Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ค้าปลีกเชียงรายเผชิญศึกหนัก! ภาษี E-commerce ใหม่ ปิดช่อง “ของถูกลอยตัว” จากต่างประเทศ

สินค้าออนไลน์ต่ำกว่า 1,500 บาท “จะไม่ถูกอีกต่อไป” เชียงรายนับถอยหลัง ภาษีอีคอมเมิร์ซใหม่ 1 ม.ค. 2569—เขย่าพฤติกรรมผู้บริโภค ดันต้นทุนค้าปลีกชายแดน และทดสอบความพร้อมรัฐ-แพลตฟอร์ม

เชียงราย,5 พฤศจิกายน 2568 – กล่องพัสดุที่ไม่ “เบา” เหมือนเดิม ยามสายของวันทำการกลางสัปดาห์ ถนนพหลโยธินช่วงเข้าเมืองเชียงรายแน่นขนัดไปด้วยรถกระบะขนส่งพัสดุที่แล่นสวนทางผู้คนในตลาดสด ใครหลายคนคุ้นเคยกับการกดสั่ง “ของเล็กชิ้นน้อย” จากต่างประเทศ—เคสโทรศัพท์ 79 บาท ไฟประดับ 129 บาท สายชาร์จ 99 บาท—แล้วรอรับหน้าบ้านในไม่กี่วัน แต่ นับจาก 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป แทบทุกพัสดุที่ “บินข้ามพรมแดน” เข้ามา ไม่ว่าจะเล็กเพียงใด หากมีมูลค่าเกิน 1 บาท ก็จะเข้าสู่โหมดใหม่ของการจัดเก็บภาษีนำเข้าเต็มรูปแบบ (อากรเฉลี่ยราว 10%) พร้อม ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% บนฐานภาษีนำเข้า ตามกรอบที่กรมศุลกากรประกาศ “Quick Big Win” เร่งผลลัพธ์ภายใน 4 เดือน และเผยแผนปรับกติกา De minimis ให้เหลือ “1 บาท” เพื่อปิดช่องโหว่เดิมของการยกเว้นพัสดุราคาต่ำและทำให้การแข่งขันการค้าเป็นธรรมขึ้น (อธิบดีกรมศุลกากร ระบุทิศทางและกรอบรายได้เข้ารัฐราว 3,000 ล้านบาท/ปี)

มาตรการใหม่นี้ ไม่ได้เกิดจากสุญญากาศ ก่อนหน้า ประเทศไทยได้ทยอย “ปรับฐาน” มาแล้วเป็นขั้น ๆ เช่น การประกาศให้ พัสดุระหว่างประเทศมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทต้องเสีย VAT ที่มีผลช่วงกลางปี 2567 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา (กรอบเวลาชั่วคราวปี 2567) เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ “ของถูกมาก” บนแพลตฟอร์มไม่ถูกเหมือนเดิม และเป็นสัญญาณว่าระบบภาษีสำหรับสินค้านำเข้าดิจิทัลจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อไล่ทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคอีคอมเมิร์ซและการแข่งขันข้ามแดนที่เปลี่ยนหน้าอย่างรวดเร็ว

ทำไม “หนึ่งบาท” ถึงสำคัญ

De minimis value คือเพดานมูลค่าพัสดุที่รัฐ “ยอมผ่อนภาระ” ไม่จัดเก็บภาษีเพื่อลดต้นทุนการบริหาร หากเพดานนี้ต่ำลงจนเหลือ “1 บาท” ความหมายเชิงปฏิบัติการคือ ของทุกชิ้นที่ข้ามแดนจะถูกประเมินภาษี ไล่ตั้งแต่เคสโทรศัพท์ราคา 79 บาท ไปจนถึงไฟประดับ 129 บาท—ทั้งหมดจะถูกคิด อากรขาเข้า (เฉลี่ย 10%) และ VAT 7% ซึ่งตามหลักการจัดเก็บของไทย VAT จะคำนวณบน ฐานราคา C.I.F. + อากร (กรณีไม่มีภาษีสรรพสามิตหรือภาษีอื่นเกี่ยวข้อง) ดังนั้น ภาระรวม โดยประมาณ ใกล้เคียง ~17% ของมูลค่านำเข้า และอาจสูงกว่าเมื่อบวกค่าธรรมเนียม-โลจิสติกส์ปลายทางของผู้ให้บริการขนส่ง (ตัวอย่างการคำนวณภาษีนำเข้าทั่วไป อากร 10% จากราคา C.I.F. และ VAT 7% บนยอดรวมหลังอากร)

ตัวอย่างจำลองผลกระทบราคาขายปลีก (เฉพาะภาระภาษีนำเข้า- VAT แบบง่าย)

  • เคสโทรศัพท์ 100 บาท → อากร 10 บาท + VAT 7.7 บาท ≈ เพิ่ม 17.7 บาท (~17.7%)
  • ไฟประดับ 200 บาท → อากร 20 บาท + VAT 15.4 บาท ≈ เพิ่ม 35.4 บาท
  • เสื้อยืด 250 บาท → อากร 25 บาท + VAT 17.5 บาท ≈ เพิ่ม 42.5 บาท
    (ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการปลายทาง/ค่าพิธีการของผู้ให้บริการขนส่ง)

ประเด็นสำคัญ คือ แม้ภาษีจะเพิ่มต้นทุน แต่ก็ช่วย “เลเวลเพลย์อิงฟิลด์” ให้ผู้ค้าปลีกไทยที่นำเข้าถูกกฎหมายและเสียภาษีครบถ้วนไม่เสียเปรียบสินค้าต่างชาติที่เคยได้อานิสงส์จาก De minimis เดิม นโยบายนี้จึงถูกวางในกรอบ “Trade Enabler + ปกป้องสังคม + เพิ่มรายได้รัฐ” ภายใต้โครงการ “Customs Quick Big Win” ที่กรมศุลกากรสื่อสารอย่างเป็นทางการ และมีการนัดหารือแพลตฟอร์มหลักอย่าง Shopee / Lazada เพื่อขอความร่วมมือด้านข้อมูลสินค้าและคัดกรองสินค้าผิดกฎหมายก่อนจำหน่ายบนแพลตฟอร์มไทย

เมื่อ “ชายแดน” คือห้องเครื่องของเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ โครงสร้างเศรษฐกิจผูกพันกับการค้าและโลจิสติกส์ข้ามแดน ผ่านด่านสำคัญอย่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) และ เชียงแสน–สามเหลี่ยมทองคำ (สปป.ลาว) การเปลี่ยนกฎภาษีอีคอมเมิร์ซย่อม กระทบทิศทางราคาและแรงจูงใจ ของผู้บริโภค-ผู้ค้าในพื้นที่ชายแดนโดยตรง

ภาพกว้างด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทยในช่วงหลังโควิด กลับมาฟื้นตัวชัดเจน กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการค้าชายแดนและผ่านแดนปี 2566–2567 อยู่ในระดับหลายล้านล้านบาท และมีสัญญาณฟื้นต่อเนื่องในปี 2567 (ข้อมูลรายไตรมาส) ขณะที่ฝั่งลาว-เมียนมามีบทบาทเป็นคู่ค้าหลักของการค้าชายแดนไทยต่อเนื่อง (เอกสารสถิติกระทรวงพาณิชย์) แนวโน้มนี้สะท้อนว่า ทุก “แรงสะเทือนราคา” จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าพัสดุออนไลน์ สามารถกระเพื่อมต่อโครงสร้างราคาขายปลีกท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะสินค้าจำพวก ของใช้ไอที อะไหล่ย่อย เครื่องตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่น ที่ผู้ค้ารายย่อยชายแดนเคยพึ่ง “ล็อตเล็ก” นำเข้าผ่านเส้นทางโลจิสติกส์หลากหลายรูปแบบ เพื่อกระจายขายหน้าร้านและขายออนไลน์ต่อในประเทศ

คำถามใหญ่ของเชียงราย “ความอยู่รอดของค้าปลีกชายแดน” กับการแข่งขันของแพลตฟอร์ม

ในทางหนึ่ง มาตรการใหม่ แก้ปัญหาเดิม คือปิดโอกาส “ของราคาต่ำลอยตัว” เข้ามาโดยไม่เสียภาษี ทำให้ผู้ค้าถูกกฎหมายในประเทศไม่เสียเปรียบ แต่ในอีกทางหนึ่ง การแข่งขันไม่จบแค่ภาษี เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติยังได้เปรียบด้วย ขนาด เครือข่ายซัพพลายเออร์จีน และต้นทุนโลจิสติกส์ ที่ยังต่ำกว่าผู้ค้านำเข้าแบบดั้งเดิมในบางประเภทสินค้า ผลลัพธ์คือ ผู้บริโภคอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อย เพื่อแลกกับทางเลือกสินค้าหลากหลายและการส่งถึงบ้าน ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายของค้าปลีกชายแดนเชียงราย

3 ฉากทัศน์ที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องคิด

  1. แข่งขันด้วย “ความถูก” อย่างเดียวไม่ได้อีก
    เมื่อราคานำเข้าถูก “อัปเลเวล” ด้วยอากร+VAT แทบทุกชิ้น ผู้ค้าท้องถิ่นที่ขายสินค้านำเข้าทั่วไปจะเสีย จุดเด่นด้านราคา ในทันที ทางรอดจึงต้องหันไปเน้น ความเร็ว (Same/Next-day), การรับประกันหน้าร้าน, บริการเปลี่ยนคืนง่าย, และ แพ็กเกจจิ้ง/คอนเทนต์ท้องถิ่น ที่แพลตฟอร์มทำเลียนแบบยาก—เพื่อให้ผู้บริโภคยอมจ่าย “พรีเมียมบริการ” แทน “ส่วนต่างราคา”
  2. ชู “ของแท้มีมาตรฐาน–รับผิดชอบได้”
    มาตรการรัฐจะเข้มในการคัดกรอง สินค้าปลอม-ผิดมาตรฐาน-สินค้าควบคุม มากขึ้น ผู้ค้าท้องถิ่นจึงควรวางตำแหน่งเป็น ร้านที่ตรวจสอบได้” มี ใบเสร็จภาษี/ใบรับประกัน/มาตรฐาน มอก. และ บริการหลังการขาย เพื่อชิงความเชื่อมั่นเหนือสินค้าส่งตรงจากต่างประเทศที่แม้ราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ เคลมยาก–รับผิดชอบยาก
  3. ใช้พรมแดนให้เป็น “ข้อได้เปรียบ”
    เชียงรายมีโลจิสติกส์ชายแดนแข็งแรง—ด่านแม่สาย/เชียงแสน/เชียงของ—หากผู้ค้าสามารถ รวมล็อต-ใช้ศุลกากรระบบใหญ่ถูกกฎหมาย ต่อรองค่าขนส่ง และทำ สัญญากับผู้ผลิตในลาว-เมียนมา-จีนตอนใต้ เพื่อนำเข้าถูกต้องตามภาษี ก้าวต่อไปคือการสร้าง แบรนด์ท้องถิ่น สินค้าชุด (bundle) และ B2B ย่อย ป้อนร้านค้าปลีกในจังหวัดข้างเคียง ซึ่งช่วยเฉลี่ยต้นทุนและทำ มาร์จิ้น ได้ดีกว่าการขายชิ้นต่อชิ้น

มุมมองจากนโยบายรัฐ

ฝั่งกรมศุลกากรเน้นย้ำ “ดุลยภาพ” ระหว่างการอำนวยความสะดวกกับการปกป้องสังคม—เร่งคืนภาษี/เงินประกัน เพิ่มความถี่พิจารณาอุทธรณ์ ปรับระบบตรวจปล่อยสู่มาตรฐานสากล และยกระดับการบริหารความเสี่ยงจาก “รายธุรกรรม” เป็น “ฐานผู้ประกอบการ (Entity base)” เพื่อให้ผู้ประกอบการสุจริตไม่ถูกภาระเกินจำเป็น นี่คือการบ้านภาครัฐที่จะทำให้ “กติกาใหม่” ส่งผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจโดยรวมและผู้บริโภค

ของถูกจะไม่ถูกอีกต่อไป?”—คำนวณผลกระทบสินค้ายอดฮิต

เพื่อให้เห็นภาพเชิงปฏิบัติ เราจำลองตะกร้าสินค้าที่ชาวเชียงรายนิยมสั่งจากแพลตฟอร์ม (ตัวเลขภาษีเป็นการประมาณตามหลักอากรเฉลี่ย 10% และ VAT 7% บนฐาน C.I.F.+อากร ไม่รวมค่าดำเนินการอื่น)

  • เคสโทรศัพท์/ฟิล์มกันรอย (100–150 บาท): ราคาสุทธิอาจเพิ่ม ~18–27 บาท/ชิ้น หากรวมค่าธรรมเนียมปลายทาง/ค่าดำเนินการ ผู้ขายอาจตั้งราคาใหม่ใกล้ 129–199 บาท เพื่อคงมาร์จิ้น
  • ไฟประดับ/หลอดไฟ USB (150–250 บาท): เพิ่มภาษี ~26–44 บาท มีโอกาส “ขยับชั้นราคา” ไปแตะ 199–299 บาท ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหัน “ซื้อรวมชุด” เพื่อเฉลี่ยค่าภาษี-ค่าขนส่ง
  • เสื้อผ้าแฟชั่นเบสิก (200–300 บาท): ภาษี ~35–53 บาท หากแบรนด์ไม่มีจุดเด่นด้านคุณภาพหรือทรง อาจถูกผู้บริโภคเปรียบเทียบกับแบรนด์ไทยที่มีบริการคืน/เปลี่ยน และได้สินค้าทันทีหน้าร้าน

นัยต่อพฤติกรรมผู้บริโภค

  1. ซื้อน้อยครั้งขึ้น แต่ต่อครั้งใหญ่ขึ้น: ผู้บริโภคจะพยายาม “รวมตะกร้า” ให้คุ้มค่าค่าดำเนินการปลายทาง
  2. ขยับสู่ร้านในประเทศมากขึ้นในบางหมวด: โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการเคลม/วัดไซซ์/ทดลอง
  3. ยอมจ่ายเพื่อความสะดวก: บริการส่งเร็ว/เปลี่ยนคืนง่าย/ของแท้ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในสมการตัดสินใจ

จากกฎภาษีสู่โครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น

หากมองไกลกว่าราคาหน้าร้าน นโยบายนี้คือ การปรับสมดุลระบบนิเวศการค้า—ผู้ค้าที่ยึดกติกามี “สนามแข่งขันที่ยุติธรรมขึ้น” รัฐมีรายได้ที่ถูกต้อง และผู้บริโภคได้สินค้ามาตรฐานมากขึ้น (ลดสินค้าปลอม/ไม่ได้มาตรฐาน) ในระยะกลาง–ยาว ผลเชิงบวกอาจสะสมผ่าน

  • การย้ายฐานซัพพลาย มาสู่ไทย/CLMV ที่ตรวจสอบได้
  • การเกิดพันธมิตรโลจิสติกส์ชายแดน ระหว่างผู้ค้าท้องถิ่น–ศุลกากร–ขนส่ง–แพลตฟอร์ม
  • การยกระดับทักษะดิจิทัลของ SME ให้แข่งด้วยคอนเทนต์ ความเร็ว และบริการ ที่ไม่ใช่ “ราคาอย่างเดียว”

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเชิงนโยบาย ยังมี 3 ประการ

  1. ความพร้อมเชิงระบบข้อมูล: การเก็บภาษีจากพัสดุปริมาณมากต้องอาศัย ข้อมูลล่วงหน้า (pre-arrival data) ที่แม่นยำจากแพลตฟอร์ม/ขนส่ง เพื่อลดคอขวดด่านศุลกากร—ซึ่งกรมศุลกากรกำลังหารือแพลตฟอร์มหลักเพื่อร่วมมือคัดกรองและส่งข้อมูลที่จำเป็น (สินค้าต้องห้าม สินค้ามาตรฐาน)
  2. ความสม่ำเสมอของการบังคับใช้: หากมี “ช่องทางเลี่ยง” เช่น การสำแดงราคาไม่ครบ/แยกพัสดุเพื่อให้ดูมูลค่าต่ำ จะทำให้ผู้ค้าสุจริตเสียเปรียบ—ภาครัฐจึงต้องเร่ง Risk Management แบบฐานผู้ประกอบการ (Entity base) และเชื่อมระบบกับหน่วยงานกำกับอื่น (เช่น มอก.) ให้แนบแน่น
  3. การสื่อสารสาธารณะ: ผู้บริโภคต้องรู้กติกาใหม่ล่วงหน้า—หากไม่เข้าใจที่มาที่ไป จะเกิดแรงต่อต้านว่า “ของแพงขึ้นเพราะรัฐ” ทั้งที่หัวใจคือ ความเป็นธรรมและความปลอดภัย ของระบบการค้าในระยะยาว

 “เก็บครบ–อำนวยความสะดวก–ปกป้องสังคม”

กรอบ “Quick Big Win” ที่ประกาศเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2568 ระบุ 3 เสาหลักชัดเจน—อำนวยความสะดวก (เร่งคืนภาษี ปรับพิธีการ ตรวจปล่อยมาตรฐานสากล สนับสนุนราง–เรือ–ICD), ปกป้องสังคม (ปราบสินค้าทุ่มตลาด/ปลอมแปลงถิ่นกำเนิด/ไม่ได้มาตรฐาน) และ เพิ่มรายได้รัฐ โดยเฉพาะในส่วน อีคอมเมิร์ซข้ามแดน ที่คาดว่าช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมประมาณ 3,000 ล้านบาท/ปี เมื่อเพดาน De minimis ลดลงเหลือ 1 บาท พร้อมเดินหน้าหารือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่เพื่อ ปิดช่องสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ต้นทาง

ในเชิงกรอบเวลา ปี 2567–2568 เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ—จาก การเริ่มจัดเก็บ VAT กับพัสดุต่ำกว่า 1,500 บาท (ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา) ไปสู่ การเลิกยกเว้นอากรนำเข้า สำหรับพัสดุ “แทบทุกชิ้น” ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไปตามที่ผู้บริหารศุลกากรสื่อสารต่อสาธารณะ โดยมีสาระสำคัญว่า สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท จะไม่ยกเว้นภาษีอีกต่อไป” และจะคำนวณภาษีตามกฎหมายปกติ เพื่อยุติการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและคัดกรองสินค้ามาตรฐานเข้าสู่ประเทศ

เชียงรายควร “รับมือ” อย่างไร ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ค้า

1) รีแพ็กเกจพอร์ตสินค้า

  • ลดสัดส่วนสินค้าที่ “ได้เปรียบเพราะราคาต่ำมาก” และย้ายไปสู่หมวดที่ผู้บริโภคให้ค่าน้ำหนักกับ บริการ (เช่น อุปกรณ์มือถือที่ต้องติดฟิล์ม/ตั้งค่า, อะไหล่พร้อมติดตั้ง, ของใช้บ้านที่ต้องสาธิต)
  • ใช้ Bundle/Set ต่อชิ้นต่อบิล เพื่อเฉลี่ยต้นทุนภาษีและค่าดำเนินการ

2) เร่งทำสัญญานำเข้าแบบมืออาชีพ

  • รวมล็อตกับผู้ค้ารายอื่นในเครือข่ายเชียงราย–เชียงใหม่–ลำปาง เพื่อใช้ พิธีการศุลกากรปกติ ที่โปร่งใสและต่อรองค่าขนส่งได้ดีขึ้น
  • จับมือ ตัวแทนศุลกากร (Customs broker) ที่มีระบบเอกสารพร้อม audit และสร้างความน่าเชื่อถือกับธนาคาร–คู่ค้า

3) สร้าง “คุณค่าท้องถิ่น” ให้แตกต่างจากแพลตฟอร์ม

  • เพิ่มบริการ Same/Next-day ในตัวเมืองเชียงราย, บริการเปลี่ยนคืนที่ร้าน, ประกันสินค้า, และบริการติดตั้ง/สอนใช้
  • ผลิต คอนเทนต์ภาษาถิ่น/วัฒนธรรมล้านนา เชื่อมกับเทศกาลท้องถิ่น (ลอยกระทง–ปีใหม่–เทศกาลกาแฟ/บอลลูน) เพื่อดึงอารมณ์ร่วม—สิ่งที่แพลตฟอร์มระดับโลกทำได้ยาก

4) ทำการตลาด “ภาษีชัด–ของแท้ชัวร์–ซัพพอร์ตเร็ว”

  • สื่อสารตรงไปตรงมาเรื่องภาษีใหม่—ราคาที่เห็นคือราคาจริงหลังภาษี ลดความลังเลใจผู้บริโภค
  • ชู ใบกำกับภาษี/ใบรับประกัน/มาตรฐาน มอก. และช่องทางเคลมในจังหวัด

5) ต่อยอด B2B ในภาคเหนือ

  • ใช้เชียงรายเป็นฐานกระจายสู่ พะเยา–แพร่–น่าน–เชียงใหม่ ผ่านเครือข่ายขนส่งภูมิภาค สร้างรายได้ ค้าส่ง ควบคู่ค้าปลีก

 “ภาษีใหม่” ไม่ใช่จุดจบของความคุ้มค่า—แต่คือบทเริ่มของการค้าที่เป็นธรรม

เมื่อนับถอยหลังสู่ 1 ม.ค. 2569 ระบบภาษีอีคอมเมิร์ซของไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่ พัสดุแทบทุกชิ้นถูกกำกับด้วยกติกาเดียวกัน ลดแรงบิดเบี้ยวจาก De minimis เดิม เพิ่มความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการในประเทศ และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคผ่านการคัดกรองสินค้ามาตรฐาน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้อาจทำให้ “ของถูกมาก” ไม่ถูกอีกต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง “แพงไร้เหตุผล” หากรัฐ–แพลตฟอร์ม–ขนส่ง–ผู้ค้า–ผู้บริโภค ร่วมกันทำให้ข้อมูลโปร่งใสและต้นทุนพิธีการมีประสิทธิภาพ

สำหรับเชียงราย เมืองชายแดนที่คล่องแคล่วด้านโลจิสติกส์และการค้าข้ามแดน นี่คือโอกาส—หากผู้ค้าท้องถิ่นปรับตัวจาก ยุทธศาสตร์ “ถูกกว่า” ไปสู่ ดีกว่า–เร็วกว่า–เชื่อถือได้กว่า” การมีร้านอยู่ใกล้มือ บริการหลังการขายที่จับต้องได้ และคอนเทนต์ท้องถิ่นที่สร้างความผูกพัน จะทำให้ ส่วนต่างราคา 10–20% ไม่ใช่กำแพงที่ข้ามไม่ได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร
  • กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บ้านมือสองดิสรัปต์ตลาดบ้านใหม่: ยอดโอน 66% ชี้ชัดผู้ซื้อหันหา “ทรัพย์พร้อมรีโนเวท” ที่ต่อรองได้จริง

บ้านมือสองดิสรัปต์ตลาดบ้านใหม่ ยอดโอน “66%” ชี้ชัดพฤติกรรมผู้ซื้อไทยเปลี่ยน—จาก “โอนน้อย–ขายช้า” สู่ยุครีโนเวททำกำไร พร้อมจับตาเชียงรายปี 2568 “ตลาดของผู้ซื้อ” ท่ามกลางรีเจ็กต์เรตสินเชื่อสูง 70–80%

เชียงราย/กรุงเทพฯ, 2 พฤศจิกายน 2568 — ตลาดที่อยู่อาศัยไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ “บ้านมือสอง” ก้าวขึ้นมาเป็น “ตัวเลือกหลัก” ของผู้บริโภคและนักลงทุนอย่างชัดเจน สะท้อนผ่านตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ 8 เดือนแรกปี 2568 ที่แสดงให้เห็นว่า บ้านมือสองคิดเป็น 66% ของจำนวนโอนทั้งหมด (129,173 หน่วย) ขณะที่ บ้านใหม่มีสัดส่วน 34% (67,050 หน่วย) แม้ “มูลค่าโอน” บ้านใหม่กับบ้านมือสองจะ “สูสี” (ราว 51% ต่อ 49%) แต่จำนวนหน่วยของบ้านมือสองที่ “แซงเกินเท่าตัว” บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเผชิญสภาวะ โอนน้อย–ขายหมดช้า” และผู้ซื้อหันมาเลือก “ทรัพย์พร้อมรีโนเวท” ที่ต่อรองได้จริง—มากกว่า “รอโครงการใหม่” ที่ราคาเปิดตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

ในอีกด้านหนึ่ง “นักลงทุนอสังหาฯ รายย่อย” ใช้โอกาสนี้ปรับยุทธศาสตร์สู่ Flipping (ซื้อ–รีโนเวท–ขายต่อ) และ ซื้อ–ปรับปรุง–ปล่อยเช่า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เฉพาะในไตรมาส 2/2568 ประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสอง ทั้งประเทศแตะ 189,382 หน่วย (เพิ่มขึ้น 34.6%) ด้วยมูลค่ารวม 758,502 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.6%) สะท้อนแรงเสนอขายในกลุ่มราคาเข้าถึงง่าย โดย ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มีสัดส่วนประกาศมากที่สุด 28.6% และ “ช่วงราคาใช้งานจริง” ของผู้ซื้อก็สอดรับกัน—หน่วยโอนส่วนใหญ่ อยู่ที่ ไม่เกิน 1 ล้านบาท (35.1%) รองลงมาคือ 2.01–3 ล้านบาท (18.2%) และ 1.01–1.50 ล้านบาท (17.0%) ทำให้ มาตรการรัฐลดค่าจดทะเบียนโอน–จำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัย 7 ล้านบาท กลายเป็นตัวช่วยสำคัญหนุนดีมานด์ฐานกว้าง

ทำไม “บ้านมือสอง” จึงขึ้นเป็นพระเอก ราคา–ทำเล–โครงสร้าง–มาตรการรัฐ

  • ราคาและการต่อรอง – ในสภาพเศรษฐกิจที่รายได้ครัวเรือนชะลอและต้นทุนชีวิตสูงขึ้น “บ้านมือสอง” ให้ความยืดหยุ่นด้านราคา ผู้ซื้อสามารถต่อรองโดยตรงกับเจ้าของ (รวมถึงของแถม/เฟอร์นิเจอร์/เครื่องใช้ไฟฟ้า) และ “ปรับงบรีโนเวทตามใจ” บนฐานราคาทุนที่ต่ำกว่าโครงการใหม่
  • ทำเลเมืองที่หาได้จริง – ทำเลกรุงเทพฯ–ปริมณฑลหรือเมืองใหญ่ที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน กลายเป็น “ของหายาก” สำหรับโครงการเปิดตัวใหม่ (เพราะราคาที่ดินพุ่งสูง) ขณะที่บ้านมือสอง “มีทรัพย์หมุนเวียน” ในย่านเดิม ให้ผู้ซื้อ “ได้อยู่ในโครงสร้างเมืองจริง” ทันที
  • สาม โครงสร้างก่ออิฐมอญ–ต่อเติมง่าย – บ้านมือสองจำนวนมากใช้ระบบก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่ “มิตรกว่า” ต่อการทุบ–เจาะ–เปลี่ยนผังภายใน เพื่อออกแบบชีวิตตามสไตล์ตน ต่างจากบ้านยุคใหม่ที่ใช้แผ่นสำเร็จรูปซึ่งมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง
  • มาตรการรัฐหนุนกำลังซื้อ – มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน–จำนองลง 01% สำหรับราคาทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท ครอบคลุม “บ้านมือสอง” ด้วยโดยตรง ลดต้นทุนวันโอนให้ผู้ซื้อจริง

ผลลัพธ์เชิงพฤติกรรมที่เห็นชัด คือ “คนไทยอยากถือครองทันที–ปรับแต่งได้–งบยืดหยุ่น” มากกว่าการ “รอโครงการใหม่” ที่ราคาเปิดสูงและเสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

เสียงจากตลาดและพฤติกรรม Flipping รีโนเวทคือเกมเร่งมูลค่า

วสันต์ คงจันทร์ นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ อธิบายทิศทางตลาดปี 2568–2569 ว่า “บ้านมือสอง” จะยิ่งโดดเด่นขึ้น จากเหตุผลด้านกำลังซื้อไม่พอและ อัตรากู้ไม่ผ่าน สูงในบ้านราคาย่อมเยา เปิดพื้นที่ให้เกิด “ตลาดร่วมลงทุน” ระหว่างเจ้าของทรัพย์–นักลงทุน—ซื้อ–รีโนเวท–ขายต่อ แบบไม่ต้องรับโอนล่วงหน้าทั้งหมดเหมือนในอดีต ทำให้ วงจรสร้างมูลค่า (Value-add) เกิดขึ้นรวดเร็วขึ้น และสอดคล้องกับดีมานด์ที่นิยม “บ้านพร้อมอยู่–สวยจบ” ที่การเงินอนุมัติง่ายกว่าเพราะสภาพทรัพย์ชัดเจน

เคสศึกษา “เชียงราย 2567–2568” ตลาดของผู้ซื้อ—สภาพคล่องต่ำ แต่โอกาสเชิงโครงสร้างยังรออยู่

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดเชียงรายในปี 2567 เผชิญ “แรงกดดันสามชั้น” คือ (1) รีเจ็กต์เรตสินเชื่อสูงในกลุ่มบ้าน 3 ล้านบาท (70–80%) ทำให้กำลังซื้อฐานรากหายไปเป็นวงกว้าง (2) ยอดโอน 8 เดือนแรกปี 2567 ลดลงราว 20–25% สะท้อนการชะลอตัวของกิจกรรมซื้อขายทั้งมือหนึ่ง–มือสอง และ (3) อุปทานคงค้าง (Inventory Overhang) สูงกว่า 2,600 หน่วย/มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่หน่วยขายใหม่ H1/2567 เพียง 102 หน่วย และ H2/2567 ราว 130 หน่วย—บ่งชี้ “ดีมานด์ใหม่” ที่ยังไม่ฟื้น

อย่างไรก็ดี เชียงรายยัง “ซ่อนมูลค่า” ระยะกลาง–ยาวจากสองปัจจัยโครงสร้างหลัก ได้แก่

  • รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ มูลค่า 72,920 ล้านบาท ที่ผลักดัน “คาดการณ์มูลค่า” ที่ดินแนวสถานี (บางพื้นที่ราคาขยับแรงแล้ว) แม้ผลลัพธ์ต่อราคาบ้านมือสองทั้งตลาดอาจยังไม่ชัดเจนในปี 2568 แต่ถือเป็น Latent Value ที่พร้อม “ปลดล็อก” เมื่อโครงการคืบหน้าและเศรษฐกิจฟื้น (คาดเริ่มชัดเจน ตั้งแต่ 2569 เป็นต้นไป)
  • โครงการ “เมืองซับน้ำ (Sponge City)” ระยะที่ 2 ของกรมโยธาธิการและผังเมือง (กำหนดสิ้นสุด สิงหาคม 2568) หากช่วยบรรเทาความเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากได้จริง จะลด Risk Premium ที่ถ่วงราคาทรัพย์ในพื้นที่เสี่ยง และเปิดทางให้ราคาฟื้นในระยะถัดไป

บทสรุปเชิงกลยุทธ์สำหรับเชียงราย 2568 ตลาดยังเป็น “ของผู้ซื้อ” ผู้ที่ ถือเงินสด หรือมีความสามารถด้านสินเชื่อสูงจะมี อำนาจต่อรอง เหนือผู้ขายที่ต้องการสภาพคล่อง โดยเฉพาะในช่วงราคา 2–4 ล้านบาท และในทำเลที่ได้อานิสงส์จากโครงสร้างพื้นฐาน (แนวสถานีรถไฟทางคู่/โซนเมือง–สนามบิน–ม.แม่ฟ้าหลวง/แม่สาย) ส่วน “ผู้ขาย” ควรพิจารณา การลดราคาเฉพาะหน่วย (Unit-specific Discounting) ให้สอดคล้องกับการประเมินสินเชื่อและความต้องการจริง

ผู้บริโภคต้องรู้ 5 เทคนิคตรวจบ้านมือสอง “ก่อนตัดสินใจ”

  1. ถามที่มา–เหตุผลขาย–ความเสี่ยงแฝง
    ตรวจสอบประวัติการถือครอง เหตุผลการขาย ปัญหาขัดแย้งกับชุมชน/มรดก–ข้อพิพาท และปัจจัยสิ่งแวดล้อม (น้ำท่วมง่าย/PM2.5/โรงงานใกล้เคียง)
  2. เช็กโครงสร้าง–ระบบหลักให้ครบ
    สำรวจรอยร้าวตรงกันสองฝั่งผนัง/คาน–เสา/พื้นทรุด ระบบไฟ–ประปา นัดเข้าชมหลายช่วงเวลา (แดดบ่าย/ฝนตก) เพื่อตรวจ “น้ำรั่ว–ระบาย” แล้วตัดสินใจว่าจะให้ผู้ขายซ่อมหรือ หักเป็นส่วนลด
  3. ตรวจกรรมสิทธิ์–เอกสารของจริง
    เทียบโฉนดกับสำเนาที่สำนักงานที่ดิน ป้องกันปลอมแปลง/อายัด/ข้อพิพาท หากซื้อจากผู้รับมอบอำนาจ ต้องขอดู ท.ด.21 และหลักฐานครบถ้วน
  4. เช็กภาระกับนิติบุคคล–ใบปลอดหนี้
    สอบถามหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระ ภาระจำยอม เส้นทางร่วมกับบุคคลภายนอก หรือความเสี่ยง “เขตเวนคืน” ขอ ใบปลอดหนี้ ประกอบวันโอน
  5. สัญญา–ค่าใช้จ่ายวันโอนให้ชัด
    ระบุราคาซื้อขาย ค่ามัดจำ ไทม์ไลน์ชำระส่วนที่เหลือ วันโอน และ “ใครจ่ายอะไรบ้าง” ให้ชัดเจน เพื่อใช้ยื่นกู้และลดปัญหาหน้างาน

ภาพใหญ่ระดับประเทศ “โอนน้อย–ขายช้า” กับบทเรียนเชิงนโยบาย

พอเศรษฐกิจฐานรากเปราะบางและ “รีเจ็กต์เรตสินเชื่อ” ในกลุ่มราคาเข้าถึงง่ายยังสูง ดีมานด์ที่แท้จริงก็ถูก “ตัดขา” อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้รัฐอัดมาตรการลดค่าธรรมเนียมช่วยวันโอน แต่ “การเข้าถึงสินเชื่อ” คือปัจจัยชี้เป็นชี้ตาย วงจรนี้ทำให้ตลาดปรับตัวโดยธรรมชาติ—คนหันไปหา “บ้านมือสอง” ที่ยืดหยุ่นกว่าทั้งราคาและทำเล ขณะที่ผู้ประกอบการบ้านใหม่ต้อง “ชะลอเปิดโครงการ” หรือออกโปรโมชันเชิงลึกเพื่อระบายสต็อก ความจริงเชิงโครงสร้างนี้ยืนยันว่าตลาดอสังหาฯ ไทยกำลังเดินเข้าสู่ ยุคคัดคุณภาพ–ประหยัดต้นทุน–มองมูลค่าแท้จริงของทำเลและโครงสร้าง มากกว่าการจ่ายแพงเพื่อ “ของใหม่” เพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ควรพิจารณา

  • กลไกสินเชื่อเฉพาะกิจ สำหรับกลุ่มรายได้ประจำ–อันดับเครดิตดี แต่ถูกคัดออกจากเกณฑ์ปัจจุบันบางประการ เพื่อลดรีเจ็กต์เรตในบ้านราคาเข้าถึงได้
  • เร่งข้อมูลโปร่งใสด้านความเสี่ยงพื้นที่ (น้ำท่วม/ฝุ่น/อุตสาหกรรม) ให้ผู้ซื้อประเมินได้จริง ลดปัญหาซื้อพลาด–ขายยาก
  • มาตรการปรับปรุงอาคารเก่า (Retrofit/Green Upgrade) ด้วยสิทธิประโยชน์ภาษี/ดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อยกระดับสต็อกบ้านมือสองให้ประหยัดพลังงาน–อยู่อย่างยั่งยืน สอดคล้องนโยบายสิ่งแวดล้อม

วางหมากลงทุน–อยู่อาศัย ปี 2568 คีย์เวิร์ดคือ “เงินสด–ต่อรอง–เลือกทำเลที่มีอนาคต”

  • สำหรับผู้ซื้ออยู่เอง โฟกัสบ้านมือสองในทำเลที่ใช้ชีวิตจริงได้ทันที (งาน–โรงเรียน–ขนส่งมวลชน) ตั้งงบรีโนเวท “เพื่อสุขภาพ–พลังงาน–ความปลอดภัย” เช่น ฉนวนกันร้อน/ระบบไฟ–น้ำ/วัสดุไม่อมฝุ่น ตรวจเอกสารให้ครบ ลดความเสี่ยงหลังโอน
  • สำหรับนักลงทุน มองทรัพย์สภาพดีในย่านดีมานด์สูง (เมือง–แนวรถไฟฟ้า/สถานีรถไฟทางคู่ในอนาคต) ใช้กลยุทธ์ Value-add รีโนเวทให้ “สวยจบ” เพื่อลดเวลาถือครอง และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ “กู้ผ่านง่าย” (สเปก–เอกสารครบ) รองรับผู้ซื้อที่ใช้สินเชื่อ
  • สำหรับผู้ขาย ยอมรับ “ตลาดของผู้ซื้อ” กำหนดราคาที่สะท้อนสภาพทรัพย์–ทำเล–ผลประเมินสินเชื่อ และ “ยืดหยุ่นเงื่อนไข” เพื่อเร่งปิดดีล (เช่น รับผิดชอบบางค่าใช้จ่ายวันโอน หรือซ่อมก่อนโอนบางรายการสำคัญ)

บ้านมือสอง = คำตอบของตลาดกำลังซื้อจริง

ตัวเลข 66% ของการโอนบ้านมือสองในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือ “สัญญาณโครงสร้าง” ว่าผู้ซื้อไทยต้องการ ความคุ้มค่า–ทำเลจริง–ความยืดหยุ่น และระบบสินเชื่อในภาวะปัจจุบัน “เอื้อกับทรัพย์ที่ราคาสมจริง” มากกว่าการจ่ายแพงเพื่อโครงการเปิดใหม่ สภาพตลาด โอนน้อย–ขายช้า” จึงไม่ได้ทำให้ตลาดหยุดหมุน ตรงกันข้าม—มันกำลัง “ย้ายเวที” ไปสู่เซกเมนต์ที่ ราคาต่อรองได้–ปรับแต่งได้–ตอบโจทย์ชีวิตได้ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมบ้านมือสองจึง “ดิสรัปต์” บ้านใหม่อย่างสิ้นเชิงในปีนี้

สำหรับ เชียงราย ปี 2568 ภาพรวมยัง “ทรงตัว–ซบเซา” แต่ โอกาส ยังชัดเจนในทำเลที่เกาะกระแส รถไฟทางคู่ และพื้นที่ที่ โครงการเมืองซับน้ำ ช่วยลดความเสี่ยงได้จริง ผู้ซื้อเงินสดและนักลงทุนที่ “ทำการบ้านดี–วิเคราะห์ความเสี่ยงเป็น–ต่อรองเป็น” จะเป็นผู้ชนะในรอบตลาดนี้ ขณะที่ผู้ขายที่ “เข้าใจราคา–ยืดหยุ่นเงื่อนไข” จะเร่งปิดการขายได้เหนือคู่แข่ง

ในตลาดที่ความแน่นอนต่ำ “ข้อมูล–วินัยทางการเงิน–ความยืดหยุ่น” คือสามขาของโต๊ะ ที่ทำให้การตัดสินใจซื้อ–ขาย ไม่ใช่การพนัน แต่เป็น ยุทธศาสตร์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
  • นโยบายภาครัฐด้านค่าธรรมเนียมโอน–จำนอง
  • สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์/Modern Property Consultant
  • DDproperty
  • สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย/สมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย
  • กระทรวงคมนาคม/การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง โครงการ เมืองซับน้ำ (Sponge City) ระยะที่ 2
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เศรษฐกิจเชียงราย สองเครื่องยนต์ ‘ท่องเที่ยว-ชายแดน’ ผลักดัชนีเชื่อมั่นให้ยืนสูง

เชียงราย–ภาคเหนือ “เงยหน้ารับลมหนาวเศรษฐกิจ” ดัชนีเชื่อมั่นอนาคตภาคเหนือแตะ 73.5 แรงหนุน “คนละครึ่ง พลัส” จ่อดันกำลังซื้อ-ท่องเที่ยวไฮซีซัน ขณะภาพรวมไทยโต 2.4% ปี 2568 แต่ต้องจับตาความเสี่ยงปี 2569

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ลมหนาวเที่ยวแรกแตะขอบดอยนางนอนในหุบเขาเชียงราย พร้อมข่าวดีจากส่วนกลางที่ส่งแรงกระเพื่อมถึงปลายน้ำ: ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (RSI) เดือนตุลาคม 2568 ของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 73.5 สะท้อนมุมมอง 6 เดือนข้างหน้าที่ “ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” บนแรงหนุนสองขา—มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่กำลังเดินเครื่องในไตรมาสสุดท้าย และ ฤดูท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงพีกของปี นัยนี้มีความหมายกับเชียงรายโดยตรง เพราะจังหวัดปลายสุดแดนเหนือกำลังยืนอยู่ “หน้าเคาน์เตอร์โอกาส” ทั้งจากการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ร้านค้ารายย่อย ไปจนถึงซัพพลายเชนเกษตรและโลจิสติกส์ชายแดน

ในมุมมหภาค กระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 โต 2.4% จากแรงกระตุ้นภาครัฐและการส่งออกที่คาดขยายตัว 10.0% ทว่า “ปีถัดไป” อาจไม่ราบรื่นเท่าเดิม เมื่อภาพรวมปี 2569 ถูกประเมินว่าจะ ชะลอมาที่ 2.0% สาเหตุหลักจากการเร่งส่งออกในปีนี้เพื่อหลบผลกระทบภาษีการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ชี้ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 มีแนวโน้ม ‘ทรงตัว’ งบลงทุนรัฐลดลงและภาคเอกชนยังเปราะบาง—สัญญาณที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้ทันและปรับแผน

ภาพใหญ่ของประเทศ โตได้…แต่ไม่ง่าย

สัญญาณข้างหน้า: กระทรวงการคลังประเมินปี 2568 ไทยขยายตัว 2.4% โดยมี “โครงการคนละครึ่ง พลัส” กับมาตรการเพิ่มวงเงินสวัสดิการรัฐเป็นแรงขับการบริโภคเอกชน (คาดโต 3.0%) และการส่งออกมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 10.0% ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ (คิดเป็น 3.5% ของ GDP) และเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี -0.2% โดยได้รับอานิสงส์ต้นทุนพลังงานที่ลดลง

จุดห่วงปี 2569: จีดีพีชะลอที่ 2.0% ส่งออกหดตัว -1.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับสู่แดนบวกแถว 0.5% นโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล—จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดหนี้ครัวเรือน หนุน SMEs เพิ่มออม และลงทุนเพื่ออนาคต—จึงถูกคาดหวังให้ยื้อแรงเฉื่อยเศรษฐกิจและสร้างฐานใหม่ระยะยาว

คำเตือนเชิงนโยบาย: การค้าโลกที่ผันผวน มาตรการภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และหนี้ครัวเรือนยังสูง คือชุดความเสี่ยงที่อาจสั่นความเชื่อมั่นธุรกิจ—หากลามสู่ต้นทุนการเงินและพฤติกรรมบริโภค

พื้นที่เศรษฐกิจภาคเหนือ ดัชนี 73.5 “โซนอ่อนไปทางดี” ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมเครื่องยนต์คู่

ตัวเลขชวนคิด RSI เดือน ต.ค. 2568

  • ภาคเหนือ 73.5: ได้แรงหนุนจาก บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม ในช่วงไฮซีซัน กอปรกับมาตรการรัฐ
  • ภาคตะวันออก 75.5 / EEC 78.7: สะท้อนบทเรียนว่าพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐาน–การลงทุนต่อเนื่อง มีความเชื่อมั่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
  • กทม.–ปริมณฑล 63.8: ยังต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ชี้ว่าการฟื้นตัว “ไม่เสมอหน้า” และกิจกรรมบางส่วนยังรอผลลัพธ์มาตรการ

ความหมายต่อภาคเหนือ:

  1. การท่องเที่ยวกลับมาเป็น “เสาหลักรายได้กระจายตัวสูง” ตั้งแต่ที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่ งานเทศกาลท้องถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรม—ห่วงโซ่คุณค่าไหลถึงชุมชนรวดเร็ว
  2. อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร–เครื่องดื่ม–ยางพารา–อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นส่วน มีแนวโน้มปรับกำลังผลิตตามคำสั่งซื้อช่วงปลายปีและต้นปีหน้า
  3. กำลังซื้อชาวบ้าน–แรงงานกลับบ้าน ช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน สนับสนุนเม็ดเงินหมุนเวียนท้องถิ่นอย่างเห็นรูปธรรม

แต่ก็ยังมีโจทย์ท้าทาย: ความแปรปรวนสภาพอากาศที่กระทบผลผลิตเกษตร ค่าครองชีพในเมืองท่องเที่ยว และการขนส่งข้ามแดนที่ต้องลุ้นกับกฎระเบียบประเทศเพื่อนบ้านเมื่อภูมิรัฐศาสตร์ “ไหลแรง”

โฟกัสเชียงราย เมืองชายแดน–เมืองท่องเที่ยว “สองเครื่องยนต์” ผลัก RSI ภาคเหนือให้ยืนสูง

เชียงรายกำลังอยู่ใน จุดสมดุลใหม่ ของบทบาทสองประการ—เมืองท่องเที่ยวธรรมชาติ–วัฒนธรรม และเมืองโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ—ที่โอบรับฤดูกาลท่องเที่ยวและความต้องการบริโภคปลายปีพอดิบพอดี

1) ไฮซีซันท่องเที่ยว ฤดูขายประสบการณ์–ฤดูเก็บรายได้ฐานราก

  • ฤดูหนาว = ฤดูงาน: เทศกาลแสงสีริมโขง งานกาแฟ–ชา–เกษตร และทริปสายธรรมชาติ “กอดหมอก” ทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่พัก–อาหาร–เดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คนละครึ่ง พลัส = คูณแรงในเมืองท่องเที่ยว: มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในไตรมาส 4 ช่วย “ปิดช่องว่างกำลังซื้อ” ของครัวเรือนท้องถิ่นและนักเดินทาง—ร้านอาหารรายย่อยและผู้ค้าชุมชนมีโอกาสจับจ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จสูงขึ้น
  • SMEs–OTOP–หัตถกรรมท้องถิ่น มีแนวโน้มได้ประโยชน์ทันที เมื่อดีมานด์ของที่ระลึก–ของฝากขยับตามจำนวนนักท่องเที่ยว การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลชำระเงินและการตลาดออนไลน์ช่วงแคมเปญ จะช่วยขยายวงเงินสะพัดได้ดีกว่าช่วงปกติ

ผลลัพธ์คาดหวัง รายได้ท่องเที่ยว “ไหลลึก” ลงสู่ชุมชน—ตั้งแต่ผู้ให้บริการที่พักระดับครอบครัว ร้านอาหารท้องถิ่น คนขับรถรับจ้าง ไปจนถึงเกษตรแปลงเล็กที่ขายผลผลิตเข้าสายโภชนาการ–คาเฟ่

2) เศรษฐกิจชายแดน แรงเสริมเมื่อค้าชายแดนฟื้นตัว

แม้ข้อมูลปริมาณการค้ารายด่านล่าสุดไม่ได้ระบุในชุดข้อมูลนี้ แต่แรงส่งทั่วประเทศจากการส่งออกปี 2568 ที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัวสูง 10.0% ย่อมเอื้อให้ โซ่โลจิสติกส์เชียงราย—ทั้งด่านแม่สาย ด่านเชียงของ และท่าเรือเชียงแสน—รับโอกาสต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบด้านเกษตรแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าสู่ตลาดเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้

ประเด็นต้องกางแผน ความผันผวนกฎระเบียบข้ามแดนและต้นทุนขนส่งที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง “ล็อกต้นทุน” ผ่านสัญญาระยะกลาง–ยาว และประสานเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ยืดหยุ่นต่อข้อจำกัดหน้าด่าน

3) ตลาดก่อสร้าง–อสังหาริมทรัพย์เชียงราย อ่านสัญญาณ “ทรงตัว” ก่อนวางเงินลงทุน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC ที่ประเมินว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 “ทรงตัว” ราว 1.41 ล้านล้านบาท และการลงทุนภาครัฐลดแรงจากงบปี 2569 ส่งสารสำคัญถึงผู้พัฒนาโครงการในเชียงราย

  • ภาครัฐยังเดินหน้ามหาโปรเจกต์ แต่ความเร็วการเบิกจ่าย–เปิดประมูลอาจไม่เร่งเท่าที่หวัง
  • เอกชนที่อยู่อาศัยชะลอ ตามภาพอสังหาฯ ประเทศและค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแรงงานข้ามชาติหดตัว
  • มาตรฐานวัสดุ–งานโครงสร้างถูกยกระดับ หลังเหตุแผ่นดินไหวในหลายพื้นที่—เพิ่มต้นทุนและเวลาควบคุมคุณภาพ

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับท้องถิ่น

  1. บริหาร Backlog ให้ยืดหยุ่น ปรับสัดส่วนงานรัฐ–เอกชน ลดความเสี่ยงจาก “ลูกค้าก้อนเดียว”
  2. ทำสัญญาซื้อวัสดุล่วงหน้า กับคู่ค้าคุณภาพ เพื่อคุมต้นทุนและลดความผันผวนราคา
  3. จับมือพันธมิตรต่างชาติ/เทคโนโลยี ยกมาตรฐานความปลอดภัย–ผลิตภาพ และใช้เป็น “แต้มความเชื่อมั่น” ในตลาด
  4. ตั้งเป้าการลด Emission และใช้วัสดุเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม—สอดรับทั้งข้อกำหนดใหม่และความต้องการลูกค้ารุ่นใหม่

4) โอกาส–ความเสี่ยงเฉพาะจังหวัด ทำการบ้านเชิงรุก

  • โอกาสฝั่งท่องเที่ยว: เชื่อม “สุขภาพ–นิเวศ–วัฒนธรรม” ให้เป็นแพ็กเกจเดียว เช่น เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดินป่า ตลาดชุมชน–คาเฟ่กาแฟ–ชา พร้อมพื้นที่กิจกรรมครอบครัว ช่วยยืดเวลาพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป
  • โอกาสฝั่งชายแดน: ต่อยอดคลังสินค้าเย็น–เกษตรแปรรูปคุณภาพสูง รองรับคำสั่งซื้อปลายปี–ตรุษจีน พร้อมมาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับ
  • ความเสี่ยงสำคัญ: สภาพอากาศสุดขั้วกระทบเกษตร, ราคาพลังงานและค่าขนส่ง, และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ–การค้าโลก
  • มาตรการกันชนที่ใช้ได้ทันที: ผู้ประกอบการรายย่อยใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” และโปรโมชันร่วมเอกชนเพื่อดึงทราฟฟิกหน้าร้าน, เชื่อมดีลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล–อีเพย์เมนต์, ทำประกันภัยธุรกิจ–ทรัพย์สินที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ และจับสัญญาณเตือนจากระบบต้นแบบ “ดัชนีหมอกควัน–PM2.5” เพื่อออกแบบกิจกรรมกลางแจ้งอย่างยืดหยุ่น

สะพานเชื่อม “นโยบาย–พื้นที่” ทำอย่างไรให้เม็ดเงินเข้าถึงชุมชนเชียงรายเร็วที่สุด

  • เร่ง “แปลงนโยบายเป็นแคมเปญพื้นที่”
    ภาคเอกชน–ชุมชน ควรจับมือกับหน่วยงานท้องถิ่น ออกแบบกิจกรรมใช้สิทธิคนละครึ่ง พลัสที่
  • ชัดเวลา–ชัดสถานที่–ชัดของดี เช่น ถนนคนเดินมิติใหม่ เมนูวัตถุดิบท้องถิ่น ซุ้มชิม–ช็อป–แชร์ ให้สิทธิประโยชน์ชัดเจนและตรวจง่าย
  • เชื่อม “โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว”
    พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ผูกกับจุดขนส่งชายแดน: นักเดินทางที่เข้า–ออกด่าน สามารถถูกดึงเข้ามาใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มในเมือง ผ่านแพ็กเกจคาเฟ่–มิวเซียม–ของฝาก และบริการสปา–สุขภาพ–แอดเวนเจอร์ระยะสั้น
  • ยกระดับอีโคซิสเต็มดิจิทัล
    สนับสนุนผู้ค้าใช้ QR พร้อมเพย์–บัญชีรับเงินธุรกิจ–เครื่องออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้ข้อมูลยอดขาย “สะท้อนจริง” ต่อการวางแผนสต็อกและขอสินเชื่อ

ตัวเลขชวนคิด” เพื่อการตัดสินใจของเชียงราย

  • 73.5 = RSI ภาคเหนือเดือนตุลาคม 2568 — โซนบวกชัดใน 6 เดือนข้างหน้า
  • 2.4% = จีดีพีไทยปี 2568 (คาดการณ์) — เปิดช่องทำรายได้ปลายปี-ต้นปี
  • 10.0% = การส่งออกทั้งปีกลับมาโตแรง — โอกาสต่อซัพพลายเชนชายแดน
  • -0.2% → 0.5% = เงินเฟ้อ 2568→2569 — ปีหน้าแรงกดดันค่าใช้จ่ายอาจยกหัว
  • 1.41 ล้านล้านบาท = มูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง 2569 (คาด “ทรงตัว”) — บอกให้วางแผนลงทุนแบบคุมความเสี่ยง

ภาคบริการ–ผู้ประกอบการรายย่อยจะ “เกียร์ออโต้” ได้อย่างไร

  1. ดีลราคาล่วงหน้า กับซัพพลายเออร์ (เนื้อ–ผัก–กาแฟ–เบเกอรี่–น้ำมันปรุงอาหาร) ในกรอบ 3–4 เดือน เพื่อคุมมาร์จินช่วงพีก
  2. แพ็กเกจประสบการณ์ มากกว่า “ลดราคา” เช่น เซ็ตอาหารท้องถิ่น + เวิร์กช็อป + มุมถ่ายรูป + ส่วนลดร้านคู่ค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าต่อบิล
  3. เวลาทำการยืดหยุ่น สอดรับเที่ยวบิน–รถทัวร์–ด่านชายแดน เปิดเช้าขึ้น/ปิดดึกขึ้นในช่วงสัปดาห์พีก
  4. ข้อมูลลูกค้า = ทองคำ: เก็บอีเมล/ไลน์ OA จากลูกค้าหน้าร้าน พร้อมคูปองคัมแบ็กไตรมาส 1/2569 เพื่อลดหลุมยอดขายหลังเทศกาล
  5. มาตรฐานสะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน สื่อสารชัด (ขยะเปียกลดเหลือศูนย์/ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น/ลดพลาสติกใช้ครั้งเดียว) ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพ

หน้าต่างแห่งโอกาส” ของเชียงรายในอีก 6 เดือน

ดัชนี RSI ที่ 73.5 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจจะพุ่งแรงในชั่วข้ามคืน แต่มันบอกเราว่า โอกาสมีมากกว่าความเสี่ยง ในช่วงครึ่งปีข้างหน้า หากเชียงราย แปลงมาตรการกระตุ้น ให้เป็นกิจกรรมพื้นที่ที่เข้าถึงผู้ค้า–ชุมชนจริง ใช้ฤดูท่องเที่ยวเป็น “เครื่องเร่งการไหลเวียน” ของเงิน และยกระดับมาตรฐานบริการให้สอดรับผู้บริโภคยุคใหม่ เม็ดเงินจะไหลลึกและยั่งยืนกว่าแค่ “ภาพคนแน่นงาน”

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้อง ไม่หลงลืมภาพปี 2569 ที่ท้าทายกว่า—จากการชะลอของจีดีพีและการหดตัวของส่งออกตามวัฏจักร—จึงควรเตรียมกันชนด้านเงินสด สัญญาวัสดุ–แรงงาน และผลิตภัณฑ์–ตลาดที่ยืดหยุ่นไว้แต่เนิ่น ๆ

สารที่ควรถูกตอกย้ำ ถ้าภาคเอกชน–ชุมชน–ท้องถิ่นจับมือกัน “ออกแบบเศรษฐกิจหน้าร้าน” ให้สอดรับมาตรการใหญ่ของรัฐ เชียงรายจะไม่เพียง “รับลมหนาวเศรษฐกิจ” แต่จะสามารถ ชี้ทางลม ให้ไหลผ่านชุมชนอย่างเป็นธรรม สร้างรายได้ กระจายโอกาส และวางฐานใหม่สำหรับปีหน้าที่ท้าทายกว่า

เค้าโครงข้อมูลสำคัญที่ใช้ประกอบการรายงาน

  • ประมาณการเศรษฐกิจไทย 2568–2569 (ต.ค. 2568/ต.ค. 2569f)
    • จีดีพี 2568 = 2.4%, 2569f = 2.0%
    • บริโภคเอกชน 2568 = 3.0%, 2569f = 2.4%
    • เงินเฟ้อทั่วไป 2568 = -0.2%, 2569f = 0.5%
    • ส่งออกสินค้าและบริการ (Real term) 2568 = 7.6%, 2569f = -1.7%
    • ดุลบัญชีเดินสะพัด 2568 = 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, 2569f = 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
      (ตัวเลขตามเอกสารอินโฟกราฟิกของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่เผยแพร่ ณ ตุลาคม 2568/2569f)
  • ดัชนี RSI ต.ค. 2568
    • ภาคเหนือ 73.5 | ตะวันออก 75.5 | EEC 78.7 | อีสาน 73.9 | ตะวันตก 72.8 | ใต้ 72.7 | ภาคกลาง 68.5 | กทม.–ปริมณฑล 63.8
    • องค์ประกอบที่หนุนภาคเหนือ บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม บนแรงส่งไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

9 เดือนแรกปี 68 เด็กเกิดใหม่ลด 10% ประชากรไทยเสี่ยงต่ำกว่า 66 ล้านคน

ประเทศไทยกำลังหดเล็กลงจากภายใน “เกิดน้อยลง ตายมากขึ้น” ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ แต่คือแนวโน้มถาวร

เชียงราย / ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนทางโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่อง “คนเกิดน้อยลง” เป็นเพียงประเด็นข่าวเชิงสังคม แต่หากมองลึกลงไปในตัวเลข จะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังขยายตัว และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปี 2568 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ “จำนวนคนเกิดใหม่ของไทยน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต” โดยกระแสนี้เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความหมายของปรากฏการณ์นี้คือ ประชากรไทยโดยกำเนิดกำลังหดตัวลงเรื่อย ๆ ไม่ได้เกิดจากการย้ายถิ่นออกต่างประเทศ หรือการเปลี่ยนแปลงการนับสถิติ แต่เกิดจากธรรมชาติของสังคมไทยเอง นั่นคือ เกิดใหม่น้อยกว่าเสียชีวิต ซ้ำต่อเนื่อง

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวล คือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องจำนวนคน แต่สะท้อนถึงเสถียรภาพของกำลังแรงงานฐานราก ความสามารถในการบริโภคภายในประเทศ ความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐ ตลอดจนภาระด้านสุขภาพและสวัสดิการผู้สูงอายุที่กำลังเร่งตัวขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประชากรไทย

คนไทย “เกิดน้อย ตายมากขึ้น” ตัวเลขที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่ที่ลงทะเบียนจำนวน 309,644 คน โดยลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนเชิงโครงสร้างว่าอัตราการเกิด (fertility) ของไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีตัวชี้วัดว่ากำลังจะฟื้นตัว

ในเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับสูง และในหลายจังหวัดกลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดที่มีช่องว่างสูงสุด ได้แก่

  1. นครราชสีมา
  2. ขอนแก่น
  3. ร้อยเอ็ด

พื้นที่เหล่านี้เคยเป็นฐานประชากรหลักของภูมิภาคอีสานที่สร้างแรงงานให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการของประเทศ แต่วันนี้กำลังส่อสัญญาณการหดตัวทางประชากรในระดับโครงสร้าง นั่นหมายความว่า “คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ไม่ได้มีจำนวนเพียงพอที่จะแทนที่คนรุ่นก่อน”

สัญญาณอีกประการหนึ่งที่ชี้ว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ คือความเสี่ยงที่จำนวนประชากรไทยทั้งประเทศอาจลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนภายในปี 2568 หากแนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ

วิกฤตที่ไม่ใช่แค่ “สังคมสูงวัย” แต่เป็น “ประเทศที่เล็กลงจากภายใน”

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีหลัง คือการเปลี่ยนผ่านจาก “สังคมสูงวัย” ไปสู่ “สังคมที่หดตัวทางประชากร” (Population Shrinkage) นั่นหมายถึงไม่ใช่แค่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประชากรทั้งระบบกำลังหายไปช้า ๆ ทุกปี

ในเชิงโครงสร้าง ประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่

  1. คนวัยทำงานสัดส่วนลดลง
    สัดส่วนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) ค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจแตะระดับกว่าหนึ่งในสามของทั้งประเทศในระยะไม่กี่สิบปีข้างหน้า
    แนวโน้มนี้สอดคล้องกับฉากทัศน์ที่ระบุว่า สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นจนถึงระดับราว 36% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่แรงงานวัยทำงานอาจลดลงเหลือใกล้เคียงครึ่งเดียวของประเทศภายในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหมายถึงฐานผู้เสียภาษีและผู้ผลิตสินค้า-บริการจะเล็กลง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พึ่งพิงระบบสวัสดิการ
  2. จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่อปีลดลงต่อเนื่อง
    คนรุ่นใหม่จำนวนมากแต่งงานช้าลง มีลูกช้าลง หรือเลือกไม่มีบุตรเลย ปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจเหล่านี้มีทั้งด้านเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร) ด้านโอกาสทางอาชีพ (ผู้หญิงอยู่ในตลาดแรงงานยาวนานขึ้น) และด้านความไม่แน่นอนทางสังคม (ภาวะหนี้ครัวเรือน ความไม่มั่นคงทางรายได้)
    ผลลัพธ์คือ อัตราเกิดหยาบ (Crude Birth Rate: CBR) ลดลงแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ลดลงชั่วคราว
  3. จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุ
    จำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากวิกฤตสุขภาพเฉียบพลันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างประชากรของประเทศ “แก่แล้ว” คนจำนวนมากเข้าสู่วัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตตามธรรมชาติในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
    หรือกล่าวอีกแบบได้ว่า ระบบของเรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่คนรุ่นใหญ่ทยอยออกจากระบบเร็วกว่าอัตราที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแทน

ผลของทั้งสามมิติข้างต้นเมื่อรวมกัน นำไปสู่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานและนักประชากรศาสตร์เตือนมานาน ประเทศไทยไม่เพียงแก่ตัวลง แต่กำลัง “บางลง” ทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แรงงานหาย การบริโภคลด ภาระรัฐเพิ่ม

ตัวเลขประชากรไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงสังคม แต่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

จากการวิเคราะห์เชิงนโยบาย สามารถสรุปแรงกดดันหลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

  1. การขาดแคลนแรงงาน
    เมื่อแรงงานวัยทำงาน (15-59 ปี) มีสัดส่วนลดลง และคนรุ่นใหม่เข้าระบบแรงงานน้อยลงเรื่อย ๆ ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการจะต้องแข่งขันกันบนฐานแรงงานที่เล็กลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้จะยิ่งหนักในจังหวัดที่ประชากรวัยทำงานย้ายออกไปทำงานต่างพื้นที่หรือเดินทางไปต่างประเทศ
    ความเสี่ยงที่ตามมาคือธุรกิจภาคการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำอาจเริ่มพบปัญหาแรงงานขาดแคลนเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เป็นช่วงสั้น ๆ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจอีกต่อไป
  2. แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศชะลอลง
    ประชากรสูงอายุมีแนวโน้มใช้จ่ายในรูปแบบที่แตกต่างจากคนวัยทำงาน โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนเพื่ออนาคตของครอบครัว (เช่น ค่าเล่าเรียนลูก ค่าที่อยู่อาศัยใหม่) ซึ่งเป็นหมวดใช้จ่ายที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
    เมื่อสัดส่วนครัวเรือนที่อยู่ในวัยขยายครอบครัวลดลง เศรษฐกิจในประเทศเผชิญแรงเสียดทานต่อการเติบโตในเชิงโครงสร้าง แม้จะไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจฉับพลันก็ตาม
  3. ภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น
    ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัวจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณด้านรายได้พื้นฐานผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพระยะยาว (Long-Term Care) และการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้นทุกปี
    ในบริบทไทย แนวโน้มนี้ปรากฏชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพผู้สูงอายุมีอัตราเร่งตัวสูงกว่าการเติบโตของฐานภาษี ในระยะยาว ภาระนี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 7% ตามประมาณการการขยายตัวของค่าใช้จ่ายในหมวดสวัสดิการและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ (อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี หรือ CAGR ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง)
    กล่าวได้ว่า รัฐต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อดูแลคนที่อยู่ในวัยพึ่งพาระบบ ในขณะที่ฐานผู้จ่ายภาษีมีแนวโน้มเล็กลง

เชียงรายในภาพใหญ่ โครงสร้างประชากรชายแดนกับความจริงที่ซับซ้อนกว่า “จำนวนคนในทะเบียนบ้าน”

หากมองลึกลงไปที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนสำคัญ เราจะเห็นภาพอีกชั้นหนึ่งของวิกฤตโครงสร้างประชากรที่ซับซ้อนกว่าการ “เกิดน้อย ตายมาก” แบบตรงไปตรงมา

การวิเคราะห์ข้อมูลประชากร การเกิด และการตายในจังหวัดเชียงราย ระหว่างปีงบประมาณ 2564–2567 พบว่า จังหวัดกำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดที่ “อัตราเพิ่มตามธรรมชาติ” (Rate of Natural Increase: RNI) ใกล้ศูนย์หรืออาจติดลบในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือ จำนวนการตายเริ่มเข้าใกล้หรือเทียบเท่ากับจำนวนการเกิดแล้ว

แรงผลักดันสำคัญของสถานการณ์นี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    แนวโน้มการเกิดมีชีพในเชียงรายลดลงตามโครงสร้างเดียวกันกับทั้งประเทศ และสอดคล้องกับพฤติกรรมประชากรวัยทำงานที่มีแนวโน้มสร้างครอบครัวช้าลง รวมทั้งต้องเผชิญภาระค่าครองชีพของครัวเรือนที่สูงขึ้น
  2. อัตราการตายเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุที่สูงขึ้น
    จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนการตายที่ลงทะเบียนขยับสูงขึ้นในช่วงปี 2564–2567 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกับหลายจังหวัดในภาคเหนือที่เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้เชียงรายแตกต่างจากหลายจังหวัดอื่น คือ “ประชากรที่อยู่อาศัยจริง” ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ “ประชากรตามทะเบียนบ้าน”

ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย มีประชากรที่พำนักระยะยาวจำนวนมากซึ่งไม่ได้ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรตามระบบของกรมการปกครอง (DOPA) ประชากรกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยเป็นแรงงานข้ามชาติ โดยพบว่ามีรูปแบบการอยู่อาศัยระยะยาวในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บางส่วนอยู่อาศัยในพื้นที่ 2-19 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติ พวกเขาใช้สาธารณูปโภค การบริการสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่นเหมือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด “ความคลาดเคลื่อนเชิงนโยบาย” อย่างน้อย 2 ประการ

  • หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณภาครัฐส่วนใหญ่ โดยเฉพาะงบสาธารณสุขและการศึกษา มักอ้างอิงจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้าน (de jure) ไม่ใช่จำนวนคนที่ใช้บริการจริง (de facto) นั่นหมายความว่า ในพื้นที่อย่างแม่สาย เทศบาลและหน่วยบริการสุขภาพอาจต้องรองรับคนจำนวนมากกว่าที่ได้รับงบประมาณมารองรับจริง
  • สอง การนับสถิติการเกิดและการตายอาจไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่พำนักจริงเหล่านี้ได้ครบถ้วน ส่งผลให้ภาพรวมทางสถิติของจังหวัดดูเหมือนว่ามีเด็กเกิดน้อยมาก แต่ความต้องการด้านสาธารณสุขแม่และเด็กยังคงอยู่ หรือดูเหมือนมีการตายสูง แต่ไม่ได้สะท้อนภาระบริการระยะยาวทั้งหมดต่อหน่วยงานพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญ “โจทย์คู่ขนาน” โจทย์หนึ่งคือการจัดการประชากรตามทะเบียน ซึ่งกำลังสูงวัยอย่างรวดเร็ว และอีกโจทย์หนึ่งคือการรองรับประชากรที่พำนักจริงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมักเป็นแรงงานและครอบครัวแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในวัยทำงานและวัยเด็ก

เชียงราย ความเปราะบางที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย

นอกจากปริมาณประชากรที่ลดลงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังเผชิญโจทย์สำคัญในเชิงคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์รุ่นถัดไป

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงจากระบบติดตามตัวชี้วัดด้านอนามัยแม่และเด็กในปี 2567) ระบุว่า ร้อยละของเด็กอายุ 0–5 ปี ในจังหวัดเชียงรายที่มีพัฒนาการ “สมวัย” อยู่เพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในระดับ ≥87%

ความหมายของตัวเลขนี้รุนแรงกว่าที่เห็นในบรรทัดเดียว เพราะมันสะท้อน “วิกฤตซ้อน” ดังนี้

  • จำนวนเด็กเกิดใหม่ในจังหวัดลดลง
  • แต่ในบรรดาเด็กที่เกิดขึ้นมาจำนวนไม่มากนั้น เกือบครึ่งหนึ่งมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัยในเกณฑ์ที่กระทรวงฯ คาดหวัง

กล่าวอีกแบบคือ ไม่ใช่แค่ “เรามีเด็กน้อยลง” แต่ “เรากำลังเสี่ยงจะมีเด็กที่เริ่มต้นชีวิตด้วยข้อจำกัดมากขึ้น” ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อสมรรถนะการเรียนรู้ ความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางอาชีพ และท้ายที่สุดคือศักยภาพแรงงานของจังหวัดและของประเทศ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแก้ปัญหาเชิงประชากรในวันนี้ ไม่อาจจำกัดความหมายแค่การส่งเสริม “ให้มีลูกมากขึ้น” เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเชิงรุกใน Early Childhood Intervention Programs หรือมาตรการแทรกแซงพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาทิ โภชนาการ การกระตุ้นพัฒนาการ การดูแลด้านสุขภาพแม่และเด็ก รวมถึงการสนับสนุนครอบครัวเปราะบางทางเศรษฐกิจ

เพราะถ้าประเทศไทยกำลังจะมีเด็กน้อยลงจริง เด็กทุกคนจึงยิ่ง “มีความหมายทางเศรษฐกิจและสังคม” มากขึ้นเป็นทวีคูณ

โครงสร้างการตายและภาระสุขภาพระยะยาว สัญญาณเตือนจากผู้สูงอายุ

การที่จำนวนผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงรายและทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงปี 2564–2567 ไม่ได้เป็นหลักฐานของความล้มเหลวทางการแพทย์ แต่เป็นผลตามธรรมชาติของโครงสร้างประชากรสูงวัย สิ่งที่สะท้อนอยู่ใต้ตัวเลขนี้คือ “ภาระด้านระบบสุขภาพ” ที่กำลังเปลี่ยนทิศ

เมื่อคนสูงวัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ความต้องการบริการสุขภาพระยะยาว การดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) และบริการดูแลระยะท้ายชีวิต (palliative care) จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดจำเป็นต้องโยกทรัพยากรจากบริการมารดาและทารก — ที่ความต้องการลดลงตามจำนวนการเกิด — ไปสู่บริการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ

ในระบบประเมินผลของกระทรวงสาธารณสุข ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพของการดูแลชีวิต เช่น อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (Maternal Mortality Ratio: MMR) ยังคงถูกติดตามอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าให้ต่ำกว่า 16 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน การที่หน่วยงานระดับจังหวัดต้องรายงานตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนความเที่ยงตรงของฐานข้อมูลการตายและคุณภาพการดูแลเคสที่เสี่ยงสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของตัวเลขการตายโดยรวม

กล่าวในเชิงนโยบาย นี่คือจุดเปลี่ยนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดอย่างเชียงราย จากระบบที่เคยถูกออกแบบเพื่อ “รองรับการเกิดใหม่จำนวนมาก” ไปสู่ระบบที่ต้อง “ดูแลประชากรสูงอายุจำนวนมาก ที่มีชีวิตยืดยาวขึ้น แต่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อนขึ้น”

ปี 2568 จุดวัดทิศทางอนาคตผ่าน “สำมะโนประชากร”

การคาดการณ์ประชากรเชียงรายและของประเทศสำหรับปี 2568 เป็นการประมาณการเบื้องต้นโดยต่อแนวโน้มจากปี 2564–2567 โดยใช้ข้อมูลการเกิด การตาย และโครงสร้างอายุจากแหล่งข้อมูลหลักของกรมการปกครอง (DOPA) และกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านประชากรย้ำว่าปี 2568 ไม่ใช่ “ปีปกติ” เพราะจะมีหมุดหมายสำคัญด้านข้อมูล นั่นคือ “การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568” ที่มีกำหนดเริ่มเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568

การสำมะโนประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ

  1. เป็นโอกาสในการ “อัปเดตความจริง” เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริง (de facto population) เทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียน (de jure population) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย
  2. เป็นโอกาสในการตรวจสอบโครงสร้างอายุจริงในระดับพื้นที่ เพื่อประเมินแรงกดดันด้านภาระการดูแลผู้สูงอายุและความต้องการบริการสุขภาพ
  3. เป็นจุดตั้งต้นของการคำนวณฐานภาษีและการจัดสรรงบประมาณในระยะถัดไป ซึ่งหมายความว่า “งบประมาณของจังหวัดหลังปี 2568” อาจสะท้อนสภาพจริงของประชากรมากขึ้น หากข้อมูลสำมะโนสะท้อนจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริง ไม่ใช่เพียงจำนวนคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน

กล่าวอีกอย่าง ปี 2568 เป็นปีที่ข้อมูลจริงจะเริ่มไล่ทันความเป็นจริงทางสังคม และข้อมูลดังกล่าวจะกลับมามีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐในระดับจังหวัดและประเทศ

ทางออกเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ชวนมีลูก แต่ต้อง “ลงทุนกับคนทุกวัย”

เมื่อพิจารณาปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัดอย่างเชียงราย ภาพรวมชี้ไปที่ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ 3 มิติต่อไปนี้

  1. ยกระดับศักยภาพแรงงาน (Upskill / Reskill) แทนการหวังเพียงจำนวนแรงงาน
    ในบริบทที่แรงงานวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (productivity) ของคนที่ยังอยู่ในระบบ มากกว่าหวังเพียงว่าจำนวนคนทำงานจะกลับมาเพิ่มขึ้นเอง
    นโยบายการยกระดับทักษะ (upskill) และปรับทักษะใหม่ (reskill) โดยเฉพาะในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นหนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงในระดับนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้แรงงานรวมจะลดลง
  2. พิจารณานโยบายขยายอายุเกษียณอย่างรอบด้าน
    การขยับอายุเกษียณเป็นประเด็นที่เริ่มถูกหยิบขึ้นมาหารือในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยมีโจทย์ที่ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น อายุเกษียณที่เหมาะสมคือเท่าใด? จะทยอยปรับอย่างไร? ภาคธุรกิจพร้อมหรือไม่? และระบบสวัสดิการแรงงานปัจจุบันรองรับแรงงานสูงอายุที่ยังต้องการทำงานได้หรือไม่?
    ประเด็นนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะในจังหวัดที่แรงงานวัยกลางคนยังเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น เชียงราย ซึ่งมีบทบาทเป็นจังหวัดการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-การเกษตร
  3. ลงทุนในช่วงปฐมวัยอย่างเข้มข้นในพื้นที่เสี่ยง
    กรณีเชียงรายเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าประชากรเด็กไม่ได้มีเพียง “น้อยลง” แต่ยังมีสัดส่วนพัฒนาการไม่สมวัยสูง โดยมีเพียงราว 46.35% ของเด็กอายุ 0–5 ปี ที่อยู่ในเกณฑ์พัฒนาการตามวัย เทียบกับเป้าหมายระดับนโยบายที่ตั้งไว้มากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ
    หากไม่เร่งลงทุนในระบบสนับสนุนปฐมวัย วันนี้ เราอาจกำลังปล่อยให้ “คนรุ่นต่อไป” เริ่มต้นชีวิตด้วยเงื่อนไขเชิงพัฒนาการที่ถดถอย ทั้งในเชิงการเรียนรู้ สุขภาพกาย-ใจ และความพร้อมในตลาดแรงงานในอีก 15-20 ปีข้างหน้า

วิกฤตประชากรไม่ใช่วิกฤตของอนาคตอีกต่อไป แต่มาถึงแล้ว

ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีที่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ลดลงอีก 10% จนเหลือ 309,644 คนในช่วง 9 เดือนแรกของปีเท่านั้น ไม่ใช่แค่ปีที่ประเทศไทยอาจมีประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคนเป็นครั้งแรก แต่เป็นปีที่ประเทศไทยต้องยอมรับความจริงว่า “วิกฤตโครงสร้างประชากร” คือประเด็นเศรษฐกิจ การคลัง สาธารณสุข และความมั่นคงทางสังคมในระดับชาติ

จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยิ่งตอกย้ำความซับซ้อนของปัญหา เมื่อจำนวนประชากรตามทะเบียนกำลังแก่ตัวและเติบโตช้า ขณะที่จำนวนผู้อยู่อาศัยจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติและครอบครัว กลับสร้างภาระเชิงบริการสาธารณะจริง แต่ไม่ได้สะท้อนในฐานงบประมาณอย่างเต็มที่

ในอีกด้าน เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ คุณภาพของประชากรรุ่นต่อไป ซึ่งในบางพื้นที่ ตัวเลขเด็กเล็กที่มีพัฒนาการสมวัยอยู่เพียงราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่กำหนด นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขด้านสาธารณสุข แต่คือสัญญาณล่วงหน้าของความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด ของภูมิภาค และของประเทศทั้งระบบ

กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์ประชากรสองชุดในเวลาเดียวกัน คนเกิดใหม่น้อยลง คนสูงวัยมากขึ้น และความต้องการบริการสาธารณะในพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อนขึ้น ในเงื่อนไขเช่นนี้ การแก้ไขปัญหาไม่อาจเป็นเพียงการรณรงค์ “ให้มีลูกเยอะขึ้น” อย่างในอดีต แต่ต้องเป็นการปรับโครงสร้างนโยบายทั้งระบบ ตั้งแต่การยกระดับแรงงานไปจนถึงการดูแลเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด และการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริงในพื้นที่

และในที่สุด คำถามสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ “เรามีคนเหลืออยู่กี่ล้านคน” แต่อาจเป็น “เราพร้อมหรือยังกับการอยู่ในประเทศที่เล็กลง สูงวัยขึ้น และแข่งขันได้ยากขึ้น — หากไม่เร่งปรับวันนี้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลประชากรกลางปีและทะเบียนราษฎร จากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง (DOPA)
  • กำหนดการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุการเริ่มต้นเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อปรับฐานข้อมูลประชากรที่แท้จริงสำหรับการวางแผนนโยบายหลังปี 2568
  • ระบบตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) ในปีงบประมาณ 2567–2568 ซึ่งติดตามตัวชี้วัดสำคัญ อาทิ อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (ตั้งเป้าน้อยกว่า 16), อัตราการดูแลแม่และเด็ก รวมถึงตัวชี้วัดพัฒนาการเด็กเล็กอายุ 0–5 ปี ที่บรรลุผลจริงเพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายระดับ ≥87%
  • KResearch
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY NEWS UPDATE

จากโลกออนไลน์สู่ยอดจอง! เปิดยุทธศาสตร์คว้าโอกาส เมื่อเชียงรายถูกค้นหามากที่สุด

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจาก Google Trends—แรงดันดีมานด์ปลายปีหนุนเมืองรองโดดเด่น รับสัญญาณไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เสียงลมหนาวเริ่มแตะยอดดอยพอดี ขณะที่ “เชียงราย” ผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจากการค้นหาใน Google Trends (ข้อมูล ณ 24 กันยายน 2568) พร้อมแรงเสริมจากบทวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ชี้ว่าดีมานด์เดินทางช่วงไฮซีซันยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเมืองรองในภาคเหนือ สัญญาณทั้งหมดกำลังสอดรับกันอย่างลงตัว ทั้งสภาพอากาศเย็นสบาย เทศกาลปลายปี กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และแพ็กเกจการตลาดที่ถูกจังหวะ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “กระแสออนไลน์” หากสะท้อนการตัดสินใจจริงของผู้เดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่กำลังล็อกเส้นทางปลายปี ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนเจ้าบ้านเริ่มเร่งเครื่องรับลูก เพื่อเปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็น “ยอดจอง–ยอดใช้จ่าย” ที่วัดได้ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

เศรษฐกิจดีมานด์ปลายปีมาแรง เมืองรองได้อานิสงส์ชัด

การติดอันดับ 1 ใน Google Trends ชี้ให้เห็น “อุปสงค์แฝง” ที่กำลังจะปลดล็อกสู่การเดินทางจริง โดยบทวิเคราะห์ แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ เดือนตุลาคม 2568 ของ ททท. ประเมินว่า เดือนนี้จะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 16.28 ล้านคน–ครั้ง และสร้างรายได้ท่องเที่ยวราว 93,857 ล้านบาท แม้ภาพรวมจะชะลอเล็กน้อยเมื่อเทียบปีก่อน แต่สัดส่วนการเดินทางสู่ “เมืองท่องเที่ยว” นอกเมืองหลักขยับขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับโมเมนตัมของเชียงรายที่ขึ้นแท่นเมืองน่าเที่ยวอันดับต้นในโลกออนไลน์

ฝั่ง “ปัจจัยสนับสนุน” ททท.ระบุข้อได้เปรียบสำคัญไว้ 3 มิติ

  1. มาตรการกระตุ้นช่วง Green Season และเทศกาลต่อเนื่องปลายปี
    งานวัฒนธรรมและกิจกรรมดนตรีช่วยกระจายผู้คนสู่เมืองรอง ขณะที่คอนเทนต์เชิงท้องถิ่นดึงดูดเจเนอเรชันใหม่ได้ดี
  2. ฤดูกาลท่องเที่ยวเริ่มหนาวเย็น
    อุณหภูมิที่ลดลงทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่นิยม การเดินป่า กางเต็นท์ และล่าสายหมอกช่วยต่อยอดที่พักและบริการชุมชน
  3. อีเวนต์ดนตรีและกิจกรรมเอาต์ดอร์
    เทศกาลดนตรีและงานวิ่งปลายปีดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y–Z ที่เน้นประสบการณ์และพร้อมจ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยอุปสรรค ยังมีให้จับตา ทั้งค่าครองชีพที่ยังสูง ภาระครัวเรือน และการท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมาคึกคักในบางตลาด ทว่าเมื่อซ้อนทับกับจุดแข็งเชิงภูมิอากาศและคอนเทนต์เฉพาะถิ่น เมืองรองที่เตรียมตัวดีจะ “รับแรงส่ง” ได้มากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเชียงรายอยู่ในจังหวะนั้นพอดี

เชียงรายในเลนส์ข้อมูล ความสนใจพุ่ง–จุดขายชัด–แบรนด์ชุมชนแข็ง

1) สัญญาณความสนใจชัดเจน
การขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends สะท้อนการค้นหาที่เข้มข้น ทั้งคำหลักเกี่ยวกับ วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ไร่ชาฉุยฟง–ขุนน้ำนางนอน–ถนนคนเดิน รวมถึงกิจกรรมฤดูหนาว เช่น ลานดอกไม้–งานแสงสี–วิ่งเทรล ข้อมูลระดับพื้นที่ยังชี้ว่าการค้นหา “ที่พักเชียงราย” และ “คาเฟ่วิวภูเขา” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วงปลายกันยายน–ตุลาคม

2) จุดแข็งด้านความปลอดภัยและไลฟ์สไตล์
เชียงรายถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยวและกลุ่มผู้หญิง/ดิจิทัลโนแมดในเอเชีย จุดเด่นนี้เสริมความเชื่อมั่นด้านการเดินทางคนเดียวและการทำงานระยะไกล (Work from Anywhere) ที่กำลังเป็นกระแส

3) Soft Power เชิงพื้นที่
เมืองศิลปะและกาแฟคือภาพจำที่ชัด วัดร่องขุ่นของเฉลิมชัย–พิพิธภัณฑ์บ้านดำของถวัลย์–ย่านคาเฟ่กาแฟพิเศษจากดอยแม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีหมอกหนาวได้ลื่นไหล เหมาะกับการออกแบบเส้นทาง 2–3 คืน ที่จับคู่ได้ทั้งเมือง–ชานเมือง–ชายแดน

4) ความพร้อมรองรับดีมานด์จริง
สนามบิน การคมนาคมข้ามจังหวัด และคลัสเตอร์ที่พักระดับกลาง–เล็กของชุมชน เติบโตควบคู่กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์และมาตรฐานสะอาดปลอดภัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดให้ความสำคัญ

ภาพใหญ่ในประเทศ โครงสร้างการเดินทางเดือนตุลาคม 2568

รายงานทิศทางตลาดในประเทศของ ททท. ชี้ว่า เมืองท่องเที่ยว นอกกลุ่ม “เมืองหลัก” กำลังแย่งส่วนแบ่งผู้เยี่ยมเยือนได้ดีขึ้น โดยแรงขับมาจาก 4 ตัวแปร

  • งานเทศกาล–วัฒนธรรม–ดนตรี ที่เกิดถี่ขึ้น
  • แพ็กเกจโปรโมชันร่วมเอกชน ที่ลด Pain Point ค่าเดินทางและที่พัก
  • คอนเทนต์สื่อออนไลน์ ที่ลงพื้นที่จริง ทำให้ “หมุดหมายรอง” โดดเด่น
  • สภาพอากาศเย็นลง ที่เร่งให้คนอยากออกนอกเมืองใหญ่

ในเชิงอุปทานฝั่งที่พักและเที่ยวบิน เดือนตุลาคมยังมีที่นั่งรวมราว 4 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนเส้นทางบินสู่ภาคเหนือยังแข็งแรง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเชียงราย–เชียงใหม่–แพร่–น่าน สามารถออกแบบทริปเชื่อมโยงแบบ “Multi-City” ได้คล่องตัว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ โกลเดนวีกหนุนหน้าเอเชีย–ไฟลต์ใหม่ช่วยกระจายตัว

ด้านตลาดต่างชาติ รายงาน แนวโน้มเดือนตุลาคม 2568 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.62 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่มี “แรงหนุนเฉพาะจังหวะ” ที่สำคัญ ได้แก่

  • เทศกาล China Golden Week ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ที่ดันการจองล่วงหน้าขึ้น
  • Forward Booking รวม เติบโต +1.8% โดยตลาดที่โตเด่น คือ อิสราเอล–สหราชอาณาจักร–จีน
  • เส้นทางบินใหม่ 50 เส้นทาง ในหลายภูมิภาค ที่ช่วยเพิ่มความถี่และกระจายผู้โดยสาร

กลุ่ม Short-haul Top 5 ยังนำโดย มาเลเซีย–จีน–อินเดีย–เกาหลีใต้–อินโดนีเซีย ส่วน Long-haul Top 5 ได้แก่ รัสเซีย–สหราชอาณาจักร–สหรัฐฯ–เยอรมนี–ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขึ้นเหนือมักจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” ในทริปเดียว เน้นธรรมชาติ ศิลปะ วัดดัง และคาเฟ่วิวขุนเขา ทำให้เชียงรายได้ส่วนแบ่ง “คืนพัก” เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงโลว์ซีซัน

เชียงรายต้องรับมืออะไร ค่าครองชีพ–โลจิสติกส์–คุณภาพบริการ

แม้สัญญาณเชิงบวกมีมาก แต่ ปัจจัยอุปสรรค ยังเป็นโจทย์ต้องติดตาม

  • ค่าครองชีพและค่าเดินทาง ที่กดดันการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย
  • การดึงคนออกนอกเมืองใหญ่ ที่ยังต้องพึ่งอีเวนต์คุณภาพสูงและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
  • การแข่งขันจากต่างประเทศ เมื่อหลายประเทศอาเซียนเร่งแคมเปญราคาช่วงปลายปี
  • บริหารความหนาแน่น ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ช่วงไพรม์ไทม์เช้า–เย็น เพื่อรักษาประสบการณ์

เชียงรายจึงต้อง “เก็บดีเทล” ให้ครบ โดยเฉพาะการจัดการคิวจุดชมวิว การจราจรในวันพีก สัญญาณอินเทอร์เน็ตในแหล่งท่องเที่ยว และการสื่อสารหลายภาษาในย่านท่องเที่ยวหลัก เพื่อคงมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงที่ดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างพร้อมกัน

การบ้านเชิงนโยบาย–เอกชน–ชุมชน เปลี่ยนการค้นหาเป็นการจอง

1) นโยบาย–หน่วยงานท้องถิ่น
ควรวาง แผนปฏิบัติการ 60 วัน รับไฮซีซันครอบคลุม ความปลอดภัย–จราจร–สิ่งแวดล้อม–สื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมตั้งจุดข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษในย่านหลัก และเตรียมจุดปฐมพยาบาลในงานเทศกาล

2) เอกชน–ผู้ประกอบการ
ปรับแพ็กเกจ เที่ยวยาว–ใช้จ่ายยาว” ผ่านดีลที่พัก + ร้านอาหาร + คาเฟ่ + กิจกรรมท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าต่อบิล แนะนำสินค้าชุมชนและทัวร์ครึ่งวัน เพื่อลด “เวลาว่าง” ในทริป และขยายการใช้จ่ายสู่ชุมชนรอบนอก

3) ชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย
ยกระดับ Content–Commerce ให้เดินคู่กัน เน้นเรื่องเล่าท้องถิ่น บริการที่เป็นมิตร และมาตรฐานความสะอาด–ปลอดภัย พร้อมระบบจองง่ายบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เพื่อลดขั้นตอนตัดสินใจ

ปลายฝนต้นหนาว หนึ่งวันในเชียงรายที่พูดด้วยตัวเอง

เริ่มเช้าด้วยหมอกบางๆ เหนือทุ่งชา นักท่องเที่ยวแวะจิบกาแฟดริปจากเมล็ดดอยแม่สลอง ก่อนมุ่งหน้าไป วัดร่องขุ่น แสงเช้าสะท้อนผิววิจิตรสีขาวโพลน จบช่วงสายที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ซึ่งเล่าเรื่องลึกของล้านนาในภาษาศิลป์ พอเที่ยงก็สลับไปร้านอาหารท้องถิ่นริมกก บ่ายแก่ๆ แวะ คาเฟ่วิวภูเขา ที่ชุมชนเจ้าบ้านลงมือชงด้วยใจ

ยามเย็นเดินควงแขนกันที่ ถนนคนเดินเชียงราย ดนตรีเปิดหมวกดังคลอ ผู้คนเลือกผ้าทอไทลื้อ ข้าวจี่ร้อนๆ ควันกรุ่น ช่วงเวลานี้อาจเป็น “จุดตัดสินใจ” ที่สำคัญที่สุด เพราะประสบการณ์จริงจะทำให้ทุกไลก์–ทุกการค้นหา กลายเป็น “รีวิวปากต่อปาก” ที่พาเพื่อนอีกหลายคนกลับมาในฤดูกาลหน้า

โอกาสของเมืองรองในหน้าหนาว ต้องคว้าด้วยคุณภาพ

การคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “จุดเริ่ม” เชียงรายมีทรัพยากรพร้อมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กาแฟ และความปลอดภัย แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจับต้องได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการอย่างมีวินัย ตั้งแต่คิวจุดชมวิวจนถึงห้องน้ำสาธารณะ ตั้งแต่มาตรฐานที่พักจนถึงถังขยะรีไซเคิล ตั้งแต่ข้อมูลเรียลไทม์จนถึงเจ้าบ้านที่ยิ้มต้อนรับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ปลายปีนี้ “เมืองรองดาวรุ่ง” จึงไม่ได้ชนะกันที่แสงสีที่ดังที่สุด แต่ชนะกันที่รายละเอียดและความสม่ำเสมอที่สุด หากเชียงรายรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลายและต่อยอด Soft Power ให้คมชัด เชียงรายจะไม่ใช่เพียง “คำค้นหายอดนิยม” แต่จะเป็น “คำตอบ” ของนักเดินทางคุณภาพในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Google Trends
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ททท. แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนตุลาคม 2568
  • OAG / ระบบ ForwardKeys
  • ข้อมูลสาธารณะด้านความปลอดภัยนักเดินทาง/ผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด
  • TAT Intelligence Center
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” 82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงานไร้ภูมิคุ้มกัน

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” วิกฤตการเงินลึกทุกระดับรายได้—82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงาน–ไร้ภูมิคุ้มกันทางการเงิน

ประเทศไทย, 23 ตุลาคม 2568 — สัญญาณเตือนจากเงินเดือนรอบล่าสุด ข่าวสารทางเศรษฐกิจช่วงปลายปีอาจดูไกลตัวสำหรับหลายคน แต่รายงานเชิงลึก “เปิด Insight มนุษย์เงินเดือน เดอะแบกตัวจริง การเงินยุคนี้” ของทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) กลับสะท้อนภาพอีกมุมที่กระทบชีวิตประจำวันอย่างจัง นั่นคือ “ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือน” ที่เปราะบางกว่าที่คิด และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้มีรายได้น้อย เมื่อข้อมูลชี้ชัดว่าแม้มีรายได้เกินหนึ่งแสนบาทต่อเดือน หลายคนก็ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุจำนวนมากยังจำเป็นต้องทำงานต่อ ทั้งที่ก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว

รายงานดังกล่าวอาศัยฐานข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงิน ttb financial health check ซึ่งเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของมนุษย์เงินเดือนกว่า 96,000 คน ระหว่างสิงหาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2568 เสริมด้วยฐานข้อมูลเครดิตและการวิเคราะห์เชิงระบบของหน่วยงานรัฐและเอกชน ภาพรวมทั้งหมดนำไปสู่คำถามใหญ่ที่สังคมไทยต้องตอบร่วมกันว่า “เราจะสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้แรงงานกินเงินเดือน ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจ ได้อย่างไร”

ภาพรวมเชิงตัวเลข รายได้สูงไม่เท่ากับมั่นคง

สาระสำคัญของรายงานชี้ว่า “รายได้สูงไม่ได้แปลว่าปลอดภัยทางการเงิน” อีกต่อไป

  • 32% ของผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน”
  • 16% ของกลุ่มรายได้สูงดังกล่าว มี “รายจ่ายมากกว่ารายได้” อย่างต่อเนื่อง
  • โดยรวมแล้ว 8 ใน 10 คน (82%) ของมนุษย์เงินเดือนมีหนี้สินในระบบ
  • โครงสร้างหนี้เอนเอียงไปทางหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 53% รองลงมาคือหนี้รถยนต์ 17% และหนี้บ้าน 15%
  • เกือบ “ครึ่งหนึ่ง” หรือ 49% มีพฤติกรรมชำระขั้นต่ำหรือเคยผิดนัด ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมสูงขึ้นและเสี่ยงติดอยู่ใน “วงจรหนี้ไม่สิ้นสุด”

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าโครงสร้างรายได้–รายจ่ายของคนทำงานไทยกำลังเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งค่าครองชีพที่เร่งขึ้นเร็วกว่าค่าแรงจริง หนี้บริโภคที่สะสมยาวนาน และการขาด “ระบบกันสะเทือน” อย่างเงินออมฉุกเฉินและความคุ้มครองความเสี่ยงด้านสุขภาพ

คำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญฟันเฟืองเศรษฐกิจที่กำลัง “แบกหนัก”

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต อธิบายว่า ประเทศไทยมีมนุษย์เงินเดือนราว 12.5 ล้านคน เป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของแรงงานทั้งหมด แต่สร้างรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากถึง 90% หรือกว่า 270,000 ล้านบาท/ปี ฟันเฟืองกลุ่มนี้จึงเป็น “เดอะแบกตัวจริง” ของระบบเศรษฐกิจ ทว่าในความเป็นจริง พวกเขาต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งหนี้สิน การขาดเงินออม และความคุ้มครองไม่เพียงพอ หากไม่เร่งสร้างภูมิคุ้มกัน ระยะกลางถึงยาวอาจกระทบการบริโภคครัวเรือนและความเชื่อมั่นโดยรวม

โจทย์หนี้ “จ่ายขั้นต่ำ” คือทางลัดสู่ต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง

หนึ่งในสัญญาณอันตรายที่รายงานเน้นย้ำคือพฤติกรรมชำระหนี้ “ขั้นต่ำ” จนเป็นกิจวัตร เฉพาะกลุ่มหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งคิดเป็น มากกว่าครึ่ง ของโครงสร้างหนี้มนุษย์เงินเดือน หากชำระขั้นต่ำเพียงระยะสั้น ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมอาจพุ่งชัน ทับซ้อนกับรายจ่ายประจำ และหากมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพหรือการตกงานแบบไม่คาดคิด ย่อมเสี่ยงทำให้ “เครดิตเสีย” ได้ง่าย

ข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และการวิเคราะห์ของ ttb analytics ณ มิถุนายน 2567 ยังสะท้อนภาพใหญ่ของประเทศว่า คนไทย “เกือบ 40%” มีหนี้ในระบบ และ “หนี้เฉลี่ยต่อหัว” สูงกว่า 500,000 บาท เมื่อพิจารณาร่วมกับตัวเลข 49% ที่ชำระขั้นต่ำ/ผิดนัดของกลุ่มมนุษย์เงินเดือน สัญญาณนี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะราย แต่เป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่ควรเร่งจัดการ

เงินออม–ภูมิคุ้มกันช่องโหว่ที่เติมเต็มไม่ทัน

แม้คำว่า “วินัยการเงิน” จะถูกพูดถึงตลอด แต่ข้อมูลสะท้อนว่า “ช่องโหว่ภาคครัวเรือน” ยังมีอยู่มาก

  • 77% ของมนุษย์เงินเดือนมีเงินออม ต่ำกว่า 10% ของรายได้ต่อเดือน
  • 70% ไม่ได้กันเงินฉุกเฉินถึง 6 เดือน ตามเกณฑ์มาตรฐาน
  • 80% ไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ หากเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเกิดอุบัติเหตุใหญ่

ความเสี่ยงสามชั้นนี้ทำให้หลายครัวเรือน “ล้มทั้งยืน” เมื่อเจอเหตุไม่คาดฝัน ขณะเดียวกันยังลดทอนความสามารถในการวางแผนระยะยาวทั้งด้านการศึกษา–ที่อยู่อาศัย–และการเกษียณ

มุมผู้สูงอายุเมื่อ “วัยเกษียณ” ไม่ใช่บทสรุปการทำงาน

สังคมไทยกำลังก้าวสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” อย่างเต็มรูปแบบ แต่ภูมิคุ้มกันทางการเงินของผู้สูงอายุจำนวนมากกลับไม่พร้อม ข้อมูลอ้างอิงที่ถูกหยิบยกในงานบรรยายระบุว่า

  • เกือบ 4 ใน 10 ของผู้สูงอายุยังต้อง “ทำงานต่อ” เพื่อมีรายได้
  • 42.7% ของผู้สูงอายุในกลุ่มตัวอย่าง ยังมีหนี้ เฉลี่ยกว่า 130,000 บาท/คน
  • เกือบ ครึ่งหนึ่ง (44%) “ไม่มีเงินออมเลย”
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ สูงกว่าครัวเรือนทั่วไป 48% ซึ่งเป็น “ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่” ในช่วงที่รายได้ประจำลดลง

ปัญหานี้เชื่อมโยงกับโครงสร้างแรงงานและคุณภาพการจ้างงานในอดีต รวมถึงระบบสวัสดิการเกษียณที่ยังพึ่งพาตนเองสูง หากไม่เร่งปิดช่องว่างตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน ภาพ “ทำงานจนแก่–ใช้หนี้จนเกษียณ–ไร้เงินออม” จะยังวนซ้ำ

เสียงจากธุรกิจธนาคารโซลูชันต้อง “ครบวงจรและใช้งานจริง”

นางณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่มกลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีทีบี ระบุว่า สถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วย “ผ่อนแรง” ให้คนทำงานผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่แก้โจทย์จริง เช่น

  • ทางเลือก รีไฟแนนซ์/รวมหนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยลดภาระจ่ายขั้นต่ำ
  • โซลูชัน ออมอัตโนมัติ ที่ผูกกับวันเงินเดือนออก เพื่อสร้างวินัยโดยไม่เพิ่มภาระความคิด
  • ความคุ้มครอง สุขภาพ–อุบัติเหตุ–โรคร้ายแรง ในระดับเบี้ยที่เอื้อมถึง
  • วางแผนภาษี ปลายปีควบคู่การออมระยะยาว เพื่อให้ “เงินทำงาน” อย่างคุ้มค่า

เป้าหมายไม่ใช่เพียงขายผลิตภัณฑ์ แต่คือ “สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งธนาคาร นายจ้าง ภาครัฐ และตัวบุคคล

หนึ่งวันของคนเงินเดือนที่ “ทำทุกอย่างถูกต้อง” แล้วทำไมยังไม่พอ

หลายคนตั้งคำถามว่า “เราวางแผนแล้ว ทำไมยังตึงมือ” คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่ “แรงเสียดทาน” เล็กๆ ที่สะสมในระบบการใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทางที่ปรับขึ้นตามพลังงาน ค่าอาหารกลางวันที่เพิ่มทีละน้อย ค่าเช่าบ้านที่ขยับทุกปี รวมถึงค่าเลี้ยงดูผู้สูงอายุในครัวเรือนที่สูงขึ้นตามวัย เมื่อรายได้โตช้ากว่าค่าครองชีพเพียงเล็กน้อยทุกเดือน ผลรวมปลายปีจึง “ติดลบเล็กๆ” ต่อเนื่อง และนั่นคือเชื้อเพลิงให้หนี้บริโภคพอกตัว

สิ่งที่รายงานของทีทีบีสะท้อนจึงไม่ใช่เพียง “จิตวิทยาการเงินส่วนบุคคล” แต่เป็นปัญหาโครงสร้างที่ต้องแก้ร่วมกัน ตั้งแต่การเข้าถึงความรู้ทางการเงินที่ใช้งานได้จริง ไปจนถึงสวัสดิการนายจ้างที่ควบคู่กับสุขภาพกาย–ใจ และนโยบายรัฐที่เอื้อต่อค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล

ประเด็นรองที่หลายคนมองข้ามการคุ้มครองก่อน “เรื่องใหญ่” มาเยือน

เมื่อ 80% ของมนุษย์เงินเดือนไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ คำถามคือ “เราจะรับความเสี่ยงใหญ่ด้วยเงินสดได้จริงหรือ” คำตอบแทบทุกครัวเรือนคือ “ไม่” เบี้ยประกันพื้นฐานที่เหมาะสมกับช่วงวัย หรือสวัสดิการกลุ่มผ่านนายจ้าง อาจเป็นคำตอบที่คุ้มกว่าการใช้เงินออมก้อนเล็กไปแลกกับค่ารักษาพยาบาลหลักแสน–หลักล้าน ซึ่งกระทบฐานะทั้งครอบครัวในพริบตา

เชื่อมโยงนโยบายสาธารณะแรงงาน–สวัสดิการ–ผลิตภาพ

ในภาพกว้าง มนุษย์เงินเดือนคือกลุ่มที่เชื่อมภาษี การบริโภค และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน หากฐานะการเงินส่วนบุคคลเปราะบาง ผลสะท้อนจะกระทบ “ผลิตภาพแรงงาน” และความสามารถในการออม–ลงทุนระดับประเทศ นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอให้เร่งพัฒนา 3 มิติร่วมกัน

  1. ความรู้ทางการเงินแบบลงมือทำปลูกฝังตั้งแต่มัธยม–อุดมศึกษา ไปจนถึงหลักสูตรภายในองค์กร
  2. ช่องทางปรับโครงสร้างหนี้ที่เข้าถึงง่ายลดอคติ–ลดต้นทุนธุรกรรม และสร้างแรงจูงใจให้คน “เริ่มต้นใหม่” ก่อนเครดิตพัง
  3. สวัสดิการเสริมจากนายจ้างออมอัตโนมัติ–กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบสมทบ–ความคุ้มครองสุขภาพในระดับเหมาะสม

ทั้งสามมิตินี้จะช่วยให้เงินออมและภูมิคุ้มกันเติบโต “ก่อน” วิกฤตรอบใหม่

เช็กลิสต์ปฏิบัติได้ทันทีสำหรับมนุษย์เงินเดือน

เพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นการกระทำ นี่คือเช็กลิสต์สั้นๆ ที่ยึดตามหลักการที่รายงานแนะนำ

  • ลิสต์หนี้ทั้งหมด พร้อมอัตราดอกเบี้ย และเรียงจาก “แพงสุด–ถูกสุด”
  • หยุดชำระขั้นต่ำ โดยย้ายหนี้ไปสู่สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่าผ่านรีไฟแนนซ์/รวมหนี้
  • ตั้งออมอัตโนมัติ 10–15% ของรายได้ ตั้งแต่วันเงินเดือนออก
  • สะสมเงินฉุกเฉิน ให้ถึง 3–6 เดือน เริ่มจาก 1 เดือนภายใน 60–90 วัน
  • เติมความคุ้มครอง สุขภาพ/อุบัติเหตุ/โรคร้ายแรงในระดับเบี้ยที่เหมาะสมกับวัย
  • วางแผนภาษีปลายปี ให้ “เงินออม = เงินภาษีที่จ่ายน้อยลง” อย่างมีเหตุผล

จาก “ข้อมูล” สู่ “ความหวังที่ลงมือทำได้”

รายงานของทีทีบีไม่ได้ตั้งใจชี้ให้เห็นเพียง “ปัญหา” แต่พยายามวางกรอบคิดใหม่ว่า การมีวินัยการเงินไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล หากเป็น “โครงสร้างสนับสนุน” ที่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่ทำได้จริงด้วยต้นทุนทางเวลาที่ต่ำ ข้อมูลที่ชัดเจน และเครื่องมือที่เข้าใจง่าย หากธนาคาร–นายจ้าง–รัฐ และตัวเราเอง เดินไปในทิศทางเดียวกัน ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือนจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น และเมื่อฐานะของ “เดอะแบกตัวจริง” ดีขึ้น ฐานเศรษฐกิจไทยก็จะมั่นคงขึ้นตามลำดับ

สุดท้ายนี้ ตัวเลข 82% ที่ “มีหนี้” หรือ 77% ที่ “ออมไม่ถึง 10% ของรายได้” ไม่ได้เป็นตราบาปของใคร แต่มันคือไฟเตือนบนหน้าปัดที่บอกว่า “ถึงเวลาเข้าอู่ซ่อม” และเริ่มสร้างระบบกันสะเทือนให้ชีวิตทางการเงิน ตั้งแต่ตัดดอกเบี้ยแพง ลดการจ่ายขั้นต่ำ ไปจนถึงออมและทำประกันที่พอดี นี่คือเส้นทางที่ไม่ง่าย แต่เริ่มได้ทันทีตั้งแต่ “เงินเดือนรอบหน้า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
  • บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
  •  ttb analytics
  • Money Buffalo
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้าน! ภาคเหนือเร่ง “ลดเสี่ยงแม่สาย-เร่งเครื่องเชียงของ” สร้างเสถียรภาพการค้า

การค้าชายแดนภาคเหนือสุดผันผวน! ด่านแม่สายเสี่ยงสูงจากเมียนมา แต่ “เชียงของ” แบกรับมูลค่ามหาศาลจากทุเรียนสู่จีน

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าที่เวียงแก่นหมอกบางแตะไหล่เขา เสียงเครื่องยนต์หัวลากค่อยๆ ไล่คิวหน้าด่านศุลกากรเชียงของ รถผลไม้หุ้มคลุมอย่างแน่นหนารอชั่ง–สแกน–ปล่อยผ่าน เส้นเลือดโลจิสติกส์ R3A ซึ่งพุ่งขึ้นเหนือไปคุนหมิงทำงานไม่เคยหยุด และนั่นคือ “หัวใจเต้น” ของการค้าผ่านแดนเชียงรายในปีงบประมาณ 2568 ที่ตัวเลขรวมภาคเหนือแตะ 224,215.423 ล้านบาท โดยมูลค่าส่งออกคิดเป็น 150,860.635 ล้านบาท ตามรายงานของสำนักงานศุลกากรภาค 3

เมื่อส่องเฉพาะ “สามด่านหลัก” ของเชียงราย—เชียงของ, แม่สาย และเชียงแสน—ภาพความต่างปรากฏชัด

  • เชียงของ คือ “ประตูสู่จีนตอนใต้” แบกสัดส่วนการค้ารวมของเชียงรายถึง 73.5% ด้วยมูลค่าส่งออก 42,099.333 ล้านบาท และฐานสินค้าหลักคือผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียน—ราชาผลไม้ที่ขึ้นรถจากภาคตะวันออก–ภาคใต้ของไทยแล้วเร่งทำเวลาผ่านแดนไปยังยูนนาน
  • แม่สาย คือ “ตลาดปลายแดน” ของเมียนมา ส่งออกโดยตรง 11,462.327 ล้านบาท แต่เปราะบางต่อประกาศ–การสู้รบ–ข้อกำหนดชั่วคราวของฝ่ายเมียนมาที่พลิกเกมการค้าได้ภายใน “สัปดาห์เดียว”
  • เชียงแสน คือ “ท่าขึ้น–ลงทางน้ำ” มูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ใช้ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 เป็นเข็มขัดพยุงสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก เชื่อมจีน–ลาว–เมียนมาบนลุ่มโขงตอนบน

เชียงของ 73.5% ของเค้กทั้งก้อน—R3A พยุงค้าผ่านแดน ผลไม้คือ “ทองคำที่ต้องรักษาความเย็น”

ตัวเลขที่โดดเด่นที่สุดของเชียงรายปีนี้มาจาก ด่านศุลกากรเชียงของ—ด่านชายแดนที่ทำหน้าที่ “โหนฉลุย” ให้ขบวนคอนวอยสินค้าเกษตรไทยวิ่งผ่าน สปป.ลาว ไปจีนตอนใต้ตามเส้นทาง R3A ด้วยความรวดเร็ว ตัวเลขสัดส่วน 73.5% ของมูลค่าการค้าจังหวัดที่เกิดจาก “การค้าผ่านแดน (Transit Trade)” บอกชัดว่าเชียงของคือ “จุดคอขวดดีมานด์” ไปจีน

สินค้าเอก คือผลไม้สด ทุเรียน–ลำไย–มะขาม โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองสัดส่วนมูลค่าโดดเด่น ฤดูกาลพีคทำให้ภาพรถห้องเย็นต่อคิวเป็นเรื่องปกติ สำนักงานศุลกากรภาค 3 ระบุว่าเฉพาะผลไม้สดที่ไหลผ่านภาค 3 รวมกันมีน้ำหนักกว่า 439 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าราว 38,669 ล้านบาท การรักษา โซ่ความเย็น (cold chain) ตั้งแต่สวน–ล้ง–ด่าน–ปลายทาง จึงไม่ใช่ “ดีต่อภาพลักษณ์” แต่คือ “ชีวิตของมูลค่า” ที่ต้องไม่สะดุด ทั้งฝั่งเอกชนและรัฐจึงต้องจัดการคิว–ห้องเย็น–การตรวจปล่อยให้ เร็ว–แม่น–ปลอดภัย

ด้านนำเข้า เชียงของมีบทบาทรับไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านคิดเป็นมูลค่าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท และผัก–ผลไม้จากจีน เช่น องุ่นสด–ส้มแมนดาริน—สะท้อนความเป็น Fruit Corridor สองทิศทางของด่านนี้อย่างชัดเจน

จุดท้าทายที่ต้องเร่งแก้ แรงกดดันทางกายภาพของ R3A (หลุมบ่อ, ระยะหยุดรอ, ความหนาแน่นหน้าด่าน, เอกสารด่านคู่) และความแปรปรวนตามฤดูกาลของผลผลิตเป็นต้นเหตุ “คอขวด” ที่ทำให้ความเสี่ยงเสียโซ่ความเย็นเพิ่มขึ้นทันทีที่เกิดความล่าช้า

แม่สาย ส่งออกแรง แต่ “เปราะบางที่สุด”—เมียนมาสะเทือน ตลาดไทยสั่นตาม

ด่านแม่สาย เป็นจุดค้าชายแดนโดยตรงกับ ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา ซึ่งในทางสถิติคือ “ตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของภาคเหนือ” ในหลายเดือนที่ผ่านมา ทว่าปี 2568 ความไม่แน่นอนกลับเด่นชัด—ตั้งแต่ประกาศฝ่ายเมียนมาวันที่ 1 กันยายน 2568 ให้เข้มงวดการนำเข้าสินค้าไทย (ก่อนจะผ่อนคลายภายในราวหนึ่งสัปดาห์) ไปจนถึงเหตุสู้รบในพื้นที่ต่างๆ ที่โยงกับเส้นทางขนส่งหลักทางฝั่งเมียวดี/แม่สอด ทั้งหมดนี้กดให้ด่านแม่สาย “ผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ย” อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ภาพรวมทั้งปี แม่สาย ยังทำมูลค่าส่งออก 11,462.327 ล้านบาท และสินค้าหลักอย่าง น้ำมันดีเซล มีรายงานมูลค่าส่งออกประมาณ 14,308 ล้านบาท ประกอบกับสินค้าอุปโภค–บริโภคอย่างเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังมีดีมานด์ต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยง “ปิด–เปิดกะทันหัน” คือปัจจัยที่ผู้ประกอบการควบคุมไม่ได้

ผลสั่นคลอนระดับภูมิภาค แม้มีเหตุสู้รบ เมืองคู่แฝดอย่าง แม่สอด–เมียวดี ยังทำมูลค่าส่งออกสูงถึง 53,470.825 ล้านบาท ยืนยันว่า “ดีมานด์มีจริง” แต่ “เสถียรภาพของเส้นทาง” คือปัจจัยตัดสินใจอันดับต้นๆ ของผู้ส่งออก

เชียงแสน ท่าเรือพาณิชย์แห่งที่ 2 ถือหาง—ทางน้ำคือ “กันชน” ของระบบ

หากเชียงของคือหัวรถจักรทางบก เชียงแสน ก็เป็น กันชนทางน้ำ ที่ช่วยเฉลี่ยภาระระบบ ด้วยมูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 ที่เชื่อม จีน–ลาว–เมียนมา บนลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เส้นทางน้ำมีจุดแข็งที่การรองรับสินค้าน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก แต่ก็มี “ฤดูกาลของน้ำโขง” เป็นเงื่อนไขเชิงธรรมชาติ ดังนั้น ประสิทธิภาพของท่าเรือ–การจัดตารางเรือ–การบริหารคิวขนถ่าย–การเชื่อมต่อถนนหน้าเทอร์มินัลคือหัวใจ

บทบาทที่เริ่มชัด คือการเป็นทางเลือกสำหรับสินค้า Bulk/General Cargo และรองรับจังหวะที่ทางบกแน่น (เช่น ช่วงผลไม้พีค) ทำให้เชียงแสนเป็น ตัวปรับสมดุล” (balancer) ของระบบการค้าจังหวัดในมิติการเดินทางของสินค้า

โครงสร้างสินค้า “เกษตรสด–พลังงาน–อุปโภคบริโภค” กำหนดทิศ และ “ไฟฟ้า–แร่–ผักผลไม้จีน” คือฝั่งนำเข้า

เมื่อถอดรหัสโครงสร้างสินค้า

  • ส่งออก ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม, มังคุด), น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • นำเข้า พลังงานไฟฟ้า (≈ 26,013.7 ล้านบาท), โลหะพลวงและแร่พลวง (รวมกว่า 14,900 ล้านบาท โดยประมาณ), องุ่นสด (≈ 5,186.4 ล้านบาท), ส้มแมนดาริน (≈ 2,159.7 ล้านบาท), ผักกาดขาว–ฮ่องเต้ (≈ 1,867.3 ล้านบาท), ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (≈ 1,743.7 ล้านบาท)

ภาพนี้ตอกย้ำว่าเชียงรายทำหน้าที่ ศูนย์รวม–กระจายสินค้าเกษตรสด ของไทยสู่จีน ขณะเดียวกันก็เป็น ประตูรับพลังงานและวัตถุดิบ สู่ไทย—โมเดล “สองทิศ–สองระบบ” ที่ต้องการทั้ง คุณภาพสินค้า และ ความพร้อมโลจิสติกส์

ภาคเหนือในกระจก เมียนมาคือ “เครื่องยนต์ส่งออก” จีน–ลาวคือ “เครื่องดูดนำเข้า”

การอ่านภาพทั้งภาคเหนือ (น้ำหนัก 20%) ตามกรอบสถิติรายเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง ส.ค. 2568 สะท้อนว่า การค้าชายแดนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98% ของการค้าในภูมิภาค โดย เมียนมา คือตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง (ประมาณ 157.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าว) ทำให้ภาคเหนือ เกินดุล เด่นกับเมียนมา ขณะที่ จีนตอนใต้ และ สปป.ลาว เป็นคู่ค้าฝั่งนำเข้าที่ใหญ่กว่า ส่งผลให้เกิดดุลการค้าแบบ “เกินดุลกับเมียนมา–ขาดดุลกับจีน/ลาว” ตามโครงสร้างสินค้าและบทบาทเส้นทางผ่านแดน

บทเรียนสำหรับเชียงราย ดุลการค้าบวก–ลบเหล่านี้ไม่ใช่ “ผิดปกติ” หากสะท้อน บทบาทหน้าที่เฉพาะ ของแต่ละด่าน—แม่สายเน้นซัพพลายสินค้าบริโภค–พลังงานให้เมียนมา, เชียงของ–เชียงแสนเน้น “ระเบียงผลไม้–วัตถุดิบ” เชื่อมจีนและลาว

ปัจจัยเสี่ยง ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา–คอขวด R3A–น้ำโขง–เอกสารข้ามแดน

  1. เมียนมา — ความไม่สงบ–มาตรการเฉียบพลัน ทำให้แม่สาย “เปิด–ปิด–ผ่อน–เข้ม” ได้ภายในไม่กี่วัน กระทบ ต้นทุนถือสต็อก, ต้นทุนความเสี่ยง, สภาพคล่องผู้ประกอบการ
  2. R3A — ความพร้อมของผิวทาง–ด่านคู่–ช่องจอด–ระบบสแกน–ห้องเย็น เป็นปัจจัยชี้ชะตาโซ่ความเย็นผลไม้สด
  3. แม่น้ำโขง — ระดับน้ำเปลี่ยนตามฤดูกาลจำกัดโควตาความถี่/น้ำหนักบรรทุกของเรือ กระทบแผนขนส่งระยะกลาง–ยาว
  4. พิธีการ–เอกสาร — ความต่างมาตรฐานการตรวจของด่านคู่/ช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้ เวลาวงรอบ (cycle time) บวมง่าย

ข้อเสนอเชิงนโยบาย–เชิงปฏิบัติ “ลดเสี่ยงแม่สาย–เร่งเครื่องเชียงของ–เสริมเข็มขัดเชียงแสน”

De-risking แม่สายแบบแผนที่เดินได้จริง

  • จัดทำ แผนฉุกเฉินโลจิสติกส์ (contingency plan) สำหรับสินค้าที่วิ่งออกแม่สาย เส้นทางสำรองผ่านแม่สอด/เชียงของ/เชียงแสน ตามประเภทสินค้า
  • ประกันความเสี่ยงการค้า รายย่อย ผลักดันสินเชื่อเฉพาะกิจ/รับประกันความเสี่ยงระยะสั้นให้ผู้ส่งออก SMEs ที่พึ่งพาแม่สาย
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเตือนภัยการค้าเมียนมา แบบเรียลไทม์ รวบรวมประกาศ–เงื่อนไขใหม่–จุดคัดกรอง–เวลาเฉลี่ยข้ามแดน

ยกระดับ R3A–เชียงของ จาก “คอขวด” เป็น “ทางด่วนผลไม้”

  • ลงทุน จุดรอ–ที่จอด–สถานีตรวจ–ห้องเย็น หน้า–หลังด่าน เพิ่ม throughput และลด dwell time สำหรับรถห้องเย็น
  • อัปเกรด เอกสารดิจิทัล–ชิปติดตาม–นัดหมายคิว (slot booking) เชื่อมระบบด่านคู่ให้ตรวจปล่อย “ไร้กระดาษ–ไร้คิวล่องหน”
  • สนับสนุน มาตรฐานโซ่ความเย็น ตั้งแต่สวน–ล้ง–ขนส่ง–ด่าน (audit + incentive) เพื่อคงคุณภาพจนถึงแดนจีน

เสริมบทบาทเชียงแสน กันชนทางน้ำ–ทางเลือกสินค้าหนัก

  • เพิ่มประสิทธิภาพ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 กำลังขนถ่าย, พื้นที่พักตู้/พักของ, ระบบจองคิวเรือ
  • ทำ แผนบูรณาการถนน–ท่าเรือ รองรับ peak season ของผลไม้/สินค้าปริมาณมาก ลดซ้อนทับกับ R3A

เกษตรเพื่อการค้า “เร็ว–สะอาด–ตามเกณฑ์คู่ค้า”

  • ชุดมาตรการ ผลไม้พร้อมส่ง” ตรึงมาตรฐาน GAP/GMP, ระบบตรวจย้อนกลับ, ห้องเย็นเชิงเครือข่าย, ประกันราคาฤดูกาลพีค
  • จัด เวิร์กช็อปกฎจีน สำหรับผู้ประกอบการชายแดน ฉลาก, พิธีการใหม่, มาตรการสุ่มตรวจ, การตอบกลับเมื่อเคลม

 “หนึ่งนาทีที่ด่าน เท่ากับหนึ่งชั่วโมงของโซ่ความเย็น”

“ไฟห้องเย็นต้องไม่ดับ—คิวต้องไม่ค้าง—เอกสารต้องไม่ตกหล่น” คือสามคำสั้นๆ ที่คนขับรถห้องเย็นพูดตรงกัน เมื่อคิวข้ามแดน “สั้นลงหนึ่งนาที” ก็เท่ากับ “อุณหภูมิในตู้” เสถียรขึ้นอีกขั้น ลดโอกาสคัดทิ้งหน้าปลายทางจีนที่ราคาเข้มงวดกว่าตลาดในประเทศหลายเท่า ในมุมกลับกัน รถที่ “หลุดคิว–จอดตากแดด–รอตรวจ” คือ กำไรที่ระเหย เพราะผลไม้สดไม่รอใคร

ด่านเชียงของจึงไม่ใช่แค่ “เสาเขตแดน” แต่เป็น พื้นที่เวลา ที่ต้องบริหารอย่างแม่นยำ—ความต่างระหว่าง “ขายได้ราคา” กับ “เสียทั้งล็อต” อยู่ที่ วงจรคิวและเอกสาร ล้วนๆ

เชื่อมโยงต่างประเทศ 10% จีน–ลาว–เมียนมา—สามคู่ค้า สามโจทย์

  • จีนตอนใต้ เป็นทั้งตลาดรับผลไม้ไทยและแหล่งผัก–ผลไม้เข้าไทย—มาตรฐานตรวจ–ความเร็วพิธีการคือปัจจัยชี้อนาคตมูลค่าการค้า
  • สปป.ลาว พันธมิตร “ทางผ่าน” สำคัญ—ความคล่องตัวพิธีการ–ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานฝั่งลาวช่วยให้ R3A ไหลลื่น
  • เมียนมา ตลาดส่งออกสำคัญของภาคเหนือ—แต่เสถียรภาพการเมืองคือปัจจัยความเสี่ยงหมายเลขหนึ่งที่กระทบแม่สายโดยตรง

 “แยกบทบาท–ลดเสี่ยง–เร่งประสิทธิภาพ” คือทางรอดเชียงราย

  1. ยอมรับข้อเท็จจริงเชิงบทบาท แม่สาย = ตลาดเมียนมาที่ผันผวนสูง, เชียงของ = ทางด่วนผลไม้สู่จีน, เชียงแสน = กันชนทางน้ำ/สินค้าหนัก
  2. ลดการพึ่งด่านเดียว วางแผนเส้นทางสำรองสำหรับทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเน่าเสียง่าย
  3. ลงทุนจุดคอขวด ห้องเย็น–คิวดิจิทัล–ลานจอด–ช่องตรวจ–คน–ระบบเชื่อมด่านคู่
  4. ยกระดับมาตรฐานสินค้า ผลไม้พร้อมส่ง—ตรึงคุณภาพและการตรวจย้อนกลับให้สอดรับเกณฑ์จีน
  5. กลไกการเงิน–ประกันความเสี่ยง เพื่อให้ SMEs ชายแดนรับมือเหตุฉุกเฉินได้โดยไม่สะดุดเงินทุนหมุนเวียน

เชียงรายในปี 2568 จึงไม่ได้มีเพียง “ข่าวดีมูลค่าโต” หรือ “ข่าวร้ายด่านผันผวน” หากคือ บทสอบการบริหารสมดุล ระหว่าง “ความเร็ว” กับ “ความเสถียร”—ระหว่าง “ผลไม้สด” ที่ต้องการเวลาและอุณหภูมิ กับ “เส้นทางชายแดน” ที่ถูกกำหนดโดยการเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อรู้บท–รู้เสี่ยง–รู้จะลงทุนตรงไหน เมืองชายแดนเหนือสุดของไทยย่อมกลายเป็น ฮับการค้า GMS ที่แข็งแรงกว่าที่เคย

สรุปตัวเลขชวนคิด

  • มูลค่ารวมการค้าชายแดน/ผ่านแดนภาคเหนือ ปีงบฯ 2568 224,215.423 ล้านบาท (ส่งออก 150,860.635 ล้านบาท, นำเข้า 73,354.788 ล้านบาท)
  • เชียงของถือ 73.5% ของเค้กการค้าเชียงราย—ส่งออก 42,099.333 ล้านบาท; สินค้าเด่น ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม)
  • แม่สายส่งออก 11,462.327 ล้านบาท—เสี่ยงสูงต่อเหตุการณ์ฝั่งเมียนมา; สินค้าเด่น น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • เชียงแสนส่งออก 9,285.396 ล้านบาท—บทบาททางน้ำผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • ผลไม้สดผ่านภาค 3 น้ำหนักรวมกว่า 439 ล้านกก., มูลค่าประมาณ 38,669 ล้านบาท
  • นำเข้าหลัก พลังงานไฟฟ้าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท, แร่/โลหะพลวงรวมกว่า 14,900 ล้านบาท, องุ่นสด ≈5,186.4 ล้านบาท, ส้มแมนดาริน ≈2,159.7 ล้านบาท เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ผู้จัดการออนไลน์
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเศรษฐกิจภาคเหนือ)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมศุลกากร
  • กรมเจ้าท่า/ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย/หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยงานความมั่นคง/ประกาศภาครัฐเมียนมา
  • ข้อมูลสถิติสินค้าเฉพาะรายการ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เปิด 3 ปัจจัยหลักทำ “ตึกแถว” หายจากตลาด 50% นายกสมาคมฯ ชี้ไทยเสี่ยงเผชิญปัญหาทรัพย์ร้าง

หมดอายุขัยทางเศรษฐกิจ? เมื่อ “ตึกแถวไทย” ถูกดิสรัปต์—เจ้าของแห่ขาย ไร้คนซื้อ เสี่ยงกลายเป็นทรัพย์ร้างทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนถนนสายเก่าในเมืองรองของภาคเหนือ ประตูเหล็กบานม้วนของตึกแถวเรียงยาวยังคงถูกเปิด–ปิดเป็นจังหวะคุ้นตา แต่ป้าย “ขาย/ให้เช่า” กลับปรากฏถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และค้างอยู่นานกว่าที่เคย สำหรับคนไทยหลายรุ่น “ตึกแถว” คือภาพจำของพลังเศรษฐกิจฐานราก—ค้าขายชั้นล่าง อยู่ชั้นบน เชื่อมบ้าน–ร้าน–ชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน ทว่าในโลกธุรกิจที่เคลื่อนไปด้วยอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ดิจิทัล และความต้องการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ทรัพย์สินรูปแบบนี้กำลังเผชิญการทดสอบครั้งใหญ่

รายงานของ สำนักข่าวมติชนออนไลน์ เมื่อ 20 ตุลาคม 2568 อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นายวสันต์ คงจันทร์ นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระบุชัดว่า ตึกแถวคืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกดิสรัปต์เพราะหมดประโยชน์ใช้สอย” และ “ปัจจุบันมีตึกแถวหายไปจากตลาดแล้ว 50%” พร้อมย้ำว่าตึกแถวมือสอง “ขายยากมาก” โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่ไม่ใช่โซนท่องเที่ยวหรือย่านการค้า แม้บางทรัพย์ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์และธนาคารนำออกขายจะ ลดราคาถึง 50% ก็ยัง “ขายออกยาก” เหตุผลสำคัญ—คนไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร

3 แรงดิสรัปต์ เมื่อ “หน้าร้าน” แพ้ “หน้าจอ”

  1. อีคอมเมิร์ซแทนหน้าร้าน
    พฤติกรรมซื้อขายเคลื่อนไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างรวดเร็ว ต้นทุนการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มและสื่อสังคมต่ำกว่าการเช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ ขณะที่ระบบโลจิสติกส์–ชำระเงิน–โฆษณาดิจิทัลครบวงจร ทำให้ SMEs จำนวนมาก “ไม่จำเป็น” ต้องมีหน้าร้านอีกต่อไป ส่งผลตรงต่ออุปสงค์ตึกแถวที่เคยรองรับร้านโชห่วย ร้านอะไหล่ ร้านอาหารแบบคลาสสิก
  2. ข้อจำกัดด้านการอยู่อาศัย–ทำเล–ที่จอดรถ
    ตึกแถวจำนวนมากอยู่ในย่านดั้งเดิมที่ ที่จอดรถขาดแคลน และแวดล้อมด้วยผังเมืองที่ไม่ได้รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างปัจจุบัน ประกอบกับคุณภาพชีวิตสมัยใหม่ที่ผู้ซื้อรุ่นใหม่มักเลือกบ้านแนวราบในชานเมืองหรือคอนโดที่มีส่วนกลาง–ที่จอดครบ ทำให้ “อยู่ชั้นบน–ค้าชั้นล่าง” ไม่ตอบโจทย์ครัวเรือนยุคใหม่
  3. ความคาดหวังราคาจากการเก็งกำไร
    ทำเลที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จาก โครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ถนนลาดพร้าว) ทำให้เจ้าของบางราย “ตั้งราคาเผื่ออนาคต” แต่เมื่อตลาดจริง ไม่มีผู้ซื้อใช้งาน (end-user) ที่ชัดเจน ราคาเสนอขายจึง “ลอย” และทรัพย์แขวนยาว เกิดภาพ “ป้ายขายเรียงถี่” ที่เห็นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง

สัญญาณตลาด ลด 50% ยังขายยาก–บางทำเลแปลงเป็นโรงแรมเล็ก–คอนโด

จากรายงานเดียวกัน ตลาดกำลัง แตกขั้ว ชัดเจน

  • ต่างจังหวัด/ทำเลไม่ท่องเที่ยว ขายยากมาก แม้ลดราคาครึ่งหนึ่ง
  • ทำเลท่องเที่ยว (เช่น เยาวราช) มีการปรับโฉมเป็น โรงแรมขนาดเล็ก รับนักท่องเที่ยว ห้องพักคืนละหลัก 1,000 บาทบวกลบ
  • แนวรถไฟฟ้า บางช่วง ดีเวลลอปเปอร์ กว้านซื้อ เพื่อ พัฒนาเป็นคอนโด
  • ราคาคงที่ในบางย่าน เช่น เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้านบาท อยู่ระดับนี้มาหลายปี หรือแยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้านบาท ประกาศขายค้างนาน สะท้อนอุปสงค์จริงที่จำกัด

ภาพนี้ทำให้ผู้เล่นในตลาดรองอย่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์ เองยัง “ไม่รีบรับตึกแถวเข้าพอร์ต” เพราะ ระบายช้า เสี่ยง ทรัพย์ร้าง สะสมกว้างขึ้น—คำเตือนที่ทำให้หลายคนย้อนนึกถึงโจทย์ “บ้านว่าง–ตึกว่าง” ในญี่ปุ่น

จากสัญลักษณ์การค้า…สู่โจทย์ “ใช้การอย่างไรในโลกใหม่”

“ตึกแถว” ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์อสังหาฯ แต่คือ โครงสร้างสังคม–เศรษฐกิจ ของเมืองไทยหลายทศวรรษ—แถวเดียวรองรับทั้ง ธุรกิจครอบครัว–ห้องเก็บของ–ห้องเช่า ในยุคที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการค้าปลีกออฟไลน์ แต่เมื่อ ซัพพลายเชน ของการค้าเปลี่ยน—สินค้าถูกเก็บใน คลังสินค้าชานเมือง, “หน้าร้าน” ย้ายไปอยู่บนจอ, “คอนเทนต์” กลายเป็นพนักงานขาย 24 ชั่วโมง—บทบาทของอาคารพาณิชย์ในเมืองจึงถูกท้าทายโดยตรง
สิ่งที่ตามมาคือ ต้นทุนโครงสร้าง ของตึกแถว—หน้ากว้าง 4 เมตร ลึก 12–16 เมตร, บันไดชัน, ระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับ ครัวสมัยใหม่/ระบบดับเพลิง/ลิฟต์โดยสาร—ทำให้การ “รีโนเวตเพื่ออยู่อาศัย” หรือ “ดัดแปลงเป็นธุรกิจใหม่” มีต้นทุน–ข้อจำกัดทางกฎหมาย สูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะถ้าต้องยื่นขอเปลี่ยนการใช้ประโยชน์อาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร มาตรฐานอัคคีภัย และผังเมืองรวม

ทำไมต่างจังหวัดเจ็บกว่า? 5 เหตุผลเชิงโครงสร้าง

  1. ทราฟฟิกคนเดินต่ำลง เมื่อศูนย์การค้า–ไฮเปอร์มาร์เก็ต–ไลฟ์สไตล์มอลล์กลายเป็นแหล่งจับจ่ายหลัก
  2. การย้ายฐานที่อยู่อาศัย จากใจเมืองสู่ชานเมือง/แนวถนนสายหลักที่มีที่จอดและพื้นที่ใช้สอยมากกว่า
  3. รายได้ท่องเที่ยวกระจุก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ตึกแถวในเมืองที่พึ่งพานักท่องเที่ยวน้อย “ไม่มีดีมานด์ใหม่”
  4. ค่าขนส่ง–เดลิเวอรีที่ถูกลง ทำให้ร้านออนไลน์ “ข้ามทำเล” ไปขายทั่วเมืองโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
  5. การเข้าถึงแหล่งทุน–ความรู้ปรับโฉม ของผู้ถือครองรายย่อยยังจำกัด เมื่อเทียบกับดีเวลลอปเปอร์ในเมืองใหญ่

ทางเลือก “ปรับโฉม” มีจริง แต่ต้องจับคู่กับเงื่อนไขที่ถูกต้อง

  • บูทีคโฮเทล/โฮสเทล เหมาะในย่านท่องเที่ยว–วัฒนธรรมที่ “เดินได้” แต่ต้องลงทุนระบบความปลอดภัย–ช่องทางหนีไฟ–เสียง–สุขาภิบาล
  • คีตชัน/โกสต์คิทเช่น ใช้จุดแข็งของทำเลกลางเมืองเชื่อมเดลิเวอรี แต่ต้องลงทุนระบบครัว–จัดการกลิ่น–ข้อกำหนดเทศบัญญัติ
  • โคเวิร์กกิง/สตูดิโอครีเอทีฟ เหมาะย่านศิลปะ–สตาร์ทอัพ–มหาวิทยาลัย แต่ต้องแก้ข้อจำกัดที่จอด–การสัญจร
  • ไมโครฟูลฟิลเมนต์/พิกอัปพอยต์ จับตลาดอีคอมเมิร์ซท้องถิ่น แต่ต้องประเมินทราฟฟิก–ค่าเช่า–ผลตอบแทนต่อ ตร.ม.
  • โค–ลิฟวิง/เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ต้องตีความรหัสอาคาร–มาตรฐานที่อยู่อาศัยใหม่–การระบายอากาศ–แสงธรรมชาติ–เสียงรบกวน

ข้อเท็จจริงสำคัญ คือการปรับโฉม “คูหาเดียว” มัก ไม่คุ้มทุน เท่าการ รวบแปลงหลายคูหา เพื่อเพิ่มหน้ากว้าง–พื้นที่ใช้สอย–ทางหนีไฟ และวางผังใหม่ให้รองรับการใช้งานสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัย การรวมเจ้าของ ที่อาจใช้เวลาและการเจรจาซับซ้อน

คำเตือนจากตัวเลข “ลดครึ่งหนึ่งยังขายยาก” และเงาสะท้อน “บ้านว่าง” แบบญี่ปุ่น

คำกล่าวของนายวสันต์ว่าบางสินทรัพย์ “ต้องลด 50% จากราคาปกติก็ยังขายยาก” ไม่เพียงชี้ ความเครียดด้านราคา แต่ยังชี้ว่า ผู้ซื้อปลายทาง (end-user) ในหลายทำเล “แทบไม่มี” เทียบกับญี่ปุ่นที่มี บ้านว่าง (Akiya) กระจายตัวสูงในเมืองรอง ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่อง “ความสวยงามของอาคารเก่า” แต่คือ ความสามารถในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ของทรัพย์สินที่ต้องการ นโยบาย–แรงจูงใจ–ความร่วมมือ มากกว่าปล่อยให้ตลาดแก้เอง

7 แนวทางเชิงระบบ จาก “ทรัพย์แขวน” สู่ “ทรัพย์หมุนเวียน”

  1. อินเซนทีฟภาษีเพื่อการรีโนเวตเชิงอนุรักษ์
    ลดหย่อนภาษีที่ดิน–สิ่งปลูกสร้างชั่วคราวสำหรับผู้รีโนเวตอาคารพาณิชย์เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ในกิจการที่ผังเมืองสนับสนุน
  2. กองทุน/สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการปรับปรุงตึกแถว
    สินเชื่อยืดหยุ่นสำหรับ “รวมคูหา–ติดตั้งระบบความปลอดภัย–ปรับโครงสร้าง” โดยร่วมมือธนาคารพาณิชย์–กองทุนท้องถิ่น
  3. การรวมกลุ่มเจ้าของ (Block Assembly)
    เทศบาล/จังหวัดเป็น “ตัวกลาง” ให้เจ้าของคูหาติดกันหารือแนวทางการรวม–รีโนเวต–ร่วมลงทุน เพื่อให้เกิดขนาดเศรษฐกิจ (economies of scale)
  4. ผังเมือง “โซนประสบการณ์”
    อนุญาตการใช้ประโยชน์ผสม (mixed-use) และผ่อนผันจอดรถ–ทางเท้า ในย่านที่กำหนดให้เป็น ย่านเดินได้ (walkable district) พร้อมพื้นที่สีเขียว–ทางจักรยาน
  5. มาตรฐานความปลอดภัย–อัคคีภัย “ทางลัดที่ปลอดภัย”
    จัดทำคู่มือ–แบบมาตรฐานสำหรับอาคารพาณิชย์รีโนเวต เพื่อลดเวลา–ความไม่แน่นอนในการยื่นขออนุญาต แต่ยังคงความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
  6. ตลาดชั่วคราว–อีเวนต์ครีเอทีฟ ดึงทราฟฟิก
    เมืองสามารถปล่อยใช้ชั่วคราว (temporary use) กับคูหาว่าง เป็นป๊อปอัปโชว์รูม–อาร์ตสเปซ–งานคราฟต์–สตรีทฟู้ดคุณภาพ เพื่อทดสอบดีมานด์จริง
  7. ฐานข้อมูล “ทรัพย์ว่างโปร่งใส”
    สร้างแพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลตึกแถวว่าง–สภาพอาคาร–เงื่อนไขการใช้ เพื่อลด ต้นทุนการค้นหา (search cost) ของนักลงทุน–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของ เช็กลิสต์ 90–180 วันเพื่อตัดสินใจด้วยข้อมูล

  • ประเมินศักยภาพเชิงพาณิชย์ ทราฟฟิกคนเดิน/ระยะถึงขนส่งสาธารณะ/ความหนาแน่นประชากร–สถานศึกษา–สำนักงาน
  • วิเคราะห์โครงสร้าง–ต้นทุนรีโนเวต ระบบไฟ–น้ำ–บันได–พื้น–หลังคา–ผนังรับแรง, ปรับช่องเปิด–แสง–ระบายอากาศ
  • เช็กกฎหมาย–ผังเมือง–อัคคีภัย การใช้ประโยชน์ที่อนุญาต/ที่จอด/จำนวนทางหนีไฟ/ระบบแจ้งเหตุ–สปริงเกลอร์
  • สำรวจทางเลือกการใช้ โรงแรมเล็ก–โกสต์คิทเช่น–โคเวิร์กกิง–สตูดิโอ–ไมโครฟูลฟิลเมนต์–โค–ลิฟวิง (เทียบผลตอบแทน–ความเสี่ยง)
  • ตัดสินใจ “ขาย/ถือ/รีโนเวต” ด้วยตัวเลข ทำ DCF งบลงทุน–ค่าเช่าเป้าหมาย–ระยะเวลาคืนทุน หาก “ขาย” อาจพิจารณา ขายยกแถว ให้ดีเวลลอปเปอร์เพื่อเพิ่มโอกาสปิดดีล

สำหรับท้องถิ่น ทำให้ “เดินได้–ลงทุนได้–อยู่ได้”

เมืองที่อยากเห็นย่านเก่าฟื้น ต้องทำงาน “สามชั้น” พร้อมกัน—โครงสร้างพื้นฐาน (ฟุตปาธ–ไฟ–ถังขยะ–ต้นไม้), กติกายืดหยุ่น (mixed-use–ที่จอดแบบรวมศูนย์–มาตรฐานปรับใช้), และ กิจกรรมสร้างชีวิต (มาร์เก็ต–เทศกาล–งานศิลปะ) เมืองที่ทำสามชั้นได้พร้อม จะเปลี่ยน “ตึกแถวว่าง” เป็น “ตึกแถวมีชีวิต” ได้เร็วกว่าการรอให้ตลาดทำเอง

จากตึกแถวสู่ทรัพยากรเมืองยุคใหม่

บทวิเคราะห์ของนายวสันต์—ที่ชี้ว่าตึกแถว ครึ่งหนึ่งหายไปจากตลาด และ ต้องลดราคา 50% ยังขายยาก—ไม่ใช่ “ข่าวร้าย” หากมองอีกด้าน มันคือ “สัญญาณเตือน” ให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝั่ง ยอมรับความจริง ว่าฟังก์ชันเดิมของอาคารพาณิชย์กำลังหมดอายุในหลายทำเล แล้วหันมาร่วมกันออกแบบ ฟังก์ชันใหม่ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานบริการ–ดิจิทัล–ท่องเที่ยวคุณภาพ—ด้วยกติกาที่ชัด ระบบที่ช่วยได้ และการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง

ในบางย่าน—เยาวราช–เมืองเก่า–โครงการรถไฟฟ้า—เรามีตัวอย่าง การปรับโฉมที่เวิร์ก อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือขยายบทเรียนเหล่านั้นให้ ไปไกลกว่าศูนย์กลาง สู่เมืองรอง–อำเภอ–ย่านรอบนอก เพื่อไม่ให้ “ตึกแถว” กลายเป็น ทรัพย์ร้าง ที่ค่อย ๆ ดับไฟชุมชน แต่กลายเป็น ทรัพยากรเมือง ที่ช่วยสร้างงาน–สร้างกิจกรรม–สร้างตัวตนของย่านในยุคใหม่

สรุปตัวเลข–ข้อความชวนคิด

  • ตึกแถวหายไปจากตลาด ~50% (ตามคำให้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ)
  • ตึกแถวมืสองขายยาก แม้ลดราคา ~50% โดยเฉพาะต่างจังหวัด–ย่านไม่ท่องเที่ยว
  • บางย่านท่องเที่ยว แปลงเป็น โรงแรมเล็ก (ค่าห้อง ~1,000 บาท/คืน)
  • แนวรถไฟฟ้าบางช่วง ถูกกว้านซื้อพัฒนาเป็น คอนโด
  • ราคาบางย่านทรงตัวหลายปี เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้าน, แยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้าน
  • บทเรียนญี่ปุ่น บ้าน–ตึกว่างเพิ่ม หากไม่เร่งหาฟังก์ชันใหม่–สร้างแรงจูงใจรีโนเวต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

LINE FOOD TECH ชี้วิกฤตร้านอาหารไทย ยอดขายตก-ต้นทุนพุ่ง สวนทาง “มัทฉะ” โต 28%

LINE FOOD TECH 2025 ชี้วิกฤตร้านอาหารไทย “ยอดขายตก ต้นทุนเพิ่ม ลูกค้าลด”  มัทฉะพุ่งแรง เป็น “เส้นชีพจร” ของตลาดเครื่องดื่ม — 4 ทางรอดสู่ปี 2026

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — เสียงบี๊ปจากเครื่องรับออเดอร์ที่เคยดังถี่ในชั่วโมงเที่ยง กลับเงียบลงกว่าที่เคย ขณะเดียวกันใบแจ้งหนี้ค่าวัตถุดิบและค่าแรงก็ขยับขึ้นทีละน้อย แต่รวมกันแล้วหนักหนาสาหัส นี่คือสภาพจริงที่ผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนมากเผชิญอยู่ และถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาในเวทีสัมมนา LINE FOOD TECH 2025 ของ LINE for Business เมื่อ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา — งานที่รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและภาพรวมการค้าปลีกอาหารจากระบบนิเวศของแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนรับปี 2569/2026

ภาพจำที่ชัดจากเวทีนี้คือ “สามแรงกดดัน” ที่หนีไม่พ้น เศรษฐกิจซบเซาและนักท่องเที่ยวบางกลุ่มหายไป, ต้นทุนดำเนินงานรวมพุ่งมากกว่า 25% โดยเฉพาะค่าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น 25%, และสนามแข่งขันที่หนาแน่นตั้งแต่ร้านเชนต่างชาติจนถึงผู้เล่นออนไลน์ไร้หน้าร้าน ทั้งหมดนี้กำลังบีบกำไรของร้านอาหารให้บางลง จนเกิดปรากฏการณ์ที่ มากกว่า 50% ของร้านเปิดใหม่ต้องปิดในปีแรก” — ตัวเลขสะเทือนใจที่บอกชัดว่า “เปิดร้าน” ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ทำเลจะดีและเมนูจะโดน

เศรษฐกิจชะลอท่องเที่ยวเปลี่ยนทิศ เมื่อ “คนเดิน” น้อยลงกว่าเดิม

ข้อมูลจากเวทีระบุว่า แม้ไตรมาสแรกของปีจะดูสดใส แต่เข้าสู่ไตรมาส 2–3 จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติ ในย่านหลักลดลงอย่างมีนัย สวนทางกับค่าใช้จ่ายคงที่ของร้านที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ยอดขายหน้าร้าน (Offline Same Store Sale) ปี 2025 หดตัวถึง 14% (เทียบกับปี 2024 ที่หด 3%) ในขณะที่บิลเฉลี่ยก็ลดลงทั้งสองช่วงราคา — บิลต่ำกว่า 500 บาทลดลง 12% และบิลมากกว่า 500 บาทลดลง 14% สะท้อนพฤติกรรม “รัดเข็มขัด” ของผู้บริโภค

ภาพนี้ชัดขึ้นเมื่อมองระดับหมวด — ร้านอาหาร สตรีทฟู้ด เติบโต 4% ทวนกระแส เพราะตอบโจทย์ “อิ่มคุ้มในงบจำกัด” ขณะที่หมวดเมนูท็อปฮิตยังเป็นของคุ้นลิ้นอย่าง ไก่ทอด ซึ่งโต 18% และ “สุกี้” ที่พุ่งแรง 30% ในไตรมาสล่าสุด แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันหาเมนู “บ้านๆ แต่มั่นใจได้” และคุมงบได้ง่าย

ต้นทุน 25% ที่มองไม่เห็นแต่อยู่ทุกจาน

ในครัว ต้นทุนแทบทุกบรรทัดขยับขึ้นพร้อมกัน — วัตถุดิบหลักหลายรายการแพงขึ้น ราว 25%, ค่าแรงปรับขึ้นตามนโยบาย และค่าเช่าพื้นที่ที่ยืดหยุ่นน้อยในทำเลหลัก ผลคือ “ต้นทุนรวม” ของหนึ่งจานอาหารแพงขึ้นแม้พยายามตรึงราคา หน้าเคาน์เตอร์ลูกค้าอาจไม่ทันเห็น แต่ในสมุดบัญชีผู้ประกอบการเห็นทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญบนเวทีจึงย้ำว่า ระบบอัตโนมัติ และ ข้อมูล คือกลไกลดรั่วไหลที่จับต้องได้จริง — ตั้งแต่การจัดตารางพนักงาน, การคุมสต๊อกและของเสีย (waste), จนถึงการคำนวณจุดสั่งซื้ออัตโนมัติ

สนามแข่งขันเดือด “เปิดง่าย–ปิดเร็ว” และการรุกของแบรนด์ต่างชาติ

ดัชนีอีกด้านคือ จำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในหมวดอาหาร ที่อยู่ใน Top 3 ของทุกอุตสาหกรรม สะท้อนว่าผู้เล่นใหม่ไหลเข้าสนามไม่หยุด ขณะเดียวกัน แบรนด์ต่างชาติ ทั้งไก่ทอด เบเกอรี่ และสตรีทฟู้ดระดับโลกเข้ามาจับจุดแข็งทำเลและการตลาดดิจิทัลอย่างเข้มข้น ผลคือร้านที่ “ไม่มีจุดต่าง” มักถูกบีบให้ออกจากตลาดเร็วขึ้น

บทเรียนเชิงตัวเลข ยอดขายหน้าร้านปี 2025 ลด 14% | ต้นทุนวัตถุดิบ +25% | บิลเฉลี่ยลด 12–14% | ร้านใหม่มากกว่า 50% ปิดภายในปีแรก

เสียงสะท้อนจาก “แก้ว” แทน “จาน” ตลาดเครื่องดื่มยังหายใจแรง — มัทฉะนำขบวน

ท่ามกลางความหนืดของตลาดอาหาร หมวดเครื่องดื่ม กลับงอกเงย โดยเฉพาะร้านกาแฟและชาเขียวที่พุ่งสวนทางกับร้านอาหารภาพรวม คีย์เวิร์ดของปีนี้คือ มัทฉะ” ซึ่ง ยอดขายเครื่องดื่มชาเขียวเติบโต 28% มูลค่ารวมแตะราว 1,160 ล้านบาท จำนวนร้านที่ขายเมนูชาเขียวเพิ่มจาก 9,600 เป็น 12,400 ร้าน และบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมีการสั่ง “มัทฉะ” มากกว่า 5 ล้านแก้ว ในครึ่งปีแรกเพียงอย่างเดียว

ที่น่าจับตายิ่งกว่า คือ เพียวมัทฉะ” กลับโตแซง “มัทฉะลาเต้” ซึ่งสะท้อนรสนิยมใหม่ของผู้บริโภคที่หันหา ความแท้จริง (authenticity) และ คุณภาพวัตถุดิบ มากขึ้น ผู้จัดงานยังชี้เทรนด์ ชานมเผือกโมจิ” ที่ได้รับอิทธิพลจากจีน — ยอดค้นหาเพิ่มขึ้นกว่า 530% และทำยอดขาย 150,000 แก้วใน 3 เดือน บ่งชี้ว่านวัตกรรมเมนูข้ามวัฒนธรรมยังมีที่ทาง หากจับ “จังหวะไว ทำจริงเร็ว–เล่าเรื่องเป็น”

แผนที่มัทฉะ ยังสะท้อนการกระจุกตัวในเมืองใหญ่—กรุงเทพฯ นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี ติดท็อป 5 จังหวัดที่มีร้านมัทฉะมากที่สุด เป็นสัญญาณว่าตลาด “รอง” ยังมีพื้นที่รอการเจาะ โดยเฉพาะทำเลมหาวิทยาลัย/แหล่งงานที่มีกำลังซื้อวัยเริ่มทำงาน

พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2025 สุขภาพ ส่วนบุคคล โอมนิแชนแนล

เส้นเรื่องผู้บริโภควันนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

  • ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ต้องการปรับแต่งเมนู ลดหวาน/เพิ่มท็อปปิงเฉพาะ
  • แยก “กินในร้าน–สั่งเดลิเวอรี” ไม่ออก แล้ว ร้านต้องพร้อมทุกช่องทาง
  • เดลิเวอรีโตต่อเนื่อง 2–3%/ปี คิดเป็น ~29% ของยอดขายรวม ปี 2025 แม้พ้นยุคโควิด
  • ผู้บริโภคคาดหวัง ช่องทางสั่งซื้อหลากหลาย 72%, จ่ายเงินหลายรูปแบบ 66%, ความเร็วบริการ 60%, ระบบคิว 43%, ความสะดวกใช้งาน 36%

สาระสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “เปิดให้สั่งออนไลน์” แต่คือการทำ โอมนิแชนแนล ให้ลื่น ทั้งการค้นหา–สั่ง–จ่าย–ติดตาม–รับสินค้า และการดูแลหลังการขายในช่องทางที่ลูกค้าคุ้นเคย (เช่น LINE OA)

4 ทางรอดที่ทำได้ทันที จากเวทีสู่หน้าร้าน

เวที LINE FOOD TECH 2025 ย้ำ 4 คันโยก ที่ลงมือแล้วเห็นผล

  1. Differentiation — สร้างความต่างให้ชัด
    เลือก “เล่าเรื่อง” หรือ “นิช” ที่ไปให้สุด เช่น มัทฉะสายเพียว/ซิงเกิลออริจิน, สุกี้แห้งสูตรท้องถิ่น, ไก่ทอดสไตล์เฉพาะถิ่น เชื่อมด้วยกิจกรรมหน้าร้านคอนเทนต์หลังร้าน ให้ลูกค้ารู้สึกว่า “แบรนด์นี้มีตัวตนและเหตุผลของราคา”
  2. คุณภาพ ราคา — คุ้มจริงในมือผู้บริโภค
    ในยุคที่ทุกบาทมีความหมาย ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำเมื่อ “คุณภาพสม่ำเสมอ” และ “ป้ายราคาเข้าใจได้” สูตร ไซซ์ ภาพจริงต้องตรงปก และสื่อสารชัด (เช่น ระบุ % ความหวาน/คาเฟอีน) เพื่อสร้างความเชื่อถือ
  3. Automation — คุมต้นทุนด้วยระบบ
    เริ่มจากจุดที่ “รั่วง่าย” เช่น สต๊อกวัตถุดิบ, ของเสียในครัว, ตารางเวรพนักงาน นำระบบจัดซื้อ/สต๊อก/พนักงานอัตโนมัติเข้ามาช่วย ต้นทุนบุคลากรลดลงโดยไม่กระทบคุณภาพ และผู้จัดการร้านมีเวลาไปทำการตลาด พัฒนาสินค้ามากขึ้น
  4. Experience — ประสบการณ์ลูกค้าคือสินทรัพย์
    ทำให้ “ค้นหา–สั่ง–จ่าย–รับ” ไหลลื่น รองรับการชำระเงินทุกแบบที่ลูกค้าคุ้น มือถือจบได้ในไม่กี่คลิก ตั้ง SLA ความเร็ว และ ระบบคิว ที่โปร่งใส พร้อม การันตีคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ในกรณีผิดพลาด เพื่อซื้อใจในระยะยาว

มัทฉะ” ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือบทเรียนเชิงกลยุทธ์

การขึ้นแท่นของมัทฉะสอนเราสามข้อ

  • คุณภาพ–ความแท้จริง ชนะในระยะยาว ผู้บริโภคสนใจ “เพียวมัทฉะ” มากกว่าเมนูที่ถูก–หวานจัด
  • ซัพพลายและเล่าเรื่อง สำคัญเท่ารสชาติ แหล่งที่มา–ระดับการบด–พิธีชง เป็นส่วนหนึ่งของ “ประสบการณ์”
  • ต่อยอดข้ามหมวด ได้ เช่น จากเครื่องดื่มสู่เบเกอรี่ ครัวซองต์ ขนมปังมัทฉะ เมื่อทำให้ “คอนเซ็ปต์เดียวกัน” เชื่อมทุกเมนู

ด้วยเหตุนี้ ร้านเล็กสามารถ “จิ้มจุดต่าง” ให้ชัด แล้วใช้คอนเทนต์–รีวิวจริง–กิจกรรมร่วมกับคอมมูนิตี้วัฒนธรรมชา สร้างฐานลูกค้าประจำที่มั่นคงกว่าการลดราคาแข่ง

โรดแมป 90–180 วัน แผนทำจริงสำหรับปี 2026

ช่วง 0–90 วัน

  • ติดตั้ง ระบบสต๊อก–จัดซื้อ แบบง่ายที่เชื่อม POS
  • ตั้ง มาตรฐานคุณภาพ (สูตร–ไซซ์–ภาพจริง) และอบรมบาริสต้า/ครัวให้ชัดเจน
  • เปิด ช่องทางสั่งครบ หน้าร้าน–โทร–แชต LINE–เดลิเวอรี พร้อม จ่ายหลายแบบ (โอน/QR/บัตร/อีวอลเล็ต)

ช่วง 91–180 วัน

  • ทดลอง 2–3 เมนู “นิช” (เช่น เพียวมัทฉะระดับเกรด/สุกี้แห้งสูตรบ้านเกิด) พร้อม A/B test ราคา–ภาพ–คำอธิบาย
  • นำ ระบบจัดตารางพนักงานอัตโนมัติ และ วิเคราะห์ของเสีย เพื่อลดต้นทุน 3–7%
  • ทำ โปรแกรมสมาชิก บน LINE OA สะสมแต้ม–เกิดวัน–ชุดล่วงเวลา (off-peak) ดันยอดช่วงเงียบ

ตลอดปี 2026

  • สร้าง คอนเทนต์เล่าเรื่องวัตถุดิบ และ รีวิวจริงตรวจสอบได้
  • ขยาย สาขา/คีออสท์ขนาดเล็ก ในทำเลรองที่ต้นทุนเช่าต่ำ แต่มีทราฟฟิกกลุ่มเป้าหมาย
  • วัดผล CSAT/NPS รายช่องทาง และเชื่อมเข้ากับโบนัสทีม เพื่อให้ “ประสบการณ์ลูกค้า” เป็น KPI กลาง

เปิดเร็ว–ปิดเร็ว หรือปรับเร็ว–อยู่ยาว

ประเด็นที่ทำให้หลายร้าน “เปิดเร็ว–ปิดเร็ว” มักไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือ โครงสร้างต้นทุน–ระบบ–จุดต่าง ที่ไม่ทันกาล ข้อมูลจาก LINE FOOD TECH 2025 จึงไม่ได้ชี้เพียง “ตลาดแย่” แต่ยื่น เครื่องมือ ให้จับต้อง—ตั้งแต่วิธีเลือกเมนูที่มีสัญญาณเติบโต (เช่น มัทฉะ/สุกี้/ไก่ทอด), การทำโอมนิแชนแนลให้ลื่น, ไปจนถึงระบบหลังบ้านที่ช่วยอุ้มกำไร

เมื่อปี 2026 กำลังจะมาถึงพร้อมความผันผวน สิ่งที่ร้านเล็กทำได้คือ “เปลี่ยนแต่เนิ่น ๆ” เปลี่ยนให้มีข้อมูล เปลี่ยนให้มีระบบ เปลี่ยนให้โดดเด่นในสายตาลูกค้า — เพราะในตลาดที่ลูกค้าจ่ายน้อยลง การเลือกของพวกเขาจะยิ่งเฉียบคมขึ้นเสมอ

สถิติสำคัญจากเวที

  • ยอดขายหน้าร้านปี 2025 (Offline SSS) ลดลง 14% (ปี 2024 ลด 3%)
  • ต้นทุนรวม เพิ่ม >25% โดยวัตถุดิบ +25% และค่าแรงปรับขึ้น
  • ลูกค้าจ่ายน้อยลง บิล <500 บาท -12%, บิล >500 บาท -14%
  • สตรีทฟู้ด โต 4% | ไก่ทอด โต 18% | สุกี้ โต 30% (ไตรมาสล่าสุด)
  • มากกว่า 50% ของร้านเปิดใหม่ ปิดภายในปีแรก
  • มัทฉะ/ชาเขียว โต 28% เป็น ~1,160 ล้านบาท | ร้านที่ขายชาเขียวเพิ่มจาก 9,600 → 12,400 ร้าน
  • ครึ่งปีแรก 2025 มีการสั่ง มัทฉะ >5 ล้านแก้ว บนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี
  • ชานมเผือกโมจิ ยอดค้นหา +530%, ยอดขาย >150,000 แก้วใน 3 เดือน
  • เดลิเวอรีเติบโต 2–3%/ปี, คิดเป็น ~29% ของยอดขายรวม
  • ความคาดหวังผู้บริโภค ช่องทางสั่งหลากหลาย 72%, จ่ายได้หลายแบบ 66%, เร็ว 60%, คิวดี 43%, สะดวก 36%

ข้อมูลจาก LINE FOOD TECH 2025 ให้ภาพใหญ่ที่ตรงไปตรงมาว่า “ปีที่ยาก” ยังไม่ผ่านพ้น แต่ โอกาส อยู่ตรงการเลือกเล่นในสนามที่ “คนอยากซื้อจริง” (เช่น มัทฉะ–สุกี้–ไก่ทอด), ทำระบบให้เกิดผล (automation/stock), และทำประสบการณ์ให้เหนือความคาดหวัง (โอมนิแชนแนล–จ่ายหลายแบบ–คืนเงินโปร่งใส) หากทำได้ ร้านเล็กก็มีสิทธิ์ “อยู่ยาว” ท่ามกลางคลื่นเศรษฐกิจที่ซัดแรง

ปี 2026 จึงน่าจะไม่ใช่ปีที่ร้านอาหารต้อง “ทนรอ” แต่เป็นปีที่ ลงมือปรับ เพื่อกลับมา “เลือกกำไร” แทนที่จะ “เหลือกำไร”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • LINE for Business — LINE FOOD TECH 2025
  • LINE MAN Wongnai
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

นักท่องเที่ยวหาย! เจาะ 3 ตลาดโอกาสใหม่ ดันเชียงรายชิงส่วนแบ่งจากอัตราเข้าพักที่ยังว่าง

อัตราเข้าพัก 55.5%” กับโจทย์ใหญ่ของโรงแรมเชียงราย ทำอย่างไรให้รายได้อันดับ 2 ของภาคเหนือ แปลงร่างเป็น “กำไรยั่งยืน” ท่ามกลางอุปทานใหม่ที่ชะลอตัวและนักท่องเที่ยวจีนหายไป

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ครึ่งทางของปีท่องเที่ยว 2568 ผ่านไปพร้อมตัวเลขที่ตีความได้สองหน้า ด้านหนึ่ง “เชียงราย” ยังรักษาตำแหน่งจังหวัดรายได้ท่องเที่ยวอันดับ 2 ของภาคเหนือด้วยยอดสะสม 35,926 ล้านบาท (ม.ค.–ก.ย. 2568) รองเพียงเชียงใหม่ สะท้อนศักยภาพของปลายทางเมืองรองที่กำลังเติบโต แต่อีกด้านหนึ่ง อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมในภาคเหนือ (ซึ่งรวมจังหวัดเชียงราย) ในช่วง ครึ่งแรกของปี 2568 กลับอยู่เพียง 55.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 60.8% ตัวเลขชุดนี้เปิดภาพ “โอกาส–ช่องว่าง–และภารกิจ” พร้อมกันในคราวเดียว ตลาดยังไม่ตึงตัวเท่ากรุงเทพฯ การแข่งขันยังเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นใหม่ที่มีคุณภาพ แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับแผนรับมือกับ “ดีมานด์ที่เปลี่ยนทิศ” และ “ซัพพลายที่ชะลอเปิดใหม่” เพื่อเปลี่ยนโอกาสเชิงปริมาณให้กลายเป็นผลลัพธ์เชิงคุณภาพอย่างจริงจัง

บทความข่าวชิ้นนี้ชวนผู้อ่านถอดรหัสสถานการณ์โรงแรมเชียงราย–และภาคเหนือ—ด้วยวิธีการเล่าแบบ “ค่อย ๆ เปิดชั้นข้อมูล” ตั้งแต่ภาพมหภาคของประเทศ สู่บริบทภาคเหนือและพฤติกรรมตลาดเฉพาะพื้นที่ ก่อนปิดท้ายด้วย “รายการปฏิบัติการ” ที่ผู้ประกอบการทำได้ทันที พร้อมอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้จากหน่วยงานรัฐและสถาบันที่เชื่อถือได้

ตัวเลขที่ขัดแย้ง—อุปสงค์ชะลอ แต่อัตราเข้าพักประเทศดีขึ้น

รายงาน “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” ของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สรุปแรงกดดันด้านอุปสงค์ชัดเจน—นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง –4.7% YoY โดยเฉพาะตลาดจีนที่หดตัวถึง -34.1% และมาเลเซีย -5.6% ซึ่งเป็นสองสัญชาติหลักที่เคยพยุงยอดผู้มาเยือนในภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี ในระดับประเทศ อัตราการเข้าพักเฉลี่ย กลับ “ขยับขึ้น” เป็น 60.8% (จาก 59.1% เดิม) สะท้อนว่าแม้อุปสงค์รวมสะดุด แต่โรงแรมจำนวนมากยังคงสามารถรักษาอัตราการใช้ห้องพักได้ผ่านการบริหารราคาและช่องทางขายที่คล่องตัว ประกอบกับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังพยุงตลาดเอาไว้ได้พอสมควร

ทำไมภาพรวมประเทศดีขึ้น แต่ ภาคเหนือ (รวมเชียงราย) จึงเฉลี่ยเพียง 55.5%? คำตอบหนึ่งอยู่ที่ “การกระจุกตัวของการลงทุน” และ “โครงสร้างดีมานด์” ที่เปลี่ยนแปลง—ขณะที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑลเดินหน้าโครงการใหม่ เพิ่ม stock อย่างหนัก ภาคเหนือกลับขยับช้ากว่า และต้องแบกรับ shock จากตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่

แว่นขยายซัพพลาย—เปิดใหม่ลดลง สะสมหดตัว แต่พื้นที่อนุญาตก่อสร้างโตแรงในศูนย์กลาง

REIC ฉายภาพ ซัพพลายโรงแรมทั่วประเทศ ในครึ่งแรกปี 2568 ว่า

  • โรงแรมขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ ลดลงทั้ง “จำนวนแห่ง” -34.6% และ “จำนวนห้อง” -32.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
  • จำนวนโรงแรมจดทะเบียนสะสม ลดลง -3.7% และ จำนวนห้องพักสะสม ลดลง -1.8% สะท้อนการ “คัดตัวเองออกจากตลาด” ของผู้เล่นบางกลุ่ม รวมถึงการปิดตัวชั่วคราวที่ยังไม่กลับมาเปิด
  • ตรงกันข้าม พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศ กลับเพิ่มขึ้น 29.6% โดย กรุงเทพฯ–ปริมณฑล พุ่งสูงถึง +230.7% ชี้ว่าการลงทุนใหม่กำลังกระจุกตัวในเมืองหลักและศูนย์กลางขนส่ง/ธุรกิจ—แนวโน้มที่อาจดูดดีมานด์ high-yield ไปจากเมืองรองบางช่วงเวลา

สำหรับ ภาคเหนือ (ที่นับรวมเชียงราย) ผลรวมคือ “ยังมี room ให้โต”—เพราะการแข่งขันไม่รุนแรงเท่ากรุงเทพฯ แต่ก็หมายความว่า “ต้องลงมือจัดพอร์ตสินค้าและมาตรฐานบริการให้ตรงดีมานด์ใหม่” เพื่อเก็บเกี่ยว share ที่ยังเหลืออยู่

 ดีมานด์เปลี่ยนหน้า—จีนสะดุด แต่มี “สามตลาดโอกาส” แทรกขึ้นมา

ตัวเลขของ REIC ยังสะท้อน “การสับเปลี่ยนโครงนักท่องเที่ยว” อย่างชัดเจน—แม้จีนและมาเลเซียถอย แต่ยังมีสามกลุ่มที่ขยายตัวเกิน 10% ได้แก่

  • อินเดีย (+13.8%)
  • รัสเซีย (+12.4%)
  • สหราชอาณาจักร (+17.9%)

สำหรับ เชียงราย ซึ่งมีทั้งธรรมชาติ–ศิลปะ–วิถีชนเผ่า–ชายแดน–กาแฟ–ชา—ฐานทรัพยากรวัฒนธรรมเมืองรองเหล่านี้สอดรับกับพฤติกรรมนักเดินทาง “คุณภาพ” ที่นิยมสเตย์นานขึ้น เดินทางนอกฤดูกว่าภูเก็ต/เชียงใหม่ และมักจองกิจกรรมเฉพาะทาง (artisan/ชา–กาแฟ/เดินป่าเบา ๆ/ชุมชน). นี่คือ “ฐานใหม่” ที่ผู้ประกอบการโรงแรมควรแปลงเป็นแพคเกจและช่องทางขายอย่างจริงจัง

ภาพเฉพาะเชียงราย—รายได้อันดับ 2 ของภาคเหนือ แต่ occupancy ยัง “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ในเชิงรายได้ เชียงราย ทำได้โดดเด่น—รายได้ท่องเที่ยว 9 เดือน แรกแตะ 35,926 ล้านบาท เป็นรองเพียงเชียงใหม่ในภาคเหนือ แต่มิติ ประสิทธิภาพการใช้ห้อง (occupancy) ยังอยู่ในกรอบเฉลี่ยของภาคเหนือที่ 55.5% (H1/2568) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 60.8% ความหมายเชิงปฏิบัติคือ “รายได้รวมสูง แต่การใช้ห้องยังไม่เต็มศักยภาพ”—ถ้าเพิ่มอัตราเข้าพักขึ้นได้ทีละ 3–5 จุดเปอร์เซ็นต์ โดยไม่กดราคาแรงจน RevPAR ตก ภาพกำไรของผู้ประกอบการจะต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่กำลังฉุดตัวเลข

  1. ฤดูกาล/พีกชอร์ต (peak short) — เชียงรายยังขึ้นกับฤดูกาลหนาวและงานเทศกาลเป็นหลัก ช่วง non-peak จึงโล่งยาว
  2. โครงสร้างช่องทางขาย — โรงแรม/ที่พักจำนวนหนึ่งยังพึ่งพา OTA เป็นหลัก มี direct channel ไม่แข็งแรงพอ ทำให้ต้นทุนค่าคอมสูง และควบคุม yield/segment ยาก
  3. พอร์ตสินค้า — สัดส่วนที่พักระดับกลาง–บนที่มีจุดขาย “ประสบการณ์+ความยั่งยืน” ซึ่งนักเดินทางรุ่นใหม่ยอมจ่าย premium ยังไม่มากเท่าจังหวัดแม่เหล็กอื่น

จะ “ปิดช่องว่าง 55.5%” อย่างไรให้เห็นผลใน 2 ฤดูกาล

เพื่อไม่ให้ข้อเสนอเป็นแค่สูตรสำเร็จ เราผูก “การบ้าน 5 ข้อ” เข้ากับโครงสร้างดีมานด์–ซัพพลายและนโยบายภาครัฐที่เกิดขึ้นจริงในปี 2568

1) ปั้นไฮซีซันให้ “ยาวขึ้น” ด้วย Micro-Season และ Shoulder Events

  • สร้าง mini-festival/กิจกรรมเฉพาะทาง (กาแฟ–ชา–ดนตรีในสวน–คอมมูนิตี้รัน–ศิลปะร่วมสมัย) ในช่องว่างระหว่างเทศกาลหลัก เช่น หลังปีใหม่ถึงก่อนซากุระพญาเสือโคร่งบาน หรือปลายฝนก่อนลมหนาว เพื่อถ่างไหล่ไฮซีซัน
  • ทำ แพคเกจร่วม ระหว่างโรงแรม–ผู้จัดกิจกรรม–คาเฟ่–อาร์ตสเปซ เน้นระยะสั้น 2–3 คืน มุ่งกลุ่มกรุงเทพฯ/เชียงใหม่ที่ขับรถมาเองและตลาดลัดฟ้า CLMV

2) ใช้ “สามตลาดโอกาส” ให้คุ้ม อินเดีย–รัสเซีย–สหราชอาณาจักร

  • อินเดียชอบ leisure+family+ภาพถ่าย เพิ่ม service design สำหรับครอบครัว (connecting rooms, kids activity, อินเดียมังสวิรัติ) พร้อมแผนสื่อสารในภาษาอังกฤษที่เน้นภาพ “สวย ถ่ายรูปขึ้น”
  • รัสเซียต้องการธรรมชาติ–อากาศเย็น วางโปรยาว 5–7 คืน สำหรับ long-stay ใน low season ด้วยราคาเฉลี่ยต่อคืนที่จูงใจแต่คง margin ผ่านบริการเสริม (laundry/ซ่อมจักรยาน/คูปองร้านในเมือง)
  • สหราชอาณาจักรเน้นคุณค่าความยั่งยืนและวัฒนธรรม ใส่มาตรฐาน sustainable practice ที่ตรวจสอบได้ เช่น การลดพลาสติก, แหล่งซื้ออาหารท้องถิ่น, กิจกรรม community-based พร้อมหน้าเว็บแสดงนโยบาย ESG ชัดเจน

3) รีแพ็กเกจสินค้ากลุ่ม Bleisure และ Wellness-lite

เทรนด์ทำงานนอกสถานที่ยังไม่หาย—ออกแบบแพคเกจ “Work from Chiang Rai 5–7 คืน” รวม co-working day pass/นวดไทย/กิจกรรมเย็น, เน็ตแรงรับรอง, late check-out วันศุกร์ พร้อม “เงื่อนไขเลื่อนได้” เพื่อลดความเสี่ยงผู้จอง

4) Direct Booking-First ลดค่าคอมฯ OTA โดยไม่เสียยอด

  • ตั้ง “Best Value on Our Site” จริง—ไม่ใช่คำโฆษณา—ให้สิทธิพิเศษเฉพาะจองตรง เช่น early check-in (ถ้าห้องว่าง), welcome drink, เครดิตอาหาร 300 บาท/คืน
  • ลงทุน CRM + Email Automation เพื่อเรียกกลับลูกค้าเก่า ส่งข้อเสนอจับเวลา 72 ชั่วโมงหลังเช็กเอาต์ พร้อมดีลวันเกิด/ครบรอบ—ต้นทุนต่ำแต่ conversion สูง
  • วัดผลด้วย RevPAR/Net (หลังหักค่าคอม) ไม่ใช่แค่ ADR/Occ. เพื่อเห็นกำไรจริง

5) เตรียมตัวรับ Air Access และ “คานอำนาจราคา” ในไฮซีซัน

นโยบายเชิงรุกของรัฐในไตรมาสท้ายปี—ตั้งแต่การเจรจาเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังเมืองรอง ไปจนถึงมาตรการจูงใจสายการบิน—หากส่งผลถึงเชียงราย ผู้ประกอบการต้องพร้อมทั้ง Rate Strategy และ Allotment Management ไม่ขายห้องหมดเร็วเกินไปในราคาเปิด–แต่กัก allotment เพื่อจับดีมานด์ท้ายไฮซีซันที่ willingness-to-pay สูงกว่า

ด้านแรงงานและมาตรฐานบริการ คู่สมรสของ Occupancy

อัตราเข้าพักจะ “แปรเป็นกำไร” ก็ต่อเมื่อโรงแรมคุม ต้นทุนแรงงาน–พลังงาน–อาหาร ได้ในระดับคุณภาพบริการที่ไม่ตก—เรื่องนี้ยิ่งสำคัญในเชียงรายที่ตลาดแรงงานการบริการคุณภาพยังตึงมือเป็นระยะ ข้อเสนอทางปฏิบัติ ได้แก่

  • Upskill แบบ pinpoint เลือกทักษะที่สร้างความต่าง เช่น สื่อสารอังกฤษ/จีนขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานต้อนรับ–เบลล์บอย, เทคนิค upsell อาหารเช้า–สปา–เลทเช็กเอาต์ สำหรับ front-line
  • Energy Management ลงระบบควบคุมไฟ–แอร์โซนสาธารณะ, เปลี่ยนหลอด/เครื่องทำน้ำร้อนประสิทธิภาพสูง, ติดตาม kWh ต่อห้อง/คืน แบบรายสัปดาห์—ต้นทุนกิโลวัตต์ลดลง = margin เพิ่มขึ้นโดยไม่แตะราคา
  • มาตรฐานความสะอาด–ความปลอดภัย ให้ “เห็นและจับต้องได้” ป้ายเช็กชื่อแม่บ้าน/เวลาทำความสะอาด, มุมแสดงนโยบายอาหารปลอดภัย, อธิบายการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ—คือสัญญาณคุณภาพที่นักเดินทางยุคใหม่ให้คะแนน

สัญญาณเตือนและโอกาสระยะกลาง ซัพพลายใหม่กำลัง “เลือกเกิด” เมืองรองต้องชิงคุณภาพ

แม้จำนวนโรงแรมอนุญาตเปิดใหม่ทั่วประเทศลดลงแรง แต่ พื้นที่ก่อสร้างรวม กลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ–ปริมณฑล—แปลว่าเงินลงทุนกำลัง “เลือกเกิด” ในจุดที่คิดว่าหวังผลได้แน่ เมืองรองอย่างเชียงรายจึงควรเน้น “คุณภาพสินทรัพย์” ไม่ไล่ปริมาณ ตอบโจทย์กลุ่มพรีเมียม–ครอบครัว–นักเดินทางยาว เพื่อยืดระยะเวลาพักและดันค่าใช้จ่ายต่อทริป (Spend per Trip) มากกว่าการแข่งราคาเฉลี่ยต่อคืน

การที่ สินเชื่อคงค้างโรงแรม/รีสอร์ท ครึ่งแรกปี 2568 อยู่ที่ 418,557 ล้านบาท (ขยายตัวเล็กน้อย +0.2% YoY) บ่งชี้ว่าแบงก์ยัง “เปิดไฟเขียวแบบมีเงื่อนไข”—ทีมที่มีแผนธุรกิจชัด, Demand mapping ดี, โครงสร้างทุนเหมาะสม ยังเข้าถึงแหล่งเงินได้ เมืองรองจึงควรชูแผนเชื่อมชุมชน–สิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม เพื่อให้ดีลมี “เรื่องเล่าและผลกระทบเชิงบวก” มากกว่าตัวเลข occupancy เพียงอย่างเดียว

เชื่อมโยงกับโครงนโยบายท่องเที่ยว ทำงาน “ร่วมจังหวะรัฐ” ให้เป็น

ในระดับนโยบาย ภาครัฐผลักดัน Airline Focus เพิ่มเส้นทางบินสากลเข้าสู่ไทยและเมืองหลักหลายแห่ง รวมทั้งการรุกตลาดต่างชาติช่วงไฮซีซัน การส่งสัญญาณเช่นนี้สำคัญต่อเชียงรายใน 2 ประเด็น

  1. หากเที่ยวบินระหว่างประเทศ/เช่าเหมาลำเข้าถึงเมืองเหนือมากขึ้น เชียงรายต้องรีบจับมือผู้จัดทัวร์–ไกด์–ผู้ประกอบการกิจกรรม เพื่อทำ multi-night program ที่ดึงนักท่องเที่ยวไปไกลกว่า “แวะ 1 คืน”
  2. ควรใช้สถานะเมืองปลายทางปลอดภัย–เป็นมิตร–วัฒนธรรมเด่น มัดใจกลุ่มผู้หญิงเดินทางเดี่ยว/กลุ่มเล็ก/ดิจิทัลโนแมด ที่มีแนวโน้มพักยาวและใช้จ่ายเฉลี่ยสูง

จากตัวเลขสู่การบ้าน—ทำอย่างไรให้ “55.5%” ขยับใกล้ 60.8% และเกินกว่านั้น

ภารกิจเร่งด่วน 90–180 วัน สำหรับโรงแรมเชียงรายและภาคเหนือที่อยากเห็น occupancy ขยับขึ้นอย่างมีคุณภาพ โดยไม่บั่นทอนราคาเฉลี่ย มีได้อย่างน้อย 6 ข้อ

  1. สร้างแพคเกจ “อยู่ยาวขึ้น” (Stay Longer, Save Smarter) 4/6/8 คืน พร้อมสิทธิ late check-out + เครดิต F&B แทนการลดราคาโต้ง ๆ เพื่อรักษา ADR
  2. เน้นกลุ่มเดินทางต่างชาติที่เติบโต—อินเดีย/รัสเซีย/สหราชอาณาจักร—ทำคอนเทนต์ภาษาอังกฤษที่ตอบคำถาม “มาทำอะไรได้บ้างใน 72 ชั่วโมง” พร้อมจองกิจกรรมล่วงหน้าบนเว็บตรง
  3. ทำ Calendar Micro-Season ร่วมพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อถ่างช่วงพีก และเลี่ยง “หลุมร้าง” ระหว่างเทศกาลโดยใช้กิจกรรมเฉพาะทาง
  4. จัดโครงสร้างราคาแบบ smart-fence member-only rates บนเว็บตรง, add-on ซื้อเพิ่ม (อาหารเช้า/รถรับ–ส่ง/กิจกรรม), กำหนด blackout period ให้ OTA ในวันดีมานด์สูง
  5. ยกระดับงานบริการเชิงประสบการณ์ (experience cues) ที่ต้นทุนต่ำแต่รับรู้คุณค่าสูง เช่น ชา–กาแฟสายพิเศษ local maker, มินิวอร์กช็อป 30 นาที, มุมงานคราฟต์เด็ก–ครอบครัว
  6. วัดผลด้วยตัวชี้วัด “กำไรจริง”—RevPAR/Net, GOPPAR—แทนการดัน occupancy อย่างเดียว เพื่อเลี่ยงกับดัก “ห้องเต็มแต่กำไรบาง”

หากทำได้ตามนี้ แม้ “จำนวนนักท่องเที่ยวรวม” ยังแกว่งตามเศรษฐกิจโลก ผู้ประกอบการเชียงรายก็ยังมีโอกาสดันอัตราเข้าพักให้ “ไล่ทันหรือแซงค่าเฉลี่ยประเทศ” พร้อมรักษาราคาเฉลี่ยต่อคืนให้เหมาะกับคุณภาพประสบการณ์—นั่นคือการเปลี่ยนรายได้จังหวัดที่อันดับ 2 ของภาคเหนือ ให้ “ไหลลงงบกำไรขาดทุน” อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • athitahotel
  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (MOTS)
  • ข้อมูลข่าวและสรุปนโยบายภาครัฐด้านการท่องเที่ยวปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News