Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สทนช. ลุยเชียงราย! ปูพรมข้อมูล วางแผนปฏิบัติการเชิงรุก รับมือพายุ “วิภา”

เลขาฯ สทนช. นำทัพ “ระดม-ประเมิน-ยกระดับ” บริหารจัดการน้ำรับมือพายุ “วิภา” ปูพรมข้อมูล-เดินหน้าแผนปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  ท่ามกลางความผันผวนของสภาพอากาศและอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยในฤดูฝนปีนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. นำคณะทำงานบูรณาการระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่นลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างเข้มข้น มุ่งหน้ารวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์น้ำแบบรอบด้าน และยกระดับมาตรการบริหารจัดการน้ำในจุดเสี่ยงสำคัญ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประชุมใหญ่ “ระดมสรรพกำลัง” – วิเคราะห์น้ำท่วมเสี่ยงสูงลุ่มน้ำโขง

เมื่อเวลา 13.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 7/2568 โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานระดับชาติ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมควบคุมมลพิษ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รับฟังและพิจารณาข้อมูลสถานการณ์น้ำครอบคลุมทุกมิติ ทั้งรายงานแนวโน้มฝน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างในแม่น้ำหลักและลำน้ำสาขา คุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร รวมถึงความก้าวหน้าโครงการสำคัญ เช่น การขุดลอกลำน้ำสาย ลำน้ำกก และลำน้ำรวก ตลอดจนการวางมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อาทิ การพร่องน้ำ การระบายน้ำ และการตั้งจุดติดตามระดับน้ำ พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนที่เชื่อมโยงไทย-เมียนมา-ลาว

5 มาตรการเร่งด่วนตอบโจทย์การบริหารน้ำ “ยุคพายุ”

  1. ปรับปรุงการคาดการณ์ปริมาณฝน: สั่งการให้กรมอุตุนิยมวิทยาทบทวนแบบจำลองและฐานข้อมูลการคาดการณ์ฝนรายเดือนสำหรับสิงหาคม-กันยายน 2568 เป็นพิเศษ หลังปีที่ผ่านมาเกิดฝนสูงกว่าคาด และบางช่วงฝนน้อยเกินไป เพื่อให้แผนจัดการน้ำแม่นยำขึ้น
  2. วิเคราะห์ข้อมูลฝนระดับพื้นที่ย่อย: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา จัดทำข้อมูลอากาศและฝนอย่างละเอียดระดับพื้นที่ ส่งต่อให้จังหวัดและหน่วยปฏิบัติพื้นที่ เพื่อกำหนดจุดเฝ้าระวัง ปรับแผนระบายน้ำ วางมาตรการแจ้งเตือนแบบเฉพาะจุด ลดความเสี่ยงจากการใช้ค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ไม่สะท้อนสภาพจริงในพื้นที่ภูเขาและชายแดน
  3. แผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำสำคัญ: กำชับกรมชลประทานและ กฟผ. ร่วมวางแผนจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือ ยม และน่าน ให้คำนึงถึงปริมาณฝนจากพายุ “วิภา” ป้องกันกรณีปล่อยน้ำฉับพลันในช่วงฝนชุก
  4. เร่งพร่องน้ำกว๊านพะเยา: กำหนดแผนพร่องน้ำให้เสร็จทันก่อนฝนหนัก เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกและชุมชนในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568
  5. ปรับปรุงการรายงานคุณภาพน้ำ: กรมควบคุมมลพิษปรับเกณฑ์รายงานผลตรวจน้ำ เทียบมาตรฐาน FAO (สุขภาพ-การเกษตร) เสริมจากเกณฑ์น้ำผิวดินเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนต่อความปลอดภัยของน้ำกิน-น้ำใช้

ลงพื้นที่ “แม่สาย” – เจาะลึกจุดเสี่ยงลุ่มน้ำชายแดน

หลังประชุม ดร.สุรสีห์ และคณะได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ลำน้ำชายแดนซึ่งรับน้ำจากพื้นที่สูงและตะกอนจำนวนมากทุกปี เน้นโครงการขุดลอกตะกอนและกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำสาย-กก-รวก ซึ่งเป็น “เส้นเลือด” สำคัญของทั้งลุ่มน้ำโขง

มาตรการเร่งด่วนด้านการขุดลอกและบริหารจัดการลำน้ำเหล่านี้ จะช่วยให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ลดความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง เปิดทางให้ระบบแจ้งเตือนน้ำหลากทำงานได้แม่นยำขึ้น ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

 “เชียงรายต้นแบบจัดการน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ”

บทสรุปจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าใน “การวางแผนเชิงรุก” การเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ตลอดจนการปรับปรุงเกณฑ์การคาดการณ์และติดตามสถานการณ์อย่างละเอียด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือภัยน้ำหลากในยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ประเด็นวิเคราะห์เพิ่มเติม ได้แก่

  • การวางแผนบนฐานข้อมูลจริง: ช่วยให้ตัดสินใจการปล่อยน้ำ/พร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำได้แม่นยำ ลดความสูญเสียในพื้นที่ปลายน้ำ
  • บูรณาการข้อมูลข้ามพื้นที่-ข้ามหน่วยงาน: เสริมศักยภาพการตอบสนองภัยพิบัติอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีจุดเสี่ยงเฉพาะตัว
  • ระบบเตือนภัยทันสมัย: ป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเกษตร และสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ลุ่มต่ำ

อย่างไรก็ดี ความต่อเนื่องของงบประมาณ ซ่อมบำรุงเครื่องมือ และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องผลักดันต่อเนื่อง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะติดตามและสรุปรายงานสถานการณ์ รวมถึงสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับจังหวัดลุ่มน้ำโขง เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ในการเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์พายุ “วิภา” ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมชลประทาน
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กฤตศรัทธาพระสงฆ์! นิด้าโพลเผยสังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

นิด้าโพลชี้ชัด! “วิกฤตพระพุทธศาสนา” จุดเปลี่ยนศรัทธาไทย สังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

กรุงเทพมหานคร, 20 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ข่าวพระสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสมยังคงปรากฏบนหน้าสื่อแทบไม่ขาดสาย “ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ “วิกฤตพระพุทธศาสนา!” ซึ่งทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวพุทธทั่วประเทศ 1,310 ราย ระหว่างวันที่ 14–16 กรกฎาคม 2568 สะท้อนความวิตกกังวลของสังคมไทยที่ต้องการปฏิรูปและฟื้นฟูศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างจริงจัง

พระสงฆ์ตัดไม่ขาดทางโลก

ข้อมูลเชิงลึกจากผลโพล ระบุชัดว่าสาเหตุสำคัญที่กัดกินศรัทธาในพระพุทธศาสนา คือพฤติกรรมของพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ “ตัดไม่ขาดจากทางโลก” โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด เหล้า การพนัน ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว รวมถึงการแสวงหาลาภยศและหลงในวัตถุนิยมมากกว่าการมุ่งปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น (76.11% ให้ความเห็นเช่นนี้) ขณะที่อีกกว่า 45% มองว่า พระหลงในตำแหน่งและอำนาจ ทั้งยังมีอีกไม่น้อยที่เห็นว่าวัดกลายเป็น “พุทธพาณิชย์” เน้นธุรกิจ-ผลประโยชน์ มากกว่าการเป็นศูนย์รวมศรัทธา

ในประเด็นการบริหารจัดการวัดร้อยละ 27.63 เห็นว่าขาดความโปร่งใส ขณะที่อีก 25.42% สะท้อนว่าหน่วยงานรัฐและองค์กรดูแลศาสนา “ขาดประสิทธิภาพ” ในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาเหล่านี้

ศรัทธาต่อ “พระสงฆ์” ตกต่ำ แต่รากศรัทธาใน “ศาสนา” ยังมั่นคง

ท่ามกลางมรสุมข่าวฉาว พระสงฆ์ถูกลดศรัทธาลงอย่างชัดเจน – 58.40% ระบุว่าศรัทธาในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่อีก 41.60% ยังคงศรัทธาเท่าเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่ง 68.55% ยังศรัทธาในแก่นแท้ของศาสนาพุทธเท่าเดิม สะท้อนภาพ “ความมั่นคงของหลักธรรม” ท่ามกลางความเปราะบางของบุคคล

ประชาชนหนุน “กฎหมายเข้ม” สะสางพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ผลโพลชี้ชัดว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนสนับสนุนร่าง “พระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ที่จะกำหนดโทษทางกฎหมายทั้งกับพระและฆราวาสที่กระทำผิด เช่น

  • 80.76% เห็นด้วยกับโทษหนักต่อพระสงฆ์ที่ผิดปาราชิก
  • 63.00% เห็นด้วยต่อบทลงโทษพระอวดอุตริมนุสธรรม
  • 44.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน
  • 35.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้ล้อเลียนศาสนา

ขณะที่ประเด็นการลงโทษหญิง-ชายที่สมัครใจเสพเมถุนกับพระ กลับมีเพียง 17% ที่เห็นด้วยอย่างมาก สะท้อนความเห็นที่ยังหลากหลายในสังคม

รากปัญหา-แนวทางแก้ไข

จากผลสำรวจนี้สามารถสังเคราะห์แกนกลางของวิกฤตศรัทธาว่าเกิดจาก

  • พฤติกรรมส่วนบุคคลของพระสงฆ์: การตัดไม่ขาดจากทางโลก การหลงในอำนาจ วัตถุนิยม และการมองศาสนาเป็นอาชีพ มากกว่าเป็นภารกิจแห่งจิตวิญญาณ
  • องค์กรศาสนาอ่อนแอ: ระบบกำกับตรวจสอบพระสงฆ์ วัด และทรัพย์สินยังไร้ประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส
  • ช่องว่างระหว่างหลักธรรมกับการปฏิบัติ: ความเชื่อมั่นในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่ความศรัทธาต่อหลักคำสอนยังมั่นคง

สิ่งที่สังคมต้องการเห็นจากนี้คือ “กลไกจัดการ” ที่เข้มแข็ง – ทั้งการตรวจสอบภายในวัด องค์กรคณะสงฆ์และภาคประชาชนที่สามารถมีส่วนร่วมสอดส่องความโปร่งใส รวมถึงมาตรการทางกฎหมายที่บังคับใช้จริงจังสำหรับทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่มีส่วนสร้างภาพลบให้ศาสนา

ความท้าทาย – ก้าวต่อไป

การสำรวจนี้คือกระจกสะท้อนความคาดหวังของสังคมไทยในวันที่พระพุทธศาสนาอยู่บนทางแยกสำคัญ ถ้ารัฐบาลและองค์กรศาสนาไม่เร่งปฏิรูป–ฟื้นฟูมาตรฐานคุณธรรมของพระสงฆ์–สร้างระบบตรวจสอบโปร่งใส–และยกระดับการใช้กฎหมายที่จริงจัง วิกฤตศรัทธาย่อมยากจะคลี่คลาย

การฟื้นฟูศรัทธาให้กลับมาแข็งแรง ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่คือการสร้างวัฒนธรรมคุณธรรม-ธรรมาภิบาลในองค์กรศาสนา ตลอดจนเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและสื่อมีบทบาทในการตรวจสอบอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

TCEB – ม.แม่ฟ้าหลวง เปิดวิสัยทัศน์ “เชียงราย Tea and Coffee Destination” มุ่งสู่ความยั่งยืนระดับโลกด้วยนวัตกรรม

Chiang Rai Brewtopia 2025: ชูเชียงรายสู่ศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เมืองเชียงรายถูกแต่งแต้มด้วยเมฆฝนแห่งฤดูฝน อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของชาและกาแฟจากทั่วทุกมุมโลก งาน Chiang Rai Brewtopia (Green Season) 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEB ได้เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย งานนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทย แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่การเป็น “Tea and Coffee Hub of ASEAN” ที่พร้อมก้าวไกลในเวทีโลก

เรื่องราวของกลิ่นหอมที่เริ่มจากไร่สู่ถ้วย

ลองจินตนาการถึงเช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ บนดอยสูงของเชียงราย เกษตรกรท้องถิ่นอย่าง ลุงต๊ะ เดินฝ่าหมอกยามเช้าไปยังไร่ชาของเขา ใบชาสีเขียวขจีที่โบกไหวในสายลมคือความหวังของครอบครัวและชุมชน แต่ในอดีต ลุงต๊ะและเกษตรกรอีกหลายคนต้องเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การขาดแคลนแรงงาน หรือการเข้าถึงตลาดที่จำกัด วันนี้ งาน Chiang Rai Brewtopia 2025 ได้กลายเป็นแสงสว่างที่เปลี่ยนเรื่องราวของลุงต๊ะและเกษตรกรอีกนับพันให้มีโอกาสเติบโต

งานนี้เป็นมากกว่าการจัดแสดงสินค้า แต่เป็นเวทีที่เชื่อมโยงเกษตรกร ผู้ประกอบการ และนักลงทุนจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ผ่านกิจกรรมหลากหลายที่ครอบคลุมทุกมิติของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ ตั้งแต่ Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together ซึ่งเป็นการประชุมระดับนานาชาติเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม ไปจนถึงการจัดแสดงสินค้าจาก 40 ร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกิจกรรม Farm Visit: A Cup to Village ที่พานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกระบวนการผลิตชาและกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และ Workshop ที่มอบความรู้ให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.)

วิสัยทัศน์สู่ศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน

คุณภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กล่าวถึงความสำคัญของงานนี้ว่า “Chiang Rai Brewtopia 2025 เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางชาและกาแฟของอาเซียน ด้วยการสร้างเครือข่ายธุรกิจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ” งานนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้แสดงศักยภาพ แต่ยังช่วยยกระดับทักษะของเกษตรกรและสร้างโอกาสในการลงทุนระหว่างประเทศ

ด้าน ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เผยถึงวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของเชียงรายว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเชียงรายให้เป็น Chiang Rai Tea and Coffee Destination ที่ครบวงจร ทั้งการผลิต การแปรรูป และการจำหน่ายชาและกาแฟคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการค้าชาและกาแฟของประเทศไทยในอนาคต” สถาบันชาและกาแฟของ มฟล. ได้ทุ่มเททำงานวิจัยครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง IoT มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ความท้าทายและทางออกด้วยนวัตกรรม

อุตสาหกรรมชาและกาแฟของเชียงรายเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่ผันผวน การขาดแคลนแรงงาน หรือการแข่งขันในตลาดโลก ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ กล่าวว่า “เรากำลังนำเทคโนโลยีและงานวิจัยมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เช่น การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศ และการใช้เครื่องจักรทันสมัยรวมถึง IoT เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานและเพิ่มคุณภาพผลผลิต” นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเกษตรกรอย่างลุงต๊ะลดต้นทุน แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

นอกจากนี้ การจัดงานยังส่งเสริมแนวทางการเกษตรแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟ ด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เทคนิคการปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างแบรนด์ “เชียงราย” ให้เป็นที่จดจำในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงในระดับโลก

เชียงรายต้นแบบ MICE City และโอกาสทางเศรษฐกิจ

คุณภูริพันธ์ บุนนาค จาก TCEB เน้นย้ำว่า งานนี้เป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาเชียงรายสู่การเป็น MICE City ที่ใช้จุดแข็งของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเป็นตัวขับเคลื่อน “เชียงรายมีพื้นที่ปลูกกาแฟกว่า 40,000 ไร่ และชากว่า 20,000 ไร่ ซึ่งเป็นศักยภาพที่โดดเด่น งานนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ให้เกษตรกร แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจและการลงทุนจากต่างชาติ”

งานนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยมีการร่วมมือกับเมืองหางโจว ประเทศจีน และชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งช่วยยกระดับงานให้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การลงนาม MOU ระหว่าง TCEB กับสมาคมด้าน MICE ของจีนในเดือนกันยายน 2568 จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง MICE ของภูมิภาค

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ผลลัพธ์และอนาคตที่ยั่งยืน

Chiang Rai Brewtopia 2025 ไม่เพียงเป็นงานที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปของไทย ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่:

  • การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้: เกษตรกรและผู้ประกอบการได้รับการฝึกอบรมผ่าน Workshop และการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ
  • การสร้างเครือข่ายธุรกิจ: การเชื่อมโยงผู้ประกอบการท้องถิ่นกับนักลงทุนและผู้ซื้อจากต่างประเทศ ช่วยขยายโอกาสทางการค้า
  • การส่งเสริมความยั่งยืน: การนำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการผลิต ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น: การจัดงานดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ สร้างรายได้ให้กับชุมชนในเชียงรายผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภค

ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ มองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำไปปฏิบัติจริงในวงกว้าง เพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม

“พื้นที่ของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ปลูกและผลิตชา-กาแฟที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนะคะ” ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ต่อคนในท้องถิ่น “สินค้าตัวนี้สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรหรือผู้แปรรูปในพื้นที่ ดังนั้น ความยั่งยืนจึงต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพราะมันคือรายได้และเศรษฐกิจของคนในพื้นที่”

การจัดงานแสดงสินค้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้คนภายในจังหวัด คนต่างถิ่น และชาวต่างชาติ รู้จักและเข้าใจในศักยภาพของชาและกาแฟจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้มีรายได้อย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายให้เติบโตอย่างมั่นคง

 

ในท้ายที่สุด งาน Chiang Rai Brewtopia 2025 ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหอมกรุ่นของชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน ด้วยนวัตกรรม ความยั่งยืน และความร่วมมือระดับโลก อนาคตของลุงต๊ะและเกษตรกรในเชียงรายกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่ด้วยความหวังและโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ข้อมูลบางส่วนได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.)

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEB: www.tceb.or.th
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, สถาบันชาและกาแฟ: www.mfu.ac.th
  • ข้อมูลจากงานแถลงข่าว Chiang Rai Brewtopia (Green Season) 2025, 18 กรกฎาคม 2568
  • รายงานอุตสาหกรรมชาและกาแฟแห่งประเทศไทย, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2567
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านชาและกาแฟ, สถาบันวิจัยชาแห่งประเทศจีน, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายก นก” ลุยเอง! อบจ.เชียงรายเสริมแกร่งป้องกันน้ำท่วม เร่งเตรียมพร้อมรับมือพายุ

อบจ.เชียงราย “นายก นก” ลงพื้นที่เทิง เร่งมอบบิ๊กแบ็ค-สร้างทางเบี่ยง สั่งเตรียมพร้อมเต็มสูบรับมือ “พายุวิภา”

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ลงพื้นที่เชิงรุก ตอบโจทย์ภัยพิบัติ: อบจ.เชียงราย-ผู้นำท้องถิ่นเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเทิง กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าการเตรียมรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนปีนี้ เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย หรือ “นายก นก” เดินหน้านำทีมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งจัดการสถานการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยและมีแนวโน้มสร้างฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ

เร่งมอบบิ๊กแบ็ค – เสริมแนวป้องกันชุมชนเวียงเทิง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายก นก พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง ได้แก่ นายอาทิตย์ รู้ทำนอง (เขต 1), นายสุชัด เสนคำ (เขต 2), นายประจวบ แก้วข้าว (เขต 3) และเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านตั้งข้าว หมู่ 2 และหมู่ 14 ตำบลเวียง เทศบาลตำบลเวียงเทิง เพื่อมอบกระสอบบิ๊กแบ็คแก่ประชาชน โดยมีนายเอนก ปัญทะยม นายอำเภอเทิง และนายสิงห์ทอง หนุนนำศิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เป็นตัวแทนรับมอบ

นายก นก เปิดเผยกับประชาชนว่า “อบจ.เชียงราย ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในฤดูฝนนี้ เรามุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงได้เร่งมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม หวังว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตได้อย่างทันท่วงที”

กระสอบบิ๊กแบ็คที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ จะถูกนำไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำและเตรียมการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

ลุยสร้างทางเบี่ยง – รับมือปัญหาน้ำป่า “ลำน้ำหงาว”

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายก นก และคณะเดินทางต่อไปยังบ้านปางค่า หมู่ 8 ตำบลหงาว อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทางเบี่ยงขาดและชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้

อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักช่างเร่งนำเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการสร้างทางเบี่ยงชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการวางกระสอบบิ๊กแบ็คบรรจุทรายตลอดแนวตลิ่งลำน้ำหงาว ป้องกันการพังทลายและลดผลกระทบในระยะยาวต่อเส้นทางการสัญจรและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่าทางเบี่ยงใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2 วันนี้

นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในอำเภอเทิง เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ

 “อบจ.เชียงราย” เดินหน้าทำงานเชิงรุก สร้างความมั่นใจชาวบ้าน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอบจ.เชียงราย ที่สามารถเคลื่อนตัวและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม หลายประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ในระดับท้องถิ่น ได้แก่

  • การตอบสนองฉับไว: ทันทีที่มีรายงานผลกระทบ อบจ.เชียงรายสามารถจัดสรรและมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค รวมถึงนำเครื่องจักรกลลงพื้นที่ทันที เป็นการสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ประชาชนในยามวิกฤต
  • การเตรียมพร้อมล่วงหน้า: การมอบกระสอบบิ๊กแบ็คให้กับชุมชนเสี่ยงน้ำท่วม ช่วยให้ชาวบ้านมีเครื่องมือรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะมาถึง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดความเสียหาย
  • การแก้ปัญหาที่ตรงจุด: การสร้างทางเบี่ยงชั่วคราวหลังน้ำป่าหลาก ช่วยให้การเดินทางของชาวบ้านไม่สะดุด และลดผลกระทบในชีวิตประจำวัน
  • การสื่อสารเชิงบวกและสร้างขวัญกำลังใจ: คำมั่นของ “นายก นก” ที่ประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่า อบจ.จะไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความสามัคคีในชุมชน
  • การบูรณาการทุกภาคส่วน: ความร่วมมือระหว่างอบจ., สมาชิกสภา, นายอำเภอ, เทศบาลตำบล สะท้อนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

ข้อควรจับตาต่อไป

  • การซ่อมแซมถาวรในระยะยาวจำเป็นต้องวางแผนใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ
  • ต้องประเมินและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
  • การเสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมชุมชนให้พร้อมรับมือและช่วยเหลือตนเองในภาวะฉุกเฉิน จะทำให้เชียงรายสามารถรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

วิเคราะห์สถานการณ์

การดำเนินงานของอบจ.เชียงรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของผู้นำท้องถิ่นในการปกป้องและดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมุ่งเน้นทำงานเชิงรุกและบูรณาการทุกฝ่ายถือเป็นต้นแบบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่จะสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับประชาชนเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง
  • อำเภอเทิง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา สืบสานพระราชปณิธานยั่งยืน

ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงศูนย์รวมดวงใจแห่งการรำลึกและสืบสานพระราชปณิธาน

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา แสดงความกตัญญูในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ บรรยากาศที่อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย เต็มไปด้วยความสงบและความศรัทธา เมื่อคณะผู้บริหารจังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, ข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้นำชุมชน, และประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์ มาร่วมพิธี “ทานหาแม่ฟ้าหลวง” เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “แม่ฟ้าหลวง” ของชาวไทยภูเขา

พระราชกรณียกิจจากวิสัยทัศน์สู่ต้นแบบการพัฒนาโลก

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของปัญหายาเสพติด ความยากจน และการทำลายป่า

ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเห็นว่าการ “ให้โอกาส” สำคัญกว่าการลงโทษ พระราชดำรัส “คนดีไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่เขาไม่มีโอกาส ไม่มีทางเลือก” กลายเป็นปรัชญาสำคัญของโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มุ่งเน้นการให้ทางเลือกอาชีพและความมั่นคงในชีวิตแก่ชาวบ้าน โดยเชื่อว่าหากมีอาชีพและสุขภาพที่ดี ก็จะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนและความไม่รู้

จุดเปลี่ยนแห่งดอยตุงจาก “สามเหลี่ยมทองคำ” สู่ต้นแบบความยั่งยืน

เมื่อครั้งพระองค์เสด็จฯ ถึงดอยตุงในปี 2530 พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอย่างหนัก ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์กว่า 29 หมู่บ้านขาดโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม พระองค์ทรงมีพระราชดำริ “ตกลงจะมาสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ฉันก็จะไม่มา” สะท้อนพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ให้เป็น “บ้าน” ที่มีทั้งป่าและผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

โครงการพัฒนาดอยตุงแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ:

  • ระยะ “อยู่รอด” สนองความต้องการพื้นฐาน
  • ระยะ “พอเพียง” ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและยกระดับอาชีพ
  • ระยะ “ยั่งยืน” มุ่งสร้างชุมชนที่บริหารจัดการตนเองได้

สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 30 ปีคือป่าไม้ดอยตุงขยายจาก 28% เป็น 77% (หรือ 87% ในบางช่วงเวลา) พื้นที่ที่เคยปลูกฝิ่นกลายเป็นพื้นที่เกษตร วิสาหกิจชุมชน และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า เร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 3 เท่า จนยูเอ็นและ UNODC ยอมรับให้ “ดอยตุงโมเดล” เป็นแบบอย่างของโลกในการแก้ปัญหายาเสพติดและพัฒนาชนบทแบบครบวงจร

สะท้อนรากเหง้าความกตัญญูและพลังศรัทธาชุมชน

พิธีทานหาในวันนี้ถือเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกร โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา ซึ่งต่างยกย่องพระองค์ว่า “แม่ฟ้าหลวง” หรือ “แม่ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเพราะพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์ เช่น การจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสา (พอ.สว.) เพื่อดูแลผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบุกเบิกโครงการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด (บ้านผาหมี) การพัฒนาอาชีพ สร้างโรงเรียน สร้างสาธารณูปโภค และก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ของภาคเหนือ

ในพิธีทานหา บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคารพและความกตัญญูยิ่งยวด เมื่อคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา และอาจารย์นคร พงษ์น้อย ได้นำถวายเครื่องราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ ท่ามกลางการร่วมแรงร่วมใจของข้าราชการ ผู้นำชุมชน และเยาวชนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นว่าสายใยแห่งความผูกพันระหว่าง “แม่ฟ้าหลวง” กับประชาชนยังคงเหนียวแน่น ไม่เสื่อมคลาย

พระราชมรดกที่ยังคงขับเคลื่อนสังคมและชุมชน

นอกเหนือจากโครงการพัฒนาดอยตุง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังมีพระราชกรณียกิจมากมายในเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี หรือแม้แต่การริเริ่มโครงการต้นแบบด้านการจัดการขยะเป็นศูนย์ ส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมล้านนา (อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง) และผลักดันผลิตภัณฑ์ “ดอยตุง” สู่ตลาดโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังคงดำเนินการสืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมโมเดล “ธุรกิจที่ทำให้โลกดีขึ้น” ขยายผลสู่การพัฒนาชุมชนในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้หลักการ “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” และ “ชุมชนต้องช่วยเหลือตัวเองได้”

พระราชมรดกเพื่ออนาคตและแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนา

ปรัชญา “ช่วยชาวบ้านให้ช่วยตัวเอง” ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงวางรากฐานไว้ กลายเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างองค์รวม หรือการสร้างโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจ “ดอยตุงโมเดล” ไม่ได้หยุดอยู่แค่เชียงราย แต่ขยายผลไปยังประเทศเพื่อนบ้านและกลายเป็นกรณีศึกษาของโลกในเวทีสหประชาชาติ

พระราชกรณียกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ “การปลูกป่า ปลูกคน” ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน ตอกย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการให้โอกาส มองเห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวคน เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

พิธีทานหาแม่ฟ้าหลวงในวันนี้ คือการยืนยันถึงพระราชมรดกอันทรงคุณค่าของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชน ผู้บริหาร นักพัฒนา และประชาชนทุกหมู่เหล่า ตราบจนวันนี้และตลอดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • รายงานสรุปโครงการพัฒนาดอยตุงฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เซ็นทรัล เชียงรายผนึกเรือนจำกลาง! เปิด “ลอกคลองเพื่อชุมชน” สร้างโอกาสใหม่ผู้ต้องขัง แก้วิกฤตน้ำท่วม

เซ็นทรัล เชียงราย ผนึกเรือนจำกลาง เปิดโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” สร้างโอกาสใหม่ผู้ต้องขัง แก้วิกฤติน้ำท่วม

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมกำลังเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริง ด้วยการเปิดตัวโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” ที่ไม่เพียงแต่มุ่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางเชียงราย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

เรื่องราวของโครงการนี้เริ่มขึ้นจากการสังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพื้นที่โดยรอบศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากระบบระบายน้ำที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทำให้ร่องระบายน้ำตื้นเขิน เต็มไปด้วยตะกอนและเศษขยะ

ผู้บริหารเซ็นทรัล เชียงราย ตระหนักดีว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว จึงได้มองหาพันธมิตรที่เหมาะสมในการดำเนินงาน และเมื่อมองไปที่เรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งมีผู้ต้องขังที่ต้องการโอกาสในการพัฒนาทักษะและสร้างรายได้ ก็เกิดเป็นแนวคิดที่จะสร้างประโยชน์ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

วันสำคัญของการส่งมอบโอกาส

ในช่วงเช้าของวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 บรยากาศในบริเวณเรือนจำกลางจังหวัดเชียงรายมีความพิเศษแตกต่างจากทุกวัน เมื่อคุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนมากมาย

การมอบเงินสนับสนุนโครงการจำนวน 10,000 บาท แด่คุณนวรัตน์ จันทร์จิเรศรัศมี นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ไม่ใช่เพียงการส่งมอบเงินทุน แต่เป็นการส่งมอบความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้ต้องขังที่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม

ขอบเขตและเป้าหมายของโครงการ

โครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” มีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม กิจกรรมหลักคือการทำความสะอาดและขุดลอกร่องระบายน้ำสาธารณะเป็นระยะทางยาวกว่า 450 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ทำงานรวม 1,800 ตารางเมตร ซึ่งเป็นบริเวณโดยรอบศูนย์การค้าที่มีความสำคัญต่อการระบายน้ำของพื้นที่

การดำเนินงานจะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน เริ่มจากการสำรวจพื้นที่ วางแผนการทำงาน การเตรียมอุปกรณ์ จนถึงการขุดลอกและทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะใช้แรงงานจากผู้ต้องขังที่ผ่านการคัดเลือกและมีความเหมาะสมในการทำงานประเภทนี้

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงทัศนียภาพของพื้นที่ให้สวยงาม การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง

มิติใหม่ของการฟื้นฟูผู้กระทำผิด

หากมองในมุมของการฟื้นฟูและพัฒนาผู้ต้องขัง โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่น่าสนใจ เพราะไม่ได้เน้นเพียงการให้งานทำ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์การทำงานที่มีความหมายและส่งผลดีต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

คุณสายัณห์ นักบุญ ได้อธิบายปรัชญาเบื้องหลังโครงการว่า “เซ็นทรัล เชียงราย มีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการตอกย้ำความร่วมมืออันดีกับเรือนจำกลางเชียงราย ในการสร้างโอกาสและมอบกำลังใจให้กับผู้ต้องขัง เราเชื่อว่าการให้โอกาสคือการสร้างอนาคตที่ดีให้กับสังคม”

ความคิดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จากการมองผู้ต้องขังเป็นภาระของสังคม กลายเป็นการมองเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม หากได้รับโอกาสและการพัฒนาที่เหมาะสม

ความต่อเนื่องของการร่วมมือ

โครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” ไม่ใช่การเริ่มต้นความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัล เชียงราย กับเรือนจำกลางเชียงราย แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

การสนับสนุนที่สำคัญคือการมอบพื้นที่พิเศษ ณ ชั้น G โซน Northern Village (นอร์เทิร์น วิลเลจ) ให้เรือนจำกลางเชียงรายนำผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขังมาจัดจำหน่ายโดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้และส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับผู้ต้องขัง

การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ต้องขังมีรายได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจและศักดิ์ศรีในตนเอง เมื่อพวกเขาเห็นว่าผลงานของตนเองได้รับการยอมรับจากสังคมและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การสนับสนุนแบบ 360 องศา

สำหรับกิจกรรมลอกคลองในครั้งนี้ เซ็นทรัล เชียงราย ไม่ได้ให้การสนับสนุนเพียงด้านการเงินเท่านั้น แต่เป็นการสนับสนุนแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นค่าดำเนินการจ้างแรงงานผู้ต้องขัง การจัดเตรียมอาหารกลางวันและเครื่องดื่มตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงาน รวมถึงการอำนวยความสะดวกและดูแลด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด

การดูแลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความเป็นมนุษย์ในการดำเนินโครงการ เพราะการให้ผู้ต้องขังออกมาทำงานนอกกำแพงเรือนจำไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการประสานงานและดูแลอย่างรอบคอบในทุกด้าน

ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม

เมื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการนี้ในระยะสั้นและระยะยาว จะพบว่ามีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหลายมิติ

ในระยะสั้น การขุดลอกคลองจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบธุรกิจของคนในพื้นที่ การปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำขัง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับชุมชน

ในระยะยาว การสร้างโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมจะช่วยลดอัตราการกลับมากระทำผิดซ้ำ เนื่องจากพวกเขาได้รับการพัฒนาทักษะ สร้างความมั่นใจ และรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าและสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้

นอกจากนี้ โครงการยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับองค์กรอื่นๆ ในการดำเนิน CSR ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ

ความท้าทายและข้อจำกัด

แม้โครงการนี้จะมีเป้าหมายที่ดี แต่ก็มีความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา การทำงานกับผู้ต้องขังต้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ

การสร้างความเข้าใจกับชุมชนเกี่ยวกับการให้ผู้ต้องขังออกมาทำงานก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เนื่องจากอาจมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย แม้ว่าผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการจะผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม

ทิศทางอนาคตของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เซ็นทรัล เชียงราย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” จะเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ และสร้างเป็นเครือข่ายการทำงานเพื่อสังคมที่แข็งแกร่ง

การมองการพัฒนาแบบองค์รวมที่คำนึงถึงทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างโอกาสทางสังคม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกกลุ่ม เป็นแนวทางที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและเท่าเทียมมากขึ้น

โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อภาคเอกชนและภาครัฐทำงานร่วมกันด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและวิธีการที่เหมาะสม สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม และที่สำคัญคือการสร้างความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้คนที่สังคมมักจะมองข้าม

สำหรับจังหวัดเชียงรายและประชาชนในพื้นที่ โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาการระบายน้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรัง แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • เรือนจำกลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ตำนานเชียงราย! ภัตตาคารยูนนานฝ่าวิกฤต สร้างรสชาติแท้รับปีทองไทย-จีน

“ภัตตาคารยูนนาน หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของทายาทรุ่นสอง สร้างตำนานอาหารจีนยูนนานแท้ที่เชียงราย ในปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ในปีที่ไทยและจีนเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ที่ขนานนามว่า “ปีทองแห่งมิตรภาพ” (Golden Year of Friendship) มีเรื่องราวหนึ่งที่สะท้อนถึงพลังแห่งการฟื้นคืนและความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีน ผ่านหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ “นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์” ทายาทรุ่นที่ 2 ของ “ภัตตาคารยูนนาน” ร้านอาหารจีนยูนนานเก่าแก่คู่เมืองเชียงรายกว่า 35 ปี ที่ประสบความสำเร็จในการดำรงรสชาติแท้และวัฒนธรรมจีนท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ

วิกฤตที่หลอมรวมจิตวิญญาณบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นแบบครอบครัว

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563-2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบความอดทนของธุรกิจอาหารทั่วโลก ภัตตาคารยูนนานก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น “ร้านต้องปิดให้บริการนานถึง 2 เดือน รายได้หดหายไปเกือบทั้งหมด แต่ค่าใช้จ่ายยังคงเดิม” คุณนิธิพงษ์เล่าถึงสถานการณ์ในวันนั้นด้วยความทรงจำอันหนักหนา

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในช่วงวิกฤตนี้ คือการจัดการที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของความเป็นครอบครัว “ผมพยายามช่วยกันประคับประคองพนักงานเท่าที่ทำได้ บางคนให้ช่วยปรับปรุงร้าน หรือช่วยจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ ส่วนคนที่ไม่สะดวกก็ต้องให้พักงานไปก่อน บางคนก็ขอกลับบ้านไปทำสวน พอสถานการณ์ปกติก็กลับมาทำงานด้วยกันครับ”

ไม่นานหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ภัตตาคารต้องเผชิญกับอีกหนึ่งบททดสอบครั้งใหญ่ คือวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเชียงราย “หลังจากน้ำลด ร้านเราใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะกลับมาเปิดได้ปกติครับ เพราะต้องซ่อมแซมหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์ในครัว พื้นร้าน และระบบไฟฟ้าที่เสียหายทั้งหมดเลยครับ”

ความท้าทายที่มาพร้อมกับวิกฤตน้ำท่วมนี้ กลับเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างชัดเจน “ช่วงนั้นพนักงานที่ได้รับผลกระทบก็ให้กลับบ้านไปซ่อมแซม ทำความสะอาดบ้าน ส่วนคนที่ไม่ได้รับผลกระทบก็มาช่วยกันทำความสะอาดและซ่อมร้านด้วยกันครับ”

เชียงรายประตูสู่มิตรภาพไทย-จีนและศูนย์กลางวัฒนธรรมยูนนาน

การเลือกเชียงรายเป็นฐานของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “เริ่มจากความชอบทำอาหารและความหลงใหลในอาหารจีนของคุณพ่อ ประกอบกับเชียงรายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ทั้งภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมที่หลากหลาย และประชากรที่เปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ”

ในบริบทของปี 2568 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เชียงรายได้รับการยอมรับในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือไทย-จีน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภาสกร บุญญะลักษณ์ เคยกล่าวว่า “ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่จะได้รับประโยชน์จากโอกาสต่างๆ”

จังหวัดเชียงรายมีประวัติศาสตร์ความเชื่อมโยงกับชุมชนชาวจีนยูนนานมายาวนาน และในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจสำคัญภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

ถอดรหัสเอกลักษณ์ความแตกต่างของอาหารยูนนานที่ไม่เหมือนใคร

อาหารยูนนานมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากอาหารจีนภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “อาหารยูนนานมีรสชาติที่กลมกล่อมแต่ชัดเจน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การใช้สมุนไพรจีน การหมักดอง และกลิ่นหอมของพริกแห้งหรือผักพื้นบ้านที่หาได้จากแถบยูนนาน”

เมนูเด็ดที่เป็นตัวแทนของร้าน คือ “ขาหมูน้ำแดงยูนนาน” ซึ่งคุณนิธิพงษ์อธิบายกรรมวิธีการทำด้วยความภาคภูมิใจว่า “เมนูนี้สะท้อนรากวัฒนธรรมการกินของชาวจีนยูนนานได้อย่างลึกซึ้ง เราใช้เวลาตุ๋นนานหลายชั่วโมงจนหนังและเนื้อเปื่อยนุ่ม รสชาติกลมกล่อม หอมสมุนไพร และเสิร์ฟพร้อมหมั่นโถวนึ่ง อร่อยกลมกล่อมมากครับ”

ในด้านการคัดเลือกวัตถุดิบ ภัตตาคารยูนนานนำเสนอแนวทางการผสมผสานระหว่างความเป็นสากลกับการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น “เรานำเข้าวัตถุดิบบางตัวจากจีน เช่น พริกหอม และเครื่องเทศบางชนิด แต่เราก็ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นของเชียงรายด้วย เช่น ผักสด เนื้อสด และเครื่องเทศ เพราะเราอยากสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ด้วย”

บรรยากาศวัฒนธรรมส่งผ่านประสบการณ์จีนผ่านทุกรายละเอียด

การเข้าใจถึงความสำคัญของ “ประสบการณ์รวม” ทำให้ภัตตาคารยูนนานให้ความสำคัญกับการตกแต่งและบรรยากาศอย่างมีเอกลักษณ์ “ร้านตกแต่งสไตล์จีน โดยเน้นโทนสีแดงและทองซึ่งสื่อถึงความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองตามความเชื่อของชาวจีน เสริมด้วยประติมากรรมมังกรและหงส์ที่คุณพ่อให้ช่างท้องถิ่นปั้นด้วยมืออย่างประณีต ซึ่งอยู่คู่กับร้านมานานกว่า 35 ปี กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม”

คุณนิธิพงษ์มองว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่รสชาติอาหารเท่านั้น “ผมอยากให้ลูกค้ารู้สึกถึงรสชาติอาหารจีนแท้ๆ และการได้มาทานอาหารที่ให้ความรู้สึกเหมือนทานอยู่ที่บ้าน แล้วใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในมื้ออาหารสุดพิเศษ รวมถึงการต้อนรับแบบเป็นกันเอง และเรื่องราวของอาหารแต่ละจานครับ”

การปรับตัวสู่ยุคใหม่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่

ในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ คุณนิธิพงษ์ได้พัฒนาเมนูใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว “ทางร้านจึงได้เพิ่มเมนูสุกี้ยูนนาน ซึ่งเป็นอาหารที่เน้นผัก และใช้ไก่ดำในการต้มซุป ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นเมนูที่อยากให้สายสุขภาพได้ลองครับ”

การปรับตัวนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมกับการตอบสนองความต้องการใหม่ๆ

โอกาสทางธุรกิจในปีทองแห่งมิตรภาพ

ในบริบทของปี 2568 ที่ประเทศไทยและจีนกำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพ” คุณนิธิพงษ์มองเห็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ชัดเจน “ความท้าทายหลักคือการทำให้คนรู้จักและเข้าใจอาหารจีนยูนนาน เพราะบางคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะเชียงรายเป็นเมืองที่เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าทำให้ดี คนจะบอกต่อกันเองครับ”

การที่รัฐบาลไทยและจีนได้ลงนาม “ข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและการสร้างชุมชนไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน” ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-จีน

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการสร้างสะพานเชื่อมวัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “people-to-people connectivity” ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative

จากการศึกษาของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พบว่าชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย กลายเป็นกลุ่มศูนย์กลางสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในพื้นที่ภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative

มรดกแห่งรสชาติและแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการ

“อยากชวนทุกท่านมาเปิดใจลองอาหารยูนนานครับ หวังว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และความอบอุ่นเหมือนได้ไปประเทศจีนจริงๆ” คุณนิธิพงษ์กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มที่สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของกิจการ

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เพียงเรื่องราวของร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เป็นตัวอย่างของการสานต่อมรดกวัฒนธรรม การปรับตัวเผชิญวิกฤต และการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไทย-จีนในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

ในปีที่ทั้งไทยและจีนเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งมิตรภาพ เรื่องราวของคุณนิธิพงษ์และภัตตาคารยูนนานเป็นเครื่องยืนยันว่า ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศไม่ได้เกิดขึ้นจากการเจรจาระดับรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในระดับชุมชน ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องนานหลายทศวรรษ

17 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ ประเทศจีน เข้ามาที่ภัตตาคารยูนนาน เชียงราย

ข้อมูลติดต่อ:

  • ภัตตาคารยูนนาน
    นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์
    211/6 ถ.แควหวาย ต.รอบเวียง
    อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
    โทร. 086-429-7949 , 053-713-263, 053-714-992

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Yunnan Restaurant ภัตตาคารยูนนาน
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการจีนโพ้นทะเล กระทรวงการต่างประเทศ
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
  • สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
  • ศูนย์ศึกษาจีน คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • สำนักข่าวสินหัว (เอเชียพลัส)
  • องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • หอการค้าไทย-จีน
  • สมาคมผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เฉลิมฉลอง 10 ปีความร่วมมือ! มฟล. จัด Global Coffee and Tea Forum ยกระดับเชียงราย

ม.แม่ฟ้าหลวง เปิดเวทีใหญ่ “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” ดันเชียงรายสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟโลก

เชียงราย, 17 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายชูศักยภาพ “Tea & Coffee Destination” พลิกบทบาทสู่เวทีโลก กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลก เมื่อสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จับมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และบริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดฉากงานประชุมและนิทรรศการนานาชาติ “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท กำหนดจัดต่อเนื่องถึง 20 กรกฎาคมนี้ มุ่งปลุกกระแสใหม่ให้เชียงรายก้าวสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมชา-กาแฟระดับอาเซียนและระดับโลก

เชียงราย ก้าวสู่ “Tea and Coffee Destination” ระดับโลก

เป้าหมายหลักของงานในครั้งนี้ คือการวางรากฐานให้เชียงรายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่ตอบโจทย์ทั้งในฐานะแหล่งผลิต แปรรูป และค้าชา-กาแฟคุณภาพสูง รวมถึงเป็นจุดศูนย์กลางเทศกาลและงานประชุมระดับนานาชาติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี ได้กล่าวต้อนรับผู้แทนและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศ พร้อมย้ำถึงบทบาทสำคัญของเชียงรายที่เป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟอันดับต้นๆ ของไทย

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี มฟล. กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยเน้นถึงโอกาสครั้งสำคัญที่สถาบันฯ ได้เป็นเจ้าภาพประชุมระดับโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ของเชียงรายในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มฟล. ในฐานะผู้จัดงาน กล่าวว่า จุดมุ่งหมายสำคัญคือการผนึกกำลังระหว่างรัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมชา-กาแฟไทยให้ก้าวไกล เชื่อมต่อเครือข่ายกับผู้ประกอบการ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

ลงนาม MOU วิจัยชาจีน-ไทย จุดเปลี่ยน 10 ปี สู่อนาคตอุตสาหกรรม

หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานปีนี้คือ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับสถาบันวิจัยชาสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งความร่วมมือทางวิชาการ (2015-2025) ที่เกิดขึ้นระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มฟล. กับสถาบันวิจัยชาแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรจีน (Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences) การจับมือครั้งนี้จะเป็นการปูทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วิจัย และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ และขยายผลความร่วมมือสู่ภูมิภาค

กิจกรรมเข้มข้น 4 วัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระดับโลก

งานประชุม “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” มีการออกแบบกิจกรรมที่เข้มข้นต่อเนื่องตลอด 4 วันเต็ม:

  • วันที่ 18 กรกฎาคม 2568: จัดประชุมโต๊ะกลม “Shaping Future Together” และทัศนศึกษาไร่ชาชุยฟง เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมนิทรรศการชาและกาแฟ
  • วันที่ 19-20 กรกฎาคม 2568: งานแสดงสินค้าชา-กาแฟ ณ อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง และกิจกรรม “A Cup to Village” ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์จากไร่ชาจริง

ภายในงานยังมีเวทีบรรยายพิเศษโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ ศาสตราจารย์ Ming Zhe Yao จากสถาบันวิจัยชาจีน (China Tea Research Institute), คุณชัยพัฒน์ จาตุรงค์กุล ผู้อำนวยการสิงห์ปาร์คเชียงราย, คุณ Sharyn Johnston จากสมาคมผู้เชี่ยวชาญชาออสเตรเลีย รวมถึงผู้แทนจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่มาถ่ายทอดความสำเร็จในระบบนิเวศกาแฟดอยตุง

นอกจากนี้ยังมีสมาคมกาแฟและชาจากญี่ปุ่น เดนมาร์ก อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เมียนมาร์ และผู้ประกอบการชั้นนำทั่วอาเซียน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับภูมิภาคและสากล

ปักหมุด “เชียงรายฮับชา-กาแฟ” ผลักดันเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค

การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะยกระดับสถานะของเชียงรายบนเวทีโลกแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่ ด้วยภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่เพาะปลูกชา 91,541 ไร่ (68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ) และพื้นที่กาแฟกว่า 54,000 ไร่ (25% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ) ประกอบกับประสบการณ์และนวัตกรรมของผู้ประกอบการในพื้นที่ เชียงรายจึงพร้อมก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางชา-กาแฟของเอเชีย”

แนวโน้มของอุตสาหกรรมในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตที่ยั่งยืน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากการวิจัยและนวัตกรรม ไปจนถึงการจัดงานเทศกาลชา-กาแฟระดับนานาชาติที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ตรงในเชียงราย

โอกาสทองของเชียงรายบนเวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์

งาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” สะท้อนความสำเร็จของการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน วิชาการ และประชาสังคม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับเชียงราย ไม่ใช่แค่ “แหล่งผลิตวัตถุดิบ” แต่เป็นผู้นำใน “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชา-กาแฟระดับภูมิภาคและโลก

ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมีโอกาสขยายตลาดในระดับโลก สถาบันวิชาการไทยมีเวทีวิจัยและนวัตกรรมที่สร้างอิทธิพลอย่างแท้จริง และผู้บริโภคทั่วโลกได้สัมผัสคุณภาพชาและกาแฟไทยโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายข้างหน้าคือการรักษามาตรฐานคุณภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน และการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชียงรายจะกลายเป็น “ฮับ” ชา-กาแฟแห่งเอเชีย และสร้างภาพจำใหม่บนแผนที่อุตสาหกรรมโลกอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • ข้อมูลจากการแถลงข่าวและงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News