Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เที่ยวสงกรานต์เชียงแสน สีสันวิถีไทยสู่มรดกโลก

จังหวัดเชียงรายจัดงานแถลงข่าวและเวทีเสวนา “ยล เยือน เมืองเชียงแสน : มหาสงกรานต์บ้านฉัน สีสันวิถีถิ่นวิถีไทย สุขไกลทั่วโลก” ประจำปี 2568

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้จัดงานแถลงข่าวและเวทีเสวนาเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “ยล เยือน เมืองเชียงแสน : มหาสงกรานต์บ้านฉัน สีสันวิถีถิ่นวิถีไทย สุขไกลทั่วโลก” ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2568 ณ ลานกิจกรรมริมน้ำโขง หมู่ 3 เทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

การแถลงข่าวและเวทีเสวนา

การแถลงข่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ร้านอาหารดาขันข้าว เชียงราย โดยมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าวและเสวนา ได้แก่

  • นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน
  • นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย

ในงานยังมี น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขต 2 และหัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวและเสวนา

วัตถุประสงค์ของการจัดงาน

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักดังนี้:

  1. ส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น – อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์ให้คงอยู่ต่อไป
  2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย
  3. สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น – ยกระดับวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่เวทีระดับโลก

นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสที่ ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)

กิจกรรมไฮไลต์

ภายในงานจะมีกิจกรรมหลากหลายที่แสดงถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเมืองเชียงแสน ได้แก่:

  • วันที่ 12 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. – พิธีฟ้อนถวายพระเจ้าพรหมมหาราช ณ วัดเจดีย์หลวง
  • วันที่ 16 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. – ขบวนแห่สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับอำเภอเชียงแสน
  • วันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. – การแสดงระบำเชียงแสนและการบรรเลงดนตรีพื้นเมืองจากเยาวชนท้องถิ่น
  • วันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 18.30 น. – พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยมีปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน
  • วันที่ 18 เมษายน 2568 เวลา 09.30 น. – การแข่งขันรำวงย้อนยุคจาก 7 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอเชียงแสน
  • วันที่ 18 เมษายน 2568 เวลา 13.00 น. – การประกวดเทพบุตรเจียงแสนหลวง ประจำปี 2568

การส่งเสริมการท่องเที่ยว

การจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้จำนวนมาก เนื่องจากอำเภอเชียงแสนมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อาทิ วัดเจดีย์หลวง และ สามเหลี่ยมทองคำ นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างประเทศเพื่อนบ้านใน ลุ่มแม่น้ำโขง จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค

ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง

  • ฝ่ายสนับสนุนการจัดงาน: นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การจัดงานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองประเพณีสงกรานต์เท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  • ฝ่ายผู้เข้าร่วมงาน: นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน กล่าวเสริมว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงศักยภาพด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเมืองเชียงแสนสู่สายตานักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนมากกว่า 2 ล้านคน ต่อปี โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 10,000 ล้านบาท
  • การจัดงานสงกรานต์ในปีที่ผ่านมาสร้างรายได้ให้กับชุมชนในจังหวัดเชียงรายกว่า 300 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • UNESCO – รายงานการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เลื่อนอุโบสถ ‘วัดเหล่าเจริญราษฎร์’ ร่วมบุญรับเหรียญที่ระลึก 29 มี.ค.

พิธีเลื่อนและสร้างอุโบสถวัดเหล่าเจริญราษฎร์ เชียงราย ร่วมบุญครั้งประวัติศาสตร์

เชียงราย, 28 มีนาคม 2568 – วัดเหล่าเจริญราษฎร์ ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย เตรียมจัดพิธีเลื่อนและสร้างอุโบสถครั้งสำคัญ ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2568 เพื่อรองรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ของภาคเหนือ โดยพิธีนี้ไม่เพียงเป็นการเคลื่อนย้ายอุโบสถเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แต่ยังคงรักษาคุณค่าในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชุมชน และเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่

ความเป็นมาและความสำคัญของงาน

วัดเหล่าเจริญราษฎร์ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อยกระดับการขนส่งระบบราง สนับสนุนการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการค้าชายแดนไทย-ลาว-จีน อุโบสถของวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ในตำแหน่งที่ทับซ้อนกับแนวเส้นทางรถไฟ คณะกรรมการวัด ร่วมกับชุมชนบ้านเหล่าเจริญราษฎร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีมติร่วมกันให้ดำเนินการเคลื่อนย้ายอุโบสถไปยังตำแหน่งใหม่ เพื่อให้โครงการรถไฟดำเนินต่อไปได้ โดยยังคงรักษาคุณค่าทางศาสนาและจิตวิญญาณของชุมชนไว้

การเคลื่อนย้ายครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของชาติและการอนุรักษ์ศาสนสถาน โดยวัดเหล่าเจริญราษฎร์ยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในพื้นที่ และพิธีนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาที่สอดรับกับการพัฒนาที่ยั่งยืน

เทคนิคการเคลื่อนย้ายอุโบสถ

การเคลื่อนย้ายอุโบสถของวัดเหล่าเจริญราษฎร์เป็นความท้าทายทางวิศวกรรมที่น่าสนใจ เนื่องจากอุโบสถเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก โดยจะถูกเลื่อนไปยังตำแหน่งใหม่ในระยะทาง 15 เมตร ด้วยเทคนิคพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและรักษาความสมบูรณ์ของโครงสร้าง ดังนี้:

  1. การเตรียมโครงสร้าง: รื้อระเบียงและส่วนประกอบรอบตัวอุโบสถ เพื่อลดน้ำหนักและอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
  2. การเสริมฐานราก: ก่อสร้างฐานรากชั่วคราวและแนวคานรองรับ เสริมคานของตัวอุโบสถด้วยการค้ำยันและยึดโครงสร้างให้มั่นคง
  3. การเลื่อนอุโบสถ: ตัดฐานรากเดิม ลดระดับอุโบสถลงบนรางเลื่อนและเพลา ใช้แม่แรงไฮดรอลิกเคลื่อนย้าย โดยมีการตรวจวัดระดับทั้งแนวดิ่งและแนวราบอย่างต่อเนื่อง
  4. การติดตั้งตำแหน่งใหม่: เมื่อถึงตำแหน่งใหม่ ยกระดับอุโบสถขึ้น และต่อฐานรากใหม่เข้ากับตัวอาคาร ก่อนรื้อถอนฐานรากชั่วคราวและตรวจสอบความแข็งแรง

กระบวนการนี้อยู่ในกรอบแผนงานระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่การออกแบบ รับฟังความคิดเห็นจากชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จัดเตรียมพื้นที่ และดำเนินการก่อสร้างฐานรากใหม่ ตามด้วยการเคลื่อนย้ายและก่อสร้างส่วนประกอบที่เหลือ

กำหนดการพิธีเลื่อนและสร้างอุโบสถ

วัดเหล่าเจริญราษฎร์กำหนดจัดงานพิธีเลื่อนและสร้างอุโบสถเป็นเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • วันที่ 29 มีนาคม 2568
    • เวลา 09:00 น. พิธีเจริญพุทธมนต์และสืบชะตา นำโดยพระเดชพระคุณพระไพลศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค ติสฺสวํโส) วัดห้วยปลากั้ง
    • พิธีเคลื่อนย้าย: ลากจูงอุโบสถโดยคณะศรัทธา
    • กิจกรรมทำบุญ: ทอดผ้าป่าสมทบทุนสร้างอุโบสถตลอดวัน รับเหรียญที่ระลึก “รุ่นนั่งรถไฟ”
    • ประธานฝ่ายฆราวาส: รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยและคณะ
  • วันที่ 30 มีนาคม 2568
    • เวลา 09:30 น. พิธีเจริญพุทธมนต์และสืบชะตา โดยพระเดชพระคุณพระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระแก้วพระอารามหลวง และพระครูพิธานพิพัฒนคุณ เจ้าคณะอำเภอเวียงชัย
    • พิธีเคลื่อนย้าย: ลากจูงอุโบสถ
    • กิจกรรมทำบุญ: ทอดผ้าป่าตลอดวัน
  • วันที่ 31 มีนาคม 2568
    • เวลา 09:00 น. พิธีปอยหลวงกุฏิสงฆ์ ร่วมกับพระสงฆ์จาก 99 วัด ถวายภัตตาหารเพล
    • พิธีเคลื่อนย้าย: ลากจูงอุโบสถ
    • กิจกรรมพิเศษ: ชมการแสดงมนต์เสียงซอ โดยคณะสุวรรณบ้านดอนเชียงใหม่ และทอดผ้าป่า
  • วันที่ 1 เมษายน 2568
    • เวลา 09:30 น. พิธีเจริญพุทธมนต์ โดยพระเดชพระคุณพระราชสิริวชิโรดม วิ. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (ฝ่ายธรรมยุติ)
    • พิธีเคลื่อนย้าย: ลากจูงอุโบสถ
    • กิจกรรมทำบุญ: ทอดผ้าป่าตลอดวัน
  • วันที่ 2 เมษายน 2568
    • เวลา 09:30 น. พิธีเจริญพุทธมนต์และสาธยายธรรม
    • พิธีเคลื่อนย้าย: ลากจูงอุโบสถ
    • เวลา 16:00 น. พิธีแห่ครัวตานหัวหมวดถวาย เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
    • กิจกรรมทำบุญ: ทอดผ้าป่าตลอดวัน

การร่วมทำบุญและของที่ระลึก

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพในงานพิธีนี้ได้ตามกำลังศรัทธา ดังนี้:

  • เจ้าภาพฐานรากใหม่: ร่วมสมทบทุนก่อสร้างฐานรากใหม่ของอุโบสถ
  • เจ้าภาพเลื่อนอุโบสถ: ร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้าย
  • เจ้าภาพโรงทาน: จัดโรงทานในงาน
  • เจ้าภาพผ้าป่า: สมทบทุนต่อยอดการก่อสร้างอุโบสถ

ทุกการบริจาคตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป จะได้รับเหรียญที่ระลึก “รุ่นนั่งรถไฟ” ซึ่งจัดทำจำนวนจำกัดเพียง 3,999 เหรียญเท่านั้น โดยสามารถบริจาคผ่านบัญชีธนาคารออมสิน สาขาเวียงเชียงรุ้ง ชื่อบัญชี “วัดเหล่าเจริญราษฎร์” เลขที่บัญชี 020-3-6940510-3

ความท้าทายทางวิศวกรรมและคุณค่าทางศาสนา

การเคลื่อนย้ายอุโบสถครั้งนี้ไม่เพียงเป็นภารกิจที่ท้าทายด้านวิศวกรรม แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างชุมชน ศาสนสถาน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาดำเนินไปควบคู่กัน การใช้เทคนิคแม่แรงไฮดรอลิกและรางเลื่อนในการเคลื่อนย้ายอาคารขนาดใหญ่ระยะ 15 เมตร ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของอุโบสถ และเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

คำเชิญชวนจากวัด

วัดเหล่าเจริญราษฎร์ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ โดยเข้าร่วมพิธีเลื่อนอุโบสถ รับชมเทคนิคการเคลื่อนย้ายที่ท้าทาย และร่วมทำบุญเพื่อต่อยอดการก่อสร้างอุโบสถ ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2568 ณ วัดเหล่าเจริญราษฎร์ ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ความคืบหน้าโครงการรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ: ตามข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม (2567) โครงการนี้มีความยาว 323 กิโลเมตร งบประมาณ 85,345 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571 โดยจะช่วยลดระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงรายจาก 12 ชั่วโมงเหลือ 6 ชั่วโมง (ที่มา: กระทรวงคมนาคม, รายงานความคืบหน้าโครงสร้างพื้นฐาน 2567)
  2. จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย: จากข้อมูลกรมการศาสนา (2566) จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งสิ้น 1,287 แห่ง แบ่งเป็นวัดราษฎร์ 1,153 แห่ง และวัดหลวง 134 แห่ง (ที่มา: กรมการศาสนา, สถิติศาสนสถาน 2566)
  3. การท่องเที่ยวเชิงศาสนาในเชียงราย: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย รายงานว่า ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนวัดในจังหวัดเชียงรายกว่า 1.2 ล้านคน คิดเป็น 48% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด (ที่มา: ททท. สำนักงานเชียงราย, สถิติการท่องเที่ยว 2566)

เชิญชวนเลื่อนและสร้างอุโบสถวัดเหล่าเจริญราษฎร์ ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2568 

ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีเลื่อนและสร้างอุโบสถวัดเหล่าเจริญราษฎร์ ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2568 ร่วมทำบุญ สร้างประวัติศาสตร์ และสัมผัสความท้าทายทางวิศวกรรมไปด้วยกัน เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของจังหวัดเชียงราย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่วัดเหล่าเจริญราษฎร์ หรือโอนเงินบริจาคผ่านบัญชีธนาคารที่ระบุ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • วัดเหล่าเจริญราษฎร์
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • กระทรวงคมนาคม
  • กรมการศาสนา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ ดันภาพปิดทอง สินค้าศาสนาระดับจังหวัดเชียงราย

เชียงรายเดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์ศาสนา “ภาพเทคนิคการปิดทอง” หวังปั้นสินค้าระดับจังหวัด สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับและพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในมิติศาสนาให้เป็นสินค้าระดับจังหวัด ภายใต้โครงการพลังบวรในมิติศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ของชุมชนคุณธรรมพลังบวรวัดดงชัย ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่

เวทีประชุมบูรณาการรัฐ–ศาสนา–ชุมชน

การประชุมจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมวัดดงชัย โดยได้รับความเมตตาจากพระครูวิสิฐวรนารถ เจ้าคณะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง และเจ้าอาวาสวัดดงชัย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา และผู้นำชุมชน เข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมกันวางแนวทางและกำหนดบทบาทของแต่ละหน่วยงานในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์เชิงศาสนาให้เกิดความยั่งยืน

ภาพเทคนิคการปิดทอง – อัตลักษณ์ทางศิลป์ควบศรัทธา

ผลิตภัณฑ์ภาพเทคนิคการปิดทอง ถือเป็นศิลปกรรมพื้นถิ่นที่ผสมผสานศรัทธาในพระพุทธศาสนาเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งชุมชนวัดดงชัยมีการสืบทอดมาช้านาน โดยเฉพาะในรูปแบบของการวาดภาพพระพุทธเจ้า เทวดา และสัญลักษณ์มงคลต่าง ๆ ประดับตกแต่งวัด รวมถึงการจัดทำเป็นของที่ระลึกและงานประณีตศิลป์เพื่อใช้ในงานบุญ งานประเพณี และงานพิธีกรรมทางศาสนา

ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายจึงได้เสนอแนวทางผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นี้ก้าวสู่การเป็น “สินค้าระดับจังหวัด” ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสามารถต่อยอดเชิงเศรษฐกิจให้กับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

หน่วยงานภาครัฐหนุนหลัง สนับสนุนงบ–องค์ความรู้

กรมการศาสนาได้จัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการพลังบวรในมิติศาสนา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย และสามารถเข้าถึงตลาดระดับจังหวัดหรือระดับประเทศได้ โดยมีแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการแก่กลุ่มช่างในพื้นที่ พร้อมกับส่งเสริมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และเชื่อมโยงกับช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมสนับสนุน อาทิ

  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ดำเนินการเชื่อมโยงกลุ่มผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ OTOP
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สนับสนุนการวิเคราะห์ตลาดและแผนกลยุทธ์การขาย
  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ส่งเสริมการบูรณาการผลิตภัณฑ์เข้ากับเส้นทางท่องเที่ยววัฒนธรรม
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดและองค์การบริหารส่วนตำบล เตรียมจัดสรรงบประมาณสนับสนุนงานฝึกอบรมและการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต

โรงเรียนในพื้นที่ร่วมขับเคลื่อนการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจสู่เยาวชน

ในการประชุมครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอแผนความร่วมมือกับโรงเรียนบ้านทุ่งก่อ (ใจประชานุเคราะห์) และโรงเรียนวัดดงชัยพิทยา เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมเข้ากับหลักสูตรท้องถิ่น โดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมศิลปะการปิดทองให้แก่เยาวชน เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และอาจต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคต

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าโครงการนี้เป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยใช้วัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่เพียงแต่ช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมบทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทาง “บวร” คือ บ้าน–วัด–โรงเรียน

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
มีความเห็นว่าแม้แนวคิดการต่อยอดศิลปวัฒนธรรมสู่สินค้าเชิงพาณิชย์จะน่าสนใจ แต่ยังต้องคำนึงถึงการรักษาความศักดิ์สิทธิ์และคุณค่าทางจิตใจของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการจำหน่ายสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ ควรมีมาตรฐานกำกับดูแลไม่ให้ผลิตภัณฑ์เชิงศาสนาถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือขาดความเคารพต่อความเชื่อของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต ณ วันที่ 24 มีนาคม 2568)

  • จำนวนผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ที่มีอยู่ในชุมชน: 57 ชิ้น (สำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมฯ)
  • กลุ่มช่างศิลป์ในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ: 12 คน
  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมฝึกอบรมเบื้องต้น: 38 คน จาก 2 โรงเรียน
  • งบประมาณสนับสนุนจากกรมการศาสนา: 240,000 บาท
  • เป้าหมายยอดผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่ายในปี 2568: 150 ชิ้น
  • เป้าหมายการยกระดับสู่ OTOP ระดับจังหวัด: ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการประชุมวันที่ 24 มีนาคม 2568 ณ วัดดงชัย
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

พะเยา ขุดพบเจดีย์พันปี สร้างรถไฟเด่นชัย-เชียงราย

พบเจดีย์โบราณพันปีแนวรถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงราย กรมศิลป์เร่งตรวจสอบ ชาวบ้านหวั่นมรดกถูกทำลาย

พะเยา, 25 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย บริเวณใกล้ชุมชนบ้านเจดีย์งามและบ้านสันป่าเป้า ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อมีการขุดพบ “ยอดเจดีย์โบราณ 7 ชั้น” คาดว่ามีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี โดยชาวบ้านเชื่อว่าโบราณวัตถุชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัดพระธาตุนกแซว วัดโบราณที่เคยตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว

ล้อมพื้นที่ ขุดเจดีย์เก่า บ่งชี้แหล่งอารยธรรมโบราณ

บริเวณที่พบวัตถุโบราณ มีการล้อมปิดพื้นที่โดยผู้รับเหมาก่อสร้าง พร้อมติดป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้า อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ได้สังเกตเห็นการขุดเจาะด้วยรถแบ็กโฮ และพบหลุมที่คาดว่าใช้เตรียมวางหม้อรางรถไฟ

เมื่อชาวบ้านสำรวจเพิ่มเติมกลับพบเศษชิ้นส่วนเจดีย์ลักษณะเป็นหินทรายแกะสลัก ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของศิลปกรรม โดยเฉพาะยอดเจดีย์ทรง 7 ชั้น ที่มีลักษณะทางศิลปะล้านนาเด่นชัด สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะจากยุคพุทธศตวรรษที่ 17–18

พระสงฆ์และชาวบ้านร่วมใจ พิธีสูตรถอนก่อนนำไปเก็บรักษา

พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในตำบลท่าวังทอง ได้ร่วมกันประกอบพิธีสูตรถอนตามแบบล้านนาโบราณ เพื่อแสดงความเคารพต่อโบราณวัตถุ ก่อนจะทำการขนย้ายชิ้นส่วนที่พบไปยังวัดเจดีย์งาม เพื่อเก็บรักษาและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่อไป

พระครูประจักษ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์งาม ระบุว่า ชาวบ้านรู้สึกห่วงใยโบราณสถานในพื้นที่ที่อาจจะสูญหายไปกับการก่อสร้างทางรถไฟ โดยไม่ผ่านกระบวนการสำรวจที่เหมาะสม จึงร่วมมือกันขุดค้นและแจ้งเจ้าหน้าที่อย่างเร่งด่วน

กรมศิลปากรเข้าตรวจสอบเบื้องต้น สั่งชะลอการก่อสร้าง

หลังได้รับแจ้งจากประชาชน กรมศิลปากรโดยสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที และยืนยันว่าโบราณวัตถุที่พบมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และควรได้รับการอนุรักษ์

ขณะนี้ได้มีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หยุดการก่อสร้างชั่วคราวในจุดดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้กรมศิลป์ทำการสำรวจทางโบราณคดีอย่างละเอียด โดยจะร่วมมือกับชุมชนในกระบวนการเก็บข้อมูลและศึกษาเชิงลึกต่อไป

แนวรถไฟรุกที่นาเอกชน ชาวบ้านตั้งข้อกังวล

พื้นที่ที่มีการขุดพบยอดเจดีย์นั้น เดิมเป็นที่นาของชาวบ้านซึ่งมีเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้อง แต่ถูกเวนคืนโดยการรถไฟฯ เพื่อใช้ในการวางรางรถไฟสายใหม่ สร้างความกังวลให้กับชาวบ้านว่า อาจมีโบราณสถานอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ

ชาวบ้านบางรายให้ข้อมูลว่า วัดพระธาตุนกแซวในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางศาสนาของชุมชน มีอายุยาวนานกว่าศตวรรษ และคาดว่ามีซากวัดหรืออุโบสถฝังอยู่ใต้ดิน หากไม่มีการสำรวจอย่างรอบคอบ โบราณสถานเหล่านี้อาจถูกทำลายโดยไม่ตั้งใจ

ข้อเสนอจากภาคประชาชน-ขอร่วมเป็นกรรมการสำรวจ

ภาคประชาชนเสนอให้กรมศิลปากรตั้งคณะกรรมการร่วมสำรวจ โดยให้มีตัวแทนจากชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และภาควิชาการเข้าร่วม เพื่อให้การทำงานมีความโปร่งใส และสามารถเก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พระสงฆ์ในพื้นที่ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชนจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำลายรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชุมชนดั้งเดิม

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายชาวบ้านและภาคอนุรักษ์
ชี้ว่า การขุดเจดีย์และพบโบราณสถานในแนวรถไฟครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการสำรวจโบราณคดีก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ พวกเขาเรียกร้องให้ทุกโครงการพัฒนาระดับชาติให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ยังเสนอให้กรมศิลปากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนผังโบราณสถานร่วมกับชุมชน และจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือศูนย์เรียนรู้ เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษาและซึมซับประวัติศาสตร์ของบ้านตนเอง

ฝ่ายหน่วยงานรัฐและโครงการรถไฟ

ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยการเวนคืนที่ดินและเตรียมการก่อสร้างได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว อย่างไรก็ตาม หน่วยงานพร้อมรับฟังและปรับแผนงาน หากพบว่าในพื้นที่มีหลักฐานโบราณสถานที่สำคัญ พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับกรมศิลปากรในการหยุดงานชั่วคราวเพื่อศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • วันที่พบยอดเจดีย์โบราณ: 25 มีนาคม 2568
  • ลักษณะเจดีย์: เจดีย์ 7 ชั้น หินทรายแกะสลัก ศิลปะล้านนา
  • พื้นที่ตั้ง: บ้านเจดีย์งาม – บ้านสันป่าเป้า ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
  • แนวทางรถไฟที่เกี่ยวข้อง: โครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย–เชียงราย
  • หน่วยงานรับผิดชอบ: การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • หน่วยงานสำรวจโบราณคดี: กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • พื้นที่ที่เวนคืน: ที่นามีเอกสารสิทธิ์ของชาวบ้าน
  • ความคืบหน้าล่าสุด: หยุดการก่อสร้างชั่วคราว รอการสำรวจเต็มรูปแบบจากกรมศิลป์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานภาคสนามจากผู้สื่อข่าวท้องถิ่น จังหวัดพะเยา
  • ข้อมูลจากสมาคมอนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนา
  • สำนักงานศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • ข้อมูลโครงการจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศิลปะต้านฝุ่นเชียงราย สร้างหุ่นไล่กา สื่อผลกระทบเผาป่า

เชียงรายเปิดตัว “ศิลป์ ล่องกอง” รวมศิลปิน 18 อำเภอ ร่วมสร้างงานประติมากรรมร่วมสมัย สะท้อนปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย กลุ่มศิลปินจากทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมมือกันจัดแสดงผลงานภายใต้ชื่อ “ศิลป์ ล่องกอง” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและผลกระทบของปัญหาไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ ผ่านประติมากรรมร่วมสมัย “หุ่นไล่กายักษ์” (Giant Puppet) อันทรงพลังทางศิลปะและความหมาย

กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม โดยโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” ได้รับรางวัลดีเด่นจากการประกวดข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาเมืองแห่งศิลปะ ปี 2568 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนสู่การเป็นเมืองแห่งศิลปะประจำปี พ.ศ. 2568

หุ่นไล่กายักษ์ สื่อสร้างสรรค์จากรากวัฒนธรรมสู่สังคมร่วมสมัย

ผลงานหุ่นไล่กายักษ์ทั้ง 18 ชิ้น ถูกออกแบบและสร้างสรรค์โดยศิลปินในแต่ละอำเภอ โดยนำองค์ความรู้และศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นผสมผสานกับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชุมชน พร้อมกับส่งสารสังคมในประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาหมอกควัน PM2.5 และไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

การจัดแสดงเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเมษายน 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตของการเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และพื้นที่โดยรอบของภาคเหนือ

ศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อม ก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองศิลปะระดับประเทศ

ภายในงาน ยังมีการจัดกิจกรรม Art Workshop ภายใต้ชื่อ “หน้ากากแห่งสายลม” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมเรียนรู้และสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตนเอง พร้อมทั้งกิจกรรมเสวนา “วงคุย มุมคิด ฟังเสียงไฟ คุยเรื่องฝุ่น” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและศิลปินท้องถิ่นมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ

นางเกษร กำเนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารสังคมอย่างสร้างสรรค์ โดยอาศัยพลังจากศิลปินท้องถิ่นเพื่อสะท้อนปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน

การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น จุดประกายจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ผลงานทั้งหมดได้รับความร่วมมือจากชุมชนในแต่ละอำเภอ ซึ่งได้ให้ข้อมูล วัสดุท้องถิ่น และร่วมแสดงความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผลงานศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สื่อสารในเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

นายกสมาคมขัวศิลปะ ในฐานะผู้สนับสนุนพื้นที่จัดงาน ระบุว่า การใช้หุ่นไล่กา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องพืชผลจากศัตรูพืชในอดีต มาแปลงเป็น “หุ่นไล่กายักษ์” สื่อถึงการเฝ้าระวังและต่อต้าน “ยักษ์ใหญ่” ที่เป็นปัญหาในยุคใหม่อย่างหมอกควัน PM2.5 และการลักลอบเผาป่า ถือเป็นการตีความใหม่ของสัญลักษณ์แบบมีพลัง

ถนนหอศิลป์ กลายเป็นแกลเลอรีกลางแจ้งของศิลปะเพื่อสังคม

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” คือการนำผลงานหุ่นไล่กายักษ์จำนวน 18 ชิ้น จัดแสดงในพื้นที่สาธารณะตลอดแนวถนนหอศิลป์ ซึ่งไม่เพียงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมงานศิลปะ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และตั้งคำถามถึงบทบาทของศิลปะในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

มุมมองที่แตกต่าง: ศิลปะกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ฝ่ายสนับสนุน มองว่าการจัดงาน “ศิลป์ ล่องกอง” เป็นการใช้พลังของศิลปะท้องถิ่นในการสร้างจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรังอย่างหมอกควันและการเผาป่า ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรณรงค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อสื่อสารกับประชาชนในระดับรากหญ้า

อีกมุมหนึ่ง มีความเห็นว่าศิลปะเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับกลไกเศรษฐกิจและความยากจนที่ผลักดันให้ชาวบ้านบางส่วนต้องพึ่งพาการเผาป่าเพื่อเกษตรกรรม การลงทุนในงานศิลปะจึงอาจไม่คุ้มค่าหากขาดนโยบายที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • พื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากการเผาในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ปี 2566 รวมกว่า 15,000 ไร่ (สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • ค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอำเภอแม่จัน ช่วงต้นเดือนเมษายน ปี 2567 พุ่งสูงกว่า 165 µg/m³ (กรมควบคุมมลพิษ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีศิลปินที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมขัวศิลปะมากกว่า 300 คน จากทั้ง 18 อำเภอ (สมาคมขัวศิลปะ, 2567)
  • โครงการพัฒนาเมืองศิลปะภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการสนับสนุนกว่า 120 ล้านบาท ทั่วประเทศ (สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย, 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยใส่สนุก มมท.เชียงรายรณรงค์ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายส่งเสริมผ้าไทย “ใส่ให้สนุก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สืบสานภูมิปัญญา

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์สวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวันผ่านโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” โดยมุ่งสร้างความตระหนักในคุณค่าของผ้าพื้นถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าไทย พร้อมผลักดันให้ผ้าไทยเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้นำสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยอำเภอแม่ลาว ลงพื้นที่จัดกิจกรรมรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ณ บ้านแม่ต๊าก หมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะผ้าไทย และการสร้างอัตลักษณ์ที่สง่างามในแบบไทยร่วมสมัย

ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านภูมิปัญญา

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มีเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ประกอบการผ้าพื้นถิ่นทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจ โดยในกิจกรรมที่จัดขึ้น ณ ตำบลบัวสลี ได้มีการสาธิตการพิมพ์ลายผ้าด้วยเทคนิค Eco Print ซึ่งใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ มาสร้างลวดลายเฉพาะตัวบนผืนผ้า เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสืบสานภูมิปัญญาชุมชน

กลุ่มผ้าพิมพ์ลายตำบลบัวสลี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างของการรวมกลุ่มในระดับชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการจัดการ การผลิต และการสร้างเครือข่ายจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งช่วยให้ครัวเรือนในพื้นที่มีรายได้เสริมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

ขยายผลสู่ทุกอำเภอของเชียงราย

บ้านแม่ต๊ากในครั้งนี้ ถือเป็นพื้นที่ที่ 15 จาก 18 อำเภอที่คณะทำงานของชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงรายได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะ พูดคุย ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยมีเป้าหมายให้ทุกอำเภอในจังหวัดเชียงรายมีส่วนร่วมในโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” อย่างทั่วถึงภายในปี 2568

นางสินีนาฏ ทองสุข กล่าวว่า “การส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยไม่ใช่เพียงแค่การแต่งกายให้สวยงาม แต่เป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย การเคารพต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการสร้างรายได้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง”

ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย สมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่ลาว ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว ท้องถิ่นอำเภอแม่ลาว พัฒนาการอำเภอแม่ลาว ตลอดจนผู้นำชุมชน อาทิ กำนันและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

นอกจากการเรียนรู้เทคนิคการพิมพ์ผ้าแล้ว ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอ ผ้าพิมพ์ลาย เครื่องแต่งกายพื้นถิ่น และของที่ระลึกจากชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย

ด้านผู้สนับสนุนโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มองว่าเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและเหมาะสมต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังผันผวน อีกทั้งยังช่วยให้ประชาชนมีความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง

ขณะที่อีกฝ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วน แสดงความคิดเห็นว่า ควรมีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วม และควรเน้นการสร้างตลาดรองรับที่ยั่งยืนมากกว่าการรณรงค์เพียงระยะสั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สามารถนำไปใช้ประกอบการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป

แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมผ้าไทย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าพื้นเมืองมากกว่า 8,000 กลุ่มทั่วประเทศ สร้างรายได้รวมกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีการผลิตและจำหน่ายผ้าไทยสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยในประเทศ

เฉพาะในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนกลุ่มทอผ้าและพิมพ์ผ้ากว่า 360 กลุ่ม ครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ โดยกลุ่มที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มทอผ้าไทลื้อ กลุ่มผ้าชาติพันธุ์อาข่า และกลุ่มผ้า Eco Print ตำบลบัวสลี ซึ่งต่างได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ และการเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยในประเทศไทย (ปี 2567): มากกว่า 8,000 กลุ่ม
  • รายได้รวมจากอุตสาหกรรมผ้าไทยในปี 2567: ประมาณ 2,500 ล้านบาท
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวนกลุ่มผ้าพื้นถิ่น: มากกว่า 360 กลุ่ม (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2567)
  • สัดส่วนผ้าไทยที่ผลิตในภาคเหนือ: ร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยทั้งประเทศ (กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปี 2567)

ทัศนคติแบบเป็นกลาง

จากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แม้จะมีข้อเสนอแนะบางส่วนเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาและการขยายผลในรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในระดับชุมชน

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / สมาคมแม่บ้านมหาดไทย / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย / กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชมผ้าไทยล้านนา ‘อัตลักษณ์อาภรณ์ฯ’ โชว์ Soft Power เชียงราย

ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย

วันที่ 19 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกิจกรรมหลักด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

มรดกผ้าทอเชียงราย: จากภูมิปัญญาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายหลักในการ อนุรักษ์และส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ต่อยอดสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น สอดคล้องกับนโยบายผลักดัน Soft Power ไทยสู่ระดับโลก โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่ยูเนสโกยกย่องให้เชียงรายเป็น เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” (City of Design)

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า งานนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรม และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์อย่างครบวงจร กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การแสดงแบบแฟชั่นโชว์ นำเสนอชุดจากผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์
  • นิทรรศการและสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการทอผ้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • บูธแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ อาทิ ผ้าทอ เครื่องประดับ ของฝาก และของที่ระลึก
  • การประกวดออกแบบแฟชั่น ซึ่งได้รับผลงานเข้าร่วมจากนักออกแบบรุ่นใหม่ 15 ผลงาน

อบจ.เชียงรายร่วมส่งเสริม Soft Power ผ่านวัฒนธรรมผ้าไทย

เวลา 18.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมงาน โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานการจัดงาน ณ ลานจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ สืบสานและส่งต่อมรดกทางภูมิปัญญาการทอผ้าเชียงรายให้คงอยู่ และเผยแพร่อัตลักษณ์การสร้างสรรค์เสื้อผ้าอาภรณ์ของเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยเน้นการนำผ้าไทยมาพัฒนาให้สอดคล้องกับแฟชั่นสมัยใหม่ ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ความสำคัญของอุตสาหกรรมผ้าไทยต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

อุตสาหกรรมผ้าไทยถือเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่มีศักยภาพของประเทศไทย โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า:

  • ตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสร้างมูลค่า กว่า 280,000 ล้านบาทต่อปี
  • ร้อยละ 60 ของผู้ผลิตผ้าไทยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น
  • ผ้าไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดส่งออก ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือ และผ้าชาติพันธุ์
  • อุตสาหกรรมผ้าไทยจ้างงานมากกว่า 500,000 คนทั่วประเทศ

สรุป

การจัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ไม่เพียงแต่เป็นเวทีสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าพื้นเมือง แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทยผ่านการออกแบบและสิ่งทอ งานนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับชุมชนท้องถิ่นและนักออกแบบรุ่นใหม่ในการนำเสนอผลงานสู่ตลาดที่กว้างขึ้น พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมีความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้

ผ้าไทยคือมรดกทางวัฒนธรรม สืบสาน ต่อยอด สู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับโลก”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย /สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 /สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชิมลาบเหนือแท้ ‘เซ็นทรัลเชียงราย’จัดแข่ง ‘ลาบเมือง’ 2 เมษาฯ

การบริโภคลาบเมือง: วิถีวัฒนธรรมอาหารเหนือ กับแนวทางสุขภาพที่ปลอดภัย

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.), วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสมาคมสื่อมวลชนเชียงราย จัดงาน การแข่งขันลาบเมือง” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา ในวันที่ 1-2 เมษายน 2568 ณ ชั้น G โซนทางาเชื่อมจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมการทำลาบพื้นเมืองล้านนา พร้อมทั้งกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารปรุงสุกเพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพ

ประวัติและวิวัฒนาการของลาบเมือง

ลาบเมือง ถือเป็นอาหารพื้นบ้านของภาคเหนือที่มีประวัติยาวนาน นิยมใช้เนื้อสัตว์หลากหลาย เช่น เนื้อควาย เนื้อหมู หรือเนื้อวัว ในการประกอบอาหาร ซึ่งแต่เดิมมีการบริโภคลาบดิบหรือที่เรียกว่า ลาบดิบ” ที่มีสมุนไพรหลายชนิดเป็นส่วนผสม อาทิ มะแขว่น มะแหลบ ตะไคร้ ข่า และพริกลาบ ที่เชื่อกันว่าสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและพยาธิได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้ประชาชนบริโภคลาบแบบปรุงสุก หรือ ลาบคั่ว” เพื่อป้องกันโรคพยาธิและแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

ลาบเหนือ vs. ลาบอีสาน: ความแตกต่างที่สะท้อนวัฒนธรรม

  1. แหล่งที่มาและการใช้เนื้อสัตว์
    • ลาบเหนือมักนิยมใช้ เนื้อควาย เนื่องจากควายเป็นสัตว์ที่เลี้ยงกันมากในภาคเหนือที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์
    • ลาบอีสานนิยมใช้ เนื้อวัว เพราะภาคอีสานเป็นที่ราบสูง มีน้ำน้อย จึงเลี้ยงวัวมากกว่าควาย
  2. รสชาติและเครื่องเทศ
    • ลาบเหนือมีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด ทำให้รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมจากเครื่องเทศ
    • ลาบอีสานเน้นรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และมักใส่ข้าวคั่วเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
  3. กระบวนการปรุง
    • ลาบเหนือใช้วิธีการสับละเอียดและคลุกเคล้ากับเครื่องเทศหลายชนิด ทำให้มีรสชาติกลมกล่อม
    • ลาบอีสานนิยมปรุงแบบด่วน ใช้เวลาน้อยกว่า สามารถรับประทานได้ทันทีหลังจากปรุงเสร็จ

แนวทางส่งเสริมการบริโภคอาหารปลอดภัย

เพื่อสนับสนุนการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและปราศจากเชื้อโรค องค์กรสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงสุก พร้อมทั้งแนะนำแนวทางดังต่อไปนี้:

  • บริโภคลาบคั่วแทนลาบดิบ เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและพยาธิ
  • เลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ปลอดภัย และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ
  • ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรที่สดใหม่ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
  • หลีกเลี่ยงการใช้เลือดสดที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับในประเทศไทยเกิดจากการบริโภค อาหารดิบ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มี อัตราผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับสูงที่สุด ในประเทศ
  • การบริโภคลาบดิบมี ความเสี่ยงต่อโรคพยาธิและโรคติดเชื้อทางเดินอาหารมากกว่าการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกถึง 5 เท่า

สรุป

การแข่งขันลาบเมืองในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านล้านนา แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย ผ่านแนวคิด กินสุก เป็นสุข” ซึ่งเน้นการปรุงอาหารให้สุกก่อนบริโภคเพื่อลดความเสี่ยงของโรคพยาธิและแบคทีเรีย โดยยังคงความอร่อยของรสชาติลาบเหนือไว้ได้เช่นเดิม

ลดเสี่ยง เลี่ยงโรค อร่อยได้ ไม่ต้องดิบ” เป็นแนวคิดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนหันมารับประทานอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ พร้อมทั้งรักษาวัฒนธรรมการกินลาบแบบดั้งเดิมให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / รวมที่เที่ยวเชียงราย – chiangrai travel / ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข, 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ปี๋ใหม่เมืองม่วนใจ๋ ททท.จัดงาน เมษาฯ นี้

ททท.ภาคเหนือจัดเต็ม! มหาสงกรานต์ & ปีใหม่เมือง 2568 คาดเงินสะพัดกว่า 30,000 ล้านบาท

เชียงราย, 15 มีนาคม 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคเหนือ เตรียมจัดงาน มหาสงกรานต์ & ปีใหม่เมือง 2568 อย่างยิ่งใหญ่ตลอดเดือนเมษายน คาดดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคน/ครั้ง/เดือน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือให้คึกคัก พร้อมร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก

เทศกาลสงกรานต์ภาคเหนือ 2568 คึกคักทั่ว 17 จังหวัด

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยกิจกรรมสำคัญจะจัดขึ้นใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่

 

1.จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

2.จังหวัดลำปาง วัดพระธาตุลําปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

3.จังหวัดลำพูน วัดสันป่ายางหลวง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน

4.จังหวัดแม่ฮ่องสอน วัดจองคำ วัดจองกลาง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

5.จังหวัดเชียงราย วัดกลางเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

6.จังหวัดพะเยา วัดศรีโคมคำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา

7.จังหวัดแพร่ วัดพระบาทมิ่งเมือง วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดแพร่

8.จังหวัดอุตรดิตถ์ วัดกลางธรรมสาคร (วัดกลาง) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์

9.จังหวัดน่าน วัดสวนตาล อำเภอเมือง จังหวัดน่าน

10.จังหวัดพิษณุโลก วัดราชบูรณะ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

11.จังหวัดเพชรบูรณ์ วัดไตรภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

12.จังหวัดสุโขทัย วัดตระพังทอง อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย

13.จังหวัดกำแพงเพชร ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

14.จังหวัดตาก วัดดอนแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดตาก

15.จังหวัดนครสวรรค์ วัดวรนาถบรรพต พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

16.จังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร

17.จังหวัดอุทัยธานี วัดจันทารามา(วัดท่าซุง) อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

 

ทั้งนี้ กิจกรรมจะเน้นไปที่การสืบสานวัฒนธรรมไทยแบบดั้งเดิม เช่น ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ และก่อเจดีย์ทราย ควบคู่ไปกับความสนุกสนานของการเล่นน้ำสงกรานต์ในพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองทั่วภาคเหนือ

รัฐบาลหนุนสงกรานต์ไทยสู่ระดับโลก

รัฐบาลไทยได้ออกนโยบายสนับสนุนสงกรานต์ให้เป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อกระจายการเดินทางท่องเที่ยวตลอดเดือนเมษายน ลดความแออัดในช่วงวันหยุดยาว และส่งเสริมเมืองรองให้ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน มหาสงกรานต์ในประเทศไทย” เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ยิ่งช่วยเพิ่มแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าร่วมงานมากขึ้น

นางสงกรานต์ปี 2568 และโหราศาสตร์สงกรานต์

ปีนี้ นางทุงสะเทวี เป็นนางสงกรานต์ ประจำปีมะเส็ง ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารคือผลมะเดื่อ และเสด็จมาเหนือหลังครุฑ โดยวันมหาสงกรานต์ตรงกับ วันจันทร์ที่ 14 เมษายน 2568 เวลา 4:30 น. ตามจันทรคติ

แนวทางการกระจายรายได้สู่ชุมชน

ททท.ภาคเหนือได้กำหนดแนวทางการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง โดยมีแผนประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อและการรณรงค์ “ชวนหมู่แอ่วบ้าน” เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวตลอดเดือนเมษายน ไม่กระจุกตัวเฉพาะในช่วงวันที่ 12-16 เมษายนเท่านั้น

สรุปสถิติและคาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • นักท่องเที่ยวในภาคเหนือ: คาดการณ์ 5 ล้านคน/ครั้ง/เดือน
  • เงินสะพัดจากการท่องเที่ยว: ประมาณ 30,000 ล้านบาท
  • จุดจัดกิจกรรมหลัก: 17 จังหวัดภาคเหนือ
  • มหาสงกรานต์ได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก

มหาสงกรานต์ & ปีใหม่เมือง 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป โดยนักท่องเที่ยวสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ ททท.ภูมิภาคภาคเหนือ “Go North Thailand” เพื่อรับข้อมูลข่าวสารและอัปเดตตารางกิจกรรมล่าสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายไหว้ดอยตุง ตามรอยครูบาฯ สรงน้ำพระธาตุ

ดอยตุง 2007 ปี! ศรัทธาครูบาฯ เดินจาริกแสวงบุญ

เชียงราย, 13 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินจาริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง”

พิธีบวงสรวงและการเตรียมความพร้อม

เช้าวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ในพิธีดังกล่าว พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ จากนั้นได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุง

ความสำคัญของพระธาตุดอยตุง

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระมหากัสสปเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 561 ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุนหรือปีช้างตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าการเดินทางขึ้นมากราบไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุงจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สำหรับปีนี้ ประเพณีดังกล่าวตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์และภาครัฐจัดให้มีกิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง เพื่อรำลึกถึงครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง เมื่อปีพุทธศักราช 2470

พิธีตักน้ำทิพย์และสรงน้ำพระธาตุดอยตุง

วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อใช้ในการสรงน้ำพระธาตุดอยตุง โดยมีขบวนน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าประดิษฐานในวิหารวัดน้อยดอยตุง

สำหรับบ่อน้ำทิพย์ของวัดพระธาตุดอยตุง ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกเพียง 2 เมตรจากพื้นดิน แต่มีน้ำใสสะอาดตลอดทั้งปี ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุงมาตั้งแต่โบราณกาล

ขบวนแห่ศรัทธาและพิธีบวงสรวง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่พระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีวางเครื่องสักการะและกล่าวขอสูมา ตามประเพณีล้านนา โดยมีการแสดง แสง สี เสียง ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งศรัทธา

ขบวนแห่ศรัทธาเริ่มต้นจากลานจอดรถหน้าทางเข้าพระธาตุดอยตุง มุ่งสู่ลานพระธาตุ ประกอบไปด้วยขบวนเสลี่ยงพุทธศาสนิกชนจากหลายพื้นที่ ขบวนน้ำทิพย์ ขบวนตุงพันวา และขบวนสักการะของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าวและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 มีประชาชนเข้าร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงมากกว่า 50,000 คน และคาดว่าปี 2568 จะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง

พระธาตุดอยตุงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดศาสนสถานของจังหวัดเชียงราย ตามสถิติจาก Google Maps พบว่ามีการรีวิวมากกว่า 20,000 รีวิว โดยผู้เข้าชมส่วนใหญ่ชื่นชมในบรรยากาศที่สงบ วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้พระธาตุดอยตุงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย / ข้อมูลจาก Google Maps (ณ มีนาคม 2568) / กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News