Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลิกเมืองโลจิสติกส์ แรงงานเชียงราย ต้อง Upskill รับ รถไฟเด่นชัย-เชียงของ ปี 2571

ภารกิจเร่งด่วน ‘คนไทยต้องมีงานทำ’ เมื่อเชียงรายเผชิญวิกฤตแรงงานคู่ขนาน ท่ามกลางเมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน พลิกเมืองสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เสียงย้ำของนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ที่ประกาศโดยกระทรวงแรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนสวยหรู หากแต่สะท้อน “ภารกิจระดับชาติ” ในการปกป้องความมั่นคงของประชาชน จากปัญหาการว่างงาน ความไม่มั่นคงทางรายได้ และความเสี่ยงจากรูปแบบอาชญากรรมใหม่ ๆ ที่กำลังกัดกินสังคมไทย

ในขณะที่รัฐบาลกลางเร่งเดินหน้าจัดหาตำแหน่งงาน 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน เชียงราย–ในฐานะประตูเศรษฐกิจชายแดนตอนบน–กำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของประวัติศาสตร์แรงงานจังหวัดหนึ่งด้านคือ “การเติบโตเชิงเร่ง” ของการจ้างงานและเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 8.5 หมื่นล้านบาท แต่อีกด้านคือ “โครงสร้างแรงงานที่เปราะบาง” แรงงานนอกระบบสูง ปรากฏการณ์แรงงานชายแดนช็อกแบบฉับพลัน และเงื่อนไข Skills Mismatch ที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคตอันใกล้

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “เชียงรายจะมีงานเพิ่มขึ้นเท่าไร” แต่คือ “คนเชียงราย พร้อมแค่ไหนที่จะได้งานที่มั่นคงและมีคุณภาพ” เมื่อรถไฟ รถบรรทุก และเครื่องบิน ขนสินค้าและผู้โดยสารหลั่งไหลเข้ามาเต็มศักยภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วิกฤตแรงงานระดับชาติ และคำประกาศ ‘คนไทยต้องมีงานทำ’

นโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมเป้าหมายจัดหาตำแหน่งงานมากกว่า 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและโครงข่ายศูนย์จัดหางานทั่วประเทศ

รัฐมนตรีแรงงานย้ำว่า ปัญหาการตกงานไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือรากเหง้าของวิกฤตทางสังคมหลายมิติ – ตั้งแต่ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหายาเสพติด ไปจนถึงการถูกล่อลวงโดยแก๊งสแกมเมอร์ที่โยกย้ายฐานปฏิบัติการตามช่องโหว่ของเศรษฐกิจชายแดน

“งานต้องการคน และคนก็ต้องการงาน หน้าที่ของรัฐคือทำให้สมการนี้ลงตัว โดยใช้ข้อมูลจริงจากตลาดแรงงาน เชื่อม นายจ้าง–ทักษะ–ความต้องการของประชาชน ให้เดินไปด้วยกัน”
– นางสาวตรีนุช เทียนทอง

ปฏิบัติการนี้ขับเคลื่อนผ่าน ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย” 87 แห่ง ทั้งส่วนกลางและสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีตำแหน่งงานว่างรองรับทันที 61,399 อัตรา ครอบคลุมภาคการผลิต การค้า โลจิสติกส์ ดิจิทัล ท่องเที่ยว และบริการ พร้อมตั้ง KPI ผลักดันการบรรจุงานเฉลี่ย วันละ 1,000 อัตรา

ในเชิงผลลัพธ์เชิงปริมาณ ตั้งแต่ตุลาคม 2568 ถึงปัจจุบัน กรมการจัดหางานบรรจุแรงงานในประเทศไปแล้ว 42,000 คน สร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 7,560 ล้านบาท และส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศกว่า 17,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละราว 12,240 ล้านบาท สะท้อนบทบาทเชิงรุกของรัฐในการดึงประชาชนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เบื้องหลังตัวเลขที่ขยับดีขึ้น ยังมี “โจทย์เชิงคุณภาพ” ที่ต้องแก้ – โดยเฉพาะในจังหวัดเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างเชียงราย

เชียงราย เมืองโตเร็วแต่ฐานแรงงานเปราะบาง

ข้อมูลการวิเคราะห์ภาวะการจ้างงานของ สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ตลาดแรงงานเชียงรายกำลัง “ฟื้นตัวและขยายตัวในอัตราเร่ง”

  • ปี 2566 คาดมีผู้มีงานทำรวม 609,306 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7,601 คน (เติบโต 1.3%)
  • ปี 2567 คาดผู้มีงานทำเพิ่มเป็น 622,534 คน เพิ่มขึ้น 13,228 คน – เกือบ สองเท่า ของการเพิ่มขึ้นในปี 2566

การเร่งตัวของการจ้างงานครั้งนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของผลผลิตภาคบริการที่ 9.1% และภาคอุตสาหกรรมที่ 9.5% ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำจังหวัดอยู่ที่ 340 บาท/วัน ช่วยให้เชียงรายยังรักษาความสามารถแข่งขันด้านต้นทุนแรงงาน เมื่อเทียบกับจังหวัดที่มีค่าแรงสูงกว่ามากในประเทศ

แต่เมื่อเจาะลึกลงไปใน “โครงสร้าง” จะพบอีกด้านของเหรียญที่น่ากังวลไม่แพ้กัน

  • การโตที่ “ผูกกับร้านเล็กรายย่อย”

โครงสร้างการจ้างงานของเชียงรายยังผูกติดอยู่กับ ภาคการค้าปลีกและบริการ อย่างเหนียวแน่น

  • ภาคการค้าปลีกมีคนทำงานรวม 55,206 คน ลูกจ้าง 21,707 คน
  • ภาคบริการมีคนทำงาน 54,690 คน ลูกจ้าง 24,347 คน

แต่ “หัวใจ” ของการจ้างงานกลับอยู่ที่ สถานประกอบการขนาดเล็กมาก (MICRO) ซึ่งมีคนทำงานและลูกจ้างรวมกันถึง 99,189 คน และสร้างมูลค่าตอบแทนแรงงานสูงสุดถึง 3,347.8 ล้านบาท

เมื่อลองรวมกับธุรกิจขนาดเล็ก (S) จะพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ในจังหวัดทำงานอยู่ในธุรกิจขนาดเล็กและนอกระบบ ซึ่งมักขาดหลักประกันทางสังคม รายได้ผันผวน และรับแรงกระแทกจากวิกฤตได้รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

 “Growth with Fragility” – โตพร้อมความเปราะบาง

ภาวะ “โตแต่เปราะบาง” (Growth with Fragility) ของตลาดแรงงานเชียงรายยิ่งชัดเจน เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อเท็จจริงว่า จังหวัดมีสัดส่วนแรงงานนอกระบบสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ แรงงานกลุ่มนี้เมื่อเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายความมั่นคงชายแดน จึงตกหล่นจากระบบคุ้มครองอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้ปูพื้นให้เห็นว่า แม้ “จำนวน” ผู้มีงานทำจะเพิ่มขึ้น แต่ “คุณภาพ” ของงานและเสถียรภาพชีวิตแรงงานยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง

แรงสั่นสะเทือนจากชายแดน และมลพิษข้ามพรมแดน เมื่อความมั่นคงกระแทกตลาดแรงงาน

นอกจากโครงสร้างที่เปราะบางจากภายใน เชียงรายยังรับแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกอย่างรุนแรง ทั้งจากมาตรการความมั่นคงชายแดน และวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

  • ‘Mae Sai Shock’: การช็อกด้านลบของแรงงานชายแดน

เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รัฐไทยดำเนินมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก เมียนมา เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และบ่อนพนันข้ามชาติ

ผลลัพธ์ในฝั่งแรงงานคือ บ่อนคาสิโนและธุรกิจสีเทาหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการทันที แรงงานจำนวนมากที่เคยเดินทางจากแม่สายไปทำงานในท่าขี้เหล็กต้อง “หยุดงานแบบฉับพลัน” มาตรการที่ได้ผลในเชิงความมั่นคง กลับสร้าง “Negative Supply Shock” ต่อแรงงานชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบและอยู่นอกสายตาระบบประกันสังคม

แรงงานกลุ่มนี้จำเป็นต้องถูก “ดึงกลับเข้าระบบเศรษฐกิจถูกกฎหมาย” ภายในจังหวัด – ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรม – หากไม่มีมาตรการเปลี่ยนถ่ายทักษะและรองรับอย่างเป็นระบบ การว่างงานเชิงโครงสร้างอาจลุกลามเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว

  • มลพิษแม่น้ำกก–สารหนู–โลหะหนัก: ซ้ำเติมวิถีชีวิตเกษตร

อีกฟากหนึ่งของจังหวัด แรงงานภาคเกษตรและชุมชนริมลุ่มน้ำกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมจาก การปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ซึ่งเกี่ยวโยงกับการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่หายากต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

แม้ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เชียงราย จะยืนยันว่า น้ำประปาหลังการบำบัดมีค่าการตรวจสารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัยที่กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนกว่า 120,000 คน ในเขตเทศบาลนครเชียงรายกลับถดถอยลงอย่างหนัก

ประชาชนจำนวนมากเลิกดื่มน้ำประปา หันไปพึ่งพาน้ำดื่มบรรจุขวด เพิ่มภาระค่าครองชีพ ส่วนชุมชนเกษตรกรกว่า 750 ครัวเรือน ในลุ่มน้ำกกกังวลทั้งราคาผลผลิตที่ตกต่ำ และความเสี่ยงจากการสะสมของสารพิษในดินและพืชผล

เสียงสะท้อนของเกษตรกรและผู้นำชุมชนจึงผลักดันให้ปัญหาน้ำกลายเป็น “โจทย์ความมั่นคงด้านแรงงาน” เพราะเมื่อแหล่งน้ำปนเปื้อน วิถีชีวิตที่พึ่งพาเกษตรกรรม การประมงพื้นบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ย่อมถูกกระทบพร้อมกัน

เมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน โอกาสทองหรือกับดักใหม่ของตลาดแรงงานเชียงราย

ท่ามกลางความเปราะบางดังกล่าว เชียงรายกำลังก้าวเข้าสู่ยุคการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ทั้งในกรอบ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ)

จัดบทบาทเมืองชายแดน: Trading City – Port City – Logistic City

จังหวัดกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ 3 อำเภอชายแดนไว้อย่างชัดเจน

  • แม่สาย – Trading City: ศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการชายแดนที่ถูกกฎหมาย
  • เชียงแสน – Port City: เมืองท่าแม่น้ำโขง เชื่อมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และหัตถกรรม
  • เชียงของ – Logistic City: ศูนย์โลจิสติกส์ บก–น้ำ–ราง และอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรเชิงนิเวศ

การจัดตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้ จะสร้างความต้องการแรงงานโลจิสติกส์ ท่องเที่ยว บริการ และอุตสาหกรรมแปรรูปในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ เส้นเลือดใหญ่สู่จีนตอนใต้

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ มูลค่า 85,345 ล้านบาท ซึ่งถูกวางให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมโครงข่ายรถไฟของไทยกับลาวและจีนตอนใต้ รองรับทั้งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า โครงการมีความคืบหน้ารวม 46.112% เร็วกว่าแผน และมีกำหนดเปิดเดินรถใน เดือนมกราคม 2571 โดยสถานีเชียงของจะถูกพัฒนาเป็น ย่านกองเก็บและบรรทุกตู้สินค้า บนพื้นที่ราว 150 ไร่ รองรับการค้าผ่านแดนมูลค่าสูงในอนาคต

เมื่อทางคู่เปิดใช้จริง ความต้องการแรงงานสายโลจิสติกส์–ขนส่ง–ซ่อมบำรุง จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง

สนามบินแม่ฟ้าหลวง – จากสนามบินภูมิภาคสู่ Aviation & MRO Hub

การขยายขีดความสามารถของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปสู่การรองรับผู้โดยสาร 6–8 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2575 ควบคู่กับแนวคิดการพัฒนา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และกิจกรรมเชิงพาณิชย์รอบสนามบิน จะสร้าง “ดีมานด์แรงงานทักษะสูง” ในตำแหน่งช่างเทคนิคการบิน ช่างซ่อมบำรุงโลจิสติกส์ และบริการผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง

หากรวมเมกะโปรเจกต์ด้านราง–ถนน–อากาศทั้งหมดเข้าด้วยกัน เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเชียงรายถูกประเมินว่าแตะระดับมากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมจะผลักดันเมืองจาก “ศูนย์กลางการค้าชายแดนแบบดั้งเดิม” ไปสู่ Logistic City & Aviation Hub ของลุ่มน้ำโขงตอนบน

แต่คำถามที่สำคัญกว่า คือ “แรงงานท้องถิ่น พร้อมแค่ไหนที่จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเหล่านี้”

วิกฤต Skills Mismatch เมื่อโครงสร้างอาชีพไม่ตรงกับอนาคต

แม้ตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น และโครงการลงทุนจะเร่งตัว แต่ข้อมูลจากการรับสมัครงานในพื้นที่สะท้อนชัดว่า เชียงรายกำลังเผชิญ ความไม่สมดุลของทักษะ (Skills Mismatch)

อาชีพมูลค่าสูงที่ยังขาดคน

ในภาคสาธารณสุข มีการเปิดรับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทั้งพนักงานกระทรวงสาธารณสุขอย่างน้อย 17 อัตรา ตำแหน่งเภสัชกร ผู้ช่วยทันตแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง สะท้อนความต้องการแรงงานทักษะสูงด้านสุขภาพที่ยังไม่เพียงพอ

ในภาคเอกชน มีการประกาศรับ ที่ปรึกษาการขาย ในธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และตำแหน่งในธุรกิจบริการเฉพาะทาง เช่น บาริสต้าในร้านกาแฟคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการขายและการบริการที่แตกต่างจากแรงงานบริการพื้นฐานทั่วไป

ตำแหน่งเหล่านี้เป็น “งานมูลค่าสูงและมั่นคงกว่า” แต่กลับพบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการ ขณะที่แรงงานจำนวนมากยังถูกดูดซับอยู่ในร้านค้าเล็ก ๆ ธุรกิจครัวเรือน และภาคบริการที่ไม่เป็นทางการ

เมื่อการเติบโตไม่แปลว่าทุกคนจะได้งานดีขึ้น

ในด้านหนึ่ง เชียงรายกำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตร–บริการพื้นฐาน ไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและทักษะมากขึ้น ผ่านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และโครงสร้างพื้นฐานระบบราง–การบิน

แต่อีกด้านหนึ่ง ฐานแรงงานเดิมจำนวนมากยังไม่มีโอกาสเข้าถึงการฝึกอบรม Upskill–Reskill อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ แรงงานชายแดนที่ได้รับผลกระทบจาก “Mae Sai Shock” และเกษตรกรในลุ่มน้ำกกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

หากไม่มี “สะพานเชื่อมทักษะ” ที่แข็งแรง เมกะโปรเจกต์และนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” อาจกลายเป็น “โอกาสที่คนในพื้นที่เข้าไม่ถึง” ขณะที่ตำแหน่งงานคุณภาพสูงอาจตกไปอยู่ในมือแรงงานจากจังหวัดอื่นหรือแรงงานต่างชาติที่มีทักษะพร้อมกว่า

ทางออกเชิงโครงสร้าง ลงทุนในคนควบคู่ลงทุนในทางรถไฟ

เพื่อลดความเปราะบางและเปลี่ยนวิกฤตแรงงานคู่ขนานให้เป็น “หน้าต่างโอกาส” เชียงรายจำเป็นต้องขับเคลื่อนมาตรการเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง

  • กลไกเปลี่ยนถ่ายทักษะ: จากชายแดนสู่โลจิสติกส์ และบริการคุณภาพสูง

ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และสถาบันอาชีวศึกษา ควรเร่งจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นที่มุ่งเป้าชัดเจนไปที่อุตสาหกรรมอนาคตของเชียงราย ได้แก่

  • โลจิสติกส์และซัพพลายเชน (พื้นที่เชียงของ–เชียงแสน–แม่สาย)
  • งานบริการและการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
  • ทักษะดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนและอีคอมเมิร์ซ
  • ทักษะด้านสุขภาพ สาธารณสุขชุมชน และการดูแลผู้สูงอายุ

แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาชายแดน และแรงงานนอกระบบควรถูกออกแบบให้เป็น “กลุ่มเป้าหมายหลัก” ของหลักสูตร Retraining เหล่านี้ เพื่อดึงเข้ามาสู่ภาคเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมายและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ยกระดับคุณภาพการจ้างงานในธุรกิจขนาดเล็ก

ในเมื่อธุรกิจขนาด MICRO เป็นหัวใจของการจ้างงานและมูลค่าตอบแทนแรงงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานเชียงรายจึงต้องเริ่มที่ “ฐาน” ไม่ใช่ปลายยอด

มาตรการเชิงนโยบายอาจรวมถึง

  • เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างเข้าสู่ระบบประกันสังคม
  • โปรแกรมให้คำปรึกษาทางธุรกิจ–บัญชี–ดิจิทัล สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดการพึ่งพาแรงงานไร้ทักษะจำนวนมาก
  • การสนับสนุนให้ธุรกิจบริการ–ค้าปลีกในชุมชนเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่มาจากโครงการโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว

ปรับนโยบายค่าแรงสู่ “ค่าแรงตามทักษะ”

ในระยะยาว การพัฒนาตลาดแรงงานเชียงรายอาจต้องขยับจากการถกเถียงเรื่อง “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” เพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างระบบ ค่าแรงตามทักษะ (Skill-based Wages) ที่เชื่อมโยงรายได้กับการพัฒนาฝีมือของแรงงาน

ค่าจ้างที่สะท้อนทักษะที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้แรงงานสนใจเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Upskill–Reskill ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับแรงงานที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด

ก่อนรถไฟจะมาถึง เมืองต้องลงทุนในคนให้ทัน

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของเปิดเดินรถเต็มรูปแบบ สนามบินแม่ฟ้าหลวงขยายความจุ และ NEC/SEZ เดินหน้าเต็มกำลัง เชียงรายจะกลายเป็น “ประตูโลจิสติกส์” สำคัญของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมกะโปรเจกต์เหล่านี้พร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่การจะเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุน 8.5 หมื่นล้านบาทให้กลายเป็น “ความมั่นคงในชีวิต” ของคนเชียงราย จำเป็นต้องมี “การลงทุนในมนุษย์” ที่เข้มข้นไม่แพ้กัน – ตั้งแต่การฝึกทักษะแรงงาน การปกป้องสิทธิแรงงานนอกระบบ การจัดการวิกฤตชายแดนและมลพิษข้ามพรมแดน ไปจนถึงการปรับโครงสร้างค่าจ้างให้สะท้อนทักษะและผลิตภาพที่แท้จริง

นโยบายระดับชาติ “คนไทยต้องมีงานทำ” จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนตำแหน่งงาน แต่คือบททดสอบว่า เชียงรายจะสามารถออกแบบ “ระบบรองรับ” ที่ทำให้คนตัวเล็ก ๆ ในร้านค้า ชายแดน และชุมชนลุ่มน้ำ ได้ก้าวขึ้นมาร่วมขบวนเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างเท่าเทียมเพียงใด

ก่อนรถไฟขบวนแรกจะแล่นเข้าสู่สถานีเชียงของในปี 2571 คำถามสำคัญที่เชียงรายต้องตอบให้ได้ คือ เราลงทุนในคนทันกับทางรถไฟหรือไม่” เพราะหากคำตอบคือ “ใช่” เมืองนี้จะไม่ได้เป็นเพียงจุดผ่านของสินค้าและผู้โดยสาร หากแต่จะกลายเป็น “เมืองที่คนมีงานทำอย่างมีศักดิ์ศรี” อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงแรงงาน และกรมการจัดหางาน
  • กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) – จังหวัดเชียงราย และเอกสารมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เหนือจรดใต้ ศาสนาพหุวัฒนธรรมเชียงรายผนึกกำลังส่งน้ำใจช่วยน้ำท่วมสงขลา

เชียงรายส่งน้ำใจ “เหนือจรดใต้” ศาสนาพหุวัฒนธรรมรวมพลังช่วยน้ำท่วมสงขลา เมื่อพี่น้องภาคใต้ต้องเผชิญวิกฤตน้ำท่วมหนัก ชาวเชียงรายจากทุกศาสนาไม่นิ่งนอนใจ ผนึกกำลังส่งมอบความหวังผ่านโครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! พิสูจน์ว่าความเป็นไทยไม่แบ่งแยกศาสนา ไม่จำกัดภูมิภาค

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานนครเชียงรายนิวส์ อำเภอเมืองเชียงราย ภาพที่ปรากฏไม่ใช่แค่การส่งมอบกล่องสิ่งของธรรมดา แต่เป็นภาพสะท้อนความสามัคคีที่ทรงพลังของสังคมพหุวัฒนธรรม ขณะที่ผู้แทนจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และสมาคมชาวไทย-อินเดีย ในจังหวัดเชียงราย ร่วมกันนำสิ่งของจำเป็น น้ำดื่ม และอาหารแห้ง มาร่วมสมทบในโครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! เพื่อส่งต่อกำลังใจไปยังพี่น้องผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

วิกฤตน้ำท่วมใต้ – ภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง

สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ศาสนสถาน และผู้นำศาสนาทุกศาสนาอย่างหนัก ผู้คนจำนวนมากต้องอพยพหนีน้ำ บ้านเรือนเสียหาย ทรัพย์สินถูกทำลาย และที่สำคัญคือความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตประจำวันที่ขาดแคลนสิ่งของจำเป็นขั้นพื้นฐาน

ในขณะที่ภาคใต้กำลังเผชิญวิกฤต เสียงตอบรับจากทั่วประเทศก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากจังหวัดเชียงราย ดินแดนล้านนาทางภาคเหนือที่ห่างไกลกว่า 2,000 กิโลเมตร แต่กลับใกล้ชิดด้วยน้ำใจและความเป็นพี่น้องคนไทยเดียวกัน

ฮัก” หาดใหญ่ – โครงการที่เกิดจากหัวใจ

โครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! และ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” ชาวเชียงรายรวมพลัง ส่งน้ำใจช่วยน้ำท่วมสงขลา เป็นโครงการที่เกิดจากการผนึกกำลังขององค์กรสำคัญหลายภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการรับบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และของใช้จำเป็นต่างๆ เพื่อส่งต่อให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

การดำเนินงานของโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากองค์กรและหน่วยงานสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย 6 องค์กรหลัก ได้แก่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์, CPALL บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย, และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงรายได้เปิดจุดรับบริจาค “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนทั่วไปสามารถร่วมบริจาคสิ่งของได้อย่างสะดวก ขณะที่สำนักงานนครเชียงรายนิวส์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรับบริจาคหลัก ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากหลายภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เริ่มโครงการ

เมื่อศาสนาพหุนำพาความหวัง

สิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่งในครั้งนี้คือการเข้าร่วมของกลุ่มศาสนาที่หลากหลาย โดยเฉพาะผู้แทนจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และสมาคมชาวไทย-อินเดีย ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้นำสิ่งของมาร่วมสมทบในโครงการดังกล่าว การมีส่วนร่วมของกลุ่มศาสนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของสังคมไทย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าสากลของทุกศาสนาที่ส่งเสริมความเมตตาและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

นายสุเรชเจริญ อุปรา หนึ่งในคณะกรรมการของสมาคมชาวไทย-อินเดีย จังหวัดเชียงราย และผู้แทนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาซิกข์ในจังหวัดเชียงราย ได้ให้สัมภาษณ์อย่างประทับใจถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้

“สมาคมชาวไทย-อินเดีย จังหวัดเชียงราย ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ เป็นองค์กรทางศาสนาที่อยู่ร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น เรารู้สึกสงสารและเห็นใจพี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวหาดใหญ่เป็นอย่างมาก” นายสุเรชเจริญ อุปรา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

บทเรียนจากอดีต – เมื่อเชียงรายเคยเป็นผู้รับความช่วยเหลือ

สิ่งที่น่าสนใจและสะท้อนถึงหลักการ “กรรมดี” ของสังคมไทยคือการที่นายสุเรชเจริญ อุปราได้ย้อนระลึกถึงช่วงเวลาที่จังหวัดเชียงรายเองก็เคยประสบภัยพิบัติในอดีต และได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชาวใต้และภาคอื่นๆ ของประเทศอย่างเอื้ออาทร

“ในคราวที่เชียงรายเกิดภัยพิบัติ ทางภาคใต้ หลายจังหวัด รวมทั้งภาคอีสาน และกรุงเทพมหานคร ก็ได้ให้ความช่วยเหลือกับทางจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพี่น้องเราที่อยู่ในแม่สาย ซึ่งมีชาวอินเดียอยู่ ก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และได้รับการช่วยเหลือจากพี่น้องทั่วแผ่นดิน” นายสุเรชเจริญ อุปราเล่าถึงความทรงจำที่ฝังใจ

การระลึกถึงความดีที่เคยได้รับนี้เองที่กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ชุมชนชาวไทย-อินเดียและกลุ่มศาสนาในเชียงรายตัดสินใจร่วมมือกันส่งความช่วยเหลือกลับไปยังภาคใต้ในครั้งนี้ มันคือการตอบแทนคุณและการส่งต่อน้ำใจที่สวยงาม แสดงให้เห็นว่าความช่วยเหลือที่เราให้ไปจะกลับมาหาเราในรูปแบบของวัฏจักรแห่งความดีที่ไม่มีวันสิ้นสุด

น้ำใจที่ไร้พรมแดน – ข้ามภูมิภาค ข้ามศาสนา

นายสุเรชเจริญ อุปราได้กล่าวต่อด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมว่า “เมื่อประชาชนหรือพวกเราทุกคนเกิดเหตุภัยพิบัติ วันนี้เราก็อยากจะมีส่วนร่วมอย่างน้อยๆ เป็นกำลังใจให้กับพี่น้องชาวใต้ให้รู้สึกดีขึ้น ให้ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไป ผมเชื่อว่าคนทั่วแผ่นดินยินดีที่จะเข้าร่วม และเราก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในนั้น”

คำพูดของนายสุเรชเจริญ อุปราสะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกที่ดีงามของการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใด ศาสนาใด หรือภูมิภาคใด เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์ได้ยาก ก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยความจริงใจ

ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายสุเรชเจริญ อุปราได้แสดงความปรารถนาดีด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความเคารพต่อศาสนาทุกศาสนา โดยกล่าวว่า “ขอพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า เทพยดาทุกพระองค์ในศาสนา และคุรุในศาสนา โปรดพรหมบันดาลให้ภัยพิบัติในครั้งนี้ได้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ให้พี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวหาดใหญ่ กลับมาฟื้นคืนชีพ และกลับมาใช้ชีวิตโดยปกติสุขโดยเร็ว”

เขายังขอให้พระองค์ทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ สถาบันศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนาซิกข์ โปรดประทานพรให้พี่น้องชาวใต้และประชาชนทั้งหมดผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี การอธิษฐานข้ามศาสนาเช่นนี้สะท้อนถึงความเชื่อที่ว่าทุกศาสนามีแก่นแท้เดียวกันคือความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์

การยอมรับจากภาครัฐ – ความสามัคคีที่เป็นรูปธรรม

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมการส่งมอบสิ่งของในครั้งนี้ และได้กล่าวขอบคุณผู้แทนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และสมาคมชาวไทย-อินเดีย ในจังหวัดเชียงราย ที่เล็งเห็นความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในทุกศาสนา

นายพิสันต์ได้เน้นย้ำว่า การให้ความช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในทุกศาสนาถือเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติอย่างแท้จริง การที่หน่วยงานภาครัฐอย่างสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายให้การสนับสนุนและยกย่องการกระทำของกลุ่มศาสนาเหล่านี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศาสนาและการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการช่วยเหลือสังคม

ภาคใต้ไม่ได้อยู่ลำพัง – ศูนย์รับบริจาคเชื่อมโยงทั่วประเทศ

ขณะที่ความช่วยเหลือหลั่งไหลมาจากภาคเหนือ ภาคใต้เองก็ได้จัดระบบรองรับอย่างเป็นระบบ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา ได้ร่วมมือกับคณะสงฆ์จังหวัดสงขลา และองค์การศาสนา 5 ศาสนา เปิดศูนย์รับบริจาคช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เพื่อจัดส่งสิ่งของจำเป็นลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที

การประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรศาสนา และภาคเอกชนทั้งในพื้นที่ภัยพิบัติและพื้นที่ที่ส่งความช่วยเหลือ แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบการจัดการภัยพิบัติของไทย และที่สำคัญคือความสามัคคีของคนไทยที่พร้อมจะช่วยเหลือกันเมื่อเกิดวิกฤต

เมื่อความแตกต่างกลายเป็นพลังรวม

เหตุการณ์ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานนครเชียงรายนิวส์ ไม่ใช่แค่การส่งมอบสิ่งของบรรเทาภัยธรรมดา แต่เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง ที่ผู้คนจากศาสนาที่แตกต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และพร้อมจะร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม

น้ำใจจากชาวเชียงรายและกลุ่มศาสนาที่มากล้นในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เคารพความแตกต่าง แต่รวมกันด้วยความเป็นมนุษย์ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือภูมิภาค เมื่อมีคนตกทุกข์ได้ยาก ทุกคนก็พร้อมที่จะเป็นพี่น้องกันและยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

โครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! คำว่า “ฮัก” ในภาษาถิ่นหมายถึง “รัก” หรือ “เอ็นดู” ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกที่อบอุ่นและความเป็นพี่น้อง ชื่อโครงการนี้จึงสะท้อนถึงแก่นแท้ของการช่วยเหลือครั้งนี้ที่ไม่ได้มาจากหน้าที่หรือภาระบังคับ แต่มาจากความรักและความเอื้ออาทรที่มีต่อกันในฐานะคนไทยและเพื่อนมนุษย์

ในยามที่ภัยพิบัติทำให้ผู้คนต้องแยกจากกัน น้ำใจของคนไทยกลับทำให้ทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ระยะทาง 2,000 กิโลเมตรระหว่างเชียงรายกับหาดใหญ่ดูเหมือนจะหายไปเมื่อความเป็นพี่น้องเชื่อมโยงหัวใจของผู้คนเข้าด้วยกัน

สิ่งของที่ส่งไปอาจไม่ได้มากมายมหาศาล แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังนั้นยิ่งใหญ่ มันคือการส่งต่อความหวัง ความอบอุ่น และข้อความที่ว่า “พี่น้องไม่ได้อยู่คนเดียว เรายังอยู่ที่นี่และพร้อมจะช่วยเหลือเสมอ”

การรวมพลังครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะสั้น แต่ยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างภูมิภาค ระหว่างศาสนา และระหว่างผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย แต่มีหัวใจเดียวกันคือหัวใจของการให้ การแบ่งปัน และความเป็นพี่น้อง

ในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับมาที่เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ปี 2568 นอกจากความเสียหายและความทุกข์ยากแล้ว สิ่งที่จะถูกจดจำคือเรื่องราวของความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพลังของน้ำใจที่ไหลจากทุกทิศทั่วประเทศมาบรรจบกันที่ภาคใต้ รวมถึงเรื่องราวของกลุ่มชาวไทย-อินเดียและกลุ่มศาสนาในเชียงรายที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะมีที่มาจากไหน นับถือศาสนาใด เราล้วนเป็นคนไทยและเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะช่วยเหลือกันในยามยาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • สมาคมชาวไทย-อินเดีย จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทางออกวิกฤตความเชื่อมั่นที่ทำได้! ย้ายแหล่งน้ำดิบ หนี แม่น้ำกกปนเปื้อน ปกป้อง 1.2 แสนชีวิต

วิกฤตน้ำกกสู่แม่น้ำลาว กปภ.เชียงรายเร่งย้ายแหล่งน้ำดิบ หนีสารหนู–โลหะหนัก ปกป้องสิทธิในน้ำสะอาดของคนกว่า 1.2 แสนชีวิต

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – สำหรับคนเชียงรายจำนวนมาก “น้ำประปา” เคยเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำสะอาดจากลุ่มน้ำกก แต่ในวันนี้ ภาพจำดังกล่าวกำลังถูกแทนที่ด้วยความกังวลและความไม่เชื่อมั่น เมื่อข้อมูลการปนเปื้อน “สารหนูและโลหะหนัก” ในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ถูกยืนยันผ่านทั้งผลตรวจจากหน่วยงานรัฐ ห้องแล็บอิสระ และเสียงสะท้อนจากชุมชนที่เริ่ม “เลิกดื่ม เลิกใช้น้ำประปา” ทีละหลังคาเรือน

แม้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย จะยืนยันว่าคุณภาพน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกรมอนามัย (สารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร จากเกณฑ์ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) แต่สำหรับประชาชนจำนวนไม่น้อย ตัวเลขดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจ วิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ “วิกฤตมลพิษ” หากแต่เป็น “วิกฤตความเชื่อมั่น” ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาดของประชาชนกว่า 120,000 คนในเขตเทศบาลนครเชียงรายและพื้นที่ปลายน้ำ

ในบริบทเช่นนี้ แผนของ กปภ.เชียงราย ที่จะ ย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตประปาจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว ด้วยงบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท จึงถูกจับตามองในฐานะ “ทางออกเดียวที่ทำได้ทันที” ท่ามกลางปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ซับซ้อนเกินกว่าท้องถิ่นจะรับมือได้เพียงลำพัง

แม่น้ำกกปนเปื้อน–ชุมชนริมเขื่อนเชียงรายลุกขึ้นถาม “น้ำที่ใช้ยังปลอดภัยหรือไม่”

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ฉางข้าวบ้านท่าบนได หมู่ที่ 1 อำเภอเวียงชัย จ.เชียงราย กลุ่มผู้ใช้น้ำเขื่อนเชียงรายฝั่งขวาที่ 1 จัดประชุมสามัญประจำปี 2568/2569 เพื่อหยิบยก “ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนัก” ขึ้นสู่เวทีอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการเข้าร่วมของ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นำโดย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาหลักที่กลุ่มผู้ใช้น้ำฯ นำโดยนายประถมพงษ์ ฤทธิแผง ประธานกลุ่มฯ รายงานต่อที่ประชุม คือ การตรวจพบการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขาหลายจุด มีค่าเกินมาตรฐานในบางพื้นที่ และมีข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญว่า ต้นตอของมลพิษมาจาก “เหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่หายาก” บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

สำหรับเกษตรกรผู้ใช้น้ำกว่า 750 ครัวเรือน ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่กระทบโดยตรงต่อความมั่นคงด้านอาหารและรายได้ เมื่อมีความกังวลว่า สารพิษอาจตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร ขณะเดียวกันราคาข้าวที่ตกต่ำก็ทำให้ภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นจากทั้งมลพิษและภาวะเศรษฐกิจ

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ยืนยันในที่ประชุมว่า อบจ.เชียงราย “ไม่นิ่งนอนใจ” และจะเข้าไปเป็นแกนนำประสานข้อมูลทุกหน่วยงาน ทั้งด้านคุณภาพน้ำ สิ่งมีชีวิตในแม่น้ำ และผลกระทบต่อชุมชน เพื่อผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ โดยย้ำว่า นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่คือปัญหา “สิทธิด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน” ของคนเชียงรายทั้งลุ่มน้ำ

เหมืองต้นน้ำเมียนมา–ทุนข้ามชาติ และสัญญาณเตือนจากข้อมูลดาวเทียม

วิกฤตแม่น้ำกกไม่ได้เกิดขึ้นโดดเดี่ยว รายงานของ Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ เปิดเผยในเดือนพฤศจิกายน 2568 ว่า ทั่วภูมิภาคแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหมืองที่อาจปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำสายหลักมากกว่า 2,400 แห่ง โดยอาศัยภาพถ่ายดาวเทียมระบุพื้นที่เหมืองแบบ alluvial, เหมืองแบบ heap leach และเหมืองแร่หายากแบบ in-situ leaching (ISL) รวมอย่างน้อย 366 แห่ง, 359 แห่ง และ 77 แห่ง ตามลำดับ

รายงานดังกล่าวเตือนว่า กิจกรรมเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีอันตราย เช่น ไซยาไนด์ ปรอท แอมโมเนียมซัลเฟต และสารอีกหลากหลายชนิด ซึ่งเมื่อไหลลงสู่แม่น้ำ จะสะสมในตะกอนและห่วงโซ่อาหาร สร้างความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อสุขภาพของประชาชนในลุ่มน้ำโขง–สาละวิน–กก–สาขาต่าง ๆ ในระยะยาว

องค์กรสิทธิมนุษยชนในรัฐฉาน เช่น Shan Human Rights Foundation รวมทั้งเอกสารวิจัยของมหาวิทยาลัยต่างประเทศและศูนย์วิจัยคะฉิ่น ยังระบุว่า เหมืองแร่หายากและทองคำหลายแห่งบริเวณต้นน้ำแม่น้ำกกเป็นของบริษัทและนักลงทุนสัญชาติจีน โดยคนจีนทำหน้าที่บริหารและควบคุมเทคนิค ขณะที่แรงงานในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติงานและสัมผัสสารพิษโดยตรง

บริบทดังกล่าวสอดคล้องกับข้อสังเกตของ รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำกก ที่ชี้ว่า การทำเหมืองแร่หายากและทองคำในรัฐฉานใช้เทคโนโลยีการทำเหมืองแบบสกปรกที่ “จีนเลิกใช้ในประเทศแล้ว” แต่กลับถูกส่งออกมาตั้งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีมาตรการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอ่อนแอกว่า

เมื่อผนวกกับแนวโน้มจาก บันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่สำคัญระหว่างไทย–สหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพิ่มปริมาณแร่หายากในห่วงโซ่อุปทานโลก นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงเตือนว่า ปัจจัยด้านความมั่นคงทางพลังงานและอุตสาหกรรมสีเขียว อาจกลายเป็นแรงผลักให้การสำรวจและทำเหมืองในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น และยิ่งซ้ำเติมความเสี่ยงต่อสิทธิชุมชนปลายน้ำ หากไม่มีมาตรการกำกับที่เข้มแข็งควบคู่กัน

กปภ.เชียงราย “ระบบยังเอาอยู่ แต่ต้องย้ายแหล่งน้ำ เพราะประชาชนไม่ยอมรับ”

ในฝั่งของผู้ให้บริการน้ำประปา นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า แผนการย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว เริ่มต้นจากการตรวจพบ “สารหนู” ในแม่น้ำกกเมื่อปีก่อน แม้ค่าที่ตรวจวัดได้จะต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัย แต่ก็สร้างความไม่สบายใจให้ประชาชนอย่างกว้างขวาง

เดิม กปภ.เชียงรายใช้กระบวนการผลิตน้ำประปามาตรฐานทั่วไป ใช้สารส้มและปูนขาวเป็นหลัก แต่หลังพบโลหะหนัก จึง เพิ่มขั้นตอน “พรีคลอรีน (Pre-chlorination)” เติมคลอรีนก่อนการตกตะกอนเพื่อช่วยแยกโลหะหนัก พร้อมเสริมสารเคมี โพลีอะลูมิเนียมคลอไรด์ (PACl) และ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เพื่อเร่งให้ตะกอนที่เกาะสารหนูตกลงสู่ก้นถัง ก่อนจะผ่านขั้นตอน “อินเตอร์คลอรีน” และระบบกรองอีกชั้นหนึ่ง

จากคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกที่เคยมีค่าความขุ่นสูงถึง 10,000 NTU ในช่วงน้ำท่วม และเฉลี่ยราว 180 NTU ในสถานการณ์ปกติ กปภ.เชียงรายควบคุมให้ ค่าความขุ่นก่อนกรองไม่เกิน 4 NTU และหลังกรองน้ำต้องมีค่าความขุ่นไม่เกิน 1 NTU ตามเกณฑ์ที่เข้มกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ

นายอภิศักดิ์ย้ำว่า สารเคมีที่ใช้ “เป็นสารปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ปลอดภัยตามมาตรฐานผลิตน้ำประปา” อยู่ภายใต้การควบคุมของห้องแล็บ และส่งผลตรวจให้กรมอนามัยตรวจสอบเป็นระยะ

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เหตุผลสำคัญคือประชาชนไม่ยอมรับแหล่งน้ำจากแม่น้ำกก แม้กระบวนการผลิตของเราจะควบคุมคุณภาพได้ แต่เมื่อคนในพื้นที่รู้สึกไม่มั่นใจ กปภ.ก็ต้องปรับตัวตามข้อเรียกร้องนั้น เราไม่ได้ย้ายเพราะผลิตไม่ได้ แต่เพราะอยากให้ประชาชนมั่นใจที่สุด”

ในมุมของคนทำงานด้านระบบประปา เขายังคงเชื่อว่ากระบวนการผลิตสามารถรับมือกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกได้ แต่ก็ยอมรับว่า การฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาสะอาดในเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งกินเวลายาวนานเกินกว่าจะปล่อยให้ประชาชนเสี่ยงรอ

ย้ายสู่ “แม่น้ำลาว” งบ 2,176 ล้านบาท การลงทุน 100 ปีเพื่อสิทธิในน้ำสะอาด

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบของ กปภ.เชียงราย กำหนดให้ตั้งจุดสูบน้ำและผลิตน้ำประปาใหม่บริเวณฝายแม่ลาว แล้วส่งน้ำผ่านท่อแรงดันเข้าสู่เขตเมืองเชียงราย ระยะทางราว 34 กิโลเมตร โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเสนอของบประมาณในปีงบประมาณ 2571 หากผ่านความเห็นชอบ จะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปี 2571–2572

นอกจากจะเป็นการ “หนีน้ำกกปนเปื้อน” แผนดังกล่าวยังถูกออกแบบให้ ขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปา ตามเส้นทางท่อจากฝายแม่ลาวเข้าสู่ตัวเมือง ทำให้ชุมชนที่อยู่นอกเขตบริการเดิมสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้มากขึ้น โดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้น้ำจะเพิ่มจาก 41,539 ครัวเรือนในปี 2568 เป็น 66,639 ครัวเรือนในปี 2589

ในระยะสั้น กปภ.เชียงรายได้ของบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและติดตั้งระบบจ่ายสารเคมีที่สถานีผลิตน้ำวังคํา ให้ควบคุมปริมาณสารได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อเสริมความมั่นใจระหว่างรอแผนระยะยาว

รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร มองว่า การใช้งบประมาณระดับพันล้านบาทเพื่อย้ายแหล่งน้ำดิบครั้งนี้ แม้ดูสูง แต่เมื่อเทียบกับการป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพในระยะยาวของประชาชนทั้งจังหวัด ถือเป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต 100 ปี” ที่คุ้มค่า

“งบฯ พันล้านซื้อความปลอดภัยให้คนทั้งจังหวัดได้ 100 ปี มันคุ้มค่ามากกว่าการรอให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา”

เมื่อคนเชียงราย “เลิกดื่ม–เลิกใช้น้ำประปา” วิกฤตความเชื่อมั่นที่ตัวเลขมาตรฐานอธิบายไม่พอ

วิกฤตครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์ หากไม่ฟังเสียงของผู้ใช้น้ำตัวจริง

มธุรส เปล่งใส ชาวบ้านในเขตอำเภอเมืองเชียงราย เล่าว่า หลังเกิดข่าวการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก ครอบครัวของเธอ “หยุดใช้น้ำประปาดื่มมาหลายเดือน”

“น้ำประปาเราใช้ในชีวิตประจำวันทุกอย่างเลย ทั้งล้างหน้า แปรงฟัน รดน้ำต้นไม้ ให้น้ำสัตว์เลี้ยง ยกเว้นแค่น้ำดื่มเท่านั้นที่เราไม่กล้าใช้… เรารู้ว่าเขาพยายามชี้แจง มีคนออกมาชิมน้ำ โชว์ล้างหน้า แต่ไม่มีผลวิจัยยืนยันเลยว่า ถ้าเราดื่มน้ำแบบนี้ไป 10 ปี 20 ปี จะไม่เป็นมะเร็ง”

ทางเลือกของครอบครัวจึงเหลือเพียง “ต้องซื้อน้ำดื่มทั้งหมด” ทั้งดื่มและทำอาหาร เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ครัวเรือนในช่วงเศรษฐกิจตึงตัว

ด้าน รัตติกร แสงสุวรรณ เจ้าของร้านอาหารในเขตเทศบาลนครเชียงราย สะท้อนปัญหาคล้ายกัน เธอระบุว่า จากเดิมที่ใช้ “น้ำประปากรอง” เพื่อประกอบอาหารและบริการลูกค้า ปัจจุบันต้องหันไปใช้น้ำโรงงานทั้งหมด เพราะไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำ แม้จะผ่านการกรองแล้วก็ตาม

“ตอนนี้ต้องซื้อน้ำทั้งหมด ทั้งน้ำดื่มสำหรับลูกค้า และน้ำที่ใช้ประกอบอาหาร… แม้จะกรองน้ำประปาแล้ว กลิ่นคลอรีนก็ยังแรง บางครั้งแม้ต้มน้ำ กลิ่นก็ยังไม่หาย”

รัตติกรยังพบปัญหาผิวหนังหลังอาบน้ำประปา จนแพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำดังกล่าวโดยตรง เธอจึงต้องหาวิธีเก็บน้ำให้ตกตะกอนก่อนใช้ หรือหันไปใช้น้ำจากแหล่งอื่นเท่าที่หาได้

ในระดับชุมชน ปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว เล่าว่า หมู่บ้านริมกกซึ่งเคยใช้น้ำประปาหมู่บ้านจากแม่น้ำกก ต้องหยุดใช้น้ำมานานกว่าหนึ่งปี ทั้งจากความเสียหายของระบบประปาหมู่บ้านในเหตุภัยพิบัติปี 2567 และจากความกังวลเรื่องสารหนูปนเปื้อน

ชาวบ้านกว่า 400 ครัวเรือนในพื้นที่ ต้องหันมาซื้อน้ำดื่มใช้เอง จากที่เคยใช้น้ำแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย กลายเป็นต้องจ่ายเดือนละ 500–1,000 บาท ซึ่งเป็นภาระหนักต่อครัวเรือนรายได้น้อย

“ชาวบ้านไม่รู้ว่าน้ำที่เทศบาลนำมาเติมเป็นน้ำจากไหน แต่ก็จำเป็นต้องใช้ เพราะคนเราขาดน้ำไม่ได้ มันเป็นภาวะจำยอมจริง ๆ”

เสียงสะท้อนเหล่านี้ยืนยันว่า แม้ตัวเลขค่ามาตรฐานน้ำจะ “อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย” แต่เมื่อความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องหา “ระบบความปลอดภัยของตัวเอง” ผ่านการซื้อน้ำ โรงงาน กักเก็บน้ำ หรือเปลี่ยนรูปแบบการใช้น้ำประปา ซึ่งแปลตรง ๆ เป็น “ต้นทุนแฝง” ทางเศรษฐกิจและสุขภาพ ที่ไม่ปรากฏในบิลค่าน้ำ

น้ำไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่คือ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” และโจทย์การทูตข้ามพรมแดน

รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร ย้ำหลายครั้งว่า ปัญหาน้ำกกไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคของระบบกรองน้ำ หากแต่เป็น สิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาด และ “สิทธิชุมชน” ในการกำหนดอนาคตของทรัพยากรธรรมชาติที่เลี้ยงดูตนเอง

เขาชี้ว่า จากข้อมูลการตรวจวัดต่อเนื่อง 8 เดือนที่ผ่านมา เห็นชัดว่า สารโลหะหนักแม้จะต่ำกว่าค่ามาตรฐาน แต่เมื่อบริโภคทุกวัน ย่อมมีโอกาสสะสมในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง หรือโรคระบบประสาท

ขณะเดียวกัน เขาเชื่อมโยงกรณีแม่น้ำกกกับลุ่มน้ำอื่น ๆ ทั้งสาละวิน กระบุรี และโขง ซึ่งต่างเริ่มตรวจพบปัญหาปนเปื้อนโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เตือนถึงการเพิ่มขึ้นของโลหะหนักในบางช่วงของแม่น้ำโขงในแขวงเกาะแก้ว สปป.ลาว

สำหรับเขาและเครือข่าย ภาพรวมทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญวิกฤต “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” ที่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยความร่วมมือข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการกดดันทุนข้ามชาติ ระบบตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของแร่หายากในตลาดโลก หรือการใช้เวทีภูมิภาค เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เป็นพื้นที่เจรจากับประเทศต้นน้ำและจีน

แต่ในขณะที่กระบวนการทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศยังต้องใช้เวลา ประชาชนปลายน้ำ “ไม่อาจรอได้” ทางออกที่ทำได้ทันที จึงกลับมาที่โจทย์เดิม – ย้ายแหล่งน้ำดิบเพื่อหยุดความเสี่ยงโดยตรงต่อชีวิตผู้คนก่อน

ย้ายแหล่งน้ำ ทางหนีไฟที่จำเป็น แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

สำหรับจังหวัดเชียงรายซึ่งกำลังถูกผลักดันให้เป็น “เมืองเศรษฐกิจและศูนย์กลางชายแดน” การมีระบบน้ำประปาที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และรองรับการเติบโตของครัวเรือนจากราวสี่หมื่นกว่าครัวเรือนสู่หกหมื่นกว่าครัวเรือนในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ไม่ใช่เพียงประเด็นเทคนิคด้านสาธารณูปโภค แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานของความเชื่อมั่น” ต่อเมืองทั้งระบบ

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปแม่น้ำลาวจึงเปรียบเสมือน “ทางหนีไฟ” ของเมืองเชียงรายในภาวะวิกฤต เป็นมาตรการที่ต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อปกป้องสิทธิในการมีชีวิตและน้ำสะอาดของประชาชน

อย่างไรก็ดี นักวิชาการ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นล้วนเห็นพ้องว่า การย้ายแหล่งน้ำไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากปราศจากการจัดการต้นตอปัญหาในรัฐฉานและลุ่มน้ำเพื่อนบ้าน ผ่านการเจรจาระดับรัฐต่อรัฐ การกดดันทุนข้ามชาติ และการสร้างกลไกตรวจสอบแหล่งแร่ในห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างจริงจัง

สุดท้าย ความสำเร็จของมาตรการครั้งนี้จะไม่ได้วัดเพียงจากตัวเลขงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ หรือจำนวนครัวเรือนที่เชื่อมต่อระบบประปาเพิ่มขึ้น หากแต่วัดจาก “จำนวนคนเชียงรายที่กลับมากล้าเปิดก๊อกดื่มน้ำในบ้านตัวเอง” และจากวันที่แม่น้ำกกจะไม่ถูกกล่าวถึงในฐานะ “แม่น้ำที่ต้องหนี” หากแต่กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตคนเชียงรายอีกครั้ง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สถาบัน Stimson Center
  • The Active – บทสัมภาษณ์ รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์, มธุรส เปล่งใส, รัตติกร แสงสุวรรณ, ปรัตถกร การเร็ว และชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำกก
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้เช่าเฮ! 4.88 บาท ต่อหน่วย คือเพดานสูงสุด ค่าไฟอพาร์ตเมนต์ ตามกฎหมายใหม่ สคบ.

รัฐบาลเดินหน้า “Quick Big Win” คุมค่าไฟหอพัก–อพาร์ตเมนต์ทั่วประเทศ ห้ามเกิน 4.88 บาทต่อหน่วย เชื่อมเกมคุมค่าครองชีพกับโครงสร้างตลาดเช่าเชียงราย

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่ถาโถมเข้าหาแรงงานเมืองและนักศึกษาทั่วประเทศ “ค่าน้ำ–ค่าไฟ” ในหอพักและอพาร์ตเมนต์ได้กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่ผู้เช่ารู้สึกว่าควบคุมไม่ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่ออัตราที่เรียกเก็บมักสูงกว่าราคาที่รัฐกำหนด และมีการบวกกำไรส่วนต่างโดยที่ผู้เช่าไม่มีอำนาจต่อรอง

ในบริบทเช่นนี้ รัฐบาลจึงประกาศเดินหน้า ปฏิบัติการ “Quick Big Win” เพื่อคุมเพดานค่าไฟฟ้าสำหรับธุรกิจให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยทั่วประเทศ ทั้งหอพักและอพาร์ตเมนต์ โดย กำหนดอัตราสูงสุดไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย พร้อมทั้งห้ามเรียกเก็บค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าเกินกว่าอัตราที่หน่วยงานรัฐกำหนด และห้าม “บวกกำไรส่วนต่าง” จากค่าสาธารณูปโภคดังกล่าว

มาตรการนี้ไม่ได้มองแค่ตัวเลขในใบแจ้งหนี้ แต่ต้องการวาง “บรรทัดฐานใหม่” ให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยทั้งประเทศเดินอยู่ในกรอบที่เป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีโครงสร้างตลาดเช่าพิเศษอย่างเชียงราย ซึ่งกำลังเผชิญทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระดับสูง และการพึ่งพาที่อยู่อาศัยแบบเช่าเป็นหลักของประชากรกลุ่มใหญ่

เมื่อค่าไฟเกินจริงกลายเป็นคำถามใหญ่ ทำไมต้อง Quick Big Win

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การร้องเรียนเรื่อง “ค่าน้ำ–ค่าไฟแพงผิดปกติ” ในหอพักและอพาร์ตเมนต์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านมหาวิทยาลัยและเมืองใหญ่ ที่ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและผู้มีรายได้จำกัด หลายคนพบว่าค่าไฟที่ถูกเรียกเก็บต่อหน่วยสูงกว่าราคาที่การไฟฟ้าฯ คิดกับเจ้าของอาคารอย่างมีนัยสำคัญ

รัฐบาลจึงใช้ปฏิบัติการ “Quick Big Win” เป็นเครื่องมือเร่งด่วน โดยกำหนดชัดว่า

  • อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับหอพัก–อพาร์ตเมนต์ต้องไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย
  • การเรียกเก็บค่าน้ำ–ค่าไฟต้องอ้างอิงจากอัตราที่หน่วยงานรัฐกำหนด
  • ห้ามบวกกำไรส่วนต่างจากค่าสาธารณูปโภค ตาม ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ. 2568

กล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐบาลกำลังส่งสัญญาณว่า “ค่าน้ำ–ค่าไฟ” ต้องสะท้อนต้นทุนจริงตามโครงสร้างของรัฐ ไม่ใช่เป็นแหล่งสร้างรายได้ส่วนเกินของผู้ประกอบการที่อยู่นอกสายตาผู้เช่า

จากตัวหนังสือสู่ภาคสนาม ตรวจเข้มพื้นที่นำร่องรอบธรรมศาสตร์ รังสิต

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นายอรุณ คงเจริญ ที่ปรึกษาฯ ร่วมกับ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หน่วยงานท้องถิ่น ตำรวจภูธรคลองหลวง และองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ลงพื้นที่ตรวจอพาร์ตเมนต์และหอพักโดยรอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ

  1. รณรงค์และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ให้ปรับอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟให้สอดคล้องกับกฎหมายและเพดาน 4.88 บาทต่อหน่วย
  2. กวดขันการบังคับใช้กฎหมายจริง เพื่อให้ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา พ.ศ. 2568 ไม่ใช่เพียงกระดาษหนึ่งใบ แต่เป็นกรอบปฏิบัติที่ใช้ได้ในชีวิตจริงของผู้เช่า

นายอรุณย้ำว่า รัฐบาลเลือกย่านหอพักรอบธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นพื้นที่นำร่อง เพราะเป็นจุดที่มีผู้เช่าจำนวนมากและสะท้อนปัญหาที่พบทั่วประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเมืองมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาเจอแรงกดดันทั้งค่าเทอม ค่าเดินทาง และค่าที่พักไปพร้อมกัน

สคบ. ในบทบาท “เกราะกำบัง” ผู้เช่า จากรับเรื่องร้องเรียน สู่การทำงานเชิงรุก

เลขาธิการ สคบ. ระบุชัดว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ได้หยุดอยู่ที่การรอรับเรื่องร้องเรียน แต่จะเดินหน้าเชิงรุกเต็มรูปแบบ โดย

  • สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการใหม่
  • ตรวจสอบรูปแบบสัญญาเช่าที่พักอาศัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ออกใหม่
  • ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคตั้งแต่ “ก่อนเกิดปัญหา”

การปรับสัญญาเช่าตามมาตรฐาน สคบ. จึงไม่ใช่เพียง ข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อน มาตรฐานจริยธรรมของธุรกิจเช่าที่พัก ที่ต้องเคารพสิทธิของผู้บริโภคควบคู่กันไป

เมื่อผู้เช่าไม่ต้องยืนลำพัง ช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงได้จริง

เพื่อให้มาตรการ Quick Big Win มี “เขี้ยวเล็บ” ที่จับต้องได้ สคบ.ได้เปิดและเน้นย้ำช่องทางให้ประชาชนใช้ปกป้องสิทธิของตัวเอง หากพบว่าถูกเรียกเก็บค่าน้ำ–ค่าไฟเกินจริง หรือสัญญาเช่าไม่เป็นธรรม ผู้เช่าสามารถ

  • โทรศัพท์สายด่วน สคบ. 1166
  • ยื่นเรื่องผ่านแอปพลิเคชัน OCPB Connect
  • ส่งคำร้องผ่านเว็บไซต์ www.ocpb.co.th
  • ใช้ระบบ Traffy Fondue ในการแจ้งปัญหา

ช่องทางเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อลด “ช่องว่างเชิงอำนาจ” ระหว่างผู้เช่าและผู้ประกอบการ ทำให้ผู้เช่ามีที่พึ่งพิงที่ชัดเจน และมีหน่วยงานที่พร้อมรับเรื่องและดำเนินการตามกฎหมาย

เชียงรายในกระจกนโยบายค่าไฟ เมืองที่คนอยากซื้อแต่ต้องเช่า

เมื่อซูมจากนโยบายระดับชาติลงมาที่จังหวัดเชียงราย ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการคุมเพดานค่าไฟ 4.88 บาทต่อหน่วย มีความหมายมากกว่าที่เห็นในตัวเลข

จาก รายงานการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจังหวัดเชียงราย ปี 2567–2568 พบว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม–สิงหาคม)

  • มูลค่าและจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงประมาณ 20–25% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • สถาบันการเงินมีนโยบายเข้มงวด ดันให้ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 70–80% ของผู้ยื่นขอสินเชื่อทั้งหมด

ผลลัพธ์คือประชาชนจำนวนมากที่ตั้งใจจะ “ซื้อบ้าน” กลับไม่สามารถผ่านการอนุมัติสินเชื่อ และถูก “ผลัก” ให้ต้องอยู่ในตลาดเช่าต่อไป สถานการณ์นี้สร้างสิ่งที่รายงานเรียกว่า อุปสงค์เช่าที่ถูกบังคับ” (Mandatory Rental Demand)

ขณะเดียวกัน ข้อมูล ณ ครึ่งแรกของปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีหน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขายรวม 2,758 หน่วย แต่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงถึง 2,656 หน่วย ซึ่งสะท้อนภาวะอุปทานล้นตลาดในฝั่งโครงการบ้านจัดสรร และเป็นแรงจูงใจให้เจ้าของทรัพย์สินจำนวนหนึ่งหันมา “ปล่อยเช่า” แทนการขาย

กล่าวโดยสรุปคือ เชียงรายกำลังอยู่ในภาวะที่

  • คนจำนวนมาก “อยากซื้อแต่ซื้อไม่ได้”
  • บ้านจำนวนมาก “ขายไม่ออก ต้องเปลี่ยนมาให้เช่า”
  • ตลาดเช่ากลายเป็น “ทางออกหลัก” ของทั้งผู้บริโภคและผู้ถือครองทรัพย์สิน

ในบริบทเช่นนี้ ค่าคอนโด–ค่าหอพัก–ค่าน้ำ–ค่าไฟ จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนระดับกลางและล่างจำนวนมากในจังหวัด

โครงสร้างตลาดเช่าเชียงราย เมืองแห่ง “ห้องเช่ารอบมหาวิทยาลัย”

รายงานการวิเคราะห์ตลาดเช่าฯ ระบุว่า อุปทานห้องพักให้เช่าในเชียงราย มีลักษณะกระจุกตัวสูงในเขต “ศูนย์กลางการศึกษา” โดยเฉพาะ

  1. คลัสเตอร์รอบมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)
    • เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของหอพัก–อพาร์ตเมนต์สูงที่สุด
    • มีการลงทะเบียนที่พักให้เช่ามากถึง 60 รายการ
    • รองรับทั้งนักศึกษาและคนทำงานที่เกี่ยวข้องกับสนามบินแม่ฟ้าหลวง
  2. คลัสเตอร์วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย
    • มีจำนวนการลงทะเบียนที่พักให้เช่า 55 รายการ
    • รองรับนักศึกษาสายอาชีพและแรงงานในพื้นที่
  3. คลัสเตอร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
    • มีการลงทะเบียนที่พักให้เช่าจำนวน 32 รายการ
    • เป็นศูนย์รวมที่อยู่อาศัยเช่าระดับปานกลางในเขตเมืองรอง

กลุ่มผู้เช่าหลักของตลาดนี้คือ นักศึกษา ที่มีความอ่อนไหวต่อราคาอย่างมาก โดยช่วงค่าเช่าที่พบส่วนใหญ่อยู่ที่ 2,500–3,500 บาทต่อเดือน สำหรับหอพักและห้องสตูดิโอขนาดเล็กในเขตเมืองหรือใกล้สถานศึกษา

ในขณะที่ตลาดระดับกลางถึงสูง เช่น คอนโดมิเนียมหรืออพาร์ตเมนต์คุณภาพ จะอยู่ในช่วง 5,000–10,000 บาทต่อเดือน โดยมีผู้เช่าเป็นกลุ่มคนทำงานระดับมืออาชีพ ผู้บริหาร และชาวต่างชาติ ซึ่งมักกระจุกตัวในเขตอำเภอเมืองและโซนสนามบิน–บ้านดู่

จุดตัดสำคัญ เมื่อ “ค่าไฟไม่เกิน 4.88 บาท” มาบรรจบกับ “ค่าเช่าสำหรับคนที่ไม่มีทางเลือก”

หากพิจารณาจากโครงสร้างตลาดเช่าเชียงรายจะพบว่า

  • กลุ่มนักศึกษาและผู้มีรายได้เริ่มต้นจำนวนมาก เช่าอยู่ในตลาดหอพักราคาประหยัด 2,500–3,500 บาทต่อเดือน
  • กลุ่มคนทำงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์สินเชื่อ ต้องเช่าในตลาดระดับกลาง 3,500–6,000 บาทต่อเดือน
  • ภาวะปฏิเสธสินเชื่อ 70–80% ทำให้คนจำนวนมาก “จำเป็นต้องเช่า” ต่อไปในระยะกลางถึงยาว

ในสภาพที่ประชาชนไม่สามารถเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้เช่า” เป็น “ผู้ซื้อบ้าน” ได้อย่างที่หวัง ค่าใช้จ่ายคงที่ในแต่ละเดือนอย่างค่าน้ำ–ค่าไฟยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นในสมการชีวิต หากผู้ประกอบการคิดค่าไฟในอัตราที่สูงกว่าที่รัฐกำหนด หรือบวกกำไรจากสาธารณูปโภคโดยไม่มีความโปร่งใส คนเช่าก็แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำยอมรับภาระนั้น

การที่รัฐบาลกำหนดเพดานค่าไฟ ไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย และห้ามบวกกำไรจากค่าน้ำ–ค่าไฟ จึงมีผลเป็น “เกราะชั้นแรก” ที่ช่วยให้

  • นักศึกษาในหอพักรอบมหาวิทยาลัย
  • ครอบครัวแรงงานในเมือง
  • คนทำงานที่กำลังผ่อนชำระค่าเช่าแทนค่าผ่อนบ้าน

สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ชัดเจนขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะถูกเอาเปรียบจากโครงสร้างราคาที่ไม่เป็นธรรม

มาตรฐานสัญญาเช่าใหม่ ปิดช่องโหว่ธุรกิจ “กินส่วนต่างสาธารณูปโภค”

การนำ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ. 2568 มาใช้ร่วมกับปฏิบัติการ Quick Big Win ทำให้สัญญาเช่าที่พักอาศัยในเชียงรายและทั่วประเทศ ต้องปรับตัวในหลายมิติ เช่น

  • ระบุอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟ “ผูกกับอัตราหน่วยงานรัฐ”
  • ไม่เปิดช่องให้เรียกเก็บในอัตราเหมาจ่ายที่ไม่สะท้อนต้นทุนจริง
  • ทำให้ผู้เช่าสามารถตรวจสอบความถูกต้องของอัตราค่าสาธารณูปโภคได้จากเอกสารแยก

สำหรับเชียงราย ซึ่งมีทั้งอุปทานแบบทางการ (หอพัก–อพาร์ตเมนต์) และอุปทานแบบไม่เป็นทางการ (บ้านจัดสรรเหลือขายที่ถูกนำมาปล่อยเช่า) มาตรฐานสัญญาใหม่จะช่วยปิดช่องว่างระหว่างสองระบบ ลดความเสี่ยงที่เจ้าของทรัพย์สินบางรายจะใช้ “ช่องว่างความรู้ทางกฎหมาย” ของผู้เช่าเป็นโอกาสในการเก็บค่าน้ำ–ค่าไฟเกินจริง

ผลกระทบเชิงโครงสร้าง เมื่อกฎหมายแตะพร้อมกันทั้ง “ห้องเช่าเล็ก” และ “กลยุทธ์นักลงทุน”

ในเชิงโครงสร้างตลาดทุน รายงานวิเคราะห์ตลาดเช่าเชียงรายชี้ว่า ช่วงปี 2567–2568 ไม่ใช่เวลาของการลงทุนสร้างโครงการใหม่ขนาดใหญ่ แต่เป็นยุคของการ เพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เดิม” (Asset Optimization) เช่น การเข้าซื้อหอพักเก่า ปรับปรุงใหม่ แล้วปล่อยเช่าต่อในทำเลที่มีอุปสงค์สูงอย่างคลัสเตอร์ มฟล. และวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย

เมื่อเพดานค่าไฟ 4.88 บาทต่อหน่วยและเพดานค่าน้ำตามอัตราหน่วยงานรัฐถูกบังคับใช้จริง นักลงทุนที่หวังจะสร้างผลตอบแทนเพิ่มจากการบวกกำไรค่าสาธารณูปโภคจะต้อง “ปรับโมเดลธุรกิจ” ไปเน้นที่

  • คุณภาพห้องพัก
  • การบริการและการจัดการมืออาชีพ
  • สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบรักษาความปลอดภัย และการดูแลส่วนกลาง

กล่าวคือ รายได้ต้องมาจาก “มูลค่าเพิ่มที่แท้จริง” ไม่ใช่จาก “ส่วนต่างของบิลค่าน้ำ–ค่าไฟ”

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เช่าก็จะสามารถประเมินได้ชัดเจนขึ้นว่า ห้องพักที่มีค่าไฟตามเพดานกฎหมายและค่าน้ำตามมาตรฐาน แต่มีบริการและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่าห้องที่คิดค่าสาธารณูปโภคแพงโดยไม่มีเหตุผลรองรับ

จากตัวเลข 4.88 บาท สู่คำถามเรื่อง “ความเป็นธรรมในเมืองที่คนต้องเช่า”

มาตรการคุมค่าไฟหอพัก–อพาร์ตเมนต์ไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย และการห้ามบวกกำไรจากค่าน้ำ–ค่าไฟ อาจถูกมองว่าเป็นเพียง “ตัวเลขเล็ก ๆ” ในใบแจ้งหนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากบริบทของจังหวัดเชียงรายในปี 2567–2568 ซึ่ง

  • ตลาดบ้านเพื่อขายหดตัว มูลค่าและจำนวนโอนลดลง 20–25%
  • อัตราปฏิเสธสินเชื่อบ้านสูงถึง 70–80%
  • ที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงถึง 2,656 หน่วย
  • ตลาดเช่ากลายเป็นทางเลือกหลักของนักศึกษา คนทำงาน และครัวเรือนรายได้ปานกลาง–ต่ำ

ตัวเลข 4.88 บาทต่อหน่วย จึงไม่ใช่เพียงค่าไฟ แต่คือ “สัญลักษณ์” ของความพยายามในการจัดสมดุลระหว่าง

  • สิทธิของผู้เช่าที่ต้องการความเป็นธรรมและสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้
  • สิทธิของผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัวให้ธุรกิจอยู่ได้ โดยไม่อาศัยช่องว่างกฎหมายเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค

ท้ายที่สุด ความสำเร็จของปฏิบัติการ Quick Big Win จะไม่ได้วัดเพียงจากจำนวนหอพักที่ถูกตรวจหรือจำนวนสัญญาเช่าที่ปรับแก้ แต่จะวัดจากจำนวนผู้เช่าที่ “รู้สิทธิ” ของตนเอง จำนวนผู้ประกอบการที่ยอมรับมาตรฐานใหม่ และจำนวนข้อพิพาทด้านค่าน้ำ–ค่าไฟที่ลดลงในระยะยาว

สำหรับเชียงราย เมืองที่คนจำนวนมากอยากมีบ้านของตนเองแต่ถูกบังคับให้เช่า การที่รัฐเข้ามาจัดระเบียบค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างจริงจัง อาจเป็นหนึ่งใน “ก้าวเล็กเชิงตัวเลข” ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย และเป็นก้าวสำคัญของความเป็นธรรมด้านสาธารณูปโภคในชีวิตประจำวันของผู้คน

 

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) – ข้อมูลปฏิบัติการ “Quick Big Win” และการกำหนดอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟสำหรับธุรกิจให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย
  • ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ. 2568 – กรอบกฎหมายที่กำหนดเพดานค่าสาธารณูปโภคและมาตรฐานสัญญาเช่า
  • สำนักนายกรัฐมนตรี – ข้อมูลการมอบหมายภารกิจของนายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจอพาร์ตเมนต์รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค – ข้อมูลช่องทางร้องเรียนและขอคำปรึกษา สายด่วน 1166, แอป OCPB Connect, เว็บไซต์ www.ocpb.co.th และระบบ Traffy Fondue
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดขบวนรุ่น 2 พสกนิกร 230 คน ถวายบังคมพระบรมศพอย่างเป็นระบบ

นครเชียงรายรุ่นที่ 2 ออกเดินทางถวายบังคมพระบรมศพ “สมเด็จพระพันปีหลวง” เปิดพื้นที่แห่งความอาลัยให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – ในห้วงเวลาแห่งความโศกอาดูรที่แผ่คลุมไปทั่วประเทศ เทศบาลนครเชียงรายได้ขยับบทบาทสำคัญในการเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกับพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดขบวนพสกนิกรชาวนครเชียงราย “รุ่นที่ 2” เดินทางไปกราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างทั่วถึง

ภายใต้บริบทที่ประชาชนจำนวนมากในต่างจังหวัดอาจมีข้อจำกัดด้านระยะทาง ค่าใช้จ่าย และการจัดการเดินทางด้วยตนเอง การที่เทศบาลนครเชียงรายลุกขึ้นมาจัดระบบการเดินทางอย่างเป็นรูปธรรมจึงสะท้อน “บทบาทของท้องถิ่น” ในการแปลงความจงรักภักดีให้กลายเป็นโอกาสและการเข้าถึงอย่างเป็นธรรมสำหรับทุกกลุ่มประชาชน

ขบวนรุ่นที่ 2 จากอาคารเทิดพระเกียรติฯ สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

เมื่อเวลา 17.00 น. วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารเทิดพระเกียรติ 90 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ เทศบาลนครเชียงรายได้จัดพิธีปล่อยขบวนรถอย่างเป็นทางการ บรรยากาศในช่วงเย็นเต็มไปด้วยความสงบ สำรวม และเปี่ยมด้วยความหมาย

ขบวนพสกนิกรชาวนครเชียงราย “รุ่นที่ 2” จำนวน 230 คน ถูกจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบ ก่อนทยอยขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ 5 คัน เพื่อออกเดินทางสู่กรุงเทพมหานคร เป้าหมายคือการเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

พิธีปล่อยขบวนได้รับเกียรติจาก
– นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย
– ร.ต.อ.ดร. ธนรัช จงสุทธานามณี อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
– คณะผู้บริหารเทศบาล
– สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย
– ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนหนึ่ง

ทุกคนร่วมยืนส่งขบวนด้วยความสำรวม สะท้อนถึงความพร้อมทั้งด้าน “จิตใจ” และ “การบริหารจัดการ” ในการนำคณะพสกนิกรออกเดินทางในครั้งนี้

ระบบการเดินทางที่วางแผนล่วงหน้า เมื่อความอาลัยต้องเดินคู่กับความปลอดภัย

เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เทศบาลนครเชียงรายได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเชิงปฏิบัติการอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การจัดสรรยานพาหนะไปจนถึงการดูแลตลอดเส้นทาง

เทศบาลนครเชียงรายจัดเตรียมรถบัสจำนวน 5 คัน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำรถทุกคัน เพื่อทำหน้าที่
– อำนวยความสะดวกในการเดินทาง
– ดูแลความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทาง
– ประสานงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ในระดับการควบคุมขบวน นายภาธร์ รังษีกุลพิพัฒน์ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกสภาเทศบาล นางสาวปภาวินี คำโพนงาม ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลและนำขบวนประชาชนตลอดการเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง

การมีผู้บริหารระดับรองนายกเทศมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการร่วมเดินทางไปกับประชาชน ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการ “ลงพื้นที่เคียงข้างประชาชน” แต่ยังช่วยให้การตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางสามารถทำได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

กำหนดการแบบรอบ เปิดทางให้ประชาชนเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้การเปิดโอกาสแก่ประชาชนมีความทั่วถึง ไม่ใช่เพียงการจัดครั้งเดียว เทศบาลนครเชียงรายได้ออกแบบ “ระบบรอบการเดินทาง” อย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้แก่

  • รอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 25–28 พฤศจิกายน 2568
  • รอบที่ 3 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2568

การแบ่งรอบลักษณะนี้ช่วยให้ประชาชนจากหลายชุมชน หลายเขตในพื้นที่นครเชียงราย สามารถทยอยลงทะเบียนและเข้าร่วมได้ตามความพร้อม ลดความแออัด ลดความเสี่ยงด้านสาธารณสุข และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเทศบาล

แม้ตัวเลข 230 คนในรุ่นที่ 2 อาจดูไม่ใช่ตัวเลขมหาศาล หากมองในมุมสถิติระดับประเทศ แต่ในเชิงพื้นที่ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึง “ความตั้งใจเชิงนโยบาย” ที่ต้องการให้กลุ่มประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มีโอกาสเดินทางไปถวายบังคมพระบรมศพ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยต้นทุนและข้อจำกัดส่วนบุคคล

ความหมายเชิงสังคม พื้นที่แห่งความอาลัยที่ไม่จำกัดแค่คนเมืองหลวง

การเดินทางของขบวนพสกนิกรนครเชียงรายรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ มีความหมายเกินกว่า “ภารกิจหนึ่งทริป” เนื่องจากสะท้อนมิติสำคัญอย่างน้อยสามประการ ดังนี้

การสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงพระราชพิธีสำคัญ
ประชาชนในจังหวัดชายขอบหรือจังหวัดห่างไกลจากศูนย์กลางมักมีข้อจำกัดด้านระยะทาง เวลา และค่าใช้จ่าย การที่เทศบาลนครเชียงรายเข้ามามีบทบาทในการจัดการเดินทางอย่างเป็นระบบ ทำให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ คนทำงาน หรือคนที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินทางไกล สามารถเข้าถึงพระราชพิธีสำคัญได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น

การแปร “ความอาลัยส่วนบุคคล” สู่ “การร่วมไว้อาลัยในฐานะชุมชน”
เมื่อประชาชนเดินทางเป็นขบวนในนาม “นครเชียงราย” การแสดงความอาลัยจึงมีมิติของความเป็นชุมชนเข้ามาเสริม ไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลและครอบครัว แต่สะท้อนถึงการรวมพลังของคนทั้งเมืองที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

การยืนยันบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงเหตุการณ์ระดับชาติ
การจัดการครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เทศบาลไม่ได้มีบทบาทเพียงด้านสาธารณูปโภคหรือโครงการพัฒนาเมือง แต่ยังมีภารกิจด้าน “จิตวิญญาณสาธารณะ” ในการออกแบบช่องทางให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความผูกพันและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณร่วมกัน

ภาพสะท้อนเชิงบริหารจัดการ เมื่อสวัสดิการสังคมเดินคู่กับศักดิ์ศรีประชาชน

บทบาทของกองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งมีนางสาวปภาวินี คำโพนงาม เป็นผู้อำนวยการ มีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการนี้ เพราะต้องทำงาน “สองมิติ” ควบคู่กันไป ได้แก่

  1. การบริหารจัดการด้านสวัสดิการ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว การจัดเตรียมยา การกำหนดเวลาแวะพัก และการจัดการความปลอดภัยตลอดเส้นทาง
  2. การรักษาศักดิ์ศรีและความรู้สึกของผู้ร่วมเดินทาง ให้ทุกคนรู้สึกว่าไม่ได้เป็น “ผู้รับความช่วยเหลือ” แต่เป็น “ตัวแทนของนครเชียงราย” ที่เดินทางไปแสดงความอาลัยในฐานะพสกนิกรของพระองค์ท่าน

การผสมผสานสองมิตินี้ทำให้การเดินทางไม่ได้เป็นเพียง “ทริป” แต่เป็นการเดินทางที่มีความหมาย มีการออกแบบเชิงสังคม และมีระบบรองรับประชาชนอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอน

เชื่อมเหตุการณ์สู่การตัดสินใจในอนาคต บทเรียนจากการจัดขบวนรุ่นที่ 2

จากการจัดขบวนพสกนิกรรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ เทศบาลนครเชียงรายย่อมได้รับ “บทเรียนเชิงระบบ” ที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการเหตุการณ์สำคัญอื่นในอนาคต ทั้งในด้านพิธีการ การเดินทางระยะไกล และการดูแลกลุ่มประชาชนขนาดใหญ่

ในเชิงปฏิบัติ การกำหนดรอบการเดินทางที่ชัดเจน การจัดสรรยานพาหนะและเจ้าหน้าที่ประจำรถ การมีผู้บริหารระดับสูงร่วมกำกับการเดินทาง และการเตรียมข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้า ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วม และสร้างมาตรฐานในการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ในเชิงสังคม การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวงอย่างเป็นระบบ ช่วยตอกย้ำความผูกพันระหว่างประชาชนกับสถาบันหลักของชาติ และสะท้อนให้เห็นว่า แม้ระยะห่างทางภูมิศาสตร์จะไกล แต่ “ระยะห่างทางจิตใจ” สามารถถูกย่นย่อได้ ผ่านการบริหารจัดการที่ตั้งอยู่บนหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

นครเชียงรายในห้วงเวลาแห่งการไว้อาลัยของชาติ

การจัดขบวนพสกนิกรนครเชียงรายรุ่นที่ 2 เดินทางไปถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการ “เดินทางจากเชียงรายสู่กรุงเทพฯ” หากแต่เป็นการเดินทางที่เชื่อมต่อ “หัวใจของผู้คนในท้องถิ่น” เข้ากับ “หัวใจของชาติ”

ภายใต้จำนวน 230 คน รถบัส 5 คัน เจ้าหน้าที่ประจำรถทุกคัน ผู้บริหารที่ร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด และการกำหนดรอบการเดินทางที่ครอบคลุมตลอดช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้จากบรรยากาศ คือความตั้งใจของเทศบาลนครเชียงรายในการทำให้ “คำว่าโอกาสอย่างทั่วถึง” เกิดขึ้นจริง

สำหรับผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารเชิงลึก เหตุการณ์นี้อาจเป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่ “นโยบายเชิงสัญลักษณ์” ด้านความจงรักภักดี สามารถถูกออกแบบและขับเคลื่อนผ่านกลไกของท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อการจัดการครั้งนี้เดินหน้าไปพร้อมกับความสำรวม ความเคารพ และการบริหารสาธารณะอย่างมืออาชีพ ก็ยิ่งทำให้ภาพของนครเชียงรายในฐานะเมืองที่ไม่ทอดทิ้งประชาชนในห้วงเวลาแห่งความสูญเสีย ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT-เทศบาลนครเชียงราย จับมือแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบิน ผลักดันเที่ยวบินยูนนาน

AOT จับมือเทศบาลนครเชียงราย แก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าดึงเที่ยวบินยูนนาน–ไทย ยกระดับเมืองสู่ประตูเศรษฐกิจใหม่

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ขยับยุทธศาสตร์สำคัญในภาคเหนือ เมื่อคณะผู้บริหารเดินทางเข้าพบนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณโดยรอบท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ควบคู่กับการวางมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การหารือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่กำลังจะมีการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA อย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับบทบาทของเชียงรายในฐานะสนามบินสำคัญของภูมิภาค และประตูสู่การท่องเที่ยวและโลจิสติกส์สายเหนือ–จีนตอนใต้ในอนาคต

ระดับพื้นที่ ร่วมวางรากฐานใหม่ เริ่มจากแก้น้ำท่วมและขยายเขตเมืองรอบสนามบิน

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เทศบาลนครเชียงรายนำโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยนายภาธร์ รังษีกุลพิพัฒน์ รองนายกเทศมนตรี และนายวินัย โซนี่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาเมือง ให้การต้อนรับนางสาวสิริกัญ วนัสบดีกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และรองผู้อำนวยการฝ่ายท่าอากาศยาน พร้อมคณะ

การพบปะครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

  1. ประชาสัมพันธ์โครงการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  2. หารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณโดยรอบสนามบิน ควบคู่กับการวางมาตรการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ปัญหาน้ำท่วมรอบสนามบินถูกมองว่าเป็น “ข้อจำกัดเชิงกายภาพและความปลอดภัย” ที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะเกี่ยวข้องกับทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบระบายน้ำ ความเชื่อมั่นของสายการบิน และความปลอดภัยของผู้โดยสาร หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ไม่เพียงกระทบภาพลักษณ์สนามบิน แต่ยังอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่อง “การขยายเขตพื้นที่ให้ครอบคลุมบริเวณสนามบิน” เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และการบริการนักท่องเที่ยวเดินไปในทิศทางเดียวกัน การวางเขตเมืองที่ชัดเจนจะช่วยให้การจัดการถนน ระบบขนส่งสาธารณะ ป้ายสัญลักษณ์ รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินมีเอกภาพ และสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแท้จริง

เชียงรายในสายตา AOT จากสนามบินภูมิภาค สู่ฟันเฟืองเชื่อมยูนนาน–ไทย

อีกประเด็นสำคัญในการหารือครั้งนี้ คือ แผนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างยูนนาน–ไทย เพื่อผลักดันการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินตรงสู่จังหวัดเชียงรายโดยตรง แนวทางดังกล่าวถูกมองว่าเป็น “กุญแจเศรษฐกิจ” สำคัญของเชียงราย เพราะจังหวัดมีจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ ทั้งการเป็นประตูการค้าชายแดน การเชื่อมโยงจีนตอนใต้ เมียนมา และลาว และมีบทบาทในด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม

หากเที่ยวบินตรงระหว่างยูนนาน–เชียงรายเกิดขึ้นจริง จะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง เพิ่มความสะดวกให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ และเปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการในเมืองและรอบจังหวัดได้ขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดจีนตอนใต้โดยตรง

ความร่วมมือนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มตัวเลขผู้โดยสารสนามบิน แต่ยังหมายถึงการเชื่อมเศรษฐกิจชายแดน การค้า การลงทุน และการสร้างเครือข่ายเมืองท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงบนฐานการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ

มองจากระดับประเทศ AOT โตต่อเนื่อง รายได้และผู้โดยสารขยับขึ้นพร้อมกัน

เพื่อรองรับทิศทางการพัฒนาของสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงราย จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยัง “ศักยภาพขององค์กร” ที่ดูแลสนามบินหลักของประเทศอย่าง AOT ด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทในปีงบประมาณ 2568 (ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) ว่า AOT มีรายได้จากกิจการการบินรวม 33,047.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,046.83 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6

เมื่อรวมทุกประเภทรายได้ AOT มีรายได้รวมทั้งสิ้น 68,586.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.12 และมีกำไรสุทธิรวม 18,125.20 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน แต่อุตสาหกรรมการบินไทยภายใต้การบริหารจัดการของ AOT กำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ

ด้านปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในสังกัด AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีเที่ยวบินรวม 788,095 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.56 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 444,944 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 343,151 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารใช้บริการรวมทั้งสิ้น 125,989,505 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.61 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 76,636,387 คน และผู้โดยสารภายในประเทศ 49,353,118 คน ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า การเดินทางทางอากาศกลับมาเป็นหัวใจสำคัญของการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง และเป็นฐานสำคัญในการต่อยอดสนามบินภูมิภาคให้ก้าวไปสู่บทบาทใหม่

สุวรรณภูมิในฐานะ Hub ระดับโลก ตัวอย่างมาตรฐานที่เชียงรายต้องเทียบเคียง

ในบรรดาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ยังเป็นตัวหลักที่แบกรับจำนวนผู้โดยสารกว่า 62 ล้านคนต่อปี และถือเป็น “หน้าตา” ของระบบการบินไทยในระดับสากล

ทสภ.ได้รับการจัดอันดับสำคัญจากหลายสถาบัน อาทิ

  • อันดับที่ 7 สนามบินที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทางอากาศ
  • อันดับที่ 9 สนามบินที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศสูงสุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง จาก ACI APAC&MID
  • อันดับที่ 12 ของโลก ในกลุ่ม Global Airport Megahubs 2025 จาก OAG
  • ติดอันดับท็อป 10 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกจาก Condé Nast Traveler
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ 4 ดาว จาก Skytrax

การได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติเหล่านี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการยกระดับบริการภายในสนามบินอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มจุดลงทะเบียนใบหน้าผ่านระบบ Biometric สำหรับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เพื่อลดขั้นตอนการแสดงเอกสาร และการขยายจุดติดตั้ง Auto Channel บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมืองทั้งขาเข้าและขาออก เพื่อให้การตรวจคนเข้าเมืองราบรื่น รวดเร็ว และปลอดภัย

มาตรฐานที่ทสภ.วางไว้ จึงกลายเป็น “แรงขับเคลื่อนเชิงคุณภาพ” ที่ส่งผลไปถึงสนามบินอื่นในสังกัด AOT รวมถึงแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงยกระดับขีดความสามารถเช่นกัน

จากมาตรฐานระดับโลก สู่สนามบินภูมิภาค หมุดหมายใหม่ของแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

แม้การเติบโตของผู้โดยสารท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปัจจุบันจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรวมของทั้ง 6 ท่าอากาศยาน แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ สนามบินแห่งนี้กลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นประตูสู่ภาคเหนือและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

การที่ AOT และเทศบาลนครเชียงรายจับมือกันแก้ปัญหาน้ำท่วมและวางแผนขยายเขตพื้นที่เมืองให้ครอบคลุมสนามบิน ถือเป็นการ “ปรับฐานโครงสร้าง” ให้พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต เมื่อผนวกกับแผนดึงเที่ยวบินยูนนาน–ไทย เข้าสู่เชียงรายโดยตรง สนามบินแม่ฟ้าหลวงจึงมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็น “จุดเชื่อมต่อการเดินทางและโลจิสติกส์” ที่สำคัญของภูมิภาค

ด้าน AOT เองยืนยันว่า จะเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานในความรับผิดชอบทุกมิติ ทั้งบริการ เทคโนโลยี ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ‘World Class Hospitality’ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสาร แนวคิดนี้หากถูกนำมาปรับใช้กับแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อย่างจริงจัง จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์สนามบินให้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงสนามบินภูมิภาค ไปสู่สนามบินที่นักเดินทางจดจำในเชิง “ประสบการณ์และความประทับใจ”

ผลกระทบเชิงลึกต่อชุมชน เมื่อการแก้น้ำท่วมเชื่อมโยงกับปากท้องและโอกาสทางเศรษฐกิจ

แม้หัวข้อหลักของการหารือจะเน้นเรื่องน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในเชิงลึก ผลลัพธ์ของการพัฒนาครั้งนี้จะเชื่อมโยงถึงชีวิตประจำวันของคนเชียงรายโดยตรง

หากระบบระบายน้ำรอบสนามบินมีประสิทธิภาพมากขึ้น พื้นที่ชุมชนรอบข้างจะลดความเสี่ยงต่อความเสียหายทั้งทรัพย์สินและการประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการใกล้สนามบินจะมั่นใจมากขึ้นในการลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน การวางระบบคมนาคมเชื่อมจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างมีแบบแผน จะทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

ดังนั้น การแก้ปัญหาน้ำท่วมจึงไม่ใช่เพียงประเด็นวิศวกรรม แต่เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ไปพร้อมกัน

เมื่อ “น้ำท่วม–พื้นที่–เที่ยวบิน” กลายเป็นสมการอนาคตของเชียงราย

จากการขยับตัวของ AOT และเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ประเด็นน้ำท่วมรอบสนามบิน การจัดทำ EIA การขยายเขตพื้นที่เมือง การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างยูนนาน–ไทย และการยกระดับมาตรฐานบริการสนามบิน ล้วนเชื่อมโยงกันเป็น “สมการอนาคต” ของเชียงราย

หากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเดินหน้าอย่างเป็นระบบ เขตพื้นที่รอบสนามบินถูกจัดวางใหม่ให้รองรับการเติบโต โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมได้รับการพัฒนา และเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกผลักดันจนสำเร็จ เชียงรายจะไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่จะก้าวขึ้นมาเป็น “โหนดการเดินทางและเศรษฐกิจ” ที่เชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จระดับตัวเลขของ AOT ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ เที่ยวบิน และผู้โดยสาร รวมถึงการยอมรับในระดับโลกของสุวรรณภูมิ สะท้อนว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการบินและการบริหารสนามบินที่มาตรฐานสูงอยู่แล้ว คำถามคือ เราจะใช้ศักยภาพนั้น “ส่งต่อ” ไปสู่สนามบินภูมิภาคอย่างแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้เร็วและลึกแค่ไหน

คำตอบของคำถามนี้ อาจไม่ได้อยู่เพียงบนกระดาษ EIA หรือแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังอยู่ในความร่วมมือระยะยาวของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน ที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนให้ “สนามบิน–เมือง–ชุมชน” เติบโตไปด้วยกันอย่างสมดุลและยั่งยืน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ข้อมูลท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อทิตาธร นำทัพ 16 ชุดปฏิบัติการ บุก 1,753 หมู่บ้าน พัฒนาและรับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงราย Kick Off “85 คัน 16 ชุดปฏิบัติการ” กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน ขับเคลื่อนนโยบาย 7 เรือธงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและรับมือภัยพิบัติ

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – เสียงเครื่องยนต์ของรถแบ็กโฮ รถเกรดเดอร์ และรถบรรทุกหลากหลายขนาด ดังก้องไปทั่วบริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.09 น. เป็นสัญญาณเริ่มต้นของ “ปฏิบัติการเชิงรุก” ครั้งสำคัญของ อบจ.เชียงราย

ภายใต้กิจกรรม Kick Off ขับเคลื่อนนโยบายกระจายจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน ประจำปีงบประมาณ 2569 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ท่ามกลางผู้บริหาร อบจ. สมาชิกสภา ข้าราชการ และบุคลากรที่มาร่วมเป็นสักขีพยานต่อการประกาศ “เดินเครื่อง” นโยบายสำคัญที่ถูกวางไว้เป็นหนึ่งใน “7 เรือธง” ของการพัฒนาจังหวัด

นโยบายดังกล่าวไม่ใช่เพียงการนำเครื่องจักรกลออกให้บริการตามคำร้องขอ แต่ถูกวางให้เป็น “เครื่องมือยุทธศาสตร์” ในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในระดับหมู่บ้านและตำบล ให้ครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย

นโยบาย 7 เรือธง และแกนคิด “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน”

ในพิธีเปิด นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวรายงานถึงที่มาที่ไปของนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” ว่า เป็นหนึ่งในนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่งจัดสรรเครื่องจักรกลและบุคลากรที่มีคุณภาพให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

เป้าหมายสำคัญ คือ การจัดระบบบริการสาธารณะให้ตอบโจทย์ประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง โดยเฉพาะการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหลายกรณีเกินศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก

นโยบายนี้ยังถูกออกแบบให้ “สอดประสาน” กับยุทธศาสตร์ในหลายระดับ

  • ในระดับประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ ตามนโยบายรัฐบาล
  • ในระดับจังหวัด สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านการค้า การลงทุน การบริการ และโลจิสติกส์
  • ในระดับสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดำรงความสมบูรณ์ และยั่งยืน

ภายใต้กรอบคิดนี้ เครื่องจักรกลจึงไม่ได้ถูกมองเป็นเพียง “อุปกรณ์” หากแต่เป็น “กำลังทัพเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะขับเคลื่อนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน

85 คัน 16 ชุดปฏิบัติการ กำลังทัพเครื่องจักรกลที่ลงไปถึงระดับหมู่บ้าน

หนึ่งในตัวเลขที่สะท้อนความพร้อมของ อบจ.เชียงราย อย่างชัดเจน คือ “ชุดปฏิบัติการเครื่องจักรกลรวม 16 ชุด และเครื่องจักรกลทั้งหมด 85 คัน” ซึ่งถูกจัดเตรียมและบริหารจัดการให้สามารถรองรับภารกิจครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดเชียงราย

ปัจจุบัน จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่การบริหารในระดับ

  • 18 อำเภอ
  • 124 ตำบล
  • 1,753 หมู่บ้าน

การจัดวางกำลังเครื่องจักรกล 85 คัน ให้ทำงานเป็น 16 ชุดปฏิบัติการ จึงเป็นโจทย์ที่ต้องอาศัยทั้งการวางแผน การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารจัดการเชิงระบบ เพื่อให้บริการสาธารณะด้านโครงสร้างพื้นฐานลงไปถึงระดับชุมชนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมมากที่สุด

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เน้นย้ำในเวที Kick Off ว่า การลงทุนด้านเครื่องจักรกลและบุคลากรจะต้อง “บริหารจัดการอย่างคุ้มค่า” เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ลดการซ้ำซ้อนของงาน และทำให้การพัฒนากระจายไปสู่ชนบทได้อย่างแท้จริง

ภารกิจด้านโครงสร้างพื้นฐาน ถนน แหล่งน้ำ และความปลอดภัยในการสัญจร

หัวใจสำคัญของนโยบายกระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน คือ ภารกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ภารกิจหลักในด้านนี้ประกอบด้วย

  • งานปรับปรุงและซ่อมแซมถนน โดยเฉพาะถนนเข้าสู่พื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญในการขนส่งผลผลิตและรองรับผู้มาเยือน หากถนนอยู่ในสภาพชำรุดหรือเข้าออกยาก ย่อมส่งผลต่อทั้งรายได้ของเกษตรกรและศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของชุมชน
  • งานพัฒนาและขุดลอกแหล่งน้ำ เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่มีความสำคัญต่อทั้งการเกษตร การอุปโภคบริโภค และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ภายใต้บริบทที่หลายพื้นที่เผชิญทั้งปัญหาน้ำหลากและน้ำแล้งในช่วงเวลาที่ต่างกัน
  • การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านการสัญจร หลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายมีภูมิประเทศซับซ้อน การเดินทางในฤดูฝนหรือช่วงที่ถนนชำรุดสร้างความลำบากต่อประชาชน การมีเครื่องจักรกลที่สามารถเข้าพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และลดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม

ด้วยกำลังทัพ 85 คัน 16 ชุดปฏิบัติการ ภารกิจเหล่านี้จึงถูกวางให้ดำเนินงานเป็นระบบและต่อเนื่อง มากกว่าการเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราว

ภารกิจรับมือภัยพิบัติ เตรียมพร้อมแทนการรอให้เกิดเหตุ

อีกหนึ่งเสาหลักของนโยบายนี้ คือ “การเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ” ทั้งภัยธรรมชาติและภัยรูปแบบอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดซื้อเครื่องจักรกลและยานพาหนะเพิ่มเติม เพื่อรองรับภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยตรง จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพียงการเข้าไปช่วยเหลือหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว แต่คือการมีศักยภาพเพียงพอในการลดความเสียหายตั้งแต่ช่วงแรกของวิกฤต

ควบคู่กับการจัดเตรียมเครื่องจักรกล อบจ.เชียงรายยังให้ความสำคัญกับ

  • การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นและท้องที่ เพื่อให้การเข้าพื้นที่และแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว
  • การวางระบบตอบสนองต่อสถานการณ์ (Response) ให้ “ทันเวลาจริง” มากที่สุด เท่าที่ศักยภาพของเครื่องจักรและบุคลากรจะเอื้ออำนวย

เป้าหมายปลายทาง คือ การบรรเทาความเสียหายทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน และทำให้การพัฒนากระจายไปสู่ชนบทได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงบนกระดาษ

เชื่อมยุทธศาสตร์ชาติ–จังหวัด–ชุมชน ผ่าน “งานภาคสนาม” ของ อบจ.เชียงราย

จุดแข็งของนโยบายกระจายจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน อยู่ที่การเชื่อมโยง “แผนระดับบน” กับ “งานภาคสนาม” อย่างเป็นรูปธรรม

ในระดับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายนี้เข้าเกณฑ์การเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ เป็นฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นถนน แหล่งน้ำ หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชน

ในระดับยุทธศาสตร์องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านการค้า การลงทุน การบริการ และโลจิสติกส์ ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดเข้าด้วยกัน

ในระดับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเข้าไปพัฒนาและดูแลแหล่งน้ำ รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ ยังช่วยเสริมสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ หากดำเนินการอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับหลักวิชาการ

บริหารอย่างคุ้มค่า เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน 1,753 หมู่บ้าน

แม้ตัวเลข “85 คัน 16 ชุดปฏิบัติการ” จะดูเป็นภาพของทรัพยากรด้านเครื่องจักรกล แต่สิ่งที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงรายเน้นย้ำในเวที Kick Off คือ “ความคุ้มค่าในการบริหารจัดการ” และ “การกระจายผลประโยชน์ไปสู่ประชาชนอย่างแท้จริง”

การจัดซื้อเครื่องจักรกลและยานพาหนะเพิ่มในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเพิ่มจำนวน แต่เพื่อสร้าง “ความพร้อม” ในการรองรับทั้งภารกิจพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการรับมือภัยพิบัติ ซึ่งมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ

ในเชิงการบริหาร โครงการนี้จึงเป็นบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถ

  • วางแผนการใช้เครื่องจักรให้ตอบโจทย์ความจำเป็นของพื้นที่มากที่สุด
  • ลดการทับซ้อนกับการทำงานของหน่วยงานอื่น
  • ใช้บุคลากรให้เต็มศักยภาพ
  • และทำให้ประชาชนใน 18 อำเภอ 124 ตำบล 1,753 หมู่บ้าน “รู้สึกได้” ถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันของตนเอง

หากทำได้ตามเป้าหมาย นโยบายนี้จะไม่ใช่เพียงโครงการหนึ่งในปีงบประมาณ 2569 แต่จะกลายเป็น “โมเดลการบริหารจัดการเครื่องจักรกลท้องถิ่น” ที่น่าจับตามองในระดับประเทศ

จาก Kick Off สู่ภาคสนาม ก้าวต่อไปของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชียงราย

การจัดกิจกรรม Kick Off ในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมทั้งด้านนโยบาย เครื่องจักรกล และบุคลากรของ อบจ.เชียงราย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายจะถูกวัดจาก “ผลลัพธ์ในพื้นที่จริง” มากกว่าพิธีเปิดที่เป็นเพียงสัญลักษณ์

ก้าวต่อไปที่สำคัญ คือ การนำแผนไปปฏิบัติให้เห็นผลเชิงรูปธรรม เช่น

  • ถนนที่ได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงจนการสัญจรปลอดภัยขึ้น
  • แหล่งน้ำที่ได้รับการพัฒนาและขุดลอกจนสามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพ
  • การตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยพิบัติที่รวดเร็วขึ้น ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ในมุมของประชาชน นโยบายนี้จะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อ “คุณภาพชีวิตดีขึ้น” ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่สะดวกขึ้น การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำที่มั่นคงขึ้น หรือการรู้สึกมั่นใจว่า เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะมีหน่วยงานจากภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา

เครื่องจักรกล 85 คัน ในฐานะ “สะพานสุดท้าย” ระหว่างนโยบายกับชีวิตคนเชียงราย

เมื่อมองย้อนจากภาพรวมทั้งหมด นโยบายขับเคลื่อน “85 คัน 16 ชุดปฏิบัติการ” ของ อบจ.เชียงราย ในปีงบประมาณ 2569 เปรียบเสมือน “สะพานสุดท้าย” ระหว่างนโยบายระดับชาติ ยุทธศาสตร์จังหวัด และชีวิตจริงของคนในชุมชน

  • ในเชิงนโยบาย มันคือเครื่องมือสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์จังหวัดให้เกิดเป็นรูปธรรม
  • ในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน มันคือกำลังหลักในการพัฒนาถนน แหล่งน้ำ และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่รองรับทั้งเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
  • ในเชิงสังคม มันคือโอกาสในการลดช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท ช่วยให้การพัฒนา “เดินทางไปถึง” 1,753 หมู่บ้านอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด นโยบายกระจายจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน จะถูกประเมินคุณค่าไม่ใช่จากจำนวนเครื่องจักรที่มี แต่จากจำนวนครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จริง จากจำนวนพื้นที่ที่ได้รับการแก้ไขปัญหา และจากระดับ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนมีต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตนเอง

สำหรับเชียงราย การ Kick Off ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงพิธีเริ่มต้นงานประจำปี หากแต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ว่า เครื่องจักรกลทุกคัน บุคลากรทุกคน และงบประมาณทุกบาท จะถูกนำไปใช้เพื่อ “เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของคนเชียงรายได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม” ตามที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงรายได้ย้ำเอาไว้ในเวทีเดียวกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ 3 บทบาทชัดเจน หนุนเชียงรายสู่ประตูการค้าชายแดน

เชียงรายเร่งเครื่อง NEC–SEZ ปักหมุด “ประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บรรยากาศการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone – SEZ) เต็มไปด้วยความคาดหวัง

ภายใต้การเป็นประธานของนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจงานเชิงเอกสาร หากแต่เป็นการ “จัดวางหมาก” เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อผลักดันเชียงรายจากจังหวัดชายแดน ให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดนที่เชื่อมไทยกับจีน สปป.ลาว และเมียนมา ในระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) อย่างแท้จริง

จากมติระดับชาติ สู่การลงมือจริงในพื้นที่ชายแดน

เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย (SEZ) ถือกำเนิดจากมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตั้งแต่ปี 2558 โดยกำหนดพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอชายแดน คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ รวมพื้นที่กว่า 916 ตารางกิโลเมตร

หลังจากผ่านเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ การประชุมครั้งนี้จึงเป็นเหมือน “จุดทบทวนและเร่งเครื่อง” เพื่อประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และจัดวางทิศทางใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจภูมิภาคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน NEC และ SEZ จังหวัดเชียงรายอย่างเป็นทางการ รวมทั้งสรุปผลการดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งในมิติพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการเตรียมความพร้อมรองรับการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

3 อำเภอ 3 บทบาท: แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ ในยุทธศาสตร์ SEZ เชียงราย

จุดเด่นของการออกแบบ SEZ เชียงราย คือ “บทบาทเชิงยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจนของแต่ละอำเภอ ซึ่งไม่ได้เน้นการแข่งขันกันเอง แต่เน้นเสริมกันเป็น “คลัสเตอร์ชายแดน” ที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ

อำเภอแม่สาย – Trading City
แม่สายถูกวางให้เป็น “เมืองการค้า” หรือ Trading City เต็มรูปแบบ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการครบวงจร รองรับทั้งร้านค้าปลอดภาษี ศูนย์แสดงสินค้า และศูนย์ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ จุดแข็งสำคัญคือการเป็นด่านชายแดนสำคัญที่เชื่อมโยงการค้าระหว่างไทย–เมียนมา และต่อเนื่องไปสู่จีนตอนใต้

การเสริมบทบาทแม่สายจึงไม่ได้หมายถึงการเพิ่มร้านค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการยกระดับมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานการค้าชายแดน การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร และการพัฒนาบริการทางการเงินและโลจิสติกส์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

อำเภอเชียงแสน – Port City ริมโขง
เชียงแสนถูกกำหนดบทบาทเป็น “เมืองท่า” หรือ Port City โดยใช้ศักยภาพท่าเรือแม่น้ำโขงเป็นหัวใจหลัก ทั้งเพื่อการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวทางน้ำ ควบคู่กับการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ ศูนย์วัฒนธรรม และแหล่งหัตถกรรมของเชียงราย

บทบาทนี้ทำให้เชียงแสนไม่ได้เป็นเพียงเมืองโบราณหรือพื้นที่ประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ประตูน้ำ” ริมโขง ที่เชื่อมเส้นทางการค้าสินค้าจากจีนตอนใต้ผ่านแม่น้ำโขงลงมาสู่ไทย และเชื่อมต่อไปยังตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค

อำเภอเชียงของ – Logistic City และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
เชียงของได้รับการออกแบบให้เป็น “Logistic City” ศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวมถึงการแปรรูปสินค้าเกษตร โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่มีสะพานมิตรภาพไทย–ลาว เชื่อมสู่ สปป.ลาว และจีนตอนใต้ และเป็นปลายทางสำคัญของโครงข่ายคมนาคมใหม่ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ

เป้าหมายคือการทำให้เชียงของกลายเป็น “จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าและศูนย์ขนส่งมวลชนในอนาคต” ที่เชื่อมโยงระบบขนส่ง บก–น้ำ–ราง ไว้ด้วยกันในจุดเดียว ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

NEC – ระเบียงเศรษฐกิจเหนือเชื่อม GMS มากกว่าชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค

นอกจาก SEZ แล้ว การประชุมยังให้ความสำคัญกับ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC)” ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาที่มองเชียงรายไม่ใช่เพียงจังหวัดชายแดน แต่เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงโครงข่ายเมือง เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับความร่วมมือในการขับเคลื่อน NEC รวมทั้งรายงานการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างประเทศของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติ เข้ากับข้อเท็จจริงในพื้นที่และความต้องการของภาคเอกชน

NEC จึงทำหน้าที่เหมือน “โครงร่างใหญ่” ที่กำหนดทิศทางการพัฒนา ขณะที่ SEZ เป็น “พื้นที่นำร่อง” ที่ลงมือทำจริงในระดับพื้นที่ หากทั้งสองกลไกทำงานสอดประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้เชียงรายเดินหน้าไปในทิศทางที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น

เชื่อมเมือง เชื่อมคน เชื่อมทุน Sister City – ประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย – GMS

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ที่ประชุมได้รับทราบ คือ รายงานการระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนความร่วมมือเมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับเมืองสำคัญในจีน สปป.ลาว และเมียนมา

Sister City ไม่ใช่เพียงพิธีลงนาม หากแต่เป็นกรอบความร่วมมือที่เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งด้านการค้า การลงทุน การศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว หากเชียงรายสามารถออกแบบความร่วมมือในเชิง “เมืองคู่ขนาน” ที่มีบทบาทเกื้อหนุนกัน เช่น เมืองโลจิสติกส์–เมืองอุตสาหกรรม–เมืองท่องเที่ยว ก็จะช่วยให้การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน จังหวัดยังเตรียมแผนจัดการประชุมสัมมนาความร่วมมือ 4 ประเทศ 10 ฝ่าย เขตชายแดน ครั้งที่ 11 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของความร่วมมือด้านเศรษฐกิจชายแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การมีเวทีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ภาครัฐและเอกชนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ปัญหา และโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างใกล้ชิด

การลงทุนเชิงโครงสร้าง รถไฟทางคู่ – สนามบิน – การค้าชายแดน

การขับเคลื่อน NEC และ SEZ จะไม่สมบูรณ์ หากปราศจากโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเติบโตในระยะยาว ที่ประชุมจึงเน้นย้ำความเชื่อมโยงกับโครงการลงทุนสำคัญ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

รถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ที่มีรายงานความคืบหน้าเร็วกว่าแผน และมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2571 ถูกมองว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่สายใหม่” ที่จะเชื่อมระบบขนส่งทางรางเข้ากับศูนย์โลจิสติกส์เมืองเชียงของโดยตรง ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการชายแดน และเชื่อมโยงการค้าไทยกับตลาดจีนตอนใต้และลุ่มน้ำโขงได้สะดวกยิ่งขึ้น

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
แผนพัฒนา SEZ ยังสอดคล้องกับแนวทางขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารสู่ระดับ 6–8 ล้านคนต่อปี พร้อมการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน การยกระดับสนามบินให้เป็น “ฮับการเดินทางและโลจิสติกส์ทางอากาศ” จะช่วยดึงดูดทั้งสายการบิน นักท่องเที่ยว และนักลงทุนให้เลือกเชียงรายเป็นประตูเข้าสู่ภาคเหนือและ GMS มากขึ้น

การค้าชายแดนแม่สาย–เชียงของ
ด้านการค้าชายแดน แม่สายในฐานะ Trading City ยังคงเป็นด่านการค้าที่มีมูลค่าสูง แม้จะเผชิญความผันผวนจากสถานการณ์ในเมียนมา ขณะที่เชียงของยังคงทำหน้าที่เป็นเส้นทางการค้าผ่านแดนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของจังหวัด การกำหนดบทบาทเมืองให้ชัดเจน และเชื่อมโยงกับระบบโลจิสติกส์ใหม่ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ “ห่วงโซ่มูลค่า” ตลอดแนวชายแดน

ดึงดูดนักลงทุนจีน จากเวทีประชุม สู่ Business Matching หน้างานจริง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นในที่ประชุม คือ แผนการจัดกิจกรรมต้อนรับคณะผู้แทนนักลงทุนจากประเทศจีน ที่จะเดินทางมาเยี่ยมชมพื้นที่ จัดประชุม และจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ในจังหวัดเชียงรายโดยตรง

กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นมากกว่าการนำเสนอข้อมูลเชิงเอกสาร เพราะเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เห็น “พื้นที่จริง ศักยภาพจริง และเครือข่ายจริง” ของเชียงราย ทั้งในเขต SEZ และพื้นที่โดยรอบ หัวใจสำคัญอยู่ที่การเตรียม “ข้อมูลพื้นที่และโครงการลงทุน” ให้ชัดเจน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนในปัจจุบันที่มองหาโลเคชันเชื่อมโยงจีน–ลาว–เมียนมา–ไทยในจุดเดียว

การมี Business Matching ยังช่วยให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้พบกับคู่ค้าและพันธมิตรใหม่ ๆ เปิดช่องให้เกิดการร่วมทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการต่อยอดสินค้า–บริการที่มีรากฐานในเชียงราย แต่มีโอกาสเติบโตในตลาดกว้างระดับอนุภูมิภาค

โอกาสและความท้าทาย เมื่อศูนย์กลางโลจิสติกส์หมายถึงคน–ชุมชน–สิ่งแวดล้อม

แม้ยุทธศาสตร์การพัฒนา NEC และ SEZ จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ต้องยอมรับว่ามี “โจทย์ท้าทาย” ตามมาด้วย ทั้งในมิติชุมชน สิ่งแวดล้อม และความเหลื่อมล้ำ

การผลักดันเชียงของให้เป็น Logistic City หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำเป็นต้องออกแบบอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้การขยายตัวของระบบโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม กลายเป็นภาระต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของชุมชนชายแดน การกำหนดมาตรการคุมเข้มมลพิษ มาตรฐานโรงงาน และระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การเติบโตของเมืองการค้าและเมืองท่า อาจทำให้ราคาที่ดินและค่าครองชีพในบางพื้นที่สูงขึ้น หากไม่มีการวางแผนด้านผังเมือง และการกระจายประโยชน์อย่างเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนกับชุมชนพื้นถิ่นอาจขยายกว้าง ดังนั้น การออกแบบนโยบายจำเป็นต้องคำนึงถึง “คนตัวเล็ก” และเศรษฐกิจฐานรากควบคู่ไปกับเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่

จากห้องประชุมสู่อนาคตเชียงราย การตัดสินใจวันนี้ กำหนดทิศทางหลายทศวรรษข้างหน้า

การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน NEC–SEZ ในวันนี้ อาจมองภายนอกเป็นเพียงการประชุมหนึ่งในหลายวาระของจังหวัด แต่แท้จริงแล้ว การกำหนดวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “ประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” คือการตัดสินใจที่มีผลยาวไกลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

หากกลไก NEC, SEZ, Sister City, การประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สามารถเดินไปในทิศทางเดียวกัน เชียงรายจะไม่ใช่เพียงจังหวัดชายแดนปลายทาง แต่จะกลายเป็น “จุดเชื่อม” ที่ผู้คน สินค้า ทุน และความร่วมมือจากหลายประเทศต้องผ่าน

ในทางกลับกัน หากขาดการบูรณาการ ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน และขาดการบริหารจัดการที่โปร่งใส ยุทธศาสตร์เหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงแผนงานบนกระดาษ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตประชาชนได้จริง

เชียงรายบนเส้นทางสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ GMS – โอกาสที่ต้องบริหารอย่างรอบด้าน

การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ในจังหวัดเชียงราย กำลังยกระดับบทบาทของจังหวัดจาก “ชายแดนตอนบนของไทย” สู่ “ศูนย์กลางโลจิสติกส์และประตูการค้าของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”

ด้วยการกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางราง ทางอากาศ และทางน้ำ ตลอดจนกลไกความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคอย่าง Sister City และการประชุม 4 ประเทศ 10 ฝ่าย เชียงรายกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “เชียงรายจะเป็นฮับได้หรือไม่” แต่คือ “เชียงรายจะเป็นฮับแบบไหน และใครจะได้ประโยชน์จากการเป็นฮับนั้นบ้าง” หากการพัฒนาสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนชายแดนได้พร้อมกัน NEC และ SEZ เชียงรายอาจกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาชายแดนไทยในยุคใหม่ ที่ไม่ได้มองชายแดนเป็นเพียงเส้นแบ่ง แต่เป็น “สะพาน” ที่เชื่อมโอกาสของทั้งภูมิภาคเข้ามาสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นักท่องเที่ยวจีนลด -35%! ไทยเสียจังหวะในเอเชีย ต้องสร้างเหตุผลใหม่ให้คนมาเยือน

วธ.เชียงรายเร่งค้นหา “UNSEEN THAI THAI” ปั้น Soft Power สู้ศึก Tourism War ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพระยะไกล

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568เชียงรายกำลังก้าวสู่สมรภูมิใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้แข่งกันเพียงตัวเลขนักท่องเที่ยวอีกต่อไป หากแต่แข่งกันด้วย “เรื่องเล่า ประสบการณ์ และคุณค่าทางวัฒนธรรม” ท่ามกลาง “Tourism War” ที่ทำให้ประเทศไทยเสียจังหวะให้กับเพื่อนบ้านในเอเชีย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) จึงเดินหน้าเร่งค้นหา “UNSEEN THAI THAI” เพื่อใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นหัวหอกสำคัญในการยกระดับจังหวัดสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มระยะไกลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ศึก Tourism War เมื่อไทยเริ่มเสียจังหวะในสนามท่องเที่ยวเอเชีย

แม้ไทยจะยังเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของโลก แต่ตัวเลขช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนภาพที่น่ากังวลอย่างชัดเจน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย “หดตัวราว -8% เมื่อเทียบกับปีก่อน” ในขณะที่เวียดนามเติบโตถึง +22% และจีนเติบโตสูงถึง +27% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

ตลาดหลักอย่าง “นักท่องเที่ยวจีน” ซึ่งเคยเป็นฟันเฟืองสำคัญ กลับลดลงมากถึง -35% สวนทางกับประเทศคู่แข่งที่เร่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ความทันสมัย และประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน มูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในไทยยังมีทิศทางชะลอตัว ในขณะที่ประเทศคู่แข่งกลับมีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า ไทยไม่สามารถพึ่ง “ชื่อเสียงเดิม” ได้อีกต่อไป หากต้องการฟื้นกลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาค จำเป็นต้องสร้าง “เหตุผลใหม่” ให้คนเดินทางมาเยือน และต้องทำให้การมาเที่ยวไทยในวันนี้ “ลึกกว่า ถูกกว่า และดีกว่าเดิม” ผ่าน Soft Power และการสร้างประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่แตกต่างจริง ๆ

นโยบาย “ไท ไทย” และแนวคิด UNSEEN THAI THAI  วัฒนธรรมที่มีชีวิตและสร้างมูลค่าได้

ภายใต้วิสัยทัศน์ของนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นโยบาย “ไท ไทย” ถูกกำหนดขึ้นเพื่อ “ยกระดับความเป็นไทยดั้งเดิม (Traditional Thai) ให้ผสานกับความร่วมสมัย (Contemporary Thai)” เปลี่ยนจากการมองวัฒนธรรมเป็นเพียงของเก่า หรือพิธีกรรมที่อยู่ในกรอบ ไปสู่การมองว่า “วัฒนธรรมคือทุน” ที่สามารถสร้างทั้งคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน

โครงการ “UNSEEN THAI THAI” จึงถูกออกแบบให้เป็นกลไกสำคัญในการค้นหา “ทุนทางวัฒนธรรมที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผย ไม่เคยถูกมองเห็น หรือยังไม่เคยถูกเข้าใจในเชิงลึก” ไม่ใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ แต่คือเรื่องราว ความหมาย และประสบการณ์ที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวของวิถีชีวิตไทย เพื่อแปลงให้กลายเป็นแลนด์มาร์กวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย แต่ยังคงเคารพรากเหง้าอย่างแท้จริง

ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน  จุดเริ่มต้นของการมองเชียงรายผ่านสายตาใหม่

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อสำรวจและค้นหา “ทุนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น” ภายใต้แนวคิด “UNSEEN THAI THAI” โดยเน้นทั้งวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ความเชื่อ และศิลปะของชุมชน

บ้านห้วยน้ำกืนไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะหมู่บ้านชนบท หากแต่ถูกมองใหม่ในฐานะพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า วิถีชีวิตดั้งเดิม และระบบความเชื่อที่สอดประสานกับธรรมชาติและภูมิประเทศ การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การ “สำรวจเพื่อทำรายการ” แต่คือการฟังเสียงชุมชน ค้นหาอัตลักษณ์ที่ชุมชนภาคภูมิใจ และมองหาโอกาสในการต่อยอดให้กลายเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้

เวทีคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” เชียงราย 18 อำเภอ 18 ทุนวัฒนธรรมหลากมิติ

วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2568) ที่ห้องพวงแสด ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ประจำปีงบประมาณ 2569 จังหวัดเชียงราย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงาน ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก

การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดเลือกทุนทางวัฒนธรรมตามนโยบาย “ไท ไทย” ที่ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดแนวทางไว้ชัดเจนว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” หมายถึงทรัพยากรทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต ค่านิยม ความเชื่อ และศิลปะของชุมชน ที่สามารถสืบสาน อนุรักษ์ และต่อยอดให้เกิดมูลค่าในมิติเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจได้อย่างยั่งยืน

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ประสานไปยังทุกอำเภอ ขอให้คัดเลือกทุนทางวัฒนธรรมอำเภอละอย่างน้อย 1 รายการ ส่งเข้าร่วมการคัดเลือกระดับจังหวัด ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า มีการส่งข้อมูลทุนทางวัฒนธรรมครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ เช่น

  • อำเภอเวียงป่าเป้า: วิถีชีวิตบ้านห้วยน้ำกืน
  • อำเภอเมืองเชียงราย: วิถีชีวิตบ้านลิไข่ และนาขั้นบันไดลิไข่
  • อำเภอเชียงแสน: พิธีบวงสรวงแกล้มเลี้ยงบรรพกษัตริย์ บรรพชน ไหว้อารักษ์ และพิธีกรรมสวดมนต์วัดร้าง
  • อำเภอเชียงของ: พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก และการเล่นลูกข่าง
  • อำเภอแม่จัน: บิณฑบาตพระขี่ม้า ประเพณีเขาะจะเว และพิธีกิ๋นอ้อผญาล้านนา
  • อำเภอพาน: ผีย่าหม้อนึ่ง
  • อำเภอเวียงแก่น: พิธีถวายหนังแดง (วันผีกิ๋นวัว)
  • อำเภอเวียงชัย: การสรงน้ำพระพุทธรูปโบราณ วัดโบราณเวียงเดิม
  • อำเภอเวียงเชียงรุ้ง: พิธีสู่ขวัญควาย
  • อำเภอแม่ฟ้าหลวง: ประเพณีปอยส่างลอง ปอยออกหว่า และประเพณี “อายก”
  • อำเภอแม่ลาว: ตาพย่านาเจ่อ นาบทือ ย่าง (การไหว้หอเสื้อบ้าน)
  • อำเภอพญาเม็งราย: พิธีสู่ขวัญ และการอ่านค่าว
  • อำเภอแม่สาย: ข้าวแรมฟืน หรือข้าวฟืน
  • อำเภอขุนตาล: โจ๊วตะโป่ดั๊บ (ต้มเต้าหู้)
  • อำเภอแม่สรวย: หลามบอน (แกงบอน)
  • อำเภอเทิง: ค่าวธรรม
  • อำเภอป่าแดด: อักษรธัมม์ล้านนา
  • และทุนทางวัฒนธรรมที่ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ: ตึ่งโนง (กองตึ่งโนงล้านนา)

รายชื่อเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เชียงรายไม่ได้มีเพียงภูเขา หมอก และกาแฟ หากแต่มี “ชั้นเชิงทางวัฒนธรรม” ที่ลึกและหลากหลาย ตั้งแต่พิธีกรรม ความเชื่อ อาหารพื้นบ้าน ตัวอักษรโบราณ ไปจนถึงประเพณีเฉพาะถิ่นที่หาไม่ได้จากที่อื่น หากสามารถถอดรหัสและเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ทุนเหล่านี้จะกลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

Soft Power กับบทบาทของเชียงราย เมืองวัฒนธรรมในโครงสร้างใหม่ของการท่องเที่ยวไทย

ในบริบทที่ไทยกำลังเผชิญศึก Tourism War การใช้ Soft Power และการสร้าง Brand Image ที่เน้น “ประสบการณ์ลึกซึ้ง” ถูกมองเป็นกลยุทธ์สำคัญ แนวคิดอย่าง “5 Must Do” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เน้นกิจกรรมและประสบการณ์เฉพาะ เช่น ต้องกิน ต้องเที่ยว ต้องสัมผัสวิถีท้องถิ่น กลายเป็นกรอบสำคัญในการออกแบบสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยวใหม่

เชียงรายในฐานะเมืองรองที่มีทั้งพื้นที่ภูเขา ชนเผ่าพื้นถิ่น พุทธศิลป์ล้านนา และวิถีชีวิตชายแดน มีศักยภาพสูงที่จะต่อยอดสู่การเป็น “เมืองประสบการณ์เชิงลึก” โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ต้องการเพียงภาพสวย ๆ แต่ต้องการเข้าไป “ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน” ผ่านกิจกรรมอย่าง Wellness, Micro-Retirement หรือการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้แบบเรียลจริง

การพัฒนา UNSEEN THAI THAI ในเชียงรายจึงเป็นมากกว่าการสร้างแหล่งเช็คอินใหม่ หากแต่เป็นการเตรียม “ภาษาวัฒนธรรม” ให้พร้อมใช้สื่อสารกับโลก ผ่านเรื่องเล่า แพลตฟอร์มดิจิทัล และประสบการณ์ตรงที่นักท่องเที่ยวจะนำกลับไปเล่าต่ออีกครั้ง

ตลาด Long Haul พุ่งทำสถิติใหม่  โอกาสทองของเมืองรองและชุมชนวัฒนธรรม

นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul) ในช่วงปี 2567–2569 ว่ากำลัง “ฟื้นตัวแรงกว่าช่วงก่อนโควิด” และสร้างสถิติใหม่ในหลายด้าน

ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เดินทางมาไทยรวม 9,790,056 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด พร้อมสร้างรายได้กว่า 588,632 ล้านบาท ซึ่งทำลายสถิติเดิมของปี 2562 ที่เคยเป็นปีดีที่สุด ตัวเลขนี้สะท้อนการกลับมาของ “กำลังซื้อระดับพรีเมียม” ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพประสบการณ์มากกว่าราคาที่ถูกเพียงอย่างเดียว

ททท.คาดว่าในปี 2568 นักท่องเที่ยวระยะไกลจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,096,052 คน เติบโต 13% จากปี 2567 และสร้างรายได้ราว 668,885 ล้านบาท ขณะที่ปี 2569 คาดว่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 11,666,600 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 700,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีกราว 10%

ข้อมูลจาก Expedia ยังระบุว่า “ความต้องการที่พักนอกเมืองท่องเที่ยวหลักเพิ่มขึ้นถึง 18%” ในปีที่ผ่านมา เมืองรองและชุมชนท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวจึงเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างชัดเจน กรณีศึกษาของเกาะสมุยที่ได้รับแรงส่งจากซีรีส์ต่างประเทศอย่าง White Lotus ทำให้ดีมานด์ของนักท่องเที่ยวอเมริกันเพิ่มขึ้น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้สื่อและ Soft Power เชื่อมโยงกับพื้นที่ปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ททท.จึงเสนอแนวคิดพัฒนา “เมืองรองแบบคลัสเตอร์” แทนการทำงานแบบเมืองเดี่ยว เช่น การเชื่อมโยง นครศรีธรรมราช–สุราษฎร์ธานี–สมุย–ขนอม โดยใช้สุราษฎร์ฯ เป็นฮับหลัก ซึ่งแนวคิดลักษณะนี้สามารถต่อยอดประยุกต์ใช้กับภาคเหนือได้เช่นกัน หากเชียงรายถูกออกแบบให้อยู่ในคลัสเตอร์เมืองวัฒนธรรม–ธรรมชาติร่วมกับจังหวัดรอบข้าง จะยิ่งเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่ต้องการเส้นทางใหม่ ๆ และประสบการณ์ที่ลึกกว่าเดิม

จากข้อมูลสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย  ทำไมเชียงรายต้องรีบ “ค้นหา” ก่อนถูกแซง

เมื่อนำภาพรวม Tourism War ตัวเลขการเติบโตของตลาด Long Haul และศักยภาพของทุนวัฒนธรรมเชียงรายมาพิจารณาร่วมกัน จะเห็นชัดว่า “เวลา” เป็นปัจจัยสำคัญ หากเชียงรายไม่เร่งแปรทุนทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าและประสบการณ์ท่องเที่ยวที่จับต้องได้ เมืองอื่นที่ขยับตัวเร็วกว่าอาจช่วงชิงความสนใจจากตลาดโลกไปก่อน

การจัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ระดับจังหวัด การเชิญทุกอำเภอส่งทุนวัฒนธรรมเข้าร่วม และการประชุมร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในวันนี้ จึงเป็นก้าวแรกในการ “จัดระเบียบทรัพยากรวัฒนธรรม” ให้ชัดเจนว่าเชียงรายมีอะไร อยู่ที่ไหน มีเรื่องเล่าอย่างไร และสามารถต่อยอดเป็นสินค้า หรือกิจกรรมท่องเที่ยวแบบไหนได้บ้าง

ในมุมของชุมชน การถูกมองเห็นในฐานะ “ทุนทางวัฒนธรรม” ยังช่วยสร้างความภาคภูมิใจ และเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่กลับมาสนใจรากเหง้าของตนเองมากขึ้น ขณะเดียวกัน หากมีการออกแบบระบบกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ชุมชนจะสามารถยืนอยู่ได้บนฐานเศรษฐกิจของตนเองอย่างยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาเพียงการเกษตรหรือแรงงานรับจ้างเพียงทางเดียว

เชียงรายบนเส้นทางจากเมืองชายแดน สู่เมืองประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ

เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด เชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของการพัฒนาเมืองในยุคที่การท่องเที่ยวโลกแข่งขันกันด้วย “ประสบการณ์และเรื่องเล่า” มากกว่าจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว

  • ฝั่งหนึ่ง โลกกำลังเปิดกว้างให้กับเมืองรองและชุมชนที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้ง
  • อีกฝั่งหนึ่ง ไทยกำลังถูกท้าทายจากทั้งเวียดนามและจีนในศึก Tourism War
  • พร้อมกันนั้น ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีกำลังซื้อสูงกำลังเติบโต และมองหาเป้าหมายใหม่ที่ให้ความหมายมากกว่าการท่องเที่ยวผิวเผิน

ท่ามกลางสมการที่ซับซ้อนนี้ การที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการ “UNSEEN THAI THAI” ลงพื้นที่สำรวจชุมชนอย่างบ้านห้วยน้ำกืน เปิดเวทีให้ 18 อำเภอส่งทุนวัฒนธรรมเข้าพิจารณา และจัดประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัดอย่างเป็นระบบ จึงไม่ใช่เพียง “งานเอกสารของราชการ” แต่คือการปักหมุดอนาคตเชียงรายบนแผนที่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของเอเชีย

หากเชียงรายสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมเหล่านี้ มาผสานกับแนวคิด Soft Power กลยุทธ์เมืองรองแบบคลัสเตอร์ และการเชื่อมโยงกับตลาด Long Haul ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องได้สำเร็จ เมื่อนั้นเชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองเหนือที่สวยงาม” แต่จะกลายเป็น “เมืองประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม” ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อ “เข้าใจ รู้สึก และจดจำ” มากกว่ามาเพียงเพื่อถ่ายรูปแล้วจากไป

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม (นโยบาย “ไท ไทย” และแนวทางคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI”)
  • บันทึกข้อมูลการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ประจำปีงบประมาณ 2569 จังหวัดเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) – ข้อมูลตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ปี 2567–2569 และทิศทางการพัฒนาเมืองรองแบบคลัสเตอร์
  • ข้อมูลเชิงสถิติพฤติกรรมการท่องเที่ยวจากแพลตฟอร์มออนไลน์ (Expedia) เกี่ยวกับแนวโน้มที่พักนอกเมืองท่องเที่ยวหลัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ชียงรายเร่ง “คนละครึ่ง พลัส” พยุง OTOP ฝ่าวิกฤตเสี่ยงถดถอยทางเทคนิค

วิกฤตเศรษฐกิจฐานราก เชียงรายเร่ง “คนละครึ่ง พลัส” พยุงผู้ประกอบการ OTOP สู้ถดถอยทางเทคนิค

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – เชียงรายเสี่ยงซ้ำซ้อน เศรษฐกิจฐานรากอ่อนแรงท่ามกลางภาวะถดถอยทางเทคนิค  เศรษฐกิจระดับฐานรากเชียงรายกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน. ขณะเดียวกัน ประเทศไทยถูกเตือนว่าเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค”. ดังนั้น โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือเร่งด่วน. เป้าหมายคือช่วยพยุงกำลังซื้อและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง.

อย่างไรก็ตาม สัญญาณเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจกลับน่ากังวลไม่แพ้กัน. ตัวเลขจีดีพีติดลบติดต่อกันสองไตรมาสเริ่มใกล้ความจริง. ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังหดตัวต่อเนื่อง. ภาวะนี้ทำให้มาตรการระดับฐานรากต้องทำงานหนักขึ้น. เพราะประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากกว่าเดิม.

OTOP เชียงรายตื่นตัว ลงทะเบียนคนละครึ่ง พลัสฝ่าวิกฤต

สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์เชิงรุก. หน่วยงานเชิญชวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการ OTOP ทุกอำเภอเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”. เป้าหมายชัดเจนคือพยุงธุรกิจฐานรากไม่ให้หยุดชะงัก. พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าในช่วงที่กำลังซื้ออ่อนแรง.

ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ระบุชัดว่า มีผู้ประกอบการ OTOP เชียงรายเข้าร่วมแล้ว 260 ราย. เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด 2,196 ราย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30.05%. แม้ยังไม่ถึงครึ่ง แต่ตัวเลขนี้สะท้อนการตื่นตัวของผู้ประกอบการฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ.

นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐในพื้นที่ยังจัดบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ. โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงรายร่วมกับสำนักงานคลังจังหวัด และธนาคารกรุงไทย. ผู้ประกอบการจึงสามารถสมัคร เข้ารับคำแนะนำ และแก้ไขปัญหาระบบได้ในที่เดียว. รูปแบบนี้ช่วยลดต้นทุนเวลาและการเดินทางของผู้ประกอบการรายเล็กได้จริง.

โครงการคนละครึ่ง พลัส มาตรการระยะสั้นภายใต้งบ 6.7 หมื่นล้านบาท

โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ถูกออกแบบเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปี. วงเงินรวม 6.7 หมื่นล้านบาท ถูกคาดหวังว่าจะหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว. อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชนในภาวะรายได้ไม่โตตามค่าครองชีพ.

ระยะเวลาการใช้สิทธิเริ่มตั้งแต่ 29 ตุลาคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2568. ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นฤดูกาลจับจ่ายสำคัญ. ทั้งเทศกาลปีใหม่ และการท่องเที่ยวปลายปีในเชียงราย. ผู้ประกอบการ OTOP จึงมีโอกาสใช้มาตรการนี้เชื่อมต่อกับนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่พร้อมกัน.

อย่างไรก็ดี ผลต่อการผลิตในประเทศยังมีข้อจำกัด. เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการนำเข้าสินค้าสูงในหลายภาคส่วน. ดังนั้น เม็ดเงินที่อัดฉีดผ่านการบริโภคอาจไม่ได้เปลี่ยนภาพเศรษฐกิจระยะยาว. แต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และยืดลมหายใจให้ธุรกิจฐานราก.

เสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์  ถดถอยทางเทคนิคและเงินฝืด

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์ DEIIT ให้ภาพที่น่าคิดกับเศรษฐกิจไทย. เขาประเมินว่า เศรษฐกิจไตรมาสสี่อาจขยายตัวต่ำกว่า 1%. หากจีดีพีไตรมาสนี้หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอีกครั้ง ประเทศจะเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค”. เนื่องจากไตรมาสสาม จีดีพีไตรมาสต่อไตรมาสติดลบไปแล้วที่ -0.6%.

ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนภาครัฐในไตรมาสสามยังติดลบถึง -5.3%. ตัวเลขนี้สะท้อนว่ารัฐยังไม่เร่งใช้จ่ายเท่าที่ควร. ส่งผลให้กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าอย่างเชื่องช้า. เมื่อประกอบกับกำลังซื้อเอกชนที่อ่อนแรง ภาพรวมจึงยิ่งเปราะบาง.

ในด้านราคา สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วไปกลับติดลบต่อเนื่อง. มีการประเมินว่า เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอาจอยู่ที่ระดับ -0.2 ถึง -0.3%. สัญญาณนี้ชี้ว่าประเทศเผชิญความเสี่ยงเงินฝืด. แม้ราคาสินค้าบางรายการดูเหมือนลดลง แต่รายได้ประชาชนกลับไม่เติบโตตาม. ผลลัพธ์คือประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายและเลื่อนการซื้อสินค้าไม่จำเป็นออกไป.

ข้อเสนอเชิงนโยบาย  ไม่ใช่แค่แจกเงิน แต่ต้องเร่งลงทุน

จากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ. ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งการลงทุนควบคู่ไปด้วย. การเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน. นอกจากนี้ ยังสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นในห่วงโซ่อุปทาน.

อีกข้อเสนอสำคัญคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1%. การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน. อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง. เพราะอาจกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทในตลาดโลก.

ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ยังไม่ควรขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเวลานี้. เนื่องจากกำลังซื้อประชาชนยังอ่อนแอ. หากรัฐต้องการรายได้เพิ่ม ควรเน้นการลดการรั่วไหลและเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณ. เป้าหมายคือปิดช่องโหว่ให้ได้ปีละ 2–3 แสนล้านบาทแทนการขึ้นภาษี.

โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ OTOP เชียงราย

สำหรับผู้ประกอบการ OTOP เชียงราย มาตรการคนละครึ่ง พลัสเปิดทั้งโอกาสและโจทย์ใหม่. ฝั่งหนึ่งคือโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ในช่วงที่ทุกคนมองหาความคุ้มค่า. อีกฝั่งคือความจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าและการตลาด. เพราะการแข่งขันในระบบดิจิทัลรุนแรงขึ้นทุกปี.

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำเป็นต้องใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด. ตัวเลขการขาย ช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้สิทธิ และประเภทสินค้าที่ขายดี ล้วนเป็นข้อมูลทองคำ. หากนำมาวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนผลิตและสต็อกสินค้าได้แม่นยำขึ้น.

นอกจากนี้ การเชื่อมโยงสินค้ากับเรื่องราวท้องถิ่นเชียงรายยังเป็นจุดแข็งสำคัญ. ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมล้านนา หรือเส้นทางท่องเที่ยวชายแดน. หากผู้ประกอบการสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ควบคู่กับมาตรการคนละครึ่ง พลัส จะยิ่งเพิ่มมูลค่าทางใจให้สินค้าได้มากกว่าการลดราคาเพียงอย่างเดียว.

คนละครึ่ง พลัส คือกันชนชั่วคราว แต่โครงสร้างต้องเร่งปรับ

ท้ายที่สุดแล้ว โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” สำหรับเชียงรายคือกันชนสำคัญในช่วงเศรษฐกิจผันผวน. มาตรการนี้ช่วยพยุงรายได้ผู้ประกอบการ OTOP และบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชนในระยะสั้น. อย่างไรก็ตาม สัญญาณถดถอยทางเทคนิคและความเสี่ยงเงินฝืดยังคงอยู่.

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากจำเป็นต้องทำมากกว่าการกระตุ้นการใช้จ่าย. รัฐต้องเร่งลงทุน สร้างความเชื่อมั่น และออกมาตรการที่เอื้อต่อผู้ประกอบการรายย่อยในระยะยาว. ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการ OTOP เองต้องปรับตัว พัฒนาสินค้า และใช้ข้อมูลวิเคราะห์อย่างจริงจัง.

หากนโยบายระดับมหภาคเดินคู่กับความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นได้จริง. เมื่อนั้น เศรษฐกิจฐานรากเชียงรายอาจไม่เพียงแค่ “รอด” จากวิกฤตถดถอยทางเทคนิค. แต่อาจกลับมา “เติบโต” อย่างยั่งยืนบนรากฐานที่แข็งแรงกว่าเดิม.

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ DEIIT และคำให้สัมภาษณ์ของ รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME