Categories
ENTERTAINMENT

Netflix ทุ่ม 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สู่สากล

Netflix ทุ่มสุดตัว! อัดฉีดงบฯ กว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับสากล

ประเทศไทย, 21 สิงหาคม 2568 – โอกาส–ตัวเลข–โจทย์ที่ต้องแก้ ปรากฏการณ์ “เงินไหลเข้า” ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ในไทยกำลังเกิดขึ้นจริงและชัดขึ้นทุกปี ทั้งจากแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่าง Netflix ที่เดินหน้าลงทุนระยะยาวในไทย และจากกองถ่ายต่างชาติที่เลือกประเทศไทยเป็นโลเกชันหลักของงานระดับเรือธง (flagship) ผลลัพธ์เบื้องต้นวัดได้ด้วยตัวเลข: รายได้จากกองถ่ายต่างชาติปีล่าสุดแตะหลายพันล้านบาทต่อปี ขณะที่ฝั่งคอนเทนต์ไทยบนแพลตฟอร์มโลกทำสถิติชั่วโมงรับชมรวมระดับหลายร้อยล้านชั่วโมง คำถามสำคัญมีสองชั้น—เราพร้อมแค่ไหนจะเป็น “ฮับการผลิตคอนเทนต์” ของภูมิภาค และจะต่อยอด Soft Power ให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างไร

รายงานนี้พาไล่เรียงตั้งแต่ “เงินลงทุน” ของแพลตฟอร์ม, “อุปสงค์” จากกองถ่ายต่างชาติ, ไปจนถึง “นโยบาย” ที่กำลังเติมเชื้อไฟให้ระบบนิเวศคอนเทนต์ไทย พร้อมชวนคิดด้วยตัวเลขจริงและประเด็นที่ต้องจับตา—เพื่อให้ผู้อ่านใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงงานและธุรกิจอย่างมั่นใจ

จากริมกกสู่จอโลก เมื่อเรื่องเล่าไทยกลายเป็นสินทรัพย์ระดับภูมิภาค

บ่ายแก่ๆ ในเชียงราย ร้านกาแฟอาร์ตๆ ริมแม่น้ำกกเปิดจอทีวีฉายซีรีส์ไทยที่ติดอันดับใน Netflix ผู้คนต่างถกกันถึงงานโปรดักชันที่ยกระดับอย่างชัดเจน—นี่ไม่ใช่เพียง “กระแส” แต่สะท้อนการลงทุนต่อเนื่องของแพลตฟอร์มระดับโลกใน “คนทำงานไทย” และ “เรื่องเล่าแบบไทย” ที่กำลังไปได้สวยในตลาดสากล

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สื่อธุรกิจในไทยและต่างประเทศรายงานสอดคล้องกันว่า Netflix ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.5 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ไทย สร้างโอกาสงานและทักษะใหม่ๆ ให้ทีมโปรดักชันรุ่นใหม่ รวมทั้งยกระดับระบบนิเวศให้แข็งแรงขึ้นโดยรวม ตัวเลขจากรายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่ามีออริจินัลคอนเทนต์ไทยกว่า 15 เรื่องที่เคยติดชาร์ต Global Top 10 (คอนเทนต์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) และภาพรวมชั่วโมงรับชมคอนเทนต์ไทยในแพลตฟอร์มแตะราว 750 ล้านชั่วโมง นับเป็น “หลักฐานเชิงอุปสงค์” ว่าผู้ชมทั่วโลกพร้อมเปิดใจให้กับความเป็นไทยในรูปแบบร่วมสมัยและสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเชิงพอร์ตโฟลิโอ Netflix เดินเกมสองทางคู่ขนาน—สร้างออริจินัลไทย (เช่น “Master of the House” ที่ปล่อยในปี 2567) ควบคู่กับการขยายฐานเรื่องเล่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค โดยบทเรียนความสำเร็จจากเกาหลีใต้กลายเป็น “พิมพ์เขียว” ที่ชี้ว่าการลงทุนระยะยาวด้านคน–มาตรฐาน–การตลาดคือสามเสาหลักของความยั่งยืน

โลเกชันไทย “ฮอต” ต่อเนื่อง จาก The White Lotus ถึง Alien และ Jurassic World

ขณะเดียวกัน “แรงดึงดูดโลเกชันไทย” ก็พุ่งแรง—ไม่ใช่เฉพาะงานระดับเอเชีย แต่คือซีรีส์–ภาพยนตร์เรือธงของสตูดิโอฮอลลีวูดที่เลือกไทยเป็นฉากสำคัญ

  • The White Lotus ซีซัน 3 ของ HBO Max ยืนยันถ่ายทำในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2567 นำร่องด้วยโลเกชันภาคใต้และภาคกลาง เป็นการตอกย้ำไทยในฐานะเวทีของซีรีส์รางวัลเอ็มมีที่มีฐานผู้ชมระดับโลก.
  • Alien (FX/Disney) เริ่มถ่ายทำในไทยและเป็นโปรดักชันไซไฟ–สยองขวัญฟอร์มใหญ่ที่เลือกไทยด้วยเหตุผลด้านทีมงาน–โลเกชัน–ค่าใช้จ่ายที่แข่งขันได้.
  • Jurassic World (ภาคใหม่) อยู่ในลิสต์โปรเจ็กต์ที่รัฐบาลไทยใช้มาตรการ cash rebate ดึงเข้ามา เป็นงานระดับ “แม่เหล็ก” ที่ช่วยยกเพดานความเชื่อมั่นต่อสารพัดบริการโปรดักชันในประเทศ.

แรงสะเทือนเชิงบวกถัดมาคือ “ตัวเลขจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ กรมการท่องเที่ยว (ผ่านกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ: TFO) ระบุว่าในปีที่ผ่านมา ไทยรองรับโปรเจ็กต์ถ่ายทำต่างชาติหลายร้อยเรื่อง รวมเม็ดเงินใช้จ่ายในประเทศระดับหลายพันล้านบาทต่อปี—สะท้อนทั้งศักยภาพซัพพลายเชน (โลเกชัน–สตูดิโอ–อุปกรณ์–ทีมงาน) และประสิทธิผลของมาตรการจูงใจที่ปรับให้ “ทันเกม” คู่แข่งในภูมิภาค

เงินอุดหนุน–มาตรการจูงใจฟันเฟืองที่ทำให้ “ดีลใหญ่” เกิดขึ้นได้จริง

หัวใจหนึ่งของ “เกมแย่งชิงกองถ่าย” ระหว่างประเทศคือ “ความแน่นอน” เชิงนโยบาย ไทยเดินหน้าโครงการคืนเงินสนับสนุน (cash rebate) ให้โปรดักชันต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำและใช้ทีมงาน–บริการในประเทศตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยล่าสุดมีการขออนุมัติงบสนับสนุนเพิ่มเติมราว 845 ล้านบาท เพื่อรองรับโปรเจ็กต์เรือธง 7 เรื่อง มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4,500 ล้านบาท—นี่คือสัญญาณว่าตลาด “ต้องการไทย” และไทยกำลังก้าวให้ทันดีมานด์จริง.

ด้านสถิติภาพรวม กรมการท่องเที่ยวเปิดเผยว่าการถ่ายทำต่างชาติสร้างรายได้ 6.6 พันล้านบาท ในปี 2566 จาก 466 โปรเจ็กต์ ที่เข้ามาถ่ายทำทั่วประเทศ—ตัวเลขเชิงโครงสร้างเช่นนี้ช่วยตอบโจทย์ทั้ง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และ “ท่องเที่ยวจากหนัง–ซีรีส์” (screen tourism) ที่พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจบริการท้องถิ่น

Soft Power เป็นวาระแห่งชาติ กรอบคิด–เป้าหมาย–ความคาดหวัง

นโยบาย Soft Power ของรัฐบาลถูกยกระดับเป็น “ยุทธศาสตร์ประเทศ” ผ่านคณะกรรมการนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยมีการประกาศเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจที่ทะเยอทะยาน ทั้งรายได้รวมจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับ 4 ล้านล้านบาท และ การจ้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ในระยะยาว—แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ภาพใหญ่ในเชิงเป้า” แต่ก็สะท้อนความตั้งใจของภาครัฐที่จะใช้วัฒนธรรม–คอนเทนต์–ท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย.

เมื่อวางร่วมกับ “เม็ดเงินจริง” ของ Netflix และ “เม็ดเงินใช้จ่ายจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ ภาพรวมจึงไม่ใช่เพียงการ “ปั้นไวรัลชั่วคราว” แต่คือการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ตั้งแต่ทักษะบุคลากร, โครงสร้างพื้นฐานโปรดักชัน, ระบบสิทธิประโยชน์ ไปจนถึงกติกาที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยโตได้ในตลาดโลก

สิ่งที่ตัวเลขบอกเราตัวอย่างผลกระทบที่วัดได้และวัดยาก

  1. ผลกระทบตรง (Direct Impact):
    • การจ้างงานทีมโปรดักชัน–หลังการถ่ายทำ (post-production)–ซัพพลายเออร์อุปกรณ์–สตูดิโอ–รถแสงเสียง–อีเวนต์
    • เม็ดเงินจ่ายตรงในชุมชนโลเกชัน (อาหารถ่ายทำ, ที่พัก, เดินทาง, ค่าบริการท้องถิ่น)
  2. ผลกระทบต่อเนื่อง (Indirect/Induced):
    • Screen Tourism: โลเกชันที่ปรากฏในซีรีส์/หนังระดับโลกถูก “ปักหมุด” เป็นจุดหมายใหม่—ตั้งแต่ที่พัก, ร้านอาหาร, ไปจนถึงชุมชนวัฒนธรรม (จังหวัดปลายทางยิ่งได้ประโยชน์)
    • แบรนด์ประเทศไทย (Country Brand): ภาพลักษณ์มืออาชีพด้านโปรดักชัน สะอาด ปลอดภัย มีทีมงานฝีมือดี และค่าใช้จ่ายแข่งขันได้—ล้วนต่อยอดดีลใหม่ได้รวดเร็ว
  3. ทุนมนุษย์ (Human Capital):
    • โปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ช่วย “อัพสกิล” ทีมงานไทย ผ่านการทำงานร่วมกับหัวหน้าทีม (head of departments) ระดับนานาชาติ—ตั้งแต่มาตรฐานเซฟตี้, เวิร์กโฟลว์, ไปจนถึงเทคโนโลยีงานกล้อง/เสียง/แสง และ VFX
  4. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure):
    • ความต้องการสตูดิโอ, เวทีถ่ายทำ, โรงงานพร็อพ, บริษัทโพสต์, และโครงสร้างดิจิทัล (รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์–ระบบเก็บข้อมูลดิจิทัลสำหรับเวิร์กโฟลว์สมัยใหม่) จะกดดันให้เกิดการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง—ยิ่งไทยตั้งเป้าฐานผลิตระดับภูมิภาค ยิ่งต้องเร่งเติม “ชั้นลึก” ของซัพพลายเชนให้ครบวงจร

จะ “ล็อกอิน” ไทยให้เป็นฮับอย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ทำให้กติกา “เสถียรและแข่งขันได้” ผู้เล่นโลกมองหา “ความแน่นอน” ไทยต้องคงความต่อเนื่องของมาตรการ cash rebate และยกระดับให้เป็นแพ็กเกจ One-Stop (ตั้งแต่ใบอนุญาตจนถึงภาษี) ที่ลดความยุ่งยากของโปรดักชันขนาดใหญ่ โดยไม่ลดทอนมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม ปั้นคน–ปั้นทักษะ–ปั้นมาตรฐาน งบพัฒนาทักษะควรถูกกระจายสู่หัวเมืองโปรดักชันที่กำลังโต (เชียงใหม่–เชียงราย–ภูเก็ต–พังงา–กทม.) พร้อมแผนสร้าง “พอร์ตโฟลิโอ” ให้สถาบันการศึกษาร่วมมือสตูดิโอและกิลด์อาชีพ (เช่น ผู้ช่วยผู้กำกับ, ผู้จัดกอง, ช่างไฟ, ช่างกล้อง, กราฟิก/โพสต์) ให้มีเส้นทางอาชีพชัดเจน

เชื่อม Soft Power กับชุมชน เมื่อโลเกชันถูกปักหมุด สิ่งที่ชุมชนได้มากกว่ารายได้ระยะสั้น คือโอกาสต่อยอดงานฝีมือ–อาหาร–วัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นสินค้า–บริการที่เล่า “เรื่อง” ได้จริง การทำงานเชิงพันธมิตรระหว่าง อปท.–ททท.–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ผู้ผลิตคอนเทนต์ จึงจำเป็น วัฒนธรรม–ความหลากหลาย–ความปลอดภัย
ความแข็งแรงของความหลากหลายทางวัฒนธรรมไทยคือ “จุดขาย” ที่โลกต้องการ—but ต้องมาพร้อมกรอบคุ้มครองแรงงานกองถ่าย, ความปลอดภัย, การเคารพชุมชน, และมาตรการสิ่งแวดล้อมที่จริงจัง เพื่อให้การเติบโต “ยั่งยืนจริง” ไม่ใช่เพียง “เร็วชั่วคราว”

 

มุมมองผู้เล่นโลก ไทย “สอบผ่าน” และกำลังถูกจับตา ฝั่งแพลตฟอร์ม สัญญาณลงทุนระยะยาวของ Netflix ในไทย—ตั้งแต่ออริจินัลไทย, การทำงานกับผู้กำกับ–สตูดิโอท้องถิ่น, ไปจนถึงการผลักดันเรื่องเล่าใหม่—สะท้อน “ระดับความเชื่อมั่น” ต่อศักยภาพทีมงานไทยและพลัง Soft Power ไทยในตลาดโลก ขณะเดียวกัน การที่โปรดักชันฮอลลีวูดเรือธงเลือกถ่ายทำในไทยต่อเนื่อง ก็เสมือนการ “รับรอง” ว่าโลเกชันและซัพพลายเชนไทยตอบโจทย์คุณภาพ–ต้นทุน–ความพร้อมของงานระดับท็อปได้จริง

ไม่ใช่แค่เงิน แต่คือ “ระบบนิเวศ” ที่ต้องสร้างครบ

คำโปรยในวันนี้—“Netflix ทุ่มกว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยเป็นฮับคอนเทนต์”—จะเป็น “เรื่องเล่าความสำเร็จ” ที่ยืนระยะได้ ก็ต่อเมื่อเราทำสามเรื่องให้สำเร็จพร้อมกัน (1) นโยบายที่เสถียร–แข่งขันได้, (2) คน–มาตรฐาน–ทักษะที่ก้าวทันเทคโนโลยี, และ (3) การเชื่อม Soft Power กับเศรษฐกิจฐานชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม หากทำได้ ไทยไม่เพียงเป็นโลเกชันสวย แต่จะเป็น “ฐานผลิตคอนเทนต์คุณภาพ” ที่เลี้ยงตัวเองได้และเลี้ยงประเทศได้ในระยะยาว

ประโยคชวนคิด: ถ้า 1 โปรเจ็กต์เรือธงสร้างการจ้างงานหลักพันตำแหน่งตลอดห่วงโซ่ แล้วถ้าไทยดึงงานระดับนี้ได้เดือนละ 1 โปรเจ็กต์ต่อเนื่องทั้งปี—เรากำลังพูดถึง “แรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ” ขนาดไหน?

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

ก้าวใหม่เชียงราย โครงการ Creative Space ปลุกพลังเยาวชน สืบสานวัฒนธรรมและชาติพันธุ์

อบจ.เชียงราย สร้างสรรค์พื้นที่ให้เยาวชน” รองนายกฯ ปิดโครงการสุดปัง! มอบรางวัลเดินแบบชุดชาติพันธุ์ พร้อมชูพลัง Soft Power ท้องถิ่น

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคมเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะร่าเริงของเยาวชนจำนวนมาก พวกเขาสวมใส่ชุดประจำชาติพันธุ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าถุงลายขิดของชาวไทลื้อ เสื้อแขนกระบอกของชาวอาข่า หรือผ้าคลุมศีรษะประดับลูกปัดของชาวลาหู่ แต่ละชุดไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความงดงามทางวัฒนธรรม แต่ยังเล่าเรื่องราวของรากเหง้าที่ถูกถักทอมาจากบรรพบุรุษ คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเยาวชนรุ่นใหม่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเชียงราย ถึงได้มีโอกาสแสดงออกถึงอัตลักษณ์เหล่านี้อย่างภาคภูมิใจ

 คำตอบอยู่ที่โครงการพัฒนาทักษะชีวิตเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย หมวดที่ 6 “Creative Space for Youth Development” ซึ่งปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบในวันนี้ ด้วยมหกรรมโซน 3 “มหกรรมร่วมสืบสาน เล่าตำนาน วัฒนธรรมและชาติพันธุ์สุดถิ่นไทย” ที่ไม่เพียงเป็นเวทีแห่งการแสดงศักยภาพ แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของชุมชนท้องถิ่น

เปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2568

ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน โครงการนี้เริ่มต้นจากนโยบายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ที่มุ่งมั่นสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชน โดยเฉพาะในพื้นที่โซน 3 ซึ่งครอบคลุมอำเภอแม่จัน แม่สาย และพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงสุดในจังหวัด เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์มากถึง 145 กลุ่ม คิดเป็นประชากรกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 211,752 คน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน เยาวชนในพื้นที่เหล่านี้ก็เผชิญกับความท้าทาย เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา การเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าและสิ่งเสพติด รวมถึงปัญหาการรวมกลุ่มเด็กแว้นที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์เหล่านั้น โดยเปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2568 และปิดรับสมัครการแข่งขันเดินแบบชุดชาติพันธุ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 500 คน จากชุมชนต่างๆ ในโซน 3

งานมหกรรมในวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 08.00 น. ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายฐิติวัชร ไลศิริพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยทีมงานจากศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย บรรยากาศคึกคักด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น เช่น การรำวงพื้นเมืองและการบรรเลงดนตรีชาติพันธุ์ แต่ไฮไลต์สำคัญคือการประกวดเดินแบบชุดชาติพันธุ์ ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนได้นำเสนอเรื่องราวของชุดที่สวมใส่ ไม่ใช่แค่การเดินโชว์ แต่เป็นการเล่าตำนานและอัตลักษณ์ของแต่ละเผ่า เช่น เยาวชนคนหนึ่งจากชุมชนชาวลาหู่เล่าว่า ชุดของเขาสะท้อนถึงวิถีชีวิตบนภูเขาที่ต้องต่อสู้กับธรรมชาติอันโหดร้าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความเข้มแข็งและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร การแข่งขันนี้ไม่เพียงสร้างความตื่นเต้น แต่ยังทำให้ผู้ชม โดยเฉพาะพ่อแม่และชาวบ้านในพื้นที่ ได้เห็นถึงศักยภาพของลูกหลานที่ถูกปลุกขึ้นมาผ่านกิจกรรมเช่นนี้

โครงการนี้คือการลงทุนในอนาคตของเชียงราย

เมื่อเข้าสู่ช่วงบ่าย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปิดโครงการและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ นายสุธีระพงษ์กล่าวในพิธีว่า “โครงการนี้คือการลงทุนในอนาคตของเชียงราย เราต้องการให้เยาวชนเติบโตอย่างมั่นคง ภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง และนำทักษะที่ได้ไปประกอบอาชีพได้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม” คำกล่าวนี้สะท้อนถึงนโยบายหลักของอบจ.เชียงราย ภายใต้แนวคิด “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ซึ่งเน้นการเข้าถึงการศึกษาและทักษะชีวิตแม้ในพื้นที่ห่างไกล ผู้ชนะเลิศในประเภทต่างๆ ได้รับรางวัลเป็นทุนการศึกษาและอุปกรณ์ส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น ชุดเครื่องแต่งกายใหม่หรือเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถสืบสานกิจกรรมเหล่านี้ต่อไปในชุมชน

นอกจากประเด็นหลักอย่างการสืบสานวัฒนธรรม ประเด็นรองที่โดดเด่นในงานนี้คือการส่งเสริม Soft Power ท้องถิ่น เชียงรายมีชื่อเสียงในด้านนี้อยู่แล้ว เช่น เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงที่ได้รับ OTOP ระดับ 5 ดาว ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ โครงการนี้จึงเชื่อมโยงกับการพัฒนาเยาวชนให้เป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power โดยผ่านกิจกรรมที่ผสมผสานศิลปวัฒนธรรมกับทักษะสมัยใหม่ เช่น การใช้โซเชียลมีเดียโปรโมทชุดชาติพันธุ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าพื้นเมือง ผู้เข้าร่วมหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า “กิจกรรมนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าวัฒนธรรมของเราไม่ใช่แค่เรื่องเก่าๆ แต่สามารถนำไปขายหรือโปรโมทให้คนอื่นรู้จักได้” ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเยาวชน

กิจกรรมในมหกรรมโซน 3 นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์

โครงการ “Creative Space for Youth Development” เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566-2570 ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนอายุ 15-24 ปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของประชากรจังหวัด (จากข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2564) กิจกรรมในมหกรรมโซน 3 นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากชุมชนต่างๆ กว่า 500 คน และมีผู้ชมรวมกว่า 1,000 คน รวมถึงแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานท้องถิ่น เช่น สภาเยาวชนเชียงราย ซึ่งขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเยาวชนกว่า 100 โครงการในปี 2568 การแข่งขันเดินแบบมีผู้สมัครกว่า 200 คน จากการเชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์และกลุ่มชุมชน ผลจากการจัดงานครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยลดปัญหาสังคมในเยาวชน เช่น การเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าที่พบในเยาวชนเชียงรายสูงถึง 10% (จากรายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชน พ.ศ. 2564) โดยแทนที่ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์

โครงการส่งเสริม Soft Power ในเชียงราย

เยาวชนในชุมชนของคุณเติบโตขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม พวกเขาจะนำสิ่งนั้นไปสร้างรายได้อย่างไร? จากข้อมูลของโครงการส่งเสริม Soft Power ในเชียงราย การนำวัฒนธรรมมาพัฒนา โครงการนี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มักถูกมองข้าม ล่าสุด รัฐสภาเพิ่งผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนกลุ่มนี้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานมากขึ้น เช่น การศึกษาและสวัสดิการ ส่งผลให้ชุมชนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในแง่เศรษฐกิจ Soft Power จากโครงการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 54,106 ล้านบาท โดยการโปรโมทวัฒนธรรมผ่านเยาวชนจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น สร้างงานให้ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น การขายสินค้าพื้นเมืองหรือบริการโฮมสเตย์

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทาย เช่น การขาดงบประมาณต่อเนื่องหรือการเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล แต่หากอบจ.เชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ที่มีโครงการพัฒนาชุมชน Soft Power สามารถเชื่อมโยงกันได้ โครงการนี้จะยั่งยืนยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้ว ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคือชุมชนที่เข้มแข็ง ลูกหลานที่มีทักษะพร้อมเผชิญโลก และวัฒนธรรมที่ถูกสืบสานไปสู่รุ่นต่อไป ซึ่งจะช่วยให้เชียงรายกลายเป็นแบบอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กิจกรรมจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และสภาเยาวชนจังหวัดเชียงราย
  • สถิติประชากรและกลุ่มชาติพันธุ์จากรายงานสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2564 และ SDG Profile Chiang Rai โดย UNDP
  • ข้อมูล Soft Power และผลกระทบจาก ETDA และรายงานโครงการส่งเสริม Soft Power เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT FEATURED NEWS

เชียงรายเมืองแอนิเมชัน! “Little Fan” คว้า The Winner ส่วนทีมไทย “Little Angel” คว้า Thai Best

ภูแล” ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการแอนิเมชันไทย: “Little Fan” คว้ารางวัล The Winner ท่ามกลาง 1,274 ผลงานจากทั่วโลก พร้อมชู “Little Angel” คว้า Thai Best Animation รางวัลพิเศษเพื่อทีมไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในวันที่ประวัติศาสตร์แห่งวงการแอนิเมชันไทยได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โรง 5 เซ็นทรัลเชียงราย กลายเป็นเวทีแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล (Phulae International Animation Festival) 2025 ครั้งแรกของจังหวัดเชียงราย ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้โลกได้เห็นถึงศักยภาพของแอนิเมชันไทยบนเวทีระดับสากล

การจัดเทศกาลในครั้งแรกนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักสร้างสรรค์ทั่วโลก ด้วยผลงานแอนิเมชันที่ส่งเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 1,274 เรื่อง จาก 125 ประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับการจัดเทศกาลครั้งแรก และสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและมาตรฐานระดับสากลของเทศกาลแห่งนี้

พิธีประกาศผลและมอบรางวัลในครั้งนี้มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยมีคุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี และคุณรัฐ จำปามูล ในฐานะ Festival Director ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเทศกาลแห่งนี้ การมีส่วนร่วมของหน่วยงานระดับกระทรวงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและการสนับสนุนจากภาครัฐต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ

The Winner Little Fan โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมัน
Sveta Yuferova ชาวเยอรมัน เจ้าของเรื่อง Little Fan

“Little Fan” สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล “The Winner”

ภายหลังการแข่งขันที่เข้มข้นและการพิจารณาอย่างรอบคอบจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการตัดสินได้ปรากฏขึ้นแล้ว โดยมีแอนิเมชัน 5 เรื่องที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อชิงรางวัลอันทรงเกียรติ

ผลงานที่คว้าสุดยอดรางวัล “The Winner” ได้แก่ “Little Fan” โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวของการค้นพบตัวเองผ่านมิตรภาพที่เติบโตขึ้นอย่างคาดไม่ถึงระหว่าง “Little Fan” และ “Origami Crane” ผลงานนี้ชวนให้ผู้ชมร่วมเดินทางไปกับโศกนาฏกรรมอันงดงามของชีวิต ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งและภาพแอนิเมชันที่สื่ออารมณ์ได้อย่างน่าประทับใจ

First runner-up OUROBOROS โดย Yummy Films จากประเทศฝรั่งเศส
Second runner-up The Sprayer โดย Farnoosh Abedi จากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน

นอกจากรางวัลชนะเลิศแล้ว ยังมีการประกาศรางวัลอื่นๆ ดังนี้ รางวัล First Runner-up ได้แก่ “OUROBOROS” โดย Yummy Films จากประเทศฝรั่งเศส รางวัล Second Runner-up ได้แก่ “The Sprayer” โดย Farnoosh Abedi จากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และรางวัล Honorable Mention จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ “Town Hall Square” โดย Christian Kaufmann จากประเทศเยอรมนี และ “Little Angel” โดยทีมนักศึกษาไทยซึ่งประกอบด้วย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ นางสาวทิพปภา สังข์ทอง และนางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์

Honorable mention Town Hall Square โดย Christian Kaufmann จากประเทศเยอรมัน
Honorable mention Little Angel โดย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ / นางสาวทิพปภา สังข์ทอง / นางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์ จาก ประเทศไทย

รางวัลพิเศษ “Thai Best Animation” เชิดชูศักยภาพนักแอนิเมชันไทย

หนึ่งในไฮไลท์พิเศษของงานคือการมอบรางวัล “Thai Best Animation” ซึ่งเป็นรางวัลที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูและส่งเสริมศักยภาพของนักแอนิเมชันไทย โดยผลงานที่ได้รับรางวัลนี้คือ “Little Angel” ซึ่งเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ของทีมนักศึกษาสาว 3 คน ที่ใช้ความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ

การได้รับรางวัลนี้ไม่เพียงแสดงถึงความสามารถของนักแอนิเมชันไทยรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของการศึกษาด้านแอนิเมชันในประเทศไทยที่สามารถผลิตผลงานที่มีมาตรฐานระดับสากล รางวัลนี้ครอบคลุมการส่งเสริมศักยภาพของนักศึกษาด้านแอนิเมชันจากกว่า 40 สถาบันในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความครอบคลุมและการสนับสนุนอย่างทั่วถึง

คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ได้กล่าวแสดงความยินดีและมอบรางวัลดังกล่าว ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงการสนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยจากภาครัฐ และเป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศในอนาคต

"Little Angel" โดยทีมนักศึกษาไทยซึ่งประกอบด้วย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ นางสาวทิพปภา สังข์ทอง และนางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์

ภูแล” จากสับปะรดสู่สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้

ชื่อ “ภูแล” ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อของเทศกาลเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้งที่สะท้อนถึงปรัชญาและวิสัยทัศน์ของการจัดงาน คุณรัฐ จำปามูล ได้อธิบายถึงที่มาของชื่อ “ภูแล” ว่ามาจากสับปะรดภูแล ซึ่งเป็นพืชนักสู้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของเชียงราย แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากำปั้น แต่กลับมีรสชาติที่โดดเด่นและน่าจดจำ สามารถเติบโตได้ตลอดปี

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงแอนิเมชันไทยที่แม้จะเป็นศิลปะที่เพิ่งเริ่มต้นไม่นาน แต่ก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นและน่าสนใจ มีความเฉพาะตัวและศักยภาพที่จะแข่งขันในระดับนานาชาติได้หากได้รับโอกาสและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง งานนี้เป็นผลผลิตจากความฝันของคุณรัฐที่ต้องการจัดเทศกาลแอนิเมชันระดับโลกในเมืองที่มีเสน่ห์อย่างเชียงราย

เทศกาลยังมีมาสคอตน่ารักชื่อ “น้องลูกกุย” ซึ่งเป็นคำเมืองที่แปลว่า “กำปั้น” โดยผสมผสานสับปะรดภูแลเข้ากับ “แมงสี่หูห้าตา” สัตว์วิเศษในตำนานพื้นบ้านของเชียงราย เพื่อสื่อถึงความเป็นนักสู้และความใจสู้ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่ต้องการส่งต่อให้นักแอนิเมชันรุ่นใหม่ของไทย

เป้าหมายยั่งยืนจากเทศกาลสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ได้ชื่นชมโครงการนี้ว่า “เป็นโครงการที่มีผลกระทบในเชิงบวกมากๆ ในการพัฒนาศักยภาพของน้องๆ เยาวชนต่องานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย” สิ่งที่น่าสนใจคือรางวัลที่มอบให้กับผู้ชนะทั้ง 5 รางวัลไม่ใช่เงินสด แต่เป็นทริปท่องเที่ยวเชียงรายสุดพิเศษ 3 วัน 2 คืน

การออกแบบรางวัลในรูปแบบนี้มีเป้าหมายที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้ที่ได้รับรางวัลได้สัมผัสกับศิลปะ วัฒนธรรม และความสวยงามของจังหวัดเชียงราย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้รับรางวัลจะกลับไปบอกต่อและประชาสัมพันธ์เชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดในการสร้างการรับรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

การจัดเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติ “ภูแล” ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างการรับรู้ในระดับสากลให้เชียงรายโดดเด่นในฐานะ Digital Art City ซึ่งจะช่วยส่งเสริม Creative Economy และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเผยแพร่ Soft Power ของไทย

ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

เทศกาล “ภูแล” ไม่เพียงแค่เป็นการประกวดแอนิเมชันธรรมดา แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย การมีผลงานจากทั่วโลกส่งเข้าร่วมมากกว่า 1,000 เรื่องในปีแรกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเชื่อมโยงระหว่างแอนิเมชันกับการท่องเที่ยวผ่านรางวัลท่องเที่ยวเชียงรายเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดเทศกาลศิลปะอื่นๆ ในประเทศ นอกจากนี้ การสร้างโอกาสให้นักแอนิเมชันไทยจากกว่า 40 สถาบันได้แสดงผลงานยังเป็นการสร้างเครือข่ายและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

การที่เชียงรายได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้าภาพเทศกาลระดับนานาชาตินี้ยังสะท้อนถึงความพร้อมของเมืองในการเป็น Digital Art City ตามแนวทางเดียวกับเมืองคานส์ในประเทศฝรั่งเศสที่เป็นเมืองแห่งศิลปะภาพยนตร์ ซึ่งจะสร้างคุณค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดในระยะยาว

ความสำเร็จของเทศกาล “ภูแล” ในปีแรกนี้เป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาต่อเนื่อง คาดว่าในปีหน้าจะมีผลงานส่งเข้าร่วมเพิ่มขึ้น และอาจมีการขยายกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น การจัด workshop และ masterclass กับผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของนักแอนิเมชันไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสรุป

  • งาน: พิธีประกาศผลและมอบรางวัลเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล 2025
  • วันที่: วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2568 เวลา 16.30 – 19.00 น.
  • สถานที่: โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (โรง 5) เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย
  • ผู้ชนะรางวัล The Winner: Little Fan โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมนี
  • รางวัลพิเศษ Thai Best Animation: Little Angel โดยทีมงานจากประเทศไทย
  • จำนวนผลงานที่ส่งเข้าประกวด: 1,274 เรื่อง จาก 125 ประเทศ
  • รางวัลสำหรับผู้ชนะ 5 อันดับแรก: ทริปท่องเที่ยวเชียงราย 3 วัน 2 คืน
คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
คุณรัฐ จำปามูล Festival Director

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • Sputnik Tales Studio (ผู้จัดงาน)
  • เอกสารประกอบการแถลงข่าวเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล 2025
  • ข้อมูลจากคุณรัฐ จำปามูล (Festival Director)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

BLINKS ทั่วโลก “JUMP” สุดตัว! BLACKPINK ปล่อยเพลงใหม่ สร้างปรากฏการณ์ K-Pop

BLINKS ทั่วโลก “JUMP” กระโดดสุดตัว! BLACKPINK คัมแบ็กกระหึ่มวงการ ปล่อย MV เพลงใหม่ล่าสุด “JUMP” สะเทือนโซเชียล พร้อมคอนเซปต์ซูเปอร์ฮีโร่สุดปัง

การรอคอยที่สิ้นสุดลง BLACKPINK คัมแบ็ก “JUMP” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ K-Pop

เกาหลีใต้, 11 กรกฎาคม 2568 – นับเป็นการกลับมาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเพลงเกาหลีและแฟนคลับทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 BLACKPINK ได้ฤกษ์ปล่อย MV ซิงเกิลใหม่ “JUMP” อย่างเป็นทางการในเวลา 13:00 น. ตามเวลาเกาหลีใต้ (11:00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสี่สาว เจนนี่, จีซู, โรเซ่ และลิซ่า หลังห่างหายจากการทำงานเพลงกลุ่มเกือบ 2 ปีเต็ม

หลังจาก BLACKPINK ประสบความสำเร็จกับผลงานเดี่ยวและการทัวร์ระดับโลก “DEADLINE World Tour” ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เมืองโกยาง ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งสี่จึงรวมตัวกันปล่อยผลงานเพลงใหม่ “JUMP” เพื่อยืนยันพลังของวงในฐานะ “ราชินี K-Pop” ที่ยังคงทรงอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง โดยทันทีที่ปล่อย MV เพลง “JUMP” กระแสความนิยมก็ปะทุขึ้นในโลกโซเชียลทันที #BLACKPINK_JUMP และ #JUMP_MV ขึ้นเทรนด์โลกในหลายประเทศ ยอดวิวทะลุหลักล้านภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ความล้ำของ MV “JUMP”: 4 ซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่แฟนคลับรอคอย

หนึ่งในจุดเด่นของการคัมแบ็กครั้งนี้ คือการเลือกคอนเซปต์ซูเปอร์ฮีโร่ ที่พลิกโฉม BLACKPINK ให้กลายเป็นผู้พิทักษ์เมืองจำลอง พร้อมพลังพิเศษและคาแรกเตอร์สุดเท่ โดดเด่นด้วยงานกราฟิกขั้นสูง การจัดองค์ประกอบภาพที่ล้ำสมัย เทคนิคสปีดแรมป์และมุมกล้องแบบภาพยนตร์ สร้างความรู้สึกเหมือนกำลังชมภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด

ทีเซอร์จาก YG Entertainment ที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ ช่วยกระตุ้นความคาดหวังอย่างล้นหลาม ในตัว MV ฉบับเต็ม แฟน ๆ ได้เห็น BLACKPINK ในลุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลัง สวยสง่าในชุดคอนเซปต์สุดไฮแฟชั่น มีเสน่ห์เฉพาะตัวในแต่ละเฟรม กระทั่งผู้ชมจำนวนไม่น้อยออกปากชมว่านี่คือ MV ที่มี “คุณภาพระดับเวิลด์คลาส” ของแท้

อย่างไรก็ดี ในกระแสความตื่นเต้น ยังมีเสียงวิจารณ์ถึง “ความ AI-ish” หรือความรู้สึกเหมือนใช้เทคโนโลยี AI ในงานภาพบางส่วน ขณะเดียวกัน ชุดคอนเซปต์ก็มีทั้งเสียงชมว่านำสมัยและเสียงติว่าค่อนข้าง “เซฟ” และ “ไม่หวือหวาพอ” เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของการคัมแบ็ก แต่โดยรวม MV “JUMP” ยังคงได้รับคำชมว่าสวย ทรงพลัง และสมกับมาตรฐาน BLACKPINK

แรงสะเทือนโซเชียล BLINKS ส่งเสียงทั่วโลก ดันยอดวิว-เทรนด์ติดอันดับ

ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังปล่อย MV “JUMP” ยอดวิวบน YouTube ก็พุ่งทะลุหลัก 10 ล้านวิวรวดเร็ว แฟนคลับ BLINKS จากทุกมุมโลกต่างพร้อมใจกัน “กระโดด” กับสาว ๆ ทั้งแห่คอมเมนต์ ชื่นชม ไลก์ แชร์ MV กันอย่างคึกคัก สร้างพลังไวรัลที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ

เสียงจากแฟนคลับและนักวิเคราะห์ต่างประเทศสะท้อนความตื่นเต้น เช่น

  • @BLINK_Forever23: “MV เพลง ‘JUMP’ คือที่สุด! คอนเซปต์ซูเปอร์ฮีโร่คือฝันที่เป็นจริง ลิซ่าเท่ เจนนี่แพง จีซู-โรเซ่สวยโดดเด่น นี่แหละ BLACKPINK ตัวจริง”
  • @KpopAddict: “ชอบความแปลกใหม่ รู้สึกเหมือนได้ดูอะไรที่ไม่เคยเห็นใน K-Pop มาก่อน!”
  • @MusicAnalyst: “JUMP ตอกย้ำบัลลังก์ราชินี K-Pop ของ BLACKPINK แม้บางช่วงอาจยังไม่สุด แต่ภาพรวมคือการคัมแบ็กที่ประสบความสำเร็จมาก”
  • Dave Mayers (YouTube Reaction): “นี่มันบ้าดีเดือด! คิดว่าคือ AI แต่พอเห็นพลังและเคมีของพวกเธอแล้ว โคตรจริง!”

เบื้องหลังความสำเร็จทีมโปรดิวซ์ระดับโลก สร้างสรรค์ซาวด์ใหม่ที่ทรงพลัง

เบื้องหลังเพลง “JUMP” คือทีมโปรดิวเซอร์ระดับโลก นำโดย Diplo, TEDDY, 24, Zikai, Claudia Valentina, Jumpa, Malachiii และ Jesse Bluu ที่ร่วมมือกันออกแบบซาวด์ Hardstyle ผสานความเป็นเอกลักษณ์ของ BLACKPINK เอาไว้อย่างลงตัว ดนตรีหนักแน่น เต็มพลัง โชว์ตัวตนของสมาชิกแต่ละคนได้ชัดเจน โดยเฉพาะจังหวะที่ปลุกเร้าอะดรีนาลีนให้แฟน ๆ ทั่วโลก “กระโดด” ไปพร้อมกัน

กลยุทธ์ “DEADLINE World Tour” ช่วยปูทางสร้างปรากฏการณ์

การนำเพลง “JUMP” เปิดตัวครั้งแรกบนเวที DEADLINE World Tour ที่เมืองโกยาง กลายเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างกระแสความตื่นเต้นได้อย่างชาญฉลาด แฟน ๆ ที่ได้ชมโชว์สดพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงพลังบนเวที และยิ่งตอกย้ำความคาดหวังถึงอัลบั้มเต็มในอนาคต หลังจากนี้ BLACKPINK ยังมีตารางแสดงที่ SoFi Stadium, ลอสแอนเจลิส (12-13 ก.ค.) ก่อนจะเดินสายทัวร์ทั่วโลกอย่างยิ่งใหญ่

BLACKPINK ยืนยันบัลลังก์ K-Pop ทั่วโลก – ความสำเร็จที่ยังไม่สิ้นสุด

การคัมแบ็กของ BLACKPINK ด้วย “JUMP” ยืนยันชัดเจนว่า “พลังของ BLACKPINK” ยังครองใจแฟนเพลงทั่วโลก แม้จะมีเสียงวิจารณ์บางส่วนเกี่ยวกับคอนเซปต์และโปรดักชั่น แต่เสียงตอบรับส่วนใหญ่กลับชื่นชมในความกล้าแหวกแนว ทุ่มทุนสร้าง และคุณภาพของสมาชิกแต่ละคน

ความสำเร็จของ “JUMP” ไม่เพียงช่วยตอกย้ำสถานะของ BLACKPINK ในวงการ K-Pop เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของ YG Entertainment ในการขับเคลื่อนวงสู่เวทีโลกอีกครั้ง การปล่อยซิงเกิลใหม่ท่ามกลางการแข่งขันในวงการ K-Pop ที่เข้มข้น คือเครื่องพิสูจน์ว่าพลังของแฟนคลับและกลยุทธ์ดิจิทัลยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จของ BLACKPINK อย่างแท้จริง

ทิศทางอนาคต BLACKPINK in your area! สู่บทต่อไปที่ใหญ่ยิ่งกว่า

ด้วยกระแสตอบรับที่ล้นหลามและความคาดหวังต่ออัลบั้มเต็มใหม่ในปีนี้ BLACKPINK ยังคงเป็น “ตัวแม่” แห่งวงการ K-Pop และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหญิงทั่วโลกจับตามอง การคัมแบ็กของพวกเธอครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการปล่อยเพลงใหม่เท่านั้น แต่คือการส่งสัญญาณถึงความยิ่งใหญ่และพลังของ “BLACKPINK in your area” ที่ยังคงไม่เสื่อมคลาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YG Entertainment
  • InkiStyle
  • Pantip
  • Vinyl Me, Please
  • Korea JoongAng Daily
  • CP24
  • Melodic Mag
  • Consequence
  • Times Now
  • MGR Online
  • Pinterest
  • YouTube (Dave Mayers Reaction)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต “ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเงียบ!

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต ปลากลายเป็นสัญญาณเตือน “ภัยเงียบ” ที่ไม่ควรมองข้าม!

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568  – ผลวิจัยล่าสุดจาก สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ตอกย้ำข้อเท็จจริงสุดช็อก! แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญหน้ากับการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในประเทศพม่า สารพิษจากเหมืองแร่หายากและเหมืองทองคำกำลังรุกคืบเข้าสู่ระบบนิเวศอันเปราะบาง แม้สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ แต่ “ปลาป่วย” ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอันตรายที่ไม่อาจละเลย การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องพุ่งเป้าไปที่ “ต้นตอ” ด้วยการเจรจาข้ามประเทศ พร้อมเร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะเพื่อปกป้องแม่น้ำกกและชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่คุกคามทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้มข้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข นั่นคือการประเมินความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะใน แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งผลวิจัยได้ชี้ชัดอย่างไม่น่าสงสัยว่า แม่น้ำสายสำคัญนี้กำลังรับพิษจากมลภาวะข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาหัส

เปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ สารหนูจากพม่าเข้าสู่แม่น้ำกก

รายงานผลการศึกษาฉบับนี้ ได้ใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมผสานการมีส่วนร่วมของวิทยาศาสตร์พลเมือง เพื่อระบุ “แหล่งที่มา” ของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกอย่างแม่นยำ และผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจแม่น้ำ การวิเคราะห์ยืนยันว่า ร้อยละ 69.7 ของสารปนเปื้อนมาจากเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศพม่า และอีก ร้อยละ 30.3 มาจากเหมืองทองคำ สารปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตแดนของประเทศต้นทาง แต่ได้ไหลหลั่งข้ามพรมแดนเข้ามาตามกระแสน้ำ และแม้จะมีการเจือจางไปบ้างตามระยะทาง แต่ปริมาณที่ตรวจพบก็เพียงพอที่จะสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่

“การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่เพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นเสียงสะท้อนจากธรรมชาติที่กำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลการศึกษาชิ้นนี้

ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเชิงระบบนิเวศที่ไม่อาจมองข้าม

แม้ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์การปนเปื้อนยังอยู่ในระดับที่นักวิจัยระบุว่า “ปลอดภัย” ต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งจากการใช้น้ำบาดาลตื้น การบริโภคพืชผักที่เพาะปลูกริมฝั่งแม่น้ำ และการบริโภคปลาจากแม่น้ำกก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวล คือการตรวจพบ สัญญาณเตือน” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ปลาในแม่น้ำกกมีอาการป่วยผิดปกติ

อาการป่วยของปลานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลโดยตรงจากสารปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะที่อยู่ในน้ำ สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าปลาโดยตรงในทันที แต่กลับค่อยๆ บ่อนทำลายภูมิคุ้มกันของปลา ทำให้ปลาอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนปลาที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิจัยระบุว่านี่คือ ตัวชี้วัดความเสี่ยงเชิงระบบนิเวศ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะหากปลาซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสุขภาพของแม่น้ำได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหมายความว่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อาหารและมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

เดินหน้าประเมินความเสี่ยงและหาทางออก

เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย นักวิจัยกำลังเร่งจัดทำรายงานเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับภายใน 1 เดือน และ 2 เดือนตามลำดับ ซึ่งจะประเมิน แบบจำลองการปนเปื้อน” ที่ครอบคลุมไปถึงการสะสมของสารหนูในน้ำใต้ดินตื้น และดินเกษตรกรรม เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า “เมื่อไหร่ที่สารพิษเหล่านี้จะเริ่มกระทบต่อความปลอดภัยทางอาหาร?” ซึ่งเป็นคำถามที่รอคำตอบและจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือต่อไป หากแหล่งกำเนิดมลพิษยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข

“ดับไฟที่ต้นลม” ด้วยการเจรจาข้ามพรมแดนและเทคโนโลยี AI

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการที่ ต้นเหตุ” ของมลพิษ ไม่ใช่เพียงแค่การบรรเทาผลกระทบที่ปลายน้ำ ดังนั้น การเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศพม่า หรือแม้กระทั่งกับผู้ซื้อแร่ เพื่อ หยุดการปล่อยน้ำเสียจากเหมือง” จึงเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ สถานการณ์ความเสี่ยงก็จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คน

ในขณะเดียวกัน สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ปัญหา แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ โดยกำลังพัฒนา ระบบเฝ้าระวังด้วยวิทยาศาสตร์พลเมืองเสริมด้วย AI” ระบบนี้จะใช้เซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดสารหนูได้อย่างแม่นยำกว่า 71% และที่สำคัญคือสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐและจังหวัด คาดว่าจะเริ่มทดสอบใช้งานจริงภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากระบบนี้ใช้งานได้ผลจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

การผสานพลังเพื่ออนาคตของแม่น้ำกก

รายงานฉบับนี้จึงมีความสำคัญในหลายมิติ ไม่เพียงแต่สะท้อนสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่ยังชี้แนะแนวทางการป้องกัน ฟื้นฟู และเตือนภัยล่วงหน้าด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังจากภาครัฐ นักวิจัย และประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและทันเวลา

เรื่องราวของแม่น้ำกกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของมลพิษจากสารหนูและโลหะหนักเท่านั้น แต่มันเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึง “สัญญาณเตือน” จากธรรมชาติ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)
  • มหาวิทยาลัยนเรศวร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

มิลลิ-บัวขาว Soft Power ไทยเขย่าโลก!

มิลลิ-บัวขาว สร้างปรากฏการณ์ Soft Power ไทยบนเวที Head in the Clouds สหรัฐฯ กระหึ่มโลก!

สหรัฐอเมริกา, 2 มิถุนายน 2568 – ปรากฏการณ์ “Soft Power” ของไทยยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีระดับนานาชาติ เมื่อนักร้องแร็ปเปอร์ชื่อดัง “มิลลิ” หรือ ดนุภา คณาธีรกุล สร้างความฮือฮาอีกครั้งกลางเทศกาลดนตรีระดับโลก Head in the Clouds Festival 2025 ณ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยนำศิลปะแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวที พร้อมตำนานนักมวยขวัญใจคนไทย “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมแสดงกับเพลง “ONE PUNCH” จุดกระแสความสนใจสื่อทั่วโลก ดันชื่อเสียงไทยสู่สายตาชาวโลกอย่างงดงาม

จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ Soft Power บนเวทีดนตรีโลก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “มิลลิ” เป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มีบทบาทสำคัญในการนำวัฒนธรรมไทยไปสู่สากล ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ “ข้าวเหนียวมะม่วง” กลางคอนเสิร์ต Coachella 2022 ที่สร้างกระแส “Mango Sticky Rice” ระดับโลก หรือการขึ้นแสดงในเวทีต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2568 มิลลิได้รับเชิญให้ขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ซึ่งจัดโดยค่าย 88rising ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เธอได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยไทยซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ขึ้นแสดงแม่ไม้มวยไทยโชว์บนเวทีโลกคู่กับเสียงเพลง “ONE PUNCH” ถือเป็นครั้งแรกที่มวยไทยขึ้นเวทีดนตรีอินเตอร์ในรูปแบบนี้

บัวขาวบัญชาเมฆสัญลักษณ์ความแข็งแกร่งของไทยสู่โลก

“บัวขาว บัญชาเมฆ” เจ้าของแชมป์โลก K-1 และราชันย์มวยไทย ได้รับเกียรติขึ้นโชว์ลีลาเตะต่อยในงานเดียวกันนี้ ท่ามกลางเสียงเชียร์และความสนใจจากผู้ชมชาวไทยและนานาชาติ การแสดงดังกล่าวกลายเป็นไฮไลต์ประจำคืน สะท้อนพลังวัฒนธรรมไทยผ่านมวยไทยอย่างเต็มภาคภูมิ

บัวขาวมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักมวยไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น ตลอดชีวิตการชกมวยระดับอาชีพกว่า 350 ไฟต์ และสถิติชนะมากกว่า 240 ไฟต์ ถือเป็นนักกีฬาไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก

4EVE ร่วมสร้างชื่อเสียง T-Pop ไทยสู่สายตาโลก

นอกจากมิลลิและบัวขาวแล้ว งาน Head in the Clouds ครั้งนี้ยังมีเกิร์ลกรุ๊ป T-Pop สุดฮอตของไทยอย่าง “4EVE” ขึ้นเวทีแสดงความสามารถด้านดนตรีและการแสดง ท่ามกลางแฟนเพลงต่างชาติที่ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของวงดนตรีไทยในเวทีนานาชาติ

มิลลิกับพลัง Soft Power ไทย สะท้อนผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย

ตลอดเส้นทางการเป็นศิลปิน มิลลิได้นำวัฒนธรรมไทยไปเผยแพร่ผ่านดนตรี แฟชั่น และศิลปะการแสดง ไม่ว่าจะเป็นการนำข้าวเหนียวมะม่วงหรือแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวทีต่างประเทศ เธอเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่กล้าสร้างสรรค์และนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้คนทั่วโลกรู้จัก

ไม่เพียงเท่านั้น มิลลิยังเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเวที Coachella พร้อมสร้างไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง กระตุ้นยอดขายผลไม้ไทยในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 อีกทั้งยังมีบทบาทในฐานะศิลปินแร็ปเปอร์หญิงรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับในวงการเพลงระดับนานาชาติ

มิลลิในบทบาทนักมวยหญิง

ก่อนหน้านี้ มิลลิสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนคลับด้วยการขึ้นชกมวยไทยในรายการ FAIRTEX FIGHT มวยมันพันธุ์เอ็กซ์ตรีม ที่เวทีมวยลุมพินี รามอินทรา พิกัด 50 กิโลกรัม ภายใต้ชื่อ “อำนวยจิต สิทธิ์แลกซื้อ” แม้จะแพ้ให้กับจีตัว จินสือ นักชกสาวจีน แต่ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมทั่วโลกทั้งในแง่ของความกล้าและการส่งเสริมศิลปะมวยไทยในคนรุ่นใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์และความสำเร็จของ Soft Power ไทย

การแสดงของมิลลิและบัวขาวใน Head in the Clouds สะท้อนให้เห็นศักยภาพของ Soft Power ไทยในการสร้างกระแสระดับโลก ทั้งดนตรี แฟชั่น อาหาร และศิลปะการต่อสู้ ถูกนำเสนออย่างมีชั้นเชิง สร้างภาพจำใหม่ๆ ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก ตอกย้ำการเป็น “ผู้นำด้าน Soft Power” แห่งเอเชีย

เหตุการณ์นี้ยังช่วยตอกย้ำยุทธศาสตร์การส่งออกวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • มิลลิเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ขึ้นแสดงใน Coachella (2022) ทำไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง เพิ่มยอดส่งออกข้าวเหนียว-มะม่วง 2 เท่า (กระทรวงพาณิชย์, 2565)
  • บัวขาว บัญชาเมฆ มีสถิติการชกอาชีพกว่า 350 ไฟต์ ชนะมากกว่า 240 ไฟต์ (บัญชาเมฆ ยิม, 2567)
  • Head in the Clouds Festival จัดโดย 88rising, ปี 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 คน (เว็บไซต์ 88rising)
  • อุตสาหกรรมดนตรีไทยปี 2566–2567 มูลค่าตลาดรวมกว่า 3,100 ล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • ศิลปินไทยขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ได้แก่ มิลลิ, 4EVE, ร่วมสร้าง Soft Power ไทย (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • บัญชาเมฆ ยิม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • เว็บไซต์ 88rising
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

“Colors of Chiang Rai” หนังสั้นกระตุ้นเที่ยว สิริหวนคืนจอ

มรภ.เชียงราย-เทศบาลนครเชียงราย เปิดตัวหนังสั้น “Colours of Chiang Rai” ดึง Soft Power กระตุ้นการท่องเที่ยว

เชียงรายปลุกพลัง Soft Power ด้วยหนังสั้นสร้างสรรค์

เชียงราย,วันที่ 10 เมษายน 2568 –  มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย เปิดตัวหนังสั้นเรื่อง “Colours of Chiang Rai” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่อัตลักษณ์วัฒนธรรมของจังหวัด โดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

สิริ ณิชาวรินทร์ หวนคืนวงการในบทบาทใหม่

หนังสั้นเรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมือ สิริ ณิชาวรินทร์ เพิ่มทรัพย์ (อรุณรุ่งไพศาล) กลับมารับบทนำอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากวงการบันเทิงไปนาน โดยเธอเผยว่า ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัวในจังหวัดเชียงราย และต้องการมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์จังหวัดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เรื่องราวของ “แอลลี่” กับการค้นหาตัวตนในเชียงราย

“Colours of Chiang Rai” ถ่ายทอดเรื่องราวของ “แอลลี่” อดีตนักแสดงที่เดินทางมาค้นหาความสงบในเชียงราย หลังจากเผชิญความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิง ที่นี่เธอได้พบกับ “ท๊อป” หนุ่มเหนือที่พาเธอท่องเที่ยวและสัมผัสความงดงามของจังหวัดเชียงราย

แนวคิดและเนื้อหาของหนังสั้น

หนังสั้น “Colors of Chiang Rai” นำเสนอเรื่องราวของ ‘แอลลี่’ อดีตนักแสดงที่เดินทางมาค้นหาความสงบในเชียงราย เธอได้พบกับ ‘ท๊อป’ หนุ่มท้องถิ่นที่พาเธอเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง พระตำหนักดอยตุง สิงห์ปาร์คเชียงราย หมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร และร้าน Abonzo Yama Mitsu การเดินทางครั้งนี้ทำให้แอลลี่ได้ค้นพบสีสันใหม่ในชีวิตและเริ่มต้นใหม่ที่เชียงราย

การท่องเที่ยวเชียงรายฟื้นตัวหลังวิกฤต

หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมและฝุ่น PM2.5 เศรษฐกิจของเชียงรายได้รับผลกระทบอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเยือนเชียงรายกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 46,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีรายได้ 34,400 ล้านบาท

การส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านแคมเปญต่างๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ได้จัดแคมเปญ “เที่ยวสบายๆ สไตล์เชียงราย Amazing Chiang Rai Lifestyle” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัด

การเติบโตของธุรกิจที่พักในเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดเชียงราย ระบุว่า จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนในจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 236 แห่งในปี 2557 เป็น 285 แห่งในปี 2559 ขณะที่โฮมสเตย์และเกสต์เฮาส์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สรุป

หนังสั้น “Colours of Chiang Rai” เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใช้ Soft Power เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านเรื่องราวที่เข้าถึงง่ายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปี 2565: นักท่องเที่ยว 5,051,642 คน รายได้ 34,413 ล้านบาท
  • ปี 2566: นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 27.29% รายได้ 46,000 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานปกครองจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ลงทุนแมน
  • prop2morrow
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

เชียงรายดังไกล “MY DANCE” คว้าชัย เวทีเต้นเอเชียตีตั๋วไประดับโลก

เด็กเชียงรายเก่งระดับโลก ความสำเร็จจาก MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025

ชลบุรี, 6 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมนักเต้นเยาวชนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลงานอันน่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมตัวแทนนักเต้นสตรีทแดนซ์จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อชิงชัยความเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และคัดเลือกทีมที่โดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ไม่เพียงแต่คว้ารางวัลสำคัญถึง 4 รางวัลเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนจากภาคเหนือของประเทศไทยที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยในเวทีระดับโลก

การแข่งขันครั้งนี้จัดโดย United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำด้านการเต้นสตรีทแดนซ์ระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนผ่านการเต้น อีกทั้งยังมุ่งหวังให้เยาวชนไทยรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม สร้างวินัยในตนเอง และส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของบุตรหลานในมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่จำกัดเพียงแค่ด้านวิชาการเท่านั้น

ความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ MY DANCE ACADEMY

ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ซึ่งประกอบด้วยนักเต้นเยาวชนและผู้ใหญ่จากจังหวัดเชียงราย ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้ โดยสามารถคว้ารางวัลใหญ่ถึง 4 รางวัล และมีอีก 2 ทีมที่สร้างสีสันบนเวที

รายชื่อสมาชิกทีมและผลงาน

ทีม MY DANCE ACADEMY ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลายวัย ซึ่งแต่ละคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลงานอันน่าประทับใจ ดังนี้

Myda Crew Junior ( rank 10 ) รุ่น Under 12

  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี
  2. วิปครีม เด็กหญิงชนัญชิดา กองสุวรรณ์ อายุ 10 ขวบ ชั้นป.4 โรงเรียน ต้นดีศึกษา
  3. น้องใบทาย เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี โรงเรียนอนุบาลเชียงราย ชั้นประถมศึกษาปีที่2/9
  4. น้องส้ม เด็กหญิง อริสา ฮาร์มเซ่น อายุ 10 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ป.4
  5. น้องลำพูน สิบสองปันนา พนมการณ์ 9 ปี Chiangrai International School ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
  6. น้องไดมอนด์ เด็กหญิง ปวันรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 10 ปี Chaingrai International School ชั้น ป4

MY DANGER GALZ (rank 6) รุ่น Under 18

  1. ทรีทรี วัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 12 ปี โรงเรียนพระกุมารเยซูเชียงของ ป.6
  2. พิมพ์ ณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  3. มีน อารยา สัทธานนท์ อายุ 17 ปี  โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  4. ขวัญ นีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  5. นาน่า ณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  6. โมโม่ โมนะ วังวิญญู อายุ 16 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.4

Myda Supercrew รุ่น Supercrew (18 คนขึ้นไป) สมาชิกทั้งหมด ทุกทีม และเพิ่มสมาชิก อีก 4 คนคือ

  1. ทอฝัน กัญพัชย์ วงค์ฮู้ อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2
  2. หยก หทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงยงราย ชั้น ม.2
  3. น้องเจม เด็กชาย ปพนรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 9 ปี  Chiangrai International School ชั้น ป3
  4. บุ้งกี๋ เด็กหญิง ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 13 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.1

La MYDA Nostra (อันดับ 4, รุ่น Ultimate Advance)

  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY
  2. น้องเปีย นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  3. น้องเบลล์ นางสาวธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 20 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  4. ครูตระกร้อ นายศุภพิชญ์ กันยะธง อายุ 34 ปี MY DANCE ACADEMY
  5. ครูส้ม นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY
Solo U10 อันดับ 3
  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี 
Solo O18 อันดับ 3
  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY

การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ของเยาวชนเชียงราย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักและการใช้เวลาว่างของเด็กๆ และเยาวชนอย่างมีคุณค่า เด็กๆ เหล่านี้เลือกที่จะทุ่มเทให้กับการเต้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านการทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ และวินัยในตนเอง ครูยุ้ย ผู้อำนวยการของ MY DANCE ACADEMY กล่าวว่า “เรามุ่งหวังให้เด็กๆ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะปล่อยให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การเต้นเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ ได้แสดงออก และพัฒนาตัวเองในหลายด้าน”

น้องโฟกัส วัย 8 ปี ผู้คว้ารางวัล Solo U10 เล่าว่า “หนูชอบเต้นมากค่ะ หลังเลิกเรียนหนูจะมาซ้อมกับเพื่อนๆ และครูทุกวัน การเต้นทำให้หนูสนุกและมีเพื่อนเยอะขึ้น” เช่นเดียวกับน้องทอฝัน วัย 13 ปี จากทีม MYDA SUPER CREW ที่กล่าวว่า “การเต้นทำให้หนูรู้จักจัดการเวลา และมีวินัยมากขึ้น หนูภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สร้างชื่อเสียงให้เชียงรายค่ะ”

การสร้างชื่อเสียงให้จังหวัดเชียงราย

ผลงานของ MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ การที่ทีมจากจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยสามารถคว้ารางวัลในเวทีใหญ่ระดับเอเชียได้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ที่หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ก็สามารถก้าวไปสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างาม

ครูสายเมฆ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม กล่าวว่า “เราภูมิใจมากที่เด็กๆ จากเชียงรายได้แสดงให้โลกเห็นว่าเราก็มีดีไม่แพ้ใคร การแข่งขันครั้งนี้เป็นโอกาสที่ทำให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง และนำชื่อเสียงมาสู่จังหวัดของเรา จะเห็นได้ว่าเด็กที่ได้หรือไม่ได้รางวัลมีความสุขกับการเต้น เราเองก็ดีใจ และภูมิใจที่เชียงรายมีทีมเก่งๆ แบบนี้”

แรงบันดาลใจและการสนับสนุนจากทุกฝ่าย

ความสำเร็จของ MY DANCE ACADEMY จะไม่เกิดขึ้นได้หากขาดการสนับสนุนจากทีมผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และผู้จัดงาน โดยทีมครูผู้ฝึกสอน ประกอบด้วย ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูกร้อ, ครูหมีพู, ครูส้ม, ครูเปีย และทีมครูตึกขาว ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการฝึกซ้อมเด็กๆ ให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ผู้ปกครองและครอบครัวของนักเต้นทุกคนก็มีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจและสนับสนุนทั้งด้านการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆ

นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณเวที UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ทีมงานผู้จัด และผู้สนับสนุนทุกท่าน ที่มอบโอกาสและพื้นที่ให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเต้นรุ่นใหม่ต่อไป การแข่งขันครั้งนี้ยังปิดท้ายด้วยความสนุกสนานจากมินิคอนเสิร์ตของศิลปิน B KING OF THE MIC และ CHUN WEN CHONBURIFLOW ซึ่งเพิ่มสีสันให้กับงานได้เป็นอย่างดี

สู่เวทีโลกความหวังของเด็กเชียงราย

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในครั้งนี้ ทีม MY DANCE ACADEMY มีโอกาสได้ไปต่อในเวที UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของเยาวชนไทยในระดับโลก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของทีมและจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยทั่วประเทศเห็นว่า การทุ่มเทและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สามารถนำพาความฝันไปสู่ความจริงได้

จากเด็กตัวเล็กๆ ในเมืองเชียงราย สู่การเป็นนักเต้นที่เก่งกาจในระดับนานาชาติ MY DANCE ACADEMY ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากมีความมุ่งมั่นและการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมจากทุกฝ่าย และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของเด็กเชียงรายบนเส้นทางสตรีทแดนซ์ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY DANCE ACADEMY

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENTERTAINMENT

ซีรีส์วายดันสื่อบันเทิงไทย สู่ตลาดโลก มูลค่าทะลุ 4,900 ล้านบาท

SCB EIC ชี้ “ซีรีส์วาย” ดันธุรกิจบันเทิงไทยสู่ตลาดโลก มูลค่าทะลุ 4,900 ล้านบาทในปี 2025

10 มกราคม 2568 – SCB EIC รายงานแนวโน้มการเติบโตของ ซีรีส์วาย ซึ่งกลายเป็นกระแสที่มาแรงทั้งในไทยและระดับโลก ความนิยมนี้ส่งผลให้ซีรีส์วายเป็นธุรกิจสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงไทย โดยคาดว่ามูลค่าตลาดซีรีส์วายจะเพิ่มขึ้นจาก 0.7% ในปี 2019 เป็น 3.9% ของมูลค่าการผลิตสื่อบันเทิงไทยในปี 2025 หรือเติบโตราว 17% ต่อปี

 

ซีรีส์วาย: ธุรกิจใหม่ของ Soft Power ไทย

ซีรีส์วาย เป็นประเภทของซีรีส์ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์เพศเดียวกัน เช่น Boy Love (ชายรักชาย) และ Girl Love (หญิงรักหญิง) โดยต้นกำเนิดของคำว่า “วาย” มาจากการ์ตูนญี่ปุ่นยาโออิ (YAOI) และยูริ (YURI) ความนิยมนี้ได้ถูกต่อยอดสู่ซีรีส์และภาพยนตร์ ซึ่งปัจจุบันมีซีรีส์วายของไทยมากกว่า 340 เรื่อง

ปัจจัยที่ส่งเสริมความสำเร็จของซีรีส์วาย ได้แก่

  1. ความเปิดกว้างของวัฒนธรรมไทย: ไทยยอมรับความหลากหลายทางเพศ ทำให้ซีรีส์วายสะท้อนความสัมพันธ์อย่างเปิดเผย
  2. คุณภาพการผลิต: ผู้ผลิตไทยสร้างสรรค์เนื้อเรื่องและเทคนิคการถ่ายทำที่แปลกใหม่และน่าสนใจ
  3. สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม: การเติบโตของบริการ OTT ช่วยให้ซีรีส์วายเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก

มูลค่าตลาดซีรีส์วายพุ่งทะลุ 4,900 ล้านบาท

SCB EIC คาดการณ์ว่า ซีรีส์วายไทยจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 4,900 ล้านบาทในปี 2025 โดยไทยถือเป็นผู้นำตลาดซีรีส์วายในเอเชีย ด้วยสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของซีรีส์วายที่ออกอากาศในภูมิภาค

 

ธุรกิจที่เติบโตตามกระแสซีรีส์วาย

  1. ธุรกิจหนังสือ: นิยายวายต้นฉบับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการดัดแปลงเป็นซีรีส์
  2. ธุรกิจ MICE: แฟนมีต คอนเสิร์ต และงานเปิดตัวซีรีส์สร้างรายได้ให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
  3. ธุรกิจโฆษณา: นักแสดงวายกลายเป็น Influencer และ Presenter สินค้า
  4. ธุรกิจท่องเที่ยว: แฟนคลับต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และเข้าร่วมกิจกรรมในไทย

 

โอกาสและความท้าทายในอนาคต

ซีรีส์วายไทยยังมีศักยภาพขยายตลาดไปยังอเมริกาใต้และยุโรป ผู้ผลิตต้องปรับตัวด้วยการเพิ่มคำบรรยายภาษาต่างๆ และร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก นอกจากนี้ ภาครัฐ ควรสนับสนุนผ่านมาตรการต่างๆ เช่น

  1. การลดหย่อนภาษีและสนับสนุนทุนการผลิต
  2. การส่งเสริมให้ซีรีส์วายเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
  3. การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตไทยและต่างประเทศ

 

Soft Power ไทยกับการเติบโตของซีรีส์วาย

ซีรีส์วายไม่เพียงแต่เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงไทย แต่ยังเป็น Soft Power ที่นำวัฒนธรรมไทยไปสู่เวทีโลก ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการสนับสนุนเชิงนโยบายจะช่วยให้ซีรีส์วายไทยก้าวไกลในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SCB EIC

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENTERTAINMENT

Snow White ฉบับคนแสดงใหม่ จุดวิจารณ์เดือด Disney

สื่ออังกฤษวิจารณ์หนัก! “Snow White” ฉบับคนแสดงใหม่ อาจเป็นจุดตกต่ำครั้งใหญ่ของ Disney

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศ The Guardian รายงานข่าวเกี่ยวกับตัวอย่างภาพยนตร์ Snow White ฉบับคนแสดงใหม่ของ Disney ที่กำลังเป็นกระแสในโลกออนไลน์ โดยผู้สื่อข่าวของ The Guardian วิจารณ์ตัวอย่างหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงถึงขั้นเรียกว่าเป็น “ฝันร้ายแห่งวงการ CGI” ซึ่งอาจสร้างความผิดหวังครั้งใหญ่แก่ผู้ชมที่เคยรักในเวอร์ชันแอนิเมชันคลาสสิกของ Disney

เสียงวิจารณ์ตัวอย่างหนังใหม่: จากคลาสสิกสู่หายนะ

ตัวอย่าง Snow White ฉบับคนแสดงใหม่ที่เปิดตัวไปไม่นาน ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ “น่าเกลียดที่สุด” ของ Disney จากการใช้ CGI ที่ไม่ลงตัว โดยเฉพาะการออกแบบคนแคระที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดกลัวแทนที่จะน่ารักและเป็นมิตรเหมือนในเวอร์ชันแอนิเมชันปี 1937

ผู้สื่อข่าวเปรียบเทียบว่าคนแคระในเวอร์ชันนี้ดูเหมือน “รูปปั้นในสวนสนุกที่ถูกห่อด้วยเนื้อมนุษย์” หรือ “ตัวละครในงานศิลปะที่มีอารมณ์แค้นต่อโลก” ทั้งนี้ยังมีคำวิจารณ์ถึงการออกแบบสัตว์ในป่า ซึ่งถูกนำเสนอด้วย CGI สมจริงแบบเดียวกับ The Lion King ฉบับสร้างใหม่ ที่ผู้ชมหลายคนมองว่าเป็นการทำลายเสน่ห์ของตัวละครสัตว์ในโลกนิทาน

Disney และแนวทางใหม่ที่น่ากังขา

ที่ผ่านมา Disney ได้พยายามสร้างภาพยนตร์คนแสดงใหม่จากแอนิเมชันคลาสสิกหลายเรื่อง เช่น Dumbo, The Lion King และ The Little Mermaid แต่กลับถูกวิจารณ์อย่างหนักในหลายเรื่อง ด้วยเหตุผลที่ว่า CGI ทำให้ความเป็นธรรมชาติและเสน่ห์ของต้นฉบับสูญเสียไป

ในกรณีของ Snow White มีความเห็นว่าการสร้างใหม่อาจไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อคงลิขสิทธิ์ตัวละครอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นไปได้ว่า Disney ต้องการสร้าง “ความทรงจำที่เลวร้าย” ให้แก่ตัวละครในเรื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครกล้าสร้างภาพยนตร์ Snow White อีกในอนาคต

ผลกระทบต่อผู้ชมและวงการภาพยนตร์

จากตัวอย่างหนังที่เปิดตัว มีการคาดการณ์ว่า Snow White ฉบับนี้อาจสร้าง “บาดแผล” ให้แก่ผู้ชมรุ่นเยาว์ เช่นเดียวกับที่ภาพยนตร์ Return to Oz เคยทำไว้ในอดีต ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองบางคนเริ่มพูดถึงการใช้ตัวอย่างหนังเป็นเครื่องมือเตือนลูก ๆ เช่น “ถ้าห้องยังไม่สะอาด จะเปิดตัวอย่าง Snow White ให้ดู”

อนาคตของ Snow White และ Disney

Snow White ฉบับคนแสดงใหม่ มีกำหนดเข้าฉายในเดือนมีนาคมปีหน้า แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่ยังมีผู้ชมบางส่วนที่ตั้งตารอชมผลงานนี้ด้วยความหวังว่า Disney จะสามารถพลิกกระแสจากตัวอย่างหนังที่ถูกวิจารณ์เป็นลบ ให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าในตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม เสียงวิจารณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ อาจเป็นเครื่องเตือนใจให้ Disney ทบทวนแนวทางการสร้างภาพยนตร์ในอนาคต โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ผลงานจากนิทานคลาสสิกที่คนทั่วโลกหลงรัก

บทสรุป

แม้ Snow White ฉบับใหม่นี้จะยังไม่เข้าฉาย แต่ตัวอย่างที่เปิดตัวกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของ Disney แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในการรักษามรดกวัฒนธรรมป๊อปที่ยาวนานกว่า 80 ปีในยุคปัจจุบัน

Disney จะสามารถพลิกสถานการณ์และทำให้ Snow White ฉบับนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ หรือจะเป็นเพียงอีกหนึ่ง “ความทรงจำอันขมขื่น” ของวงการภาพยนตร์ คำตอบนั้นต้องรอจนถึงวันฉายจริงในปีหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The Guardian

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE