรวกเป็นโครงการสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าที่น่าพอใจ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

  • งานขุดลอกแม่น้ำ: 96.23%
  • งานถากถางพื้นที่: 100%
  • ผลงานรวมทั้งหมด: 96.18%

โครงการนี้ครอบคลุมระยะทาง 14 กิโลเมตรภายใต้ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหญ่ที่ขุดลอกแม่น้ำรวกทั้งหมด 32 กิโลเมตร โดยกรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตรหลัง

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขความคืบหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการอุดช่องว่างและแก้ไขจุดอ่อนที่เคยเป็นสาเหตุของอุทกภัยในอดีต การดำเนินการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพนี้ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของกำลังพลที่ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การเตรียมความพร้อมเชิงรุก MOU และการฝึกซ้อมครอบคลุม

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น การเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ได้นำทีมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับ 7 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย ซึ่งประกอบด้วย

  1. จังหวัดเชียงราย
  2. มณฑลทหารบกที่ 37
  3. ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย
  4. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  5. ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย
  6. องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

การลงนาม MOU นี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงนามเป็นพิธีการ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกำลังพลเข้าร่วมการฝึกซ้อมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (อุทกภัย) ระดับจังหวัด ระหว่างวันที่ 7-10 กรกฎาคม 2568 ซึ่งครอบคลุมการฝึกปฏิบัติระบบการแจ้งเตือน การกู้ภัยด้วยอากาศยาน การขับเรือยนต์ห้องแบน การใช้เครื่องสูบน้ำท่วมขัง การใช้เครื่องสูบน้ำระยะไกล และการใช้เครื่องจักรกลสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ทำให้ฝนตกหนักและมีความถี่มากขึ้น ข้อมูลจากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 และใกล้จะล้นตลิ่ง

การที่ทหารได้เข้าไปช่วยเหลือและสนับสนุนการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบสนองต่อภัยฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่บ้านเกาะทรายซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง

ความสำคัญของความร่วมมือข้ามหน่วยงาน

การทำงานร่วมกันของนายทหารทั้งสามท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการทำงานข้ามหน่วยงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนอย่างปัญหาน้ำท่วม การที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำเร็จของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกที่มีความคืบหน้าถึง 96.18% ในช่วงเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานเป็นทีม และความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น

ปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สายไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการค้าขายชายแดนเป็นหลัก การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

การที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาทสำหรับการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

มุมมองอนาคต ความยั่งยืนและการป้องกันเชิงรุก

การดำเนินการของนายทหารทั้งสามท่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับการจัดการภัยพิบัติในอนาคต การจัดตั้งเขตปลอดการก่อสร้างกว้าง 40 เมตรเพื่อขยายฝั่งแม่น้ำ และการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตดังกล่าว เป็นมาตรการป้องกันเชิงรุกที่จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต

แผนการฟื้นฟูที่แบ่งออกเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลและการวางแผนที่มีระบบ ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน

พลังแห่งมิตรภาพเพื่อชาติและประชาชน

การรวมพลังของพลตรี วรเทพ บุญญะ, พลโท สิรภพ ศุภวานิช, และพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำงานร่วมกันของเพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของความสามัคคีและความมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ความสามารถเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน

ความสำเร็จของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกที่มีความคืบหน้าเกือบ 100% และการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ที่ครอบคลุมและเป็นระบบ เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การทำงานของทหารทั้งสามท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่กองทัพบกไทยสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภัยทางการทหารเท่านั้น แต่รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติและปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อน

ในท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถในการบูรณาการภารกิจทางทหารเข้ากับการบริการสาธารณะและการพัฒนาประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชาติโดยรวม การที่สามเพื่อนร่วมรุ่นจากเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 สามารถมาทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับทุกคนในสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ข้อมูลความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำรวก: กองทัพภาคที่ 3 (7 กรกฎาคม 2568)
  • ข้อมูลการลงนาม MOU และการฝึกซ้อม: มณฑลทหารบกที่ 37 (7 กรกฎาคม 2568)
  • Nation Thailand: “Mae Sai flooding: Military reinforces flood barriers” (24 May 2025)
  • Nation Thailand: “Residents evacuate as downpour causes flooding in Mae Sai” (24 May 2025)
  • Bangkok Post: “Stemming the floodwaters” (2 June 2025)
  • Chiang Rai Times: “Flood Warning Issues For Mae Sai Chiang Rai” (July 2025)
  • กองทัพภาคที่ 3: https://www.army3.mi.th/
  • กรมการทหารช่าง: https://www.engineer.rta.mi.th/
  • กองทัพบกไทย: https://www.rta.mi.th/
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ข้อมูลการฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม: Nation Thailand (25 December 2024)
  • Dailynews: “กรมควบคุมมลพิษแนะแนวทางจัดการตะกอนดินจากการขุดลอกแม่น้ำ” (June 2025)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

อีกหนึ่งบทเรียนน้ำท่วม สร้าง ‘คู่มือรับมือ’ สู่เมืองรับภัยยั่งยืน

ถอดบทเรียนเพื่ออนาคต: “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย”

เชียงราย, 28 มิถุนายน 2568 – จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย 27 มิถุนายน 2568กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนทั้งความท้าทายและความเข้มแข็งของระบบการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ภาพของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ลงพื้นที่มอบข้าวกล่อง ผ้าห่ม และถุงยังชีพให้ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย คือภาพแทนของการทำงานที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พร้อมย้ำชัดเจนถึงความจำเป็นในการ “ถอดบทเรียน” เพื่อเตรียมรับมือภัยพิบัติในอนาคตอย่างเป็นระบบ

ภาพรวมสถานการณ์และมาตรการเร่งด่วน

หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของเชียงราย ส่งผลให้น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรเป็นวงกว้าง ทางจังหวัดได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที ทั้งการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ขนย้ายสิ่งของสู่ที่สูง การจัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือ การเตรียมครัวสนามแจกจ่ายอาหาร รวมถึงการลำเลียงกลุ่มเปราะบางออกจากพื้นที่เสี่ยงอันตราย

อย่างไรก็ดี แม้การบูรณาการความร่วมมือจะเป็นไปอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง แต่ก็พบ “จุดอ่อน” และ “ข้อจำกัด” ในการรับมือกับวิกฤต เช่น ช่องว่างของระบบเตือนภัย ความสับสนในกระบวนการอพยพบางพื้นที่ รวมถึงการประเมินความเสี่ยงและเตรียมพร้อมของประชาชนในพื้นที่ต่ำหรือพื้นที่ติดลำห้วย

วิเคราะห์และถอดบทเรียน “น้ำท่วมเชียงราย 2568”

สิ่งสำคัญที่จังหวัดเชียงรายต้อง “ถอดบทเรียน” จากเหตุการณ์นี้ให้ได้มากที่สุด ได้แก่

  1. การวิเคราะห์สาเหตุและพฤติกรรมของน้ำท่วม
    ควรมีการศึกษาข้อมูลสถิติฝนตกและลักษณะภูมิประเทศเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ พร้อมวิเคราะห์จุดเสี่ยงและความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รับน้ำ เพื่อประเมินแนวโน้มความรุนแรงในอนาคต
  2. ประสิทธิภาพระบบเตือนภัย
    ต้องประเมินความทันสมัยของเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝน จุดตรวจวัดน้ำท่า และระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าทั้งผ่าน Cell Broadcast วิทยุชุมชน และสื่อโซเชียล พร้อมทบทวนขั้นตอนแจ้งเตือนและอพยพให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าใจตรงกัน
  3. การสำรวจจุดอ่อนและการประสานงาน
    สำรวจขั้นตอนการอพยพและการจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว การบริหารเครื่องมือและอุปกรณ์ฉุกเฉิน ความชัดเจนของบทบาทแต่ละหน่วยงานในภาวะวิกฤต รวมถึงช่องทางการสื่อสารกับประชาชนให้มีประสิทธิภาพ
  4. การวางแผนฟื้นฟูและช่วยเหลือหลังภัย
    เร่งสำรวจและประเมินความเสียหายเพื่อจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม ทันเวลา และโปร่งใส พร้อมวางแผนฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ระบบประปา ระบบไฟฟ้า และพื้นที่เกษตรกรรมโดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน

แนวทางสู่ “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย”

เมื่อบทเรียนได้รับการสรุปอย่างรอบด้าน จังหวัดเชียงรายควรเดินหน้าจัดทำ “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย” ที่มีเนื้อหาเฉพาะสอดรับกับบริบทพื้นที่ ประกอบด้วยแนวทางปฏิบัติสำหรับทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นในระดับหมู่บ้าน – ชุมชน ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การแจ้งเตือน การอพยพ การช่วยเหลือฉุกเฉิน ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังน้ำลด รวมถึงข้อมูลเส้นทางอพยพ จุดปลอดภัยในแต่ละพื้นที่ หมายเลขติดต่อฉุกเฉิน และแบบฟอร์มสำรวจความเสียหาย

การมีคู่มือฯ ที่เป็นรูปธรรมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือ ลดความสูญเสีย และเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต

สรุป

ภัยพิบัติในครั้งนี้คือบททดสอบที่สำคัญของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงราย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างตระหนักดีว่าการ “ถอดบทเรียน” และ “พัฒนาแนวทางป้องกัน” ให้รัดกุมและทันสมัยคือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจังในอนาคต การมี “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย” ที่เกิดจากประสบการณ์จริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างความมั่นใจและลดความสูญเสียในทุกมิติ สร้างเมืองที่มีภูมิคุ้มกัน พร้อมเผชิญทุกวิกฤตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE EDITORIAL

สล่าคำจันทร์ ยาโน ครูศิลป์ของแผ่นดิน 2568 ช่างแกะไม้ระดับโลก

สล่าคำจันทร์ ยาโน ศิลปินแกะสลักไม้แห่งล้านนา รับรางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” ปี 2568

เชียงราย, 15 มิถุนายน 2568 – หมอกบางเบาคลอเคลียยอดดอยในยามเช้าของบ้านถ้ำผาตอง ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ดินแดนที่เงียบสงบแห่งนี้เป็นบ้านของชายผู้มีฝีมือฉกาจในการรังสรรค์ไม้ให้มีชีวิต “สล่าคำจันทร์ ยาโน” ศิลปินแกะสลักไม้ชั้นครู ผู้เพิ่งได้รับการยกย่องเป็น ครูศิลป์ของแผ่นดิน พ.ศ. 2568” จากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (สศท.) ด้วยผลงานที่ผสานภูมิปัญญาล้านนาเข้ากับความคิดสร้างสรรค์สมัยใหม่ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในเวทีโลก

จากแรงบันดาลใจสู่อาชีพช่างแกะสลัก

ย้อนกลับไปในวัยเด็กของสล่าคำจันทร์ เด็กชายจากบ้านถ้ำผาตองมักนั่งมองคุณตาแกะสลักด้ามกระบวยตักน้ำด้วยความประณีต ไม้แต่ละชิ้นถูกขัดเกลาจนกลายเป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตชาวบ้าน “ผมเห็นคุณตาแกะไม้ตั้งแต่เด็ก งานของท่านเหมือนเล่านิทานผ่านลายเส้นบนไม้” สล่าคำจันทร์เล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ความทรงจำนั้นจุดประกายให้เขาเริ่มจับมีดแกะสลักตามรอยคุณตา

แต่เส้นทางสายช่างไม่ได้ราบรื่น ในปี 2549 ภัยแล้งรุนแรงทำให้การทำนาล้มเหลว สล่าคำจันทร์ตัดสินใจหันมาเอาจริงกับงานแกะสลักไม้ “ตอนนั้นลองแกะด้ามกระบวยขาย ปรากฏว่าคนชอบ ผมเลยคิดว่านี่อาจเป็นทางรอดของครอบครัว” เขาย้อนความหลัง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ได้เห็นผลงานของเขา อาจารย์ถวัลย์แนะนำให้เพิ่ม “ชีวิต” ลงในงานแกะสลัก “ท่านบอกว่า ทำชิ้นงานให้มีเรื่องราวเคลื่อนไหวได้สิ ผมจะซื้อเอง” คำแนะนำนั้นจุดไฟในใจสล่าคำจันทร์ เขาเริ่มทดลองใส่กลไกให้หุ่นไม้ขยับได้ เกิดเป็นผลงานที่ไม่เหมือนใคร เช่น หุ่นคนตำข้าว เลื่อยไม้ หรือหาปลา ที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต

งานศิลป์ที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนชุมชน

จากงานแกะสลักชิ้นเล็ก สล่าคำจันทร์พัฒนาสู่ชิ้นงานขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน ผลงานชิ้นเอกอย่าง บ้านพอเพียง” จำลองวิถีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีทั้งคนทำนา นวดข้าว และหาปลา โดยทุกชิ้นเคลื่อนไหวได้ด้วยกลไกมอเตอร์และระบบหยอดเหรียญ “ผมอยากให้งานศิลปะไม่ใช่แค่ของตั้งโชว์ แต่เล่าเรื่องได้และสร้างความตื่นเต้นให้คนดู” เขาอธิบาย

ผลงานชุดนี้เคยจัดแสดงในงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ และสร้างความฮือฮาเมื่อตู้หยอดเหรียญเก็บเงินได้นับแสนบาทจากผู้ชมที่หลงใหลในความแปลกใหม่ ผลงานของสล่าคำจันทร์ยังเดินทางไปไกลถึงญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่สถาบันสมิทโซเนียน ซึ่งยกย่องความสร้างสรรค์ที่ผสมผสานวัฒนธรรมล้านนาเข้ากับนวัตกรรม

แต่สิ่งที่สล่าคำจันทร์ภูมิใจยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนแปลงชุมชนบ้านถ้ำผาตอง เขาก่อตั้งกลุ่มแกะสลักไม้ในชุมชนที่มีสมาชิก 27 คน สร้างรายได้เฉลี่ย 4,500 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน “ผมสอนฟรี โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะอยากให้ศิลปะนี้อยู่รอด” เขากล่าว ลูกศิษย์ของเขาหลายคนเริ่มมีรายได้จากการรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะงานแกะสลักช้างไทยและพระพุทธรูปจากไม้มงคล

ความฝันที่ยิ่งใหญ่ พิพิธภัณฑ์ล้านนา

ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สล่าคำจันทร์วางแผนสร้าง พิพิธภัณฑ์ล้านนา บนที่ดินส่วนตัว 5 ไร่ ออกแบบเป็นหม้อน้ำขนาดยักษ์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 21 เมตร สูงเท่าตึก 9 ชั้น ภายในจะจัดแสดงเครื่องมือวิถีชีวิตล้านนาและผลงานแกะสลักไม้ที่เคลื่อนไหวได้ “ผมอยากให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมเหนือ สร้างงานให้ชาวบ้าน และเป็นมรดกของเชียงราย” เขากล่าวด้วยแววตาเปี่ยมหวัง

อย่างไรก็ตาม สล่าคำจันทร์ยอมรับว่าความฝันนี้ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะด้านงบประมาณและการส่งเสริมให้งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา “ผมอยากเห็นครูช่างพื้นบ้านเข้าไปสอนในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่สอนช่วงสั้นๆ เด็กที่มีแววจะได้พัฒนาฝีมือจริงจัง” เขาเสนอแนะ

ผลกระทบและอนาคตของงานศิลปหัตถกรรม

การได้รับรางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเป็นเกียรติยศส่วนตัวของสล่าคำจันทร์ แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยี งานแกะสลักไม้ของเขาคือตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างมรดกวัฒนธรรมและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ สร้างทั้งรายได้และชื่อเสียงให้ชุมชน

อย่างไรก็ตาม งานศิลปหัตถกรรมยังเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะการขาดแคลนทายาทสืบสานและการแข่งขันกับสินค้าอุตสาหกรรม การที่สล่าคำจันทร์ผลักดันให้ชุมชนมีส่วนร่วมและสอนเด็กรุ่นใหม่ฟรี เป็นแบบอย่างที่ควรขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น หากภาครัฐเพิ่มการสนับสนุนผ่านนโยบายการศึกษาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ล้านนาของสล่าคำจันทร์อาจกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สร้างรายได้หมุนเวียนให้เศรษฐกิจท้องถิ่น

มรดกที่เคลื่อนไหวของล้านนา

จากเด็กชายที่มองคุณตาแกะไม้ สู่ศิลปินที่สร้างชื่อให้ประเทศไทยในเวทีโลก สล่าคำจันทร์ ยาโน คือตัวอย่างของความมุ่งมั่นและความรักในศิลปะที่เปลี่ยนชีวิตทั้งของตัวเขาและชุมชน รางวัล “ครูศิลป์ของแผ่นดิน” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล ด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์ของเขา วัฒนธรรมล้านนาจะยังคงเคลื่อนไหวและมีชีวิตผ่านผลงานแกะสลักไม้ที่เล่าเรื่องราวของผู้คนและแผ่นดินเหนือไปอีกนาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (สศท.)
  • บทสัมภาษณ์สล่าคำจันทร์ ยาโน, 15 มิถุนายน 2568
  • “สล่าคำจันทร์ ยาโน ผู้บันทึกวิถีชีวิตบนแผ่นไม้,” Mgronline.com, 27 สิงหาคม 2552
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

“งบกลาง” 1.2 แสนล้าน โปร่งใสไร้คอร์รัปชัน?

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เตือนรัฐ! “งบกลาง” เสี่ยงทุจริตสูง จี้ออกมาตรการสร้างโปร่งใสด่วน

ประเทศไทย, 4 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยมีการจัดสรร “งบกลาง” วงเงินมหาศาลกว่า 6.32 แสนล้านบาท องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกโรงเตือนภัยสังคมผ่านบทความและสื่อโซเชียล ถึงความเสี่ยง “สูงมาก” ต่อการทุจริต การใช้จ่ายไม่คุ้มค่า และความไม่โปร่งใส โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลควรเร่งปฏิรูปมาตรการกำกับดูแลงบกลางให้เกิดความโปร่งใส พร้อมเสนอแนะแนวทางที่ควรเร่งดำเนินการ ก่อนที่ปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณโดยไร้ประสิทธิภาพจะกลายเป็นวิกฤตซ้ำรอยอดีต

งบกลาง” กับกับดักคอร์รัปชัน จุดเปราะบางของงบประมาณแผ่นดิน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่บทความเตือนภัยสังคมผ่านเพจทางการ โดยเน้นย้ำถึงความอ่อนไหวของ “งบกลาง” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.23 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 และยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก

งบกลาง” กลายเป็นแหล่งงบประมาณที่ง่ายต่อการอนุมัติ ใช้จ่ายโดยไม่ต้องมีแผนล่วงหน้า โครงการส่วนใหญ่มักข้ามขั้นตอนตรวจสอบของรัฐสภา และให้อำนาจดุลพินิจกับฝ่ายบริหารโดยตรง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การใช้จ่ายที่ขาดความโปร่งใส มีโอกาสสูงที่จะเกิดการบิดเบือนและทุจริต” นายมานะระบุ

3 ปัจจัยเสี่ยง งบกลางไทยทำไม “โกงง่าย”

  1. ความยืดหยุ่นสูง ขาดแผนล่วงหน้า
    งบกลางไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดโครงการล่วงหน้า อนุมัติได้ง่ายและรวดเร็ว โครงการที่ผ่านมักไม่ได้เข้าสู่การกลั่นกรองหรือตรวจสอบโดยรัฐสภาเหมือนงบประมาณปกติ
  2. ดุลพินิจสูง อยู่ในมือผู้มีอำนาจ
    แม้กฎหมายจะกำหนดให้เสนอผ่าน ครม. แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองหลัก เปิดช่องให้เกิดการจัดสรรงบประมาณตามผลประโยชน์กลุ่มหรือพวกพ้อง
  3. ข้ออ้างฉุกเฉิน เปิดช่องจัดซื้อพิเศษ
    การอ้าง “ภาวะฉุกเฉิน” หรือ “เร่งด่วน” ทำให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้ง่ายขึ้น ลดระยะเวลาตรวจสอบ เพิ่มโอกาสหลบเลี่ยงมาตรฐานความโปร่งใส

ตัวอย่างเช่น งบกลางฉุกเฉินในอดีตเคยถูกนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบป้องกันไฟป่า ตลอดจนงบราชการลับหรือโครงการเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ติดตาม เช่น ขุดลอกคูคลอง หรือปลูกต้นไม้ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงในการถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์

บทเรียนอดีต งบกลางกับคดีทุจริต

ในอดีตเคยมีโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรมวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งอนุมัติจากงบกลางและกระจายไปให้มหาวิทยาลัย 4 แห่งในภาคอีสาน ปัจจุบันกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกำลังถูกดำเนินคดีโดยดีเอสไอ หลังพบพฤติกรรมทุจริตและใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

ไม่เพียงเท่านี้ การใช้งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ยังตกอยู่ภายใต้ข้อสังเกตว่าอาจถูกเร่งรัดโดยขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ หลายโครงการถูกนำเสนอเพราะถูกตัดทิ้งจากการพิจารณางบประมาณปกติหรือเป็น “โครงการแฟ้มเก่า” ที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ จึงมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นโครงการที่ฟุ่มเฟือย ไม่ตรงกับภารกิจหน่วยงาน หรือไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

ตัวอย่างที่ถูกตั้งคำถาม เช่น งบ 50 ล้านบาทในจังหวัดระยอง สำหรับสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว หรือการติดตั้งเสาไฟในถนนสายรองที่ขาดความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์

มาตรการกำกับดูแลที่ควรเร่งดำเนินการ

นายมานะ นิมิตรมงคล เสนอแนะแนวทางแก้ไขไว้ว่า

  • รัฐบาลต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน กำกับทุกโครงการที่ใช้งบกลางว่าเป็นไปตาม “ความจำเป็นจริง”
  • เปิดเผยทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ ให้สื่อและประชาชนเข้าตรวจสอบได้เสรีและทันที
  • ต้องมีระบบประเมินผลหลังการใช้จ่าย ให้ชัดเจนว่าตรงวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
  • หากเกิดทุจริตต้องมีการเอาผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสังคม

ความโปร่งใสคือคำตอบ

ปัญหางบกลางมิใช่เพียงเรื่องทุจริตเชิงระบบ หากแต่เกี่ยวพันกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล การใช้งบกลางที่ขาดโปร่งใสไม่เพียงทำลายระบบราชการ ยังบั่นทอนศรัทธาต่อรัฐไทยทั้งระบบ การปฏิรูประบบงบประมาณกลางให้โปร่งใส ตรวจสอบได้จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ACT: www.anticorruption.or.th
  • กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TOP STORIES

เทคโนโลยีสีเขียวรอยแผลทำเหมือง พิษสิ่งแวดล้อมถึง ‘เชียงราย’

แร่หายากจากรัฐฉานถึงเชียงราย เมื่อเทคโนโลยีสีเขียวทิ้งรอยแผลไว้บนภูเขา และเราควรทำอะไรต่อไป

ความหวังสีเขียวที่มาพร้อมรอยแผล

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสีเขียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ กลับมีเรื่องราวที่ถูกละเลย—การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกำลังทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนภูเขา แม่น้ำ และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

เชียงราย จังหวัดทางตอนเหนือของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับรัฐฉานครับ รัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน ไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จากระยะไกล ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจทำให้ผลกระทบจากการทำเหมืองในรัฐฉานสามารถข้ามพรมแดนมาถึงชุมชนในเชียงรายได้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในแหล่งน้ำ การเคลื่อนย้ายของแรงงาน หรือผลกระทบต่อการค้าชายแดน บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่เรื่องราวของแร่หายาก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่น และความท้าทายที่เชียงรายต้องเผชิญ พร้อมทั้งค้นหาคำตอบว่าเราจะสามารถเดินหน้าสู่ความยั่งยืนได้อย่างไรโดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้ข้างหลัง

แร่หายากหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียว

แร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) คือกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด เช่น แลนทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium), และนีโอดิเมียม (Neodymium) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงกังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์ แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกว่า “หายาก” แต่ในความเป็นจริง แร่เหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก สิ่งที่ทำให้การสกัดแร่หายากมีความท้าทายคือกระบวนการที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ซึ่งมักต้องใช้สารเคมีและน้ำในปริมาณมาก

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความต้องการแร่หายากเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามรายงานของ International Energy Agency (IEA) ปี 2567 ความต้องการแร่หายากทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2563 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากถึง 60% ของโลก ได้ขยายการลงทุนในแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเมียนมา รัฐฉาน ซึ่งมีแหล่งแร่หายากที่อุดมสมบูรณ์ กลายเป็นจุดหมายหลักของการทำเหมือง ด้วยปริมาณสำรองแร่ที่คาดการณ์ว่ามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การทำเหมืองในรัฐกะฉิ่นกระบวนการที่ทิ้งรอยแผล

ในรัฐกะฉิ่น การสกัดแร่หายากส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่เรียกว่า In-situ leaching ซึ่งเป็นเทคนิคที่ฉีดสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต หรือกรดซัลฟิวริก ลงไปในชั้นดินเพื่อละลายแร่หายากออกจากหิน กระบวนการนี้ต้องใช้น้ำและสารเคมีในปริมาณมาก และมักก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีสารพิษสูง เช่น โลหะหนักและสารกัมมันตรังสีอย่างยูเรเนียมและทอเรียม

จากการศึกษาของ University of Warwick และ Kachinland Research Centre ในปี 2567 พบว่า การทำเหมืองแร่หายากในเมืองปางวาและเมืองบาโมของรัฐกะฉิ่น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ดังนี้:

  • การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ: น้ำเสียจากการทำเหมืองไหลลงสู่แม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำมาลีข่าและแม่น้ำนัมยิน ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง สารพิษเหล่านี้ไม่เพียงทำลายแหล่งน้ำดื่มของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ปลาและสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญ
  • การสูญเสียป่าไม้: พื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในรัฐกะฉิ่นถูกทำลายเพื่อรองรับการขุดเจาะและโครงสร้างพื้นฐานของเหมือง ส่งผลให้ระบบนิเวศป่าดิบชื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น เสือโคร่งและนกเงือก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • มลพิษทางอากาศและดิน: ฝุ่นละอองจากเหมืองและสารเคมีที่ตกค้างในดินทำให้พื้นที่เกษตรกรรมในรัศมี 10-20 กิโลเมตรจากเหมืองไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกต่อไป

ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นเสียงที่ถูกละเลย

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ชาวกะฉิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและพึ่งพาการทำไร่ข้าวและปลูกพืชหมุนเวียน ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  • การสูญเสียที่ดินทำกิน รายงานจาก Global Witness ปี 2566 ระบุว่า ชาวบ้านในเมืองปางวาและเมืองชิปเว (Chipwe) ถูกบังคับให้ขายที่ดินให้กับบริษัทเหมืองแร่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มติดอาวุธ หรือต้องย้ายออกจากพื้นที่เนื่องจากมลพิษทำให้ที่ดินไม่สามารถเพาะปลูกได้
  • ปัญหาสุขภาพ การสัมผัสกับสารเคมี เช่น แอมโมเนียมและโลหะหนัก นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคผิวหนัง โรคระบบทางเดินหายใจ และในบางกรณี พบอัตราการเกิดมะเร็งที่สูงขึ้นในชุมชนใกล้เหมือง
  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากเกษตรกร ชาวบ้านจำนวนมากต้องหันไปทำงานในเหมือง ซึ่งมีสภาพการทำงานที่เสี่ยงอันตรายและไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานเหมืองอยู่ที่ประมาณ 5-7 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าค่าครองชีพในพื้นที่
  • ปัญหาสังคม การเข้ามาของแรงงานจากภายนอก รวมถึงการขาดการควบคุมจากภาครัฐ นำไปสู่ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด การค้าประเวณี และความรุนแรงในชุมชน

จากการสัมภาษณ์ของ Kachinland Research Centre ชาวบ้านในเมืองหมากยาจาง (Mai Ja Yang) รายหนึ่งกล่าวว่า “ที่ดินที่เคยเป็นของครอบครัวเราหายไป น้ำที่เคยดื่มได้ก็กลายเป็นพิษ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำงานในเหมืองที่ทำลายชีวิตของเราเอง”

ความเชื่อมโยงกับเชียงรายผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน มีความเชื่อมโยงทั้งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมกับพื้นที่ดังกล่าว ผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับชาวเชียงราย 

  • มลพิษข้ามพรมแดน แม่น้ำสายและน้ำรวก ซึ่งไหลจากรัฐฉานเข้าสู่ประเทศไทยผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน มีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนด้วยสารเคมีจากเหมืองแร่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของ กรมทรัพยากรน้ำ ในปี 2567 พบว่าน้ำในลุ่มน้ำสายมีระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางช่วง
  • การเคลื่อนย้ายของแรงงาน ความยากจนและการสูญเสียที่ดินในรัฐฉานทำให้ชาวบ้านบางส่วนอพยพข้ามพรมแดนมาทำงานในเชียงราย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและก่อสร้าง การเคลื่อนย้ายนี้อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติและโครงสร้างสังคมในพื้นที่
  • ผลกระทบต่อการค้าชายแดน การค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา โดยเฉพาะผ่านด่านแม่สาย มีมูลค่าการค้ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจาก กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567) การหยุดชะงักของการค้า เนื่องจากความขัดแย้งในรัฐฉานหรือผลกระทบจากมลพิษ อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในเชียงราย

การเมืองชายแดนกลุ่มอำนาจและการควบคุมเหมือง

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานไม่ได้ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเมียนมาโดยตรง แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์:

  • NDA-K (New Democratic Army – Kachin): กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพเมียนมา และควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองปางวาและชิปเว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกแร่หายากไปยังจีนผ่านด่านชายแดนปางวาและกันไผ่ตี้
  • KIA/KIO (Kachin Independence Army/Organization): กลุ่มชาติพันธุ์กะฉิ่นที่ต่อสู้เพื่อเอกราช ควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองบาโมและหมากยาจาง รายได้จากเหมืองถูกใช้เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับกองทัพเมียนมา
  • UWSA (United Wa State Army-UWSA) : หรือ ยูดับบลิวเอสเอ ในรัฐฉาน เมียนมา เป็นกองกำลังของกลุ่มชนชาติพันธุ์ว้าในเมียนมาหรือที่คนไทยรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “ว้าแดง” และถือว่าเป็นกองกำลังที่ทรงอิทธิพลอย่างมากจากความมั่งคั่งที่ได้มาจากอาณาจักรธุรกิจค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงค้าอาวุธให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา

ตามรายงานของ Chatham House (2566) รายได้จากแร่หายากในรัฐกะฉิ่นถูกใช้เพื่อซื้ออาวุธและรักษาอำนาจของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งทำให้การควบคุมและตรวจสอบการทำเหมืองเป็นไปได้ยาก ความขัดแย้งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดนไทย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย

ความเสี่ยงด้านความมั่นคงผลกระทบต่อประเทศไทย

ความขัดแย้งในรัฐฉานไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชุมชนท้องถิ่นในเมียนมา แต่ยังสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับประเทศไทย ตามข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) ปี 2567 การค้าทรัพยากรแร่หายากมีส่วนสนับสนุนงบประมาณของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบที่รุนแรงขึ้นใกล้ชายแดนไทย

นอกจากนี้ การอพยพของประชากรจากพื้นที่ขัดแย้งในรัฐฉานอาจเพิ่มแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานในเชียงราย โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติอยู่แล้ว

เสียงจากชุมชนเชียงรายการลุกขึ้นสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย ขัวศิลปะ ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อลุ่มน้ำสายและน้ำรวก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในพื้นที่ การประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากหลากหลายองค์กร เช่น มูลนิธิชุมชนและเขตภูเขา นำโดยนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” อดีตสมาชิกวุฒิสภาและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม, ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มูลนิธิกระจกเงา, สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, กลุ่มรักษ์เชียงของ รวมถึงนักธุรกิจและผู้นำชุมชนในพื้นที่

การเคลื่อนไหวของชุมชนเหล่านี้สะท้อนถึงพลังของประชาชนในการรับมือกับปัญหาที่อาจดูเหมือนไกลตัว แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน

เสียงแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันสิ่งแวดล้อมโลก

ที่ประชุมมีมติให้จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการปกป้องลุ่มน้ำจากมลพิษข้ามพรมแดน ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ติดกับแม่น้ำกก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด กิจกรรมนี้จะรวมถึงการจัดนิทรรศการข้อมูล การแสดงศิลปะสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อม และการยื่นข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้มีการตรวจสอบและจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายยังมีแผนจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลและสื่อลุ่มน้ำสาย-น้ำรวก” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการป้องกันตนเองจากสารพิษ ศูนย์นี้จะตั้งอยู่ที่อำเภอแม่สาย และจะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และผลักดันนโยบายปกป้องสิ่งแวดล้อม

ทางออกเราควรทำอะไรต่อไป

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานและปกป้องชุมชนในเชียงราย แนวทางต่อไปนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน:

  • การเฝ้าระวังและตรวจสอบ: หน่วยงาน เช่น กรมทรัพยากรน้ำ และ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ควรเพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินในพื้นที่ชายแดนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจจับมลพิษที่อาจมาจากการทำเหมืองในเมียนมา
  • การให้ความรู้แก่ชุมชน: ควรมีการจัดอบรมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงวิธีป้องกันการสัมผัสสารเคมีอันตราย โดยสามารถร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชายแดน
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: รัฐบาลไทยควรผลักดันความร่วมมือกับเมียนมาในระดับทวิภาคี หรือผ่านกรอบอาเซียน เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษและปกป้องสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง
  • การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: ควรมีการลงทุนในโครงการฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบ และพัฒนาอาชีพทางเลือก เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศหรือเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการพึ่งพาการทำงานในเหมือง
  • พลังของผู้บริโภค: ผู้บริโภคในไทยสามารถกดดันบริษัทเทคโนโลยีให้เปิดเผยแหล่งที่มาของแร่หายากที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการใช้แร่จากแหล่งที่ยั่งยืน

เทคโนโลยีสีเขียวที่ต้องไม่ทิ้งรอยแผล

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน แต่กลับสร้างรอยแผลให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น เชียงราย ในฐานะพื้นที่ชายแดนที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐฉาน มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับผลกระทบข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องแหล่งน้ำ การจัดการแรงงานข้ามชาติ หรือการผลักดันความร่วมมือในระดับภูมิภาค

การเดินหน้าสู่เทคโนโลยีสีเขียวที่แท้จริงต้องไม่ทิ้งรอยเท้าสีดำไว้ข้างหลัง การรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการปกป้องสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภูเขาและแม่น้ำในรัฐฉานและเชียงรายยังคงเป็นแหล่งชีวิตของคนรุ่นต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตแร่หายาก: ตามข้อมูลจาก U.S. Geological Survey (USGS) ปี 2567 เมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับที่ 3 ของโลก รองจากจีนและออสเตรเลีย โดยผลิตได้ประมาณ 38,000 ตันต่อปี ซึ่ง 80% มาจากรัฐกะฉิ่น (แหล่งอ้างอิง: https://www.usgs.gov/centers/national-minerals-information-center/rare-earths-statistics-and-information)
  2. ผลกระทบต่อพื้นที่ป่า: การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นทำลายพื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในช่วงปี 2560–2567 (แหล่งอ้างอิง: University of Warwick & Kachinland Research Centre, 2567, https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf)
  3. มลพิษในแหล่งน้ำ: การตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำสายและน้ำรวกในปี 2567 โดย กรมทรัพยากรน้ำ พบว่า ระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางพื้นที่ถึง 3 เท่า (แหล่งอ้างอิง: รายงานภายในกรมทรัพยากรน้ำ, 2567)
  4. การค้าชายแดน: มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาผ่านด่านแม่สายในปี 2567 อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท (แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์, https://www.moc.go.th)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • พิสันต์ จันทร์ศิลป์ 
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2567). Addressing the Environmental Impacts of Rare Earth Mining in Kachin State, Myanmar. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2566). Rare Earth Mining in Myanmar: A Primer. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_1_rare_earth_mining_in_myanmar_a_primer.pdf
  • Global Witness. (2566). Environmental and Social Impacts of Rare Earth Mining in Myanmar. https://www.globalwitness.org/en/campaigns/environmental-activists/rare-earth-mining-myanmar/
  • Chatham House. (2566). Rare Earth Trade Flows and Myanmar’s Role. https://www.chathamhouse.org/2022/12/rare-earth-trade-flows-and-myanmars-role
  • Center for Strategic and International Studies (CSIS). (2567). Myanmar’s Rare Earth Mining and China’s Green Ambitions. https://www.csis.org/analysis/myanmars-rare-earth-mining-and-chinas-green-ambitions
  • กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำลุ่มน้ำสายและน้ำรวก
  • กระทรวงพาณิชย์. (2567). สถิติการค้าชายแดนไทย-เมียนมา. https://www.moc.go.th
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เชียงรายสองขั้ว ‘ภาษีพุ่ง’ ธุรกิจซบเซา ท้าทายเศรษฐกิจฐานราก

เศรษฐกิจเชียงราย: การเติบโตท่ามกลางความท้าทาย สะท้อนสองขั้วแห่งความจริง

เชียงราย ในช่วง เดือนพฤษภาคม 2568 ที่ประเทศไทย – กำลังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและภายในประเทศ รายงานล่าสุดจากกรมสรรพากรเผยให้เห็นถึงความสำเร็จในการจัดเก็บรายได้ภาษีประจำเดือนเมษายน 2568 ที่สูงเกินเป้าหมายถึง 7,732 ล้านบาท สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในเชิงบวกในระดับมหภาค อย่างไรก็ตามเมื่อมองในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ภาพที่ปรากฏกลับซับซ้อนกว่าที่ตัวเลขแสดง ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจในไตรมาสแรกของปี 2568 สวนทางกับเสียงสะท้อนจากพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่นที่เผชิญกับความยากลำบากในการค้าขาย และนี่จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึง “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เศรษฐกิจไทยในภาพรวม

ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – เมษายน 2568) กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้รวมถึง 1,138,182 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 47,325 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณถึง 17,950 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.6 โดยเฉพาะในเดือนเมษายน 2568 การจัดเก็บราย ได้ภาษีอยู่ที่ 171,921 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11,052 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า “ปัจจัยหลักที่ทำให้การจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าคือการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศ (ภ.พ. 30) ซึ่งสูงกว่าปีก่อนถึงร้อยละ 11.0 รวมถึงภาษีเงินได้จากการจ่ายเงินปันผลและการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ (ภ.ง.ด. 54) และภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่สูงกว่าประมาณการ”

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในบางภาคส่วน โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การเติบโตในระดับมหภาคนี้ ไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นจริงในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างจังหวัดเชียงราย

เศรษฐกิจเชียงราย – การเติบโตที่ซ่อนความท้าทาย การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ สัญญาณบวกที่อาจเป็นภาพลวงตา

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม) จังหวัดเชียงรายมีการจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ถึง 241 ราย ครองอันดับที่ 2 ในภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการจดทะเบียนถึง 991 ราย และสูงกว่าจังหวัดพิษณุโลกที่มี 135 ราย การเติบโตของการจดทะเบียนในเชียงรายส่วนใหญ่มาจากภาคบริการ ซึ่งมีถึง 143 ราย ตามมาด้วยภาคการค้าส่งและค้าปลีก 89 ราย และภาคการผลิตเพียง 9 ราย

ในแง่มูลค่าทุนจดทะเบียน ธุรกิจใหม่ในเชียงรายมีมูลค่ารวม 324.718 ล้านบาทในไตรมาสแรก โดยเดือนมกราคมมีมูลค่า 138.652 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ 105.23 ล้านบาท และเดือนมีนาคม 80.836 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเคลื่อนไหวในภาคธุรกิจที่ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระดับชุมชน เมื่อพิจารณาจากเสียงสะท้อนของผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ กลับพบว่าภาคธุรกิจขนาดเล็กและการค้าปลีกในท้องถิ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก

เสียงจากฐานราก ความยากลำบากของพ่อค้าแม่ค้า

ในเขตเมืองเชียงราย โดยเฉพาะในย่านตลาดชุมชน เช่น ถนนคนเดินทั้งในและนอกจังหวัดหรือกาดหลวง พ่อค้าแม่ค้าต่างสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างรุนแรง “ตอนนี้เศรษฐกิจเมืองเชียงรายย่ำแย่มาก ตลาดไม่มีคนเดิน พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ คนไม่มีเงินซื้อของ รายได้เหลือวันละไม่กี่ร้อย” พ่อค้าจากตลาดกาดเกยระบุ ขณะที่แม่ค้าจากกาดหลวงกล่าวเสริมว่า “ยอดขายลดลงจากวันละ 1,000–2,000 บาท เหลือไม่ถึง 300 บาท ไม่มีนักท่องเที่ยว ถนนคนเดินเงียบเหงา”

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท้องถิ่นบางรายตั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างถิ่นหรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งไม่สะท้อนถึงสถานการณ์ของผู้ประกอบการในท้องถิ่น “ที่จดทะเบียนกันเยอะ อาจเป็นทุนจากต่างชาติหรือทุนจีนเทา คนไทยในพื้นที่ยังลำบากมาก” ผู้ประกอบการรายหนึ่งระบุ

ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเชียงราย

  1. การชะลอตัวของการท่องเที่ยว
    เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เช่น วัดร่องขุ่น ดอยแม่สลอง และสามเหลี่ยมทองคำ อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลท่องเที่ยวที่สั้นและการลดลงของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้รายได้จากภาคท่องเที่ยวไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่ถนนคนเดินและสถานที่ท่องเที่ยวเงียบเหงา
  2. ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ
    ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควันที่รุนแรงในช่วงต้นปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในพื้นที่ระบุว่า “นักท่องเที่ยวกลัวหมอกควัน มาเชียงรายแล้วเจออากาศแย่ ก็ไม่อยากกลับมาอีก” ปัญหานี้ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเพิ่มต้นทุนด้านสุขภาพของประชาชน
  3. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น
    ค่าครองชีพ ค่าไฟ ค่าขนส่ง และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่มีกำไรเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อ
  4. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
    การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์และบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านทำให้ผู้บริโภคในเชียงรายหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าออฟไลน์ โดยเฉพาะในตลาดท้องถิ่น ได้รับผลกระทบอย่างหนัก “คนไม่เดินตลาดแล้ว สั่งของออนไลน์ถูกกว่า สะดวกกว่า” แม่ค้าจากกาดหลวงระบุ
  5. ขาดมาตรการสนับสนุน SME
    ผู้ประกอบการรายย่อยในเชียงรายเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งทุนและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ขาดกลไกประกันความเสี่ยง และการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากต้องปิดกิจการ
  6. ความเหลื่อมล้ำทางการค้า
    ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มทุนจากต่างถิ่นยังคงเติบโตได้ ธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่นกลับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม การจัดงานอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ มักเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสถานที่และผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่ ขณะที่ร้านค้าในท้องถิ่นไม่ได้รับผลประโยชน์เท่าที่ควร

เศรษฐกิจสองขั้วของจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลทั้งในเชิงสถิติและข้อเท็จจริงในพื้นที่ เชียงรายกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่ชัดเจน

  • เศรษฐกิจบน (Upper Economy)
    เศรษฐกิจในระดับนี้ขับเคลื่อนโดยกลุ่มทุนใหญ่ การลงทุนจากต่างถิ่น และกิจกรรมเศรษฐกิจขนาดกลางถึงใหญ่ เช่น การค้าชายแดน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนนและทางรถไฟ ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการและค้าส่ง/ค้าปลีก สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวในระดับนี้
  • เศรษฐกิจล่าง (Lower Economy)
    เศรษฐกิจในระดับฐานราก ซึ่งรวมถึงตลาดสด ชุมชน และร้านค้าปลีกขนาดเล็ก กำลังเผชิญกับภาวะซบเซา ผู้ประกอบการรายย่อยต้องต่อสู้กับต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อของออนไลน์ ส่งผลให้ร้านค้าจำนวนมากต้องปิดกิจการหรืออยู่ในสภาวะ “เสี่ยงตาย”

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่วัดจากตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจหรือรายได้ภาษีในระดับมหภาคอาจไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงในระดับชุมชนได้อย่างครบถ้วน หากไม่มีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายย่อย การเติบโตของเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายในระยะยาว อาจกลายเป็น “การเติบโตที่ไม่สมดุล” และเพิ่มความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ได้

ทางออกสำหรับเชียงรายและประเทศไทย

เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสองขั้วในจังหวัดเชียงรายและส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีนโยบายและมาตรการที่ครอบคลุมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ดังนี้

  1. การสนับสนุน SME และผู้ประกอบการรายย่อย
    ภาครัฐควรมอบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ อบรมทักษะการค้าออนไลน์ และพัฒนาแพลตฟอร์มท้องถิ่นเพื่อให้ร้านค้าในจังหวัดเชียงรายสามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ได้
  2. การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
    การแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ต้องเป็นวาระเร่งด่วน โดยเฉพาะการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมการเผาในที่โล่ง และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
  3. การกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
    การส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาล การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ และการประชาสัมพันธ์เชิงรุกจะช่วยเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  4. การลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ
    การลดค่าไฟ ค่าขนส่ง และการควบคุมราคาวัตถุดิบจะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
  5. การลดความเหลื่อมล้ำทางการค้า
    การจัดงานอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยจัดสรรพื้นที่และโอกาสให้ร้านค้าในชุมชนได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม

ในระดับชาติ การที่กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตนี้ไปสู่ระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจอย่างจังหวัดเชียงราย จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม

สถิติสำคัญประกอบข่าว

รายการ

มูลค่า / จำนวน

แหล่งข้อมูล

รายได้ภาษีเดือนเมษายน 2568

171,921 ล้านบาท

กรมสรรพากร

สูงกว่าประมาณการงบ

+7,732 ล้านบาท (4.7%)

กรมสรรพากร

รายได้สะสม 7 เดือนแรก (ต.ค. 2567 – เม.ย. 2568)

1,138,182 ล้านบาท

กรมสรรพากร

จดทะเบียนธุรกิจใหม่ (เชียงราย) ไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

241 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

จดทะเบียนธุรกิจใหม่ (เชียงใหม่) ไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

991 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ธุรกิจบริการ (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

143 ราย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ธุรกิจขายส่ง/ค้าปลีก (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

89 ราย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

มูลค่าทุนจดทะเบียน (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

324.718 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ที่มา:

  • กรมสรรพากร (https://www.rd.go.th)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (https://www.dbd.go.th)
  • ข้อมูลจากจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

การเติบโตที่ต้องสมดุล

จังหวัดเชียงรายในวันนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน แม้ว่าตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่และรายได้ภาษีในระดับชาติจะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในระดับชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อยกลับต้องต่อสู้กับความยากลำบากจากต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสองขั้วในจังหวัดเชียงรายจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างสมดุลและครอบคลุมทุกกลุ่มในสังคม

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

ถ่ายภาพโดย : กีรติ ชุติชัย ทีมข่าว สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL

แฉ 3 ปีศาจ! คอร์รัปชันกัดกิน ต้นเหตุสร้างไม่เสร็จ

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เปิดโปง “3 ปีศาจ” ทำโครงการก่อสร้างรัฐร้างทั่วประเทศ: เจ้าหน้าที่รัฐ-ผู้รับเหมา-คอร์รัปชัน ชวนจับตาอาคารสำนักงบฯ และ กสทช.

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – จากรายงานข่าวล่าสุดที่เปิดเผยโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) นำโดย นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กร ได้สะท้อนภาพความล้มเหลวของระบบราชการไทยผ่านโครงการก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐหลายโครงการที่ล้มเหลว ถูกทิ้งร้าง หรือดำเนินการไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะสองโครงการสำคัญ ได้แก่ อาคารสำนักงบประมาณ มูลค่า 2,100 ล้านบาท และอาคารสำนักงาน กสทช. มูลค่า 2,600 ล้านบาท ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งที่ใช้งบประมาณภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล

ต้นตอของปัญหา ปีศาจสามตนในระบบราชการ

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ระบุว่า ต้นเหตุของปัญหาดังกล่าวเกิดจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) เจ้าหน้าที่รัฐ (2) ผู้รับเหมา และ (3) การทุจริตคอร์รัปชัน โดยทั้งสามกลุ่มมีพฤติกรรมที่เอื้อซึ่งกันและกันจนก่อให้เกิดปัญหาสะสมยืดเยื้อในระบบราชการไทย

นายมานะ ยกตัวอย่างกรณีที่สะท้อนภาพความล้มเหลว เช่น โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งถูกศาลชี้ว่ามีการสมคบคิดระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และผู้รับเหมา โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศ มูลค่า 5,848 ล้านบาท ที่มีการฮั้วประมูล และโครงการอควาเรียม “หอยสังข์” จังหวัดสงขลา มูลค่า 1,400 ล้านบาท ที่มีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปมีส่วนร่วมในการทุจริต

เจาะลึกปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐ

จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในแต่ละโครงการมีความผิดพลาดหรือขาดประสิทธิภาพหลายประการ ได้แก่

  • แบบก่อสร้างไม่ชัดเจน และมีการขอแก้แบบเพิ่มภาระให้ผู้รับเหมา
  • การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เช่น กรณีสถานการณ์โควิด-19
  • ขาดประสบการณ์ในการบริหารงานก่อสร้าง ส่งผลให้มีการอนุมัติล่าช้า
  • ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเชิงเทคนิค ทำให้ควบคุมงานไม่ได้
  • การแบ่งงวดงานไม่สอดคล้องกับความคืบหน้า ทำให้เงินไม่เพียงพอ
  • หน่วยงานมีความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่หรือขั้นตอนทางกฎหมาย
  • การสั่งงานด้วยวาจาโดยไม่มีเอกสารทางราชการรองรับ

ปัญหาฝั่งผู้รับเหมา ตั้งใจทิ้งงาน-บริหารล้มเหลว

ด้านผู้รับเหมาก็มีจุดอ่อนชัดเจน ได้แก่:

  • ขาดประสบการณ์หรือรับงานมากเกินไป
  • รับงานในราคาต่ำเกินความจริง ส่งผลให้ทุนไม่พอ
  • ต้นทุนวัสดุเพิ่มสูงเกินกว่าที่คาดการณ์
  • ขาดแรงงานหรือทีมช่าง
  • บางรายตั้งใจทิ้งงานหลังได้รับเงินงวดที่ต้องการ
  • มีกรณีถูกโกง เช่น จากนายหน้าหรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

พฤติกรรมคอร์รัปชัน ระบบที่เปิดช่องให้โกงได้ทุกขั้นตอน

พฤติกรรมคอร์รัปชันเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เช่น:

  • จ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อฮั้วประมูลหรือให้ผ่าน TOR
  • จ่ายเพื่อเร่งการอนุมัติวัสดุ/แผนงาน
  • ล็อกสเปกวัสดุแบบที่ผู้รับเหมาหาไม่ได้
  • เจ้าหน้าที่กลั่นแกล้งหากผู้รับเหมาไม่เข้าระบบ
  • ถูกรีดไถจากหน่วยงานอื่นที่อ้างตัวมีอำนาจ

กรณีศึกษา อาคารสำนักงบประมาณและ กสทช.

สองโครงการนี้สะท้อนภาพความล้มเหลวอย่างชัดเจน ทั้งในด้านงบประมาณและการบริหารงาน ผู้รับเหมาทิ้งงานเนื่องจากเจอเงื่อนไขรัดกุม ไม่สามารถ “ขอแก้แบบ” หรือ “ลดสเปก” ได้เหมือนในอดีต ส่งผลให้งานสะดุดและจำเป็นต้องจัดหาผู้รับเหมารายใหม่ ทำให้โครงการล่าช้าและใช้งบเพิ่ม

ปัญหาเชิงโครงสร้างและความรับผิดชอบที่ไม่มีใครรับ

โครงการก่อสร้างภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่เมื่อมีการโกง หรือล้มเหลวในการบริหาร การฟ้องร้องค่าเสียหายจึงกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่ไม่คุ้มทุน เพราะผลลัพธ์คือโครงการที่ไม่เสร็จ เงินที่สูญเปล่า และประชาชนเสียประโยชน์

นายมานะระบุว่า “ผู้รับเหมาที่ดีมีอยู่มาก แต่ ‘ปีศาจ’ ที่ไม่เคยหายไปคือ ข้าราชการและนักการเมืองที่ใช้ช่องโหว่ของระบบเพื่อกอบโกยให้ตัวเองและพวกพ้อง”

สถิติและตัวเลขที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน: 30,000 ล้านบาท
  • มูลค่าโครงการสถานีตำรวจ 396 แห่ง: 5,848 ล้านบาท
  • มูลค่าโครงการอควาเรียมสงขลา: 1,400 ล้านบาท
  • มูลค่าโครงการอาคารสำนักงานสำนักงบประมาณ: 2,100 ล้านบาท
  • มูลค่าโครงการอาคารสำนักงาน กสทช.: 2,600 ล้านบาท
  • ค่าเสียหายจากการก่อสร้างรัฐล้มเหลวเฉลี่ยต่อปีในไทย (ข้อมูลจาก TDRI ปี 2565): ประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • รายงานพิเศษจาก TDRI (2565)
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ภาครัฐ
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • สำนักข่าวไทยพีบีเอส / มติชน / ไทยรัฐ / ผู้จัดการออนไลน์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE