Categories
ECONOMY

กระตุ้นนักเดินทาง ดันเชียงใหม่ เชียงราย จัดประชุมจุดเด่นภูมิศาสตร์ ปลูกชาและกาแฟชั้นเลิศ

 

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) ซึ่งขยายตัวต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก 2566 สร้างรายได้แล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมส่งเสริมแผนงานบูรณาการผลักดันอุตสาหกรรม MICE ให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางจัดการประชุมใน 4 ภูมิภาค ด้วยการใช้จุดเด่นด้านอาหาร วัฒนธรรม และความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ดึงดูดนักเดินทาง MICE สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เผยอัตราการเติบโตของนักเดินทาง MICE ในไทย ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากในช่วงครึ่งปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนนักเดินทาง MICE ในประเทศ จำนวน 10,974,350 คน สร้างรายได้กว่า 25,016 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่า สิ้นปีงบประมาณ 2566 นี้ จะมีจำนวนนักเดินทาง MICE ในประเทศ รวม 17,790,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 59,000 ล้านบาท 

TCEB ได้เตรียมแผนงานบูรณาการผลักดันอุตสาหกรรม MICE ภายใต้แนวคิด “มิติไมซ์ มิติใหม่ ไมซ์ดีดีที่เมืองไทย” ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างฝ่ายงานส่งเสริม MICE ในประเทศ 360 องศา ให้ตอบโจทย์กลุ่มนักเดินทาง MICE ทั้งการพัฒนาสินค้าบริการ พื้นที่ สถานที่จัดงาน ผู้ประกอบการ ชุมชน และเครือข่ายในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาแคมเปญส่งเสริมการตลาด สนับสนุน การสื่อสารการตลาดครบวงจร ซึ่งในปี 2566 นี้ TCEB เน้นย้ำการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการผ่านสำนักงาน MICE ใน 4 ภูมิภาคของไทย ซึ่งมีการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้

– ภาคเหนือ นำเสนอการเป็นจุดหมายปลายทางด้านวัฒนธรรม แหล่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมการจัดงานประชุมทางด้านชาและกาแฟระดับนานาชาติ เช่น เชียงใหม่ และเชียงราย โดยอาศัยจุดเด่นทางภูมิศาสตร์ที่เป็นแหล่งเพาะปลูกชาและกาแฟชั้นเลิศ
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นตำแหน่งที่ตั้งเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ประตูสู่การท่องเที่ยวชายแดนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยออกแบบเส้นทาง MICE “อีสานไมซ์ ไร้คาร์บอน” (ISAN MICE Neutral Carbon Routing) จัดทำโปรแกรมการเดินทาง MICE 3 วัน 2 คืน ตลอดทริปจะมีการวัดค่าการปล่อยคาร์บอน เพื่อคำนวณหาจำนวนการปล่อยคาร์บอนต่อคนต่อทริป
– ภาคกลาง ถือเป็นศูนย์กลางการจัดงาน MICE ระดับนานาชาติของประเทศ โดยมีงานใหญ่เตรียมจัดงานมากมาย เช่น งาน GMS Logistic งาน CVTEC MICE Business Roadshow 2023 และงาน EEC Cluster Fair เพื่อส่งเสริมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งจะขยายพื้นที่ศักยภาพไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาค เช่น จังหวัดกาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ 
– ภาคใต้ ส่งเสริมอัตลักษณ์ภาคใต้กับโครงการพัฒนาสินค้าและบริการของอุตสาหกรรมเรือสำราญและอาหารพื้นถิ่น โดยเตรียมจัดงาน MICE Bazaar ครั้งที่ 2 เปิดเวทีซื้อขายสินค้าบริการของอุตสาหกรรม MICE ณ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในเดือนกันยายน 2566

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานอย่างแข็งขันเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรม MICE อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าแผนงานการจัดงาน MICE ทั้ง 4 ภูมิภาคของประเทศจะสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและช่วยกระจายรายได้ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ ชุมชน ธุรกิจ ตลอดจนการจ้างงาน และเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรม MICE จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยให้หมุนเวียนเติบโต” นายอนุชาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ ห่วงกลุ่มเปราะบางปรับตัวไม่ทันเศรษฐกิจ แจ้งนโยบายหน่วยงานเน้นดูแล

 

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ขณะนี้ข้อมูลเศรษฐกิจไทยหลายด้านจะปรับตัวดีขึ้น อาทิ  การท่องเที่ยว การจ้างงาน อัตราเงินเฟ้อ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยังคงมีความห่วงใยประชาชนในกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้า มีภาระหนี้สูง ที่ต้องมีการดูความสามารถในการชำระหนี้ให้ดี เนื่องจากเวลานี้อยู่ในช่วงที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจให้มีความเหมาะสม

นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวนโยบายแก่หน่วยงานเกี่ยวข้อง ให้เน้นการดูแลประเด็นหนี้สินครัวเรือนพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบางเฉพาะกลุ่ม รวมถึงกลุ่มผู้เป็นหนี้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบเพื่อให้ทางการเห็นข้อมูลและมีมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกกระทำการที่ผิดกฎหมาย

“นายกรัฐมนตรีได้รับทราบตามรายงานของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ อาทิ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่าในเรื่องของเสถียรภาพระบบการเงิน การชำระหนี้ในภาพรวมทั้งประเทศตอนนี้อยู่ในระดับที่ดี ไม่น่ากังวล ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่หรือมาตรการที่ใช้ในวงกว้างเหมือนช่วงมีการแพร่ระบาดของโควิด19 แต่ให้มีมาตรการพุ่งเป้าดูแลแบบเฉพาะกลุ่มครัวเรือนเปราะบางที่อาจยังปรับตัวไม่ได้ รวมถึงกลุ่มหนี้นอกระบบ”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด19 กระทรวงการคลัง ธปท. ได้ร่วมกับสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบการด้านการเงินแต่ไม่ใช่ธนาคาร(นอนแบงก์) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้เป็นหนี้ในระบบผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การปรับโครงสร้างนี้ การผ่านปรนเกณฑ์การชำระหนี้ ครอบคลุมลูกหนี้ทุกประเภท ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี และลูกหนี้รายย่อย และมีการปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องสถานการณ์มาโดยต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่1/66  มีผู้ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการของรัฐ แยกเป็นการช่วยเหลือผ่านธนารพาณิชย์และนอนแบงก์ 1.94 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ 1.89 ล้านล้านบาท ผ่านธนาคารเฉพาะกิจ 3.32 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ 1.48 ล้านล้านบาท รวมการได้รับความช่วยเหลือทั้งสิ้น 5.26 ล้านบัญชี วงเงินรวม 3.37 ล้านล้านบาท

ส่วนการให้ความช่วยเหลือผู้เป็นหนี้นอกระบบธนาคารเฉพาะกิจก็ได้มีโครงการออกมาให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง เช่นกรณีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  ได้เปิดจุดให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหนี้นอกระบบแก่ครอบครัวเกษตรกรที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และล่าสุดได้มีโครงการ “มีหนี้นอกบอก ธ.ก.ส.” เพิ่มความสะดวกให้ผู้ต้องการใช้บริการให้ดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน www.baac.or.th หรือ Line Official Account: BAAC Family กรอกข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็น ภาระหนี้สิน และช่องทางติดต่อกลับในระบบ จากนั้นธนาคารจะติดต่อกลับเพื่อนัดหมายเข้าพบพูดคุยให้คำปรึกษาในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งตั้งแต่มีโครงการช่วยเหลือครอบครัวเกษตรกรที่เป็นหนี้นอกระบบ ธ.ก.ส. ได้ช่วยผู้อยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบแล้ว 710,123 ราย เป็นเงิน 59,759.77 ล้านบาท ซึ่งผู้สนใจโครงการสามารถสอบถามที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและ Call Center ธ.ก.ส. 02 555 0555

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ยกระดับมาตรฐานจัดการสิ่งปฏิกูลและกากอุตสาหกรรม

 

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมการดำเนินงานเพื่อปรับปรุง “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566” มีผลบังคับใช้ 1 พฤศจิกายน 2566 มุ่งยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการสิ่งปฏิกูล ที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมของโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งสำหรับผู้ก่อกำเนิดของเสีย และ ผู้รับบำบัดกำจัดของเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปราบปรามการทิ้งกากอุตสาหกรรมอย่างผิดกฎหมาย สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566” ฉบับปรับปรุงล่าสุด ได้อ้างอิงตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายหรือเป็นผู้รับผิดชอบ (Polluter Pays Principle: PPP) โดยติดตามความรับผิดชอบของโรงงานอุตสาหกรรมผู้ผลิตของเสีย ไปจนกว่าของเสียหรือสิ่งปฏิกูลจะถูกกำจัดอย่างถูกต้องจนเสร็จสิ้นกระบวนการ 

นอกจากนี้ ต้องส่งรายงานประจำปีเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับการจัดการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ผ่านระบบการรายงานข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม iSingle Form (https://isingleform.go.th/home) ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และจะมีผลนับถัดจากวันที่ประกาศ 

โดยผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator: WG) 60,638 โรงงานทั่วประเทศ ต้องส่งรายงานประจำปี (สก.3) ภายในวันที่ 1เมษายน ของปีถัดไป ในส่วนของผู้รับบำบัดกำจัดของเสีย (Waste Processor: WP) คือโรงงานลำดับประเภท 101, 105 และ 106 จำนวน 2,500 โรงงานทั่วประเทศ ต้องส่งรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับการจัดการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งตามประกาศฉบับนี้ จะต้องมีการรายงานข้อมูลครั้งแรกภายใน 15 กรกฎาคม 2566 

ผู้ฝ่าฝืนไม่ส่งรายงาน หรือส่งล่าช้าจะมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ขออนุญาตการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ 

“นายกรัฐมนตรี เดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน เชื่อว่าการยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการสิ่งปฏิกูล ที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมของโรงงานอุตสาหกรรมจะมีส่วนสำคัญช่วยให้กำจัดของเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปราบปรามการทิ้งกากอุตสาหกรรมอย่างผิดกฎหมาย ทั้งนี้ การควบคุมมลพิษเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG model) เพื่อสร้างสรรค์เศรษฐกิจไทย ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” นายอนุชาฯกล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเชียงราย สู่ Product MICE Premium

 

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 66 นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการประชุมกิจกรรมการยกระดับการพัฒนาและการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่ Product MICE Premium ครั้งที่ 2 จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุวัชชัย นิมมานเทวินทร์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคเหนือ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เข้าร่วม ที่ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองเชียงราย

 
ด้วยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สสปน. หรือ ทีเส็บ ผู้ดำเนินโครงการกิจกรรมการยกระดับการพัฒนาและการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่ Product MICE Premium ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดเชียงราย มาสร้างเสน่ห์ที่แตกต่างเพื่อส่งมอบสินค้าและบริการของกิจกรรมไมซ์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 2 และเป็นการสรุปผลการคัดเลือกสินค้าและบริการจาก 14 ชุมชนให้เหลือ 5 ชุมชน ที่จะเป็นตัวแทนในการนำผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นในจังหวัดเชียงรายไปเผยแพร่ และจะได้รับการต่อยอด พัฒนาเป็นสินค้าหรือ ของชำร่วย ของที่ระลึก สร้างความประทับใจแก่นักเดินทางไมซ์ต่อไป
 
นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่มีศักยภาพ ซึ่งจังหวัดเชียงรายเป็น 1 ใน 4 จังหวัดเป้าหมายของพื้นที่ภาคเหนือ ในการทำการตลาดเมือง (Destination Marketing) เพื่อมุ่งนำเสนออัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนผ่านกลไกไมซ์เพื่อชับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับเชียงรายเป็นไมซ์ชิตี้ในอนาคต
 
ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงราย ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของจังหวัดเชียงรายมาโดยตลอด ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมยกระดับพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเชียงรายของทีเส็บ ที่จะนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาสร้างเสน่ห์ที่ป็นอัตลักษณ์ มีความแตกต่างหลากหลาย เป็นสินค้าและบริการที่เกิดจากการทำงานของเครือข่ายหลายภาคส่วนในพื้นที่ มีกระบวนการคัดเลือกสินค้าและบริการจากชุมชนต่างๆ เพื่อให้ได้ตัวแทนชุมชนที่มีคุณภาพ ในนามผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดเชียงราย เพื่อนำไปเผยแพรให้เป็นที่รับรู้ได้กว้างขวาง และสามารถนำไปขยายผลเพิ่มเติม สร้างประโยชน์ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง ให้ชุมชนของจังหวัดเชียงราย อย่างยั่งยืนต่อไป
 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอให้สามารถนำเอทานอลไปผลิตอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ นอกเหนือการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและการผลิตสุรา สอดรับหลักการ BCG Model ด้านกรมสรรพสามิตขานรับนโยบายหนุนอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) รองรับการขยายตัวตามเทรนด์โลกในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล  เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 รับทราบแนวทางส่งเสริมการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและการผลิตสุรา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG อันจะเป็นการสร้างระบบนิเวศน์เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสำหรับผู้ผลิตเอทานอลในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 กระทรวงการคลังจึงกำหนดแนวทางการส่งเสริม   การนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในชั้นบรรยากาศ รวมถึงลดการใช้ปิโตรเคมีจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตเม็ดพลาสติก

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร พร้อมดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง โดยจะสนับสนุนให้นำเอทานอลไปผลิตพลาสติกชีวภาพได้ โดยกำหนดให้ผู้ใช้เอทานอลจะต้องใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก

สำหรับแนวทางในการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ สามารถสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. จัดทำมาตรฐานการผลิตเอทานอลภายในประเทศ ซึ่งมีสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำมาตรฐานการผลิตเอทานอลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศ ผู้ผลิตเอทานอลและผู้ใช้เอทานอล รวมถึงสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานทางเทคนิคและการพัฒนาบุคลากรให้สามารถเป็นผู้ตรวจประเมินตามมาตรฐานที่กำหนด


2. กระทรวงการคลังจะแต่งตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปริมาณการผลิตเอทานอลที่เป็นไปตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับร่วมกันระหว่างผู้ผลิตเอทานอลและผู้ใช้เอทานอลจากผู้ผลิตในประเทศล่วงหน้าในแต่ละปี ในกรณีที่ผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถผลิตเอทานอลได้ตรงตามมาตรฐานและไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้เอทานอล จะกำหนดปริมาณการนำเข้าเอทานอลที่จะได้รับสิทธิอากรขาเข้าในอัตราพิเศษเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ


3. ภาครัฐให้การสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและผู้ผลิตเอทานอลในประเทศให้สามารถจำหน่าย เอทานอลในราคาที่สามารถแข่งขันกับเอทานอลนำเข้าได้อย่างยั่งยืน


4. กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจะพิจารณาดำเนินการออกมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเอทานอลไปใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ

โดยคาดว่าในเบื้องต้นจะมีความต้องการใช้เอทานอลประมาณ 450 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งแนวทางการส่งเสริมเอทานอลชีวภาพในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตเอทานอลในการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเอทานอลในประเทศไทย รวมถึงเป็นการเพิ่มตลาดใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านการใช้เอทานอลในภาคการขนส่งจากนโยบายการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า” นายเอกนิติกล่าว  

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการผลิตพลาสติกจากวัตถุดิบปิโตรเลียม ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก ซึ่งหากเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเอทานอลที่มาจากพืช เช่น อ้อย หรือมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบชีวภาพ (Bio-based) จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จำนวนมาก โดยกระบวนการปลูกพืช  เพื่อนำมาผลิตเอทานอลและนำไปใช้ในการผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพเป็นกระบวนการผลิตที่มี Carbon Footprint ต่ำ สามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 15 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร จึงเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก และหากประเทศไทยสามารถปรับกระบวนการผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพได้ทั้งหมด 5 ล้านตัน จะช่วยสนับสนุนความต้องการเอทานอลมากกว่า 10,000 ล้านลิตรต่อปี ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตมีความมั่นใจในการลงทุนพัฒนาคุณภาพเอทานอลในประเทศให้มีมาตรฐานระดับสากล ส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งส่งผลดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจากโอกาสดังกล่าว ที่สำคัญยังเป็นการตอบสนองต่อฉันทามติสากลในการลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG อย่างแท้จริง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทย-ซาอุดีฯ ผลักดันความร่วมมือทวิภาคี ลงทุนอยู่ที่ 3.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%

 

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลักดันความร่วมมือทวิภาคีกับซาอุดีอาระเบียให้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ครอบคลุมทั้งด้านการทูต แรงงาน เศรษฐกิจ พลังงาน และการท่องเที่ยว 

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นับตั้งแต่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย ความสัมพันธ์ระว่างทั้งสองประเทศมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการลงทุนระหว่างกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.64 มาอยู่ที่ 3.23 แสนล้านบาท สำหรับด้านการท่องเที่ยว ในปี 2565 นักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ มาไทย จำนวน 96,389 คน สร้างรายได้ 8 พันล้านบาท คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ เพิ่มขึ้น 150,000 คน สร้างรายได้ 12,000 ล้านบาทรวมถึงมีการเพิ่มเที่ยวบินจาก 9 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 42 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ผลความสำเร็จดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลผลักดันความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่าง  ผ่านมติเห็นชอบกรอบความร่วมมือต่าง  จากคณะรัฐมนตรีแล้ว ดังนี้ 

 

1) ด้านการทูตและการต่างประเทศ มติ ครม. 8 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบการจัดทำแผนการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีปี 2565 – 2567 รวมทั้งจัดตั้งสภาความร่วมมือไทยซาอุดีฯ ซึ่งจะประสานความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม นอกจากนี้ มติ ครม. 15 พฤศจิกายน 2565 ยังได้เห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต และหนังสือเดินทางราชการ รวมไม่เกิน 90 วัน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน

 

2) ด้านแรงงาน มติ ครม. 1 มีนาคม 2565 เห็นชอบข้อตกลงด้านแรงงาน เพื่อจัดหาแรงงานไปทำงานในซาอุดีฯ อย่างถูกกฎหมาย และปกป้องสิทธิของนายจ้างและแรงงาน รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบสัญญาจ้างระหว่างกัน

 

3) ด้านการค้าและการลงทุน มติ ครม. 8 พฤศจิกายน 2565 ได้เห็นชอบการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงและโอกาสทางธุรกิจ กฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนโดยตรง และการเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนของทั้งสองประเทศจาก

 

4) ด้านพลังงาน มติ ครม. 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบความร่วมมือทวิภาคีด้านพลังงาน อาทิ ปิโตรเลียม ก๊าซไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน และเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

5) ด้านการท่องเที่ยว มติ ครม. 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านการท่องเที่ยวไทยซาอุดีฯ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติการท่องเที่ยว จัดโปรแกรมการศึกษาและการวิจัย การประชุม สัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ

 

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 6 – 10 มิถุนายน 2566 นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดการเดินทางเยือนซาอุดีฯ ตามคำเชิญของนายคอลิด บิน อับดุลอะซีซ อัลฟาลิห์ (Khalid bin Abdulaziz Al-Falih) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนซาอุดีฯ โดยนำคณะผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเดินทางด้วย เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคี และส่งเสริมการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ โดยภาคเอกชนชั้นนำของไทยยังได้พบหารือภาคเอกชนซาอุดีฯ เพื่อสร้างเครือข่ายและจับคู่ธุรกิจที่มีศักยภาพร่วมกัน

 

นายกรัฐมนตรียังคงผลักดันความร่วมมือทวิภาคีไทยและซาอุดีฯ อย่างต่อเนื่อง ผ่านมติเห็นชอบกรอบความร่วมมือต่าง  จากคณะรัฐมนตรี และการเดินทางเยือนซาอุดีฯ ของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อติดตามความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ พร้อมทั้งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยให้กำกับและติดตามการดำเนินการขับเคลื่อนความร่วมมือ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ให้ครอบคลุมทั้งด้านการทูต แรงงาน เศรษฐกิจ พลังงาน และการท่องเที่ยว” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ข้าวไทยใน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 ซื้อขายมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท

วันที่ 8 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับตัวเลขการซื้อขายข้าว และความสนใจต่อข้าวไทย ในงานแสดงสินค้าอาหาร 2566 (THAIFEX-ANUGA ASIA 2023) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–27 พฤษภาคม 2566 จากกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการค้าข้าวคุณภาพดี 15 จังหวัดของประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ และผู้นำเข้าจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยมีการเจรจาซื้อขายข้าวทันทีภายในงานมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะซื้อเพิ่มอีกประมาณ 300 ล้านบาท ตอกย้ำถึงภาพลักษณ์ และคุณภาพของข้าวไทย ทั้งในด้านรสชาติ คุณภาพ มาตรฐาน 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้นำกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการค้าข้าวคุณภาพดีจาก 15 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสุรินทร์ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร อำนาจเจริญ ชัยภูมิ นครพนม ขอนแก่น สกลนคร พะเยา เชียงราย และพัทลุง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวคุณลักษณะพิเศษที่สำคัญของไทย ที่ได้รับการรับรองจากจังหวัด และเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยจากกรมการค้าต่างประเทศ หรือได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพมาตรฐานข้าวในระดับสากล เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร 2566 (THAIFEX-ANUGA ASIA 2023) 

ในการนี้ ข้าวไทยได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ และผู้นำเข้าจากประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เกิดการเจรจาซื้อขายข้าวทันทีภายในงานปริมาณ 2,750 ตัน มูลค่ารวม 96 ล้านบาท และคาดการณ์คำสั่งซื้อภายในเวลา 1 ปี ปริมาณ 8,600 ตัน หรือมีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 396 ล้านบาท ถือเป็นการส่งเสริมและขยายโอกาสในการส่งออกข้าวไทยให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสในการประชาสัมพันธ์ข้าวไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเเละตอกย้ำศักยภาพ คุณภาพ และมาตรฐานข้าวไทย ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวคุณภาพของโลก 

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในคุณภาพ มาตรฐานของข้าวไทย ที่ต่างประเทศให้การยอมรับ ซึ่งผลการเจรจาการค้าดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล กระตุ้นการซื้อขายข้าวไทยได้เพิ่มมากขึ้น นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่นำข้าวไทยมาประชาสัมพันธ์ เพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้า และช่องทางการส่งออกข้าวไทยให้เพิ่มมากขึ้น” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อุตสาหกรรมไทยรับแนวคิด BCG สร้างมูลค่าเพิ่มจากปลาทูน่า ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

อุตสาหกรรมไทยรับแนวคิด BCG สร้างมูลค่าเพิ่มจากปลาทูน่า ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบความคืบหน้าและพัฒนาการของภาคอุตสาหกรรมอาหารไทย ทั้งนี้ สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย (Thai Tuna Industry Association : TTIA) และสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย (Thai Pet food Trade Association : TPFA) ได้นำสินค้าไปจัดแสดงในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2566 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ยืนยันความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกด้านอุตสาหกรรมปลาทูน่าของไทยที่มีคุณภาพ มาตรฐานระดับสากล ทั้งนี้ ในงานต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนสูญเสียและขยะอาหาร (Food loss food waste) ที่ได้จากปลาทูน่า นำไปผลิตเป็นสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมี่ยมเพื่อส่งออกเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมว โดยใช้แนวคิด BCG ควบคู่การผลิต เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ในหลายประเภท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยเข้าร่วมงาน THAIFEX – ANUGA ASIA เป็นประจำทุกปี เพื่อนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกสินค้าทูน่าให้แก่นักธุรกิจและประชาชนที่เข้าร่วมงาน ซึ่งในปี 2566 นี้ เน้นการนำแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจหมุนเวียน – เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมปลาทูน่าและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อให้เกิดผลผลิตที่คุ้มค่ามากที่สุด ด้วยการใช้ประโยชน์สูงสุดจากปลาทูน่าทั้งตัว ซึ่งมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ดังนี้
– ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) นำส่วนสูญเสียไปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นสินค้าอื่น ๆ เช่น น้ำนึ่งปลาทูน่า นำมาสกัดเข้มข้นใช้เป็นส่วนผสมเพิ่มโปรตีนและความน่ากินในสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง
– ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นำส่วนของเนื้อปลาทูน่าไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงได้โดยตรง หรือนำส่วนของเครื่องใน เช่น ซากกระดูก ก้างของปลาทูน่า ไปเป็นวัตถุดิบผสมในอาหารสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงการสกัดน้ำมันปลาทูน่า
– ด้านเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) มีการลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทน พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงาน เช่น ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar roof top) การเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังความร้อนใช้ในระบบทำความเย็นและไอน้ำ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recycled) และการใช้ผลิตภัณฑ์รีไซเคิล เช่น กล่องกระดาษ รวมถึงการศึกษาและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไบโอพลาสติกด้วย

ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมา (เดือนมกราคม – ธันวาคม 2565) ไทยส่งออกปลาทูน่าไปจำนวน 514,071 ตัน สร้างมูลค่าได้กว่า 79,409 ล้านบาท ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมว (TPFA Wet petfood) ส่งออกไปจำนวน 336,309 ตัน สร้างมูลค่าได้กว่า 52,024 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในงานมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ในด้านกฎหมาย กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม หลักการและแนวคิด BCG แนวทางการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมและห่วงโซ่การผลิต การศึกษางานวิจัยปัญหาโลกร้อนที่จะส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบในอุตสาหกรรมทูน่าและอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกและปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ  

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารของไทย ซึ่งปลาทูน่าเป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ โดยการนำแนวคิด BCG ที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาประยุกต์ใช้จะเป็นอีกโอกาสของการพัฒนา ในการใช้ทรัพยากรหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ครอบคลุมทุกกระบวนการการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมทั้งยังสามารถใช้องค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับสินค้ามีจุดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ผู้ประกอบการภาคเหนือตอนบน 2 เตรียมงาน East-Northern Thailand & GMS Expo

ผู้ประกอบการภาคเหนือตอนบน 2 เตรียมงาน East-Northern Thailand & GMS Expo

Facebook
Twitter
Email
Print
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2566 ที่ห้องยูโทเปีย โรงแรมเลอเมอริเดียนเชียงราย รีสอร์ท อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย ในฐานะพาณิชย์จังหวัดกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ระดมผู้ประกอบการจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และจังหวัดน่าน เพื่อประชุมเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ 
 
โดยมี นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ภายใต้โครงการบูรณาการการค้าการลงทุน ปีงบประมาณ 2566 เตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (East-Northern Thailand & GMS Expo) โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2566 นี้ ที่ลาน The Road ณ UD TOWN EXPO จังหวัดอุดรธานี กิจกรรมภายในงานจัดให้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิตความบันเทิง กิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าตลอดการจัดงาน อาทิ กิจกรรมเจรจาธุรกิจ กิจกรรมการจัดนิทรรศการ East-Northern Thailand Pavilion และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
 
นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพด้านที่ตั้งสามารถเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่มีศิลปวัฒนธรรม ประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มล้านนาตะวันออก ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหัตถกรรม อุตสาหกรรม สินค้าชุมชน เป็นฐานการผลิตสินค้าการเกษตร โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ชา กาแฟ และผลไม้ (ลำไย ลิ้นจี่) ประกอบกับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่มีแผนในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก (Local Economic) 
 
โดยมีเป้าหมายในการผลักดันสินค้า (Local Plus) จำนวน 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ 1. กลุ่ม BCG ที่มุ่งเน้นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สินค้าออแกนิค 
2. กลุ่มสินค้าอัตลักษณ์ ที่ต้องการรักษาภูมิปัญญาเฉพาะถิ่น คุณค่าทางวัฒนธรรม และ 
3. กลุ่มสินค้านวัตกรรม ที่ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าชุมชน
 
ในการนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้แทนสำนักงานพาณิชย์จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาการค้าและการค้าชายแดนมุ่งสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้โครงการบูรณาการการค้าการลงทุน เพื่อเพิ่มช่องทางการค้า สร้างเครือข่าย เพิ่มขีดความสามารถทางการค้าการลงทุน ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการภาคเหนือตอนบน 2 โดยมี ผู้ประกอบการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตำบล 2 จำนวนกว่า 160 คน เข้าร่วมกิจกรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

มติ ครม. ประกันรายได้ชาวสวน พร้อมดันส่งออกน้ำมันปาล์มลดผลผลิตส่วนเกิน

มติ ครม. ประกันรายได้ชาวสวน พร้อมดันส่งออกน้ำมันปาล์มลดผลผลิตส่วนเกิน

Facebook
Twitter
Email
Print

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (30 พฤษภาคม 2566)  รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2566 โดยมีพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ  เป็น ประธานในการประชุม  ได้ทบทวนและพิจารณา และมีมติเห็นชอบดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 และโครงการประกันรายได้ เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2565-2566   จากการคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตอาจได้มากกว่าความต้องการใช้ในแต่ละเดือน เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาและกระทบต่อรายได้   สรุปรายละเอียด ดังนี้
 
1. โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 
 
(1) วัตถุประสงค์  :  เพื่อลดปริมาณน้ำมันปาล์มส่วนเกินในประเทศให้เข้าสู่ระดับสมดุล และยกระดับราคาปาล์มทะลายที่เกษตรกรขายให้สูงขึ้น
(2) การดำเนินโครงการ  สนับสนุนค่าบริหารจัดการการส่งออกเฉพาะปาล์มน้ำมันดิบ 150,000 ตัน เช่น ค่าขนส่ง ค่าคลังจัดเก็บ และค่าปรับปรุง โดยมีเงื่อนไขการสนับสนุนค่าบริหารจัดการส่งออก เมื่อระดับสต็อก น้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหาร จัดการมีความยืดหยุ่นและทันต่อเหตุการณ์ เห็นควรกำหนดให้ เงื่อนไขระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบขั้นต่ำไว้ที่ 250,000 ตัน และให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณา
(3) งบประมาณและแหล่งงบประมาณ  : 309 ล้านบาท (งบกลางฯ) แบ่งเป็น ค่าบริหารจัดการให้แก่ผู้ส่งออกตามโครงการ ปริมาณ 150,000 ตัน อัตรากิโลกรัมละ 2 บาท รวมเป็น 300 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของส่วนราชการ 9 ล้านบาท (ไม่เกินร้อยละ 3 ของวงเงินดำเนินการ)
(4) ระยะเวลาดำเนินการ   ระยะเวลาส่งออก ตั้งแต่ได้รับการอนุมัติ-กันยายน 2566 โดยระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ได้รับการอนุมัติ-ธันวาคม 2566
 
2. โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2565-2566
 
(1) วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน และบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรจากปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาผลผลิตตกต่ำ
(2) การดำเนินโครงการ   ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในกรณีที่ราคาขายปาล์มน้ำมัน ในประเทศตกต่ำผ่านการประกันราคาปาล์มน้ำมัน (ผลปาล์มทะลาย อัตราน้ำมันร้อยละ18) ราคา กก. ละ 4 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ และต้องเป็นพื้นที่ปลูกต้นปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว โดยจะจ่ายเงินชดเชย ส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาตลาดอ้างอิงให้แก่เกษตรกร ทุก 30 วัน
(3) งบประมาณและแหล่งงบประมาณ  : 3,133.17  ล้านบาท (ธ.ก.ส. สำรองจ่ายจากแหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. และขอรับจัดสรรงบฯ ประจำปี เพื่อให้รัฐบาลชำระคืนตามที่เกิดขึ้นจริง) แบ่งเป็น วงเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ 3,075.00 ล้านบาท และวงเงินบริหารจัดการของ ธ.ก.ส.  58.17 ล้านบาท
(4) ระยะเวลาดำเนินการ   ระยะเวลาการจ่ายเงิน เดือน กันยายน  2565 – สิงหาคม 2566 โดยระยะเวลาโครงการ เดือน กันยายน 2565 -ธ.ก.ส. ได้รับการชดเชยงบฯ ตามที่ทดรองจ่าย
 
ทั้งนี้  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563  รวมถึงพิจารณากรอบวงเงินงบฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตาม ม. 28  แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย
 
นอกจากนี้  ที่ประชุม กปน.  ยังหารือถึงแนวทางการจัดทำโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม  เพราะเดิมราคาปาล์มน้ำมัน ซึ่งยังไม่มีการกำหนดโครงสร้างราคาที่แน่นอน ใช้อ้างอิงจากราคาของความต้องการในตลาด (Demand-Supply) ซึ่งมีความผันผวนไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ ของราคาน้ำมันปาล์มและรายได้ของเกษตรกร  จึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตกรรม  และ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สนับสนุนทุนเพื่อศึกษาสมการโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้ง พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน รวมทั้งให้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ยกร่างคำสั่งแต่งตั้ง คณะทำงานร่วมภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรในจำนวนที่เท่าเทียมกัน เสนอประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News