Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวสะดุด สงกรานต์ปีนี้ ต่างชาติลดจองโรงแรมร่วง

สมาคมโรงแรมไทยเผยสงกรานต์ 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติลด 6.8 แสนคน ยอดจองห้องพักทรุด 25%

ประเทศไทย, 3 เมษายน 2568 – สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วงวันที่ 11–17 เมษายน 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2567 หรือคิดเป็นตัวเลขลดลงกว่า 689,282 คน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้

ยอดจองห้องพักลดลงทั่วประเทศ ยกเว้นภูเก็ตและเชียงราย

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลการสำรวจจากโรงแรมสมาชิกใน 7 จังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 52 แห่ง พบว่า จำนวนยอดจองห้องพักโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 32,244 ห้อง ลดลงจากปี 2567 ที่มียอดจอง 42,761 ห้อง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.68

ยอดจองห้องพักในแต่ละจังหวัด

  • กรุงเทพมหานคร: โรงแรม 22 แห่ง มียอดจอง 13,371 ห้อง ลดลง 31.57% จากปีก่อน
  • กระบี่: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 1,063 ห้อง ลดลง 3.68%
  • ชลบุรี: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,208 ห้อง ลดลงถึง 67.14%
  • เชียงใหม่: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,414 ห้อง ลดลง 10.92%
  • สุราษฎร์ธานี: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 552 ห้อง ลดลง 18.58%

ในขณะที่มีเพียงสองจังหวัดเท่านั้นที่มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น คือ

  • เชียงราย: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 77 ห้อง เพิ่มขึ้น 102.63% จาก 38 ห้องในปี 2567
  • ภูเก็ต: โรงแรม 11 แห่ง มียอดจอง 12,600 ห้อง เพิ่มขึ้น 4.87% จาก 12,015 ห้องในปี 2567

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกือบ 7 แสนคนในเดือนเมษายน

จากสถิติของสมาคมฯ คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตลอดทั้งเดือนเมษายน 2568 จะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 25% หรือคิดเป็น 689,282 คน เหลือเพียง 2,067,846 คน จากจำนวน 2,757,128 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในหลายพื้นที่

กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงเป็นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

การสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยยังระบุว่า นักท่องเที่ยว 3 กลุ่มหลักที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่

  1. นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  2. นักท่องเที่ยวจากยุโรป
  3. นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ลดลงในปีนี้อาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เน้นการเลือกจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

สมาคมโรงแรมไทยเรียกร้องรัฐเร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

นายเทียนประสิทธิ์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้แตกต่างจากช่วงสงกรานต์ในปี 2566 และ 2567 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 และนักท่องเที่ยวมีความตื่นตัวสูง ส่งผลให้ยอดจองห้องพักพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สงกรานต์ปีนี้ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

ภาพสะท้อนในจังหวัดเชียงราย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

แม้ในภาพรวมตัวเลขจะลดลง แต่จังหวัดเชียงรายกลับเป็นหนึ่งในสองจังหวัดที่มีตัวเลขการจองห้องพักเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เชียงรายพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ความเห็นจากสองมุม: มองต่างแต่ร่วมทางได้

ฝ่ายสนับสนุนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งและการลดภาษีธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร และรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายระมัดระวังงบประมาณรัฐ เห็นว่าการอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในช่วงเวลาที่รายได้ภาครัฐลดลง อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ระยะยาว เช่น พัฒนาคุณภาพบริการ เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่าเพียงแค่กระตุ้นตัวเลขในช่วงเทศกาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2567: 2,757,128 คน
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2568: 2,067,846 คน (ลดลง 25%)
  • ยอดจองห้องพักรวมใน 7 จังหวัด: 32,244 ห้อง (ลดลงจาก 42,761 ห้องในปี 2567)
  • จังหวัดที่ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น: เชียงราย (เพิ่ม 102.63%), ภูเก็ต (เพิ่ม 4.87%)
  • จังหวัดที่ยอดจองลดลงมากที่สุด: ชลบุรี (ลดลง 67.14%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมโรงแรมไทย (THA)
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • รายงานการท่องเที่ยวเดือนมีนาคม 2568, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลดค่าครองชีพ พาณิชย์คุมราคา เข้มสินค้าจำเป็นทั่วประเทศ

พาณิชย์เดินหน้าคุมราคาสินค้า จัดโครงการลดค่าครองชีพทั่วประเทศ รับมือเศรษฐกิจครัวเรือนช่วงต้นปี 2568

ประเทศไทย, 26 มีนาคม 2568 – กระทรวงพาณิชย์โดยการนำของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมเดินหน้าโครงการลดราคาสินค้าจำเป็น เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในสังคมในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะฟื้นตัว

เฝ้าระวังราคาสินค้า – ย้ำไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ

นายพิชัย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569 โดยประชาชนสามารถร้องเรียนหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร

ราคาสินค้าสำคัญยังทรงตัว – อาหารสดหลายรายการปรับลดลง

จากข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ราคาสินค้าหลายรายการยังทรงตัว หรือปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า เช่น

  • ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 3.20 บาทต่อฟอง
  • ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาขายปลีกเฉลี่ย 3.50 บาทต่อฟอง
  • ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 40-41 บาทต่อกิโลกรัม
  • น่องติดสะโพกไก่ ราคาเฉลี่ย 78.81 บาทต่อกิโลกรัม
  • อกไก่ติดหนัง ราคาเฉลี่ย 79.50 บาทต่อกิโลกรัม
  • สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 79.70 บาทต่อกิโลกรัม

ในกลุ่มผักสด ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว โดยผักที่ราคาลดลง ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว และมะละกอดิบ ขณะที่ผักบางชนิด เช่น ผักชีและกระชาย มีการปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต

ขับเคลื่อนโครงการลดค่าครองชีพ ครอบคลุมทุกกลุ่ม

เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น

  • โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2568 มอบส่วนลดพิเศษให้ผู้สูงอายุ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด โดยคาดว่าจะลดภาระค่าครองชีพรวมกว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
  • โครงการ Back to School 2025 เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาในช่วงเปิดเทอม โดยร่วมกับร้านค้าทั่วประเทศ มอบส่วนลดสำหรับอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ และสินค้าไอที
  • รถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่ และงานธงฟ้า มีการจัดงานจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดกว่า 50 จุดในเขตกรุงเทพฯ และขยายไปยังต่างจังหวัดอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาค

คุมเข้มราคาสินค้า มีบทลงโทษชัดเจน

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเข้มงวดกับการควบคุมราคาสินค้าและบริการ หากพบการกระทำผิด เช่น การฉวยโอกาสขึ้นราคา การกักตุน หรือปฏิเสธการขายสินค้า จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน
เห็นว่ามาตรการของกระทรวงพาณิชย์มีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่มีรายได้น้อย การออกโครงการลดราคาสินค้าในช่วงเปิดเทอมถือว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดี ขณะที่การควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานช่วยให้ตลาดยังคงสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
แม้จะมีโครงการลดราคาสินค้า แต่ยังมีข้อท้วงติงว่าโครงการบางส่วนครอบคลุมพื้นที่จำกัด และไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดที่จำเป็น เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง หรือสินค้าสดบางประเภทที่ราคาผันผวนรวดเร็ว การติดตามและควบคุมราคาในตลาดจริงยังต้องอาศัยกลไกภาคประชาชนและเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง (มีนาคม 2568)

ประเภทสินค้า

ราคาขายเฉลี่ย

แนวโน้ม

ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม

3.20 บาท/ฟอง

ทรงตัว

ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม

40-41 บาท/กก.

ลดลงเล็กน้อย

น่องติดสะโพก

78.81 บาท/กก.

ลดลง

สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม

79.70 บาท/กก.

ทรงตัว

ผักคะน้า

25.00 บาท/กก.

ลดลง

ผักชี

120.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

กระชาย

90.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (ประกาศราคาสินค้ารายสัปดาห์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568)

  • เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ www.commerce.go.th

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ – รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2568

  • สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

หมูแพงขึ้น! ผู้เลี้ยงเผยขาดทุนหนัก ปรับราคาตามกลไกตลาด

ราคาหมูขยับขึ้น! สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแจงต้นทุน-การควบคุมผลผลิต หนุนราคาสมดุล

ประเทศไทย, 25 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสุกรในประเทศ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความสนใจและความกังวลให้กับผู้บริโภคและผู้ค้าในตลาดสด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพของประชาชนยังอยู่ในระดับสูง

ราคาสุกรขยับรับกลไกตลาดหลังขาดทุนยาว

ตลอดปี 2566 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2567 เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มฟาร์มขนาดเล็กหลายแห่งต้องยุติการดำเนินกิจการ ส่วนฟาร์มขนาดกลางถึงใหญ่ลดจำนวนแม่พันธุ์ลงถึง 40-50% เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงจากภาวะขาดทุน

ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อยู่ในระดับที่ทำให้เกษตรกรขาดทุนประมาณ 500-700 บาทต่อตัว โดยช่วงที่ขาดทุนหนักที่สุดคือไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งขาดทุนสูงถึงตัวละ 3,600 บาท หรือคิดเป็น 40% ของต้นทุนการเลี้ยงสุกร

ปัจจุบันเริ่มมีกำไรขั้นต้น ราคาหน้าฟาร์มปรับขึ้น

ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มปรับตัวเพิ่มขึ้น จนสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ประมาณ 13% ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่ “ยุติธรรม” ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรแดงในห้างค้าปลีกอยู่ที่ประมาณ 143 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาที่ตลาดสดอยู่ที่ประมาณ 150 บาทต่อกิโลกรัม

นายสิทธิพันธ์ ระบุว่า การปรับขึ้นของราคาดังกล่าว เป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ได้เกิดจากการกำหนดราคาหรือการปั่นราคาแต่อย่างใด พร้อมย้ำว่าผู้เลี้ยงสุกรร่วมมือกับภาครัฐในการควบคุมราคามาโดยตลอด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป

ควบคุมปริมาณแม่พันธุ์ หวังรักษาสมดุลตลาด

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางควบคุมปริมาณแม่พันธุ์สุกรทั่วประเทศในปี 2568 ให้อยู่ในระดับ 1.1-1.2 ล้านตัว เพื่อควบคุมผลผลิตสุกรขุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 21-23 ล้านตัวตลอดปี ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภคภายในประเทศ

แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสุกรล้นตลาด ซึ่งจะกดราคาหน้าฟาร์มให้ต่ำกว่าต้นทุนอีกครั้ง และในทางกลับกัน หากควบคุมผลผลิตได้เหมาะสม จะสามารถรักษาระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถรับได้ และเกษตรกรสามารถอยู่รอ

ความเสี่ยงด้านสุขภาพสัตว์ยังคงมีอยู่

อีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้เลี้ยงสุกรต้องเฝ้าระวังคือ สภาพอากาศในช่วงต้นปีที่มีทั้งอากาศร้อนและฝนตก สร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของสุกร ทำให้มีโอกาสเกิดโรคในฟาร์มได้ง่ายขึ้น หากมีการระบาดของโรค อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการตายของสุกร และกระทบถึงปริมาณสุกรขุนในระบบ

สมาคมฯ จึงขอความร่วมมือจากผู้เลี้ยงทั่วประเทศให้เพิ่มความระมัดระวังในการบริหารจัดการฟาร์มให้เข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัย การทำความสะอาดฟาร์ม และการใช้วัคซีน เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น

การดูแลผู้บริโภคยังคงเป็นหลักสำคัญ

นายสิทธิพันธ์ ย้ำว่า ผู้เลี้ยงสุกรส่วนใหญ่มีความตั้งใจดูแลผู้บริโภคมาโดยตลอด ทั้งการสนองต่อนโยบายรัฐ การควบคุมราคาสุกร และการร่วมมือในมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังเปราะบาง ผู้เลี้ยงสุกรยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติยืนยันว่า จะพยายามรักษาสมดุลในตลาดให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม ระหว่างต้นทุนการเลี้ยงที่แท้จริงและราคาที่ผู้บริโภครับได้ โดยมีการประสานงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่า การปรับขึ้นราคาสุกรในช่วงนี้เป็นเรื่องจำเป็น หลังจากขาดทุนอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี การได้ราคาที่เริ่มมีกำไรบ้างถือเป็นการประคองอาชีพให้ยืนระยะได้ โดยเฉพาะกลุ่มฟาร์มขนาดกลางและเล็กที่แบกรับต้นทุนมาอย่างยาวนาน

ฝ่ายผู้บริโภค แม้เข้าใจถึงความจำเป็นของผู้ผลิต แต่ก็มีความกังวลว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อค่าครองชีพในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยที่พึ่งพาโปรตีนจากเนื้อหมูเป็นหลัก หากราคายืนในระดับสูงต่อเนื่อง จะต้องหาทางเลือกอื่นที่ราคาย่อมเยากว่า

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ณ มีนาคม 2568)

  • ราคาจำหน่ายสุกรเนื้อแดง:
    • ห้างค้าปลีก: 143 บาท/กก.
    • ตลาดสดทั่วไป: 150 บาท/กก.
  • ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์ม: เพิ่มขึ้น ทำกำไรขั้นต้น ~13%
  • ต้นทุนเฉลี่ยการเลี้ยงสุกร: ประมาณ 3,500-3,800 บาทต่อตัว
  • ขาดทุนหนักสุดในไตรมาส 3/2566: 3,600 บาทต่อตัว
  • จำนวนแม่พันธุ์สุกรที่ควบคุมในปี 2568: 1.1–1.2 ล้านตัว
  • คาดการณ์ผลผลิตสุกรขุนปี 2568: 21–23 ล้านตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กระทรวงพาณิชย์
  • การสำรวจราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ตลาดสดและห้างค้าปลีกทั่วประเทศ (โดยกรมการค้าภายใน)
  • รายงานสถานการณ์การเลี้ยงสัตว์โดยกรมปศุสัตว์ ประจำไตรมาส 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยส่อแวว ธุรกิจเจ๊งพุ่ง 2,218 แห่ง ใน 2 เดือน

เศรษฐกิจไทยสะเทือน ธุรกิจปิดกิจการ 2,218 แห่งใน 2 เดือนแรกปี 2568

ประเทศไทย, 25 มีนาคม 2568 –  ผู้สื่อข่าวรายงานตัวเลขของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีธุรกิจปิดกิจการแล้วถึง 2,218 แห่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 16.86% ขณะที่ยอดการจัดตั้งธุรกิจใหม่กลับลดลง 5.09% เมื่อเทียบกับปี 2567

ธุรกิจใหม่ลดฮวบ ทุนจดทะเบียนหดตัว

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนเพียง 7,529 ราย ลดลง 579 ราย หรือ 7.14% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 ขณะที่ทุนจดทะเบียนใหม่ลดลงถึง 19.78% เหลือ 16,335 ล้านบาท

เมื่อรวมยอดสะสม 2 เดือนแรกปี 2568 พบว่ามีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพียง 16,391 ราย ลดลงจาก 17,270 รายในปีที่แล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 41,285 ล้านบาท ลดลง 9.85% จากปีก่อน

ธุรกิจยอดนิยมที่ยังเกิดใหม่แม้ภาวะชะลอ

แม้ภาพรวมจะซบเซา แต่ยังมี 3 ประเภทธุรกิจที่ยังได้รับความนิยมในการจัดตั้ง ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป – 1,319 ราย ทุน 2,762 ล้านบาท
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – 1,085 ราย ทุน 4,156 ล้านบาท
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร – 675 ราย ทุน 1,341 ล้านบาท

ธุรกิจล้มเลิกพุ่งสูง เหตุต้นทุนพุ่ง-เศรษฐกิจชะลอ

สำหรับการเลิกกิจการ 2 เดือนแรก พบว่ามีจำนวน 2,218 ราย เพิ่มขึ้น 320 ราย คิดเป็น 16.86% จากปี 2567 โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 7,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 656 ล้านบาท หรือ 10.31% ธุรกิจที่เลิกสูงสุด ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป – 227 ราย ทุน 375 ล้านบาท
  2. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร – 92 ราย ทุน 274 ล้านบาท
  3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – 87 ราย ทุน 289 ล้านบาท

ธุรกิจนิติบุคคลยังคงดำเนินการกว่า 9.3 แสนราย

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนิติบุคคลจดทะเบียนรวม 1,981,221 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้มีนิติบุคคลที่ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ 935,839 ราย คิดเป็น 47% ของนิติบุคคลทั้งหมด โดยเป็นบริษัทจำกัดถึง 737,891 ราย หรือ 78.85% ของธุรกิจที่ยังดำเนินการอยู่

ต้นเหตุธุรกิจสะดุด: ปัจจัยภายใน-ภายนอกบีบตัวเลขติดลบ

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้การจัดตั้งธุรกิจใหม่ชะลอตัวลง เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น นโยบายการค้าและภาษีที่เปลี่ยนแปลงจากฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นในประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อในหลายภาคส่วน ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนและการเริ่มต้นกิจการใหม่

สัดส่วนการตั้งธุรกิจต่อเลิกกิจการ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

แม้สถานการณ์จะน่าเป็นห่วง แต่หากพิจารณาอัตราการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการยังอยู่ในระดับ 7:1 ซึ่งดีกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 4:1 ถือเป็นสัญญาณบวกในภาพรวมของเศรษฐกิจไทย

การลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง

ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีนักลงทุนต่างชาติเปิดกิจการในไทย 73 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 68% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 35,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% แหล่งทุนหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น – 38 ราย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท
  2. จีน – 23 ราย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท
  3. สิงคโปร์ – 23 ราย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา – 19 ราย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง – 16 ราย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท

ธุรกิจที่ได้รับการลงทุน ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้า วิจัยและพัฒนา บริการรับจ้างผลิต รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูล (Data Center)

แนวโน้มเศรษฐกิจและความหวังจากมาตรการรัฐ

หน่วยงานรัฐยังคาดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ อาทิ

  • Easy E-Receipt
  • การท่องเที่ยวช่วงฤดูพีค
  • การลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน
  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์ว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจตลอดปี 2568 จะสามารถแตะเป้า 90,000–95,000 ราย ได้หากภาครัฐเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า ตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจยังสูงกว่าการเลิกกิจการอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังน่าลงทุน ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศไทย

ฝ่ายกังวล ชี้ว่า ตัวเลขการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงแรงกดดันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อยที่รับภาระต้นทุนไม่ไหว หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุด อาจเห็นการเลิกกิจการมากขึ้นในไตรมาสถัดไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ม.ค.–ก.พ. 2568)

  • จัดตั้งธุรกิจใหม่: 16,391 ราย (-5.09%)
  • ทุนจดทะเบียนใหม่: 41,285 ล้านบาท (-9.85%)
  • ธุรกิจเลิกกิจการ: 2,218 ราย (+16.86%)
  • ทุนจดทะเบียนเลิก: 7,017 ล้านบาท (+10.31%)
  • นิติบุคคลดำเนินกิจการ: 935,839 ราย
  • การลงทุนจากต่างชาติ: 35,277 ล้านบาท (+33%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ วันที่ 25 มีนาคม 2568 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ททท. เร่งเครื่องดึงจีนเที่ยวไทย โรดโชว์ 3 เมืองใหญ่

ททท.เร่งกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวจีนหลังสัญญาณฟื้นตัว เร่งโรดโชว์ 3 เมืองใหญ่ ผนึกภาคเอกชนสร้างความมั่นใจ ดึงกรุ๊ปทัวร์กลับไทย

กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ททท.กำลังเดินหน้ากระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนอย่างเข้มข้น หลังจากสัญญาณของตลาดเริ่มนิ่งและมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะการจองการเดินทางล่วงหน้าเข้าสู่ประเทศไทยที่เริ่มขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันหยุดแรงงานของจีน

ทั้งนี้ ททท.ได้เตรียมจัดโรดโชว์ใน 3 เมืองใหญ่ของจีน ได้แก่ เซี่ยเหมิน อู่ฮั่น และเฉิงตู ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์และต่อเนื่องถึงช่วงวันแรงงาน

สาเหตุการชะลอตัวของตลาดจีนและแผนฟื้นฟู

นางสาวฐาปนีย์ ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากหลายปัจจัย เช่น การลดลงของเที่ยวบินเช่าเหมาลำกว่า 20% การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกระแสข่าวด้านความปลอดภัยที่กระทบต่อความมั่นใจของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยเดินทางมาไทยมาก่อน

เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ ททท.จึงประสานงานกับสำนักงาน 5 แห่งในจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว ให้เร่งดำเนินการตลาดเชิงรุกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ในจีน การประชาสัมพันธ์กิจกรรมสงกรานต์ และการทำคาราวานรถยนต์จากเมืองคุณหมิงเข้าสู่เชียงใหม่

ดึงภาคเอกชนร่วมโรดโชว์และส่งเสริมกรุ๊ปทัวร์

ททท.ยังได้ร่วมมือกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (แอตต้า) ในการจัดโรดโชว์ต่อเนื่องช่วงเดือนพฤษภาคม เพื่อส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวจีนในช่วงวันหยุดฤดูร้อนและช่วงวันชาติของจีนในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่สร้างวอลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ ททท.ได้เชิญตัวแทนบริษัทนำเที่ยวจากจีนกว่า 500 ราย มาสำรวจเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นโดยตรง และเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปใหญ่ในอนาคตอันใกล้

โปรโมชั่นพิเศษผ่าน “แกรนด์สงกรานต์” และพันธมิตรดิจิทัล

สำหรับการดึงดูดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีน ททท.ร่วมมือกับแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลชั้นนำของจีน เช่น Alipay โดยเสนอส่วนลดพิเศษ หากนักท่องเที่ยวใช้จ่ายผ่านแอปดังกล่าว และยังร่วมกับแพลตฟอร์ม OTA อย่าง Ctrip จัดโปรโมชั่นตั๋วโดยสารราคาพิเศษเพื่อแข่งขันกับประเทศปลายทางคู่แข่ง เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ททท. ยังเตรียมจัดกิจกรรม “แกรนด์สงกรานต์ แกรนด์พริวิเลจ” เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเหนือระดับ โดยมีสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวจีน เช่น ส่วนลดร้านค้า สปา ร้านของที่ระลึก และลุ้นรับของที่ระลึก ณ สนามบินหลัก เช่น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต

จังหวัดเชียงรายเตรียมความพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประจำจังหวัดเชียงราย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยกำหนดมาตรการหลักคือ การตั้งด่านตรวจหลักในจุดเสี่ยง ช่วงเวลาต่างกันเพื่อลดอุบัติเหตุ และให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้กำหนดแผนรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่

  1. ช่วงประชาสัมพันธ์: 1 มี.ค. – 3 เม.ย. 2568
  2. ช่วงก่อนเข้มข้น: 4 – 10 เม.ย. 2568
  3. ช่วงเข้มข้น: 11 – 17 เม.ย. 2568
  4. ช่วงหลังเข้มข้น: 18 – 24 เม.ย. 2568

โดยคาดว่าจังหวัดเชียงรายจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงเทศกาลดังกล่าว เนื่องจากมีการเตรียมมาตรการด้านความปลอดภัยและกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างครอบคลุม

เป้าหมายและทิศทางตลาดจีนปี 2568

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า ททท.ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปี 2568 ไว้ที่ 8-9 ล้านคน โดยมั่นใจว่าหากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติม สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะจากยอดจองที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยปี 2566: ประมาณ 3.5 ล้านคน
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนปี 2568: 8-9 ล้านคน
  • สำนักงาน ททท.ในจีน: 5 แห่ง (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู กว่างโจว)
  • บริษัททัวร์จีนที่เข้าร่วมกิจกรรมในไทย: 500 ราย (เบื้องต้น)
  • เมืองเป้าหมายโรดโชว์: เซี่ยเหมิน อู่ฮั่น เฉิงตู

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

  • ประชาชาติธุรกิจ

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พัฒนาคมนาคม ‘เชียงราย’ เชื่อมรถไฟ-สนามบิน ลดจราจร

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างจราจรและคมนาคมแบบบูรณาการ ประชุมคณะอนุกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัดเชียงราย

เชียงราย,20 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม

ในครั้งนี้ มีคณะอนุกรรมการ ผู้แทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยมีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ Webex Meeting เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการจราจรและขนส่งของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ภารกิจหลักของคณะอนุกรรมการจราจร

คณะอนุกรรมการชุดนี้จัดตั้งตามคำสั่งของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน และหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นเลขานุการ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง

หน้าที่หลักคือส่งเสริมการจัดทำแผนแม่บทจราจรและขนส่ง กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา และประสานแผนงานให้ดำเนินไปตามกรอบที่วางไว้ เพื่อยกระดับคุณภาพการจราจรในจังหวัด

โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงของ คืบหน้าแต่ยังล่าช้า

หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่หารือ คือความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ซึ่งดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีความคืบหน้าร้อยละ 28.182 เมื่อเทียบกับแผนงานสะสมที่ร้อยละ 36.545 พบว่าล่าช้ากว่าแผนร้อยละ 8.363

คณะอนุกรรมการได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่พบระหว่างดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อแผนงานในระยะยาว

แผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเชียงราย

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำเสนอการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดเชียงราย โดยมีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางในเขตเมืองหลัก 11 จังหวัด

แผนนี้มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งในระดับภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านโครงข่ายขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

พัฒนาและขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

ที่ประชุมยังได้รับฟังแผนพัฒนา “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย” ในช่วงปี 2564–2578 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก

  • ปี 2564–2568 ปรับปรุงและก่อสร้าง 10 รายการ
  • ปี 2568–2571 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 รวม 12 รายการ
  • ปี 2571–2578 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 2 อีก 5 รายการ

ปัจจุบันท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้

ถนนเชื่อมรถไฟเชียงราย – สนามบิน: แกนหลักการขนส่ง

ประเด็นสำคัญอีกข้อ คือโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟเชียงรายและท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม

โดยมอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ รวมถึงการเวนคืนที่ดินและขอรับงบประมาณสนับสนุนในลำดับถัดไป เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงรายสู่อนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของจังหวัดเชียงราย ทั้งยังสะท้อนเสียงจากภาคประชาชนผ่านคณะอนุกรรมการที่เป็นตัวแทนผู้ใช้ถนน

แผนต่างๆ ที่เสนอและรับฟัง จะเป็นพื้นฐานในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองในอนาคต เพื่อสร้างระบบขนส่งที่ยั่งยืน สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ คืบหน้า 28.182% (ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ปี 2568)
  • ความล่าช้าจากแผนสะสม 8.363%
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย รองรับผู้โดยสารได้ 3,000,000 คน/ปี (ข้อมูลจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ปี 2567)
  • แผนพัฒนาท่าอากาศยาน ระยะที่ 1 และ 2 รวม 27 โครงการ

ทัศนคติต่อประเด็นการพัฒนา

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ มองว่าการพัฒนาเหล่านี้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งในพื้นที่

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เวนคืนที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / การรถไฟแห่งประเทศไทย / สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) / ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ซื้อหนี้ประชาชน ‘ศิริกัญญา’ ชี้ เสี่ยงซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต

ซื้อหนี้เสีย: ‘ทักษิณ’ ชูแนวคิดใหม่, ‘ศิริกัญญา’ เตือนผลกระทบ”

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – รองหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งคำถามโครงการซื้อหนี้ หวั่นกระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงแนวคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้รัฐบาลรับซื้อหนี้เสียจากประชาชน โดยยืนยันว่าจะไม่ใช้เงินจากภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลจะใช้เงินจากแหล่งใด

ข้อกังวลเกี่ยวกับแนวทางการจัดการหนี้

น.ส.ศิริกัญญา ระบุว่า รูปแบบการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้นั้นมีทั้งกรณีที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย พร้อมตั้งคำถามว่าการซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือไม่ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์อาจได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้ ในขณะที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง การนำลูกหนี้ออกจากเครดิตบูโร ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต หากไม่มีข้อมูลทางเครดิตของประชาชนเลย อาจทำให้การกู้เงินใหม่เป็นไปได้ยากขึ้น เธอเสนอว่า ควรมีแนวทางเปลี่ยนสถานะลูกหนี้เป็น ลูกหนี้ประวัติดี” มากกว่าการลบประวัติทั้งหมด

เปรียบเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

น.ส.ศิริกัญญา ยังตั้งข้อสังเกตว่า แผนการซื้อหนี้ประชาชนอาจซ้ำรอยปัญหาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังไม่มีแนวทางชัดเจนจากกระทรวงการคลัง และเคยเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและตลาดการเงิน

การที่ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจน อาจเป็นการพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่หากทำไม่ได้จริงก็อาจส่งผลเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

งบประมาณที่ต้องใช้และศักยภาพของภาคเอกชน

แนวคิดของนายทักษิณ ระบุว่าจะซื้อหนี้เสียทั้งหมดจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหนี้เสีย (NPL) มีมูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทบริหารสินทรัพย์ในประเทศไทย 87 แห่ง จัดการหนี้เสียรวมเพียง 3 แสนล้านบาท เท่านั้น หากต้องการซื้อหนี้ทั้งหมด ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 3-5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงมาก

น.ส.ศิริกัญญา ยังระบุว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนที่ใช้ และตั้งคำถามว่า หากไม่มีเงินจากภาครัฐ เงินจะมาจากไหน และใครจะเป็นผู้บริหารหนี้เหล่านี้

ท่าทีของกระทรวงการคลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวคิดนี้ว่า การปรับโครงสร้างหนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การยืดระยะเวลาชำระหนี้และลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นมาตรการที่สถาบันการเงินเคยดำเนินการมาก่อน

แนวทางหนึ่งที่อาจนำมาใช้คือ การตั้งหน่วยงานบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ ในขณะที่ภาครัฐจะมีบทบาทช่วยกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการดำเนินงานยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

เราต้องดูข้อมูลทั้งหมดก่อน และจะหารือกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสม” นายพิชัยกล่าว

ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันแนวคิดช่วยเหลือประชาชน

นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดพิษณุโลก ยืนยันว่าแผนการซื้อหนี้เป็นนโยบายที่คิดร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินจากภาครัฐ แต่จะเป็นการให้ภาคเอกชนลงทุนแทน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้ครัวเรือน

ข้อมูลจาก TTB Analytics ปี 2567 ระบุว่า:

  • หนี้ครัวเรือนไทยมีมูลค่ารวม 16.3 ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 3 ปี 2567
  • บัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน (Anonymous Account) มากกว่า 84 ล้านบัญชี มีหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท
  • หนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระบบมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท

สรุป

แนวคิดการซื้อหนี้ของประชาชนจากธนาคารพาณิชย์ที่เสนอโดย นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ โดย ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้สินหนัก ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่า อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และเพิ่มภาระทางการเงินโดยไม่แน่ชัดว่าเงินทุนจะมาจากแหล่งใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : TTB Analytics, 2567 / กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เปิดเชียงราย Fam Trip ดึงสายการบินต่างชาติ

เชียงรายเปิดเส้นทางบินใหม่ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

AOT ผนึกกำลัง ททท. เปิดตัวโครงการ FAM Trip เชียงราย

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดตัวโครงการสร้างการรับรู้และพัฒนาเส้นทางการบิน (Familiarization Trip : FAM Trip) ภายใต้ชื่อ “Discover Amazing Thailand Through The Skies FAM Trip” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงราย ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายโดยใช้ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยมีผู้แทนสายการบินและตัวแทนการท่องเที่ยวชั้นนำจากประเทศอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เข้าร่วมงาน เพื่อพัฒนาเส้นทางบินและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังเชียงรายมากขึ้น

เชียงรายพร้อมเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

ในพิธีเปิดโครงการ FAM Trip ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่โดดเด่น อีกทั้งยังมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน

AOT ได้จัดทำโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing Fund) เพื่อจูงใจให้สายการบินต่างชาติเพิ่มเที่ยวบินมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางบินใหม่กับเมืองสำคัญทั่วโลก เพื่อยกระดับให้ ทชร. เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค (Regional Hub)

โครงการ FAM Trip เปิดประสบการณ์ใหม่ให้นักลงทุนและสายการบิน

ในช่วงงานเลี้ยงต้อนรับ (Welcome Reception) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้แก่ผู้แทนสายการบินและบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และหอการค้าจังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้บรรยายสรุปข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของ ทชร. รวมถึงแผนพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยผู้เข้าร่วมโครงการยังได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย อาทิ วัดร่องขุ่น ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

เป้าหมายเชียงราย: สู่ Aviation Hub ของภูมิภาค

รัฐบาลไทยมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ซึ่งนอกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว การพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง ทชร. ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายเครือข่ายการบินระหว่างประเทศ

AOT วางแผนพัฒนา ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO – Maintenance, Repair, and Overhaul) ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสายการบินทั่วโลก ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนี้คือสิงคโปร์ ซึ่งมีศูนย์ซ่อมอากาศยานชั้นนำระดับโลกและสถาบันฝึกอบรมด้านการบินอย่าง Singapore Aviation Academy (SAA)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสถิติที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงรายคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนกว่า 1.2 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปี 2569 หากมีการขยายเส้นทางบินใหม่เพิ่มเติม

นอกจากนี้ สถิติจาก AOT ชี้ให้เห็นว่าปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกว่า 15% จากปี 2566 โดยมีจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ของภูมิภาค

สรุป

โครงการ FAM Trip เชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดสายการบินและนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนจาก AOT และ ททท. เชียงรายกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่สามารถแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำในเอเชียได้อย่างเต็มตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กรุงศรีเผย 3 อินไซต์ รถมือสองฮิต Gen X-Y สนใจ

กรุงศรี ออโต้ เจาะลึกพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์ไทยปี 2568: ตลาดรถยนต์มือสองและ EV กำลังมาแรง

แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทย: เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรุงศรี ออโต้ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยผ่านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคจากงานมหกรรมยานยนต์ทั่วประเทศ พบว่า ตลาดรถยนต์มือสองกำลังเติบโตขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค Gen X และ Gen Y เนื่องจากปัจจัยด้านราคาและความคุ้มค่า ในขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานอายุ 25-44 ปี ซึ่งให้ความสำคัญกับสมรรถนะ ฟังก์ชันการใช้งาน และต้นทุนระยะยาวมากกว่าชื่อเสียงของแบรนด์

นาย คงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ผู้บริโภคต้องปรับตัวและวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบมากขึ้น ส่งผลให้การเลือกซื้อรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความต้องการรถยนต์มือสองและ EV ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

Gen Z และวัยทำงาน: พลังขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

  • ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้าสู่ จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานอายุ 25-44 ปี
  • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
  • ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงถึง 84.7% โดย 3 แบรนด์ที่มียอดจดทะเบียนสูงสุด ได้แก่ BYD, MG และ NETA
  • กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นพื้นที่หลักที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จ EV ได้ดีกว่าพื้นที่อื่น ๆ

ตลาดรถยนต์มือสอง: โอกาสทองของผู้บริโภค

  • ปี 2567-2568 เป็นช่วงเวลาสำคัญของตลาดรถยนต์มือสอง เนื่องจาก ราคาปรับลดลง 10-30%
  • รถยนต์อายุ 3-5 ปี ครองตลาดสูงสุดที่ 52% รองลงมาคือ รถอายุไม่เกิน 3 ปี (20%) และ 6-8 ปี (19%)
  • ประเภทพลังงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด:
    • รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) 54%
    • รถไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 38%
    • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) 9%

แนวโน้มสินเชื่อยานยนต์ไทย: บทบาทของกรุงศรี ออโต้

กรุงศรี ออโต้ เดินหน้าพัฒนา สินเชื่อยานยนต์ดิจิทัล (Digital Auto Lending) เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถขอสินเชื่อผ่าน แอปพลิเคชัน “โก บาย กรุงศรี ออโต้” ได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการดำเนินการ และทราบผลอนุมัติสินเชื่อภายใน 30 นาที

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อแนวโน้มตลาดยานยนต์

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถมือสอง เป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของตนเอง ในขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่ออย่าง กรุงศรี ออโต้ ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

ฝ่ายกังวล

ในขณะเดียวกัน มีความกังวลเกี่ยวกับ มูลค่าขายต่อของรถ EV ที่อาจลดลงเร็วกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาป นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรถยนต์ ที่อาจเป็นภาระสำหรับผู้บริโภคที่มีสถานะทางการเงินไม่มั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงถึง 84.7% (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • ราคาตลาดรถยนต์มือสองปรับตัวลดลง 10-30% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่มา: สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วไทย)
  • อัตราการขอสินเชื่อบิ๊กไบค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มอายุ 21-40 ปี (ที่มา: กรุงศรี ออโต้)
  • อายุการใช้งานเฉลี่ยของรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 7 ปี เป็น 10 ปี (ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรม)

สรุป

แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการซื้อรถยนต์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเลือกซื้อรถมือสองที่มีราคาลดลง หรือการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นด้าน มูลค่าขายต่อของรถ EV และอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ที่ต้องติดตามในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรุงศรี ออโต้

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กาแฟช็อกโลก ราคาพุ่ง 70% ผู้ค้าทั่วโลกชะลอซื้อ รอราคาลง

ราคากาแฟพุ่ง 70% โรงคั่วทั่วโลกปรับกลยุทธ์ ฝ่าวิกฤตต้นทุนพุ่ง

ภาวะตลาดกาแฟโลกเผชิญแรงกดดันจากราคาที่สูงขึ้น

เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส, 10 มีนาคม 2568 – รายงานจาก Reuters และกรุงเทพธุรกิจระบุว่า อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องลดปริมาณการซื้อเมล็ดกาแฟลงเหลือระดับต่ำสุด เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซัพพลายเออร์ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ร้านค้าปลีกยอมรับการปรับขึ้นราคาได้

ภาคอุตสาหกรรมตกตะลึงกับราคากาแฟที่พุ่งสูงขึ้น

ภายในงานประชุมประจำปีของสมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ (NCA) ที่จัดขึ้นในเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มราคากาแฟอาราบิก้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE ซึ่งเป็นตลาดอ้างอิงสำหรับการซื้อขายกาแฟทั่วโลก

เรแนน ชูเอรี ผู้อำนวยการทั่วไปของ ELCAFE C.A. ในเอกวาดอร์ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่บริษัทไม่สามารถขายสินค้าล็อตการผลิตประจำปีได้หมดภายในเดือนมีนาคม โดยปัจจุบันขายได้ไม่ถึง 30% ของกำลังการผลิตปกติ

“ปกติแล้วตอนนี้เราน่าจะขายได้หมดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เราขายสินค้าได้ไม่ถึง 30%” ชูเอรีกล่าว

ราคากาแฟที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ลูกค้าหลายรายประสบปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถซื้อเมล็ดกาแฟในปริมาณที่ต้องการได้ ขณะที่ผู้ค้าปลีกยังคงชะลอการเจรจา ทำให้สินค้าเริ่มขาดตลาดในบางพื้นที่

ปัจจัยที่ทำให้ราคากาแฟปรับตัวสูงขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการปรับขึ้นของราคากาแฟในปีนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้:

  • ผลผลิตลดลงในประเทศผู้ผลิตหลัก โดยเฉพาะบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก
  • สภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตกาแฟ
  • ความต้องการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป

ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟหลายรายจึงหันมาใช้กลยุทธ์การซื้อแบบ “hand to mouth” หรือการซื้อเฉพาะปริมาณที่จำเป็นในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่สูงขึ้น

ผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตปฏิเสธการขึ้นราคา

สถานการณ์ราคากาแฟที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต โดยซัพพลายเออร์ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากผู้ค้าปลีกยังคงกดดันไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้บางร้านค้าเริ่มขาดสินค้ากาแฟบนชั้นวาง

ผู้บริหารโรงคั่วกาแฟรายหนึ่งในสหรัฐเผยว่า ลูกค้าบางรายกำลังประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เพราะไม่สามารถขายกาแฟในราคาใหม่ได้ โดยระบุว่า:

“พวกเขาไม่รู้ว่าธุรกิจจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ บางคนอาจต้องปิดกิจการ”

แนวโน้มราคาและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ผลสำรวจล่าสุดของ Reuters คาดการณ์ว่า ราคากาแฟอาราบิก้าอาจลดลงถึง 30% ภายในสิ้นปี 2568 เนื่องจากราคาสูงทำให้ความต้องการลดลง นอกจากนี้ยังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าผลผลิตกาแฟในบราซิลจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้

บริษัทผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ Louis Dreyfus ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกกาแฟทั่วโลกกำลังขยายตัว โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ยูกันดา เอธิโอเปีย และบราซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของราคากาแฟในอนาคตหากผลผลิตมีปริมาณมากพอ

“หากบราซิลสามารถผลิตกาแฟได้ในปริมาณที่มากพอ บวกกับพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในหลายประเทศ ราคากาแฟอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว” Louis Dreyfus กล่าวในงานประชุม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับตลาดกาแฟ

  • ราคากาแฟอาราบิก้าปรับตัวสูงขึ้น 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงมีนาคม 2568 (ที่มา: Reuters)
  • โพลล์ของ Reuters คาดการณ์ว่าราคากาแฟอาจลดลง 30% ภายในสิ้นปี 2568
  • สต็อกกาแฟในโกดังสินค้าของสหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 50% ของปริมาณปกติ (ที่มา: สมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟขยายตัวในประเทศอินเดีย ยูกันดา เอธิโอเปีย และบราซิล เนื่องจากราคาสูงทำให้เกษตรกรเพิ่มการผลิต (ที่มา: Louis Dreyfus)

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุนการขึ้นราคากาแฟ

ฝ่ายที่สนับสนุนให้ปรับขึ้นราคากาแฟให้สอดคล้องกับต้นทุน มองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสามารถอยู่รอดได้ รวมถึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตกาแฟขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต

ฝ่ายที่กังวลต่อราคาที่สูงขึ้น

ในขณะที่ฝ่ายที่กังวลระบุว่าการขึ้นราคากาแฟอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจร้านกาแฟ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกยังคงกดดันไม่ให้ปรับราคาขาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้า

สรุปภาพรวมตลาดกาแฟ

อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องปรับกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบ ขณะที่ตลาดกำลังจับตาดูแนวโน้มผลผลิตในบราซิลและประเทศผู้ผลิตอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคากาแฟในปีต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters / กรุงเทพธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News