Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT โชว์กำไรพุ่ง 1.9 หมื่นล้าน ผู้โดยสารใกล้ฟื้นตัวก่อนระดับโควิด-19

AOT เผยผลประกอบการปี 2567 กำไรพุ่ง 1.9 หมื่นล้านบาท พร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2568

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) โดย AOT มีกำไรสุทธิ 19,182.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.21% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 10,391.52 ล้านบาท

ในรอบปีที่ผ่านมา AOT มีรายได้รวม 67,827.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.01% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า แบ่งเป็นรายได้จากกิจการการบิน 31,000.47 ล้านบาท และรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน 36,120.83 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการกลับมาของการเดินทางระหว่างประเทศ

ปริมาณผู้โดยสารฟื้นตัวใกล้ระดับก่อนโควิด-19

ปริมาณผู้โดยสารรวมที่ใช้บริการในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ดอนเมือง (DMK) เชียงใหม่ (CNX) แม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ภูเก็ต (HKT) และหาดใหญ่ (HDY) มีจำนวนรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน

สำหรับปีงบประมาณ 2568 AOT คาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 129.97 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 8.95% และจำนวนเที่ยวบินจะเพิ่มเป็น 808,280 เที่ยวบิน

การเตรียมความพร้อมช่วงเทศกาลปีใหม่

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ถึง 4 มกราคม 2568 คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวม 2.86 ล้านคน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1.83 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 1.03 ล้านคน พร้อมเที่ยวบินรวม 17,410 เที่ยวบิน

AOT ยังจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเพิ่มเติม เช่น การติดตั้งระบบ Biometric สำหรับการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลที่สมบูรณ์แบบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเช็กอิน โหลดสัมภาระ และขึ้นเครื่องโดยไม่ต้องแสดงหนังสือเดินทาง

จัดอัตรากำลังพลให้เพียงพอเพื่อดูแลผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมง

ดร.กีรติ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ AOT ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ได้แก่ เพิ่มความถี่ในการจัดรถเข็นกระเป๋า การทำความสะอาดห้องน้ำ เพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอินและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บริหารจัดการจราจรทั้งภาคพื้นและพื้นที่การบิน (Landside & Airside) ในช่วงชั่วโมงคับคั่ง (Peak Hour) บริหารจัดการสายพานลำเลียงกระเป๋า จัดเจ้าหน้าที่ Airport Help ช่วยดูแลเรื่องการจัดแถวของผู้โดยสารในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงให้คำแนะนำการใช้งานเครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) เครื่อง CUBD และเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automated Border Control: ABC) การตรวจสภาพรถรับจ้างสาธารณะ การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ การจัดเตรียมรถแท็กซี่สาธารณะ เพิ่มความถี่รถโดยสารสาธารณะและการดูแลการจราจร ทางอากาศ รวมทั้งจัดอัตรากำลังพลให้เพียงพอเพื่อดูแลผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
 

บริการจอดรถฟรีรับเทศกาลปีใหม่

AOT เปิดให้บริการจอดรถฟรีใน 4 ท่าอากาศยาน ได้แก่

  • สุวรรณภูมิ (BKK): ลานจอดระยะยาวโซน C
  • ดอนเมือง (DMK): พื้นที่ลานจอดระหว่างอาคารคลังสินค้า 2 และอาคารจอดรถ 5 ชั้น
  • ภูเก็ต (HKT): หน้าอาคารสำนักงาน
  • หาดใหญ่ (HDY): สนามฟุตบอล

การฟื้นตัวทางการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเชิงบวก ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ผชร.)  ให้สัมภาษณ์กับทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ว่า ตลอดเดือนตุลาคม 2567 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงมีเที่ยวบินรวมทั้งสิ้น 1,135 เที่ยวบิน สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เป็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเชิงบวกอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงถึง 161,142 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 1% ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน

 

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้แม้ว่าจำนวนเที่ยวบินประจำจะคงที่ แต่มีคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบิน private jet เนื่องจากเชียงรายเป็นจุดหมายที่นิยมสำหรับการพักผ่อนและฉลองในช่วงเวลาพิเศษของปี ท่าอากาศยานยังกำหนดเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ โดยมีการประเมินและเตรียมการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวได้อย่างดีที่สุด.

 

โดยรวมแล้วท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายได้สร้างศักยภาพในการเป็นตัวเชื่อมโยงหลักของการท่องเที่ยว, การค้า, และการลงทุนในจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ นอกจากนี้ยังได้เป็นแกนนำในการทุกภาคส่วนร่วมในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน, กีฬา, และวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูการท่องเที่ยวปลายปี การทำงานร่วมกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจสายการบินยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวและสร้าง เศรษฐกิจสู่เส้นทางที่ยั่งยืน น.ต.ดร.สมชนก กล่าวทิ้งท้าย

การพัฒนาและบริการในอนาคต

AOT วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการจราจรทั้งทางบกและอากาศ พร้อมเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่และบริการต่างๆ เพื่อรองรับการเดินทางในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน (Peak Hour)

และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ถือเป็นหนึ่งในประตูสู่ภาคเหนือของไทยที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภูมิภาคและส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับประเทศและนานาชาติ ท่าอากาศยานนี้ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ในการรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวและการคมนาคมทางอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT ในฐานะรัฐวิสาหกิจผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานที่สำคัญของประเทศไทยและภูมิภาค พร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์การเดินทางอันน่าประทับใจ และไม่หยุดยั้งที่จะเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร “AOT เป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก : มุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และสร้างรายได้อย่างสมดุล”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AOT / ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ECONOMY

‘มาม่า’ ฝ่าตลาดเดือด ปรับกลยุทธ์เจาะใจคนรุ่นใหม่

มาม่าเผยกลยุทธ์ฝ่าตลาดบะหมี่แข่งดุ พร้อมเปิดโอกาสใหม่ให้คนรุ่นใหม่ร่วมเติบโต

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานสัมมนา “THAILAND 2025 โอกาส-ความหวัง-ความจริง” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ได้กล่าวในหัวข้อ “โอกาส-ธุรกิจ-คนรุ่นใหม่” ถึงการปรับตัวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ตลาดบะหมี่ยังไม่ดาวน์เทรนด์ แต่ต้องปรับตัวเพื่อเติบโต

นายพันธ์กล่าวว่า แม้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยจะมีอายุยาวนานถึง 50 ปี และยอดบริโภคต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จาก 52 ซองต่อคนต่อปีเมื่อสองปีก่อน เป็น 55 ซองในปีล่าสุด แต่ธุรกิจนี้ยังไม่ถือว่าอยู่ในช่วงขาลง (ดาวน์เทรนด์) จึงต้องรักษาธุรกิจหลักให้มั่นคง พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือ การแข่งขันจากบะหมี่นำเข้าที่มีราคาสูง เช่น บะหมี่เกาหลีที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยอมจ่ายในราคาสูงขึ้นเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพและภาพลักษณ์ดี บริษัทจึงได้รีแบรนด์สินค้าเป็น “มาม่าโอเค” ซึ่งเป็นบะหมี่พรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยสินค้านี้สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 10% ได้สำเร็จ

ความท้าทายด้านต้นทุนและกำไร

ธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมีผู้ประกอบการน้อยราย เพราะเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่ำและการบริหารต้นทุนเป็นเรื่องยาก มาม่าจึงต้องใช้จุดแข็งในการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางการเงิน

นายพันธ์กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นในอนาคต ก็ไม่กังวลว่าผู้บริโภคจะลดการบริโภคมาม่า เพราะลูกค้าหลักของบริษัทคือกลุ่มที่ยังต้องรับมือกับรายจ่ายสูงและติดกับดักทางการเงิน อีกทั้งยังมองว่ารัฐบาลควรมีบทบาทในการปรับปรุงเศรษฐกิจและส่งเสริมการออมเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมสร้างอนาคต

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัญหาหลักที่บริษัทต้องเผชิญคือการสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ไม่สนใจทำงานในองค์กรแบบดั้งเดิม บริษัทจึงต้องพัฒนาบรรยากาศในการทำงานให้ดึงดูดใจมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่บ้าน

นายพันธ์กล่าวว่า มาม่าอาจไม่เคยติดอันดับบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานมากที่สุด แต่บริษัทกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ

ทิศทางในอนาคต

บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกยุคสมัย รวมถึงการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์กรและเติบโตไปพร้อมกัน

มาม่ากำลังพิสูจน์ว่า แม้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและกำไรต่ำ ความมุ่งมั่นและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องคือกุญแจสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดโกโก้โลกโตแรง ไทยรุกหนักพัฒนาเพิ่มโอกาสส่งออก

โกโก้ทั่วโลกเติบโต ไทยเร่งพัฒนาส่งออกเสริมอุตสาหกรรมแปรรูป

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรและกระทรวงพาณิชย์ถึงสถานการณ์ตลาดโกโก้และช็อกโกแลตทั่วโลก พบว่าตลาดโกโก้ในปี 2566 มีมูลค่ากว่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2571 ขณะที่ตลาดช็อกโกแลตจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% ระหว่างปี 2565-2573 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาโกโก้ในตลาดโลกในช่วงปี 2566-2567 มีปัจจัยจากภัยแล้งที่เกิดจากเอลนีโญ ทำให้ผลผลิตลดลง ส่งผลให้ราคาตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น โดยในเดือนตุลาคม 2567 ราคาโกโก้เฉลี่ยอยู่ที่ 6.6 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นถึง 83.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ตลาดโลกและประเทศผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่

ตลาดโกโก้ทั่วโลกมีผู้ผลิตสำคัญในแอฟริกาที่ครองสัดส่วน 75% ของผลผลิต โดย 5 ประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่

  1. โกตดิวัวร์ (37.9%)
  2. กานา (18.8%)
  3. อินโดนีเซีย (11.3%)
  4. เอกวาดอร์ (5.7%)
  5. แคเมอรูน (5.1%)

การส่งออกโกโก้ระดับโลก

ในปี 2566 โกตดิวัวร์เป็นประเทศส่งออกเมล็ดโกโก้รายใหญ่ที่สุด ด้วยมูลค่า 3,329 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 33.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด รองลงมาคือ เอกวาดอร์ กานา แคเมอรูน และเบลเยียม ส่วนผู้บริโภคหรือประเทศนำเข้าหลัก ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย เยอรมนี เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา

สถานการณ์โกโก้ในประเทศไทย

ไทยเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมโกโก้อย่างจริงจังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 ไทยมีผลผลิตเมล็ดโกโก้รวม 3,360 ตัน เพิ่มขึ้น 167.6% จากปี 2565 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกโกโก้และผลิตภัณฑ์แปรรูปกว่า 74 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.4% จากปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เมียนมา มาเลเซีย และอินเดีย

ความท้าทายและโอกาสในตลาดโกโก้ไทย

ถึงแม้ไทยยังอยู่ในอันดับที่ 68 ของผู้ส่งออกโกโก้โลก แต่แนวโน้มการเติบโตในตลาดนี้ยังมีโอกาสมหาศาล โดยเฉพาะการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่น การผลิตช็อกโกแลต Single Origin ซึ่งเป็นตัวอย่างจากมาเลเซียที่ส่งเสริมให้ SME สร้างผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม

ข้อเสนอแนะ

เพื่อเสริมสร้างศักยภาพไทยในตลาดโกโก้ ภาครัฐควรสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งในด้านนโยบายและการลงทุน พร้อมผลักดันให้มีการแปรรูปสินค้าโกโก้ เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มรายได้และยกระดับอุตสาหกรรมโกโก้ไทยให้ก้าวสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมวิชาการเกษตรและกระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สมาคมนักวางแผนการเงินร่วมแบงก์ชาติแก้หนี้ครัวเรือน 91.4% GDP

สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจับมือแบงก์ชาติ เสริมความรู้ทางการเงินแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยมุ่งสร้างทักษะความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย พร้อมอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านการวางแผนการเงินที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาแก่ประชาชนที่มีปัญหาหนี้

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงแตะ 91.4% ต่อ GDP

นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนไทยในปี 2567 มีแนวโน้มพุ่งสูงถึง 91.4% ต่อ GDP โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือวัยเริ่มต้นทำงาน (25-29 ปี) ที่กว่า 50% มีหนี้เร็ว และ 25% ในจำนวนนี้เป็นหนี้เสีย ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการออมและวางแผนการเกษียณ ทำให้เพียง 15.7% ของคนไทยมีการเตรียมตัววางแผนเกษียณอย่างเพียงพอ

เสริมสร้างความรู้ทางการเงินผ่านการศึกษา

ความร่วมมือครั้งนี้เน้นเสริมสร้างความรู้ทางการเงินตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงมหาวิทยาลัย โดยจัดทำหลักสูตรที่ช่วยให้เยาวชนรู้เท่าทันการเงิน การลงทุนที่ถูกกฎหมาย และกลโกงต่างๆ พร้อมสร้างหมอหนี้ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาด้านหนี้สิน

โครงการอบรมหมอหนี้เพื่อประชาชน

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดโครงการอบรมหมอหนี้เพื่อประชาชน โดยรุ่นแรกจัดขึ้นวันที่ 16 และ 23 พฤศจิกายน 2567 มีผู้เข้าร่วมอบรมเต็มจำนวน 50 คน และยังมีผู้สนใจเพิ่มเติมอีกกว่า 300 คน เนื้อหาหลักสูตรครอบคลุมการให้ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อรายย่อย ข้อมูลเครดิตบูโร กฎหมายเกี่ยวกับหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการแก้หนี้ต่างๆ ผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกาศนียบัตรและสามารถให้คำปรึกษาแก่ประชาชนในโครงการแก้หนี้ของแบงก์ชาติต่อไป

สร้างหมอหนี้และเสริมความรู้เพื่ออนาคตที่มั่นคง

นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนในทุกระดับ สร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมช่วยเหลือประชาชน เมื่อหลุดพ้นจากปัญหาหนี้สินแล้ว การวางแผนการเงินเพื่ออนาคต เช่น การเกษียณ การศึกษาของบุตร หรือการสร้างความมั่งคั่งในชีวิต จะสามารถบรรลุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสมาคมนักวางแผนการเงินไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน ด้วยการลดปัญหาหนี้และสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการเงินให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แพทองธาร ส่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สู้หนี้ ช่วยปชช.

นายกฯ แพทองธาร นำทีมคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งสู่ปี 2568 ที่สดใส

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2567 เพื่อหารือและวางแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้ไขปัญหาหนี้สิน และกระตุ้นการลงทุน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2568

เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง รัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคของภาครัฐ การลงทุนภาครัฐ การส่งออก การท่องเที่ยว และภาคก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่านี้ จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้น เพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ

  • เพิ่มรายได้และลดรายจ่าย: รัฐบาลจะดำเนินมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้มีรายได้น้อย เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
  • แก้ไขปัญหาหนี้สิน: รัฐบาลจะร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาออกแบบมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ทั้งหนี้บ้าน หนีรถ และหนี้เอสเอ็มอี เพื่อบรรเทาภาระหนี้สินและฟื้นฟูความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชน
  • กระตุ้นการลงทุน: รัฐบาลจะส่งเสริมการลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ

ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการแนวทางและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับผู้สูงอายุ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยกลุ่มเป้าหมายคือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐสำเร็จ และต้องไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ คาดว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายนี้ไม่เกิน 4 ล้านคน โดยจะเร่งจ่ายเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนไม่เกินเดือนมกราคม 2568

เป้าหมายระยะยาว:

รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมนวัตกรรม และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 จะเริ่มจ่ายเมื่อไหร่? คาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนไม่เกินเดือนมกราคม 2568
  2. ใครบ้างที่สามารถเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ได้? ผู้ที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐสำเร็จ และต้องไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ
  3. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการมีอะไรบ้าง? นอกจากโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทแล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การอุดหนุนค่าครองชีพสำหรับกลุ่มเปราะบาง การแก้ไขปัญหาหนี้สิน และการส่งเสริมการลงทุน
  4. รัฐบาลคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตได้เท่าใด? รัฐบาลเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตได้ดีขึ้นกว่าปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
  5. ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จากช่องทางใดบ้าง? ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จากเว็บไซต์ของรัฐบาล สื่อมวลชน หรือช่องทางสื่อสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยโต 3% ไตรมาส 3 ปัจจัยบวกการท่องเที่ยวหนุน

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัว 3% แม้เผชิญปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจโลก

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า GDP ขยายตัว 3% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยที่ 2.3% การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากภาคบริการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการผลิตและเกษตรกรรมยังชะลอตัวลง

สัญญาณการฟื้นตัวในภาคบริการและการท่องเที่ยว

นายดนุชากล่าวว่า สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัว 8.4% ในไตรมาสนี้ จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยกว่า 8.58 ล้านคน สร้างรายรับจากการท่องเที่ยวรวมกว่า 5.82 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 29.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 2.25 แสนล้านบาท

ความท้าทายในปี 2568 จากปัจจัยเสี่ยงภายนอก

สศช. คาดการณ์ว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.6% ส่วนปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.3-3.3% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและภาคการผลิตของไทย ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาการกีดกันทางการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ

เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน สศช. แนะนำให้รัฐบาลผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูป รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง เน้นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น

การปรับตัวของภาคเอกชนและการบริโภค

คาดการณ์ว่าในปี 2568 การลงทุนของภาคเอกชนจะขยายตัว 2.8% และการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 3% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายของประชาชน

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองในอนาคต

นายดนุชาเน้นย้ำว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดอสังหาฯ ปี 68 มีสัญญาณฟื้นตัว หลังมาตรการลดค่าธรรมเนียมหนุน

 

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2567 สัญญาณฟื้นตัวแม้ยังติดลบเล็กน้อย

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 2 – 3 ของปี 2567 ว่ายังคงเผชิญกับการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม พบว่าการติดลบลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยหลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งขยายจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฟื้นตัวในกลุ่มอาคารชุด

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเกิน 7 ล้านบาทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีการโอนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบกลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 350,545 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6.0% และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงเพียง 0.6%

แนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2568

สำหรับปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย REIC ประมาณการณ์ว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 363,600 หน่วย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.7% หรืออยู่ในช่วง -4.5% ถึง 12.3% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะมีการโอนจำนวน 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนอาคารชุดคาดว่าจะมีการโอน 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5%

ในด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากปี 2567 ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีมูลค่าการโอนประมาณ 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนอาคารชุดจะมีมูลค่าการโอน 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ตลาดอสังหาฯ รับแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าธรรมเนียม

นายกมลภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีหน้า: ฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นายกมลภพคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงต้องจับตาดูปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย และมาตรการของภาครัฐที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

สรุป แม้ตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : รับบินโดรนเชียงราย โดรนเชียงราย ถ่ายภาพมุมสูง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลอยกระทงปีนี้คึกคัก เงินสะพัดทั่วประเทศ

ชาวไทยยังคงนิยมประเพณีลอยกระทง แม้ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสูงขึ้น

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีลอยกระทง โดยมีถึง 50.7% ที่วางแผนจะร่วมกิจกรรมนี้ และอีกส่วนหนึ่งเลือกที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ทานอาหารนอกบ้าน หรือเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

กระทงย่อยสลายง่ายมาแรง เงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน

ที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมการเลือกซื้อกระทงของผู้บริโภคในปีนี้ให้ความสำคัญกับกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและย่อยสลายง่ายเป็นอันดับหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคำนึงถึงความสวยงาม ราคา และความสะดวกในการหาซื้ออีกด้วย

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่คนยังคงออกมาใช้จ่าย

แม้ว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวในการเฉลิมฉลองวันลอยกระทงในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,449.18 บาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,075.58 บาท แต่ก็ยังมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมสูงถึง 10,355.18 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปี สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่คนไทยก็ยังคงออกมาใช้จ่ายในช่วงเทศกาลนี้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่าย

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายในช่วงเทศกาลลอยกระทง ได้แก่

  • ความต้องการที่จะสืบสานประเพณี: ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทย
  • การผ่อนคลายความเครียด: การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านและร่วมงานเทศกาล เป็นการช่วยให้ผู้คนได้ผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง: การลอยกระทงเป็นโอกาสที่ดีในการใช้เวลากับคนที่รัก
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจ: การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

แนวโน้มการใช้จ่าย

จากผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคยังคงนิยมใช้เงินสดในการชำระค่าใช้จ่าย แต่ก็มีการใช้ช่องทางการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น Mobile Banking, QR Payment, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

สรุป

เทศกาลลอยกระทงปี 2567 ยังคงเป็นที่นิยมของคนไทย แม้ว่าจะมีความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่ผู้คนก็ยังคงออกมาใช้จ่ายและร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างคึกคัก โดยมีแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

CPALL โชว์ผลประกอบการพุ่ง! รายได้เพิ่ม กำไรเติบโตต่อเนื่อง

CPALL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 รายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ประจำปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 6.6 โดยการเติบโตนี้มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และศูนย์การค้า ซึ่งได้แรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส รวมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ยอดขายเติบโตจากกลยุทธ์ O2O และการขยายสาขา

CPALL ยังคงมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O (Online-to-Offline) เพื่อเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ 7-Delivery และ All Online ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของรายได้รวม ส่งผลให้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 107,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 3 นี้ CPALL ได้เปิดร้านสะดวกซื้อสาขาใหม่ถึง 199 สาขา ทำให้จำนวนสาขารวมทั่วประเทศอยู่ที่ 15,053 สาขา โดยเป็นร้านสาขาบริษัท 7,671 สาขา และร้าน SBP อีก 7,382 สาขา

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 730,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิ 18,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของกำไรเกิดจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มร้านสะดวกซื้อและศูนย์การค้า

การขยายสาขาและการลงทุนเพื่ออนาคต

ในปี 2567 CPALL วางแผนใช้เงินลงทุนระหว่าง 12,000-13,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นงบประมาณในการเปิดสาขาใหม่ 3,800-4,000 ล้านบาท และปรับปรุงร้านเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท เพื่อรักษาการเติบโตและรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งในเมืองและชุมชนชนบท

สรุปข้อมูลสำคัญ

  • ไตรมาส 3/2567 รายได้รวม 241,282 ล้านบาท
  • งวด 9 เดือนแรกปี 2567 รายได้รวม 730,233 ล้านบาท
  • เปิดสาขาใหม่ไตรมาส 3 เพิ่ม 199 สาขา รวมสาขาทั่วประเทศ 15,053 สาขา
  • กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก 18,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.3

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ค่าครองชีพสูง หนี้พุ่ง MK รายได้ลดลงกว่า 10%

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุดของประเทศไทย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น หนี้สินครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และการใช้จ่ายที่ลดลงในหลายภาคส่วน โดยล่าสุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3 ของปี 2567 ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุมาจากการหดตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภค และค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้ MK ลดลง ผลกระทบจากภาระหนี้ครัวเรือน

จากรายงานผลประกอบการของ MK พบว่ารายได้จากการขายและบริการในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 3,683 ล้านบาท ลดลง 10.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมลดลงถึง 12.7% เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย โดยยอดขายสะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 11,735 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และกำไรสุทธิลดลงเหลือ 1,088 ล้านบาท ลดลง 7.2%

หนี้ครัวเรือนไทยสูงขึ้น สถิติใหม่ที่น่ากังวล

รายงานจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่าหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2567 มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 606,378 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 8.4% จากปี 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 2552 สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย รวมถึงภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ในไตรมาสแรกของปี 2567 อยู่ที่ 90.8%

การใช้จ่ายและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจพบว่าครัวเรือนไทย 46.3% มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย และเกือบ 55% แก้ปัญหาด้วยการกู้ยืมจากแหล่งต่างๆ เช่น บัตรเครดิต และการกู้เงินจากธนาคาร ขณะเดียวกัน แม้ว่าสินค้าฟุ่มเฟือยจะลดลง แต่ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการซื้อประสบการณ์ เช่น การท่องเที่ยวและการรับประทานอาหารมากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย

ผลสำรวจการใช้จ่ายในยุคเศรษฐกิจซบเซา

จากการสำรวจร่วมระหว่างบริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) และวีซ่า ประเทศไทย พบว่าผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น โทรศัพท์มือถือ และเครื่องประดับ ขณะที่กลุ่มเจนซี (Gen Z) และเจนวาย (Gen Y) กลับให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ใหม่ๆ มากกว่าสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัว

นายปุณณมาส วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนี้ ผู้บริโภคมีการปรับตัวเพื่อลดการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น และมุ่งเน้นการใช้จ่ายที่ให้คุณค่าทางประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในยุคที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน”

แนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจและผู้บริโภค

ในยุคที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจต่างๆ ควรเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค การสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้จ่ายจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างเหมาะสม

การเตรียมความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภค

เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ บริษัทต่างๆ ควรมุ่งเน้นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงิน และสนับสนุนการสร้างสุขภาพการเงินที่ดีแก่ผู้บริโภคในระยะยาว

ข้อสรุป

การเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สินและค่าครองชีพที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยที่กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News