Categories
NEWS UPDATE

ผลตรวจ ‘แม่น้ำกก’ อ.แม่อาย เบื้องต้นอยู่ในเกณฑ์ดี

ผลตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้นแม่น้ำกกเผยอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องรอผลวิเคราะห์สารปนเปื้อนจากเหมืองทอง

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก บริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนถึงความผิดปกติของแม่น้ำกกที่มีสีขุ่นข้นและเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นในภาคสนามพบว่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน แต่ยังต้องรอผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่ามีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำหรือไม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รวมถึงผู้นำชุมชน ได้เรียกร้องให้หน่วยงานราชการเข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลมาจากเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าสู่เขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะขุ่นมัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 โดยชาวบ้านเริ่มมีความกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและการท่องเที่ยวในพื้นที่

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลเบื้องต้น

เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก ได้แก่

  1. จุดที่ 1: บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ฐานริมกก หมู่ที่ 3 ตำบลท่าตอน
  2. จุดที่ 2: สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน เชื่อมระหว่างหมู่ 5 ตำบลท่าตอน และหมู่ 14 หย่อมบ้านป๊อกป่ายาง ตำบลแม่นาวาง
  3. จุดที่ 3: บริเวณหมู่ 12 บ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน

การตรวจสอบในภาคสนามมุ่งเน้นไปที่พารามิเตอร์พื้นฐานตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen: DO) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ผลการตรวจพบว่า

  • ค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO): อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนถึงความสามารถในการรองรับสิ่งมีชีวิตในน้ำที่ยังอยู่ในระดับปกติ
  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH): อยู่ในช่วง 7-9 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมตามมาตรฐาน และไม่พบความเป็นกรดหรือด่างที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัมผัสหรือการใช้งาน
  • ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity): ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างจุดตรวจทั้ง 3 แห่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าในเบื้องต้นยังไม่มีจุดใดที่มีการปนเปื้อนในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า การตรวจสอบในภาคสนามเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าน้ำในแม่น้ำกกมีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักหรือไม่ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่พบ เช่น ความขุ่นของน้ำ อาจเกิดจากตะกอนธรรมชาติหรือสารปนเปื้อนจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ตัวอย่างน้ำที่เก็บจากทั้ง 3 จุดได้ถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนเพิ่มเติม โดยเฉพาะโลหะหนัก เช่น ปรอท (Mercury) และสารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการทำเหมืองทอง

ความกังวลของชุมชนและบริบทของปัญหา

นางธีระพันธุ์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่มไท หมู่ที่ 14 ตำบลท่าตอน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีความตื่นตระหนกตั้งแต่สังเกตเห็นสีของน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนไปเป็นสีขุ่น ซึ่งในช่วงแรกเชื่อว่าเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ที่พัดพาตะกอนดินโคลนลงมา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหลายเดือน สภาพน้ำยังไม่กลับมาใสเหมือนเดิม ทำให้เกิดความสงสัยว่าอาจมีสาเหตุอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่าที่บ้านฮุง เขตปกครองพิเศษที่ 2 สหรัฐว้า รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 36 กิโลเมตร มีการอนุญาตให้กลุ่มทุนจีนดำเนินการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองทองคำมากกว่า 23 บริษัท

“เดิมทีชาวบ้านใช้แม่น้ำกกเพื่อการอุปโภคบริโภค อาบน้ำ ล้างจาน หรือแม้แต่จับปลามากิน แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าใช้น้ำจากแม่น้ำแล้ว เพราะกลัวว่ามีสารเคมีปนเปื้อน” นางธีระพันธุ์กล่าว พร้อมระบุว่าปลาในแม่น้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้

ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นหนึ่งในจุดเด่นของตำบลท่าตอนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมธรรมชาติและล่องเรือ แต่เมื่อน้ำเปลี่ยนสีและมีข่าวลือถึงมลพิษ ทำให้ชาวบ้านเกรงว่านักท่องเที่ยวจะลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่อาย, กองบังคับการควบคุมทหารพราน, และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นั่งเรือจากบ้านแก่งทราย หมู่ที่ 14 ไปยังจุดรอยต่อชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบแหล่งน้ำต้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง

การวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน โดยจะเน้นตรวจหาโลหะหนัก เช่น ปรอท, สารหนู (Arsenic), และตะกั่ว (Lead) รวมถึงสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน จะมีการประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอในเขตเมียนมา

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการรอผลวิเคราะห์

หากผลการวิเคราะห์ยืนยันว่ามีสารปนเปื้อนจากเหมืองทองจริง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงระบบนิเวศของแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด การปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนักสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้ ขณะเดียวกัน ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจทำให้รายได้ของชุมชนลดลงอย่างมาก

ในทางกลับกัน หากผลการตรวจไม่พบสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตราย ชาวบ้านอาจกลับมาไว้วางใจและใช้น้ำจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองในเขตต้นน้ำยังคงดำเนินการอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองทองต่อแหล่งน้ำ:

  • ปี 2566: รายงานจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่า แหล่งน้ำผิวดินในประเทศไทยกว่า 30% ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เขตชายแดนที่มีกิจกรรมเหมืองแร่จากประเทศเพื่อนบ้าน (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • ปี 2565: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การปนเปื้อนของไซยาไนด์ในน้ำดื่มที่เกิน 0.07 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันต่อร่างกาย เช่น อาการคลื่นไส้และหายใจลำบาก (ที่มา: WHO Drinking Water Guidelines)
  • ปี 2567: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า ปลาในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายลดลง 70% จากภาวะน้ำขุ่นในช่วงน้ำท่วมใหญ่ (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่)

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของชาวบ้านและผู้ที่กังวลถึงผลกระทบจากเหมืองทอง การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำกกเป็นสัญญาณที่น่ากลัว การที่น้ำขุ่นต่อเนื่องหลายเดือนและมีรายงานการทำเหมืองในเขตต้นน้ำ ทำให้เกิดความสงสัยว่าสารเคมีอาจรั่วไหลลงสู่แม่น้ำ ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและวิถีชีวิต การเรียกร้องให้ตรวจสอบและแก้ไขอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในทางกลับกัน การทำเหมืองทองในเขตเมียนมาถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นในรัฐฉาน หากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามลพิษมาจากเหมือง การกล่าวหาอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ผลการตรวจในภาคสนามที่ระบุว่าน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาจบ่งชี้ว่าความขุ่นเกิดจากตะกอนธรรมชาติมากกว่าสารเคมี ซึ่งต้องรอผลวิเคราะห์ที่แน่นอนเพื่อตัดสิน

ทั้งสองฝั่งมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ การรอผลการตรวจอย่างละเอียดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลางและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยไม่รีบด่วนตัดสินจากอารมณ์หรือข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์

การติดตามผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทม์ไลน์ระบุเงินช่วย ‘ค่าล้างโคลน’ “เชียงราย” รับเงินก่อน 10 เม.ย. นี้

จังหวัดเชียงรายเร่งจัดสรรเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2568

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 292,147,249 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือสำหรับอำเภอแม่สาย จำนวน 134,776,273 บาท และอำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 157,770,976 บาท การจัดสรรครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำสั่งด่วนจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชร 0021/ว 749 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

การจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของบ้าน โดยกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ข้อ 8 (8) และข้อ 8 วรรคสอง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้น

ความเป็นมาของการจัดสรรเงินช่วยเหลือ

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนของปี 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสายอื่น ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน ระบบระบายน้ำ และสถานที่ราชการบางแห่งด้วย อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือด่วนที่สุดจากอำเภอแม่สาย ที่ ชร 1018.3/1105 และ ชร 1018.3/1106 รวมถึงจากอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ชร 0118.3/1460 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่ามีครัวเรือนจำนวนมากในทั้งสองอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งดินโคลนและซากวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามาได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด

รายละเอียดการจัดสรรและขั้นตอนการเบิกจ่าย

ตามหนังสือที่ส่งถึงนายอำเภอแม่สายและนายอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายได้กำหนดให้มีการจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทดรองราชการ เช่น ใบสำคัญรับเงินและรายงานการใช้จ่าย ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับเงินจากคลังจังหวัด เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังขอให้ทั้งสองอำเภอรายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวกลับมาที่จังหวัด เพื่อประเมินผลกระทบและความครอบคลุมของการช่วยเหลือ

วงเงินที่จัดสรรทั้งหมด 292,147,249 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉิน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 ซึ่งครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ (ข้อ 5.1.4 ถึง 5.1.16) และการอนุมัติการปฏิบัติที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็น โดยเฉพาะการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนในพื้นที่เผชิญอยู่

แผนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ

เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดเชียงรายได้กำหนดกรอบระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 13 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ดังนี้

  • 20 มีนาคม 2568: ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย (กชภจ.) เพื่อพิจารณาแผนการช่วยเหลือ
  • 21 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอนุมัติการจัดสรรเงินให้อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย
  • 22-24 มีนาคม 2568: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เสนอขออนุมัติเงินยืมจากคลังจังหวัด
  • 24-25 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินยืมให้ทั้งสองอำเภอ
  • 26-27 มีนาคม 2568: ปภ.จ.เชียงรายดำเนินการเบิกเงินและโอนให้อำเภอ
  • 27-28 มีนาคม 2568: อำเภอรับเงินยืมจากจังหวัด
  • 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2568: อำเภอเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยตามรายชื่อที่ได้รับการสำรวจและอนุมัติ

กรอบระยะเวลานี้แสดงถึงความพยายามของจังหวัดในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากความเสียหายในพื้นที่มีมูลค่าเกินกว่าวงเงินที่จัดสรร อำเภอสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัดได้ตามความจำเป็น

ความสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาทสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุ ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรกหลังน้ำลด

นอกจากนี้ การจัดสรรเงินทดรองราชการยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตามที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งกำหนดให้การช่วยเหลือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง

บริบทของน้ำท่วมในประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย

น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 65 จังหวัด และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.43 ล้านล้านบาท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

สำหรับจังหวัดเชียงราย อุทกภัยในปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และมักเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่เอ่อล้น รวมถึงอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของจังหวัด การที่ทั้งสองอำเภอนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมาก แสดงถึงความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น และความจำเป็นในการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

การบริหารจัดการงบประมาณน้ำท่วมในอดีต

หากย้อนดูงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมในประเทศไทย จะพบว่ารัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลครบถ้วน งบประมาณทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมรวม 53,377.55 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.68% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่ง (19,821.42 ล้านบาท) ระบบระบายน้ำและประตูระบายน้ำ (6,899.69 ล้านบาท) และฝายต่าง ๆ (5,441.61 ล้านบาท) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีงบกลางที่ถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยในช่วงปี 2560-2566 มีการอนุมัติงบกลางเพื่อน้ำท่วมรวม 97,832.80 ล้านบาท โดยปี 2566 เป็นปีที่มีการเบิกจ่ายสูงเป็นอันดับ 3 ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน (8,171.60 ล้านบาท) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (6,258.54 ล้านบาท) และการฟื้นฟูถนนที่เสียหาย (3,786.55 ล้านบาท) การจัดสรรเงินทดรองราชการในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นทั้งการป้องกันและการเยียวยา

ความท้าทายและข้อกังวล

ถึงแม้ว่าการจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหรือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดกรอบระยะเวลา 13 วันทำการ แต่หากเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การขาดแคลนบุคลากรหรือความล่าช้าในการสำรวจผู้ประสบภัย อาจทำให้เงินถึงมือประชาชนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเพียงพอของวงเงินช่วยเหลือ เงินครัวเรือนละ 10,000 บาทอาจเพียงพอสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุในบางครัวเรือน แต่สำหรับบ้านที่มีความเสียหายหนักหรือมีพื้นที่กว้างขวาง อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ประสบภัยบางรายอาจต้องใช้เงินส่วนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างภาระให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของผู้สนับสนุนการจัดสรรเงินทดรองราชการ การดำเนินการครั้งนี้แสดงถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลประชาชนในยามวิกฤต การกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท และการจัดสรรเงินเกือบ 300 ล้านบาทให้สองอำเภอที่ได้รับผลกระทบหนัก เป็นหลักฐานถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ผู้ที่เห็นด้วยอาจมองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟู และหากวงเงินไม่เพียงพอ อำเภอยังสามารถขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของระบบ

ในทางกลับกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อาจมองว่าการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนอาจดูเหมือนเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และการที่ต้องรอถึงวันที่ 29 มีนาคมถึง 10 เมษายน 2568 กว่าผู้ประสบภัยจะได้รับเงิน อาจช้าเกินไปสำหรับบางครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือทันที นอกจากนี้ การที่งบประมาณส่วนใหญ่ในอดีตถูกใช้ไปกับการก่อสร้างมากกว่าการพัฒนาระบบเตือนภัยหรือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาจทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายการจัดการน้ำท่วมโดยรวมของรัฐบาล

ทั้งสองมุมมองมีเหตุผลในตัวเอง การช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นและควรได้รับการชื่นชมในแง่ของความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่การป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาระยะสั้นและการลงทุนระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่จังหวัดเชียงรายและรัฐบาลต้องพิจารณาต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) และสำนักงบประมาณ:

  • ปี 2567: อุทกภัยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 2 กันยายน 2567 ส่งผลให้มีพื้นที่น้ำท่วมรวม 1,231,323 ไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด และมีผู้ได้รับผลกระทบ 241,875 ครัวเรือน (ที่มา: ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม, GISTDA)
  • ปี 2566: งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมทั้งหมด 53,377.55 ล้านบาท โดยงบก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งสูงสุดที่ 19,821.42 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% ของงบน้ำท่วมทั้งหมด (ที่มา: รายงานงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด ปีงบประมาณ 2566, สำนักงบประมาณ)
  • ปี 2554: มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 11,798,241 ไร่ และกระทบประชาชนกว่า 13 ล้านคน (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความรุนแรงและความถี่ของปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย รวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการรวบรวมและวิเคราะห์โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น GISTDA และสำนักงบประมาณ

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่ยังคงต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและทันเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • สำนักงบประมาณ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • Rocket Media Lab
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งช่วย พายุถล่ม 300 หลัง ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน หลังพายุฤดูร้อนถล่มเสียหายกว่า 300 ครัวเรือน

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และนายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้นำคณะผู้แทนจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยม ติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยมีการเดินทางไปยังอาคารอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 17 บ้านแม่แก้วพัฒนา ซึ่งเป็นจุดรวบรวมข้อมูลและศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นให้แก่ครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุพายุฤดูร้อนในครั้งนี้

บ้านเรือนเสียหายกว่า 300 ครัวเรือนในตำบลแม่อ้อ

จากรายงานขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ พบว่าผลกระทบจากพายุฤดูร้อนซึ่งมีลมกระโชกแรงในช่วงค่ำวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ตำบลแม่อ้อได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมจำนวนกว่า 300 ครัวเรือน กระจายอยู่ในหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตบ้านแม่แก้วพัฒนา บ้านใหม่สามัคคี และบ้านใหม่ห้วยทราย ซึ่งมีบ้านเรือนที่หลังคาถูกลมพัดปลิว ไม้กระเบื้องและอุปกรณ์ภายในบ้านได้รับความเสียหาย บางหลังเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ขณะเดียวกันยังมีรายงานความเสียหายด้านสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าหลุดขาด เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนบางเส้นมีต้นไม้ล้มขวางทางจราจร รวมถึงมีโรงเรือนเกษตรและแปลงเพาะปลูกที่ถูกกระแสลมทำลายจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจและฟื้นฟูความเสียหายอย่างเร่งด่วน

ในเบื้องต้น หน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ ได้ประสานกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เพื่อเร่งจัดส่งกำลังพลและเครื่องมือเข้าเคลียร์พื้นที่ซากปรักหักพัง และจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับครัวเรือนที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ พร้อมเร่งประเมินความเสียหายรายครัวเรือนเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ

ขณะเดียวกันเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และเครือข่ายภาคประชาชน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยโดยตรง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

ผู้ว่าฯ ย้ำความห่วงใย พร้อมสั่งการให้ช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

ในการพบปะประชาชน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมโดยไม่ตกหล่น

“เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่เราต้องร่วมกันฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการทำงานที่โปร่งใส ทันต่อสถานการณ์ และเข้าถึงประชาชนในทุกครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยติดเตียง และผู้พิการ” นายชรินทร์กล่าว

ภัยพิบัติกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในเขตภาคเหนือ

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี คือช่วงฤดูเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมักเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงสูงจากกระแสลมร้อนและกระแสลมเย็นปะทะกัน ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้

กรณีตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศอย่างฉับพลันในช่วงต้นปี 2568 โดยเหตุวาตภัยครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งทำให้บ้านเรือนเสียหายกว่า 250 หลังคาเรือน

ความคิดเห็นจาก 2 มุมมอง: บทบาทรัฐและความเข้มแข็งของชุมชน

ฝ่ายสนับสนุนภาครัฐ มองว่า การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยอมรับว่าในภาวะวิกฤต รัฐมีบทบาทสำคัญในการระดมสรรพกำลังและงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันเวลา ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยในระดับหนึ่ง

ขณะที่ฝ่ายวิจารณ์ ชี้ให้เห็นว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงเผชิญปัญหาการสำรวจที่ล่าช้า การขาดแคลนเครื่องมือหนักและบุคลากรในพื้นที่ และบางรายที่ยังตกหล่นจากการได้รับความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้น จึงเสนอให้มีการวางระบบสำรองฉุกเฉินแบบถาวร เช่น การจัดตั้งคลังยังชีพในแต่ละตำบล การฝึกอบรมอาสาสมัครให้สามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่ายชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้าง “ความพร้อมเชิงระบบ” ทั้งในเชิงโครงสร้าง การสื่อสาร และกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชน เพื่อให้การจัดการภัยพิบัติในอนาคตมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในตำบลแม่อ้อ ครั้งล่าสุด (มีนาคม 2568): กว่า 300 ครัวเรือน
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, รายงานสถานการณ์ ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568
  • เหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอพาน ปี 2566 มีบ้านเรือนเสียหายรวม 251 ครัวเรือน
    ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย), รายงานภัยพิบัติประจำปี 2566
  • ช่วงเวลาที่เกิดพายุฤดูร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่: เดือนมีนาคม–เมษายน ของทุกปี
    ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานแนวโน้มสภาพอากาศประจำปี 2567
  • จังหวัดเชียงรายมีครัวเรือนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงวาตภัยกว่า 12,000 ครัวเรือน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ฐานข้อมูลแผนที่ภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย,สำนักงานจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ครบรอบ 107 ปี จัดพิธีศักการะ เสริมสิริมงคล

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ครบรอบ 107 ปี สะท้อนบทบาทสำคัญของกองทัพบกในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย และรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติของการก่อตั้งหน่วย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยได้จัดพิธีล่วงหน้าในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ พื้นที่ต่าง ๆ ภายในและโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าที่ได้อุทิศตนรับใช้ชาติ รวมถึงการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยและกำลังพลในสังกัด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับประชาชนในพื้นที่

พิธีกรรมสำคัญตามลำดับเวลาสะท้อนรากฐานทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์

พิธีในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม 2568 ประกอบด้วยลำดับพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและจิตใจ ดังนี้

  • เวลา 07.09 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ดอยเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทหารและชาวเชียงราย
  • เวลา 08.00 น. พิธีบวงสรวง พ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายฯ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  • เวลา 08.29 น. พิธีบวงสรวง พระญามังรายมหาราช ณ หน้า บก.มทบ.37 เพื่อรำลึกถึงผู้นำผู้สร้างความมั่นคงให้แก่ดินแดนล้านนา
  • เวลา 10.09 น. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และเจริญพระพุทธมนต์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มทบ.37 โดยมี พล.ท.ศุภอักษร สังประกุล เป็นประธานในพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องแผ่นดินไทย

พิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสถาบันทหารบกในการดำรงความมั่นคงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจแก่สังคม

การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อดีตผู้บังคับบัญชา หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สมาคมสื่อมวลชน และตัวแทนชุมชนโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มทบ.37 ในฐานะองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่เคารพจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

การรวมตัวของผู้แทนจากหลายภาคส่วนในพิธีแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพบกกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นรากฐานที่มั่นคงของระบบความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายแดนและภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ

บทบาทของ มทบ.37 ในการสร้างความมั่นคงและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น

มณฑลทหารบกที่ 37 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยทหารสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเขตรับผิดชอบหลักอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ

ภารกิจของ มทบ.37 ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการป้องกันประเทศ หากแต่รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ การสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการจิตอาสา รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ความเห็นเชิงกลาง: ความเชื่อมั่นและความคาดหวัง

ฝ่ายที่สนับสนุน บทบาทของ มทบ.37 มองว่ากองทัพบกโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ ความสงบ และการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กองทัพสามารถเข้าไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีวินัยและสามารถปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้ดี

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มีข้อกังวล ก็ได้แสดงความเห็นว่าบางกรณีการดำเนินงานของกองทัพอาจทับซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กองทัพเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปตามความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลอำนาจ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลที่ควรนำมาใช้ในการบริหารงานของทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรด้านความมั่นคงด้วย

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • มณฑลทหารบกที่ 37 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 และในปี พ.ศ. 2568 มีอายุครบรอบ 107 ปี
    ที่มา: กองทัพบกไทย, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก, รายงานประวัติการสถาปนาหน่วย
  • จังหวัดเชียงรายมีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางกว่า 283 กิโลเมตร
    ที่มา: กรมแผนที่ทหาร, รายงานเขตแดนประเทศไทย พ.ศ. 2566
  • กำลังพลในสังกัด มทบ.37 ณ ปีงบประมาณ 2567 มีประมาณ 1,200 นาย
    ที่มา: กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, รายงานสถานะกำลังพลประจำปี พ.ศ. 2567
  • โครงการจิตอาสาของ มทบ.37 ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 มีมากกว่า 50 โครงการครอบคลุม 9 อำเภอในเชียงราย
    ที่มา: ฝ่ายกิจการพลเรือน มทบ.37, รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37), กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, กรมแผนที่ทหาร, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อปพร.” ฮีโร่ ‘เชียงราย’ จัดงาน ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ

เชียงรายจัดกิจกรรมวัน อปพร. ประจำปี 2568 ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ สร้างขวัญกำลังใจ พร้อมเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายเพื่อรองรับภัยพิบัติในอนาคต

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) จังหวัดเชียงราย ได้จัดกิจกรรมเนื่องใน “วัน อปพร.” ประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการ ณ โดมศูนย์พักพิง ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้อำนวยการศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาชิก อปพร. และภาคีเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และเสริมพลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติแก่เหล่าอาสาสมัคร อปพร. ที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในยามเกิดภัยพิบัติ รวมถึงการสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับชุมชนและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังจากเกิดภัย

ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ได้อ่านสารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวัน อปพร. ประจำปี 2568 ซึ่งกล่าวถึงความสำคัญของบทบาท อปพร. ในการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

มอบรางวัลเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567–2568

ในงานมีพิธีมอบรางวัลเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีการมอบรางวัลในประเภทต่าง ๆ ได้แก่

  • ศูนย์ อปพร. ดีเด่น ประเภทเทศบาลนคร ได้แก่ ศูนย์ อปพร. เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งได้รับเงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล โดยมีนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบ
  • รางวัล อปพร. ดีเด่น จำนวน 3 ราย ได้แก่
    1. นายอนุสรณ์ อินทวงศ์ (เทศบาลนครเชียงราย)
    2. นายมนัส ปินตา (เทศบาลตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย)
    3. นายบุญมี สีใจสา (องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง อำเภอพาน)
  • รางวัลอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567 ได้แก่ นายนพพล ทาเนตร จากองค์การบริหารส่วนตำบลต้า อำเภอขุนตาล

การมอบรางวัลดังกล่าวไม่เพียงเป็นการแสดงความขอบคุณต่อผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ แต่ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก อปพร. ทั่วทั้งจังหวัด

สานต่อความเข้มแข็ง สู่อนาคตการบริหารจัดการภัยพิบัติ

ในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวยกย่องบทบาทของ อปพร. ว่าเป็น “กลไกสำคัญของสังคมไทย” ที่ได้อุทิศตนในการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 46 ปี พร้อมกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในวันนี้คือ การสร้างความพร้อมให้กับ อปพร. ทุกระดับ ให้มีทักษะความรู้ที่ทันสมัย มีระบบการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์สถานการณ์ และสามารถปรับตัวได้ทันต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือภัยที่เกิดจากมนุษย์”

เขาเน้นย้ำว่า “อปพร. ไม่ใช่เพียงผู้ช่วยเหลือยามเกิดภัย แต่ยังเป็นผู้สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน”

บทบาท อปพร. ต่อระบบความมั่นคงในระดับท้องถิ่น

ศูนย์ อปพร. นับเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับท้องถิ่น โดยปฏิบัติหน้าที่ทั้งการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น จัดตั้งศูนย์พักพิง และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐในการฟื้นฟูพื้นที่หลังเกิดเหตุ

ในระดับประเทศ มีอาสาสมัคร อปพร. ทั่วประเทศกว่า 1.2 ล้านคน (อ้างอิงจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, พ.ศ. 2566) โดยในจังหวัดเชียงรายมีสมาชิก อปพร. อยู่ทั้งสิ้นกว่า 7,500 คน ซึ่งถูกกระจายตัวตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในเขตเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อดูแลและคุ้มครองชีวิตประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่มักจะเป็นจุดเสี่ยงภัยพิบัติ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม ไฟป่า และอุทกภัยซ้ำซาก

ความเห็นจากสองมุมมอง: สนับสนุน-ท้าทายการดำเนินงาน

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า อปพร. เป็นพลังอาสาสมัครที่มีคุณค่าต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต อปพร. สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีความใกล้ชิดกับประชาชนในชุมชน จึงสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานภาครัฐที่อาจใช้เวลานานกว่าในการจัดกำลังลงพื้นที่

ขณะที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ชี้ว่า การบริหารจัดการ อปพร. ในหลายพื้นที่ยังขาดระบบสนับสนุนด้านงบประมาณและอุปกรณ์ปฏิบัติงานที่เพียงพอ ทำให้อาสาสมัครต้องใช้ทรัพยากรส่วนตัวในการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงบางพื้นที่ยังขาดการฝึกอบรมต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชนลดลง

ข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายสะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาศักยภาพของ อปพร. ให้ทันสมัยและมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนสมาชิก อปพร. ทั่วประเทศ: 1.2 ล้านคน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, รายงานประจำปี พ.ศ. 2566
  • จำนวนสมาชิก อปพร. จังหวัดเชียงราย: ประมาณ 7,500 คน
    ที่มา: ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย, สถิติ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568
  • ระยะเวลาดำเนินงานของ อปพร. ทั่วประเทศ: มากกว่า 46 ปี
    ที่มา: พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย  / ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย / กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยใส่สนุก มมท.เชียงรายรณรงค์ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายส่งเสริมผ้าไทย “ใส่ให้สนุก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สืบสานภูมิปัญญา

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์สวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวันผ่านโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” โดยมุ่งสร้างความตระหนักในคุณค่าของผ้าพื้นถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าไทย พร้อมผลักดันให้ผ้าไทยเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้นำสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยอำเภอแม่ลาว ลงพื้นที่จัดกิจกรรมรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ณ บ้านแม่ต๊าก หมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะผ้าไทย และการสร้างอัตลักษณ์ที่สง่างามในแบบไทยร่วมสมัย

ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านภูมิปัญญา

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มีเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ประกอบการผ้าพื้นถิ่นทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจ โดยในกิจกรรมที่จัดขึ้น ณ ตำบลบัวสลี ได้มีการสาธิตการพิมพ์ลายผ้าด้วยเทคนิค Eco Print ซึ่งใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ มาสร้างลวดลายเฉพาะตัวบนผืนผ้า เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสืบสานภูมิปัญญาชุมชน

กลุ่มผ้าพิมพ์ลายตำบลบัวสลี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างของการรวมกลุ่มในระดับชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการจัดการ การผลิต และการสร้างเครือข่ายจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งช่วยให้ครัวเรือนในพื้นที่มีรายได้เสริมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

ขยายผลสู่ทุกอำเภอของเชียงราย

บ้านแม่ต๊ากในครั้งนี้ ถือเป็นพื้นที่ที่ 15 จาก 18 อำเภอที่คณะทำงานของชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงรายได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะ พูดคุย ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยมีเป้าหมายให้ทุกอำเภอในจังหวัดเชียงรายมีส่วนร่วมในโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” อย่างทั่วถึงภายในปี 2568

นางสินีนาฏ ทองสุข กล่าวว่า “การส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยไม่ใช่เพียงแค่การแต่งกายให้สวยงาม แต่เป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย การเคารพต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการสร้างรายได้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง”

ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย สมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่ลาว ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว ท้องถิ่นอำเภอแม่ลาว พัฒนาการอำเภอแม่ลาว ตลอดจนผู้นำชุมชน อาทิ กำนันและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

นอกจากการเรียนรู้เทคนิคการพิมพ์ผ้าแล้ว ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอ ผ้าพิมพ์ลาย เครื่องแต่งกายพื้นถิ่น และของที่ระลึกจากชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย

ด้านผู้สนับสนุนโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มองว่าเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและเหมาะสมต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังผันผวน อีกทั้งยังช่วยให้ประชาชนมีความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง

ขณะที่อีกฝ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วน แสดงความคิดเห็นว่า ควรมีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วม และควรเน้นการสร้างตลาดรองรับที่ยั่งยืนมากกว่าการรณรงค์เพียงระยะสั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สามารถนำไปใช้ประกอบการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป

แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมผ้าไทย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าพื้นเมืองมากกว่า 8,000 กลุ่มทั่วประเทศ สร้างรายได้รวมกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีการผลิตและจำหน่ายผ้าไทยสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยในประเทศ

เฉพาะในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนกลุ่มทอผ้าและพิมพ์ผ้ากว่า 360 กลุ่ม ครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ โดยกลุ่มที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มทอผ้าไทลื้อ กลุ่มผ้าชาติพันธุ์อาข่า และกลุ่มผ้า Eco Print ตำบลบัวสลี ซึ่งต่างได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ และการเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยในประเทศไทย (ปี 2567): มากกว่า 8,000 กลุ่ม
  • รายได้รวมจากอุตสาหกรรมผ้าไทยในปี 2567: ประมาณ 2,500 ล้านบาท
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวนกลุ่มผ้าพื้นถิ่น: มากกว่า 360 กลุ่ม (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2567)
  • สัดส่วนผ้าไทยที่ผลิตในภาคเหนือ: ร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยทั้งประเทศ (กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปี 2567)

ทัศนคติแบบเป็นกลาง

จากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แม้จะมีข้อเสนอแนะบางส่วนเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาและการขยายผลในรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในระดับชุมชน

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / สมาคมแม่บ้านมหาดไทย / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย / กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พัฒนาคมนาคม ‘เชียงราย’ เชื่อมรถไฟ-สนามบิน ลดจราจร

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างจราจรและคมนาคมแบบบูรณาการ ประชุมคณะอนุกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัดเชียงราย

เชียงราย,20 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม

ในครั้งนี้ มีคณะอนุกรรมการ ผู้แทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยมีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ Webex Meeting เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการจราจรและขนส่งของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ภารกิจหลักของคณะอนุกรรมการจราจร

คณะอนุกรรมการชุดนี้จัดตั้งตามคำสั่งของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน และหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นเลขานุการ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง

หน้าที่หลักคือส่งเสริมการจัดทำแผนแม่บทจราจรและขนส่ง กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา และประสานแผนงานให้ดำเนินไปตามกรอบที่วางไว้ เพื่อยกระดับคุณภาพการจราจรในจังหวัด

โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงของ คืบหน้าแต่ยังล่าช้า

หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่หารือ คือความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ซึ่งดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีความคืบหน้าร้อยละ 28.182 เมื่อเทียบกับแผนงานสะสมที่ร้อยละ 36.545 พบว่าล่าช้ากว่าแผนร้อยละ 8.363

คณะอนุกรรมการได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่พบระหว่างดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อแผนงานในระยะยาว

แผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเชียงราย

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำเสนอการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดเชียงราย โดยมีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางในเขตเมืองหลัก 11 จังหวัด

แผนนี้มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งในระดับภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านโครงข่ายขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

พัฒนาและขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

ที่ประชุมยังได้รับฟังแผนพัฒนา “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย” ในช่วงปี 2564–2578 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก

  • ปี 2564–2568 ปรับปรุงและก่อสร้าง 10 รายการ
  • ปี 2568–2571 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 รวม 12 รายการ
  • ปี 2571–2578 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 2 อีก 5 รายการ

ปัจจุบันท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้

ถนนเชื่อมรถไฟเชียงราย – สนามบิน: แกนหลักการขนส่ง

ประเด็นสำคัญอีกข้อ คือโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟเชียงรายและท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม

โดยมอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ รวมถึงการเวนคืนที่ดินและขอรับงบประมาณสนับสนุนในลำดับถัดไป เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงรายสู่อนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของจังหวัดเชียงราย ทั้งยังสะท้อนเสียงจากภาคประชาชนผ่านคณะอนุกรรมการที่เป็นตัวแทนผู้ใช้ถนน

แผนต่างๆ ที่เสนอและรับฟัง จะเป็นพื้นฐานในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองในอนาคต เพื่อสร้างระบบขนส่งที่ยั่งยืน สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ คืบหน้า 28.182% (ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ปี 2568)
  • ความล่าช้าจากแผนสะสม 8.363%
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย รองรับผู้โดยสารได้ 3,000,000 คน/ปี (ข้อมูลจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ปี 2567)
  • แผนพัฒนาท่าอากาศยาน ระยะที่ 1 และ 2 รวม 27 โครงการ

ทัศนคติต่อประเด็นการพัฒนา

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ มองว่าการพัฒนาเหล่านี้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งในพื้นที่

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เวนคืนที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / การรถไฟแห่งประเทศไทย / สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) / ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยร่วง ความสุขโลกอันดับ 49 ฟินแลนด์แชมป์ 8 ปีซ้อน

ฟินแลนด์ครองแชมป์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก ไทยรั้งอันดับ 49 ในดัชนีความสุขโลก 2568

ประเทศไทย, 20 มีนาคม 2568 – รายงานดัชนีความสุขโลก (World Happiness Report) ประจำปี 2568 ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 20 มีนาคม เนื่องในวันความสุขสากลขององค์การสหประชาชาติ (United Nations International Day of Happiness) ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 49 ซึ่งแม้จะเป็นการขยับขึ้นจากอันดับ 54 ของปีก่อนหน้า แต่ยังคงตามหลังประเทศในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ (อันดับ 34) และเวียดนาม (อันดับ 46) ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชากรไทย

ขณะที่ ฟินแลนด์ ยังคงรักษาตำแหน่ง ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ตามมาด้วย เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิกที่ขึ้นชื่อด้านรัฐสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ส่วนประเทศที่ติด 10 อันดับแรกที่น่าสนใจ ได้แก่ คอสตาริกา (อันดับ 6) และเม็กซิโก (อันดับ 10) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศจากละตินอเมริกาสามารถติดอันดับต้น ๆ ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร กลับมีคะแนนความสุขลดลง โดยสหรัฐฯ ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 24 ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ที่ อันดับ 23 โดยแนวโน้มที่ลดลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมและความเชื่อมั่นที่ลดลงของประชาชนในประเทศเหล่านี้

การจัดอันดับดัชนีความสุขโลก และปัจจัยที่ใช้ประเมิน

รายงานนี้จัดทำโดยความร่วมมือระหว่าง Gallup, Oxford Wellbeing Research Centre, เครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Solutions Network – SDSN) และคณะบรรณาธิการ World Happiness Report โดยอ้างอิงข้อมูลจากแบบสำรวจ Gallup World Poll ซึ่งเก็บข้อมูลจากประชาชนในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก และใช้หลักเกณฑ์ 6 ประการเป็นตัวชี้วัด ได้แก่

  1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per capita)
  2. การสนับสนุนทางสังคม (Social support)
  3. อายุขัยที่แข็งแรง (Healthy life expectancy)
  4. เสรีภาพในการใช้ชีวิต (Freedom to make life choices)
  5. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Generosity)
  6. การรับรู้ถึงการทุจริต (Perceptions of corruption)

ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาคำนวณเป็นคะแนนเฉลี่ยของแต่ละประเทศในช่วง ปี 2565 – 2567 และนำมาจัดอันดับ

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง

ในการจัดอันดับครั้งนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ (อันดับ 34) เวียดนาม (อันดับ 46) และไทย (อันดับ 49) โดยเวียดนามมีพัฒนาการที่โดดเด่นโดยขยับขึ้นมาหลายอันดับจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อคะแนนความสุขของประชากร

ในขณะที่ประเทศไทยมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงเผชิญกับ ความท้าทายสำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปัญหาคอร์รัปชัน และระบบสวัสดิการสังคมที่ยังมีข้อจำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความสุขของประชาชนโดยรวม

บทเรียนจากประเทศนอร์ดิก และแนวทางปรับปรุงคุณภาพชีวิตในไทย

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฟินแลนด์และประเทศในกลุ่มนอร์ดิก สามารถรักษาระดับความสุขสูงได้อย่างต่อเนื่องคือ ระบบรัฐสวัสดิการที่มีคุณภาพสูง ซึ่งรวมถึง ระบบการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ทำให้ประชาชนมี ความเชื่อมั่นในระบบของประเทศ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว

อิลานา รอน-เลวีย์ กรรมการผู้จัดการของ Gallup กล่าวว่าประเทศเหล่านี้มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมต่ำ มีระบบดูแลสุขภาพและการศึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย และมีสภาพแวดล้อมทางสังคมที่สนับสนุนให้ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตโดยรวม

สำหรับประเทศไทย แนวทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มระดับความสุขของประเทศ อาจต้องให้ความสำคัญกับ การลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงระบบสวัสดิการ การสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ และแนวโน้มในอนาคต

จอห์น เฮลลิเวลล์ หนึ่งในบรรณาธิการผู้ก่อตั้งรายงานความสุขโลก ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศหนึ่งมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในเพื่อนมนุษย์ และระดับความไว้เนื้อเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อกัน” ซึ่งหมายความว่าการสร้างสังคมที่มีความสามัคคีและเชื่อถือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ในขณะเดียวกัน รายงานยังระบุว่า คนหนุ่มสาวทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาความเครียดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีแนวโน้มความสุขลดลง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง การลดความขัดแย้งทางการเมือง และการส่งเสริมสังคมที่มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน อาจเป็นแนวทางที่ช่วยส่งเสริมระดับความสุขของประชาชนให้สูงขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องกับระดับความสุขของประชากรโลก

  • 10 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในปี 2568
    1. ฟินแลนด์
    2. เดนมาร์ก
    3. ไอซ์แลนด์
    4. สวีเดน
    5. เนเธอร์แลนด์
    6. คอสตาริกา
    7. นอร์เวย์
    8. อิสราเอล
    9. ลักเซมเบิร์ก
    10. เม็กซิโก
  • 5 ประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดในปี 2568
    1. อัฟกานิสถาน (อันดับ 147)
    2. เซียร์ราลีโอน (อันดับ 146)
    3. เลบานอน (อันดับ 145)
    4. มาลาวี (อันดับ 144)
    5. ซิมบับเว (อันดับ 143)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Gallup World Poll (2568) / Oxford Wellbeing Research Centre (2568) / Sustainable Development Solutions Network (SDSN, 2568) / รายงานดัชนีความสุขโลก (World Happiness Report, 2568) / CNN

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกนกมอบทุน เรียนได้ทุกที่ เลี้ยงชีพได้ที่เชียงราย

อบจ.เชียงราย เดินหน้านโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือนักเรียนยากจนและด้อยโอกาส

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินหน้าสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่ ผ่านโครงการ “ส่งน้องเรียน” ตามนโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” โดยมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาส เพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาสู่ความสำเร็จในอนาคต

อบจ.เชียงราย มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือแก่นักเรียนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น.โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักศึกษาและนักเรียนที่ยากจนหรือด้อยโอกาส ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ.เชียงราย นายอับดุลกอเด็ร โกบยาหยัง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อบจ.เชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และนางน้ำผึ้ง สาธรรม รองผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมเป็นผู้แทนในการมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือดังกล่าว

โครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินงานของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ตามแนวทางที่กำหนดใน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และเป็นไปตาม ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยรายจ่ายเกี่ยวกับทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาและการให้ความช่วยเหลือนักเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2561 เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนและนักศึกษาได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม

ช่วยลดภาระผู้ปกครอง เพิ่มโอกาสทางการศึกษา

การมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเหลือนักเรียนและนักศึกษาที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาสในจังหวัดเชียงราย ให้ได้รับการศึกษาโดยไม่มีอุปสรรคทางด้านค่าใช้จ่าย โดยทุนการศึกษาที่มอบให้ในปีนี้มีทั้งหมด 250 ทุน แบ่งออกเป็นทุนละ 10,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาและความจำเป็นของแต่ละบุคคล รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ โครงการยังมุ่งเน้นการสนับสนุนด้าน ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับทุนสามารถศึกษาต่อจนจบหลักสูตรที่กำหนด และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการประกอบอาชีพและเลี้ยงชีพตนเองในอนาคตได้

ส่งน้องเรียน” โครงการที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา

อบจ.เชียงรายเล็งเห็นว่า การสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการ “ส่งน้องเรียน” จึงถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมุ่งเน้นให้พวกเขาสามารถเรียนจบและเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพ

จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ปี 2566) พบว่า จังหวัดเชียงรายมีอัตราการออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควรสูงถึง 8.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในภาคเหนือ ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวคือ ปัญหาความยากจนของครอบครัว และการขาดทุนทรัพย์ในการศึกษา ดังนั้นการสนับสนุนทุนการศึกษาของ อบจ.เชียงราย จึงเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้เยาวชนสามารถศึกษาต่อได้จนจบการศึกษา

สถิติและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสทางการศึกษาในไทย

จากข้อมูลของ ธนาคารโลก (World Bank, 2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาเพียง 49% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ที่ 55% โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราการเข้าเรียนที่ต่ำคือ ปัญหาค่าใช้จ่ายทางการศึกษา และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2566) เปิดเผยว่า เด็กไทยที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเพียง 22% เมื่อเทียบกับเด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีซึ่งมีโอกาสศึกษาต่อสูงถึง 78%

บทสรุปและแนวทางในอนาคต

การสนับสนุนทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่ยากจนของ อบจ.เชียงราย เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับ แนวทางการจัดสรรงบประมาณภาครัฐ ว่าควรเพิ่มการสนับสนุนทุนการศึกษาหรือพัฒนาสถาบันการศึกษาให้สามารถรองรับนักเรียนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ อบจ.เชียงรายยืนยันว่า จะดำเนินโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง และพัฒนารูปแบบการช่วยเหลือเพื่อให้ครอบคลุมเยาวชนในพื้นที่มากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้โครงการนี้เป็นต้นแบบสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566) / ธนาคารโลก (World Bank, 2566) / สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2566) / องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (2567)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ช่วยชีวิตฉุกเฉิน ศิริกรณ์เชียงรายอบรมกู้ชีพ 100 คน

สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย จัดอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพในชุมชน

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดโครงการอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support: BLS) สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลท่าสุด ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด การอบรมจัดขึ้น ณ อาคารอเนกประสงค์ เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 100 คน

การช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ

การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการให้ความรู้และฝึกปฏิบัติการช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน เช่น การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) การใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) การช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในชุมชน โดยมีวิทยากรจากสมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่มีความเชี่ยวชาญมาให้ความรู้และฝึกสอน

กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด

การอบรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ อสม. และประชาชนในชุมชนมีทักษะที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุดให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์ฉุกเฉินในระดับชุมชน เพราะเชื่อว่าการมีบุคลากรที่สามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนถึงมือแพทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยและลดภาระของโรงพยาบาลในพื้นที่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยการได้รับความรู้และทักษะจากการฝึกปฏิบัติจริงช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นในการให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องใช้ CPR หรือ AED ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุว่าในปี 2567 มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลันนอกโรงพยาบาลในประเทศไทยมากกว่า 50,000 ราย แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ได้รับการช่วยเหลือด้วยการทำ CPR หรือการใช้เครื่อง AED อย่างถูกต้องก่อนถึงโรงพยาบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มพูนทักษะด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้กับประชาชนในทุกระดับ

ทั้งนี้ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัยและเทศบาลตำบลท่าสุด ยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการฝึกอบรมลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมศักยภาพของอาสาสมัครและประชาชนในพื้นที่ให้สามารถเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน และสร้างเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินระดับชุมชนที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย /สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) / กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลท่าสุด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News