Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

ครูพี่หมีพูห์คว้าแชมป์ UDO 2024 เตรียม MY DANCE เชียงราย ลุยเวทีโลก

“ครูพี่หมีพูห์” สร้างชื่อเสียงให้เชียงราย คว้าแชมป์เตรียมสู้ศึก UDO World 2025

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานว่า นาย นภัทร บุญประกอบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ครูพี่หมีพูห์ จาก My Dance Academy เชียงราย ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย ด้วยการคว้ารางวัลแชมป์ประเภท SOLO – Over 18 ในการแข่งขัน UDO Academy Thailand Street Dance Championship 2024 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 พฤศจิกายน ณ The Street Ratchada กรุงเทพฯ

นาย นภัทร บุญประกอบ จะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลกในงาน UDO World Street Dance Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ในเดือนสิงหาคมปีหน้า ซึ่งการแข่งขันนี้ถือเป็นเวทีระดับโลกที่มีผู้เข้าแข่งขันจากหลากหลายประเทศทั่วโลก

ความเป็นมาของ UDO: The United Dance Organisation

UDO: The United Dance Organisation เป็นองค์กรการเต้นสตรีทแดนซ์ระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 โดยมีสมาชิกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก การแข่งขัน UDO World Street Dance Championships จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีนักเต้นจากหลากหลายประเทศเข้าร่วมประชันฝีมือ โดยในปีที่ผ่านมา เยาวชนจากประเทศไทยก็ได้สร้างผลงานโดดเด่น คว้ารางวัลจากเวทีนี้กลับมา

ในปีนี้ นาย นภัทร บุญประกอบ ครูพี่หมีพูห์ ได้รับรางวัลแชมป์ในประเภท SOLO และจะเป็นตัวแทนหนึ่งในทีมไทยที่ไปโชว์ศักยภาพบนเวทีระดับโลกในปี 2025

การแข่งขัน UDO Academy Thailand 2024

การแข่งขัน UDO Academy Thailand Street Dance Championship 2024 ที่จัดขึ้น ณ เดอะ สตรีท รัชดา มีความหลากหลายในรูปแบบการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น

  • Team Performance
  • Solo Competition
  • Duo Competition
  • Street Dance Battles

การแข่งขันครั้งนี้นอกจากจะเป็นเวทีสำหรับคัดเลือกตัวแทนประเทศไทย ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเต้นรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมสัมผัสบรรยากาศการแข่งขันสตรีทแดนซ์ที่สนุกและเร้าใจ

เส้นทางสู่ความสำเร็จ

นาย นภัทร บุญประกอบ กล่าวว่า การแข่งขันในเวทีระดับประเทศครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย แต่ด้วยการฝึกฝนที่เข้มข้นและแรงสนับสนุนจากทีม My Dance Academy และชาวเชียงราย ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้

เขายังขอเชิญชวนทุกคนร่วมส่งกำลังใจให้ทีมไทยในเวทีระดับโลกที่จะจัดขึ้นในปีหน้า โดยหวังว่าการแข่งขันครั้งนี้จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยที่มีความฝันในด้านการเต้น

เชิญร่วมส่งกำลังใจและสนับสนุนเยาวชนไทย

การแข่งขัน UDO World Street Dance Championships 2025 ที่ประเทศอังกฤษถือเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงศักยภาพของนักเต้นไทยในเวทีโลก การสนับสนุนและกำลังใจจากทุกภาคส่วนจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้นักเต้นไทยสร้างชื่อเสียงและยกระดับวงการสตรีทแดนซ์ของประเทศ

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเยาวชนไทย และติดตามเส้นทางของนาย นภัทร บุญประกอบ สู่เวทีระดับโลกในงาน UDO World Street Dance Championships 2025

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
SOCIETY & POLITICS

เดอะมอลล์ กรุ๊ป หนุนฟื้นฟูเชียงราย หลังอุทกภัยครั้งใหญ่

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผนึกกำลังฟื้นฟูเชียงรายหลังอุทกภัยใหญ่

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มบริษัทเดอะมอลล์ กรุ๊ป แสดงจุดยืนเคียงข้างคนไทยอีกครั้งด้วยการร่วมฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยในภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน จังหวัดเชียงราย ผ่านการผสานความร่วมมือกับ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และ มูลนิธิชัยพัฒนา ในการส่งมอบความช่วยเหลือทั้งในรูปแบบของการบริจาคและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งร้ายแรงนี้

ช่วยเหลือผ่านการระดมทุนและการกระจายสินค้า

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับความเสียหายหนัก กลุ่มบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ดำเนินการส่งมอบถุงยังชีพร่วมกับกองทัพอากาศในช่วงวิกฤติ และตั้งกล่องรับบริจาคในศูนย์การค้าในเครือ เช่น เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา เดอะมอลล์ นครราชสีมา พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ดิ เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และ เอ็มสเฟียร์ โดยรายได้ทั้งหมดนำส่งให้กับมูลนิธิที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในโครงการฟื้นฟูอุทกภัย

ฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านงานแสดงสินค้า

ในส่วนของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ กลุ่มบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้จับมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและเครือข่ายผู้ประกอบการท้องถิ่น จัดกิจกรรม “WE LOVE CHIANG X TMG” เพื่อส่งเสริมและขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจหัตถกรรม ผ้าชาติพันธุ์ และธุรกิจท่องเที่ยว

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นใน 2 ช่วงเวลา คือ

  • วันที่ 14 – 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ M SPACE ชั้น G เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ
  • วันที่ 21 – 27 พฤศจิกายน 2567 ที่ M LIFESTYLE HALL ชั้น G เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางแค

พื้นที่ดังกล่าวเปิดให้ผู้ประกอบการใช้งานโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสินค้า สร้างรายได้ และฟื้นตัวจากผลกระทบของอุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว

ส่งเสริมเศรษฐกิจระดับชุมชน

หนึ่งในนโยบายสำคัญของเดอะมอลล์ กรุ๊ป คือการส่งเสริมธุรกิจรายย่อย (SME) โดยตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ SME ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับประเทศ ซึ่งถึงแม้จะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก แต่ก็ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เชิญชวนร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน พร้อมทั้งขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันทำให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

“เราขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการเชียงราย ให้พวกเขากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง และช่วยกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับชุมชนในพื้นที่ประสบภัย” นางสาววรลักษณ์กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กลุ่มบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กสม.เร่งยุติความรุนแรงต่อสตรี ย้ำปัญหาสำคัญที่สังคมต้องแก้

กสม. ย้ำวันยุติความรุนแรงต่อสตรี ปัญหาสำคัญที่สังคมต้องร่วมมือแก้ไข

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกสารเนื่องในโอกาส “วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล” ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี โดยย้ำถึงความรุนแรงต่อสตรีว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

 

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

เป้าหมายและการดำเนินงานของ กสม.

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี (Beijing Declaration and Platform for Action – BDPA) และตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) กสม. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการในหลายด้าน ได้แก่

  1. ยุติความรุนแรงต่อสตรี

    • เน้นให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นวาระแห่งชาติ
    • สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง
  2. สร้างกลไกป้องกันและช่วยเหลือ

    • พัฒนาบุคลากรที่มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ
    • จัดตั้งฐานข้อมูลกลางเพื่อรวบรวมปัญหาและแนวทางแก้ไข
  3. ส่งเสริมความเสมอภาคและความตระหนักรู้ในสังคม

    • ปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องความรุนแรงต่อสตรี
    • เน้นย้ำถึงสิทธิของผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้พิการ และแรงงานข้ามชาติ
  4. พัฒนากฎหมายและบริการที่เกี่ยวข้อง

    • เร่งออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
    • พัฒนาระบบบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรี

กสม. ย้ำว่าปัญหาความรุนแรงต่อสตรีไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสาธารณะที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมแก้ไข เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ยอมรับการกระทำความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ กสม. ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณะ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเสมอภาคทางเพศอย่างยั่งยืน

ด้วยความร่วมมือที่เข้มแข็งและการตระหนักรู้ในปัญหา สังคมไทยสามารถร่วมกันยุติความรุนแรงต่อสตรี และสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันในทุกมิติ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

อนุทินมอบสำเภาทอง ผลักเศรษฐกิจไทยโต 3% ยั่งยืน

อนุทินมอบรางวัลสำเภาทอง ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ย้ำความสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลสำเภาทองและรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัดสำเภาทอง ประจำปี 2567 ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยในโอกาสนี้ นายอนุทินยังได้รับมอบสมุดปกขาวหอการค้าไทย ซึ่งรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะเร่งด่วน

เน้นย้ำบทบาทของกระทรวงมหาดไทยในการสนับสนุนเศรษฐกิจ 

นายอนุทินกล่าวว่า แม้กระทรวงมหาดไทยจะไม่ได้ดูแลตัวเลขเศรษฐกิจโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในฐานะ “เกตเวย์” หรือประตูสำคัญที่เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัด โดยเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเอกชน ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจสามารถประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“แต่ละจังหวัดมีคลัสเตอร์เศรษฐกิจที่ต้องผลักดัน ขณะเดียวกันเราต้องการรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีบทบาทด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะ เพื่อดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” นายอนุทินกล่าว

เป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ในปี 2568 หอการค้าไทยตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% โดยสมุดปกขาวหอการค้าไทยได้เสนอแนวทางเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่

  1. การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ
  2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs
  3. การวางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายอนุทินกล่าวเสริมว่า ข้อเสนอในสมุดปกขาวเหล่านี้จะถูกนำมาบูรณาการร่วมกับแผนปฏิบัติงานของกระทรวงมหาดไทย เพื่อผลักดันให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รางวัลสำเภาทอง สะท้อนการพัฒนาจังหวัด

ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับรางวัลสำเภาทองในครั้งนี้ ได้รับการยอมรับในด้านการบริหารจัดการและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างโดดเด่น โดยรางวัลดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องหมายของความสำเร็จในเชิงนโยบาย แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัดและระดับประเทศ

สมุดปกขาว: พิมพ์เขียวสู่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

สมุดปกขาวหอการค้าไทยฉบับปี 2567 ยังระบุถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หอการค้าไทยยืนยันว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

การสนับสนุนจากภาครัฐ: จุดเปลี่ยนสำคัญ

นายอนุทินย้ำว่าการสนับสนุนจากภาครัฐไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยกระทรวงมหาดไทยพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกด้าน

งานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเวทีสำหรับการรับฟังข้อเสนอแนะและแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว ยังสะท้อนถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ประเพณีแข่งขันเรือพายอำเภอเทิง เสริมท่องเที่ยวเชียงราย

ประเพณีแข่งขันเรือพายอำเภอเทิง คึกคักส่งเสริมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 ณ อ่างเก็บน้ำบ้านทุ่งโห้ง หมู่ 5 ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้จัดงานประเพณีแข่งขันเรือพายประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีนายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายการเมือง) ประจำนายอนุทิน ชาญวีระกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมีนายศราวุธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง นายกฤษฎา ชัยยา ปลัดอาวุโสอำเภอเทิง นายสวาท สมใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียง และบรรดาผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น รวมถึงประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

ส่งเสริมประเพณี สร้างการรับรู้ในวงกว้าง

นายสวาท สมใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียง เปิดเผยว่า งานประเพณีแข่งขันเรือพายนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสืบสานประเพณีอันดีงามของอำเภอเทิงให้คงอยู่ต่อไป พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยว

การแข่งขันเรือพายที่หลากหลายทีมจากหลายอำเภอ

ในปีนี้มีทีมเรือพายเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 20 ทีม โดยมาจากหลากหลายพื้นที่ เช่น อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย รวมถึงทีมจากอำเภอแม่ใจและอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภท ก. และประเภท ข. ซึ่งการแข่งขันรอบคัดเลือกของประเภท ก. ได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ และประเภท ข. จะเริ่มในวันพรุ่งนี้เช้า โดยผู้ชนะของทั้งสองประเภทจะเข้าไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศช่วงบ่าย

ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจชุมชน

งานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะบริเวณที่มีร้านค้าจำหน่ายอาหารและสินค้าท้องถิ่น คาดว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

เกียรติสูงสุดจากถ้วยรางวัลของ รมช.มหาดไทย

สำหรับถ้วยรางวัลในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสำหรับทั้งคณะผู้จัดงานและผู้ชนะการแข่งขัน

ประเพณีที่ต้องสืบสานสู่อนาคต

ประเพณีแข่งขันเรือพายของอำเภอเทิงไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน แต่ยังเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยสืบสานวัฒนธรรมประจำถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวอำเภอเทิงและจังหวัดเชียงราย

งานประเพณีแข่งขันเรือพายอำเภอเทิงในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นถึงการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ และความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนในการสืบทอดวัฒนธรรมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบต.เวียง อ.เทิง จ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT โชว์กำไรพุ่ง 1.9 หมื่นล้าน ผู้โดยสารใกล้ฟื้นตัวก่อนระดับโควิด-19

AOT เผยผลประกอบการปี 2567 กำไรพุ่ง 1.9 หมื่นล้านบาท พร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2568

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) โดย AOT มีกำไรสุทธิ 19,182.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.21% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 10,391.52 ล้านบาท

ในรอบปีที่ผ่านมา AOT มีรายได้รวม 67,827.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.01% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า แบ่งเป็นรายได้จากกิจการการบิน 31,000.47 ล้านบาท และรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน 36,120.83 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการกลับมาของการเดินทางระหว่างประเทศ

ปริมาณผู้โดยสารฟื้นตัวใกล้ระดับก่อนโควิด-19

ปริมาณผู้โดยสารรวมที่ใช้บริการในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ดอนเมือง (DMK) เชียงใหม่ (CNX) แม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ภูเก็ต (HKT) และหาดใหญ่ (HDY) มีจำนวนรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน

สำหรับปีงบประมาณ 2568 AOT คาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 129.97 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 8.95% และจำนวนเที่ยวบินจะเพิ่มเป็น 808,280 เที่ยวบิน

การเตรียมความพร้อมช่วงเทศกาลปีใหม่

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ถึง 4 มกราคม 2568 คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวม 2.86 ล้านคน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1.83 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 1.03 ล้านคน พร้อมเที่ยวบินรวม 17,410 เที่ยวบิน

AOT ยังจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเพิ่มเติม เช่น การติดตั้งระบบ Biometric สำหรับการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลที่สมบูรณ์แบบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเช็กอิน โหลดสัมภาระ และขึ้นเครื่องโดยไม่ต้องแสดงหนังสือเดินทาง

จัดอัตรากำลังพลให้เพียงพอเพื่อดูแลผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมง

ดร.กีรติ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ AOT ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ได้แก่ เพิ่มความถี่ในการจัดรถเข็นกระเป๋า การทำความสะอาดห้องน้ำ เพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอินและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บริหารจัดการจราจรทั้งภาคพื้นและพื้นที่การบิน (Landside & Airside) ในช่วงชั่วโมงคับคั่ง (Peak Hour) บริหารจัดการสายพานลำเลียงกระเป๋า จัดเจ้าหน้าที่ Airport Help ช่วยดูแลเรื่องการจัดแถวของผู้โดยสารในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงให้คำแนะนำการใช้งานเครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) เครื่อง CUBD และเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automated Border Control: ABC) การตรวจสภาพรถรับจ้างสาธารณะ การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ การจัดเตรียมรถแท็กซี่สาธารณะ เพิ่มความถี่รถโดยสารสาธารณะและการดูแลการจราจร ทางอากาศ รวมทั้งจัดอัตรากำลังพลให้เพียงพอเพื่อดูแลผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
 

บริการจอดรถฟรีรับเทศกาลปีใหม่

AOT เปิดให้บริการจอดรถฟรีใน 4 ท่าอากาศยาน ได้แก่

  • สุวรรณภูมิ (BKK): ลานจอดระยะยาวโซน C
  • ดอนเมือง (DMK): พื้นที่ลานจอดระหว่างอาคารคลังสินค้า 2 และอาคารจอดรถ 5 ชั้น
  • ภูเก็ต (HKT): หน้าอาคารสำนักงาน
  • หาดใหญ่ (HDY): สนามฟุตบอล

การพัฒนาและบริการในอนาคต

AOT วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการจราจรทั้งทางบกและอากาศ พร้อมเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่และบริการต่างๆ เพื่อรองรับการเดินทางในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน (Peak Hour)

ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT ในฐานะรัฐวิสาหกิจผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานที่สำคัญของประเทศไทยและภูมิภาค พร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์การเดินทางอันน่าประทับใจ และไม่หยุดยั้งที่จะเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร “AOT เป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก : มุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และสร้างรายได้อย่างสมดุล”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AOT / ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ถนนเมืองงิม-บ้านฟาร์ม ซ่อมเสร็จ ปลอดภัย พร้อมใช้งานแล้ว

สิ้นสุดการรอคอย ถนนเมืองงิม-บ้านฟาร์ม ซ่อมเสร็จพร้อมใช้งาน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 สำนักช่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) รายงานความคืบหน้าการซ่อมแซมถนนลาดยางสาย ชร.ถ1-0045 บ้านฝั่งหมิ่น – บ้านหนองบัวแดง เชื่อมระหว่างหมู่ที่ 4 ตำบลริมกก กับหมู่ที่ 5 ตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย (บ้านเมืองงิม – บ้านฟาร์มสัมพันธกิจ) ที่ประสบปัญหาดินทรุดตัวและผิวถนนแตกร้าวจากเหตุอุทกภัยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

การซ่อมแซมถนนเพื่อคืนความปลอดภัย

โครงการซ่อมแซมถนนสายดังกล่าวเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม และแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 โดยภายใต้การบริหารงานของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้สั่งการให้สำนักช่าง อบจ.เชียงราย เร่งดำเนินการซ่อมแซมในส่วนที่ได้รับความเสียหายอย่างเร่งด่วน

การซ่อมแซมเริ่มต้นด้วยการอัดบดดินไหล่ทางและเพิ่มความแข็งแรงให้พื้นผิวถนน พร้อมดำเนินการปรับปรุงแนวถนนที่แตกร้าวให้กลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยเน้นความแข็งแรงของโครงสร้างเพื่อลดปัญหาดินทรุดตัวในอนาคต

ผลกระทบและการฟื้นฟูชุมชน

การทรุดตัวของถนนในครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงค่ำคืนที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การแก้ไขปัญหาครั้งนี้จึงเป็นการคืนความปลอดภัยและสะดวกสบายให้ประชาชนในชุมชน

นายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชน

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักช่าง อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน พบปะและให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่เมืองงิม โดยได้รับการต้อนรับจากผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลความปลอดภัยในเส้นทางดังกล่าว โดยขอความร่วมมือจากผู้นำชุมชน ท้องที่ ท้องถิ่น และอสม. ในการเฝ้าระวังความปลอดภัย และแจ้งเตือนประชาชนให้ใช้เส้นทางอย่างระมัดระวัง

การแก้ไขปัญหาในระยะยาว
อบจ.เชียงรายยังวางแผนดำเนินการติดตั้งไฟส่องสว่างเพิ่มเติมในเส้นทาง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในช่วงเวลากลางคืน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างถนนให้รองรับการใช้งานในระยะยาว โดยเน้นการใช้วัสดุที่มีคุณภาพและการออกแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่

ประชาชนสามารถใช้เส้นทางได้ปกติ

หลังการซ่อมแซมแล้วเสร็จ ถนนสายบ้านเมืองงิม – บ้านฟาร์มสัมพันธกิจ ได้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ โดยอบจ.เชียงราย ขอให้ประชาชนที่ใช้เส้นทางนี้ขับขี่อย่างระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎจราจรเพื่อความปลอดภัยของทุกคน

บทสรุป

การซ่อมแซมถนนสายบ้านเมืองงิม – บ้านฟาร์มสัมพันธกิจ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ในการพัฒนาและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายมอบทุน ช่วยเด็กขาดทุนทรัพย์ 210 ราย

อบจ.เชียงรายจัดมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้เยาวชนในพื้นที่ ปีงบประมาณ 2567

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหารได้จัดพิธีมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักศึกษาและนักเรียนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสในพื้นที่เขต อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่ลาว และอำเภอเวียงชัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและส่งเสริมโอกาสให้เยาวชนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม

วัตถุประสงค์ของโครงการ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวว่า การดำเนินโครงการทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือในปีงบประมาณ 2567 นี้ เป็นไปตามนโยบายของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาและนักเรียนที่ยากจนและด้อยโอกาสในจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยรายจ่ายเกี่ยวกับทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือด้านการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2561

นอกจากการช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวแล้ว โครงการนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนที่ขาดแคลน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างสรรค์สังคมที่เท่าเทียมในระยะยาว

รายละเอียดการมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือ

ในปีงบประมาณ 2567 อบจ.เชียงราย ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 5,000,000 บาท เพื่อดำเนินโครงการทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือ โดยในพิธีมอบทุนครั้งนี้ มีตัวแทนจากสถานศึกษาในพื้นที่เข้าร่วมรับทุนสำหรับนักศึกษาและนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 210 ราย แบ่งเป็น

  • ทุนการศึกษา จำนวน 97 ราย
  • เงินช่วยเหลือ จำนวน 113 ราย

ผู้แทนที่ร่วมมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือในพิธีครั้งนี้ ประกอบด้วยนายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. นายณรงศักดิ์ ขันทะ หัวหน้าฝ่ายกีฬา กองการท่องเที่ยวและกีฬา และนายประพันธ์ คมสาคร หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พร้อมทั้งผู้แทนสถานศึกษาในเขต อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่ลาว และอำเภอเวียงชัย

ความสำคัญของการศึกษากับการพัฒนาเยาวชน

โครงการทุนการศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเสริมสร้างศักยภาพของเยาวชนให้เติบโตขึ้นเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคต ทั้งนี้ นางอทิตาธร ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนในภาพรวม

“การสนับสนุนการศึกษาไม่ได้เป็นเพียงการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสให้กับเยาวชนที่อาจไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการศึกษา ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของจังหวัดเชียงรายและประเทศชาติ” นางอทิตาธร กล่าว

แผนดำเนินงานในอนาคต

นอกจากการมอบทุนการศึกษาในเขตอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่ลาว และอำเภอเวียงชัยแล้ว อบจ.เชียงราย ยังมีแผนดำเนินโครงการมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือในพื้นที่อำเภออื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้เยาวชนในจังหวัดเชียงรายได้รับการสนับสนุนอย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ การมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือในระยะสั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในระยะยาว และเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของจังหวัดเชียงรายในการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและยั่งยืน

อบจ.เชียงรายยังมุ่งหวังว่า โครงการนี้จะเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ในการดำเนินโครงการที่สร้างประโยชน์แก่ชุมชนและสังคมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย พร้อมแผนฟื้นฟูยั่งยืน

การประชุมวางแผนแก้ปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม เชียงใหม่-เชียงราย

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) ครั้งที่ 2/2567 โดยมี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยที่ปรึกษา ศปช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์

เร่งรัดแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ

นายสุริยะ กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อเร่งรัดการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อบูรณาการทรัพยากรและแผนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและเกิดความเป็นเอกภาพ

คณะทำงานดังกล่าวจะรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอแผนงานต่อที่ประชุมศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ก่อนนำเสนอแผนต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

ผลการประชุมและแผนดำเนินงานที่สำคัญ

ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบแนวทางสำคัญเพื่อปกป้องและลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน

    • รับทราบคำสั่งที่ 1/2567 ของคณะทำงานศึกษาวางแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ
    • ประเมินผลการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยเน้นความคืบหน้าและความสอดคล้องของแผนงาน
  2. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่

    • เสริมสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมและปรับปรุงระบบการระบายน้ำ
    • ฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
  3. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย

    • บูรณาการการจัดการน้ำและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    • วางระบบเตือนภัยล่วงหน้าและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ

ความสำคัญของการประชุมและเป้าหมายในอนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

ทั้งนี้ นายสุริยะ ย้ำว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้พิจารณาการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบตรวจวัดระดับน้ำแบบอัตโนมัติ และการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เมื่อแผนงานได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในปลายเดือนนี้ คาดว่าจะสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย

ข้อสรุป

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มอย่างจริงจัง โดยใช้แนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สร้างทักษะเท่าทันสื่อ เด็ก ป.5 พร้อมหนังสือพิมพ์ออนไลน์

โครงการ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 มูลนิธิสภาการสื่อมวลชนและสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติได้จัดพิธีเปิดตัวโครงการ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมงาน รวมถึงผู้แทนโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาค เพื่อร่วมสร้างทักษะเท่าทันสื่อในกลุ่มนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5

ส่งเสริมความเข้าใจสื่อในยุคดิจิทัล

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างทักษะในการรับรู้และจำแนกเนื้อหาสื่อที่สร้างสรรค์และไม่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับเด็กยุคดิจิทัล 4.0

“การเรียนรู้ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์จะช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน ความเข้าใจ และการแยกแยะข่าวสาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ในทุกสาขาวิชา และยังช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการปรับตัวในสังคมยุคใหม่” นายชวรงค์กล่าว

โครงการเพื่อเสริมสร้างทักษะในโรงเรียน

โครงการดังกล่าวได้คัดเลือกโรงเรียนจำนวน 220 แห่งจากทั่วประเทศ ทั้งในสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น โดยมีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะสำหรับนักเรียนและครูผู้สอนในรายวิชาภาษาไทย

กิจกรรมหลักประกอบด้วย

  1. การอบรมครูผู้สอน: ครู 1 คนต่อโรงเรียนจะได้รับการอบรม 1 วัน เพื่อเรียนรู้การใช้หนังสือพิมพ์และหนังสือพิมพ์ออนไลน์ในกระบวนการสอน
  2. กิจกรรมสัปดาห์ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์”: ครูจะนำความรู้ไปปรับใช้ในชั้นเรียน โดยให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านหนังสือพิมพ์ฉบับจริง 5 ฉบับ รวมถึงแบบฝึกหัดที่ออกแบบมาเฉพาะ

พื้นที่เป้าหมายและช่วงเวลาการดำเนินการ

โครงการนี้จะเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2568 โดยครูที่ผ่านการอบรมจะจัดกิจกรรมในโรงเรียนช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สำหรับโรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ จะใช้หนังสือพิมพ์ระดับชาติ

โดยในส่วน กทม. ปริมณฑล ภาคกลางจะจัดกิจกรรมฯ วันที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ใช้

  1. หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 
  2. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
  3. หนังสือพิมพ์มติชน
  4. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

และส่วนพื้นที่จังหวัดภูมิภาค กลุ่มโรงเรียนที่ใช้หนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาค 7 ฉบับ ประกอบด้วย

  1. หนังสือพิมพ์ประชามติ จ.ตราด
  2. หนังสือพิมพ์เพชรภูมิ จ.เพชรบุรี
  3. หนังสือพิมพ์สงขลาโฟกัส จ.สงขลา
  4. หนังสือพิมพ์หัวหินสาร จ.ประจวบคีรีขันธ์
  5. หนังสือพิมพ์ส่องใต้นิวส์ จ.สตูล
  6. หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ จ.เชียงใหม่
  7. หนังสือพิมพ์ปทุมมาลัย จ.อุบลราชธานี

จะจัดสัปดาห์ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” ระหว่างวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2568

เน้นการเรียนรู้เท่าทันสื่อในบริบทดิจิทัล

กิจกรรมการเรียนรู้จะมุ่งเน้นไปที่การจำแนกข่าวสาร การแยกความแตกต่างระหว่างหนังสือพิมพ์ฉบับพิมพ์และออนไลน์ การรู้เท่าทันสื่อ และการใช้สื่ออย่างปลอดภัย รวมถึงการป้องกันภัยจากสื่อไซเบอร์

เสวนาเรื่องนวัตกรรมสื่อ

ในงานเปิดตัวโครงการ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “นวัตกรรมสื่อกับการเรียนรู้เท่าทันสื่อในห้องเรียนภาษาไทย” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและสื่อมวลชนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เช่น ดร.วสันต์ สุทธาวาศ จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คุณฐิติวรรณ ไสวแสนยากร บรรณาธิการข่าวการศึกษา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และคุณภูวสิษฏ์ สุขใส บรรณาธิการสงขลาโฟกัส

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวนกว่า 4,500 คน ได้รับทักษะเท่าทันสื่อผ่านการเรียนรู้ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในระยะยาว

มูลนิธิสภาการสื่อมวลชนเชื่อว่า โครงการนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่สามารถใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ นำไปสู่การพัฒนาทักษะชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News