Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ค้าปลีกเชียงรายเผชิญศึกหนัก! ภาษี E-commerce ใหม่ ปิดช่อง “ของถูกลอยตัว” จากต่างประเทศ

สินค้าออนไลน์ต่ำกว่า 1,500 บาท “จะไม่ถูกอีกต่อไป” เชียงรายนับถอยหลัง ภาษีอีคอมเมิร์ซใหม่ 1 ม.ค. 2569—เขย่าพฤติกรรมผู้บริโภค ดันต้นทุนค้าปลีกชายแดน และทดสอบความพร้อมรัฐ-แพลตฟอร์ม

เชียงราย,5 พฤศจิกายน 2568 – กล่องพัสดุที่ไม่ “เบา” เหมือนเดิม ยามสายของวันทำการกลางสัปดาห์ ถนนพหลโยธินช่วงเข้าเมืองเชียงรายแน่นขนัดไปด้วยรถกระบะขนส่งพัสดุที่แล่นสวนทางผู้คนในตลาดสด ใครหลายคนคุ้นเคยกับการกดสั่ง “ของเล็กชิ้นน้อย” จากต่างประเทศ—เคสโทรศัพท์ 79 บาท ไฟประดับ 129 บาท สายชาร์จ 99 บาท—แล้วรอรับหน้าบ้านในไม่กี่วัน แต่ นับจาก 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป แทบทุกพัสดุที่ “บินข้ามพรมแดน” เข้ามา ไม่ว่าจะเล็กเพียงใด หากมีมูลค่าเกิน 1 บาท ก็จะเข้าสู่โหมดใหม่ของการจัดเก็บภาษีนำเข้าเต็มรูปแบบ (อากรเฉลี่ยราว 10%) พร้อม ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% บนฐานภาษีนำเข้า ตามกรอบที่กรมศุลกากรประกาศ “Quick Big Win” เร่งผลลัพธ์ภายใน 4 เดือน และเผยแผนปรับกติกา De minimis ให้เหลือ “1 บาท” เพื่อปิดช่องโหว่เดิมของการยกเว้นพัสดุราคาต่ำและทำให้การแข่งขันการค้าเป็นธรรมขึ้น (อธิบดีกรมศุลกากร ระบุทิศทางและกรอบรายได้เข้ารัฐราว 3,000 ล้านบาท/ปี)

มาตรการใหม่นี้ ไม่ได้เกิดจากสุญญากาศ ก่อนหน้า ประเทศไทยได้ทยอย “ปรับฐาน” มาแล้วเป็นขั้น ๆ เช่น การประกาศให้ พัสดุระหว่างประเทศมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทต้องเสีย VAT ที่มีผลช่วงกลางปี 2567 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา (กรอบเวลาชั่วคราวปี 2567) เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ “ของถูกมาก” บนแพลตฟอร์มไม่ถูกเหมือนเดิม และเป็นสัญญาณว่าระบบภาษีสำหรับสินค้านำเข้าดิจิทัลจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อไล่ทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคอีคอมเมิร์ซและการแข่งขันข้ามแดนที่เปลี่ยนหน้าอย่างรวดเร็ว

ทำไม “หนึ่งบาท” ถึงสำคัญ

De minimis value คือเพดานมูลค่าพัสดุที่รัฐ “ยอมผ่อนภาระ” ไม่จัดเก็บภาษีเพื่อลดต้นทุนการบริหาร หากเพดานนี้ต่ำลงจนเหลือ “1 บาท” ความหมายเชิงปฏิบัติการคือ ของทุกชิ้นที่ข้ามแดนจะถูกประเมินภาษี ไล่ตั้งแต่เคสโทรศัพท์ราคา 79 บาท ไปจนถึงไฟประดับ 129 บาท—ทั้งหมดจะถูกคิด อากรขาเข้า (เฉลี่ย 10%) และ VAT 7% ซึ่งตามหลักการจัดเก็บของไทย VAT จะคำนวณบน ฐานราคา C.I.F. + อากร (กรณีไม่มีภาษีสรรพสามิตหรือภาษีอื่นเกี่ยวข้อง) ดังนั้น ภาระรวม โดยประมาณ ใกล้เคียง ~17% ของมูลค่านำเข้า และอาจสูงกว่าเมื่อบวกค่าธรรมเนียม-โลจิสติกส์ปลายทางของผู้ให้บริการขนส่ง (ตัวอย่างการคำนวณภาษีนำเข้าทั่วไป อากร 10% จากราคา C.I.F. และ VAT 7% บนยอดรวมหลังอากร)

ตัวอย่างจำลองผลกระทบราคาขายปลีก (เฉพาะภาระภาษีนำเข้า- VAT แบบง่าย)

  • เคสโทรศัพท์ 100 บาท → อากร 10 บาท + VAT 7.7 บาท ≈ เพิ่ม 17.7 บาท (~17.7%)
  • ไฟประดับ 200 บาท → อากร 20 บาท + VAT 15.4 บาท ≈ เพิ่ม 35.4 บาท
  • เสื้อยืด 250 บาท → อากร 25 บาท + VAT 17.5 บาท ≈ เพิ่ม 42.5 บาท
    (ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการปลายทาง/ค่าพิธีการของผู้ให้บริการขนส่ง)

ประเด็นสำคัญ คือ แม้ภาษีจะเพิ่มต้นทุน แต่ก็ช่วย “เลเวลเพลย์อิงฟิลด์” ให้ผู้ค้าปลีกไทยที่นำเข้าถูกกฎหมายและเสียภาษีครบถ้วนไม่เสียเปรียบสินค้าต่างชาติที่เคยได้อานิสงส์จาก De minimis เดิม นโยบายนี้จึงถูกวางในกรอบ “Trade Enabler + ปกป้องสังคม + เพิ่มรายได้รัฐ” ภายใต้โครงการ “Customs Quick Big Win” ที่กรมศุลกากรสื่อสารอย่างเป็นทางการ และมีการนัดหารือแพลตฟอร์มหลักอย่าง Shopee / Lazada เพื่อขอความร่วมมือด้านข้อมูลสินค้าและคัดกรองสินค้าผิดกฎหมายก่อนจำหน่ายบนแพลตฟอร์มไทย

เมื่อ “ชายแดน” คือห้องเครื่องของเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ โครงสร้างเศรษฐกิจผูกพันกับการค้าและโลจิสติกส์ข้ามแดน ผ่านด่านสำคัญอย่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) และ เชียงแสน–สามเหลี่ยมทองคำ (สปป.ลาว) การเปลี่ยนกฎภาษีอีคอมเมิร์ซย่อม กระทบทิศทางราคาและแรงจูงใจ ของผู้บริโภค-ผู้ค้าในพื้นที่ชายแดนโดยตรง

ภาพกว้างด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทยในช่วงหลังโควิด กลับมาฟื้นตัวชัดเจน กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการค้าชายแดนและผ่านแดนปี 2566–2567 อยู่ในระดับหลายล้านล้านบาท และมีสัญญาณฟื้นต่อเนื่องในปี 2567 (ข้อมูลรายไตรมาส) ขณะที่ฝั่งลาว-เมียนมามีบทบาทเป็นคู่ค้าหลักของการค้าชายแดนไทยต่อเนื่อง (เอกสารสถิติกระทรวงพาณิชย์) แนวโน้มนี้สะท้อนว่า ทุก “แรงสะเทือนราคา” จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าพัสดุออนไลน์ สามารถกระเพื่อมต่อโครงสร้างราคาขายปลีกท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะสินค้าจำพวก ของใช้ไอที อะไหล่ย่อย เครื่องตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่น ที่ผู้ค้ารายย่อยชายแดนเคยพึ่ง “ล็อตเล็ก” นำเข้าผ่านเส้นทางโลจิสติกส์หลากหลายรูปแบบ เพื่อกระจายขายหน้าร้านและขายออนไลน์ต่อในประเทศ

คำถามใหญ่ของเชียงราย “ความอยู่รอดของค้าปลีกชายแดน” กับการแข่งขันของแพลตฟอร์ม

ในทางหนึ่ง มาตรการใหม่ แก้ปัญหาเดิม คือปิดโอกาส “ของราคาต่ำลอยตัว” เข้ามาโดยไม่เสียภาษี ทำให้ผู้ค้าถูกกฎหมายในประเทศไม่เสียเปรียบ แต่ในอีกทางหนึ่ง การแข่งขันไม่จบแค่ภาษี เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติยังได้เปรียบด้วย ขนาด เครือข่ายซัพพลายเออร์จีน และต้นทุนโลจิสติกส์ ที่ยังต่ำกว่าผู้ค้านำเข้าแบบดั้งเดิมในบางประเภทสินค้า ผลลัพธ์คือ ผู้บริโภคอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อย เพื่อแลกกับทางเลือกสินค้าหลากหลายและการส่งถึงบ้าน ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายของค้าปลีกชายแดนเชียงราย

3 ฉากทัศน์ที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องคิด

  1. แข่งขันด้วย “ความถูก” อย่างเดียวไม่ได้อีก
    เมื่อราคานำเข้าถูก “อัปเลเวล” ด้วยอากร+VAT แทบทุกชิ้น ผู้ค้าท้องถิ่นที่ขายสินค้านำเข้าทั่วไปจะเสีย จุดเด่นด้านราคา ในทันที ทางรอดจึงต้องหันไปเน้น ความเร็ว (Same/Next-day), การรับประกันหน้าร้าน, บริการเปลี่ยนคืนง่าย, และ แพ็กเกจจิ้ง/คอนเทนต์ท้องถิ่น ที่แพลตฟอร์มทำเลียนแบบยาก—เพื่อให้ผู้บริโภคยอมจ่าย “พรีเมียมบริการ” แทน “ส่วนต่างราคา”
  2. ชู “ของแท้มีมาตรฐาน–รับผิดชอบได้”
    มาตรการรัฐจะเข้มในการคัดกรอง สินค้าปลอม-ผิดมาตรฐาน-สินค้าควบคุม มากขึ้น ผู้ค้าท้องถิ่นจึงควรวางตำแหน่งเป็น ร้านที่ตรวจสอบได้” มี ใบเสร็จภาษี/ใบรับประกัน/มาตรฐาน มอก. และ บริการหลังการขาย เพื่อชิงความเชื่อมั่นเหนือสินค้าส่งตรงจากต่างประเทศที่แม้ราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ เคลมยาก–รับผิดชอบยาก
  3. ใช้พรมแดนให้เป็น “ข้อได้เปรียบ”
    เชียงรายมีโลจิสติกส์ชายแดนแข็งแรง—ด่านแม่สาย/เชียงแสน/เชียงของ—หากผู้ค้าสามารถ รวมล็อต-ใช้ศุลกากรระบบใหญ่ถูกกฎหมาย ต่อรองค่าขนส่ง และทำ สัญญากับผู้ผลิตในลาว-เมียนมา-จีนตอนใต้ เพื่อนำเข้าถูกต้องตามภาษี ก้าวต่อไปคือการสร้าง แบรนด์ท้องถิ่น สินค้าชุด (bundle) และ B2B ย่อย ป้อนร้านค้าปลีกในจังหวัดข้างเคียง ซึ่งช่วยเฉลี่ยต้นทุนและทำ มาร์จิ้น ได้ดีกว่าการขายชิ้นต่อชิ้น

มุมมองจากนโยบายรัฐ

ฝั่งกรมศุลกากรเน้นย้ำ “ดุลยภาพ” ระหว่างการอำนวยความสะดวกกับการปกป้องสังคม—เร่งคืนภาษี/เงินประกัน เพิ่มความถี่พิจารณาอุทธรณ์ ปรับระบบตรวจปล่อยสู่มาตรฐานสากล และยกระดับการบริหารความเสี่ยงจาก “รายธุรกรรม” เป็น “ฐานผู้ประกอบการ (Entity base)” เพื่อให้ผู้ประกอบการสุจริตไม่ถูกภาระเกินจำเป็น นี่คือการบ้านภาครัฐที่จะทำให้ “กติกาใหม่” ส่งผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจโดยรวมและผู้บริโภค

ของถูกจะไม่ถูกอีกต่อไป?”—คำนวณผลกระทบสินค้ายอดฮิต

เพื่อให้เห็นภาพเชิงปฏิบัติ เราจำลองตะกร้าสินค้าที่ชาวเชียงรายนิยมสั่งจากแพลตฟอร์ม (ตัวเลขภาษีเป็นการประมาณตามหลักอากรเฉลี่ย 10% และ VAT 7% บนฐาน C.I.F.+อากร ไม่รวมค่าดำเนินการอื่น)

  • เคสโทรศัพท์/ฟิล์มกันรอย (100–150 บาท): ราคาสุทธิอาจเพิ่ม ~18–27 บาท/ชิ้น หากรวมค่าธรรมเนียมปลายทาง/ค่าดำเนินการ ผู้ขายอาจตั้งราคาใหม่ใกล้ 129–199 บาท เพื่อคงมาร์จิ้น
  • ไฟประดับ/หลอดไฟ USB (150–250 บาท): เพิ่มภาษี ~26–44 บาท มีโอกาส “ขยับชั้นราคา” ไปแตะ 199–299 บาท ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหัน “ซื้อรวมชุด” เพื่อเฉลี่ยค่าภาษี-ค่าขนส่ง
  • เสื้อผ้าแฟชั่นเบสิก (200–300 บาท): ภาษี ~35–53 บาท หากแบรนด์ไม่มีจุดเด่นด้านคุณภาพหรือทรง อาจถูกผู้บริโภคเปรียบเทียบกับแบรนด์ไทยที่มีบริการคืน/เปลี่ยน และได้สินค้าทันทีหน้าร้าน

นัยต่อพฤติกรรมผู้บริโภค

  1. ซื้อน้อยครั้งขึ้น แต่ต่อครั้งใหญ่ขึ้น: ผู้บริโภคจะพยายาม “รวมตะกร้า” ให้คุ้มค่าค่าดำเนินการปลายทาง
  2. ขยับสู่ร้านในประเทศมากขึ้นในบางหมวด: โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการเคลม/วัดไซซ์/ทดลอง
  3. ยอมจ่ายเพื่อความสะดวก: บริการส่งเร็ว/เปลี่ยนคืนง่าย/ของแท้ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในสมการตัดสินใจ

จากกฎภาษีสู่โครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น

หากมองไกลกว่าราคาหน้าร้าน นโยบายนี้คือ การปรับสมดุลระบบนิเวศการค้า—ผู้ค้าที่ยึดกติกามี “สนามแข่งขันที่ยุติธรรมขึ้น” รัฐมีรายได้ที่ถูกต้อง และผู้บริโภคได้สินค้ามาตรฐานมากขึ้น (ลดสินค้าปลอม/ไม่ได้มาตรฐาน) ในระยะกลาง–ยาว ผลเชิงบวกอาจสะสมผ่าน

  • การย้ายฐานซัพพลาย มาสู่ไทย/CLMV ที่ตรวจสอบได้
  • การเกิดพันธมิตรโลจิสติกส์ชายแดน ระหว่างผู้ค้าท้องถิ่น–ศุลกากร–ขนส่ง–แพลตฟอร์ม
  • การยกระดับทักษะดิจิทัลของ SME ให้แข่งด้วยคอนเทนต์ ความเร็ว และบริการ ที่ไม่ใช่ “ราคาอย่างเดียว”

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเชิงนโยบาย ยังมี 3 ประการ

  1. ความพร้อมเชิงระบบข้อมูล: การเก็บภาษีจากพัสดุปริมาณมากต้องอาศัย ข้อมูลล่วงหน้า (pre-arrival data) ที่แม่นยำจากแพลตฟอร์ม/ขนส่ง เพื่อลดคอขวดด่านศุลกากร—ซึ่งกรมศุลกากรกำลังหารือแพลตฟอร์มหลักเพื่อร่วมมือคัดกรองและส่งข้อมูลที่จำเป็น (สินค้าต้องห้าม สินค้ามาตรฐาน)
  2. ความสม่ำเสมอของการบังคับใช้: หากมี “ช่องทางเลี่ยง” เช่น การสำแดงราคาไม่ครบ/แยกพัสดุเพื่อให้ดูมูลค่าต่ำ จะทำให้ผู้ค้าสุจริตเสียเปรียบ—ภาครัฐจึงต้องเร่ง Risk Management แบบฐานผู้ประกอบการ (Entity base) และเชื่อมระบบกับหน่วยงานกำกับอื่น (เช่น มอก.) ให้แนบแน่น
  3. การสื่อสารสาธารณะ: ผู้บริโภคต้องรู้กติกาใหม่ล่วงหน้า—หากไม่เข้าใจที่มาที่ไป จะเกิดแรงต่อต้านว่า “ของแพงขึ้นเพราะรัฐ” ทั้งที่หัวใจคือ ความเป็นธรรมและความปลอดภัย ของระบบการค้าในระยะยาว

 “เก็บครบ–อำนวยความสะดวก–ปกป้องสังคม”

กรอบ “Quick Big Win” ที่ประกาศเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2568 ระบุ 3 เสาหลักชัดเจน—อำนวยความสะดวก (เร่งคืนภาษี ปรับพิธีการ ตรวจปล่อยมาตรฐานสากล สนับสนุนราง–เรือ–ICD), ปกป้องสังคม (ปราบสินค้าทุ่มตลาด/ปลอมแปลงถิ่นกำเนิด/ไม่ได้มาตรฐาน) และ เพิ่มรายได้รัฐ โดยเฉพาะในส่วน อีคอมเมิร์ซข้ามแดน ที่คาดว่าช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมประมาณ 3,000 ล้านบาท/ปี เมื่อเพดาน De minimis ลดลงเหลือ 1 บาท พร้อมเดินหน้าหารือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่เพื่อ ปิดช่องสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ต้นทาง

ในเชิงกรอบเวลา ปี 2567–2568 เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ—จาก การเริ่มจัดเก็บ VAT กับพัสดุต่ำกว่า 1,500 บาท (ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา) ไปสู่ การเลิกยกเว้นอากรนำเข้า สำหรับพัสดุ “แทบทุกชิ้น” ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไปตามที่ผู้บริหารศุลกากรสื่อสารต่อสาธารณะ โดยมีสาระสำคัญว่า สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท จะไม่ยกเว้นภาษีอีกต่อไป” และจะคำนวณภาษีตามกฎหมายปกติ เพื่อยุติการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและคัดกรองสินค้ามาตรฐานเข้าสู่ประเทศ

เชียงรายควร “รับมือ” อย่างไร ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ค้า

1) รีแพ็กเกจพอร์ตสินค้า

  • ลดสัดส่วนสินค้าที่ “ได้เปรียบเพราะราคาต่ำมาก” และย้ายไปสู่หมวดที่ผู้บริโภคให้ค่าน้ำหนักกับ บริการ (เช่น อุปกรณ์มือถือที่ต้องติดฟิล์ม/ตั้งค่า, อะไหล่พร้อมติดตั้ง, ของใช้บ้านที่ต้องสาธิต)
  • ใช้ Bundle/Set ต่อชิ้นต่อบิล เพื่อเฉลี่ยต้นทุนภาษีและค่าดำเนินการ

2) เร่งทำสัญญานำเข้าแบบมืออาชีพ

  • รวมล็อตกับผู้ค้ารายอื่นในเครือข่ายเชียงราย–เชียงใหม่–ลำปาง เพื่อใช้ พิธีการศุลกากรปกติ ที่โปร่งใสและต่อรองค่าขนส่งได้ดีขึ้น
  • จับมือ ตัวแทนศุลกากร (Customs broker) ที่มีระบบเอกสารพร้อม audit และสร้างความน่าเชื่อถือกับธนาคาร–คู่ค้า

3) สร้าง “คุณค่าท้องถิ่น” ให้แตกต่างจากแพลตฟอร์ม

  • เพิ่มบริการ Same/Next-day ในตัวเมืองเชียงราย, บริการเปลี่ยนคืนที่ร้าน, ประกันสินค้า, และบริการติดตั้ง/สอนใช้
  • ผลิต คอนเทนต์ภาษาถิ่น/วัฒนธรรมล้านนา เชื่อมกับเทศกาลท้องถิ่น (ลอยกระทง–ปีใหม่–เทศกาลกาแฟ/บอลลูน) เพื่อดึงอารมณ์ร่วม—สิ่งที่แพลตฟอร์มระดับโลกทำได้ยาก

4) ทำการตลาด “ภาษีชัด–ของแท้ชัวร์–ซัพพอร์ตเร็ว”

  • สื่อสารตรงไปตรงมาเรื่องภาษีใหม่—ราคาที่เห็นคือราคาจริงหลังภาษี ลดความลังเลใจผู้บริโภค
  • ชู ใบกำกับภาษี/ใบรับประกัน/มาตรฐาน มอก. และช่องทางเคลมในจังหวัด

5) ต่อยอด B2B ในภาคเหนือ

  • ใช้เชียงรายเป็นฐานกระจายสู่ พะเยา–แพร่–น่าน–เชียงใหม่ ผ่านเครือข่ายขนส่งภูมิภาค สร้างรายได้ ค้าส่ง ควบคู่ค้าปลีก

 “ภาษีใหม่” ไม่ใช่จุดจบของความคุ้มค่า—แต่คือบทเริ่มของการค้าที่เป็นธรรม

เมื่อนับถอยหลังสู่ 1 ม.ค. 2569 ระบบภาษีอีคอมเมิร์ซของไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่ พัสดุแทบทุกชิ้นถูกกำกับด้วยกติกาเดียวกัน ลดแรงบิดเบี้ยวจาก De minimis เดิม เพิ่มความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการในประเทศ และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคผ่านการคัดกรองสินค้ามาตรฐาน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้อาจทำให้ “ของถูกมาก” ไม่ถูกอีกต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง “แพงไร้เหตุผล” หากรัฐ–แพลตฟอร์ม–ขนส่ง–ผู้ค้า–ผู้บริโภค ร่วมกันทำให้ข้อมูลโปร่งใสและต้นทุนพิธีการมีประสิทธิภาพ

สำหรับเชียงราย เมืองชายแดนที่คล่องแคล่วด้านโลจิสติกส์และการค้าข้ามแดน นี่คือโอกาส—หากผู้ค้าท้องถิ่นปรับตัวจาก ยุทธศาสตร์ “ถูกกว่า” ไปสู่ ดีกว่า–เร็วกว่า–เชื่อถือได้กว่า” การมีร้านอยู่ใกล้มือ บริการหลังการขายที่จับต้องได้ และคอนเทนต์ท้องถิ่นที่สร้างความผูกพัน จะทำให้ ส่วนต่างราคา 10–20% ไม่ใช่กำแพงที่ข้ามไม่ได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร
  • กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

อบจ.เชียงราย ลุยญี่ปุ่น! ลงนาม EPA Shizuoka Saiko Academy ดันนโยบาย “เรียนที่ไหนก็เลี้ยงชีพได้”

อบจ.เชียงรายลงนามความร่วมมือการศึกษากับญี่ปุ่น “Shizuoka Saiko Academy” หนุน “เรียนได้–สำเร็จได้–เลี้ยงชีพได้” ปูทาง 7 เรือธงสู่สากล

ญี่ปุ่น,5 พฤศจิกายน 2568 –  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินหน้านโยบายการศึกษาที่ “เข้าถึงได้และเลี้ยงชีพได้จริง” ด้วยการลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางการศึกษา (EPA) กับ Shizuoka Saiko Academy ณ เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อยกระดับการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา พร้อมเชื่อม “การศึกษา–อาชีพ–รายได้” ให้เป็นเส้นทางเดียวกันตาม นโยบาย 7 เรือธง ของผู้บริหารท้องถิ่น เชียงรายตั้งเป้าเปลี่ยน “โอกาสต่างประเทศ” ให้กลายเป็น “ทางรอดและทางรุ่ง” ของเยาวชนในจังหวัด ผ่านโมเดลร่วมพัฒนาหลักสูตร ฝึกทักษะ และเปิดเครือข่ายฝึกงาน/ศึกษาต่อ
ประเด็นเด่น (1) การเชื่อมเครือข่ายต่างประเทศเป็นเครื่องเร่งให้ “หลักสูตรคุณภาพ” และ “ทักษะใหม่ที่โลกงานต้องการ” เกิดเร็วและใช้งานจริง (2) นโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ของ อบจ.เชียงราย ถูกผลักเป็นความร่วมมือข้ามพรมแดน (3) เมื่อผูกกับกลไกทุน–แลกเปลี่ยน–ฝึกงานสากล (เช่น แนวทางทุนและโครงการแลกเปลี่ยนของญี่ปุ่น) จะทำให้เส้นทางการเรียน–ทำงานของเด็กเชียงราย “สั้นลงและชัดขึ้น” พร้อมลดต้นทุนความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาในภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการยกระดับการศึกษาท้องถิ่นของ อบจ.เชียงรายในกรอบ 7 เรือธงที่ประกาศไว้สาธารณะแล้ว

 “ลานเชื่อมโอกาส” จากเวียงพิงค์ล้านนา สู่เมืองชา–ภูเขาแห่งชิซูโอกะ

ค่ำลมหนาวต้นฤดูในเชียงราย ปี 2568 คือช่วงเวลาที่ผู้บริหารการศึกษาท้องถิ่นกำลัง “เร่งเครื่อง” เป้าหมายสำคัญ—ทำอย่างไรให้เด็กเชียงราย เรียนได้จริง–สำเร็จได้จริง–และเลี้ยงชีพได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงนโยบายบนเวทีสัมมนา แต่แปรรูปเป็น “ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ” ที่จับต้องได้

เช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำคณะผู้บริหารการศึกษา—นายกฤษฎา ใจหล้า ผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และคณะผู้บริหาร—ร่วมลงนาม Educational Partnership Agreement (EPA) กับ Shizuoka Saiko Academy โดยมี Mr. Seiichi Kudo ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อย้ำความร่วมมือที่ปูทางมาก่อนหน้า และผลักไปสู่ “ความร่วมมือเชิงปฏิบัติ” ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน

หัวใจของ EPA ครั้งนี้ คือ 3 มิติหลัก

  1. วิชาการ–หลักสูตร: ยกระดับการเรียนการสอน โดยผนวกแนวคิด “ทักษะแห่งอนาคต” (Future Skills) ทั้งภาษา เทคโนโลยี นวัตกรรมอาชีพ และความเข้าใจวัฒนธรรม
  2. วัฒนธรรม–ความเป็นพลเมืองโลก: เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนของนักเรียน–ครู ข้ามพรมแดน สร้าง Soft Power และทักษะข้ามวัฒนธรรม (Intercultural Competence)
  3. การทำงาน–การเลี้ยงชีพ: เชื่อม “ทักษะในห้องเรียน” กับ “โลกการทำงานจริง” ผ่านกิจกรรมฝึกงาน โครงงาน และเครือข่ายสถานประกอบการที่เชื่อมกับญี่ปุ่น

นโยบาย 7 เรือธง จากคำมั่นสู่แผนปฏิบัติในสนามจริง

ตลอดสองปีที่ผ่านมา อบจ.เชียงรายประกาศทิศทาง “7 เรือธง” โดยหนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ การยกระดับคุณภาพและการเข้าถึงการศึกษา ประเด็น “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ถูกยกเป็นสโลแกนเชิงภารกิจให้โรงเรียนในสังกัด และเครือข่ายการศึกษาทั้งจังหวัดขับเคลื่อนร่วมกัน ตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ห้องเรียนอาชีพ หลักสูตรเสริมสมรรถนะ ไปจนถึงช่องทางแนะแนวอาชีพ–ศึกษาต่อในระดับนานาชาติ โดย อบจ.เชียงรายได้สื่อสารนโยบายและทิศทางไว้ในช่องทางทางการของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง

EPA กับ Shizuoka Saiko Academy จึงทำหน้าที่เป็น “เครื่องเร่ง” ที่ทำให้เรือธงด้านการศึกษา ไปไกลและไปได้จริง—จากระดับจังหวัดสู่เวทีนานาชาติ—ด้วยความร่วมมือแบบสถาบัน–ต่อ–สถาบัน (school-to-school) ที่มีเป้าหมายร่วม ทักษะ–คุณธรรม–อาชีพ–รายได้ บนฐานคุณภาพมาตรฐานสากล

ทำไม “ญี่ปุ่น–ชิซูโอกะ” จึงตอบโจทย์เชียงราย

ชิซูโอกะ เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ด้านชุมชนการเกษตร (ชาเขียว–พืชเศรษฐกิจ), อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี, และวัฒนธรรมชุมชนเข้มแข็ง—หลายมิติสะท้อนกับบริบทของเชียงราย ไม่ว่าจะเป็น เกษตร–อาหาร–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แบบนี้ จึงมีประโยชน์ในเชิง สถานการณ์เรียนรู้จริง” (Learning in Real Context) ที่ต่อยอดได้ทั้งใน

  • เกษตรคุณภาพ–แปรรูปอาหาร–ธุรกิจชุมชน (เชื่อมต่อทักษะอาชีพของเยาวชน)
  • การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–สุขภาพ (เชื่อมทักษะภาษา การบริการมาตรฐานญี่ปุ่น)
  • เทคโนโลยีเพื่อชุมชน (IoT/Automation เบื้องต้น, การจัดการคุณภาพ, ความปลอดภัยอาหาร ฯลฯ)

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมี “โครงสร้างสนับสนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ” ทั้งรูปแบบทุนการศึกษา และโปรแกรมแลกเปลี่ยนบุคลากรท้องถิ่นที่เปิดรับชาวต่างชาติ เช่น กรอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT) ซึ่งอาศัยเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อคัดเลือก/เสนอชื่อผู้รับทุนในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงโปรแกรมด้านการสอนและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับท้องถิ่น (JET Programme) ที่สนับสนุนให้เยาวชนทั่วโลกเข้าไปทำงานด้านภาษา–วัฒนธรรมกับองค์กรปกครองท้องถิ่นและโรงเรียนของญี่ปุ่น กลไกเหล่านี้เป็น “องค์ประกอบเชิงระบบ” ที่ อบจ.เชียงรายสามารถใช้ประกอบการออกแบบเส้นทางการเรียน–ฝึกงาน–เลี้ยงชีพในระยะยาวให้กับเด็กเชียงรายได้ เมื่อผูกกับความร่วมมือรายสถาบันอย่าง EPA ที่เพิ่งลงนาม

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย การทำข้อตกลงระดับโรงเรียน (EPA) ช่วย “ส่งสัญญาณ” ความพร้อมของพื้นที่ต่อหน่วยงานทุน/เครือข่ายต่างประเทศ—ทำให้การเข้าถึงทุนและโอกาสสากล “มีความเป็นไปได้จริง” มากกว่าการยื่นสมัครในฐานะ “บุคคลรายคน” โดยไม่มีแบ็กเอนด์ของสถาบัน/ท้องถิ่นรองรับ

ภาพใหญ่ของ EPA จากห้องเรียนถึงรายได้ครัวเรือน

1) หลักสูตร–สมรรถนะอาชีพ (Career Readiness)
แผนความร่วมมือที่วางไว้สอดคล้องกับทิศทาง “สมรรถนะอาชีพ” ได้แก่ ภาษา (ญี่ปุ่น/อังกฤษเพื่อการทำงาน), เทคโนโลยีดิจิทัลเบื้องต้น (การสื่อสาร–สื่อดิจิทัล–ข้อมูล), การเป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro-entrepreneurship) และทักษะข้ามวัฒนธรรม ซึ่งเมื่อเชื่อมกับเครือข่ายญี่ปุ่น จะเกิด ชุดกิจกรรมฝึกจริง เช่น โครงงานร่วม (Joint Project), เวิร์กช็อปครู–นักเรียน, ห้องเรียนออนไลน์ข้ามประเทศ, รวมถึง ฝึกงานระยะสั้น ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง—ทั้งฝั่งเชียงรายและชิซูโอกะ—เพื่อนำกลับมาปรับใช้กับเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด

2) ครูคือตัวเร่ง (Teacher Capacity)
ความร่วมมือเน้น แลกเปลี่ยนครู เพื่อถ่ายทอด “วิธีสอน–วิธีประเมิน–วินัยการเรียนรู้แบบญี่ปุ่น” เช่น การจัดชั้นเรียนเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแต่มีวินัยสูง, การเรียนรู้เชิงลงมือทำ (Project/Problem-based), การประเมินจากหลักฐานชิ้นงาน และการดูแลสุขภาวะจิตสังคมในโรงเรียน ซึ่งจะยกระดับคุณภาพ “ทั้งระบบ” มากกว่าการส่งนักเรียนไปต่างประเทศทีละไม่กี่คน

3) วัฒนธรรม–วินัย–Soft Power
พิธี–เทศกาล–กิจกรรมจิตอาสา และ “จิตวิญญาณชุมชน” ของญี่ปุ่น (เช่น ความตรงต่อเวลา ระเบียบ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ) เมื่อหลอมรวมกับ “อัตลักษณ์ล้านนา” (กัลยาณมิตร–ชุมชน–ความสุภาพ) จะกลายเป็นทรัพยากร Soft Power ใหม่ของเด็กเชียงรายในตลาดแรงงานบริการ ท่องเที่ยว สุขภาพ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

4) เส้นทางการเงินเพื่อการเรียนรู้ (Learning Finance)
เมื่อ EPA ทำงานร่วมกับทุน/โครงการสากล—ทั้งระดับรัฐบาลญี่ปุ่น (เช่น แนวทางทุน MEXT) หรือโปรแกรมภาครัฐญี่ปุ่นที่เปิดรับบุคลากรต่างชาติ (เช่น JET Programme)—อบจ.เชียงรายสามารถออกแบบ “แพ็กเกจเส้นทาง” ที่มีทั้ง ทุนต่อยอด–ทุนเดินทาง–ทุนฝึกงาน ประกบกับกิจกรรมในหลักสูตรของโรงเรียนในสังกัด ทำให้การไปต่างประเทศ “ไม่ใช่เรื่องไกลตัว” สำหรับนักเรียนฐานะปานกลาง–รายได้น้อยที่มีสมรรถนะเพียงพอ

เสียงสะท้อนและฉากทัศน์ผลลัพธ์ จากปีที่ 1 ถึงปีที่ 3

แม้ข้อตกลงเพิ่งลงนาม แต่หากบูรณาการอย่างเป็นระบบ สามารถคาดฉากทัศน์ผลลัพธ์ใน 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 (0–12 เดือน)

  • ตั้ง “คณะทำงาน EPA” ร่วมระหว่างโรงเรียน อบจ.เชียงราย–Shizuoka Saiko Academy เพื่อกำหนดกรอบหลักสูตรร่วม (ภาษา–ดิจิทัล–โปรเจ็กต์วัฒนธรรม)
  • เปิด คลาสออนไลน์ข้ามประเทศ รายวิชาเป้าหมาย (เช่น ภาษาเพื่อการทำงาน/บริการ, สื่อดิจิทัล) เดือนละ 1–2 วิชา
  • อบรมครูแกนกลาง Train-the-Trainers เพื่อขยายผลสู่นักเรียน 5–10 โรงเรียนในสังกัด
  • เปิดรับสมัคร ค่ายฤดูร้อน/หนาว (2–4 สัปดาห์) สำหรับกลุ่มเป้าหมายรุ่นแรก 30–50 คน

ระยะที่ 2 (12–24 เดือน)

  • เริ่ม โครงการฝึกงานสั้น (Short-term Internship) กับคู่ร่วมมือญี่ปุ่นหรือผู้ประกอบการเครือข่ายในเชียงรายที่เชื่อมซัพพลายเชนญี่ปุ่น (อาหาร–ท่องเที่ยว–บริการ)
  • สร้าง หลักสูตรพิเศษ “เรียน–ทำ–ได้พอร์ต” สำหรับเด็ก ม.ปลาย/ปวช. ที่เน้นผลงานโครงงานคู่ขนานกับทักษะภาษา
  • เจรจา ทุนย่อย/อุดหนุนค่าเดินทาง จากแหล่งต่าง ๆ ให้ผู้เรียนฐานะยากจน

ระยะที่ 3 (24–36 เดือน)

  • ขยายผลไปสู่ หลักสูตรสองภาษา/สองวัฒนธรรม (Lanna–Japan) สำหรับสายบริการ–ท่องเที่ยว–อาหาร–สื่อสร้างสรรค์
  • สร้าง “ทางด่วนศึกษาต่อ” (Progression Pathway) ไปยังสถาบันอาชีวะ/มหาวิทยาลัยพันธมิตรในญี่ปุ่น ผ่านระบบเทียบโอนผลงาน/สมรรถนะ
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลทุนและงานสากล ระดับจังหวัด ทำงานร่วมกับสถานทูต/องค์กรญี่ปุ่นในไทย–ญี่ปุ่น เพื่อให้คำปรึกษาเป็นระบบ

เชื่อมเศรษฐกิจจังหวัด เมื่อ “ห้องเรียน” กลายเป็น “ระบบนิเวศอาชีพ”

เชียงรายเป็นเมืองที่มีรายได้จาก บริการ–ท่องเที่ยว–เกษตรแปรรูป สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลัง การมีแรงงานวัยรุ่นที่มี ภาษา–วินัย–มาตรฐานบริการแบบญี่ปุ่น จะช่วยยกระดับคุณภาพบริการปลายทาง (โรงแรม–ร้านอาหาร–ไกด์–อีเวนต์) และเพิ่ม “รายได้ต่อหัว” ให้กับครัวเรือนท้องถิ่นได้จริง ขณะเดียวกัน เครือข่ายญี่ปุ่น จะช่วยเปิดทางให้ผู้ประกอบการ SME เชียงรายเรียนรู้ มาตรฐานคุณภาพ–ความปลอดภัย–ประสิทธิภาพ ที่จำเป็นต่อการขยายตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง EPA ไม่ได้ผลิต “บัณฑิตเพิ่ม” แต่ผลิต “คนทำงานคุณภาพ–มีวินัย–มีวัฒนธรรมการบริการ” ซึ่งคือทุนมนุษย์ที่เศรษฐกิจเชียงรายต้องการ

คำถามสังคม–ข้อท้าทาย–แนวกันความเสี่ยง

แม้ภาพรวมเป็นบวก แต่การทำ EPA ให้เกิดผล ต้องบริหารความเสี่ยง 4 ด้านพร้อมกัน

  1. ความยั่งยืนงบประมาณ: การแลกเปลี่ยนต่างประเทศมีต้นทุน อบจ.ต้องออกแบบกลไกทุน ร่วมหลายแหล่ง (ภาครัฐ–เอกชน–CSR–มูลนิธิ) และวางเกณฑ์คัดเลือกที่ยุติธรรม โปร่งใส
  2. ความเสมอภาคโอกาส: ต้องวางมาตรการ “เปิดทางเด็กทุกฐานะ” เช่น ทุนค่าเดินทาง–พาสปอร์ต–เบี้ยเลี้ยง–อุปกรณ์เรียน เพื่อไม่ให้โครงการกลายเป็น “อภิสิทธิ์ของคนกลางเมือง”
  3. คุณภาพ–มาตรฐานการเรียน: การแลกเปลี่ยนต้อง “มีเนื้อหา” มากกว่าท่องเที่ยว ต้องกำหนด ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) และ พอร์ตโฟลิโองานจริง เป็นหลักฐาน
  4. ความปลอดภัย–การคุ้มครอง: เมื่อเกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ ต้องมีมาตรการ คุ้มครองเด็ก–สุขภาวะจิตใจ–การคุ้มครองข้อมูล และช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงง่ายทั้งสองประเทศ

เสียงจากห้องประชุม สารที่ส่งถึงครู–ผู้ปกครอง–นักเรียน

แม้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการไม่ได้เผยแพร่คำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหารในพิธี แต่เนื้อหาการดำเนินการสรุปได้ชัดว่า เป้าหมายร่วม คือ “เชื่อมการเรียนกับการทำงานได้จริง” บนมาตรฐานสากล ผู้ปกครองจึง “เห็นภาพ” เส้นทางของลูกหลานว่า เรียนแล้วไปไหนต่อ ขณะที่ครูได้ เครื่องมือ–เพื่อนร่วมวิชาชีพ ต่างประเทศในการพัฒนาวิธีสอน และนักเรียนได้ พอร์ต–เครือข่าย–ทักษะชีวิต ที่มากกว่าคะแนน

ทำอย่างไรให้ “นโยบาย” ไม่หยุดแค่กระดาษ

  1. ตั้ง Roadmap 12 เดือน พร้อม Milestone รายไตรมาส (วิชาออนไลน์ร่วม / ค่าย / อบรมครู / คัดรุ่นนักเรียน)
  2. สื่อสารสาธารณะผ่าน “แดชบอร์ดการศึกษา อบจ.เชียงราย” ให้สังคมตรวจสอบความคืบหน้าได้
  3. สร้าง เครือข่ายผู้สนับสนุน (Supporters Club) จากภาคเอกชนท้องถิ่น–หอการค้า–สมาคมท่องเที่ยว เพื่อร่วมรับนักเรียนฝึกงานและสนับสนุนทุน
  4. วัดผล “รายได้ต่อหัวจากงานบริการ/ท่องเที่ยว” ของเยาวชนรุ่นที่เข้าร่วม และ “อัตราการศึกษาต่อ/มีงานทำ” ภายใน 6–12 เดือนหลังจบโครงการ เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคม

จาก “เชียงรายโมเดล” สู่ “ข้อตกลงระดับจังหวัด–ระดับเอเชีย”

การลงนาม EPA ระหว่าง อบจ.เชียงราย–Shizuoka Saiko Academy ไม่ได้เป็นเพียงข่าวดีของโรงเรียนหนึ่งหรือรุ่นนักเรียนหนึ่ง แต่เป็น ข้อตกลงเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้จังหวัดมีเครื่องมือใหม่ในการสร้างโอกาสการศึกษา–อาชีพให้เยาวชน อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน หากขับเคลื่อนต่อเนื่อง จะเกิด “เชียงรายโมเดล” ที่ท้องถิ่นอื่นนำไปปรับใช้ได้—เริ่มจากการประกาศนโยบายให้ชัด (เช่น 7 เรือธง), หา “คู่ต่างประเทศที่ใช่”, ผูกกับเครื่องมือทุน–แลกเปลี่ยน–ฝึกงานของนานาชาติ และวัดผลด้วยตัวชี้วัดที่สะท้อน “รายได้–งาน–คุณภาพชีวิต” ของผู้เรียน

ท้ายที่สุด นี่คือคำตอบที่เป็นรูปธรรมของประโยคที่ว่า อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ และสำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้”—เมื่อเชียงรายเลือกเดินไปกับโลก และทำให้โลกเดินมาหาเชียงราย

กล่องข้อมูล (Key Facts)

  • วัน–สถานที่ลงนาม: 5 พฤศจิกายน 2568 เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  • คู่ความร่วมมือ: อบจ.เชียงราย – Shizuoka Saiko Academy (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  • กรอบความร่วมมือ: ยกระดับหลักสูตร/ครู–นักเรียน, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, พัฒนานวัตกรรมการศึกษา, เชื่อมเส้นทางฝึกงาน–ศึกษาต่อ
  • กรอบนโยบายจังหวัด: 7 เรือธงด้านการศึกษา— “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” (ประกาศสาธารณะของ อบจ.เชียงราย)
  • บริบทระบบแลกเปลี่ยน/ทุนญี่ปุ่น: แนวทางทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT), กรอบการแลกเปลี่ยนบุคลากรท้องถิ่น JET Programme  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology (MEXT),
  • Ministry of Foreign Affairs of Japan (MOFA)
  • สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตร “เป็งปุ๊ด” เชียงราย คืนเพ็ญวันพุธน้อมอัญเชิญ “พระอุปคุต” แห่รอบเมืองสู่ความสิริมงคล

คืนแห่งศรัทธา “เป็งปุ๊ด” เชียงราย เทศบาลนครเชียงราย–วัดมิ่งเมือง นำประชาชนตักบาตรเที่ยงคืน อัญเชิญ “พระอุปคุต” แห่รอบเมือง พร้อมพิธีถวายความอาลัย “พระพันปีหลวง” ตอกย้ำเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนา

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568 — ค่ำคืนเพ็ญวันพุธ “เป็งปุ๊ด” ที่ชาวล้านนารอคอยกลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวงและผางประทีปนับร้อยดวงที่ส่องประกายรอบ วัดมิ่งเมือง ต่อเนื่องถึง หอนาฬิกานครเชียงราย และ แยกประตูสรี เทศบาลนครเชียงรายนำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย บูรณาการกับวัดมิ่งเมืองและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดพิธี “ตักบาตรเป็งปุ๊ด” หรือ “ตักบาตรเที่ยงคืน” เพื่อสืบสานประเพณีเก่าแก่ของชาวล้านนา พร้อมประกอบพิธีถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ–ท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนพลังศรัทธา ความจงรักภักดี และการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างงดงาม

แสงเพ็ญ–เสียงสาธุ และขบวนเกียรติ “อัญเชิญพระอุปคุต”

เมื่อย่างเข้าสู่ยามค่ำคืนวันพุธเพ็ญ (ขึ้น 15 ค่ำ) สนามหน้าวัดมิ่งเมืองค่อยๆ แน่นขนัดด้วยผู้คนที่มุ่งมาร่วมพิธี อัญเชิญ “พระอุปคุต” ตามความเชื่อโบราณของชาวล้านนาว่า พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์พระองค์นี้ “จำศีลอยู่ใต้สะดือทะเล” แล้วเสด็จขึ้นมาโปรดสัตว์ในคืนเพ็ญวันพุธของปี เพื่อนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองและผู้ศรัทธา

พิธีกรรมดำเนินโดย พระครูโสภณศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดมิ่งเมือง (เจ้าคณะตำบลเวียงเขต 1) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ อัญเชิญองค์พระอุปคุตขึ้นประดิษฐานบน ราชรถบุษบก ก่อนตั้งขบวนเกียรติตระการตา ผ่านเส้นทางสำคัญใจกลางเมือง ได้แก่ ถนนบรรพปราการ–หอนาฬิกานครเชียงราย–แยกประตูสรี ขณะที่สองฟากถนน ประชาชนตั้งแถวประนมมือ เปล่งเสียง “สาธุ” พร้อมประพรมน้ำอบและจุดผางประทีปตลอดแนวทาง สถานการณ์จราจรถูกจัดระเบียบให้เคลื่อนช้า เพื่อเอื้อให้ขบวนผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

ลำดับพิธี จาก “อัญเชิญ” สู่นาทีศรัทธา “ตักบาตรเที่ยงคืน”

พิธี “ตักบาตรเป็งปุ๊ด” ถือเป็นหัวใจของค่ำคืนนี้ หลังขบวนราชรถบุษบกพาองค์พระอุปคุตแห่รอบเมือง ชาวพุทธและนักท่องเที่ยวพร้อมใจ ตักบาตรในเวลาย่ำคืน โดยตั้งเครื่องไทยทาน ข้าวปลาอาหารแห้ง และดอกไม้ธูปเทียนอย่างประณีตตามแบบล้านนา ผู้สูงวัยคอยกำกับบุตรหลานให้ยืนเว้นช่องไฟ ส่งต่อของใส่บาตรอย่างสงบ และน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

ความเชื่อท้องถิ่นกล่าวตรงกันว่า “ผู้ใดได้ทำบุญในคืนเป็งปุ๊ด โดยเฉพาะได้สักการะองค์พระอุปคุต จะประสบโชคลาภและขวัญกำลังใจ” แม้จะเป็นความเชื่อเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็กลายเป็นพลังอ่อนโยนที่ผูกโยงผู้คนกับพื้นที่ทางวัฒนธรรม ท่ามกลางบริบทเมืองท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

พิธีถวายความอาลัย “พระพันปีหลวง” ความจงรักภักดีที่สืบเนื่อง

ไฮไลต์อีกช่วงที่ร้อยเรียงพิธีกรรมของค่ำคืนนี้ คือ พิธีถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย นายวันชัย จงสุทธานามณี พร้อมคณะผู้บริหาร และผู้มีเกียรติ อาทิ ร.ต.อ.ดร.ธนรัช จงสุทธานามณี, อาจารย์คฑา ชินบัญชร, และ นายโชติศิริ ดารายน ร่วมประกอบพิธี จุดผางประทีปหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และ ยืนสงบนิ่ง 93 วินาที เพื่อแสดงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ บรรยากาศสงบนิ่งและเคร่งขรึม ผสานจังหวะกลองสะบัดชัยเบาๆ ที่ทอดจังหวะให้พิธีดำเนินอย่างสมพระเกียรติ

ความหมายเชิงมรดกวัฒนธรรม “เป็งปุ๊ด” สะท้อนรากเหง้าล้านนา

ประเพณี “เป็งปุ๊ด” มีนัยทางประวัติศาสตร์–ศาสนา–วัฒนธรรมที่ลึกซึ้งต่อสังคมล้านนา ไม่เพียงเกี่ยวพันกับ ตำนานพระอุปคุต หากยังเป็น “นาฬิกาจิตวิญญาณ” ที่นัดหมายผู้คนให้หวนกลับไปเชื่อมต่อกับชุมชนและวัดวาอาราม

  1. มิติศาสนา — การอัญเชิญพระอุปคุตเป็นสัญลักษณ์แห่ง “อำนาจคุณความดี” ปราบอุปัทวันตรายและสิ่งอัปมงคล เชื่อมการทำบุญกับการปกปักษ์คุ้มครองบ้านเมือง
  2. มิติชุมชน — การตักบาตรยามดึกสร้างความสัมพันธ์ข้ามรุ่น ระหว่างผู้เฒ่าผู้แก่กับเยาวชนที่มาร่วมพิธีอย่างตื่นตา เกิดการถ่ายทอดพิธีกรรม “จากมือสู่มือ–จากใจสู่ใจ”
  3. มิติเมืองท่องเที่ยว — พิธีกรรมพื้นถิ่นกลายเป็น “ต้นทุนทางวัฒนธรรม” ที่ยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยว คุณค่าจึงไม่ใช่เพียงภาพถ่ายยามค่ำ หากเป็น “เวลาแห่งการเรียนรู้” ของผู้มาเยือนว่าคนเมืองเหนืออยู่กับศาสนาและชุมชนอย่างไร

บทบาทผู้นำท้องถิ่น บูรณาการพิธี–เชื่อมภาคี สู่การจัดการเมืองแบบเคารพรากเหง้า

ในเชิงการบริหารจัดการเมือง พิธีเป็งปุ๊ดครั้งนี้สะท้อน “สมการใหม่” ของเทศบาลนครเชียงรายที่พยายามผสาน ศรัทธา–ความปลอดภัย–เศรษฐกิจชุมชน ให้กลมกลืนกัน โดยเทศบาลทำหน้าที่ประสานงานกับวัดมิ่งเมือง ภาคประชาสังคม ผู้ประกอบการริมเส้นทาง และหน่วยงานความมั่นคง–สาธารณสุขในระดับพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ตลอดเส้นทางขบวนอัญเชิญพระอุปคุตถึงจุดตักบาตร

แม้รายละเอียดเชิงปฏิบัติการเป็นเรื่องเทคนิค แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ “ความพร้อมของเมือง” ในการรองรับกิจกรรมที่มีนัยทางจิตวิญญาณและการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดจุดบริการน้ำดื่ม การประชาสัมพันธ์เส้นทางให้ชุมชนรับรู้ล่วงหน้า หรือการจัดระเบียบทางเท้าให้กว้างพอสำหรับทั้งผู้สูงอายุและครอบครัวที่พาบุตรหลานมาร่วมพิธี

เสียงสะท้อนจากผู้ร่วมงาน “งานบุญ–งานใจ–งานเมือง”

แม้พิธีในคืนนี้ไม่ได้มีการกล่าวสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการยืดยาว แต่เสียงสนทนาตามฟุตปาธเผยให้เห็น “คุณค่าที่ยากจะวัด” พ่อค้าขายข้าวต้มมัดบอกว่า “คืนเพ็ญวันพุธ คนมาเยอะกว่าปีก่อน เห็นเด็กๆ มาตักบาตรกับพ่อแม่แล้วชื่นใจ” ขณะที่นักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดยิ้มบอกว่า “มาถึงเชียงรายก็อยากสัมผัสวิถีล้านนาของจริง และคืนนี้ได้มากกว่าที่คิด ทั้งขบวนแห่และการจุดประทีปสวยมาก”

ความรู้สึกเหล่านี้ช่วยอธิบายว่า งานบุญ มิได้อยู่ในเขตวัดเท่านั้น หากแผ่ไปทั่วเมือง กลายเป็น งานใจ ที่เยียวยาผู้คน และเป็น งานเมือง ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างพอดี—ร้านดอกไม้ พวงมาลัย ของฝากพื้นเมือง และย่านอาหารยามค่ำได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องจัดมหกรรมขนาดใหญ่

เมื่อ “ความศรัทธา” กลายเป็นสาธารณูปโภคทางวัฒนธรรม

  1. เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่มีพื้นที่ให้ทำความดีร่วมกัน
    พิธีตักบาตรเป็งปุ๊ดสร้าง “เวลาและพื้นที่ร่วม” ให้ผู้คนได้ปฏิบัติธรรมและเชื่อมโยงกันในความหมายของความดีงาม เมืองที่ออกแบบพิธีกรรมให้เป็นมิตรกับทุกวัย ย่อมเป็นเมืองที่น่าอยู่ในระยะยาว
  2. วัฒนธรรมคือทุนท้องถิ่นที่เติบโตช้าแต่มั่นคง
    การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไม่ต้องอิงเวทีใหญ่หรือแสงสีอลังการเสมอไป หากแต่ต้อง “จริงแท้กับรากเหง้า” ยิ่งพิธีกรรมถูกรักษาอย่างมีคุณภาพ ความเชื่อมั่นของผู้มาเยือนยิ่งสูง และสร้างความภูมิใจร่วมของคนในท้องถิ่น
  3. การเคารพพระมหากษัตริย์–สถาบันหลักของชาติ ผ่านพิธีกรรมที่เคร่งขรึมและเหมาะควร
    พิธีถวายความอาลัย “พระพันปีหลวง” ที่ถูกออกแบบให้กลมกลืนกับพิธีศาสนา แสดงถึงความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมและการเมืองที่อยู่ร่วมกันได้ในพื้นที่สาธารณะ

เส้นเรื่องของค่ำคืน จากจุดเทียน ถึงจุดหมาย

เมื่อขบวนอัญเชิญพระอุปคุตเคลื่อนผ่านหอนาฬิกา ท้องฟ้าเชียงรายปลอดโปร่ง แสงเพ็ญสะท้อนยอดฉัตรราชรถบุษบกเป็นประกาย เสียงฆ้อง–กลอง–สวดเจริญพระพุทธมนต์สอดรับกับเสียงกล้องถ่ายรูปที่บันทึกช่วงเวลาแห่งศรัทธาไว้ เงาร่างของผู้คนที่ก้มกราบผืนผ้าสไบและพวงมาลัย กลายเป็นภาพจำของ “เมืองแห่งความดีงาม” ที่พยายามรักษาความหมายของคำว่า “เราพวกเดียวกัน” เอาไว้

และเมื่อเสียงเพลงบทสุดท้ายดับลง ถนนก็กลับสู่ความสงบ แต่ ความทรงจำเรื่องการให้และความกตัญญู จะยังคงอยู่ในบ้านและโรงเรียน ในเพจวัดและเพจชุมชน ในสินค้าพื้นเมืองที่ขายดีขึ้นเล็กน้อย และในแผนงานของเทศบาลที่เรียนรู้จากปีนี้เพื่อทำให้ปีหน้าดียิ่งขึ้น

Key Takeaways (สรุปประเด็นสำคัญ)

  • วาระวัฒนธรรมล้านนา เทศบาลนครเชียงรายร่วมกับวัดมิ่งเมืองจัดพิธี ตักบาตร “เป็งปุ๊ด” (ตักบาตรเที่ยงคืน) พร้อม อัญเชิญ “พระอุปคุต” แห่รอบเมือง ตามความเชื่อว่าจะนำความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ศรัทธา
  • ความจงรักภักดี จัดพิธี ถวายความอาลัย “พระพันปีหลวง” โดยการจุดผางประทีปและยืนสงบนิ่ง 93 วินาที อย่างสมพระเกียรติ
  • เมืองกับมรดกวัฒนธรรม กิจกรรมแสดงศักยภาพการจัดการเมืองที่เคารพรากเหง้า เชื่อม ศาสนา–ชุมชน–การท่องเที่ยว ให้เดินไปด้วยกันอย่างกลมกลืน
  • คุณค่าที่สัมผัสได้ คืนเดียวสร้าง เวลาและพื้นที่ร่วม ให้คนต่างวัยทำความดีร่วมกัน เกิดความภูมิใจในท้องถิ่น และสร้างรายได้จุลภาคแก่ผู้ค้าชุมชน

ความรู้ย่อ “เป็งปุ๊ด” คืออะไร

  • “เป็ง” ในภาษาล้านนา แปลว่า วันเพ็ญ (พระจันทร์เต็มดวง)
  • “ปุ๊ด” แปลว่า วันพุธ
  • เมื่อสองคำรวมกัน คือ คืนวันพุธเพ็ญ ซึ่งในความเชื่อชาวล้านนาเป็นคืนศักดิ์สิทธิ์ที่ พระอุปคุต เสด็จขึ้นมาปรากฏเพื่อปราบอัปมงคล ผู้คนจึงนิยม ตักบาตรเที่ยงคืน และทำบุญต่ออายุชุมชน โดยเฉพาะในวัดสำคัญของเมือง

เชิงนโยบายสาธารณะ ทำอย่างไรให้ “พิธีที่ดี” ยิ่งยั่งยืน

  1. ปรับปรุงการสื่อสารเมืองล่วงหน้า แผนที่เส้นทางขบวน เวลาพิธี และจุดบริการผู้สูงอายุ–เด็กเล็ก เพื่อให้ชุมชนและนักท่องเที่ยววางแผนได้
  2. พัฒนาระบบจัดการสิ่งแวดล้อมในงานบุญ จุดคัดแยกขยะ, แก้ว–ภาชนะรีฟิล, และรณรงค์ “ถุงผ้าบุญ” เพื่อลดพลาสติก
  3. ทำฐานข้อมูล “พิธีวัฒนธรรมเชียงราย” เอกภาพเนื้อหา–ภาพถ่าย–คำบรรยายหลายภาษา เพื่อยกระดับการเรียนรู้ของผู้มาเยือน
  4. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ตลาดงานบุญ (night bazaar แบบชุมชน) รอบเส้นทางที่คัดสรรสินค้าท้องถิ่นคุณภาพ เพิ่มรายได้ฐานรากอย่างพอดี

จาก “เป็งปุ๊ด” สู่ “เมืองที่ทุกคืนมีแสง”

ค่ำคืน “เป็งปุ๊ด” ปีนี้อาจผ่านไปพร้อมแสงจันทร์เต็มดวง แต่ “แสง” ที่สว่างกว่านั้นคือ ใจของผู้ให้ และ ใจของผู้รักษารากเหง้า เชียงรายในฐานะเมืองศิลปวัฒนธรรมกำลังบอกเราว่า เมืองที่น่าอยู่ไม่จำเป็นต้องมีตึกสูงแสงนีออน หากแต่ต้องมี พื้นที่ให้คนทำความดีร่วมกัน อย่างต่อเนื่อง และมีเทศบาล–วัด–ชุมชนเป็นพันธมิตรที่เชื่อใจกัน

ในปีต่อไป เมื่อเสียงฆ้องกลองกังวานคืนเพ็ญวันพุธอีกครั้ง ผู้คนคงกลับมาที่เดิม—หน้าวัดมิ่งเมือง หอนาฬิกา และประตูสรี—เพื่อทำบุญ ตักบาตร และรำลึกว่าความศรัทธาคือ “สาธารณูปโภคทางใจ” ที่ทำให้เมืองนี้สวยงามกว่าที่ตาเห็น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คดีชุมนุมหอนาฬิกาเชียงราย: ศาลฎีกาลงโทษปรับ 4,000 บาท ยืนยันอำนาจรัฐคุมเสี่ยงโรคระบาด

ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์เชียงราย: ศาลฎีกายืนคำพิพากษา “สุปรียา ใจแก้ว” ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกิจกรรมชุมนุมปี 2563 — ศาลชี้ “แออัดแม้พื้นที่โล่งแจ้ง” ยามโรคระบาด รัฐใช้อำนาจคุมเข้มได้เพื่อสุขภาพสาธารณะ

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568 — เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในคดีของ สุปรียา ใจแก้ว หรือ “แซน” อดีตนักกิจกรรมจังหวัดเชียงราย จากเหตุเป็นพิธีกรในการชุมนุมทางการเมืองบริเวณ ห้าแยกหอนาฬิกา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 คำพิพากษาศาลฎีกา ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าจำเลยมีความผิดฐานฝ่าฝืน ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ คำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย โดยปรับ 4,000 บาท (จำเลยชำระค่าปรับแล้วตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ คดีจึงสิ้นสุดหลังต่อสู้ยาวนานกว่า 5 ปี)

สาระสำคัญของคำพิพากษาอยู่ที่การตีความว่า “สถานที่แออัด” ในบริบทโรคระบาด มิได้จำกัดอยู่ที่สภาพทางกายภาพ ของสถานที่เท่านั้น แต่หมายรวมถึง การรวมตัวของบุคคลจำนวนมาก ในพื้นที่เดียวกันโดยมิได้เว้นระยะห่าง ซึ่งทำให้มี “ความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค” แม้กิจกรรมจะจัดในที่โล่งแจ้งก็ตาม

คดีเล็กในเมืองรองที่กลายเป็นคำพิพากษาอ้างอิงระดับชาติ

เหตุของคดีเริ่มจากการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เชียงรายในช่วงกลางปี 2563 ท่ามกลางกระแสเรียกร้องทางการเมืองทั่วประเทศ รายงานพยานหลักฐานของโจทก์ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมราว 700 คน กระจุกตัวหน้าเวทีรถบรรทุก 6 ล้อในระยะใกล้ หลายคน ไม่ได้เว้นระยะห่าง 1 เมตร และ “บางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย” การคัดกรองโรค ณ จุดจัดกิจกรรม “ไม่มีมาตรการป้องกันครบถ้วน” ตามหลักเกณฑ์ควบคุมโรคในขณะนั้น

เส้นทางคดีผ่านหลายด่าน:

  • ศาลชั้นต้น พิพากษา ยกฟ้อง โดยเห็นว่าแม้จำเลยมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม แต่สภาพพื้นที่โล่งและหลักฐานด้านสาธารณสุขหลังการชุมนุม “ยังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดต่อเนื่องกว่า 133 วัน” ทำให้ความเสี่ยง ไม่ถึงระดับแออัดอันตราย
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อ 16 ส.ค. 2566 พิพากษากลับ เห็นว่าพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุ “เข้าลักษณะสถานที่แออัดและเสี่ยงสูง” แม้เป็นที่โล่ง แจ้งลงโทษปรับ 4,000 บาท โดย ยืนยกฟ้อง เฉพาะข้อหายุยงให้เกิดความไม่สงบ
  • ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม วันนี้ พิพากษายืน ตามศาลอุทธรณ์ พร้อมวินิจฉัยหลักการสำคัญ 3 ประเด็น: อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ, และนิยาม “สถานที่แออัด” ในสถานการณ์โรคระบาด

อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ

1) อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ: “ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุม” เมื่อจำเป็นต่อความปลอดภัยสาธารณะ

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจรัฐ จำกัดการชุมนุม ในสถานการณ์พิเศษเพื่อป้องกันเหตุร้าย/โรคระบาด โดยนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในส่วนความมั่นคง ซึ่งมีอำนาจวางมาตรการป้องกันไม่ให้ฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว (หลักการเรื่องอำนาจและขอบเขตการจำกัดสิทธิภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกอธิบายโดยนักกฎหมายและองค์กรสิทธิพลเมืองจำนวนมาก

2) อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ: “สั่งงดกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก”

ศาลย้ำว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด มีอำนาจ ออกคำสั่งป้องกันโรค รวมถึงสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค ซึ่งเป็นอำนาจตาม มาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และคำสั่งดังกล่าวถือเป็น “คำสั่งห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง” ได้ในตัว เมื่อมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั้งอาณาจักร

นัยสำคัญทางนิติศาสตร์: ศาลรับรอง โครงสร้างอำนาจคู่ขนาน” ระหว่างกลไกความมั่นคง (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และกลไกสาธารณสุข (พ.ร.บ.โรคติดต่อ) ว่าสามารถใช้ “ควบ” กันได้ในห้วงเวลาวิกฤตโรคระบาด หากเจตนารมณ์เพื่อปกป้องสุขภาพสาธารณะและความปลอดภัยของประชาชน

จุดหักเหของคดี: คำว่า “แออัด” ไม่ได้หมายถึง “คับแคบ”

หัวใจคำพิพากษาอยู่ที่การขยายความว่า ความแออัดของสถานที่มิได้จำกัดอยู่เพียงสถานภาพทางกายภาพ” หากแต่หมายถึง “สภาพแวดล้อมที่เกิดจากการรวมตัวของคนจำนวนมากโดยไม่เว้นระยะห่าง” แม้จะเป็นลานถนนเปิดโล่งหน้า หอนาฬิกาเชียงราย แต่อากาศบริเวณหน้าเวที ถ่ายเทไม่สะดวก” จากการเบียดเสียดและการหายใจ/ละอองฝอยของผู้คน จึงเข้าลักษณะ “สถานที่แออัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ”

คำ “แออัด” จึงมี ขอบเขตยืดหยุ่นตามบริบทการแพร่โรค ไม่ใช่คงที่ตามแบบแปลนพื้นที่หรือผังเมือง—นี่คือเหตุผลที่ทำให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา “กลับคำ” จากศาลชั้นต้น แม้จะมีรายงานด้านสาธารณสุขช่วงหลังเหตุการณ์ว่า “ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่” ในจังหวัดในช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม เพราะกฎหมายพิจารณา ความเสี่ยงขณะเกิดเหตุ” และ มาตรการป้องกันเชิงระบบ” มากกว่าผลตามมาที่อาจเกิดหรือไม่เกิด

สิทธิเสรีภาพกับข้อยกเว้นในภาวะฉุกเฉิน: เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ตรวจสอบรัฐ” และ “ทำผิดข้อกำหนด”

ศาลฎีกาย้ำหลักการว่า รัฐธรรมนูญคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่สิทธิดังกล่าว อาจถูกจำกัดชั่วคราว ด้วยกฎหมายเฉพาะกรณีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยสาธารณะ หรือเพื่อสุขภาพประชาชน เช่น กฎหมายภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎหมายควบคุมโรคติดต่อ—ซึ่งทั้งหมด ต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วน ต่อสถานการณ์

ในส่วนข้อหาว่า “ยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” ศาล ยืนยกฟ้อง เหมือนชั้นอุทธรณ์ โดยเห็นว่า สาระคำปราศรัย แม้จะวิพากษ์การทำงานรัฐบาล เรียกร้องให้ลาออก ยุบสภา หรือแก้รัฐธรรมนูญ แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบ “การตรวจสอบโดยสันติวิธี” ตามวิถีประชาธิปไตย ไม่ถึงขั้นปลุกปั่นให้ทำผิดกฎหมาย จึง ไม่เข้าลักษณะยุยงปลุกปั่น

อ่านให้ขาด: คดีนี้จึง แยกแกนสิทธิออกเป็นสองชั้น — ชั้นเนื้อหา (speech) ไม่ผิด แต่ชั้น รูปแบบการรวมตัว (assembly) ผิดข้อกำหนดควบคุมโรค ตามกฎหมายพิเศษในห้วงฉุกเฉิน

ลำดับเหตุการณ์ (Timeline) และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • 25 ก.ค. 2563: ชุมนุมที่ห้าแยกหอนาฬิกาเชียงราย ขณะมี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั่วประเทศ
  • 2564–2566: คดีผ่านศาลชั้นต้น (ยกฟ้อง) ต่อด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 (พิพากษากลับ ปรับ 4,000 บาท)
  • 5 พ.ย. 2568: ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม พิพากษายืน “ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ + คำสั่งโรคติดต่อ” ยืนยกฟ้องข้อหายุยง
  • กฎหมายที่ศาลหยิบใช้:
    1. พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 — ให้อำนาจจำกัดการชุมนุม/มั่วสุมโดยออก ข้อกำหนดตามมาตรา 9 เพื่อควบคุมเหตุร้าย/โรคระบาด
    2. พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 — ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

บรรทัดฐาน “ความแออัด” กับการจัดกิจกรรมสาธารณะหลังยุคโควิด

  1. หลักคิด “แออัด” แบบพลวัต (Dynamic Crowding):
    คำพิพากษาตอกย้ำว่า คำว่า แออัด จะถูกอ่านร่วมกับ บริบทความเสี่ยงทางสาธารณสุข ในขณะนั้น ไม่ใช่ยึดติดแต่เพียง “ผนัง–หลังคา–ผังพื้น” ของสถานที่ ผู้จัดกิจกรรมสาธารณะ—ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุม การแสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาล—ควร คิดเชิงความเสี่ยง (risk-based) ตั้งแต่การออกแบบทางเข้า-ออก, การเว้นระยะ, ระบบคัดกรอง, การสื่อสารสุขภาพ, ไปจนถึงแผนรองรับฉุกเฉิน
  2. เสรีภาพกับมาตรการพิเศษ: เส้นแบ่งที่ต้องพิสูจน์ความจำเป็น–ได้สัดส่วน
    แม้คำพิพากษารับรองการใช้ อำนาจพิเศษของรัฐ ในยามโรคระบาด แต่ก็ตอกย้ำด้วยว่าการจำกัดสิทธิต้อง สัมพันธ์โดยตรง กับวัตถุประสงค์คุ้มครองสุขภาพประชาชน และต้องอยู่ ในกรอบกฎหมาย ที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ประสบการณ์หลายประเทศสะท้อนปัญหาการ “ทำให้มาตรการฉุกเฉินกลายเป็นปกติใหม่” ซึ่งวงวิชาการและสิทธิมนุษยชนเตือนให้ ทบทวนเมื่อพ้นวิกฤต
  3. บทเรียนสำหรับ “ผู้จัดกิจกรรม” และ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย”
  • ฝั่งผู้จัด: ควรจัดทำ มาตรฐานสุขภาพสาธารณะ เป็นเช็กลิสต์ (pre-event, on-site, post-event) ที่ตรวจสอบได้ เช่น แผนเว้นระยะคน, ช่องทางเข้า-ออกแบบ one-way, ระบบคัดกรอง, อุปกรณ์ป้องกัน, ทีมแพทย์อาสา ฯลฯ
  • ฝั่งรัฐ: การบังคับใช้ควร สื่อสารเกณฑ์ความเสี่ยงที่ชัดเจน และเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ประชาชนทำตามได้จริง นอกจากนี้ควรแยก การจัดรูปแบบกิจกรรม” ออกจาก เนื้อหาการแสดงออก” เพื่อลดข้อครหาการใช้กฎหมายพิเศษไปกระทบ สาระของเสรีภาพการเมือง

คำพิพากษานี้ยืนยันอะไร และไม่ยืนยันอะไร

  • ยืนยัน อำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ใช้ควบกันได้ในห้วงโรคระบาด เพื่อจำกัดการรวมกลุ่มในลักษณะเสี่ยง
  • ยืนยัน นิยาม “แออัด” แบบกว้างตามบริบทการแพร่โรค แม้เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง
  • ยืนยัน ว่า เนื้อหา การวิพากษ์เชิงการเมือง (เช่น เรียกร้องยุบสภา/แก้รัฐธรรมนูญ) ไม่ใช่ความผิด ถ้ายังอยู่ในกรอบสันติวิธี
  • ไม่ยืนยัน ว่าทุกการชุมนุมช่วงโควิดผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติ—ขึ้นกับ “ข้อเท็จจริงของความแออัด/มาตรการ” ในแต่ละกรณี
  •  ไม่ยืนยัน ว่ารัฐมีอำนาจไม่จำกัด—การจำกัดสิทธิต้องมี ความจำเป็น–ได้สัดส่วน–มีกฎหมายรองรับ

เสียงสะท้อนจากภาคสนาม ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ราคาที่แท้จริงคือ “บรรทัดฐาน”

แม้โทษในทางคดีลงท้ายเพียง ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ “ราคาทางบรรทัดฐาน” สูงกว่านั้นมาก เพราะคำพิพากษาศาลฎีกา กำหนดมาตรฐานตีความ ที่จะถูกอ้างถึงในคดีอนาคตซึ่งเกี่ยวข้องกับ การรวมกลุ่มสาธารณะในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข รวมทั้งงานอีเวนต์ สังสรรค์ มหรสพ หรือแม้แต่งานชุมชนขนาดใหญ่

นักกฎหมายจำนวนหนึ่งชี้ว่า ประเด็น “บริบทความเสี่ยง” ซึ่งศาลหยิบพิจารณาอย่างละเอียด เป็นสัญญาณว่าในอนาคต—แม้ไม่อยู่ในห้วงโควิด—หากเกิด ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขรูปแบบอื่น (เช่น โรคระบบทางเดินหายใจสายพันธุ์ใหม่) บรรทัดฐานนี้อาจถูกนำมาใช้ประกอบการ จำกัดการรวมกลุ่มชั่วคราว อีกครั้ง เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่าง สิทธิพลเมือง กับ ความปลอดภัยสาธารณะ

นัยทางนโยบายสาธารณะจึงชี้ไปยังการ เตรียมเครื่องมือกฎหมายปกติ ให้เพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพามาตรการฉุกเฉินยืดเยื้อ เช่น ระเบียบอนามัยงานอีเวนต์, กฎกระทรวงด้าน crowd management, ระบบเตือนภัยสุขภาพในงานชุมนุม—ทั้งหมดนี้เพื่อให้การคุ้มครองสุขภาพประชาชน ไม่กลายเป็นใบอนุญาตครอบคลุมไปจำกัดสิทธิเกินจำเป็น

เรื่องนี้จบแล้ว แต่บทสนทนาสังคมเพิ่งเริ่ม”

คดีสุปรียา ใจแก้ว สิ้นสุดในทางคดี—แต่ในทางสังคม คำถามเรื่อง ขอบเขตการใช้มาตรการพิเศษ ยังต้องการคำตอบต่อไป เราจะสร้าง สูตรคงที่ สำหรับจำกัดหรือผ่อนปรนเสรีภาพไม่ได้ เพราะวิกฤตแต่ละชนิดมีพลวัตต่างกัน สิ่งที่ทำได้คือ ความโปร่งใส, การอธิบายเหตุผลเชิงข้อมูล, และ การมีส่วนร่วม ของสาธารณะในทุกขั้นตอน—เพื่อให้วันที่สังคมต้องเลือกความปลอดภัยเหนือความสะดวก เสรีภาพของเราจะ ไม่ถูกลืม ระหว่างทาง

สรุปย่อ (Key Takeaways)

  • ศาลฎีกา พิพากษายืน: สุปรียา ใจแก้ว ผิดข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และคำสั่งโรคติดต่อ จากเหตุชุมนุม 25 ก.ค. 2563 ที่เชียงราย โทษปรับ 4,000 บาท (คดีสิ้นสุด)
  • ศาลชี้ว่า “แออัด” หมายถึงสภาพการรวมตัว โดยไม่เว้นระยะห่าง แม้พื้นที่จัดกิจกรรมเป็น ที่โล่งแจ้ง ก็เข้าลักษณะเสี่ยงแพร่โรคได้
  • ยืนยกฟ้อง ข้อหายุยงปลุกปั่น—เนื้อหาวิพากษ์การเมืองอยู่ในขอบเขตเสรีภาพการแสดงออก
  • คำพิพากษาวาง บรรทัดฐานการตีความ สำหรับกิจกรรมสาธารณะในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข: รัฐจำกัดได้เมื่อ จำเป็น–ได้สัดส่วน–มีฐานกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • iLaw
  • Fortify Rights, “Thailand: Ensure COVID-19-Response Protects Basic Rights” (9 กันยายน 2564)
  • ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

วิกฤตนโยบาย ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเพิ่ม 11 เท่า! รัฐถูกกดดันให้ “ควบคุม” แทน “แบนอย่างเดียว”

แบนไม่ช่วยลด? ปะทะคารม “บุหรี่ไฟฟ้า” กลางนโยบายสาธารณะไทย ผู้ใช้พุ่ง 11 เท่า–ตลาดมืดเฟื่อง รัฐถูกจี้ทบทวนทางเลือกควบคุมรูปแบบใหม่

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568—ท่ามกลางการยืนยันของรัฐไทยต่อหลักการ “ห้ามนำเข้า–ห้ามขาย–ห้ามครอบครอง” บุหรี่ไฟฟ้ามากว่าทศวรรษ เสียงวิจารณ์จากเครือข่ายผู้ใช้และผู้สนับสนุนแนวทาง “ลดอันตรายจากยาสูบ” (tobacco harm reduction) ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อข้อมูลด้านสถิติชี้ว่าจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไม่ได้ลดลงตามเจตนารมณ์การแบน ตรงกันข้าม กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด พร้อมผลข้างเคียงอย่าง “ตลาดมืด” การทุจริต และการเข้าถึงของเยาวชนผ่านออนไลน์ โดยแกนนำกลุ่ม “ลาขาดควันยาสูบ” (ECST) เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่นโยบายใหม่ที่ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” แทนการแบนแบบเบ็ดเสร็จ

 “นโยบายถูก–ผลลัพธ์ผิด?”

ค่ำคืนหนึ่งในชุมชนเมืองภาคเหนือ ผู้ปกครองจับได้ว่าเด็กมัธยมซ่อน พอตใช้แล้วทิ้ง ไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียน ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว “ผิดกฎหมาย” ตามระเบียบไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปี เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และสะท้อนความจริงเชิงนโยบายว่า การแบน เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการหยุดยั้งการใช้ได้ในโลกที่การซื้อขายเคลื่อนไปบนแพลตฟอร์มข้ามพรมแดน

ในทางข้อเท็จจริง รัฐไทยยังยืนบนฐานกฎหมายเดิม—การนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ขณะที่หน่วยงานรัฐทบทวน–ย้ำเตือนต่อเนื่อง เช่น กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต รวมถึงฝ่ายความมั่นคงและท้องถิ่นที่บังคับใช้ร่วมกัน เพื่อ “ปกป้องสุขภาพสาธารณะและเยาวชน” อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงเชิงสังคมชี้ให้เห็นช่องโหว่สำคัญของ อีโคซิสเต็มตลาดมืด ที่เติบโตเร็วกว่าเครื่องมือกำกับดูแลของรัฐหลายก้าว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มโลกว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “มีจำนวนมากและกระจุกตัวในบางภูมิภาค/ช่วงวัย” ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ประเมินผู้ใช้ทั่วโลกระดับ กว่า 100 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศรายได้สูง และมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินชนิดใหม่นี้ด้วยเหตุผลด้านรสชาติ การตลาด และการรับรู้ว่า “อันตรายน้อยกว่า” บุหรี่เผาไหม้ดั้งเดิม (cigarette) ซึ่ง WHO ย้ำว่าความเสี่ยงด้านสุขภาพของเยาวชนยังเป็นปัญหาหลักที่ทุกประเทศต้องกังวลและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง

ภาพรวมสถานการณ์ไทย “ผู้ใช้เพิ่ม 11.44 เท่า”—สัญญาณเตือนจากตัวเลข

ข้อมูลเชิงสถิติที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในปี 2567 ระบุว่า จำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 11 เท่า ภายในไม่กี่ปี จากราว 78,742 คน (ปี 2564) เป็น ประมาณ 900,459 คน (ปี 2567) ตัวเลขดังกล่าวถูกนำมาขยายผลในพื้นที่สาธารณะโดยเครือข่ายผู้ใช้และสื่อหลายสำนัก เพื่อชี้ถึง “ความล้มเหลว” ของแนวทาง “แบนอย่างเดียว” ในมิติผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม (พฤติกรรมการใช้จริงไม่ได้ลดลง) และเชิงตลาด (สินค้าไหลเข้าสู่ ตลาดมืด)

ในเชิงกฎหมาย ไทยยังคงห้ามนำเข้า–จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้ระเบียบและมาตรการที่หน่วยงานรัฐ เช่น กรมประชาสัมพันธ์ ได้สื่อสารย้ำต่อสาธารณะ โดยระบุชัดว่าการขายบุหรี่ไฟฟ้าในไทยนั้นผิดกฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง (เช่น กฎหมายศุลกากร/สรรพสามิต/ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ) ซึ่งเป็นฐานอำนาจหลักในการบังคับใช้ร่วมกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ภาพรวมดังกล่าวสร้างคำถาม 3 ประการต่อสังคมและผู้กำหนดนโยบายไทย

  1. เมื่อ “แบน” แล้วเหตุใดผู้ใช้ยังเพิ่ม?
  2. จะลดการเข้าถึงของเยาวชนอย่างไรในโลกดิจิทัลที่ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง?
  3. ประเทศไทยควรเดินหน้าด้วย “แบนต่อ” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” แบบมีเครื่องมือกำกับ (อายุ–ฉลาก–ภาษี–มาตรฐาน–การตลาด) เหมือนหลายประเทศ?

เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนผู้ใช้ “แบน = ทางตัน” ผลักคนเข้าสู่ตลาดมืด

นายอาสา ศาลิคุปต แกนนำกลุ่ม ลาขาดควันยาสูบ (ECST) ระบุว่า “แม้ไทยจะแบนบุหรี่ไฟฟ้ามากว่า 10 ปี แต่จำนวนผู้ใช้กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด” พร้อมชี้ว่า การแบนทำให้เกิดตลาดมืด การคอร์รัปชัน และการเข้าถึงของเยาวชนที่รัฐควบคุมคุณภาพไม่ได้ ตลอดจนการผสมสารเสพติดแอบแฝงในบางกรณี ย้ำข้อเสนอให้ ทบทวนแนวทางนโยบาย จาก “แบน” ไปสู่ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” โดยอ้างอิงว่าทั่วโลกมี หลายสิบประเทศ ที่ออกกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์นิโคตินชนิดใหม่เหล่านี้แล้ว และใช้มาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันเยาวชนและลดความเสี่ยงสาธารณสุข

ข้อเสนอของ ECST ตั้งอยู่บนตรรกะ “ทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่า” สำหรับผู้สูบที่ “ยังเลิกไม่ได้/ไม่อยากเลิก” ซึ่งควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและช่องทางเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย (เช่น มาตรฐานสารเคมี/ปริมาณนิโคติน/การติดฉลากคำเตือน/ระบบติดตามย้อนกลับสินค้า) ภายใต้กรอบควบคุมของรัฐอย่างเข้มงวด เทียบเคียงกับกฎเกณฑ์ด้านการตลาด การโฆษณา และการจัดเก็บภาษีแบบบุหรี่เผาไหม้

มุมมองสาธารณสุขและกรอบ WHO FCTC “เยาวชนมาก่อน” และหลักระวังไว้ก่อน

ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนนักวิชาการการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้กำหนดนโยบายไทยจำนวนมากยังยึดแนวคิด “ระวังไว้ก่อน” (precautionary principle) บนฐานวิชาการที่ระบุถึง อันตรายของนิโคตินต่อสมองวัยรุ่น และความเสี่ยงต่อปอด–หัวใจจากไอระเหยเคมีของบุหรี่ไฟฟ้าบางชนิด โดยเฉพาะความหลากหลายของผลิตภัณฑ์/สารแต่งกลิ่น/ความเข้มข้นนิโคติน และพฤติกรรมการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่ง WHO ก็เตือนอย่างต่อเนื่องให้ “ควบคุมอย่างเข้มงวด” และ “กำจัดการเข้าถึงของเยาวชน” เป็นอันดับแรก

สาระสำคัญของ WHO FCTC ที่ประเทศไทยเป็นภาคี (กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ) คือการลดความชุกของการใช้ยาสูบทุกรูปแบบและป้องกันเยาวชนเริ่มใช้ โดยทิศทางการประชุมระดับโลกในช่วงหลังตอกย้ำมาตรการควบคุมการตลาด กลิ่น–รส–บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดเยาวชน รวมทั้งการกำกับการขายออนไลน์ข้ามแดน ซึ่งประเทศต่างๆ นำไปปรับใช้แตกต่างกัน—บางประเทศ อนุญาตแบบควบคุมเข้ม (อายุขั้นต่ำ ภาษีสูง มาตรฐานผลิตภัณฑ์ โควตา/ใบอนุญาต) ขณะที่บางประเทศ แบน ทั้งระบบ

โลกภายนอก ผู้ใช้กว่า “100 ล้านคน”—โจทย์นโยบายที่ไม่มีสูตรสำเร็จเดียว

ภาพใหญ่ระดับโลกที่ WHO และสื่อเศรษฐกิจนานาชาติสรุปไว้ คือจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มากกว่า 100 ล้านคน และกระจุกตัวสูงในประเทศรายได้สูง (ผู้ใหญ่กว่า 86 ล้านคน) ขณะเดียวกันกลุ่มเยาวชนวัย 13–15 ปีก็ยังอยู่ในเรดาร์ความเสี่ยง ทั้งการเริ่มทดลองใช้และการใช้ประจำในบางประเทศ—บริบทนี้ทำให้แต่ละรัฐต้อง “ออกแบบนโยบายตามโจทย์จริงของตัวเอง” โดยชั่งน้ำหนักระหว่าง การคุ้มครองเยาวชน และ เครื่องมือกำกับพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ยอมเลิกง่าย ๆ

ไทยในทางแพ่งและอาญา กฎหมายยัง “ห้าม” แต่การบังคับใช้ต้องปรับให้ทันยุค

แม้กฎหมายไทยยังคง “แบน” แต่ ความท้าทายของการบังคับใช้ คือธรรมชาติสินค้าที่เล็ก พกพาง่าย ซ่อนง่าย ซื้อผ่านออนไลน์–ข้ามแดนได้ และมีช่องทางลำเลียงที่สลับซับซ้อน ทำให้ “อุปสงค์” ที่ยังมีอยู่ผลักดันให้ อุปทาน จากต่างประเทศเล็ดลอดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนจากการจับกุม–ยึดของกลางเป็นระยะ และการรณรงค์เตือนภัยจากหน่วยงานรัฐซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในเชิงออกแบบนโยบาย หลายฝ่ายชี้ว่าหากไทยยังคงแนวทาง “แบน” จำเป็นต้องเร่งสร้าง กลไกปิดประตูตลาดมืด ให้แน่นหนากว่าเดิม ได้แก่

  • ความร่วมมือ ปิดช่องทางออนไลน์ กับแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ/โซเชียล,
  • การติดตาม เส้นทางการเงิน และผู้ค้ารายใหญ่,
  • การบังคับใช้กับ ตัวกลางโลจิสติกส์ และจุดผ่านแดน,
  • การเสริม ทักษะสืบสวนดิจิทัล ของตำรวจและพนักงานสอบสวน,
  • การสื่อสารสาธารณะกับผู้ปกครอง–สถานศึกษาในการสังเกตและป้องกันการใช้ในเยาวชน

 “แบนต่อ–คุมเข้ม” หรือ “ปลดล็อกบางส่วน–คุมเข้มกว่าเดิม”

ฉากทัศน์นโยบาย ที่เป็นไปได้สำหรับไทยมีอย่างน้อย 2 แนว

1) แบนต่อไป แต่ยกระดับการบังคับใช้แบบ “ทั้งระบบ”

  • พัฒนา ระบบสืบสวนการค้าออนไลน์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม
  • ไล่ปิดเครือข่าย เส้นทางเงิน–โกดัง–ขนส่ง ด้วยกฎหมายฟอกเงิน/ศุลกากร
  • เพิ่ม โทษปรับสูง–ริบทรัพย์ สำหรับผู้ค้ารายใหญ่
  • ทำ แคมเปญเลิกบุหรี่เชิงพฤติกรรม เจาะกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ
  • เฝ้าระวัง โรงเรียน/สถานบันเทิง/ชุมชนเมือง ด้วยทีมพหุหน่วยงาน

2) ปลดล็อกบางส่วนภายใต้ “ระเบียบเข้มกว่าบุหรี่ปกติ” (ตัวอย่างจากหลายประเทศ)

  • จำกัด อายุขั้นต่ำ และ KYC ทุกจุดขาย (ออฟไลน์–ออนไลน์)
  • บังคับมาตรฐาน ปริมาณนิโคติน–ส่วนผสม–ฉลากเตือน–บรรจุภัณฑ์เรียบ
  • เกณฑ์ ใบอนุญาตร้านค้า (โควตา) และ ระบบติดตามย้อนกลับสินค้า
  • เก็บ ภาษีสรรพสามิตแบบขั้นบันได และปิดช่องว่างราคากับบุหรี่เผาไหม้
  • ห้ามรส–กลิ่น ที่ดึงดูดเยาวชน/ห้ามโฆษณา/จำกัดการจัดวาง
  • สร้าง ฐานข้อมูลไม่ระบุตัวตน เพื่อติดตามพฤติกรรมและผลกระทบจริง

แนวทางที่สองเป็น “การยอมรับความจริงเชิงพฤติกรรม” ว่ามีผู้ใหญ่จำนวนมากที่ยังไม่เลิก และหากต้องอยู่กับปัญหาในโลกจริง การควบคุมคุณภาพ–เส้นทางจำหน่าย–การตลาด อาจช่วยลดอันตรายโดยรวมได้ ขณะเดียวกันต้อง “ปิดประตูเยาวชน” ให้แน่นกว่าเดิมอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นข้อเสนอใจกลางของกลุ่มผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสาธารณสุขย้ำว่าความเสี่ยงระยะยาวของสารบางชนิดในบุหรี่ไฟฟ้ายังต้องการหลักฐานเพิ่ม การตัดสินใจจึงควรอยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ดีและการติดตามผลหลังนโยบายอย่างใกล้ชิด

มิติ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ทำไมต้องฟัง “ทุกฝ่าย”

การกำหนดนโยบายที่ แตะทั้งสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สิทธิเสรีภาพ–กฎหมาย ต้องฟังและชั่งน้ำหนักหลายเสียง

  • ฝ่ายสาธารณสุข/การแพทย์ เน้น “เยาวชนมาก่อน” ลดการเริ่มใช้ใหม่ และ หลักระวังไว้ก่อน ต่อความเสี่ยงระยะยาว
  • ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย ต้องการเครื่องมือ ปิดตลาดมืด และปราบ “รายใหญ่–ข้ามชาติ”
  • ผู้ใช้/ผู้ไม่เลิก ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและ ทางเลือกที่เสี่ยงน้อยลง
  • สถานศึกษา/ผู้ปกครอง ห่วงการเข้าถึงของเยาวชน กลิ่น–รส–บรรจุภัณฑ์ที่ “เป็นมิตรกับเด็ก”
  • ผู้กำหนดนโยบายการคลัง พิจารณา ภาษี–รายได้รัฐ–ต้นทุนสาธารณสุข
  • ประชาชนทั่วไป ต้องการ ความชัดเจน ไม่สับสนระหว่าง “ผิดกฎหมาย” กับ “เห็นขายทั่วไป”

การเปิดเวที “พูดคุยบนฐานข้อมูล” ระหว่างทุกฝ่ายคือเงื่อนไขสำคัญ—ไม่ว่าทางเลือกสุดท้ายจะเป็น “แบนต่อ” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย”

ประเด็นย่อยที่สังคมควรถาม–รัฐควรตอบ

  1. เยาวชนอยู่ตรงไหนของสมการ?
    ต้องกำหนดเป้าหมาย–มาตรการ–ตัวชี้วัดเฉพาะเยาวชน (ห้ามรส–กลิ่น, geo-fencing การขายออนไลน์, ตรวจอายุ KYC 100%, ปรับหนักร้านที่ฝ่าฝืน)
  2. จะปิดตลาดมืดอย่างไร?
    แม้จะแบนหรือจะควบคุม ก็ต้องปิด ห่วงโซ่อุปทานผิดกฎหมาย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยเครื่องมือทางการเงิน–ศุลกากร–ดิจิทัลฟอเรนสิก
  3. ถ้าจะ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” ต้องเข้มกว่าบุหรี่ปกติ
    เพราะผลิตภัณฑ์นี้ “มาไว–ไปไว–แปลงรูปแบบได้เร็ว” จำเป็นต้องมี มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และ ระบบติดตามย้อนกลับ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้
  4. ระบบข้อมูลประเทศ (national registry) อยู่ที่ไหน?
    ไม่ว่าทางไหน ไทยต้องมี ฐานข้อมูลพฤติกรรมการใช้จริง ที่ไม่ระบุตัวตน เพื่อประเมินผลกระทบหลังนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ยึดติดเพียงภาพรวม/ข่าวเชิงกระแส

คำกล่าว–มุมเสียง

นายอาสา ศาลิคุปต (ECST) “แบนมากว่า 10 ปี แต่ผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แสดงว่านโยบายแบนไม่ได้ลดการใช้ กลับผลักให้เกิดตลาดมืด และทำให้เด็กเข้าถึงผ่านออนไลน์ง่ายขึ้น รัฐควรเปิดทางเลือกใหม่ที่ควบคุมได้จริง”

นักระบาดวิทยาโรคไม่ติดต่อ (มุมสาธารณสุข—สรุปสาระจาก WHO) “ประเด็นเยาวชนต้องมาก่อน นิโคตินกระทบการพัฒนาสมองวัยรุ่น แม้ผู้ใหญ่บางส่วนอาจมองว่าเสี่ยงน้อยกว่า แต่สำหรับเด็กและวัยรุ่น เราต้องปิดประตูให้แน่นที่สุด”

ทางแยกของนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าไทย

ข้อถกเถียง “แบน” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” สะท้อน ความจริงเชิงพฤติกรรม และ แรงเสียดทานเชิงนโยบาย ที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวเลขผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปี (มากกว่า 11 เท่า) ชี้ว่าการแบนเพียงอย่างเดียวอาจไม่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านสุขภาพเยาวชน และ ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การ “ปลดล็อก” โดยไม่มีระบบคุมเข้มยิ่งเสี่ยง

ดังนั้น ทางที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่ “เลือกขาวหรือดำ” หากแต่อยู่ที่ “ออกแบบระบบ” ให้ตอบโจทย์ การคุ้มครองเยาวชนเต็มรูปแบบ, การปิดตลาดมืดเชิงโครงสร้าง, และ การจัดการพฤติกรรมผู้ใหญ่ที่ยังไม่เลิก ด้วยเครื่องมือรัฐสมัยใหม่ ทั้งภาษี มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบังคับใช้ดิจิทัล—พร้อมฐานข้อมูลชาติที่ติดตามผลหลังนโยบายอย่างโปร่งใส

โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่ “จะเอา/ไม่เอา บุหรี่ไฟฟ้า” แต่คือ “จะออกแบบนโยบายที่ปกป้องเด็ก–ลดอันตราย–และหยุดตลาดมืดได้จริง” ในโลกที่สินค้า–การตลาด–พฤติกรรม เคลื่อนที่เร็วกว่ากฎหมายเสมอ

สถิติสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทย: ประมาณ 900,459 คน (ปี 2567) เพิ่มขึ้น 11.44 เท่า จากปี 2564 (อ้างอิงสื่อเศรษฐกิจไทยที่อ้างข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ)
  • ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลก: มากกว่า 100 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศรายได้สูง และมีเยาวชนจำนวนมากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงตามรายงาน–บทวิเคราะห์ของ WHO/สื่อเศรษฐกิจนานาชาติ
  • สถานะกฎหมายไทย: ห้ามนำเข้า–จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า มีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานรัฐย้ำเตือนต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Bangkok Biz News
  • สยามรัฐ (Siamrath)
  • Public Relations Department (กรมประชาสัมพันธ์)
  • Financial Times
  • Reuters
  • Matichon
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สัญญาณล้ำข้ามแดน ตร.-กสทช. สั่งปรับทิศทางเสาแม่สอด-เชียงแสน ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ตร.-กสทช.” ลุยแม่สอด–เชียงราย กดสวิตช์ “ดิจิทัลบอร์เดอร์” สกัดสแกมเมอร์—ขณะวิกฤต 1,598 คนจาก KK Park ท้าทายระบบ NRM

เชียงราย/ตาก, 5 พฤศจิกายน 2568 — ลมหายใจของชายแดนไทยในสัปดาห์นี้เต็มไปด้วยสัญญาณ—ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทางฝั่งเหนือและตะวันตก เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตหลายต้นถูกตรวจวัดความสูง–ความแรง–ทิศยิงคลื่นอย่างละเอียด ด้วยโดรนและอุปกรณ์วัดสนามคลื่น ขณะที่อีกด้าน หน่วยงานไทยยังเดินหน้าคัดกรองชาวต่างชาติ 1,598 คน ที่หลบหนีความรุนแรง–การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมใน KK Park จังหวัดเมียวดี เข้าสู่ฝั่งไทย

ในเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย นำโดย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ นายศุภลักษณ์ รูปศรี ผอ.สำนักงาน กสทช. เขต 34 ลงพื้นที่ อ.เชียงแสน–อ.แม่สาย ตรวจสายสื่อสารข้ามแดนและเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ โดยเฉพาะบริเวณตรงข้าม คิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และแนวสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1–2 อ.แม่สาย ที่เชื่อมต่อกับท่าขี้เหล็ก เมียนมา

พบเสาส่งสัญญาณบางจุดสูงเกินเกณฑ์อย่างชัดเจน” แหล่งข่าวในชุดตรวจระบุถึงผลตรวจเบื้องต้น อ.เชียงแสน วัดสูง 33 เมตร ขณะที่ อ.แม่สาย บ้านสันทราย พบเสาเครือข่ายมือถือ 2 ค่าย สูง 37 เมตร และ 40 เมตร ตามลำดับ—ทั้งหมดสูงเกิน ลิมิต 15 เมตร ตามมติบอร์ด กสทช. ปี 2568 พร้อมมีคำสั่ง ปรับทิศส่ง–ลดองศา–หันสัญญาณเข้าสู่ประเทศ เพื่อจำกัดการล้ำข้ามแดน และ แจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตลดความสูงตามกฎหมาย โดยกำชับให้ สภ.เชียงแสน/สภ.แม่สาย รายงานผลการแก้ไข–ทดสอบครอบคลุมสัญญาณทั้งฝั่งไทยและฝั่งตรงข้าม

ฝั่ง โครงข่ายอินเทอร์เน็ต จุดชุมสายในแนว สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ปัจจุบันเหลือ 6 บริษัท 9 สาย จากเดิม 6 บริษัท 12 สาย (เหตุอุทกภัย) ส่วน สะพานฯ แห่งที่ 2 เดิมมีเอกชน 2 บริษัท 3 สาย ปัจจุบัน ปิดใช้งานทุกสาย สะท้อนแนวโน้ม “กระชับช่องทางข้ามแดน” ที่อาจถูกใช้หนุนโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์

หนึ่งวันถัดมา (4 พ.ย.) แนวรบเลื่อนไป แม่สอด จ.ตาก ตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การกำกับของ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ มอบหมาย พล.ต.ต.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รอง ผบช.ภ.6 และ พล.ต.ต.ไพศาล นันตา ผบก.ภ.จว.ตาก ลงพื้นที่ตรวจจุดเสี่ยง ด่านบ้านวังตะเคียน (ตรงข้าม เมียวดีคอมเพล็กซ์) และแนวตรงข้าม ชเวก๊กโก โดยใช้โดรน “บินสำรวจ–วัดความแรง” เจาะจงจุดที่เคยมีปัญหา โรมมิ่ง ไปใช้เครือข่ายเพื่อนบ้าน และสัญญาณไทย “ล้ำข้ามแดน” อันอาจกลายเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์–สแกมเมอร์ใช้งาน

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกิจ หากอยู่ภายใต้กรอบนโยบายกำกับของ สำนักงาน กสทช. ที่ออกประกาศ มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” 8 ข้อ (มีผล 30 ส.ค. 2568) และแนวทาง ระงับบริการบริเวณชายแดนเสี่ยง” ซึ่งให้อำนาจกำกับตรวจสอบ–บังคับแก้ไขต่อผู้รับใบอนุญาตที่ฝ่าฝืน ทั้งในเชิงวิศวกรรมโครงข่ายและการคุ้มครองผู้บริโภคในพื้นที่ชายแดน

เมื่อ “เสา–คลื่น–ทิศยิง” กลายเป็นแนวป้องกันหน้าด่าน

ในสมรภูมิอาชญากรรมออนไลน์ “สัญญาณ” คืออาวุธและเส้นเลือดใหญ่ การยกมาตรฐานทางเทคนิคชายแดนจึงเป็นการ เสริมรั้วที่มองไม่เห็น” ให้กับไทย การพบเสาที่ สูง 33–40 เมตร เทียบ ลิมิต 15 เมตร สะท้อนความจำเป็นของ การกำกับแบบจุดต่อจุด (site-by-site) ไม่ใช่คำสั่งกว้าง ๆ ระดับประเทศเท่านั้น

ผลคาดหวัง จากการหันทิศ–ลดองศา–ลดความสูงเสา คือ

  1. ลดโอกาส “สัญญาณไทย” ล้ำไปเลี้ยงอุปกรณ์ของขบวนการในฝั่งนอก, 2) ลดโอกาส โรมมิ่ง ของผู้ใช้ไทยไปใช้เครือข่ายเพื่อนบ้านโดยไม่ตั้งใจ (ซึ่งเปิดช่องเสี่ยงด้านค่าบริการ–ความปลอดภัยข้อมูล), 3) ทำให้การ วัด–ติดตาม ความผิดปกติของทราฟฟิกในแนวแดนทำได้แม่นขึ้น

แนวสะพานมิตรภาพฯ ซึ่งเป็น “จุดบรรจบ” ของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ลากข้ามพรมแดน กำลังถูก “ทำให้เรียวลง” (จาก 12 เหลือ 9 สายในสะพานที่ 1 และ 0 สายในสะพานที่ 2 ณ ขณะตรวจ) เพื่อลดจุดเสี่ยง—พร้อมคำสั่งทดสอบครอบคลุมสัญญาณถึงฝั่ง คิงส์โรมัน และ ท่าขี้เหล็ก ภายหลังการปรับปรุง

อีกฟากของชายแดน “1,598 ชีวิต” ที่บอกเราว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เทคนิค

ในเวลาใกล้เคียงกัน กัณวีร์ สืบแสง อดีต ส.ส. แสดงความห่วงกังวลผ่านสื่อสังคม ตั้งคำถามถึง การบริหารจัดการของรัฐบาลไทย ต่อชาวต่างชาติ 1,598 คน จาก 28 ประเทศ ที่หลบหนีจากเหตุปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติใน KK Park เมียวดี เข้าสู่ไทยตั้งแต่ปลายต.ค. โดยให้ข้อมูลว่า 12 วัน ผ่านไป คัดกรอง ~700 คน ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง >700 คน, เข้าสู่กลไก NRM เพียง 18 คน, และเข้าสถานคุ้มครองในฐานะ เหยื่อการค้ามนุษย์ 5 คน (เวียดนาม 1, จีน 4)

คำถามหลักมีสองชั้น—ชั้นแรก คือรัฐไทยจะ “รีดข้อมูลโครงข่าย” จากกลุ่มนี้อย่างไรให้ได้มากที่สุดก่อนส่งกลับ เพื่อสาวไปถึง ขบวนการนำพา–ตัวการใหญ่–การฟอกเงิน ที่ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการกระจาย “แรงงานสแกมเมอร์” ไปยังพม่า–กัมพูชา–ลาว ชั้นถัดมา คือสมดุลระหว่าง ภาระมนุษยธรรม กับ ความมั่นคง–กฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อหลายประเทศต้นทางยังไม่เร่งรับกลับ ขณะที่บางชาติอย่าง อินเดีย (465 คน) มีแผนรับกลับ 6 พ.ย.

เสียงเตือนของกัณวีร์โยงไปสู่บทเรียนอดีต—คดีโรฮิงญา ที่การปราบปรามครั้งใหญ่ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง–นักการเมืองถูกดำเนินคดีจำนวนมาก แต่ขบวนการยังไม่หมดไป “อย่าปล่อยให้เป็นงานชั่วคราว—ต้องเป็นระบบ” เขาระบุทิ้งท้าย พร้อมเสนอให้ “ไล่ย้อนจาก เส้นทางเงิน–บริษัทพัวพัน” บวกมาตรการ อายัด–ทลายเครือข่าย ควบคู่ไปกับการเร่ง NRM ให้ทำงานเต็มฟังก์ชัน

ภาพใหญ่เดียวกัน ดิจิทัลบอร์เดอร์ + NRM + ดี-ริสก์การเงินเครือข่าย

ปฏิบัติการตรวจเสา–จำกัดสัญญาณล้ำแดนคือ แนวป้องกันชั้นนอก ที่มุ่งตัด “แบนด์วิธ” ของอาชญากร แต่เพื่อให้เกิดผลต่อเนื่อง ต้องมี สองฟันเฟืองเสริม
หนึ่ง—NRM และเครื่องมือกฎหมายพิเศษในการ คัดแยกเหยื่อ–ผู้เกี่ยวข้อง–ผู้กระทำผิด ให้ชัด (เพื่อคุ้มครองเหยื่อและใช้เป็นพยานเชิงเครือข่าย)
สองดี-ริสก์เส้นทางการเงิน อายัดทรัพย์–เครือข่ายฟอกเงิน–บริษัทหน้าฉาก และ เอกชน/ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสาร ที่เอื้อให้โครงข่ายตั้งฐานได้

ตัวเลข 33–40 เมตร ของความสูงเสาเมื่อเทียบเกณฑ์ 15 เมตร ดูเป็นเรื่องวิศวกรรม แต่ความจริงคือ ปุ่มเปิด–ปิด” ความเสี่ยงทางอาชญากรรมที่อาจไหลข้ามแดนโดยไร้พรมแดนทางกายภาพ ขณะเดียวกัน ตัวเลข 1,598–700–18–5 เป็น คอขวดมนุษยธรรม–การข่าว–กฎหมาย” ที่กำลังทดสอบความสามารถของรัฐไทยในการทำงานเชิงระบบ

Roadmap เชิงข้อเสนอ (บนฐานข้อมูลที่เปิดเผย)

  1. ทำแผนที่สัญญาณชายแดน (Border RF Heatmap) รายสัปดาห์ในจุดเสี่ยง—ผูกกับ SLA การแก้ไข ของผู้รับใบอนุญาตและรายงานผลสาธารณะ
  2. คณะทำงานร่วม “สัญญาณ–การเงิน” (กสทช.–ตำรวจ–AMLO) ไล่จับ จุดตัด ระหว่าง “ความผิดปกติของคลื่น/ทราฟฟิก” กับ “การเงินเครือข่าย” เพื่อเชื่อมคดี
  3. เร่งขยายศักยภาพ NRM ให้ “จำแนก–เก็บคำให้การ–เก็บดิจิทัลอีแวิดนซ์” ได้ไวขึ้น โดยคัดบางส่วนเป็น พยานความร่วมมือ (cooperating witnesses) เพื่อสาวเชิงลึกไปถึงตัวการ
  4. ความร่วมมือระหว่างประเทศ แบบเชิงรุก—ไม่รอเฉพาะการประสานของสถานทูต แต่ใช้กรอบทวิ/พหุภาคีด้าน ค้ามนุษย์–อาชญากรรมข้ามชาติ–ไซเบอร์ เร่งผลักดัน

ปิดคลื่น–เปิดข้อมูล

เมื่อชายแดนไม่ได้มีเพียงรั้วและแม่น้ำ แต่มี “คลื่นสัญญาณ” เป็นพรมแดนชั้นใหม่ การบังคับใช้กติกาเรื่อง ความสูง–ทิศ–องศา ของเสาส่งสัญญาณจึงเป็น มาตรการเชิงหลักการ ที่จับต้องได้และวัดผลได้เร็ว การที่ตำรวจภูธรภาค 5–6 และ กสทช. ลงมือ “จูนชายแดนดิจิทัล” อย่างจริงจังในเชียงราย–ตากสะท้อนความเข้าใจร่วมว่าต้อง ตัดทางโลจิสติกส์ของคลื่น” ควบคู่กับการ ตัดทางโลจิสติกส์ของมนุษย์–เงิน” ในเครือข่ายสแกมเมอร์

อย่างไรก็ดี ตัวเลข 1,598 คน จาก 28 ประเทศ ที่ไหลเข้ามาในช่วงเวลาอันสั้นคือคำเตือนว่า ปิดคลื่นอย่างเดียวไม่พอ ถ้าไม่เปิดข้อมูล”—กล่าวคือ รัฐต้อง รีดข้อมูล–สร้างแฟ้มเครือข่าย–อายัดเส้นทางเงิน–ปลดซัพพลายเชน ไปพร้อมกัน เพื่อไม่ให้วิกฤตวันนี้กลายเป็นวงจรซ้ำพรุ่งนี้

ชายแดนที่ปลอดภัยในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ใช่แค่ รั้วสูง–น้ำเชี่ยว” แต่คือ สัญญาณเป็นระเบียบ–ข้อมูลเป็นระบบ–ความร่วมมือเป็นเครือข่าย” และนี่คือบททดสอบสำคัญที่ไทยกำลังก้าวผ่าน—ด้วยการลงมือแก้ทั้ง “เสา” และ “คน” ไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6
  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
  • ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • ตำรวจภูธรจังหวัดตาก/แม่สอด
  • กัณวีร์ สืบแสง (Kannavee Suebsang)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” ร่วมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

แสงศรัทธาประดับสวรรคาลัย เชียงรายร่วมรำลึก “สมเด็จพระพันปีหลวง” ด้วยพันดวงประทีปและพิธีบำเพ็ญกุศล สองเวที–หนึ่งความหมาย บึงทัพฟ้าสว่างไสว และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก้องสะท้อนกตัญญู–สามัคคี–จงรักภักดี

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นริม “บึงทัพฟ้า” ลมหนาวต้นเดือนพฤศจิกายนพัดผ่านเหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งก่อนเปลวไฟนับพันดวงจะถูกจุดขึ้นพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ตะเกียงแต่ละใบค่อย ๆ ส่องสว่างรอบคุ้งน้ำ ดั่งริ้วคลื่นแห่งความกตัญญูที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา ณ ชั่วขณะนั้น เมืองเชียงรายทั้งเมืองเหมือนหยุดหายใจเพื่อร่วม “วาระเดียวกัน”—รำลึกพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจและร่มพระบารมีของประชาชนไทยมายาวนาน

บนพื้นที่เดียวกัน เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ จัดพิธี “พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” อย่างสมพระเกียรติ โดยมี พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานพิธี และมีผู้แทนหน่วยราชการ ทหาร ข้าราชการท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม ท่ามกลางบรรยากาศเรียบสง่า แต่เข้มขลังด้วย “แสงศรัทธา” ที่ทุกคนร่วมกันจุดถวายเพื่อแสดงความจงรักภักดีและขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น

ขณะเดียวกัน ในเขตตัวเมืองอีกฟากหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ณ หอประชุมใหญ่ โดยมี พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ภาพของพุทธศาสนิกชนที่สงบนิ่งในหอประชุมตัดสลับกับแสงประทีปรอบบึงทัพฟ้าในยามค่ำ กลายเป็น “สองเวที–หนึ่งความหมาย” ที่สะท้อนพลังร่วมของเมืองทั้งเมือง

บึงทัพฟ้า—เมื่อ “หนึ่งเปลวไฟ” สานเป็น “พันดวงประทีป”

พิธีเริ่มขึ้นโดยขั้นตอนระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผนราชพิธีร่วมสมัย เสียงเพลงเบา ๆ ผสานกับเสียงลมเหนือผืนน้ำ ผู้คนหลากวัยสวมชุดสุภาพร่วมจุดตะเกียงทีละดวง ลำดับแถวเรียงรายรอบบึงก่อเกิดเป็น “วงแหวนแห่งแสง” ซึ่งบันทึกความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณผ่านภาพที่เรียบง่ายแต่ตราตรึง การจัดวางพื้นที่และการกำกับดูแลความปลอดภัยดำเนินไปอย่างรัดกุม สะท้อนความร่วมมือของเทศบาล หน่วยงานความมั่นคง และจิตอาสาในพื้นที่

สาระของพิธี เน้นย้ำสามมิติสำคัญคือ “กตัญญู–จงรักภักดี–เสียสละ” ประชาชนที่เข้าร่วมต่างตั้งใจให้ “แสงแห่งความดีงาม” นี้เป็นสัญลักษณ์นำทางการดำรงตนในชีวิตประจำวัน ตามรอย พระราชปณิธาน ของพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะด้านงานหัตถศิลป์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งทรงวางรากฐานไว้ให้สังคมไทยยึดถือและสืบสานต่อมาอย่างยาวนาน

หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย—ความศรัทธาที่กลั่นเป็น “บุญกุศล”

ขณะบึงทัพฟ้าสุขุมด้วยแสงไฟ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสงบงามของพิธีสงฆ์ พระราชวชิรคณี นำประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย โดยมี รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ภายในพิธีประกอบด้วยบทสวดมนต์ อนุโมทนา และการร่วมใจภาวนาของผู้เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ความพร้อมหน้าของ คณาจารย์–บุคลากร–นักศึกษา–หัวหน้าส่วนราชการ–ผู้นำท้องถิ่น–ประชาชน บอกเล่า “พลวัตการมีส่วนร่วม” ที่บ่มเพาะในสถาบันการศึกษา เพื่อส่งต่อ “จิตสำนึกพลเมือง” เข้าสู่สังคมวงกว้าง

สาระสำคัญ ของพิธีที่มหาวิทยาลัย คือการให้พื้นที่กับ “ความทรงจำร่วม” ผ่านรูปแบบที่แสดงออกได้อย่างเหมาะสม—ทั้งด้านพุทธศาสนา (พิธีบำเพ็ญกุศล) และด้านพลเมือง (การรวมพลังทำความดี) นี่ไม่ใช่เพียง “พิธีกรรม” หากเป็น “บทเรียนสาธารณะ” ที่ทำให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้คุณค่าของความกตัญญูและการเสียสละ ผ่านการลงมือปฏิบัติและสัมผัสบรรยากาศจริง

ทำไม “พันดวงประทีป” จึงทรงพลัง อ่านสัญลักษณ์ในสามระดับ

  1. ระดับปัจเจก — เปลวไฟหนึ่งดวงคือคำมั่น ผู้จุดตะเกียง “ประกาศภายใน” ว่าจะเดินตามรอยความดีงาม ความอ่อนน้อม และความเสียสละของพระองค์
  2. ระดับชุมชน — เมื่อไฟนับพันดวงรวมเป็นวงแหวนรอบบึงทัพฟ้า เมืองทั้งเมืองได้ “เห็นกันและกัน” ว่าสังคมยังมีแก่นค่านิยมร่วมที่จับต้องได้—ความกตัญญูและความสามัคคี
  3. ระดับประเทศ — รูปธรรมของพิธีที่เชียงรายสอดรับจารีตการรำลึกในหลากพื้นที่ของไทย เชื่อม “ความทรงจำทางสังคม” เข้ากับ “อัตลักษณ์ร่วม” ที่ยืนยาวกว่าความต่างในรายละเอียด

เชียงรายในมุมความทรงจำ เมือง–ศรัทธา–งานหัตถศิลป์

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อ “เชียงราย” เด่นชัดในบทสนทนาเรื่องวัฒนธรรมและหัตถศิลป์ล้านนา ตั้งแต่งานทอผ้า งานจักสาน งานแกะสลัก ไปจนถึงงานศิลป์ร่วมสมัย แก่นค่านิยมหนึ่งที่สะท้อนชัดจากพิธีในวันนี้คือ การสืบสานอย่างมีชีวิต” ไม่ใช่เพียงการเก็บรักษา แต่คือการทำให้มี “ผู้สืบทอด” อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการทรงทำนุบำรุงงานหัตถศิลป์และศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น

เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ และหน่วยงานท้องถิ่น การจัดพิธีที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมายจึงไม่ใช่ “งานครั้งคราว” หากเป็น “กลไก” ในการก่อรูปความทรงจำและบ่มเพาะความเป็นพลเมืองร่วมสมัยให้แข็งแรงขึ้น

มหาวิทยาลัยคือสะพาน เชื่อมความทรงจำสู่อนาคตของคนรุ่นใหม่

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในค่ำคืนนี้ ไม่เพียงแสดงความพร้อมทางวิชาการและพิธีการ แต่ยังตอกย้ำบทบาทของ “สถาบันอุดมศึกษา” ในฐานะ “พื้นที่กลางของชุมชน” ที่เปิดรับคนทุกวัย ทุกสาขาอาชีพเข้าสู่พิธีกรรมทางสังคมที่มีความหมาย การได้เห็นนักศึกษา “เรียนบทเรียนพลเมือง” ผ่านการมีส่วนร่วมจริง—ตั้งแต่เตรียมงาน อำนวยความสะดวก ไปจนถึงร่วมภาวนา—คือการส่งต่อทุนสังคมชุดสำคัญ ความรับผิดชอบ–ความอ่อนน้อม–ความเคารพในสถาบันหลักของชาติ

สถิติ–สัญญะ–ส่วนร่วม (Reading the Impact)

แม้พิธีเชิงสัญลักษณ์จะวัดค่าเชิงปริมาณได้ยาก แต่สามองค์ประกอบต่อไปนี้ช่วย “อ่านผลลัพธ์” ได้ชัดเจนขึ้น

  • สถิติในเชิงโครงสร้าง มี “สองเวทีพิธีหลัก” ในวันเดียวกัน—บึงทัพฟ้า (พิธีประทีป) และ มรภ.เชียงราย (พิธีบำเพ็ญกุศล) ดึงผู้มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งทหาร ส่วนท้องถิ่น ส่วนกลาง ชุมชน นักศึกษา และประชาชน
  • สัญญะของแสง “พันดวงประทีป” ไม่ใช่เพียงจำนวน แต่คือ “การรวมพลัง” ที่มองเห็นได้ด้วยตา—การที่ไฟแต่ละดวงต้อง “ถูกจุดด้วยมือ” ทำให้ทุกคนเป็น “เจ้าของพิธี” เท่า ๆ กัน
  • ส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพ พิธีทั้งสองไม่ใช่กิจกรรมแบบผู้จัด–ผู้ชม หากเป็นกิจกรรมที่ “ทุกฝ่ายมีบทบาท” ตั้งแต่เตรียมงาน ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงร่วมภาวนา—มิตินี้คือหัวใจของ “ความเข้มแข็งทางสังคม”

เชื่อมโยงพระราชปณิธาน จากงานศิลป์–หัตถกรรม สู่ความดีงามในชีวิตประจำวัน

หนึ่งในรากฐานที่ทำให้พิธีค่ำคืนนี้ทรงความหมายคือการได้ “น้อมระลึก” ถึงพระราชปณิธานด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานหัตถกรรม และภูมิปัญญาพื้นถิ่น—สิ่งที่ส่งผลจริงต่อวิถีชีวิตประชาชน ทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจให้ชุมชน เมื่อประชาชนและนิสิตนักศึกษาลุกขึ้นมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง สิ่งที่ซึมลึกกว่าความงามของเปลวไฟ คือ “แรงบันดาลใจจะทำความดีต่อเนื่อง” ในหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม ครอบครัว โรงเรียน วัด ชุมชน

บทเรียนสำหรับเมือง ทำอย่างไรให้ “ความทรงจำร่วม” ดำรงอยู่ยาวนาน

  1. ปฏิทินพิธีกรรมประจำปี – เมืองสามารถกำหนด “จังหวะเวลา” ให้ประชาชนคุ้นเคยและรอคอย เหมือนฤดูกาลของความดีงามที่กลับมาเสมอ
  2. การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง – เปิดพื้นที่ให้ภาคีหลากหลายได้ “ทำ” ไม่ใช่แค่ “มาดู” เช่น กลุ่มเยาวชน องค์กรชุมชน โรงเรียน อาสาสมัคร
  3. สื่อสารสาระอย่างเข้าใจง่าย – อธิบายความหมายของพิธีและสัญลักษณ์ เช่น ทำไมต้อง “ตะเกียงนับพันดวง” ทำไมต้อง “บำเพ็ญกุศล”—ยิ่งเข้าใจ ยิ่งมีพลัง
  4. เชื่อมงานบุญกับงานชุมชน – ต่อท่อกิจกรรมจาก “พิธี” ไปสู่ “โครงการย่อย” เช่น เวิร์กช็อปงานหัตถกรรม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรอบบึงทัพฟ้า ทุนการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ

สองพื้นที่—หนึ่งใจเดียว

ค่ำคืนที่ “บึงทัพฟ้า” เมืองได้เห็นแสงประทีปนับพันดวงโอบกอดผืนน้ำ ขณะที่ “หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย” เปล่งเสียงสวดกังวานด้วยความสงบเยือกเย็น—สองภาพนี้คือ บทกวีร่วมสมัยของเชียงราย ที่ร้อยเรียงด้วยเส้นด้ายเดียวกันคือ ความกตัญญูและความจงรักภักดี ต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเมื่อเปลวไฟสุดท้ายค่อย ๆ มอดดับ ผู้คนแยกย้ายกลับบ้านพร้อม “แสงเล็ก ๆ ในใจ” ที่ยังอุ่นอยู่—แสงที่เตือนว่า ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน ยังมีค่าหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน: การระลึกคุณและการทำความดีร่วมกัน

KEY TAKEAWAYS (สำหรับผู้อ่านเชิงนโยบาย/การจัดการเมือง)

  • สองเวทีหลัก: พิธีประทีป ณ บึงทัพฟ้า (เทศบาลฯ–กองทัพอากาศ) และพิธีบำเพ็ญกุศล ณ มรภ.เชียงราย (ฝ่ายสงฆ์–ฝ่ายฆราวาส–สาธารณะ)
  • สาระกลาง: ความกตัญญู–ความจงรักภักดี–การสืบสานพระราชปณิธานด้านวัฒนธรรมและหัตถศิลป์
  • ผลลัพธ์ทางสังคม: เกิดพื้นที่ส่วนร่วมของพลเมืองอย่างกว้างขวาง สร้างความเชื่อมโยงระหว่างรัฐ–สถาบันการศึกษา–ศาสนา–ชุมชน
  • ข้อเสนอเชิงระบบ: ทำปฏิทินพิธีประจำปี—เปิดโอกาสให้ “ทำ” มากกว่า “ดู”—สื่อสารความหมายให้เข้าใจง่าย—เชื่อมพิชญ์กรรมกับกิจกรรมชุมชนเชิงยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองทัพอากาศ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไทลื้อศรีดอนชัย จัดมหาบุญจุลกฐินครั้งที่ 21 ทอผ้าไตรเสร็จใน 24 ชม. พิสูจน์ศรัทธา

มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อ “ศรีดอนชัย” ครั้งที่ 21 ศรัทธา–หัตถศิลป์–สามัคคี ร่วมหล่อเลี้ยงลุ่มน้ำอิง อาราธนาพระอุปคุต” นำขบวน—อบจ.เชียงรายหนุน “4 สืบ” ขับเคลื่อน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ชายแดนโขง

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ริมสายน้ำอิงที่ทอดตัวคู่ชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ แสงประทีปราตรีปลายฝนต้นหนาวส่องประกายทาบร่างขบวนแห่ “อาราธนาพระอุปคุต” ผู้คุ้มครองพิธีบุญใหญ่ตามความเชื่อแห่งล้านนา ก่อนเสียงกลองปูจาและบทสาธยายศรัทธาจะพาเช้าวันใหม่เข้าสู่ “จุลกฐิน”—กฐินทันใจที่ต้องทำ “ให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง” ตั้งแต่ฝ้ายยังช่ออยู่บนกิ่งจนกลายเป็นผ้าไตรจีวรครบองค์ สัญญะที่ชาวศรีดอนชัยยืนยันต่อโลกว่า ศรัทธา – ความชำนาญ – ความพร้อมเพรียงของชุมชน ยังทำงานได้จริงในยุคสมัยนี้

ปีนี้เป็น ครั้งที่ 21 ของ “มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อวัดท่าข้ามศรีดอนชัย” จัดระหว่าง 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วัตถุประสงค์ “4 สืบ” อันเป็นกรอบคิดยุทธศาสตร์ที่ผนึก การสืบสานประเพณี–การถ่ายทอดองค์ความรู้–การธำรงพระธรรมวินัย–และการเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อยกระดับ Soft Power ของไทลื้อสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในลุ่มน้ำโขง

ฉากเปิด เช้าตรู่ที่ลมหายใจของชุมชน “สวด–สาน–ซ่อมสายใย”

เสียงระฆังวัดท่าข้ามศรีดอนชัยปลุกผู้คนสองฟากถนนเลียบแม่น้ำให้ตื่นพร้อมรอยยิ้มและเสื้อผ้าไทลื้อสีคราม–แดง–ดำ อันเป็นเอกลักษณ์ “ลื้อลายคำ” ขบวนแห่ อาราธนาพระอุปคุต เคลื่อนด้วยจังหวะศรัทธา—สัญลักษณ์ของ “ผู้คุ้มครองงานบุญใหญ่” ตามตำนานพระเจ้าอโศกและคติล้านนา ก่อนเข้าสู่กระบวนการสำคัญที่ต้องแข่งกับเข็มนาฬิกา จุลกฐิน หรือ กฐินทันใจ 24 ชั่วโมง ที่ทั้งหมู่บ้านจะ “ยกโรงทอ” ชั่วคราว—จาก เก็บฝ้าย–ปั่นด้าย–ตั้งหูก–ทอ–ย้อม–ตัดเย็บ—ให้สำเร็จเป็น ผ้าไตรจีวร เพื่อถวายกฐินภายในกำหนด

ในเชิงพิธีกรรม สิ่งนี้ไม่ใช่ “โชว์” แต่คือ พระวินัย ที่ทดสอบ ความพร้อมเพรียงและความละเอียดอ่อน ของชุมชน ทุกรอยมือบนด้าย ทุกจังหวะตีนกี่ คือวงจรการเรียนรู้ระหว่างวัย—เด็กเห็นมือพ่อแม่ ปู่ย่า ครูช่าง; คนหนุ่มสาวเห็นความอดทนเชิงงานฝีมือ; ผู้เฒ่าผู้แก่เห็น “คนรุ่นใหม่” ยืนเคียงข้าง และทั้งหมดเห็นกันและกัน ใต้แสงเดียวกันที่ชื่อว่า “ศรัทธาและความร่วมแรงร่วมใจ”

“4 สืบ” ของ อบจ.เชียงราย กรอบคิดที่ประกอบร่างพิธี–วัฒนธรรม–เศรษฐกิจ

การสนับสนุนของ อบจ.เชียงราย ในปีนี้เน้น “4 สืบ” เป็นเข็มทิศ

  1. สืบสานวัฒนธรรมประเพณี – รักษา จุลกฐิน และพิธีการไทลื้อ (การแต่งกาย อาหารถิ่น การแสดงพื้นบ้าน) ให้คงรูปและร่วมสมัย
  2. สืบศรีสมัย – ถ่ายทอด ความรู้การทอผ้า และงานฝีมือ “ลื้อลายคำ” ข้ามรุ่น พร้อมเปิดให้ ประยุกต์–ดัดแปลง อย่างมีขอบเขต เพื่อให้ อัตลักษณ์ ไม่ถูกตรึง แต่เติบโต
  3. สืบพระธรรมวินัย – คงหลัก กฐินภายใน 1 เดือน หลังออกพรรษาและกรอบ จุลกฐิน 24 ชั่วโมง ให้สมบูรณ์ถูกต้อง
  4. สืบสายสัมพันธ์ – ใช้งานบุญเป็นเวที เชื่อมผู้คน–เครือข่ายศรัทธา–หน่วยงาน และ นักท่องเที่ยว ให้มาร่วม “ทำ–เห็น–เรียนรู้” ไปพร้อมกัน

ผลที่สัมผัสได้ คือภาพของ “วัด–ชุมชน–โรงเรียน–ผู้สูงวัย–เยาวชน” ที่ร่วมยกงานวัฒนธรรมให้เป็น สินทรัพย์สาธารณะ ไม่ใช่ภาระ และเมื่อพิธีถูกออกแบบให้ “เปิดรับผู้มาเยือน” อย่างมีมารยาททางศาสนา งานบุญก็กลายเป็น หน้าต่างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่คนทั้งสองฟากโขงมองเห็นและอยากเดินเข้ามามีส่วนร่วม

อัตลักษณ์ไทลื้อ จากสิบสองปันนาสู่ “ศรีดอนชัย”—ผืนผ้าที่เล่าเรื่องคน

รากของ ศรีดอนชัย ผูกโยงกับการอพยพของไทลื้อจาก สิบสองปันนา อัตลักษณ์จึงถูกเก็บไว้ทั้งใน ภาษา–พิธีกรรม–เครื่องแต่งกาย–ผ้าทอ และความทรงจำร่วมของการตั้งถิ่นฐานริมโขง การมี พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ และพื้นที่เรียนรู้ชุมชน ทำให้คนรุ่นใหม่ “เห็น–จับ–ทอ” มรดกบรรพชนด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่เพียงผ่านรูปภาพ

ผ้าทอไทลื้อ จึงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่คือ คลังความรู้มีชีวิต ลาย–สี–เส้นใย—ล้วนบันทึกวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตของคนลุ่มน้ำอิง เมื่อถูกยกขึ้นสู่ จุลกฐิน ผืนผ้าไม่ใช่ของฝาก หากคือ “ของถวาย” ที่ต้องสะอาด งาม และถูกต้องตามระเบียบ พระสงฆ์ห่มผ้า—ชุมชนก็ห่มความภาคภูมิใจ

พระอุปคุต “ผู้คุ้มครองพิธีใหญ่” กับกลยุทธ์พิธีกรรมของชุมชน

ตำนาน พระอุปคุตเถระ ผู้มีอิทธิฤทธิ์คุ้มครอง “ปอยหลวง” ในสมัยพระเจ้าอโศก ถูกชาวล้านนาน้อมรับสู่พิธีใหญ่ของชุมชนมาเนิ่นนาน ในงานนี้ พิธีอาราธนาพระอุปคุต ทำหน้าที่เป็น “โล่พิธีกรรม” เพื่อขอพลังป้องกันอุปสรรคในภารกิจ 24 ชั่วโมง ที่ผิดพลาดไม่ได้—ทั้งเชิงเวลาและความถูกต้องตามพระวินัย

สัญลักษณ์ตัวเลข 9 ใน พิธีตักบาตรสามเณร 9 รูป ก็ถูกให้ความหมายถึง “ก้าวหน้า–รุ่งเรือง” และ “การสืบต่อพระศาสนา”—เป็นภาพย้ำว่าหาก “จุลกฐิน” คือการรวบรวมมือ พิธีพระอุปคุตก็คือการรวบรวมใจ ให้ทุกช่วงเวลาในงานบุญเดินหน้าอย่างร่มเย็น

24 ชั่วโมงที่ท้าทาย จากต้นฝ้ายถึงผ้าไตร—งานหัตถศิลป์ในโหมด “High-Stakes”

จุลกฐิน พิสูจน์ ความละเอียดอ่อน – ความเร็ว – ความพร้อมเพรียง ในคราวเดียว ขั้นตอนตั้งแต่ เก็บฝ้าย–ปั่น–กรอ–ตั้งหูก–ทอ–ย้อม–ตัด–เย็บ ต้องเดินโดยแทบไร้รอยสะดุด เพราะเส้นด้ายที่ขาดง่ายที่สุดคือ “ความร่วมมือ

ปีนี้ ชุมชนศรีดอนชัยยังย้ำบทบาท “เวทีถ่ายทอดข้ามรุ่น” ผ่านการมีส่วนร่วมของ โรงเรียนผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และครูช่างประจำหมู่บ้าน ขณะที่เวทีกิจกรรมรอบงานทำหน้าที่เป็น “ชั้นเรียนพื้นที่เปิด” สาธิตการทอ ซ่อมแซมอุปกรณ์กี่ทอมือ แนะนำการย้อมสีธรรมชาติ และเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ลอง “จับหูก” ด้วยตัวเอง—ความรู้จึงไม่เคลื่อนผ่านเอกสาร แต่เคลื่อนผ่านมือและสายตา

พิธี–การแสดง–ตลาดวัฒนธรรม เมื่อศิลปะทำให้ศรัทธามีสีสัน

ข้างพิธีกรรมหลัก คือ กาดหมั้วครัวแลง ตลาดพื้นบ้านที่ชวนชิม–ชวนดู–ชวนซื้อ ทั้งอาหารถิ่น เครื่องจักสาน ผ้าทอ และของทำมือ พร้อมการแสดง ฟ้อนดาบ–ฟ้อนซอ–สะล้อซอซึง จากเครือข่ายศิลปินท้องถิ่นและโรงเรียนในอำเภอเชียงของ แสงประทีปและโคมลอย ในค่ำคืนปัจฉิมบท คือฉากจบที่พาผู้คน “ยกคำอธิษฐานขึ้นฟ้า” และหอบความอิ่มเอมกลับบ้าน—ศิลปะจึงไม่ได้เป็นเพียงการประดับพิธี แต่เป็น เครื่องมือเชื่อมใจ–ดึงสายตา–ขยายเศรษฐกิจ

Soft Power เชียงของ–เชียงราย งานบุญที่เลี้ยงเศรษฐกิจฐานราก

การสนับสนุนของ อบจ.เชียงราย ทำให้งานบุญไม่ถูกมองเป็นกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม หากเป็น “ทรัพยากรสาธารณะ” ของจังหวัด ผลทางเศรษฐกิจที่เห็นได้คือ การค้าขายชุมชนคึกคัก สินค้า GI–Chiang Rai Brand–งานหัตถกรรมไทลื้อ ได้พื้นที่สื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค นักท่องเที่ยวที่เดินทางตามปฏิทินวัฒนธรรมก็มีเหตุผลใหม่ในการ “แวะ–พัก–ใช้เวลา” ในเชียงของยาวขึ้น โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวรายรอบ—ที่พัก โฮมสเตย์ คาเฟ่—ได้รับ อานิสงส์ อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ ทุนทางสังคม ของชุมชนก็ยิ่งแน่นด้วย “การลงมือทำร่วมกัน” ทุกปี

บทวิเคราะห์แบบไต่ระดับ ทำไม “จุลกฐิน – อุปคุต – ลื้อลายคำ” จึงยืนยาวและยั่งยืน

  1. คติ–วินัย–วิถี เชื่อมกันเป็นระบบ จุลกฐิน (วินัย 24 ชม.) – อุปคุต (โล่พิธีกรรม) – ลื้อลายคำ (วิถีงานฝีมือ) สร้าง “สามเหลี่ยมคุณค่า” ที่ต่างค้ำกันและกัน—จารีตคุ้มพิธี พิธีคุ้มงาน งานคุ้มจารีต
  2. พิธีคือแพลตฟอร์มสาธารณะ การตั้งเวทีการแสดง–ตลาดวัฒนธรรม–พื้นที่สาธิตงานช่าง ทำให้ “ผู้มาเยือน” ไม่ได้เป็นผู้ชมเฉย ๆ แต่เป็น ผู้มีส่วนร่วม—ยิ่งมีส่วนร่วม ยิ่งเกิดความเข้าใจ ยิ่งต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
  3. 4 สืบ = นโยบายเชื่อมปัจจุบันกับอนาคต “สืบสาน” รักษาราก; “สืบศรีสมัย” เติมทักษะใหม่; “สืบพระธรรมวินัย” รักษาแกนศรัทธา; “สืบสายสัมพันธ์” เชื่อมเครือข่าย—นี่คือเครื่องจักรสังคมที่ทำให้พิธีไม่เป็นเพียง “ของเมื่อวาน”
  4. คนคือดิจิทัลมีชีวิต การจดจำกระบวนการด้วยมือ–ตา–หู ทำให้ความรู้ไม่พึ่งพา “ไฟล์” เพียงอย่างเดียว หากอยู่ใน “คน”—ความเสี่ยงสูญหายลดลงด้วยการทำซ้ำทุกปี

ข้อเสนอเชิงมานุษยวิทยา–เชิงระบบ เติมความรู้เพื่อความยั่งยืน

  • บันทึกเชิงเทคนิคเชิงลึก แม้พิธีได้รับการบันทึกดี แต่ “คู่มือช่างจุลกฐิน” ที่ลงลึกเรื่อง ชนิดฝ้าย–สัดส่วนย้อม–การคุมเวลา–จุดเสี่ยงในแต่ละขั้น จะทำให้การถ่ายทอด แม่น–เท่าเทียม–สม่ำเสมอ มากขึ้น โดยยังคง “เสรีภาพเชิงสุนทรียะ” ของช่าง
  • สมดุลพิธี–ท่องเที่ยว การกำหนด โซน–เวลา–มารยาทการเยี่ยมชม ที่ชัดเจน จะช่วยคุ้มครอง “ความศักดิ์สิทธิ์” ไม่ให้ถูกความนิยมทำให้หลุดจากแกนพระวินัย
  • โครงสร้างแรงจูงใจคนรุ่นใหม่ เพิ่มแรงจูงใจผ่าน ทุนการศึกษาช่างทอ–ทุนทำวิจัยลายโบราณ–เวิร์กช็อปนานาชาติ ให้ “ลื้อลายคำ” กลายเป็น เส้นทางอาชีพ ที่ภาคภูมิใจและพึ่งพาตนเองได้

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “จุลกฐินคือกระจกที่สะท้อนว่าเรายังจับมือกันแน่น”

ในทุกคืนก่อนเสร็จงาน ผืนผ้าไตรที่กำลังขึ้นรูปคือ “จุดนัดพบ” ของรุ่นสู่รุ่น—เสียงครูช่างเตือนให้เบามือ เสียงหัวเราะเด็กที่เพิ่งจับฟืมครั้งแรก เสียงแม่ค้าตะโกนขายขนมพื้นบ้านริมกาดหมั้ว และเสียงสวดแห่งกุศลผลบุญ ทุกเสียงประกอบเข้าด้วยกันเป็น “ซาวด์แทร็กของชุมชน” ที่บอกว่า เรายังทำสิ่งยากด้วยกันได้ ในโลกที่รีบและหลวมมากขึ้นทุกวัน

ผ้าหนึ่งผืน หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธา–อาชีพ–อนาคต

“มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อศรีดอนชัย” คือหลักฐานร่วมสมัยว่า พิธีกรรมที่เข้มแข็ง สามารถเป็นทั้ง โรงเรียน ชุมชน ตลาด และเวทีโลก พร้อมกันได้ เมื่อมี กรอบคิด (4 สืบ) มี แกนความเชื่อ (พระอุปคุต–พระวินัย) และมี อัตลักษณ์งานหัตถศิลป์ (ลื้อลายคำ) หนุนอยู่ด้านหลัง ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียงบุญส่วนบุคคล แต่คือ ทุนทางสังคม–วัฒนธรรม–เศรษฐกิจ ที่งอกเงยต่อเนื่อง

ในเช้าวันที่ผ้าไตรคลี่รับแสงแรก ชาวศรีดอนชัยอาจยังคงยิ้มแบบเดิม—ยิ้มที่เชื่อมั่นว่าความดีที่ทำร่วมกันจะไม่สูญเปล่า ยิ้มที่บอกลูกหลานว่า “ให้มือจำ–ให้ใจจำ” และยิ้มที่ชวนผู้มาเยือนว่า “ปีหน้า กลับมาอีกนะ มาช่วยกัน ‘สาน–ทอ–ถวาย’ ใน 24 ชั่วโมงที่สวยงามนี้ด้วยกัน”

KEY TAKEAWAYS

  • งานจัด 31 ต.ค.–2 พ.ย. 2568 ที่ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย อ.เชียงของ ครบ พิธีอาราธนาพระอุปคุต – จุลกฐิน 24 ชั่วโมง
  • อบจ.เชียงราย หนุนยุทธศาสตร์ “4 สืบ” เพื่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม–ศาสนา–เศรษฐกิจ
  • อัตลักษณ์ ไทลื้อ (ลื้อลายคำ) ถูกยกเป็น Soft Power ผ่านพิธี–การแสดง–ตลาดวัฒนธรรม
  • แนวโน้มสำคัญ งานบุญ = แพลตฟอร์มสาธารณะ ที่สร้างรายได้ เสริมความภูมิใจ และถ่ายทอดความรู้ข้ามรุ่น
  • ข้อเสนอ ทำ “คู่มือช่างจุลกฐิน” และกำหนด มารยาทการท่องเที่ยวเชิงพิธีกรรม เพื่อรักษาแกนพระวินัยและเสริมคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย
  • ชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย / พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ
  • เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL ENTERTAINMENT

เด็ก 8 ขวบ “โฟกัส” คว้าแชมป์สตรีทแดนซ์ประเทศไทย นำทีมเชียงรายบุก UDO WORLD 2026

โฟกัส” 8 ขวบ พิชิตแชมป์สตรีทแดนซ์ไทย เปิดประตูสู่เวทีโลกที่อังกฤษ ทีม “ตึกขาวเชียงราย” สร้างปรากฏการณ์ คว้าโควตาชิงแชมป์ UDO ASIA-WORLD 2026

เชียงราย,4 พฤศจิกายน 2568 – ในวงการสตรีทแดนซ์ไทย มีคำถามที่ผู้คนมักตั้งไว้เสมอว่า “เมื่อไหร่ ความพยายามจะเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ” คำตอบของคำถามนี้ได้ถูกพิสูจน์อย่างชัดเจน เมื่อเด็กหญิงวัย 8 ขวบจากเชียงราย ยืนอยู่บนเวทีแห่งชัยชนะ ณ The Street Ratchada กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ที่ดังกึกก้อง นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะพาคุณไปสู่การเดินทางอันยาวนานของความฝัน ความอดทน และความกล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ หรือที่ทุกคนเรียกว่า “น้องโฟกัส” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี จังหวัดเชียงราย เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองและจังหวัดบ้านเกิด ด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย ประเภท SOLO U10 (โซโล่รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี) ในการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชิงชัยในระดับประเทศ แต่คือประตูสำคัญที่จะนำพาเธอและทีมเต้นจาก MY DANCE ACADEMY (MYDA) หรือที่รู้จักในนาม “ตึกขาวเชียงราย” ไปสู่เวที UDO ASIA และ UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ

จากห้องซ้อมเล็กๆ สู่เวทีระดับชาติ เส้นทางที่ไม่ธรรมดา

เมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งปี น้องโฟกัสยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เต้นอยู่ในห้องซ้อมของสถาบัน MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางเสียงดนตร์และเหงื่อที่ไหลพราก วันแล้ววันเล่า เธอและเพื่อนๆ ในทีมต่างต้องผ่านการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง บางครั้งก็เหนื่อย บางครั้งก็ท้อแท้ แต่สิ่งหนึ่งที่ครูผู้สอนปลูกฝังให้กับเด็กๆ ทุกคนคือ “Trust The Process” หรือ “เชื่อในกระบวนการ และรอเป็น”

การแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND 2025 ครั้งนี้เป็นการชิงชัยที่ยิ่งใหญ่ มีผู้เข้าแข่งขันจากทั่วประเทศกว่า 80 คน ในประเภทเดียวกับน้องโฟกัส ทุกคนต่างมีความสามารถและมีความฝันเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้น้องโฟกัสโดดเด่นคือ “พลังแห่งความมั่นใจและสปิริตนักสู้” ที่ปรากฏชัดเจนในทุกการเคลื่อนไหวบนเวที เมื่อผลการแข่งขันประกาศออกมา น้องโฟกัสได้ยืนอยู่บนแท่นแชมป์ พิสูจน์ให้เห็นว่า ความพยายามและความอดทนที่สะสมมาตลอดหลายปี สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้

“นี่ไม่ใช่แค่เหรียญรางวัล แต่คือการพิสูจน์ว่า เด็กจากจังหวัดเล็กๆ อย่างเชียงราย สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักเต้นจากเมืองใหญ่ได้” คุณครูสายเมฆและคุณครูยุ้ย โค้ชประจำทีม MYDA กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ

ไม่ใช่แค่หนึ่งรางวัล ผลงานที่น่าทึ่งของทีม MYDA

ความสำเร็จของน้องโฟกัสเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมความสำเร็จที่ทีม MY DANCE ACADEMY สร้างขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้ นอกจากตำแหน่งแชมป์ประเภท SOLO U10 แล้ว น้องโฟกัสยังได้รับรางวัลอันดับ 2 ในประเภท DUO U10 (การเต้นคู่) โดยได้จับคู่กับ น้องใบทาย (เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี ชั้น ป.3/9 จากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย) แสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านและการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม

ผลการแข่งขันโดยรวมของทีม MYDA ในครั้งนี้สามารถสรุปได้ดังนี้

รางวัลหลัก

  • แชมป์ประเทศไทย ประเภท SOLO U10: น้องโฟกัส (ศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์)
  • อันดับ 2 ประเภท DUO U10: น้องโฟกัส & น้องใบทาย
  • อันดับ 3 ประเภท TEAM PERFORMANCE U18: ทีม MYDA VARSITY (สมาชิก: นาน่า, ขวัญ, ทรีทรี, พิมพ์, มีน, โมโม่, หยก)
  • อันดับ 4 ประเภท SOLO U18: น้องพิมพ์ (นางสาวณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี จากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม)
  • อันดับ 5 ประเภท DUO O18: ครูพี่เปีย (นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 22 ปี) และครูพี่ส้มโอ (นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี)

การผ่านเข้ารอบ TOP 8 THAILAND:

  • ประเภท Locking Battle: นาน่า (เด็กหญิงณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี) และทรีทรี (เด็กชายวัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 13 ปี)
  • ประเภท Hip Hop Battle: หยก (เด็กหญิงหทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี)
  • ประเภท Solo U10: ใบทาย
  • ประเภท Solo U18: โมโม่ (นางสาวโมนะ วังวิญญู อายุ 17 ปี)

การผ่านเข้ารอบ TOP 16 THAILAND นอกจากนี้ยังมีนักเต้นอีกหลายคนที่ผ่านเข้ารอบ TOP 16 ในหลายประเภท ทั้ง Solo และ Battle รวมถึงบุ้งกี๋ (เด็กหญิงปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 14 ปี), ขวัญ (เด็กหญิงนีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี), เบล, พิมพ์, ครูพี่ส้มโอ และครูพี่เปีย

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือการพิสูจน์ว่า ระบบการฝึกสอนของ MY DANCE ACADEMY มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล สามารถสร้างนักเต้นที่มีทั้งทักษะและจิตใจที่แข็งแกร่งได้จริง

ความกล้า” ที่ล้ำค่ากว่าเหรียญทอง การลงสนาม Battle ครั้งแรก

หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของน้องโฟกัสในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ใช่การคว้าแชมป์ แต่คือการตัดสินใจ “กล้า” ที่จะลงสนาม Battle (การต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1) เป็นครั้งแรกในชีวิต ในประเภท Locking Battle รุ่น U14 (อายุไม่เกิน 14 ปี) ซึ่งคู่แข่งล้วนเป็นนักเต้นที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่า

น้องโฟกัสสามารถผ่านเข้ารอบ TOP 16 THAILAND ได้สำเร็จ แม้จะหยุดเส้นทางไว้ที่รอบนี้และไม่ผ่านเข้าสู่ TOP 8 แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือ “บทเรียนแห่งความกล้าหาญ” ที่ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน นอกจาก Locking Battle แล้ว น้องโฟกัสยังผ่านเข้ารอบ TOP 16 ใน Hip Hop Battle U14 และ All Style Battle U14 อีกด้วย รวมเป็นการลงสนาม Battle ทั้งหมด 3 สไตล์ในครั้งแรกของชีวิต

“นี่คือครั้งแรกของน้องโฟกัสในสนาม Locking Battle กับพี่ๆ ที่อายุมากกว่าและเต้นเก่งกันมาก แต่โฟกัสเลือก ‘กล้าที่จะลองในสนาม Battle’ และ ‘กล้าที่จะยืนบนเวที’ พร้อมโชว์พลังและความมั่นใจของตัวเองอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะยังไม่ผ่านเข้ารอบ TOP 8 แต่ความกล้า ความใจสู้ และพลังของหนู คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนชื่นชมและภูมิใจที่สุด เก่งมากนะโฟกัส ครูและทุกคนภูมิใจในตัวหนูมากจริงๆ” ครูสายเมฆและครูยุ้ย กล่าวถึงน้องโฟกัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

การลงสนาม Battle ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการสอนของ MYDA ที่ไม่ได้เน้นแค่การชนะ แต่เน้นการสร้าง “ความกล้าที่จะเผชิญหน้า” และ “ความเชื่อมั่นในตัวเอง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะนำพาเด็กๆ ไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

“Trust The Process” ปรัชญาที่เปลี่ยนความฝันเป็นจริง

เบื้องหลังความสำเร็จทุกชิ้นของทีม MYDA คือปรัชญา “Trust The Process” หรือ “เชื่อในกระบวนการ และรอเป็น” ที่ทีมครูได้ปลูกฝังให้กับเด็กๆ ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาก้าวเข้ามาในห้องซ้อม

“ช่วงเวลาที่เด็กๆ ต่อสู้กับความพยายาม ความยากและความท้าทาย ที่เด็กๆ อาจจะรู้สึกว่า อดทนฝึกฝนเป็นปีๆ แบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำได้กับเค้าสักที เมื่อไหร่จะขึ้นไปยืนบนนั้นกับเค้าสักที…ครูเห็น การถอดใจ ความท้อ ความไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ของเด็กๆ หลายคนมาหลายครั้ง ตลอดระยะทางที่เดินมาด้วยกัน” ครูทั้งสองเล่าถึงความรู้สึกในฐานะผู้ที่เฝ้าดูและผลักดันเด็กๆ มาตลอด

“และทุกครั้งก็ได้เห็น spirit ของการสู้ต่อของทุกคนที่ลุกกลับขึ้นมา สู้ และเชื่อ ว่าตัวเอง สามารถจะผ่านช่วงเวลาฝึกฝนที่ต้องอดทนในความยาก ที่คนมากมาย ‘ไม่ทนแล้ว’ เพื่อให้มันออกดอกออกผลได้”

คำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของทีมครูว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่คือผลลัพธ์ของการสะสมความพยายาม การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความอดทนที่จะรอคอยจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึง

“วันนี้ เวทีนี้ ผลลัพธ์และค่าสถิติที่ครูพูดมาตลอดตั้งแต่วันแรก มันค่อยๆ แสดงผลลัพธ์ของมันเองให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า คุณค่าของความพยายาม ความอดทน ความไม่ยอมแพ้ และ การ ‘รอเป็น’ มันเป็นยังไง…สถิติ มันทำงานแล้ว คำว่า trust the process มันรวมถึง trust in time ด้วยจริงๆ” ครูทั้งสองกล่าวทิ้งท้าย

เส้นทางต่อไป ก้าวสู่เวทีระดับเอเชียและโลก

ความสำเร็จในการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND 2025 ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่กว่า นักเต้นและทีมครูของ MY DANCE ACADEMY ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการชิงแชมป์ระดับทวีปเอเชีย (UDO ASIA) และการชิงแชมป์ระดับโลก (UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026) ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ

การแข่งขัน UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ถือเป็นหนึ่งในเวทีที่ใหญ่ที่สุดและทรงเกียรติที่สุดในโลกของสตรีทแดนซ์ โดยเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยองค์กร United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่มีมาตรฐานการตัดสินที่เข้มงวดและเป็นที่ยอมรับในวงการเต้นทั่วโลก การที่นักเต้นจากเชียงรายจะได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

“Next station ถึงเวลา พาเชียงราย Gen ใหม่ไปบุกเวทีโลก ไปมั้ยไม่รู้…แต่ไปเถอะเชื่อครู ไม่มีหน้าต่างของโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตโลกกว้าง ในเส้นทางนักเต้น ในมิติของความพร้อม ในมิติของทักษะที่สะสมพอให้ไปแล้วตักตวงประสบการณ์ได้เต็มที่อย่างถ่องแท้ ในมิติของช่วงอายุ ‘วัยเด็กห้วงสุดท้าย’ ของหลายๆ คน ก่อนที่จะต้องลงสนามไปเจอกับผู้ใหญ่ หรือ ‘คนรุ่นครู’ ปีนี้แหละ หน้าต่างที่ดีที่สุด ของ myda crew generation นี้” ทีมครูกล่าวถึงแผนการในอนาคตด้วยความมุ่งมั่น

การตัดสินใจส่งเด็กๆ ไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษในปี 2026 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การชิงชัย แต่คือการสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสบรรยากาศของการแข่งขันระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเต้นจากนานาประเทศ และที่สำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นว่า “ความฝันไม่มีขีดจำกัด” ไม่ว่าจะมาจากจังหวัดใดหรือมีพื้นฐานอย่างไร

ตึกขาวเชียงราย สัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจ

MY DANCE ACADEMY หรือ “ตึกขาวเชียงราย” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจสำหรับเยาวชนในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ การที่สถาบันการเต้นแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย สามารถผลิตนักเต้นที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศและระดับสากล แสดงให้เห็นว่า โอกาสในการพัฒนาทักษะและไล่ตามความฝันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น ความพยายาม และการมีระบบการสนับสนุนที่ดี

ทีมครูของ MYDA ประกอบด้วยครูสายเมฆ ครูยุ้ย ครูหมีพู ครูเปีย ครูส้มโอ และครูกร้อ ซึ่งทุกคนได้อุทิศเวลาและความรู้ในการฝึกสอนและดูแลนักเต้นเยาวชน โดยมีโปรแกรมพิเศษที่ชื่อว่า “MYDA DANCE INTENSIVE PROGRAM” ซึ่งเน้นการฝึกฝนอย่างเข้มข้น มีระบบการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน และที่สำคัญคือ มีการปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความมีวินัย การเคารพผู้อื่น และการเป็นนักกีฬาที่ดี

“พวกเราภูมิใจในความตั้งใจของเด็กๆ มากจริงๆ ทุกสเต็ปบนเวทีคือพลังจาก ‘ตึกขาวเชียงราย'” ครูทั้งหลายกล่าวพร้อมกัน

ความสำเร็จที่สะท้อนถึงการพัฒนาวงการสตรีทแดนซ์ไทย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนบุคคลหรือของสถาบันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของวงการสตรีทแดนซ์ไทยในภาพรวม โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคที่เริ่มมีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันกับนักเต้นจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อย่างเท่าเทียม

การที่น้องโฟกัส นักเต้นวัย 8 ขวบ สามารถคว้าแชมป์ประเทศไทยจากคู่แข่งกว่า 80 คน แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของหลักสูตรการฝึกสอนที่ได้มาตรฐานและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลของ UDO (United Dance Organisation) ซึ่งเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้านการจัดการแข่งขันสตรีทแดนซ์ และมีการกำหนดมาตรฐานการตัดสินที่เข้มงวด โปร่งใส และเป็นธรรม

การแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 มีความพิเศษตรงที่เป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้นักเต้นเยาวชนที่เป็นสมาชิก UDO Academy และมีประวัติการสอบ UDO Examination อย่างน้อย 1 ครั้งระหว่างปี 2023-2025 เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 17 ปีลงมา กฎเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดและความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานของนักเต้นเยาวชนไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การที่ทีม MYDA สามารถส่งนักเต้นผ่านเข้ารอบ TOP 8 และ TOP 16 THAILAND ได้หลายคนในหลายประเภท ทั้ง Solo, Duo, Team Performance และ Battle หลายสไตล์ ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านของนักเต้นและความหลากหลายของหลักสูตรการสอน ไม่ว่าจะเป็น Locking, Hip Hop, All Style หรือการเต้นแบบ Performance ที่เน้นการออกแบบท่าเต้นและการแสดงออกทางศิลปะ

ความหมายของการได้ไปแข่งที่ UDO WORLD 2026

การได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 ที่ประเทศอังกฤษ ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักเต้นสตรีททั่วโลก การแข่งขัน UDO World Championships เป็นเวทีที่รวบรวมนักเต้นที่ดีที่สุดจากทั่วโลกมาแข่งขันกัน โดยในปี 2024 การแข่งขันได้มีรางวัลเงินสดสำหรับผู้ชนะในหมวด Ultimate Advanced Team สูงถึง 10,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 440,000 บาท) แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของเวทีนี้

การแข่งขัน UDO WORLD 2026 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านการจัดการแข่งขันเต้นระดับโลก การที่นักเต้นเยาวชนจากเชียงรายจะได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันบนเวทีนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะของตนเองไปสู่อีกระดับหนึ่ง

นอกจากการแข่งขัน UDO WORLD แล้ว นักเต้นจาก MYDA ยังได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC CHAMPIONSHIPS อีกด้วย ซึ่งเป็นเวทีระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์และความพร้อมให้กับนักเต้นก่อนที่จะไปแข่งขันในระดับโลก

รายชื่อและสมุดพกของความพยายาม คนทำงานเบื้องหน้า–เบื้องหลัง

  1. เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ (โฟกัส) ป.3/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี – CHAMPION SOLO U10
  2. เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี (ใบทาย) ป.3/9 โรงเรียนอนุบาลเชียงราย – 2nd DUO U10
  3. เด็กหญิงหทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย (หยก) อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2 – ผ่านรอบลึก
  4. น.ส.อารยา สัทธานนท์ (มีน) 17 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.5 – ทีม/เดี่ยว
  5. น.ส.โมนะ วังวิญญู (โมโม่) 17 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.5 – TOP 8/16 หลายหมวด
  6. น.ส.ณิชารี ปงรังษี (พิมพ์) 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.5 – 4th SOLO U18
  7. เด็กหญิงนีรชา ณ ลำพูน (ขวัญ) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.3 – ผ่านรอบลึก
  8. เด็กหญิงณิชนันท์ กันยานนท์ (นาน่า) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.3 – ผ่านรอบลึก
  9. เด็กชายวัชรวีร์ เกาะทอง (ทรีทรี) 13 ปี โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ม.1 – ผ่านรอบลึก
  10. เด็กหญิงกัญพัชย์ วงค์ฮู้ (ทอฝัน) 14 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2 – ผ่านรอบคัด
  11. ด.ญ.ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ (บุ้งกี๋) 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม – ผ่านรอบลึก
  12. น.ส.วชิรญาณ์ นามวงค์ (ครูพี่เปีย) อายุ 22 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – 5th DUO O18
  13. นายธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – ทีมงาน/ผู้ร่วมกิจกรรม
  14. น.ส.ศุภกานต์ ปัญญาพล (ครูพี่ส้ม) อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY – 5th DUO O18
  • คณะครู–ผู้ฝึกสอน: ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูหมีพู, ครูเปีย, ครูส้ม, ครูกร้อ

เสียงจากครูผู้สอน มุมมองที่ลึกซึ้งกว่าความชนะแพ้

ในการให้สัมภาษณ์หลังการแข่งขัน ทีมครูของ MY DANCE ACADEMY ได้แสดงความรู้สึกและมุมมองที่ลึกซึ้งต่อการเติบโตของลูกศิษย์ ซึ่งไม่ได้เน้นแค่เรื่องของเหรียญรางวัล แต่เน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาตัวตนของเด็กๆ

“เก่งมากๆ ตัวอ่อน MYDA ทั้งหลาย! มาไกลกันมากๆ! ก็เพราะมันยากนี่แหละ มันถึงพิเศษขนาดนี้ ไม่งั้นใครๆ ก็คงจะเดินเล่นได้รางวัลกันแบบไม่มีคุณค่าใด” คำพูดของครูทั้งสองสะท้อนถึงความเข้าใจในเส้นทางของการเป็นนักเต้นมืออาชีพ ที่ต้องผ่านความยากลำบากและการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง

การที่ครูใช้คำว่า “ตัวอ่อน” ในการเรียกลูกศิษย์ แสดงให้เห็นถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อเด็กๆ พร้อมกับการเห็นพวกเขาเป็นเหมือนลูกหลานที่ต้องดูแลเอาใจใส่และผลักดันให้เติบโตไปในทิศทางที่ดี

ผลกระทบต่อชุมชนและสังคม แรงบันดาลใจที่แผ่ขยาย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะกับนักเต้นในทีมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อชุมชนและสังคมในหลายระดับ

ในระดับโรงเรียน นักเรียนที่เป็นนักเต้นของ MYDA ได้กลายเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเพื่อนๆ ในโรงเรียน โดยเฉพาะน้องโฟกัสจากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี น้องใบทายจากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย และนักเต้นคนอื่นๆ ที่มาจากโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย อาทิ โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ซึ่งการที่นักเรียนเหล่านี้สามารถสร้างผลงานได้ในระดับประเทศและจะได้ไปแข่งขันในระดับโลก จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนคนอื่นๆ ได้เห็นว่า การตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝน และมีวินัย สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้จริง

ในระดับจังหวัด ความสำเร็จครั้งนี้ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในด้านกีฬาและศิลปะการแสดง แสดงให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายไม่ได้มีความโดดเด่นแค่ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังสามารถผลิตนักกีฬาและศิลปินรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับสากลอีกด้วย

ในระดับประเทศ ความสำเร็จของทีมจากภูมิภาคช่วยสร้างความหลากหลายและความเท่าเทียมในวงการสตรีทแดนซ์ไทย แสดงให้เห็นว่า ความสามารถไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีการสนับสนุนและการพัฒนาที่ดี

บทบาทของผู้ปกครอง กำลังใจที่สำคัญเบื้องหลัง

เบื้องหลังความสำเร็จของนักเต้นเยาวชนทุกคน ผู้ปกครองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ การที่ผู้ปกครองให้การสนับสนุน ทั้งด้านการเงิน เวลา และกำลังใจแก่ลูกหลาน เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เด็กๆ สามารถฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องและมีสมาธิในการพัฒนาทักษะ

การเดินทางไปแข่งขันที่กรุงเทพมหานคร การพักค้างคืนหลายวัน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการแข่งขัน ล้วนต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ การให้กำลังใจและการเป็นแรงผลักดันทางใจของผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญต่อความมั่นใจและพลังใจของเด็กๆ บนเวทีการแข่งขัน

ความท้าทายข้างหน้า การเตรียมตัวสู่เวทีโลก

แม้จะคว้าแชมป์ประเทศไทยมาได้แล้ว แต่การเตรียมตัวไปแข่งขันในระดับโลกยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งในด้านการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาทักษะให้สูงขึ้น การเตรียมความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ การจัดหาทุนทรัพย์สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ และการปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของการแข่งขันระดับสากลที่มีความเข้มข้นสูงกว่า

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ รวมถึงค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจเป็นภาระที่หนักสำหรับครอบครัวและสถาบัน ดังนั้น การระดมทุนและการหาแหล่งสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นของทีมครูและนักเต้น รวมถึงการสนับสนุนจากผู้ปกครองและชุมชน ความท้าทายเหล่านี้น่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้ และจะกลายเป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับเด็กๆ ในการเติบโตเป็นนักเต้นมืออาชีพในอนาคต

ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาต่อไป

จากความสำเร็จครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาที่น่าสนใจหลายประการ

  1. การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้นักกีฬาและศิลปินรุ่นเยาว์ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพและแข่งขันในเวทีระดับสากล
  2. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันสอนเต้นในภูมิภาคต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และร่วมกันพัฒนามาตรฐานการสอน จะช่วยยกระดับคุณภาพของนักเต้นไทยโดยรวม
  3. การพัฒนาหลักสูตรและมาตรฐาน การพัฒนาหลักสูตรการสอนที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน UDO ที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก จะช่วยให้นักเต้นไทยมีความพร้อมในการแข่งขันระดับสากลมากขึ้น
  4. การสร้างระบบการสนับสนุนทางการเงิน การจัดตั้งกองทุนหรือทุนการศึกษาสำหรับนักเต้นที่มีความสามารถแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จะช่วยเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีพรสวรรค์ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
  5. การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจ การประชาสัมพันธ์ให้สังคมเห็นคุณค่าของศิลปะการเต้น โดยเฉพาะสตรีทแดนซ์ ว่าไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิง แต่เป็นกีฬาและศิลปะที่ต้องใช้ทักษะ ความมีวินัย และการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง

บทเรียนแห่งความพยายามและความหวัง

เรื่องราวของ “น้องโฟกัส” วัย 8 ขวบ และทีม MY DANCE ACADEMY จากเชียงราย เป็นมากกว่าแค่ข่าวความสำเร็จทางกีฬา แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึง “คุณค่าของความพยายาม” “พลังของความเชื่อมั่น” และ “ความหมายของการรอคอย”

การเดินทางจากห้องซ้อมเล็กๆ ในเชียงราย มาสู่แท่นแชมป์ประเทศไทย และจะก้าวต่อไปสู่เวทีโลกที่ประเทศอังกฤษ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นจากจุดใด หากมีความมุ่งมั่น มีครูที่ดี มีระบบการสนับสนุนที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือ มีความเชื่อในตัวเอง ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ปรัชญา “Trust The Process” ที่ทีม MYDA ใช้ในการฝึกสอน ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดหรือคำขวัญ แต่เป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่สอนให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะอดทน มีวินัย เคารพกระบวนการ และเชื่อมั่นว่า การฝึกฝนและความพยายามที่สั่งสมมาทุกวันนี้ จะค่อยๆ แสดงผลออกมาในเวลาที่เหมาะสม

สำหรับน้องโฟกัสและเพื่อนๆ นักเต้นของ MYDA การแข่งขันที่ประเทศอังกฤษในปี 2026 จะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญในชีวิต ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ประสบการณ์ที่ได้รับจะเป็นทรัพย์สินอันมีค่าที่จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต และจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นนักเต้นมืออาชีพในอนาคต

ขอแสดงความยินดีกับ เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ (น้องโฟกัส) นักเต้นและทีมครูทุกคนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้กับการเดินทางสู่เวทีระดับเอเชียและระดับโลกในปี 2026

ข้อมูลการแข่งขันและผลการแข่งขัน

  • ข้อมูลจากการแถลงข่าวและรายงานผลการแข่งขัน UDO ACADEMY THAILAND STREET DANCE CHAMPIONSHIP 2025 จัดโดย UDO Academy Thailand
  • สถานที่จัดการแข่งขัน: THE STREET HALL, The Street Ratchada, กรุงเทพมหานคร
  • ระยะเวลาการแข่งขัน: 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568

ข้อมูลเกี่ยวกับ UDO (United Dance Organisation)

  • UDO เป็นองค์กรระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในด้านการจัดการแข่งขันสตรีทแดนซ์ มีมาตรฐานการตัดสินและระบบการแข่งขันที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  • UDO WORLD STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2026 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2569 ณ เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ (Great Britain)
  • มาตรฐานการแข่งขันและกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นไปตามระเบียบ UDO International Rules 2025/26

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • MY DANCE ACADEMY (MYDA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“Fashion on the Road” เงินสะพัดกว่า 10 ล้าน! ! เชียงรายใช้แฟชั่นโชว์ยืนยันศักยภาพชายแดน

ปิดฉาก “Fashion on the Road” แม่สายเงินสะพัด 10 ล้าน ผ้าไทยบนถนนชายแดน ยกเครื่อง Soft Power เชียงราย หนุนวิสัยทัศน์ NEC

เชียงราย, 3 พฤศจิกายน 2568 — ผืนผ้าไทยสะบัดพลิ้วท่ามกลางสายลมจากแนวสันเขาแม่สาย ก่อนจะตกกระทบเลนส์กล้องนักท่องเที่ยวและผู้สื่อข่าวนับร้อย ณ บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา ในค่ำคืนที่เสียงปรบมือก้องยาวกว่าปกติ “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ประกาศปิดฉากอย่างงดงามเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานปิดงาน และประกาศผลผู้ชนะครบทั้ง 3 ประเภท ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ

งานปีนี้ไม่ได้ปิดเพียงไฟบนรันเวย์ แต่ปิดด้วย “ตัวเลข” ที่จับต้องได้ — เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท ตลอดห้วงการจัดงาน ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ต่อเส้นเลือดจากพื้นที่ชายแดนไปสู่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ช่างฝีมือผ้า และผู้ค้าใน “Premium Market” ร้อยบูธที่ขยับตัวตลอดวัน

Soft Power ที่ลงดิน จากลายผ้าล้านนาสู่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน

แก่นสำคัญของ “Fashion on the Road” คือการเลือก “ถนนชายแดน” เป็นรันเวย์ เปิดพื้นที่ให้ผ้าไทยและผ้าชาติพันธุ์พูดภาษาสากลได้ด้วยตัวเอง การจัดงานที่หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย ทำให้การแลกเปลี่ยนผู้คน สินค้า และวัฒนธรรม เกิดขึ้นแบบไร้รอยต่อ เมื่อผู้มาเยือนได้สัมผัสเนื้อแท้ของผืนผ้า ตั้งแต่แหล่งกำเนิด หัตถกรรม ไปจนถึงแฟชั่นร่วมสมัย ไม่ใช่ผ่านตู้กระจกในหอศิลป์ แต่ “บนถนนจริง” ที่การค้าจริงเกิดขึ้น

งานครั้งนี้ได้รับการขานรับจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จนเกิดอานิสงส์ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน ทั้งรายได้จากที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ภาษีท้องถิ่น ไปจนถึงยอดจำหน่ายจากบูธ Chiang Rai Premium Market ที่คัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และสินค้า Wellness รวมกว่า 100 บูธ มาตั้งเรียงยาวเคียงข้างเวที สะท้อนแนวคิด “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” ที่ออกแบบให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน

เวทีประกวด 3 หมวด คุณภาพงานออกแบบที่ยืนยันความเป็นนานาชาติ

หัวใจของค่ำคืนคือการประกาศผลรางวัล 3 ประเภท ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ดัชนีคุณภาพ” ของเวทีออกแบบในระดับภูมิภาค รายละเอียดดังนี้

  • ประเภทชุดลำลอง รางวัลชนะเลิศ Thaw Thazin Myanmar รับเงินรางวัล 100,000 บาท
    หมายเหตุ: อันดับ 2 Saw Kyaw Thuya Min (Myanmar) เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 นพรัตน์ ตาละสา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดทำงาน: รางวัลชนะเลิศ Team Sean มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 เรณู ศิลป์ท้าว เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 ทักษิณ มะลูลีม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดราตรี: รางวัลชนะเลิศ นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 รัตนาภรณ์ ธนเสรีธรรม วิทยาลัยการอาชีพป่าซาง จ.ลำพูน เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 จรณี แซ่ว่าง และ นันทนา แช่ชง วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เงินรางวัล 10,000 บาท
  • รางวัลพิเศษ The New Generation Creative Ward: นทฤทธ์ จินตกานนท์ จาก Wellington College International School Bangkok เงินรางวัล 10,000 บาท

ผลการตัดสินที่ “ชุดลำลอง” ตกเป็นของดีไซเนอร์จากเมียนมา ขณะที่ประเภทอื่น ๆ กระจายตัวอยู่ในสถาบันการศึกษาหลากหลายของไทย สะท้อน “DNA ข้ามพรมแดน” และ “เครือข่ายการเรียนรู้” ที่งานได้วางรากไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ สิ่งนี้ทำให้เวทีแม่สายไม่ได้เป็นเพียง “งานโชว์” แต่เป็น “สนามบ่มเพาะ” ที่เปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่และมืออาชีพได้ทดสอบงานจริงกับผู้ชมจริงและผู้ซื้อจริง

เชื่อมวิสัยทัศน์ NEC ถนนผืนผ้ากับระเบียงเศรษฐกิจเหนือ

งานปีนี้ชัดเจนขึ้นในบทบาทของตนต่อ NEC (Northern Economic Corridor) — ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือที่ตั้งใจยกระดับฐานเศรษฐกิจชายแดน จาก “ประตูการค้า” ไปเป็น “ชุมทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์” กลไกสำคัญคือ Soft Power ด้านผ้าไทย–แฟชั่น–งานออกแบบ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายผลักดันต่อเนื่องผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ผสาน ประเพณีล้านนา–ภูมิปัญญาท้องถิ่น–ผ้าชาติพันธุ์ กับรสนิยมร่วมสมัย เป็นภาษาการตลาดที่คนทั้งโลกเข้าใจและเต็มใจควักกระเป๋า

ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดการ “น้อมนำ” พระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน ทำให้หัตถศิลป์ผ้าไม่ถูกยึดติดอยู่ในตู้โชว์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “วิถีชีวิตที่ซื้อซ้ำได้” เมื่อพลังความภาคภูมิใจถูกเชื่อมเข้ากับช่องทางการตลาดและการออกแบบที่ร่วมสมัย

10 ล้านบาทที่ไหลเวียน ทำไมตัวเลขนี้สำคัญกว่า “ยอดขาย”

แม้ตัวเลข เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท จะสะดุดตาในเชิงประชาสัมพันธ์ แต่ความหมายที่ลึกกว่าคือ “คุณภาพการไหลเวียน” ของเงินภายในอีโคซิสเต็มแฟชั่น–ท่องเที่ยวชายแดน เงินก้อนนี้แตกตัวไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ — กลุ่มทอผ้า ช่างฝีมือ ผู้ค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม รถโดยสาร คนทำงานอีเวนต์ ไปจนถึงช่างภาพ–ครีเอเตอร์ท้องถิ่น

หากพิจารณา “มูลค่าในอนาคต” (future value) งานลักษณะนี้ยังสร้าง “ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม” ที่แปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริงในรอบปีถัดไป ทั้งการสั่งตัดชุด การสั่งซื้อสินค้าหัตถกรรมซ้ำ การกลับมาเที่ยวแม่สาย และการดึงดูดแบรนด์–สปอนเซอร์ที่สนใจวิถีแฟชั่น–ชุมชนอย่างจริงจัง

เสียงจากเวทีนโยบาย ผ้าหนึ่งผืน เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชุมชน

ในนามเจ้าภาพจังหวัด ฝ่ายจัดงานย้ำบทบาท “ถนนแฟชั่น” ที่ต้องคงความเป็นเวทีสาธารณะ เปิดกว้างให้ช่างฝีมือ–ดีไซเนอร์–นักเรียนสายออกแบบได้ทดลองงานและได้คำติชมจากตลาดจริง แนวทางนี้อยู่บนฐานคิด “สร้างอุปสงค์ด้วยความหมาย” เมื่อผู้สวมใส่รู้เรื่องราวของผืนผ้า—แหล่งที่มา เทคนิคการทอ สีธรรมชาติ ลวดลายชาติพันธุ์—ความยินดีที่จะจ่ายย่อมสูงขึ้น และนานขึ้น

การผลักดันเช่นนี้ไม่ใช่งาน “หรู–ไกลตัว” แต่คือเศรษฐกิจชุมชนที่เรียบง่ายและยั่งยืน ผ้าขายได้—ครอบครัวช่างฝีมือมีรายได้—เยาวชนเห็นอนาคตในท้องถิ่น—นักท่องเที่ยวกลับมา—ธุรกิจรายย่อยเติบโต—ภาษีท้องถิ่นเพิ่มขึ้น—รัฐมีทรัพยากรพัฒนาพื้นฐานต่อเนื่อง วงจรนี้คือคำจำกัดความของ “Soft Power ที่ลงดิน” อย่างแท้จริง

Premium Market ห้องเครื่องลับของการค้าแฟชั่น

คู่ขนานกับรันเวย์คือ “Chiang Rai Premium Market” ที่ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็น “โชว์รูม–ตลาด–ห้องเจรจา” ในคราวเดียวกัน การคัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และ Wellness มากกว่า 100 บูธ ทำให้ผู้ซื้อต่างจังหวัดและต่างชาติมีโอกาสเห็นสินค้าแท้และแหล่งผลิตในคราวเดียว ลดต้นทุนการค้นหา และเร่ง “วงจรการตัดสินใจซื้อ” ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ

ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงยอดขายหน้างาน แต่คือ “สายสัมพันธ์ทางธุรกิจ” ที่ต่อยอดไปสู่การสั่งผลิต การทำคอลเลกชันร่วม การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการวางขายในช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลตอบแทนระยะกลางที่มักสูงกว่ายอดขายทันทีในวันงาน

ความหมายเชิงการศึกษา ห้องเรียนมีชีวิตของดีไซน์รุ่นใหม่

รายชื่อผู้ชนะที่กระจายอยู่ในหลายสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, สถาบันอาชีวศึกษาในลำพูน–ลำปาง ตลอดจน Wellington College International School Bangkok ชี้ให้เห็นว่า “ห้องเรียนแฟชั่น” ของภาคเหนือ–กรุงเทพฯ–และต่างประเทศ เริ่มมาบรรจบกันที่ชายแดนแม่สาย

เวทีนี้ทำหน้าที่เสมือน “สตูดิโอภาคสนาม” ที่ให้ดีไซเนอร์ได้เห็นการตอบสนองของผู้ชมจริงต่อวัสดุจริง สีจริง แพตเทิร์นจริง—บทเรียนที่ไม่มีในห้องเรียน และเป็นชนวนให้เกิดการพัฒนาเชิงเทคนิคและการตลาดที่มีฐานความจริงรองรับ

ขยายเครือข่ายจากถนนชายแดนสู่แพลตฟอร์มการค้าเชิงสร้างสรรค์

เมื่อเส้นทาง “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” เริ่มเข้าที่ คำถามสำคัญคือ “จะทำอย่างไรให้มูลค่าต่อหน่วยสูงขึ้นและยั่งยืนขึ้น” แนวทางที่งานนี้วางไว้และควรต่อยอด ได้แก่

  1. คอลเลกชันร่วม (Co-creation) ระหว่างดีไซเนอร์รุ่นใหม่–กลุ่มทอผ้าชาติพันธุ์–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อสร้างสินค้าที่มีเรื่องเล่าร่วมและขายได้หลายฤดูกาล
  2. มาตรฐานคุณภาพและการรับรอง (Certification) สำหรับสินค้า GI และแบรนด์เชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นตลาดสากล
  3. ดาต้าท่องเที่ยว–การค้า ของงานในปีถัดไป เช่น จำนวนผู้เข้าชมซ้ำ อัตราการแปลงเป็นยอดสั่งผลิต เพื่อวัดผลเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ
  4. เชื่อม NEC กับโลจิสติกส์ชายแดน เพื่อให้การสั่งซื้อข้ามแดนสะดวกขึ้น ลดเวลา–ต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้ซื้อรายใหม่

เมื่อผ้าไทยเดินทางถึงชายแดน โลกก็เดินเข้าหาเชียงราย

การปิดฉาก “Fashion on the Road” ปีนี้ไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้แค่บนรันเวย์ แต่ทิ้ง “เส้นทาง” ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายเดินหน้าต่อ ตัวเลขเงินสะพัด 10 ล้านบาท คือสัญญาณของโครงสร้างที่เริ่มทำงาน — รัฐ–ท้องถิ่น–เอกชน–การศึกษา–ชุมชน ขับเคลื่อนในทิศเดียวกัน และยืนยันว่า Soft Power ที่จับต้องได้ เริ่มแปรสภาพเป็นรายได้ที่แบ่งปันกันได้

บนถนนชายแดนที่ผู้คนหลายภาษาเดินสวนกัน ผืนผ้าหนึ่งผืนทำหน้าที่เชื่อมวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจร่วม เมื่อรันเวย์ดับไฟลง เม็ดเงินยังไหลเวียนต่อ และเรื่องราวของเชียงรายยังเดินหน้า—จากแม่สายสู่ตลาดโลก—บนถนนสายเดิมที่ชื่อว่า “ความร่วมมือ”

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • พิธีปิดจัดขึ้น 2 พฤศจิกายน 2568 ณ หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย โดย รองผู้ว่าฯ นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ เป็นประธาน
  • งานสร้าง เงินสะพัดรวมกว่า 10 ล้านบาท จากแฟชั่นโชว์และ Premium Market กว่า 100 บูธ
  • ผลรางวัล 3 หมวด สะท้อนความเป็นนานาชาติ: Thaw Thazin (Myanmar) ชนะชุดลำลอง, Team Sean (มฟล.) ชนะชุดทำงาน, นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ (มทร.พระนคร) ชนะชุดราตรี และ นทฤทธ์ จินตกานนท์ คว้า The New Generation Creative Ward
  • งานตอบรับ NEC และแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” เชื่อมผ้าไทย–หัตถศิลป์–การท่องเที่ยวชายแดน สู่เวทีสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวท.เชียงราย กรมประชาสัมพันธ์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • ฝ่ายจัดงาน Fashion on the Road 3rd
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News