Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลังไมซ์สู่เศรษฐกิจยั่งยืน เชียงรายจับมือ PATA สู่ “เมืองแห่งการเดินทางที่เปี่ยมความหมาย”

เชียงรายจับมือ PATA จุดพลุไมซ์โลก สู่ “เมืองแห่งการเดินทางที่เปี่ยมความหมาย”

เกมรุกใหม่ของเมืองรอง ใช้พลังไมซ์–วัฒนธรรม–สุขภาวะ ปักธงเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — การประกาศให้จังหวัดเชียงรายเป็นเจ้าภาพ PATA Destination Marketing Forum 2025 (PDMF 2025) ระหว่างวันที่ 1–3 ธันวาคม 2568 ที่ Heritage Chiang Rai Hotel & Convention ไม่ใช่เพียงข่าวดีด้านอีเวนต์ หากคือ “ยุทธศาสตร์ใหม่” ที่ดึง “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” มาเป็นคันเร่งเศรษฐกิจ หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันในภูมิภาคที่ร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นที่ครึ่งปีแรก 2568 ทำสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติ 21.51 ล้านคน สร้างแรงกดดันต่อภูมิภาคทั้งอาเซียนและไทยให้เร่งยกระดับข้อเสนอจุดหมายปลายทางอย่างชัดเจน

ในฝั่งไทย รัฐบาลได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลงมาแถว 33 ล้านคน สะท้อนโจทย์ “คุณภาพรายจ่าย/หัว” และ “การกระจายรายได้สู่เมืองรอง” สำคัญกว่าการเร่งจำนวนผู้มาเยือนเพียงอย่างเดียวนั่นทำให้ “ไมซ์” กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ที่ตรงจุดที่สุดในเวลานี้

ทำไม “ไมซ์” ถึงเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจได้จริง

ข้อมูลวิเคราะห์ของ Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB) แสดงภาพชัดว่า “นักท่องเที่ยวไมซ์” สร้างมูลค่าเข้มข้นกว่า “นักท่องเที่ยวเพื่อสันทนาการ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันราว 16,095.19 บาท เทียบกับ 4,616.49 บาท/วัน หรือราว 3.5 เท่า แม้ค้างคืนน้อยกว่าแต่ค่าใช้จ่ายรวมต่อทริปสูงกว่า ส่งผลให้เงินหมุนเวียนสู่ธุรกิจท้องถิ่นรวดเร็วและเป็นกอบเป็นกำ ทั้งที่พัก อาหาร โลจิสติกส์ และบริการสนับสนุน

PDMF 2025 จึงเป็นมากกว่าการประชุมฝ่ายการตลาด แต่คือ “เครื่องฟอกกำลังซื้อ” ที่ตั้งใจพาผู้ตัดสินใจ–ผู้กำหนดนโยบาย–นักการตลาดจุดหมายปลายทางจากเอเชียแปซิฟิก มาสัมผัสเชียงรายจริงก่อนกลับไปออกแบบแคมเปญการขายจุดหมายปลายทางยุคใหม่จึงเริ่มจาก “ประสบการณ์ตรง” ไม่ใช่แค่สไลด์พรีเซนต์.

โครงสร้างงานจากห้องประชุมสู่พื้นที่จริง

PATA ยืนยันรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ 1 วันประชุม ว่าด้วยเทรนด์–กรณีศึกษาเชิงกลยุทธ์ และ 1 วัน Destination Experience ที่คัดสรรเส้นทางเฉพาะกิจ 3 รูท เพื่อ “ให้สิ่งที่เล่าในห้องประชุมมีชีวิต” เมื่อออกไปอยู่ในพื้นที่จริง ได้แก่

  1. Creative City of Design for Sustainability – สัมผัส วัดร่องขุ่น ผลงานระดับสัญลักษณ์ของเมือง, รับประทานอาหารและเรียนรู้ “โมเดลพัฒนาดอยตุง” จากพื้นที่ปลูกฝิ่นสู่ป่า–เกษตร–แหล่งท่องเที่ยว และปิดท้ายที่ ชุมชนบ้านสันทางหลวง เพื่อดูของจริงว่า “ดีไซน์–ศิลป์–สุขภาวะ” แปลงเป็นรายได้ชุมชนอย่างไร
  2. Cave, Coffee and Contemporary Culture – เจาะ “แลนด์มาร์กกู้ภัยโลก” ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน, ชงกาแฟกับชุมชนสูง ผาหมี และปิดท้ายที่ Chiang Rai Contemporary Art Museum (BIENNALE) เพื่อเชื่อมธรรมชาติ–ชาติพันธุ์–ศิลปะร่วมสมัย
  3. History, Locality and Artisans – ย้อนราก สามเหลี่ยมทองคำเมืองเก่าเชียงแสน, ทำเครื่องบูชาล้านนา, สักการะ วัดเจดีย์หลวง และชม Kwaidin Daag Art House

เส้นทางเหล่านี้คือ “สคริปต์การเล่าเรื่อง” ที่ทำให้ผู้ร่วมงานได้เห็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaningful economy) ของเชียงรายแบบจับต้องได้

คาร์บอนนิวทรัล มาตรฐานใหม่ของงานไมซ์

ปีนี้ PATA ขยับจากแนวคิดสู่การปฏิบัติด้วยการประกาศให้งานเป็น Carbon Neutral Event เก็บ ค่าชดเชยคาร์บอน 10 ดอลลาร์สหรัฐ/คน แม้เปิดลงทะเบียนฟรี ทั้งเพื่อชดเชยการปล่อยที่เลี่ยงไม่ได้ (เช่น การบิน) และเพื่อส่งเงินสู่โครงการสิ่งแวดล้อมในไทยนี่ไม่ใช่เพียง “ภาษีความเขียว” แต่คือสัญญาณว่ามาตรฐานความรับผิดชอบสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรม

เชียงรายในฐานะเมืองดีไซน์” และทุนวัฒนธรรมที่พร้อมต่อยอด

ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน เชียงราย Creative City of Design” เมื่อปี 2023 โครงสร้างนิเวศสร้างสรรค์ของเมืองจากงานสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ ไปจนถึงหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นระบบที่มี “ดีไซน์” กำกับการพัฒนา เมื่องาน PDMF 2025 หยิบ “ดีไซน์–สุขภาวะ–ท้องถิ่น” มาทำเป็นแกน ถ้อยคำบนเวทีจะยิ่ง “ลงล็อก” กับสิ่งที่ผู้ร่วมงานกำลังยืนอยู่ตรงหน้า

ในฝั่งชุมชน “บ้านสันทางหลวง” ได้รับ PATA Gold Awards 2025 – Women Empowerment ยืนยันพลังการจัดการตนเองของผู้นำสตรีและกลุ่มหลากหลายทางเพศที่พลิกความท้าทายภาคเกษตร สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรีและปีนี้ชุมชนถูกบรรจุในเส้นทางเรียนรู้ของผู้ร่วมงานด้วยโดยตรง “รางวัล” จึงไม่ใช่เพียงถ้วย หากเป็น “ช่องทางขาย” ที่จะถูกพาผ่านสายตาผู้ตัดสินใจจากทั่วเอเชียแปซิฟิก

พันธมิตรเดินทางและโครงสร้างรองรับ

เว็บไซต์งานระบุ การบินไทย (THAI) เป็น Official Airline Partner พร้อมสิทธิพิเศษค่าโดยสารสำหรับผู้ร่วมงานการมีสายการบินแห่งชาติเข้ามาช่วย “เชื่อมต่อ–ลดอุปสรรค” จะเอื้อต่อการวางแผนเดินทางและขยายผลเครือข่ายธุรกิจรายทาง ทั้งในเชียงรายและเมืองรองใกล้เคียง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เงินที่หมุนเร็ว สู่วงจรชุมชน

เมื่อพิจารณาโครงสร้างค่าใช้จ่ายของผู้ร่วมงานไมซ์ (ค่าโรงแรมระดับกลาง–บน, อาหารคุณภาพ, รถรับ-ส่ง, ทีมโลจิสติกส์, เวิร์กชอปชุมชน, ซื้อของทำมือ) จะเห็นวงจรเงินที่ “ไหลเข้ม” และ “ไหลลึก” สู่เศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่าตลาดมวลชน โดยเฉพาะเมื่อเส้นทาง Destination Experience เน้น ไฮเปอร์โลคอล (hyper-local) เช่น ชุมชนผาหมี–บ้านสันทางหลวง–เชียงแสน ซึ่งผู้ร่วมงาน “ต้องจับจ่ายตรง” กับผู้ประกอบการ ตัวคูณทางเศรษฐกิจจึงปะทุในพื้นที่ทันที (จากช่างทอ–คนขับรถ–ไกด์–ร้านอาหาร–โฮมคาเฟ่–เวิร์กชอป) และต่อเนื่องยาวผ่านเครือข่ายที่ผู้เชี่ยวชาญต่างชาตินำกลับไปต่อยอด

บทเรียนสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ จาก “จำนวน” สู่ “คุณค่า”

เมื่อรัฐบาลลดเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ลงมาแถว 33 ล้านคน ภาพใหญ่จึงมิใช่การไล่ตัวเลข “หัวคน” แต่เป็นการทำให้ “รายจ่ายเฉลี่ย/หัว” และ “การกระจายรายได้” สูงขึ้นงานไมซ์นำหน้าด้วยข้อได้เปรียบนี้อยู่แล้ว และ PDMF 2025 คือเวทีสาธิตคู่มือที่ทุกจังหวัดสามารถเรียนและทำตามได้ ยึดอัตลักษณ์–ยกบทบาทชุมชน–คุมความยั่งยืน–ใช้เทคโนโลยีเล่าเรื่องทั้งหมดนี้คือ “ภาษากลาง” ของการตลาดจุดหมายปลายทางยุคใหม่

ชาวเชียงรายได้ประโยชน์อะไร และ “เจ้าบ้าน” ควรเตรียมตัวอย่างไร

ประโยชน์โดยตรง

  1. รายได้ขยายสู่รากหญ้า โปรแกรมทัวร์แบบไฮเปอร์โลคอลบังคับให้เงินไปถึงผู้ผลิตตัวจริงช่างฝีมือ, โฮมคาเฟ่, รถท้องถิ่น, ไกด์ชุมชน
  2. อัปเกรดมาตรฐานบริการ การรับคณะไมซ์ต่างชาติเป็น “แรงกดดันเชิงบวก” ให้ผู้ประกอบการยกระดับเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย การสื่อสารหลายภาษา และระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. เครือข่ายใหม่–โอกาสยาว ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เป็นมืออาชีพด้านท่องเที่ยว/การตลาดการ “ได้การ์ด–ได้ไอเดีย–ได้เพื่อนร่วมโปรเจกต์” มักมีมูลค่าต่อเนื่องหลังจบงาน

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเจ้าบ้าน

  • ร้าน–คาเฟ่–โฮมสเตย์ จัด “เมนูสั้นภาษาอังกฤษ” + ใส่ที่มา/วัตถุดิบท้องถิ่น (provenance) และตั้ง QR สำหรับจ่ายเงิน/ดาวน์โหลดโบรชัวร์
  • ช่างฝีมือ–เวิร์กชอป ทำ “แพ็กเกจ 45–90 นาที” (ราคาชัด วัสดุพร้อม ส่งงานกลับบ้านได้) ถ่ายรูป/วิดีโอสั้นเป็นตัวอย่างใน QR ให้ดูหน้างาน
  • ชุมชนท่องเที่ยวจัด “สคริปต์เล่าเรื่อง 3 นาที” (Who/What/Why it matters) และแบ่งบทบาทต้อนรับ (ยิ้ม–ทัก–เชิญ–ส่ง) ให้เด็กและผู้สูงวัยมีส่วนร่วม
  • ภาคบริการขนส่งเตรียม “Rate Card” ค่ารถรับ-ส่งเป็นมาตรฐาน/เส้นทางสั้น และฝึก greeting ภาษาอังกฤษง่าย ๆ (เช่น Welcome / This way / Enjoy!)
  • โรงแรมขนาดกลางและโฮสเทลเสนอ “Night Program” (ดูดาว–ชิมชา–เล่าเมืองเก่า) ให้ผู้ร่วมงานที่ว่างหลังประชุม เพื่อยืดเวลาจับจ่ายในเมือง
  • ความยั่งยืนตั้ง Green Corner เล็ก ๆ ในร้าน/ที่พัก (ขวดน้ำเติม, ถังแยกขยะ, ป้ายชวนลดพลาสติก) ให้สอดรับมาตรฐานงาน carbon neutral ของ PDMF 2025

เสียงจากเครือข่ายผู้จัดสารเดียวกันต่างภาษาคุณค่าท้องถิ่น + ความยั่งยืน

แถลงการณ์ของ PATA ชี้ชัดว่าเชียงรายเหมาะสมในฐานะ “เมืองศิลปะ–วัฒนธรรม–สุขภาวะ” และโครงสร้างงานที่ผสาน “เรียนในห้อง–เห็นของจริง” จะทำให้ผู้ร่วมงานกลับไปพร้อมเครื่องมือใช้งานได้จริง ขณะที่ TCEB–TAT–DASTA ต่างระบุร่วมกันว่าการยกระดับ “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น MICE City คือหนทางสร้างความยั่งยืนและความต่างให้ไทยในตลาดเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดนี้คือเมสเสจเดียวกันต่างภาษา: “พลังของชุมชน + ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม” คือหัวใจของการตลาดจุดหมายปลายทางยุคใหม่

จาก “การมาเยือน” สู่ “การเชื่อมโยง”

PDMF 2025 ทำให้เชียงรายก้าวพ้นคำว่าจุดหมายปลายทางสวยงาม สู่การเป็น “วงสนทนา” ระดับภูมิภาคว่าด้วยการตลาดการท่องเที่ยวที่ มีความหมาย และ มีความรับผิดชอบ ในจังหวะที่ไทยต้องเน้น “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” งานนี้คือตัวอย่างชัดเจนว่าความร่วมมือข้ามหน่วยงาน + พลังชุมชน + มาตรฐานสิ่งแวดล้อม สร้างผลคูณเศรษฐกิจได้จริง และที่สำคัญทำให้ “เรื่องเล่าของเชียงราย” ถูกเล่าด้วยปากของผู้ร่วมงานมืออาชีพจากทั่วเอเชียแปซิฟิกต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ

สำหรับ “เจ้าบ้าน” เวลานี้คือโอกาส: ยิ้ม–เปิดบ้าน–เล่าเรื่อง—และทำให้ทุกการใช้จ่ายของผู้มาเยือน มีความหมาย ต่อคนเชียงรายมากที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Pacific Asia Travel Association (PATA)
  • PATA – หน้ารายละเอียดงานอย่างเป็นทางการ: โปรแกรม Destination Experience ทั้ง 3 เส้นทาง (วัดร่องขุ่น–ดอยตุง–บ้านสันทางหลวง / ถ้ำหลวง–ผาหมี–BIENNALE / สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน–วัดเจดีย์หลวง–Kwaidin Daag Art House)
  • Designated Areas for Sustainable Tourism Administration (DASTA): รายชื่อผู้ชนะ PATA Gold Awards 2025
  • UNESCO / TAT: สถานะ Chiang Rai – Creative City of Design
  • TCEB / Business Events Thailand
  • Reuters (สถานการณ์ท่องเที่ยวไทย)
  • The Asahi Shimbun / JNTO
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดกาแฟไทยโตสวนกระแส เชียงรายนำร่องยกระดับสู่กาแฟพิเศษ

Key Takeaways

  • ตลาดกาแฟโลกยังเติบโตต่อเนื่อง ขนาดตลาดปี 2024 ประมาณ 269,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มแตะ 369,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 (CAGR ราว 5.3%) ขณะที่ “ตลาดกาแฟไทย” ปี 2568 ประเมินมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปีแล้ว และยังมีช่องว่างให้โตเทียบยุโรป (เฉลี่ยราว 600 แก้ว/คน/ปี)
  • ฝั่งอุปทาน ไทยผลิตเมล็ดกาแฟรวม 40,000–50,000 ตัน/ปี แต่ “กาแฟพิเศษ” (Specialty) มีเพียงราว 5,000 ตัน ไม่พอความต้องการในประเทศ ทำให้ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 ต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟคิดเป็นมูลค่า 8,387 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ราว 2,412 ล้านบาท ช่องว่างนี้คือทั้ง “โจทย์” และ “โอกาส”
  • เชียงรายกำลังถูกมองเป็นห้องทดลองเชิงนโยบายและพื้นที่สาธิตของ “ยุทธศาสตร์กาแฟคุณภาพ” ตั้งแต่ไร่ (agroforestry ลดไฟป่า-ยกระดับคุณภาพเมล็ด) ถึงปลายน้ำ (เครือข่ายร้านกาแฟกว่า 1,000 ร้าน–กิจกรรม MICE ด้านกาแฟ–อีโคซิสเต็มนวัตกรรมมหาวิทยาลัย) สอดรับเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาหา Specialty และประสบการณ์กาแฟเชิงเรื่องเล่า (story/brand experience)
  • ภาพรวมธุรกิจแข่งขันสูง กำไรสุทธิโดยรวมของอุตสาหกรรมเริ่มหดตัว แต่เชนขนาดใหญ่ (Franchise/Chain) ยังรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ ขณะที่ร้านอิสระ (Independent) เฉลี่ย ~4.6% ทางรอดคือ “ความต่างบนคุณภาพและเรื่องเล่า” ควบคู่การบริหารต้นทุนรัดกุมและสร้างเครือข่ายจับคู่ธุรกิจ (matching)

 “กาแฟไทย” ทะยานบนทางแยก—เชียงรายชูธงคุณภาพ ยกระดับสู่เวทีโลก

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 14 กันยายน 2568— กลิ่นหอมของผงกาแฟคั่วใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมของคนทำงานอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaning economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยรสนิยม ประสบการณ์ และเรื่องเล่าเหนือแก้วกาแฟหนึ่งแก้ว ตัวเลขตอกย้ำทิศทางนั้นชัดเจน—ปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าราว 269,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายสู่ 369,460 ล้านดอลลาร์ ในปี 2030 (CAGR โดยเฉลี่ยราว 5.3%) ขณะที่ประเทศไทยเอง กำลังขยับขึ้นสู่ มูลค่าตลาด 65,000 ล้านบาท ในปี 2568 จากพฤติกรรมการดื่มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปี

ใต้กราฟสวยงามมีปมซ้อนซ่อนอยู่—ฝั่งอุปทานไทยยัง “บาง” เกินกว่าจะรองรับดีมานด์ที่โตเร็ว เรามีพื้นที่ปลูกกว่า 220,053 ไร่ แบ่งเป็นอาราบิก้าในภาคเหนือ ~140,000 ไร่ และโรบัสต้าในภาคใต้ ~80,000 ไร่ แต่ “กำลังผลิตจริง” อยู่ราว 40,000–50,000 ตัน/ปี และที่สำคัญ กาแฟระดับพิเศษ (Specialty) มีเพียง ~5,000 ตัน เท่านั้น ผลคือไทยต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 นำเข้ารวม 8,387 ล้านบาท ส่วนส่งออกมีเพียง 2,412 ล้านบาท สะท้อน “ช่องว่างมูลค่า” ที่ผู้เล่นไทยยังเติมไม่เต็ม

เมื่อ “รสนิยม” กลายเป็นแรงเหวี่ยงตลาด

ความเปลี่ยนแปลงทางดีมานด์ไม่ได้มาเล่น ๆ ผู้บริโภคไทยเคลื่อนจาก “กาแฟสำเร็จรูป” สู่ “กาแฟสด” และไกลไปถึง “กาแฟพิเศษ”—กลุ่มที่ยอมจ่ายตั้งแต่ 100–2,000 บาท/แก้ว เพื่อแลกรสชาติ/โพรไฟล์ และประสบการณ์ (experience) ตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Specialty Coffee Association (SCA) เทรนด์นี้เด่นชัดในกลุ่ม Gen Y–Gen Z ที่มองกาแฟเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “เวทีแสดงตัวตน” ผ่านคาเฟ่ดีไซน์ งานคั่วละเอียด และเมนูซิกเนเจอร์ ขณะที่ Gen X ยังเน้นความสะดวก (กาแฟซอง/แคปซูล) และ Baby Boomer ยึดติดรสชาติเดิมจากร้านประจำ

ความซับซ้อนของผู้บริโภคทำให้ “กาแฟ” ไม่ใช่แค่วัตถุดิบเกษตรอีกต่อไป หากเป็นธุรกิจประสบการณ์ที่ต้องผสมผสานคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว—ใครจับเส้นเรื่องนี้ได้ จะได้ “ส่วนเพิ่มมูลค่า” (premium) เหนือตลาดมวลรวม

เชียงราย แบบฝึกหัดสู่ “ศูนย์กลางกาแฟ” ด้วยคุณภาพและความยั่งยืน

ในแผนที่กาแฟไทย จังหวัดเชียงรายกำลังเร่งเครื่องอย่างมีระบบ จาก “ดินแดนอาราบิก้าดอยสูง” ไปสู่ “ต้นแบบนิเวศกาแฟคุณภาพ” ที่ผสานเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน

  1. ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานสากล
    ผู้ผลิตเชียงรายเข้าร่วมเวทีประกวด “สุดยอดกาแฟไทย 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งใช้เกณฑ์ SCA เป็น “ภาษากลาง” ในการตัดสินคุณภาพ กาแฟเชียงรายคว้าเหรียญหลายรายการในประเภทกระบวนการต่าง ๆ—ตั้งแต่ Natural/Dry ไปจนถึง Honey (Semi-dry)—คะแนนระดับ 82–85+ คือ “ไฟฉาย” ให้เกษตรกรเห็นช่องว่างพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดประตูสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่างยั่งยืน (อ้างอิงประกาศผลการประกวดอย่างเป็นทางการของกรมวิชาการเกษตร)
  2. ปลูกอย่างรู้ป่า–แก้ปัญหาอย่างรู้โจทย์
    แนวทาง agroforestry หรือการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่กำลังขยายผลในพื้นที่ราว 41,000 ไร่ ของจังหวัด ช่วยกักความชื้น รักษาธาตุอาหาร ลดการชะล้างหน้าดิน และ—สำคัญยิ่ง—ลดแรงจูงใจการเผาป่า ซึ่งเป็นต้นตอหมอกควัน PM2.5 ในภาคเหนือ ยิ่งปลูกดี “รสชาติ” ยิ่งดี คุณภาพยิ่งดี “ราคา” ยิ่งดี เป็นวงจรคุณภาพที่เชื่อมเศรษฐกิจชุมชนกับสิ่งแวดล้อมเข้าหากัน
  3. เศรษฐกิจปลายน้ำร้านกาแฟ > 1,000 ร้าน และ MICE ดันดีมานด์คุณภาพ
    เชียงรายมีเครือข่ายร้านกาแฟมากกว่า 1,000 ร้าน—อันดับสามของประเทศ—หนุนดีมานด์เมล็ดคุณภาพและสร้างวัฒนธรรมกาแฟให้กลายเป็น “ประสบการณ์ท่องเที่ยว” ของเมือง นอกจากนี้ จังหวัดยังใช้ยุทธศาสตร์ MICE สร้างการจับคู่ธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey 2025” ที่ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และเครือข่ายผู้ประกอบการกาแฟ สร้างยอดสั่งซื้อเฉลี่ย 1 ตัน/โรงคั่ว มูลค่ารวม ~4.4 ล้านบาท—ตัวเลขที่สะท้อนว่า “คุณภาพ” แปลงเป็น “สัญญาซื้อขาย” ได้จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ
  4. มหาวิทยาลัยเป็นหัวรถจักรนวัตกรรม
    งาน MFU Coffee Fest 2025 ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ต่อเชื้อไฟนวัตกรรมตั้งแต่งานวิจัย “ทิศทางกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” ถึงเวิร์กช็อปสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือในกระบวนการ (เช่น เทียน/น้ำหอม/ออยล์จากกาแฟ) และเวที Global Coffee & Tea Association Forum 2025 ที่ดึงผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมาแลกเปลี่ยน ให้เชียงรายค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจาก “ฐานผลิต” เป็น “ศูนย์กลางองค์ความรู้–นวัตกรรม” ของภูมิภาค

โครงสร้างอุตสาหกรรม แข่งขันดุเดือด—ผู้รอดคือผู้ที่ “แตกต่างบนมาตรฐาน”

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ชี้ว่าอุตสาหกรรมกาแฟไทย แข่งขันสูงมาก จำนวนกิจการใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง—ช่วง ม.ค.–มิ.ย. 2568 มีการจดทะเบียนตั้งใหม่ 415 ราย เพิ่มขึ้น 8.9% จากปีก่อน แต่ “ทุนจดทะเบียนรวม” หดลง 33.7% สะท้อนผู้เล่นหน้าใหม่ขนาดเล็ก (SMEs) เข้าตลาดถี่ขึ้น ขณะเดียวกัน ข้อมูลผลประกอบการรวมทั้งอุตสาหกรรมระบุว่า “รายได้รวม” ยังทรงตัว แต่ “กำไรสุทธิ” ลดต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่เผชิญต้นทุนผันผวนจากราคาวัตถุดิบโลกและสงครามราคาหน้าร้าน

อย่างไรก็ดี ภาพไม่ได้มืดสนิท—เชน/แฟรนไชส์ รายใหญ่ อาทิ Café Amazon, Inthanin, กาแฟพันธุ์ไทย, Starbucks ฯลฯ ยังเกาะส่วนแบ่งตลาดแมสและรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ต่อเนื่องจาก economies of scale และระบบสนับสนุนหลังบ้าน ขณะที่ Independent ที่เด่นเรื่องประสบการณ์–คุณภาพ–บาริสต้า มีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง ~4.6% และผันผวนสูงกว่า ทางรอดจึงอยู่ที่ “การสร้างแบรนด์เฉพาะ” (story/concept) บนมาตรฐานคุณภาพที่พิสูจน์ได้ด้วยคะแนน/ประกวด ร่วมกับการบริหารต้นทุนที่เข้มงวด และการต่อยอดไปสู่รายได้หลายขา (เมล็ดคั่ว–อบรม–ทัวร์ไร่–ของที่ระลึก)

“ช่องว่างมูลค่า” ด้วย Specialty + นวัตกรรม

เมื่อเชื่อมโยงทั้งฝั่งดีมานด์ (รสนิยมยกระดับ) กับฝั่งซัพพลาย (ปริมาณ specialty ยังน้อย) คำตอบเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน—ไทยต้อง เร่งแปลงไร่สู่คุณภาพ และ แปลงคุณภาพสู่มูลค่า อย่างเป็นระบบ

  • ยกระดับเมล็ดสู่มาตรฐานสากลสนับสนุนเกษตรกรเข้าถึงความรู้เรื่องพันธุ์/การเก็บเกี่ยว/การแปรรูป ร่วมกับการใช้คะแนน SCA เป็นเข็มทิศพัฒนา (ทำให้เห็น “ช่องว่าง” และ “ทางไป”) พร้อมเปิดเวทีประกวดในระดับจังหวัด/ภูมิภาคเพื่อสร้างแรงจูงใจ
  • ขยาย agroforestry และลดไฟป่างบวิจัย–สร้างแรงจูงใจทางการเงิน (เช่น carbon credit ระดับชุมชน) เพื่อให้การปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่เป็น “ดีลที่คุ้ม” ทั้งกับชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม
  • MICE + Tourism เป็นตัวคูณขยายโมเดล “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey” ไปยังหัวเมืองกาแฟอื่น (เชียงใหม่–น่าน–แม่ฮ่องสอน) เพื่อจับคู่ซื้อขาย specialty แบบล่วงหน้า (forward) ลดความเสี่ยงผู้ผลิต และยกระดับภาพลักษณ์ “เส้นทางกาแฟไทย”
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยเป็นสะพานตั้ง “คลินิกกาแฟคุณภาพ” เชิงพื้นที่ บ่มเพาะนักคั่ว–บาริสต้า–นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมกับผู้ประกอบการ ผ่านโครงการฝึกงาน/เร่งรัดนวัตกรรม (accelerator) สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กาแฟไร้ของเสีย (zero-waste coffee products) หรือส่วนผสมฟังก์ชันนัล
  • ข้อมูล–มาตรการภาษี–การเงินพัฒนาฐานข้อมูล traceability แหล่งปลูก–กระบวนการ–คะแนนคุณภาพ เพื่อขึ้นทะเบียน “origin” ไทย พร้อมมาตรการสินเชื่อ/ภาษีที่จูงใจให้ยกระดับคุณภาพแทนเพิ่มปริมาณอย่างเดียว

เชียงรายในกระจกอนาคตจาก “แหล่งปลูก” สู่ “ศูนย์กลางความรู้–ประสบการณ์กาแฟ”

เชียงรายกำลังบันทึก “เรื่องเล่ากาแฟ” ฉบับใหม่ที่เริ่มต้นจากดินและจบลงในใจผู้ดื่ม—ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่จำนวนไร่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเห็น “กาแฟ” เป็นระบบคุณค่า (value system):

  • ในไร่—ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้นด้วยเมล็ดคุณภาพและการปลูกที่ไม่ทำร้ายป่า
  • ในเมือง—ร้านกาแฟเป็น “พื้นที่วัฒนธรรม” ให้เยาวชน–ครีเอเตอร์–นักท่องเที่ยว
  • ในตลาด—คะแนน/ประกวดกลายเป็น “ภาษากลาง” เชื่อมไทยเข้ากับโลก
  • ในประเทศ—กาแฟพิสูจน์ว่าการท่องเที่ยว–เกษตร–นวัตกรรม สามารถขับเคลื่อนร่วมกันได้

และเมื่อวงการกาแฟไทยยืนบน 3 ขา—คุณภาพ (ที่พิสูจน์ได้), นวัตกรรม (ที่แตกต่างได้), และ ความยั่งยืน (ที่ตรวจสอบได้)—เราไม่ได้แค่ขายเครื่องดื่ม แต่ขาย “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ให้คนทั้งโลก

เชิงนโยบาย/ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ

  1. จับจุดแข็งของพื้นที่—ทำ origin story ให้ชัด (ดิน–ระดับความสูง–โพรไฟล์รสชาติ) แล้ว “แปล” เป็นภาษาแบรนด์/ป้ายหน้าเครื่อง/หน้าเมนู
  2. ลงทุนในคะแนน—ส่งเมล็ดเข้าทดสอบ/ประกวด ใช้ feedback เป็นเข็มทิศพัฒนา เมื่อมีคะแนน SCA ที่เสถียร ราคาจะขึ้นโดยอัตโนมัติ
  3. สร้างรายได้หลายขา—เมล็ดคั่ว–คอร์สชง–คาเฟ่ทัวร์–ของที่ระลึก เพื่อทนต่อรอบราคาวัตถุดิบ
  4. ใช้เครือข่าย MICE—เข้าร่วมเวทีจับคู่ธุรกิจ เจรจาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบ่งเสี่ยงกับคู่ค้า
  5. บริหารต้นทุนอย่างมืออาชีพ—ล็อกต้นทุนบางส่วนด้วยสัญญา/กลยุทธ์คลังสินค้า และบริหารเมนู/ไซซ์/โปรโมชั่น เพื่อลดแรงกดจากสงครามราคา

ตลาดกาแฟไทยกำลังยืนบนทางแยกที่หอมกรุ่นด้วยโอกาส—ดีมานด์พุ่ง คุณภาพเป็นที่ต้องการ “เรื่องเล่า” ขายได้ราคา แต่ก็แข่งขันเข้มข้น ต้นทุนผันผวน และกำไรเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม แบบฝึกหัดที่เชียงรายทำอยู่—ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานโลก ปลูกอย่างรู้ป่า สร้างอีโคซิสเต็มปลายน้ำที่ขับเคลื่อนด้วย MICE และมหาวิทยาลัย—กำลังบอกเราว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่ “คุณค่า” ที่เราสร้างและพิสูจน์ได้

หากไทย “เติมช่องว่างมูลค่า” ให้เต็มด้วย Specialty และนวัตกรรมที่จับต้องได้ เราไม่เพียงปิดดุลการค้ากาแฟ แต่จะเปิดประเทศด้วย “เส้นทางกาแฟไทย” ที่โลกอยากมาลิ้มลอง—และอยากกลับมาอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)
  • TCEB และเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

องค์กรไทยเผชิญความเสี่ยง! Jobsdb เตือนเมิน Gen Z พลาดรถด่วนเศรษฐกิจดิจิทัล

Jobsdb by SEEK เตือนองค์กรไทย “อย่าเมิน Gen Z” – เสี่ยงขาดนวัตกรรมและมุมมองใหม่ พลาดรถด่วนตลาดแรงงานยุคดิจิทัล

ประเทศไทย, 13 กันยายน 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดิจิทัลเร่งสปีดและการแข่งขันระหว่างประเทศดุเดือดที่สุดรอบทศวรรษ สัญญาณเตือนสำคัญดังขึ้นจาก Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของไทย: องค์กรที่มองข้ามหรือกีดกันแรงงาน Gen Z กำลังยืนอยู่บน “จุดเสี่ยง” ที่จะเสียเปรียบคู่แข่งทั้งในด้าน นวัตกรรม และ มุมมองสดใหม่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของการเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่

สัญญาณนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้บริหารที่ติดตามแนวโน้มแรงงาน แต่ความคมชัดของข้อสรุป—และจังหวะเวลา—ทำให้สารดังกล่าวดังเป็นพิเศษในวันนี้ เพราะขณะที่หลายองค์กรยังพยายามดึงพนักงานกลับออฟฟิศแบบเต็มรูปแบบ และใช้เกณฑ์ประเมินผลแบบเดิมกับโจทย์ธุรกิจชุดใหม่ Gen Z กลับเดินเข้ามาพร้อมชุดความคาดหวังที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย ย้ำในบทสัมภาษณ์ว่า “องค์กรไทยต้องเปิดใจว่า Gen Z ไม่ได้ทำงานเพื่อค่าตอบแทนอย่างเดียว พวกเขาให้ความสำคัญกับ โอกาสพัฒนาในสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง ความยืดหยุ่นในการทำงาน คุณภาพชีวิต และค่านิยมองค์กรที่สอดคล้อง หากเราสร้างวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์ได้ จะได้เปรียบชัดเจนในการดึงดูด–รักษาคนเก่งกลุ่มนี้”

Gen Z ไม่ได้ขอแค่ “ข้อเสนอเงินเดือน” แต่ขอ “ข้อเสนอการเติบโตของชีวิต”

ภาพใหญ่ที่ Jobsdb by SEEK ถ่ายทอดคือ Gen Z โตมากับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พวกเขามักคาดหวังว่าองค์กรจะก้าวทันทั้งเครื่องมือและแนวโน้มใหม่ อยู่กับข้อมูล (data) ได้ คล่องกับแพลตฟอร์ม และพร้อมทดลองแนวทางที่ไม่คุ้นชินกับวิถีเดิม หากองค์กรยังเชื่อว่า “ทำอย่างที่เคยทำมา” แล้วจะได้ผลเช่นเดิม นั่นเท่ากับมองข้าม “ความพิเศษ” ของแรงงานรุ่นนี้ไปโดยไม่ตั้งใจ

สิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ได้แก่

  • เส้นทางเติบโต: งานที่เปิดพื้นที่ให้เรียนรู้ทักษะใหม่ มีโค้ชหรือพี่เลี้ยงชัดเจน เห็นภาพอนาคตใน 12–24 เดือนข้างหน้า
  • ความยืดหยุ่นและคุณภาพชีวิต: โหมดทำงานแบบรีโมต/ไฮบริดตามลักษณะงาน สนับสนุนสุขภาพจิต เวลาทำงานที่เน้นผลลัพธ์มากกว่า “การนั่งเฝ้าเวลา”
  • ค่านิยมองค์กร: ความรับผิดชอบต่อสังคม–สิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส ความเท่าเทียม และบรรยากาศทำงานที่ “ปลอดภัยทางจิตใจ” (psychological safety)
  • เทคโนโลยีทันสมัย: แพลตฟอร์มงานที่คล่องตัว เครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้ทำงานฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น

นี่คือ “ข้อเสนอคุณค่า” ที่แตกต่างจากยุคที่งานถูกกำหนดด้วยสถานที่และเวลามากกว่าผลลัพธ์ การพูดคุยกับ Gen Z จึงไม่ใช่แค่เรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทน แต่คือบทสนทนาว่าพวกเขาจะ เติบโตไปกับองค์กรอย่างไร

2 มิติความเสี่ยง หากองค์กรยัง “ปิดประตู” ใส่ Gen Z

Jobsdb by SEEK ระบุชัดว่าการกีดกันหรือมองข้าม Gen Z ทำให้องค์กรเสียเปรียบอย่างน้อยสองมิติ

  1. นวัตกรรมและมุมมองใหม่หายไป – Gen Z คล่องกับสื่อดิจิทัล เข้าใจผู้ใช้รุ่นใหม่ รู้จังหวะและภาษาแพลตฟอร์ม หากไม่มีคนกลุ่มนี้ องค์กรจะช้าลงในการปรับตัวทั้งผลิตภัณฑ์ การตลาด และบริการลูกค้า
  2. วิกฤตคนเก่งในระยะยาว – เมื่อ Gen Z กำลังขึ้นมาเป็นสัดส่วนหลักในตลาดแรงงาน การไม่รองรับความคาดหวังของพวกเขาเท่ากับปฏิเสธฐาน talent ขนาดใหญ่ องค์กรจะเผชิญ ช่องว่างกำลังคน ที่เติมเท่าไรก็ไม่เต็ม

ในทางกลับกัน Jobsdb by SEEK ก็ชี้ว่า Gen Z เองต้องปรับตัว: เปิดใจเรียนรู้การทำงานร่วมกับรุ่นพี่ พัฒนาทักษะเทคโนโลยีไปพร้อมกับ soft skills เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และวุฒิภาวะเมื่อรับ feedback

จาก “ความต่าง” สู่ “ความร่วมมือ” แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรไทย

เพื่อไม่ให้พลาดรอบใหญ่ของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล Jobsdb by SEEK แนะนำ สามแกนปรับตัว ที่ทำได้ทันทีและเห็นผลในทางปฏิบัติ

1) สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมรุ่น

  • Reverse mentoring: ให้คนรุ่นใหม่ถ่ายทอดความรู้ด้านดิจิทัล/วิธีคิดแบบแพลตฟอร์ม ขณะคนรุ่นพี่ถ่ายทอดบริบทธุรกิจ เครือข่าย และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
  • เส้นทางทักษะ (skills pathway): ทำแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) ที่ผูกกับเป้าหมายงานจริง มี checkpoint ชัดเจนทุกไตรมาส
  • พื้นที่ทดลอง (sandbox): อนุญาตให้ทีม cross-function ทดลองไอเดียเล็กๆ บนงบประมาณและขอบเขตที่ควบคุมได้ เพื่อเร่งวงจร “คิด–ทำ–เรียนรู้”

2) ทำงานแบบยืดหยุ่นแต่ชัดเจนเรื่องผลลัพธ์

  • Hybrid by design: กำหนดหลักเกณฑ์กะทัดรัดว่า งานประเภทใดต้องออนไซต์/ทำรีโมตได้แค่ไหน ลดการตีความส่วนบุคคล
  • วัดผลด้วย OKR/KPI ที่สะท้อนคุณค่าจริง มากกว่าตัวชี้วัดเชิงเวลา
  • สนับสนุนสุขภาวะ: จัดบริการดูแลสุขภาพจิต/โค้ชชิ่งผู้จัดการ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจ

3) สื่อสารโปร่งใส เปิดพื้นที่เสียงของทุกเจเนอเรชัน

  • ฟอรัมภายในรายเดือน ให้ถาม–ตอบแบบตรงไปตรงมา
  • Surveys สั้นแต่ถี่ เพื่อติดตามอุณหภูมิทีม และสื่อสารผล–แนวทางแก้ไขกลับไปเสมอ
  • นโยบายต่อต้านอคติข้ามรุ่น (age bias) พร้อมตัวอย่างพฤติกรรมที่คาดหวัง

ผลลัพธ์ที่มักเกิดขึ้นจากโมเดลนี้คือองค์กรไม่ต้อง “เลือกข้างรุ่น” แต่ได้ ประโยชน์จากทุกรุ่น: ประสบการณ์เชิงลึกของ Gen X, พลังบริหารจัดการของ Gen Y และความสดใหม่คล่องดิจิทัลของ Gen Z

 “Gen Z เปลี่ยนงานบ่อย เอาแน่เอานอนไม่ได้?”

Jobsdb by SEEK ชี้ว่าปรากฏการณ์เปลี่ยนงานเร็วในบางตำแหน่ง เป็นผลจากแรงกดดันของตลาดดิจิทัล ที่จังหวะเรียนรู้และเติบโตก้าวกระโดด ความคาดหวังเรื่อง “เส้นทางเติบโต” และ “โอกาสลองของจริง” จึงสูง ถ้าองค์กรทำให้เห็นทางชัดเจน มีคำมั่นเรื่องทักษะ–บทบาท–ค่าตอบแทนตามผลงาน Gen Z พร้อมผูกพัน ไม่ต่างจากรุ่นใด การมองด้วย “เลนส์ปัจเจก” (ดูคนเป็นรายคน) แทน “เลนส์เหมารวมรุ่น” จะทำให้ได้ภาพที่ยุติธรรมกว่า

ภาพใหญ่ตลาดแรงงานไทย ทำไมต้องเร่งตอนนี้

ภูมิทัศน์แรงงานไทยกำลังเผชิญ หลายคลื่นเปลี่ยนผ่านพร้อมกัน—ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน, การใช้งาน AI/ระบบอัตโนมัติ, การแข่งขันดึงตัวคนเก่งระดับภูมิภาค, โครงสร้างประชากรสูงวัย และความคาดหวังเรื่อง ESG/ความยั่งยืน—เมื่อรวมกันแล้ว องค์กรต้องการ ทักษะผสม ที่ได้ทั้ง “คิดธุรกิจเป็น” และ “คล่องเทคโนโลยี” โดยธรรมชาติของทักษะผสมนี้ Gen Z มีแต้มต่อ เพราะเติบโตมากับแพลตฟอร์มและการเรียนรู้ด้วยตนเองบนโลกออนไลน์

การตัดสินใจวันนี้จึงไม่ใช่แค่ “จะจ้าง Gen Z มากน้อยแค่ไหน” แต่คือจะ ออกแบบระบบนิเวศงาน ให้ทุกเจเนอเรชันทำงานร่วมกันได้ดีแค่ไหน—เพราะ ความเร็วของนวัตกรรม จะขึ้นอยู่กับ “ความเร็วในการเรียนรู้ร่วมกัน” ของทั้งองค์กร

เปิดพื้นที่ให้รุ่นใหม่—ได้มากกว่าคน ทำได้มากกว่าภาพลักษณ์

สารจาก Jobsdb by SEEK ไม่ได้มุ่งตำหนิองค์กรที่ยังลังเลกับการเปลี่ยนแปลง แต่ชี้ชัดว่าการเมิน Gen Z มีต้นทุนแฝง ที่อาจไม่เห็นทันที: ความคิดสร้างสรรค์ถดถอย ผลิตภัณฑ์ล้าจังหวะลูกค้า การตลาดไม่เข้าแพลตฟอร์ม และรอยรั่วบุคลากรในอีก 2–3 ปีข้างหน้า ในมุมกลับ เพียงองค์กรยอม เปิดพื้นที่–เปิดใจ–เปิดระบบ ให้การทำงานร่วมรุ่นเกิดขึ้นจริง แรงงานรุ่นใหม่จะไม่ใช่ “ตัวแปรเสี่ยง” แต่เป็น ตัวเร่ง ให้ธุรกิจเดินเร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และยั่งยืนขึ้น

“ท้ายที่สุด เป้าหมายไม่ใช่จะเอาใจรุ่นไหนเป็นพิเศษ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมที่คนทุกเจเนอเรชันรู้สึกว่าตนเอง เติบโต และ มีคุณค่า กับงาน” ดวงพร พรหมอ่อน ทิ้งท้าย “เมื่อเราทำได้ องค์กรก็จะมีทั้ง คนเก่ง และ อนาคต ไปพร้อมกัน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Jobsdb by SEEK ประเทศไทย
  • SEEK Asia – Employer/Jobseeker Insights
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)
  • องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประเทศไทย
  • World Economic Forum – Future of Jobs Report
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายพลิกเกม! ปั้นประเพณีโล้ชิงช้าสู่ Soft Power ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้า “โล้ชิงช้า” สู่ Soft Power ชนเผ่า ฟื้นพลังชุมชน–ยกระดับท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – ท้องฟ้าแม่จันยามบ่ายคล้อยโปรยฝนบางเบา ลานวัฒนธรรมบ้านแสนสุข ตำบลศรีค้ำค่อยๆ แน่นขนัดด้วยผู้คนในชุดพื้นเมืองหลากสีสัน ชายหญิงอาข่าประดับหมวกเงิน กลิ่นอาหารพื้นถิ่นลอยคลุ้ง เสียงกลองไม้ดังประสานกับเสียงหัวเราะ – บรรยากาศทั้งหมดพาให้พิธีเปิดงานประเพณีโล้ชิงช้า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” ปี 2568 กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมสัญญาณที่ชัดเจนว่าจังหวัดเชียงรายกำลังเปลี่ยน “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น Soft Power ชนเผ่า อย่างมีทิศทาง

งานครั้งนี้จัดโดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี และสนับสนุนงบประมาณ 100,000 บาท เพื่อฟื้นฟูประเพณีสำคัญของชาวอาข่าให้กลับมาโดดเด่นในปฏิทินท่องเที่ยวชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายไม่ใช่เพียงจัดงานปีละครั้ง แต่ต้องการต่อยอดให้กลายเป็น จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวมาได้ “ทั้งปี” ภายใต้สโลแกนที่ผู้บริหาร อบจ. ย้ำชัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ

จากพิธีบูชาฝนสู่เวที Soft Power เรื่องเล่าที่จับใจและจับต้องได้

โล้ชิงช้า หรือที่ชาวอาข่าเรียกว่า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” เป็นประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนบนพื้นที่สูง จัดในช่วงฤดูฝนเพื่อขอพรให้ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลอุดมสมบูรณ์ และเป็นวาระที่ชาวอาข่าซึ่งกระจายอยู่หลายหมู่บ้านจะ กลับมาพบปะสังสรรค์ ซ่อมแซมความสัมพันธ์ข้ามรุ่น ระหว่างผู้อาวุโสกับเยาวชน ประเพณีจึงทำหน้าที่มากกว่านิทรรศการกลางแจ้ง – มันเป็น โครงสร้างทางสังคม ที่ทำให้ชุมชนแข็งแรง

ปีนี้เวทีถูกออกแบบให้เห็น “กระดูกสันหลัง” ของพิธีอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การตั้งเสาชิงช้าแบบอาข่า การแต่งกายตามจารีต การละเล่นและการเต้นประกอบจังหวะที่สืบทอดกันมา ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนเรียนรู้ความหมายภายในของพิธีโดยไม่ล่วงล้ำ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ของชุมชน – แนวทางที่สะท้อนวุฒิภาวะด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (cultural tourism) ที่เคารพเจ้าของมรดกโดยตรง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวว่า “งบประมาณ 100,000 บาทเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราย้ำเสมอว่าเป้าหมายไม่ใช่ ‘จัดงานให้มีคนมา’ เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการ คืนความภาคภูมิใจ ให้ชุมชน และทำให้ประเพณีอยู่ได้ด้วยตนเองในระยะยาว เชียงรายต้องเติบโตบนรากของเราเอง”

ทำไม “โล้ชิงช้า” ตอบโจทย์เชียงรายเวลานี้

  1. ตรงกับแนวโน้มการท่องเที่ยวโลก – ผู้เดินทางหลังโควิด-19 มองหาประสบการณ์ จริงแท้ (authentic) และ เรียนรู้ (learning-based) มากขึ้น ประเพณีโล้ชิงช้าตอบโจทย์ทั้งสองข้อ เพราะเปิดให้สัมผัสวิถีชนเผ่าที่มีบริบท–พิธีกรรม–อาหาร–งานช่างฝีมือครบวงจร
  2. กระจายผลประโยชน์ได้กว้าง – ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ชุมชนโดยตรง ตั้งแต่โฮมสเตย์ มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ร้านอาหารพื้นถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมโบราณ–ร่วมสมัย เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนเพิ่มทวีคูณ
  3. ต่อยอด Soft Power เชียงราย – จังหวัดนี้มีแบรนด์วัฒนธรรมเข้มแข็งอยู่แล้ว (ศิลปะร่วมสมัย วัดร่องขุ่น ขัวศิลปะ กาแฟบนดอย) เมื่อเชื่อมกับ ประเพณีชนเผ่า จะยิ่งสร้างภาพจำที่แตกต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวอื่นในภาคเหนือ
  4. เกื้อกูลความมั่นคงทางสังคม – งานประเพณีทำให้เยาวชนรู้สึก “ภูมิใจในรากเหง้า” ลดแรงดึงดูดของพฤติกรรมเสี่ยง และสร้างบทสนทนาใหม่ระหว่างคนเมืองกับคนดอยบนฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่ความเหมารวม

จาก “งานวัฒนธรรม” สู่ “ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” 6 ยุทธศาสตร์ให้ถึงฝั่งยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวสรุปประเด็นจากเวทีและการพูดคุยรอบงาน กลั่นเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ที่ทำให้โล้ชิงช้าเดินหน้าอย่างมีคุณภาพและเคารพเจ้าของวัฒนธรรม

1) พิทักษ์แก่นพิธี ก่อนโปรโมต

หัวใจคือ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และลำดับพิธี ต้องกำหนด เขตถ่ายภาพ–เขตห้ามเข้า คู่ไปกับการบอกเล่าความหมายที่ถูกต้อง ชุมชนเป็นผู้กำกับ (community-led) เพื่อไม่ให้พิธีถูก “ทำให้ดูง่าย” จนหลุดจากบริบทเดิม

2) ยกระดับประสบการณ์ผู้มาเยือน

จุดบริการนักท่องเที่ยวควรมี ป้ายสองภาษา (ไทย–อังกฤษ เพิ่มภาษาจีน/เกาหลีตามตลาดเป้าหมาย) QR Code สำหรับอ่านเรื่องราว–เส้นทางเรียนรู้, เจ้าบ้านอาสา คอยต้อนรับ, และ แพ็กเกจครึ่งวัน/เต็มวัน เชื่อมกิจกรรมเรียนรู้อื่น (ผ้าปักอาข่า, ครัวชนเผ่า, เดินป่าศึกษาพืชวัฒนธรรม)

3) ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

ตั้งระบบ ความปลอดภัยชิงช้า (ตรวจเสา–เชือก–โครงสร้างตามรอบ), ทำ แผนฝนฟ้า–ไฟฟ้า–การแพทย์ฉุกเฉิน, ใช้ แนวคิดงานสีเขียว (Green Event) ลดพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง ตั้งจุดคัดแยกขยะ และจัดการน้ำเสียจากครัวชุมชน

4) ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

กำหนด อัตราค่าบริการมาตรฐาน สำหรับไกด์ท้องถิ่น–โชว์วัฒนธรรม–โฮมสเตย์ พร้อม ระบบแบ่งปันรายได้ ที่โปร่งใสระหว่างกลุ่มอาชีพ/กองทุนชุมชน เพื่อให้คนในหมู่บ้าน “รู้สึกได้” ว่าการท่องเที่ยวคุ้มค่าและควรร่วมดูแลต่อ

5) การตลาดบนเรื่องเล่าจริง (Story-driven Marketing)

สร้าง สตอรี่ไลน์ เช่น “กลับบ้านหน้าโล้ชิงช้า”, “เมล็ดกาแฟ–เมล็ดข้าว–เมล็ดรอยยิ้ม” ผลิตคอนเทนต์สั้นที่เล่าผ่านผู้เฒ่า–เยาวชน–แม่ค้า–ช่างฝีมือ แล้วเชื่อมกับ ปฏิทินเที่ยวทั้งปีของเชียงราย ให้ผู้มาเยือนวางแผน “เที่ยวทั้งอำเภอ” ไม่ใช่แค่แวะถ่ายรูป

6) ข้อมูลและการประเมินผล

หลังจบงาน ควรมี ชุดตัวชี้วัด ที่ชุมชนและท้องถิ่นร่วมกันเก็บ เช่น จำนวนผู้มาเยือน ระยะเวลาพำนัก รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน ความพึงพอใจของเจ้าบ้าน–ผู้มาเยือน และตัวชี้วัดพิทักษ์วัฒนธรรม (เช่น จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมพิธี) เพื่อปรับปรุงในปีถัดไป

บทบาทร่วมของรัฐ–ชุมชน–เอกชน

แม้ในพิธีเปิดจะเน้นบทบาทของ อบจ. แต่เบื้องหลังคือ ทีมสามประสาน ที่เดินหน้าไปด้วยกัน

  • ท้องถิ่น (อบต.ศรีค้ำ) ทำหน้าที่ประสานงานชุมชน จัดการจราจร จุดบริการ–จุดปฐมพยาบาล และดูแลความเรียบร้อยโดยเคารพขนบธรรมเนียม
  • ชุมชนอาข่า เป็นเจ้าภาพพิธี ตัดสินใจเรื่องเขตศักดิ์สิทธิ์ ลำดับพิธี และคัดเลือกตัวแทนเล่าเรื่อง (culture docents) เพื่อให้เสียงของชุมชนเป็นศูนย์กลาง
  • เอกชนท่องเที่ยว–วิสาหกิจชุมชน ร่วมออกแบบแพ็กเกจ รับ–ส่งนักท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม สนับสนุนอุปกรณ์เสียง–แสงอย่างพอดีไม่รบกวนพิธี

โมเดลนี้ทำให้งานครั้งนี้ ไม่ใช่งาน “ของใครคนหนึ่ง” แต่เป็นสินทรัพย์ร่วมของเมือง – เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นธรรม ความร่วมมือก็พร้อมเดินระยะยาว

เชื่อมโยงเครือข่าย จากแม่จันสู่เส้นทางชนเผ่าทั้งจังหวัด

เชียงรายมีเครือข่ายหมู่บ้านชนเผ่าหลากหลาย ทั้งอาข่า ลาหู่ เมี่ยน ไทลื้อ กะเหรี่ยง ฯลฯ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานวิชาการเคยชี้ชวนให้พัฒนา เส้นทางวัฒนธรรมชนเผ่า” (Ethnic Culture Route) ที่ไม่ใช่การจัดแสดงแบบจำลอง แต่คือการพาผู้มาเยือน เข้าไปเรียนรู้ในพื้นที่จริง ด้วยกติกาที่ชุมชนกำหนดเอง โล้ชิงช้าแม่จันจึงสามารถเป็น จุดตั้งต้น ของเส้นทางดังกล่าว เชื่อมต่อไปยังบ้านสันติคีรี (แม่สลอง) บ้านจะแล บ้านเทอดไทย หรือพื้นที่กาแฟ–ชา–ผ้าปักที่ผู้มาเยือนอยากสัมผัส

หากบูรณาการร่วมกับ เทศกาลศิลปะร่วมสมัยของเชียงราย ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เมืองจะมี จังหวะท่องเที่ยว” ที่ไหลลื่นตลอดปี – หน้าฝนเที่ยวโล้ชิงช้า หน้าหนาวชมศิลปะ–กาแฟ หน้าร้อนท่องวัฒนธรรมริมโขง – ทำให้สโลแกน “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” มีความหมายมากกว่าแคมเปญประชาสัมพันธ์

ประเด็นที่ต้องระวังความนิยมต้องไม่กลบคุณค่า

เมื่อ Soft Power เริ่มทำงาน ความนิยม (popularization) ย่อมไหลตามมา ความเสี่ยงสำคัญมี 3 ประการที่จังหวัดและชุมชนต้องรับมืออย่างรอบคอบ

  1. การฉวยใช้สัญลักษณ์ – การผลิตสินค้าที่ “เลียนแบบ” ลวดลายอาข่าโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่แบ่งปันประโยชน์ อาจสร้างบาดแผลทางวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีแนวทาง สิทธิในทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ของชุมชนอย่างชัดเจน
  2. ความแออัดและแรงกดดันต่อทรัพยากร – หากจำนวนผู้มาเยือนพุ่งสูงโดยไม่มีระบบจัดการ อาจกระทบทั้งพิธีและวิถีชีวิต ต้องกำหนด เพดานผู้เข้าชม ในบางช่วง และชี้ทางไปยังกิจกรรม–หมู่บ้านอื่นเพื่อกระจายตัว
  3. ภาพจำที่ทำให้ตายตัว (stereotype) – การนำเสนอชนเผ่าควรสะท้อน ชีวิตจริงที่มีหลายมิติ ไม่ใช่โรแมนติไซส์เฉพาะชุดพื้นเมืองหรือการเต้น ต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเล่าเรื่องชีวิตร่วมสมัยของตนเองควบคู่กับพิธีกรรม

การรับมือความท้าทายเหล่านี้จะทำให้ Soft Power ของเชียงรายแข็งแรง – เป็นพลังที่ ยกชุมชนทั้งยวง ไม่ใช่พลังที่ผลักให้บางคนยืนหน้าเวทีและบางคนถอยไปเป็นเพียงฉากหลัง

เส้นชัยที่ชื่อว่า “ยั่งยืน” สิ่งที่เชียงรายพิสูจน์ให้เห็น

ภาพรวมของงานปี 2568 สะท้อน 3 หลักคิดที่ชัดเจน

  • เคารพรากเหง้า – ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ
  • ทำให้เข้าถึงง่าย – ใช้ภาษา/สื่อ/แพ็กเกจที่ผู้มาเยือนเข้าใจได้โดยไม่ทำลายพิธี
  • เชื่อมเศรษฐกิจฐานราก – รายได้กระจายถึงครัวเรือนและกองทุนชุมชนอย่างเป็นธรรม

ทั้งหมดคือองค์ประกอบของ ความยั่งยืน ที่ไม่ใช่คำสวยหรู หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในลานโล้ชิงช้าแม่จัน เชียงรายจึงไม่ได้เพียง “จัดงาน” แต่กำลัง ออกแบบระบบนิเวศการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่คนในและคนนอกเดินไปด้วยกันได้

เมื่อชิงช้าแกว่ง – เศรษฐกิจชุมชนและหัวใจเมืองก็แกว่งตาม

เสาชิงช้าสูงตระหง่านกลางลานคือสัญลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกครั้งที่มันแกว่ง คนดูยิ้ม เด็กหัวเราะ ผู้อาวุโสยืนมองอย่างปลื้มใจ นี่คือภาพของ ความหวัง ที่เคลื่อนไหวได้ – ความหวังว่าประเพณีบรรพชนจะไม่เลือนหาย ความหวังว่าลูกหลานจะภูมิใจในรากของตนเอง ความหวังว่าผู้มาเยือนจะพกเรื่องเล่าดีๆ กลับบ้าน และแน่นอน ความหวังว่ารายได้จะหมุนเวียนในหมู่บ้านอย่างเป็นธรรม

เชียงรายกำลังบอกประเทศทั้งประเทศว่า Soft Power ไม่ได้อยู่แค่บนเวทีใหญ่หรือจอใหญ่ แต่อยู่ในลานดินกลางหมู่บ้าน อยู่ในมือของผู้เฒ่าที่ส่งไม้ต่อให้เด็ก อยู่ในรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้บางอย่างใหม่ๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมแผ่นดิน เมื่อ วัฒนธรรมได้รับความเคารพ—เศรษฐกิจจะเติบโต และเมื่อ เศรษฐกิจเติบโต—ชุมชนจะเข้มแข็ง โล้ชิงช้าแม่จันจึงไม่ใช่เพียงประเพณี หากเป็น โมเดลการพัฒนา ที่แกว่งไปข้างหน้าอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (กระทรวงวัฒนธรรม)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” เชียงราย พู่กันและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจ

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เชียงราย เมื่อพู่กันสีและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจให้ผู้พิทักษ์อธิปไตย

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – บ่ายวันเสาร์ที่แสงเหนือดอยสะท้อนกระจกใสของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พื้นที่ชั้นโถงกลางถูกเปลี่ยนเป็นแกลเลอรีชั่วคราว ผู้คนหลากวัยทยอยยืนล้อมกรอบภาพที่สะท้อน “ชีวิตทหาร” ในมุมที่ไม่ค่อยถูกเล่า—สีสันของเหงื่อ, ความอ่อนโยนของการโอบเด็กชายแดน, ประกายตาของคนเฝ้าดินแดนยามค่ำคืน งานที่มีชื่อว่า ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เป็นประธานเปิดงาน ขนานไปกับเสียงปรบมือยาวของชาวเชียงราย นักท่องเที่ยว และคณะศิลปินที่มารวมตัวกันแน่นขนัด

ภาพในพิธีเปิดชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อบุคคลสำคัญจากแวดวงศิลปะเชียงรายก้าวขึ้นเวที—อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้ริเริ่มแนวคิดและพลังใจให้เกิดกิจกรรม, อาจารย์นคร พงษ์น้อย, อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการระดมเครือข่ายศิลปินทั่วประเทศ พร้อมตัวแทนหน่วยงานรัฐ–เอกชน โดยเฉพาะ นายสายัญห์ นักบุญ ผู้อำนวยการเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงให้ศิลปะ “ออกมาหาผู้คน” มากกว่าจะรอให้ผู้คน “เดินเข้าหาศิลปะ” นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าที่เชื่อม พลังนุ่ม” ของศิลปะ เข้ากับ ภารกิจเข้ม” ของการพิทักษ์ชายแดน อย่างงดงาม

ศิลปะในฐานะ “พลังใจสาธารณะ” เหตุผลและเป้าหมายของงาน

บนเวทีเปิดงาน พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ สะท้อนเจตนารมณ์ของผู้จัดอย่างตรงไปตรงมา “กิจกรรมศิลปะเพื่อแผ่นดินจัดขึ้นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ” พร้อมย้ำความสำคัญของการยกย่องบทบาทศิลปินเชียงราย ซึ่งมีชื่อเสียงระดับประเทศในฐานะผู้ร่วมขับเคลื่อน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ด้วยภาษาแห่งความงาม

หัวใจของงาน จึงไม่ได้มีเพียงการจัดแสดงผลงาน แต่คือการ ส่งต่อกำลังใจ จากพลเมืองสู่ทหารกล้าที่ยืนอยู่ด่านหน้า สื่อสารด้วยภาพที่มีทั้งแววตา ความหวัง และความอ่อนโยน—ภาพทหารในชุดสนามที่ห่มแสงเย็นของป่าชายแดน ภาพมือที่ยื่นขนมให้เด็กน้อยโรงเรียนตะเข็บแดน ภาพธงชาติที่พริ้วไหวคู่ภูมิประเทศขรุขระ เพื่อนิยาม “อธิปไตย” ให้จับต้องได้และเดินทางสู่ใจผู้ชม

งานครั้งนี้ยังสะท้อน “โมเดลการมีส่วนร่วมแบบเชียงราย” จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีชุมชนศิลปินเข้มแข็ง—จากวัดร่องขุนสู่ขัวศิลปะ จนถึงสตูดิโอเล็กๆ ในชุมชน ซึ่งต่างหลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ให้เป็น Soft Power ที่มีรากในท้องถิ่น และนำมาสนับสนุนภารกิจของรัฐด้านความมั่นคงในภาคประชาชนได้อย่างพอดี

เชียงราย เมืองศิลปิน” พบ “เมืองชายแดน” เมื่อสองภูมิทัศน์มาเจอกัน

เชียงราย มีเอกลักษณ์ของเมืองศิลปะและเมืองชายแดนอยู่ในตัว—เมืองศิลปะ ด้วยคลื่นผลงานร่วมสมัยที่สร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และ เมืองชายแดน ด้วยภูมิศาสตร์เชื่อมลุ่มน้ำโขง–สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งการดูแลความสงบเรียบร้อยคือพันธกิจประจำวันของทหารและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ความงดงามของงานครั้งนี้อยู่ที่ การทำให้สองภูมิทัศน์มา “พยุงกัน” ไม่ใช่เดินคนละทาง

บนผนังแกลเลอรีชั่วคราว ภาพชุด “ทหาร–ประชาชน–ชุมชน” กำลังเล่าเรื่องว่า ความมั่นคงไม่ใช่เพียงรั้วลวดหนามหรือป้อมยาม แต่คือ ความไว้วางใจ ที่หล่อเลี้ยงกันได้ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์และการสื่อสารที่ทำให้คนตัวเล็กๆ รู้สึกว่า “บ้านมีคนดูแล” ขณะเดียวกันศิลปินเองก็ได้ย้ำว่า “ศิลปะไม่ได้มีไว้เพียงประดับเมือง แต่มีไว้ ประคองใจเมือง” ประโยคนี้กลายเป็นคำอธิบายสั้นๆ ของความหมายทั้งงาน

เสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนร่วมประเด็นเด่นและประเด็นรอง

  • พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ระบุว่า งานนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน และหวังให้กำลังพลรับรู้ว่าคนเมืองยืนอยู่ข้างเขา “กองทัพบกธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของแผ่นดินไทย และเราต้องการให้ทุกคนเห็นภารกิจนั้นผ่านสายตาศิลปิน”
  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เน้นว่า ศิลปินเชียงรายมีหน้าที่ต่อสังคมไม่แพ้หน้าที่ต่อศิลปะ “ศิลปะต้องออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน จุดประกายความภาคภูมิใจในผืนแผ่นดิน และช่วยเยียวยาความแตกต่างให้กลับมาปรองดอง”
  • อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ในนามสมาคมขัวศิลปะ อธิบายบทบาทเครือข่าย “เราระดมผลงานจากศิลปินหลายรุ่น–หลายแนวทาง เพื่อให้เห็นว่าความต่างอยู่ร่วมกันได้บนเป้าหมายเดียวคือ กำลังใจให้ชายแดน
  • นายสายัญห์ นักบุญ ผู้แทนภาคเอกชน ระบุเหตุผลของการเปิดพื้นที่สาธารณะกลางศูนย์การค้า “เพราะอยากให้คนทั่วไป—โดยเฉพาะเด็กและนักท่องเที่ยว—เข้าถึงศิลปะได้ง่าย พร้อมรับรู้งานของทหารที่พวกเขาอาจไม่เคยเห็นใกล้ๆ”

ประเด็นเด่น คือการใช้พื้นที่สาธารณะให้ศิลปะเข้าถึงมวลชน ก่อให้เกิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับจุลภาค” ทันที: ผู้ชมเดินทางมาเพิ่มขึ้น ร้านค้า–คาเฟ่ท้องถิ่นได้ลูกค้าเพิ่ม และเมล็ดพันธุ์แห่งความภูมิใจในท้องถิ่นถูกหว่านในใจเยาวชน ส่วน ประเด็นรอง ที่ผู้ร่วมงานสนทนากันคือความต่อเนื่อง—ทำอย่างไรให้แรงกระเพื่อมไม่หยุดที่พิธีเปิด แต่ต่อยอดเป็นกิจกรรมหมุนเวียนตลอดปี และขยายผลไปยังโรงเรียน–ชุมชนชายแดนที่ต้องการ “พื้นที่ศิลปะ” เท่าๆ กับ “สนามกีฬา”

โครงสร้างงาน จากภาพบนผนังสู่บทสนทนากลางเมือง

แม้ผู้จัดจะไม่ได้ตั้งกรอบตายตัว แต่เมื่อเดินชมโดยรอบจะเห็นแนวคิด 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ในผลงานและการจัดแสดง

  1. ชั้นของหน้าที่ – ภาพทหารในชุดสนาม, ภาพลาดตระเวน, ภาพช่วยเหลือชุมชน ภาพเหล่านี้ลดช่องว่างระหว่าง “เครื่องแบบ” กับ “ประชาชน” ให้เหลือเพียงความเป็นมนุษย์
  2. ชั้นของความทรงจำ – สีสันที่ร้อน–เย็นสลับกันเหมือนภูมิอากาศชายแดน ถ่ายทอดความรู้สึกของ “คืนที่ยาวนาน” และ “เช้าที่ทุกคนรอ” ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้ชมพกกลับบ้านได้
  3. ชั้นของการเชื่อมโยง – การจัดแสดงใจกลางเมืองและการเปิดกว้างให้ถ่ายภาพ–แบ่งปันบนสื่อสังคม สร้างบทสนทนาใหม่ในวงกว้างว่า “กำลังใจต่อชายแดน” ไม่ใช่หน้าที่ของทหารหรือรัฐเท่านั้น แต่คือ หน้าที่พลเมืองร่วมกัน

น้ำหนักเชิงนโยบายท้องถิ่น ทำไมงานนี้ “สำคัญกว่าโชว์”

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ “ศิลปินมากที่สุด” ตามคำที่คนในวงการศิลปะมักพูดถึงกัน บวกกับสถานะจังหวัดชายแดน การผสานสองคุณลักษณะนี้จึงเป็น นโยบายเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้—ศิลปะไม่เพียงเพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ช่วยยกระดับ ความรู้สึกเป็นเจ้าของเมือง (Sense of Belonging) ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับความสงบเรียบร้อยของสังคม

หากมองในเชิง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานลักษณะนี้ยังเป็น “แพลตฟอร์มฝึกงาน” สำหรับศิลปินรุ่นใหม่ ให้ได้สัมผัสกระบวนการทำงานจริง ตั้งแต่การคัดเลือกผลงาน การสื่อสารกับผู้ชมที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ–เอกชน ทั้งหมดนี้ช่วยต่อสายใยอาชีพ และเพิ่มโอกาสเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนศิลปินต่อเนื่อง

บทเรียนจากวันเปิดงานสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้คนดู “อยู่ต่อ” และ “บอกต่อ”

ในยุคที่ผู้ชมตัดสินใจภายในไม่กี่วินาที งานที่ตั้งใจ “ให้กำลังใจชายแดน” จึงต้องใส่ใจรายละเอียดระดับไมโครเพื่อให้ ประสบการณ์โดยรวม สมบูรณ์—ป้ายสองภาษา, เสียงประกอบที่ไม่รบกวน, มุมให้เด็กนั่งระบายสี, QR สำหรับอ่านเรื่องราวเบื้องหลังผลงาน, ช่องทางร่วมเขียน “จดหมายถึงทหาร” แล้วส่งถึงหน่วยชายแดน สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ชม ใช้เวลาเพิ่มขึ้น (อยู่ต่อ) และ อยากแชร์ (บอกต่อ) ซึ่งคือ “ตัวคูณกำลังใจ” ให้เดินทางจากกลางห้างสรรพสินค้าไปสู่แนวชายแดนได้จริง

ขยายความหมายของ “กำลังใจ” ให้กว้างกว่าพื้นที่จัดงาน

แม้งานครั้งนี้จะสร้างแรงสะเทือนได้ชัดเจน แต่คำถามต่อไปคือ ความยั่งยืน ผู้มีส่วนร่วมหลายฝ่ายจับมือกันหยิบยกแนวคิดที่ทำได้ทันที เช่น

  • นิทรรศการสัญจร นำบางส่วนของผลงานไปจัดที่โรงเรียนแนวชายแดน–สถานีรถไฟเชียงราย–สนามบิน เพื่อให้ “พลเมือง–นักเดินทาง” ได้เห็นเรื่องราวเดียวกัน
  • เวิร์กช็อปศิลปะกับเยาวชนชายแดน ให้ศิลปินสลับผลัดไปสอนศิลปะขั้นพื้นฐาน และเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ถ่ายทอดภาพบ้านเกิดในมุมของตนเอง
  • คลังภาพสาธารณะ (Open Gallery Online) สแกนผลงานเป็นดิจิทัลพร้อมคำบอกเล่าจากศิลปิน ให้สื่อ–ครู–นักเรียนเข้าถึงได้โดยไม่ติดผนังห้าง
  • จดหมายถึงชายแดน ต่อเนื่องเป็นกิจกรรมประจำเดือน รวบรวมคำให้กำลังใจไปถึงหน่วยปฏิบัติการจริง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภารกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็น พันธกิจร่วม” ที่ทำให้คำว่า “เพื่อแผ่นดิน” จากชื่อกิจกรรมลงหลักปักฐานในชีวิตประจำวันของผู้คน

เมื่อสีพู่กันแต้มบนผืนแผ่นดินเดียวกัน

ภาพสุดท้ายก่อนปิดงานวันแรก คือวงกลมเล็กๆ ของนักท่องเที่ยวที่หยุดยืนหน้าภาพทหารกางเสื้อคลุมให้เด็กชายที่ตัวสั่นเพราะสายลมหนาว ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ก่อนมีใครสักคนกระซิบว่า “สวย…และอบอุ่น” นี่แหละคือ ภาษากลาง ของศิลปะ—ไม่ดัง ไม่ดุ แต่กระทบใจลึก

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จึงไม่ได้เป็นเพียงนิทรรศการ หากเป็น เครื่องเตือนใจร่วมกัน ว่า ในดินแดนที่ชื่อว่าไทย ยังมีผู้คนสวมเครื่องแบบยืนเฝ้าแนวชายแดน และยังมีพลเมือง—ศิลปิน–นักธุรกิจ–ประชาชน—คอยส่งกำลังใจไปให้ พู่กันหนึ่งด้ามอาจหยุดกระสุนไม่ได้ แต่สามารถ เยียวยาหัวใจ ที่ต้องยืนรับแรงสั่นสะเทือนของหน้าที่ได้อย่างงดงาม และเมื่อหัวใจเข้มแข็ง เมืองก็เข้มแข็ง—นี่คือความหมายที่เชียงรายส่งออกไปสู่ประเทศทั้งประเทศในวันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) 
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

นักท่องเที่ยวต่างชาติสิงหาคม “ชะลอแรง” เชียงรายรับโจทย์ใหญ่ช่วงไฮซีซัน

นักท่องเที่ยวต่างชาติสิงหาคม “ชะลอแรง” เหลือ 2.58 ล้านคน รายได้ 1.19 แสนล้าน ลดสองหลัก—ถอดบทเรียนทั้งประเทศและโจทย์ใหญ่สำหรับเชียงรายรับไฮซีซัน

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – เช้าตรู่ปลายฤดูฝนที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เครื่องบินเที่ยวแรกแตะรันเวย์พร้อมผู้โดยสารต่างชาติกลุ่มเล็กๆ ที่ยิ้มให้หมอกขาวเหนือดอยตุง—ภาพเรียบง่ายที่สะท้อนความจริงอันซับซ้อนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในเดือนสิงหาคม: นักท่องเที่ยวต่างชาติ “ยังมา” แต่ “มาน้อยลง” ข้อมูลทางการยืนยันว่า 1–31 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.58 ล้านคน ลดลง 12.81% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 119,000 ล้านบาท ลดลง 13.40% สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขเชิงมหภาค แต่กำลังกลายเป็นโจทย์ปลายเปิดให้ทุกจังหวัด โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติอย่าง เชียงราย ต้องวางหมากรับไฮซีซันทันที

ภาพใหญ่ทั้งประเทศ เอเชียยังนำ, ยุโรปหนุน, อเมริกา–แอฟริกายังเล็ก

แผนที่แหล่งตลาดเดือนสิงหาคมสะท้อนทิศทางที่คุ้นเคยแต่เปราะบาง:

  • เอเชียและแปซิฟิก ครองสัดส่วนสูงสุด 72.77%
  • ยุโรป 19.17%
  • ตะวันออกกลาง 4.18%
  • อเมริกา 3.23%
  • แอฟริกา 0.65%

ความหมายเชิงนโยบายคือ ไทยยังพึ่งพาตลาดระยะใกล้เป็นหลัก ซึ่งตอบสนองไวต่อปัจจัย “ต้นทุน–ความสะดวก–ความเชื่อมั่น” (ค่าโดยสาร เที่ยวบินตรง มาตรการอำนวยความสะดวก และภาพลักษณ์ความปลอดภัย) หากหนึ่งในตัวแปรสะดุด ยอดทั้งระบบสะเทือนทันที ดังเช่นเดือนสิงหาคมที่ตัวเลขภาพรวมถดถอยสองหลัก

5 ชาติหลักยังขับเคลื่อนตลาด—จีนและมาเลเซียยืนหนึ่ง แต่พฤติกรรมเปลี่ยน

รายการ 5 ประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากสุด เดือนสิงหาคม ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น (ตามลำดับ) พร้อมเม็ดเงินจับจ่ายที่ยังทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย

  • จีน 409,691 คน รายได้ 22,723 ล้านบาท
  • มาเลเซีย 391,777 คน รายได้ 7,742 ล้านบาท
  • อินเดีย 190,604 คน รายได้ 7,368 ล้านบาท
  • เกาหลีใต้ 133,995 คน รายได้ 5,449 ล้านบาท
  • ญี่ปุ่น 128,178 คน รายได้ 5,642 ล้านบาท

ตัวเลขยืนยันภาพ “ตลาดยังมา แต่ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น” สะท้อนจากรายได้รวมประเทศที่ลดลงมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว (หดตัว 13.40% เทียบกับ 12.81%) แปลว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว/ทริปลดลงหรือโครงสร้างนักท่องเที่ยวเอียงไปสู่กลุ่มระยะสั้น–คุ้มค่า (value-seeking) มากขึ้น

 “เหตุชะลอ” ในมุมโครงสร้าง

  1. ความสามารถในการบิน (Air Capacity) – เที่ยวบินตรงยังกลับมาไม่เต็มที่ในหลายเส้นทางรอง ทำให้ค่าโดยสารสูงกว่าช่วงก่อนโควิด นักท่องเที่ยวระดับกลาง–ล่างชะลอการตัดสินใจ
  2. อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจประเทศต้นทาง – ตลาดเอเชียบางแห่งเผชิญกำลังซื้อหดตัว ผู้เดินทางเน้นโปรโมชั่นและฤดูกาลพีคที่แน่นอน
  3. การแข่งขันภูมิภาค – ประเทศเพื่อนบ้านเร่งนโยบายวีซ่า–เที่ยวบิน–แคมเปญราคาดึงดูดกลุ่มเดียวกัน ส่งผลให้นักเดินทางกระจายจุดหมาย

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพไทยลดลง หากแต่ “สูตรเดิม” ไม่พอในปีที่ผู้บริโภคชั่งน้ำหนัก “ความคุ้มค่า + ความสะดวก + ความปลอดภัย + ความต่าง” มากกว่าที่เคย

เชื่อมโยงสู่เชียงราย เมืองปลายทางภาคเหนือที่มีทั้ง “ข้อได้เปรียบ” และ “ช่องโหว่”

ข้อได้เปรียบ

  • ภูมิทัศน์และฤดูกาลเด่น—หมอกหนาว งานไม้ดอก เดือนพฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ คือทราฟฟิกหลัก
  • อัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม—วัดร่องขุน, วัดร่องเสือเต้น, บ้านดำ, ชุมชนชาติพันธุ์, วิถีชา–กาแฟดอย
  • ทำเล สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน เชื่อมลาว–เมียนมา เสริมประสบการณ์ลุ่มน้ำโขง

ช่องโหว่ที่ต้องอุด

  • เที่ยวบินตรงจากตลาดหลักยังจำกัด (จีน/เกาหลี/ญี่ปุ่น) ทำให้พึ่ง “บินต่อเชียงใหม่” ซึ่งเพิ่มเวลาและต้นทุน
  • โครงสร้างบริการรายย่อยยังไม่สม่ำเสมอ—ภาษา, การชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดน, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ห้องน้ำ–ความสะอาดมาตรฐานสากล
  • ไนท์อีโคโนมีและกิจกรรมช่วงเย็นยังมีช่องว่าง เมื่อเทียบเมืองท่องเที่ยวหลัก

บทสรุปเชิงกลยุทธ์ คือ เชียงรายต้อง “บีบความได้เปรียบให้สุด และลดแรงเสียดทานเล็กๆ ให้หายไป” เพื่อเปลี่ยนผู้โดยสารต่อเครื่อง/ทัวร์ข้ามจังหวัด ให้กลายเป็น “พักเชียงรายเพิ่ม 1 คืน” ให้ได้มากที่สุดในไฮซีซัน

จากตัวเลขระดับชาติ สู่ “แผนเล่นจริง” ของเชียงราย โฟกัส 5 ตลาดตามโครงสร้างเดือนสิงหา

1) จีน – ฐานใหญ่ที่ต้องชนะ ด้วยความสะดวก+ความเชื่อมั่น

  • สินค้า: แพ็กเกจ “หิมะแรกเหนือเมฆ”/“ชา–กาแฟ–ศิลปะใน 48 ชั่วโมง”, จุดถ่ายรูปและคาเฟ่โทนอบอุ่น, ประสบการณ์ชุมชนปลอดโรแมนซ์สแกม–ปลอดทัวร์บังคับซื้อ
  • บริการ: ป้าย–เมนูจีน, ไกด์จีน, รองรับ Alipay/WeChat Pay และ QR ข้ามแดน (ผ่านธนาคารไทย), ระบบขอคืนภาษีและชิปป์สินค้าถึงบ้าน
  • การสื่อสาร: ใช้โซเชียลจีน (WeChat/RED/Weibo) อินฟลูเอนเซอร์ “ทริปสั้นคุ้มค่า” เน้นเดินทางคู่เชียงใหม่หรือบินเข้าเชียงราย–ออกเชียงใหม่

2) มาเลเซีย – กลุ่มครอบครัว–เพื่อน เน้น “ความคุ้มค่าและฮาลาล”

  • สินค้า: เส้นทาง ฮาลาล–มุสลิม–โรดทริปเหนือ ร้านอาหารฮาลาล, มัสยิด, พื้นที่ละหมาดในแหล่งท่องเที่ยว
  • บริการ: ภาษา มาเลย์/อังกฤษ, ระบบจ่าย e-wallet ที่ชาวมาเลย์คุ้นเคย, โปรโมชั่น Long weekend ผูกกับสายการบินโลว์คอสต์
  • การสื่อสาร: คอนเทนต์ “หนาวใกล้–งบคุมได้” จุดขายวิวดอย–ชา–กาแฟ–ไนท์มาร์เก็ต

3) อินเดีย – กลุ่มรุ่นใหม่–ครอบครัว เน้น “ประสบการณ์และอาหาร”

  • สินค้า: เซ็ต Vegetarian/Jain-friendly, คาเฟ่วิวสวย–กิจกรรมถ่ายภาพ–แฟชั่น, โปรแกรมโรแมนติก/พรีเวดดิ้ง
  • บริการ: ภาษาอังกฤษคล่อง, ช่องทางชำระเงินสะดวก (UPI ยังไม่แพร่ในไทย—ใช้บัตร/QR), ทีมซัพพอร์ตเหตุฉุกเฉิน
  • การสื่อสาร: รีล–คลิปสั้น “อากาศเย็น–วิวอลัง–ถ่ายรูปสวยทุกมุม” บน Instagram/YouTube/Shorts

4) เกาหลีใต้ – ไลฟ์สไตล์–ธรรมชาติ–คาเฟ่

  • สินค้า: เส้นทาง Hygge in Chiang Rai คาเฟ่นั่งยาว–เส้นทางวิ่ง/ปั่น–ออนเซ็น/สปา–โฮมสเตย์อบอุ่น
  • บริการ: ป้าย–เมนูเกาหลี, พนักงานรู้วัฒนธรรมเกาหลี (เวลาอาหาร, รสชาติ, การเซอร์วิส)
  • การสื่อสาร: ใช้ Naver/Instagram, ภาพนิ่งโทนอบอุ่น–มินิมอล

5) ญี่ปุ่น – ความเรียบร้อย–มาตรฐาน–ความหมาย

  • สินค้า: ทัวร์เชิงวัฒนธรรมเล็กๆ คุณภาพสูง, ชิมชา–เซรามิก–งานฝีมือทำเองได้, เส้นทาง “เงียบ–สงบ”
  • บริการ: ความตรงเวลา–ความสะอาด–เสียงเบาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, พนักงานกล่าวทักภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน
  • การสื่อสาร: รีวิวละเอียด, คู่มือภาษา/มารยาทในวัด–ชุมชน

10 มาตรการ “ทำได้ทันที” เพื่อการประทับใจในปีที่แรงซื้อหดตัว

  1. ป้ายหลายภาษา + QR คู่มือเมือง (ไทย–อังกฤษ–จีน–เกาหลี–ญี่ปุ่น) รวมแผนที่–เวลาเปิด–เลขฉุกเฉิน
  2. ยกระดับห้องน้ำสาธารณะ ตามมาตรฐาน TAT Hygienic Restroom ในทุกจุดท่องเที่ยวหลักและสถานีรถ–ท่าเรือ
  3. Payment Friendly – รับบัตร–QR ข้ามแดน (PromptPay Cross-Border, Alipay/WeChat Pay) พร้อมป้ายราคาชัดทุกเมนู
  4. Tourist Help Desk ฤดูกาลพีค – จุดช่วยเหลือ 2 ภาษาในไนท์บาซาร์/ท่าเรือเชียงแสน/วัดร่องขุน ช่วยแปล–ร้องเรียน–ตามของหาย
  5. Night Economy แบบครอบครัว – โซนดนตรีเบา–ศิลปินพื้นบ้าน–เวิร์กช็อปช่างฝีมือ เพิ่มกิจกรรมหลัง 18.00 น. ให้ “มีเหตุผลค้างเพิ่ม 1 คืน”
  6. Green Rules ชัดเจน – แนวทางท่องเที่ยวรับผิดชอบ (แยกขยะ–ลดพลาสติก–ไม่ไล่จับสัตว์–เคารพวิถีชุมชน) พร้อมการสื่อสารหลายภาษา
  7. ขนส่งเชื่อมจุดเด่น – รถชัทเทิลไลน์ “สนามบิน–เมือง–วัดร่องขุน–บ้านดำ–ไร่ชา–ไนท์มาร์เก็ต” รัดกุมต่อเวลา
  8. มาตรฐานความปลอดภัยกิจกรรม – ตรวจอุปกรณ์/ใบอนุญาตเรือ–รถ–แอดเวนเจอร์ขึ้นทะเบียน โปร่งใส
  9. ดาต้าเรียลไทม์ – เก็บ Occupancy–Visitor Flow ช่วงพีค เพื่อจัดระเบียบคิว–เปิด–ปิดทางเข้าอย่างยืดหยุ่น
  10. โปรแกรมฝึกพนักงาน 20 ชั่วโมง – ภาษา/มารยาทข้ามวัฒนธรรม/การจัดการข้อร้องเรียน เร่งร่วมกับสถาบันในพื้นที่

 “ให้เขารู้สึกว่าอยู่บ้านเดียวกัน”

ในปีที่นักท่องเที่ยว “เลือกมาก” เมืองที่ชนะไม่ใช่เมืองที่มีสถานที่สวยสุดเสมอไป แต่คือเมืองที่ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเป็นคนในพื้นที่ชั่วคราว สำหรับเชียงราย นี่คือเสน่ห์ที่มีอยู่แล้ว—โฮมสเตย์ชุมชนชาวเขา ชา–กาแฟที่เจ้าของไร่ชงเอง งานศิลป์ร่วมสมัยที่เกิดขึ้นจากคนในท้องถิ่น—เพียงต้องเล่าเรื่องให้ถูกตลาดและเพิ่มความสะดวกให้ไร้รอยต่อ

ลองจินตนาการ “ทริป 48 ชั่วโมง” สำหรับคู่รักจีนหรือครอบครัวมาเลเซีย: ลงเครื่องเช้า–รับชัทเทิลไปคาเฟ่ไร่ชา–บ่ายเข้าพิพิธภัณฑ์ศิลป์ร่วมสมัย–เย็นเดินไนท์มาร์เก็ตฮาลาลเฟรนด์ลี่–เช้าวันถัดไปทำเวิร์กช็อปย้อมผ้าชุมชน–บ่ายล่องเรือโขง–ค่ำชมแสงเมืองเก่าเชียงแสน แล้วระบบจ่ายเงิน–การสื่อสาร–ความปลอดภัย ลื่นไหลไร้สะดุด พวกเขาจะบอกต่อโดยไม่ต้องขอ

มุมเศรษฐกิจท้องถิ่น “เม็ดเงินน้อยลง ต้องกระจายในเมืองให้ได้นานขึ้น”

เมื่อค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวมีแนวโน้มลดลง กลยุทธ์ของเชียงรายควรย้ายจาก “ไล่ล่าปริมาณ” สู่ “ขยายเวลาพัก + เพิ่มกิจกรรมสร้างมูลค่า”:

  • จาก 1–2 คืนเป็น 2–3 คืน ผ่าน Night Economy, เวิร์กช็อปทำจริง, ทริปชายแดน
  • เพิ่มสัดส่วนรายได้ชุมชน เช่น แพ็กเกจ ชา–กาแฟ–เซรามิก–สิ่งทอ ที่นักท่องเที่ยว “ลงมือทำและซื้อกลับ”
  • ใช้ บัตรเมือง (City Pass) รวมรถ–ค่าเข้า–คูปองร้านท้องถิ่น เพื่อทั้งเพิ่มความคุ้มค่าและกระจายเม็ดเงิน

การสื่อสารเชิงความเชื่อมั่น ความปลอดภัย–ความเป็นระเบียบคือสินค้าที่ขายได้

ในยุคที่โลกโซเชียลตัดสินใจเร็วกว่าป้ายบอกทาง เมืองต้องขาย “ความสบายใจ” ไปพร้อมกับวิวสวย:

  • ช่องทางทางการสองภาษา (Facebook/Line/WeChat/Naver) รายงานสภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ–ถนน–งานเทศกาล แบบวันต่อวัน
  • ระบบรับแจ้งเหตุ–ของหาย One Touch ผ่าน QR เดียว แล้วกระจายไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • การสื่อสาร มารยาทในวัด–หมู่บ้าน ให้เข้าใจง่าย (เช่น แต่งกาย/ระดับเสียง/ถ่ายภาพ) ลดความขัดแย้งเล็กๆ ที่ทำลายประสบการณ์

ไฮซีซันใกล้เข้ามา เชียงรายควร “จัดทัพ 90 วัน”

30 วันแรก – เก็บกวาดพื้นฐาน: ห้องน้ำ–ป้าย–ซ่อมไฟ–ตรวจความปลอดภัยกิจกรรม, อบรมหน้าบ้าน (โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ ไกด์)
60 วันถัดมา – เปิดชัทเทิลรูท, ทดลอง Night Economy ทุกสุดสัปดาห์, เปิด Help Desk สองภาษา, เปิด City Pass รุ่นทดลอง
90 วัน – ลุยแคมเปญตลาดเป้าหมาย 5 ประเทศผ่านอินฟลูเอนเซอร์/เอเจนซี, เสนอแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย 4 วัน 3 คืน” เน้นภาพลักษณ์ “ภาคเหนือสะอาด–สงบ–ปลอดภัย–ชำระเงินง่าย”

ประเด็นนโยบายที่ควรหารือร่วมจังหวัด

  1. อำนวยความสะดวกเที่ยวบินตรงฤดูกาลหนาว จากเมืองรองในจีน–เกาหลี–ญี่ปุ่น พร้อมกำกับคุณภาพทัวร์
  2. มาตรฐานโฮมสเตย์–แอดเวนเจอร์ ระดับจังหวัดเดียวกัน ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ
  3. ข้อมูลท่องเที่ยวแบบเปิด (Open Data) ให้ผู้ประกอบการเข้าถึง เพื่อวางแผนราคา–บุคลากรอย่างมีข้อมูล
  4. สิ่งแวดล้อมเป็นวาระท่องเที่ยว – จัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยว/เส้นทางยอดนิยม พร้อมมาตรการชัดเจนช่วงเทศกาล

ตัวเลขประเทศ “เตือนให้เข้ม” แต่ไม่ใช่เหตุให้ถอย

2.58 ล้านคนและรายได้ 1.19 แสนล้านบาทในสิงหาคมที่หดตัวสองหลัก เป็นสัญญาณเตือนว่า “การแข่งขันท่องเที่ยวปี 2568 ดุเดือด” เมืองที่ไปต่อได้ต้องอ่านเกมไว ปรับสินค้า–บริการให้เข้ากับความคาดหวังนักเดินทางยุคใหม่ และสร้างความสะดวก–สบายใจแบบไร้รอยต่อ

สำหรับ เชียงราย เมืองที่มีทั้งภูมิทัศน์งดงาม วัฒนธรรมเข้ม และเส้นเลือดใหญ่ชายแดน—หากทำการบ้านตามขั้นตอน (พื้นฐานแน่น/สินค้าแตกต่าง/จ่ายเงินง่าย/สื่อสารสองภาษา/ปลอดภัยรู้สึกดี) โอกาสพลิก “ผู้โดยสารต่อเครื่อง” ให้กลายเป็น “ผู้พัก 2–3 คืน” อยู่ไม่ไกล และเมื่อเขากลับบ้านพร้อมคำว่า “รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเดียวกัน” เม็ดเงินที่หายไปย่อมมีทางกลับมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (มท.): อินโฟกราฟิก “Tourism Situation in August 2025 – Inbound August” และสรุปสถานการณ์ท่องเที่ยว (ข้อมูล ณ 7 กันยายน 2568) ใช้ประกอบตัวเลขสำคัญ ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.58 ล้านคน (-12.81% YoY), รายได้ 1.19 แสนล้านบาท (-13.40% YoY), สัดส่วนภูมิภาค และ 5 ประเทศแหล่งตลาดหลักพร้อมรายได้.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อิฐโบราณ 120 ปี ที่ศาลากลางเชียงราย พยานเงียบที่บอกเล่าประวัติศาสตร์

ค้นพบอิฐโบราณตราประทับ 120 ปี เผยประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นศาลากลางหลังแรกเชียงราย

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – การบูรณะศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกได้นำไปสู่การค้นพบทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เมื่ออิฐโบราณหลายร้อยก้อนที่มีตราประทับระบุปีศักราชถูกขุดพบ เปิดเผยความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้โครงสร้างของอาคารแห่งนี้มานานกว่า 120 ปี

วันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 13.00 น. นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการบูรณะอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก ซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2443

การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้นำไปสู่การค้นพบที่น่าตื่นเต้น เมื่อทีมงานได้พบอิฐโบราณจำนวนมากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเดิม โดยอิฐเหล่านี้มีตราประทับที่ชัดเจนสองแบบ ได้แก่ “ศก. 130” และ “ร.ศ. 122” ปรากฏอยู่บนผิวหน้าของอิฐ ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันช่วงเวลาการก่อสร้างของศาลากลางแห่งนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์

ความขัดแย้งทางลำดับเวลาที่น่าสนใจ

การค้นพบอิฐที่มีตราประทับเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดคำถามทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เนื่องจากเมื่อแปลงปีศักราชที่ปรากฏบนอิฐเป็นพุทธศักราช พบว่าอิฐที่มีตราประทับ “ร.ศ. 122” นั้นตรงกับปี พ.ศ. 2446 และอิฐที่มีตราประทับ “ศก. 130” ตรงกับปี พ.ศ. 2454

ความขัดแย้งนี้แสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างศาลากลางหลังแรกอาจไม่ได้เป็นกระบวนการที่เสร็จสิ้นในครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่มีหลายช่วงเวลาและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เอกสารราชการระบุว่าอาคารเปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2443 อาจหมายถึงการก่อสร้างอาคารหลักที่แล้วเสร็จและการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ขณะที่อิฐที่มีตราประทับปีหลังอาจบ่งชี้ถึงการต่อเติมหรือซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในภายหลัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิฐที่มีตราประทับ “ศก. 130” ที่พบในปริมาณมาก แสดงให้เห็นถึงโครงการก่อสร้างครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าสังเกต เนื่องจากตรงกับยุคที่สยามกำลังเผชิญหน้ากับความไม่สงบทางการเมือง การที่รัฐบาลสยามยังคงลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในหัวเมืองสำคัญในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองเช่นนี้ อาจเป็นการแสดงออกถึงความพยายามในการสร้างเสถียรภาพและอำนาจของส่วนกลางในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลจากราชธานี

ความสำคัญของอิฐในฐานะ “พยานเงียบ”

อิฐที่ปรากฏตราประทับ “ร.ศ. 122” ได้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกอันทรงคุณค่าแก่แวดวงโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ขณะที่อิฐส่วนใหญ่ที่มีตราประทับ “ศก. 130” สะท้อนถึงมาตรฐานและระบบการจัดการอุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้างในยุคนั้น หลักฐานเหล่านี้จึงมิใช่เพียงก้อนอิฐธรรมดา แต่เปรียบเสมือน “พยานเงียบ” ที่บอกเล่าเรื่องราวด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมของเมืองเชียงรายในอดีตได้อย่างชัดเจน

การมีตราประทับบนอิฐแสดงให้เห็นถึงระบบการจัดการการผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการจัดการในยุคนั้น นอกจากนี้ ยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการลงทุนของรัฐในโครงการสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ในสมัยรัชกาลที่ 5

ศาลากลางในฐานะสัญลักษณ์การปฏิรูป

อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกถือเป็นผลโดยตรงจากนโยบายการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ของรัฐบาลสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ระบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลถูกนำมาใช้เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยเฉพาะในมณฑลพายัพ (ภาคเหนือ) ซึ่งห่างไกลจากราชธานี

ก่อนการปฏิรูป เมืองเชียงรายเคยอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันระหว่างข้าหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งจากกรุงเทพฯ และเจ้าหลวงซึ่งเป็นเชื้อสายข้าราชการจากเมืองเชียงใหม่ โครงสร้างการปกครองที่ซ้ำซ้อนเช่นนี้มักนำมาซึ่งความขัดแย้งและไม่มีประสิทธิภาพ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้พระยาศรีสหเทพ (เสง วิริยศิริ) จัดการการปกครองมณฑลพายัพชั้นใน จากนั้นในปี พ.ศ. 2440 ขุนรักษ์นราได้จัดตั้งระบบบริหารราชการใหม่ โดยมีการแบ่งส่วนงานออกเป็นกองมหาดไทย กองคลัง และกองตุลาการ

การจัดตั้งหน่วยงานใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องมีอาคารทำการที่เป็นศูนย์กลางที่มั่นคง เพื่อรองรับการบริหารราชการแบบสมัยใหม่ อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว

สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานสไตล์ตะวันตก

ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่าได้รับการออกแบบและก่อสร้างโดยนายแพทย์วิลเลี่ยม เอ. บริกส์ (Dr. William A. Briggs) ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอเมริกันผู้ทำงานในนามของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน อาคารแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial) ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐและปูน

อาคารมีลักษณะเป็นอาคารสามชั้น หลังคาทรงปั้นหยาที่มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ ด้านหน้าอาคารโดดเด่นด้วยช่องโค้ง (Arch) ที่ก่อด้วยอิฐ และมีโถงทางเดินที่เชื่อมถึงกันตลอดแนว

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยและแข็งแรงในยุคนั้น โดยอาคารใช้โครงสร้างแบบกำแพงรับน้ำหนัก (Wall Bearing) ซึ่งมีผนังหนาถึง 50 เซนติเมตร และไม่ได้ใช้เสาหรือคานคอนกรีตเสริมเหล็กเหมือนการก่อสร้างสมัยใหม่ นอกจากนี้ ฐานรากของอาคารยังใช้ไม้ซุงทำเป็นแพเพื่อรองรับน้ำหนักอาคาร ส่วนโครงสร้างคาน ตง และพื้นภายในอาคารทั้งหมดทำจากไม้สักทอง

องค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทนทานและความประณีตของการออกแบบ เพื่อให้อาคารทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองได้อย่างยาวนาน

การส่งมอบหลักฐานให้กรมศิลปากร

ปัจจุบัน อิฐที่ค้นพบทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้กรมศิลปากรเข้าดำเนินการตรวจพิสูจน์และศึกษาวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อจัดทำเป็นรายงานข้อสรุปทางวิชาการ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของอาคารได้อย่างครอบคลุมและถูกต้องยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ของกรมศิลปากรจะครอบคลุมถึงการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและกายภาพของอิฐ การวิเคราะห์เทคนิคการผลิต และการเปรียบเทียบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากตราประทับ

การศึกษาครั้งนี้ยังอาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตอิฐในยุคนั้น ตลอดจนระบบการจัดการโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของภาคเหนือ

จากศูนย์กลางการปกครองสู่แหล่งเรียนรู้

อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดมานานกว่าครึ่งศตวรรษ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2512 นายชูสง่า ไชยพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น ได้ย้ายศูนย์ราชการไปยังอาคารหลังใหม่ เนื่องจากอาคารเดิมเริ่มคับแคบและไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

อาคารเก่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นการยอมรับคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของอาคารอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2538 อาคารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก

ในปัจจุบัน อาคารแห่งนี้กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะและมีแผนจะพัฒนาให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ภาพเจียงฮาย” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด การค้นพบอิฐที่มีตราประทับศักราชได้เพิ่มคุณค่าให้กับโครงการบูรณะนี้ ทำให้การอนุรักษ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การซ่อมแซมโครงสร้าง แต่เป็นการเปิดประตูสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ของอาคารในเชิงลึกยิ่งขึ้น

ความหมายที่ลึกซึ้งของการค้นพบ

การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจแก่ชาวเชียงราย แต่ยังช่วยยกระดับคุณค่าโครงการบูรณะศาลากลางหลังแรกให้มีความหมายเกินกว่าการซ่อมแซมอาคาร หากแต่เป็นการฟื้นคืนมรดกทางประวัติศาสตร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และพร้อมก้าวสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าในอนาคตของจังหวัดเชียงราย

การค้นพบอิฐเหล่านี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงการรักษาโครงสร้างทางกายภาพเท่านั้น แต่รวมถึงการขุดค้นและเรียนรู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น

อิฐแต่ละก้อนที่พบในครั้งนี้เป็นเหมือนหน้าหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของคนในอดีต ตั้งแต่ช่างที่ปั้นอิฐ คนงานที่ก่อสร้าง ไปจนถึงข้าราชการที่ทำงานในอาคารแห่งนี้ เรื่องราวเหล่านี้จะถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความเป็นมาของเมืองเชียงรายและเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น

การวิเคราะห์วัสดุก่อสร้างในครั้งนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถเติมเต็มหรือแก้ไขประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ในขณะที่เอกสารราชการอาจมุ่งเน้นที่การบันทึกการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ อิฐเหล่านี้ได้บันทึกประวัติการพัฒนาและปรับปรุงอาคารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความจริงเชิงปฏิบัติที่บันทึกไว้ในโครงสร้างของอาคารเอง

แนวทางการพัฒนาต่อไป

จากผลการค้นพบครั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งจัดทำและเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับผลการตรวจสอบและวิเคราะห์อิฐที่ค้นพบ เพื่อให้ข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

ควรมีการสืบค้นเพิ่มเติมในเอกสารจดหมายเหตุและบันทึกทางการอื่นๆ เพื่อค้นหาหลักฐานการก่อสร้างหรือโครงการสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงรายในช่วงปี พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2454

ในการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ ควรนำเสนอเรื่องราวของอาคารในฐานะ “เอกสารประวัติศาสตร์มีชีวิต” ที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจัดแสดงอิฐที่มีตราประทับพร้อมข้อมูลการวิเคราะห์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์

การค้นพบครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายและภาคเหนือโดยรวม ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลใหม่ที่จะช่วยให้เข้าใจพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น

ท้ายที่สุด การค้นพบอิฐโบราณพร้อมตราประทับครั้งนี้เป็นการเตือนใจให้เราได้เห็นว่าแม้สถานที่ที่เรารู้จักกันดี ก็ยังสามารถเก็บซ่อนความลับและเรื่องราวใหม่ๆ ที่รอการค้นพบและตีความได้เสมอ การบูรณะจึงไม่ได้เป็นเพียงการฟื้นฟูโครงสร้าง แต่เป็นการรื้อฟื้นองค์ความรู้ที่สำคัญและลึกซึ้งกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นมรดกทางปัญญาที่ทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง ทำไมค้นพบครั้งนี้ “คุ้มค่า” ต่อการลงทุนอนุรักษ์

  • อายุอาคาร เกิน 125 ปี (นับจาก พ.ศ. 2443)

  • ศักราชบนอิฐ อยู่ในช่วง พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2454 —ห่างกัน 8 ปี สะท้อนรอบการซ่อมครั้งใหญ่

  • ความหนาผนัง ราว 50 ซม. —ชี้เทคนิคผนังรับน้ำหนัก (wall-bearing) ที่ต้องคำนวณอย่างประณีต

  • สถานะทางกฎหมาย: ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน พ.ศ. 2520—คุ้มครองโดยกฎหมายมรดกศิลปวัฒนธรรม

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “ข้อมูลประกอบ” แต่เป็น หลักฐานเชิงคุณค่า (value evidence) ที่อธิบายว่าทำไมเมืองจึงสมควรลงทุนอนุรักษ์—เพราะทุกเซนติเมตรของอาคารบรรจุความรู้และประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้แน่นหนา

เมื่อ “กำแพง” พูด—เมืองก็ฟัง

การค้นพบ อิฐโบราณตรา “ร.ศ. 122” และ “ศก. 130” ในโครงการบูรณะศาลากลางหลังแรกเชียงราย ได้ยกระดับงานอนุรักษ์จาก “ซ่อม–เสริม–สวย” ไปสู่ “สืบ–สอบ–สื่อ”—สืบค้นหลักฐาน สอบทานกับเอกสาร และสื่อสารให้สาธารณะร่วมเป็นเจ้าของความรู้ใหม่ของเมือง ระหว่างที่ทีมวิชาการของ กรมศิลปากร เร่งตรวจพิสูจน์ในห้องแล็บ เมืองเองก็เริ่มวางแผนว่าจะให้ อิฐแต่ละก้อน เป็นครูของเด็กนักเรียนและนักท่องเที่ยวอย่างไร

สุดท้าย ความหมายของการบูรณะจึงไม่ใช่แค่ “คืนรูปทรง” แต่อยู่ที่การ “คืนเรื่องราว” ให้คนเชียงราย—ให้รู้ว่าเหตุใดเมืองจึงยืนอยู่ตรงนี้ และกำแพงอิฐที่เคยนิ่งเงียบ—แท้จริงกำลังเล่าประวัติศาสตร์ให้เราฟังอย่างไม่รู้จบ

ลำดับเวลาจากเอกสารและหลักฐานอิฐ

  • พ.ศ. 2443 (ร.ศ. 119): ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) ก่อสร้างและเปิดใช้งาน
  • พ.ศ. 2446 (ร.ศ. 122): ปรากฏตราศักราชบนอิฐ—ตีความว่ามีการซ่อม/ต่อเติมช่วงต้นการใช้งาน
  • พ.ศ. 2454 (ศก./ร.ศ. 130): ปรากฏตราศักราชบนอิฐจำนวนมาก—ตีความว่าเป็น “งานใหญ่” ระยะสำคัญ
  • พ.ศ. 2512: ย้ายศูนย์ราชการไปอาคารใหม่
  • พ.ศ. 2520: ขึ้นทะเบียนโบราณสถานโดยกรมศิลปากร
  • พ.ศ. 2538: ปรับเป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
  • พ.ศ. 2568: เริ่มบูรณะเชิงอนุรักษ์ ค้นพบอิฐตราศักราช ส่งตรวจพิสูจน์โดยกรมศิลปากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)

  • กรมศิลปากร

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

  • บทความทางวิชาการและเอกสารประวัติศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
VIDEO WORLD PULSE

จากการแบนโซเชียลสู่การลุกฮือของ Gen Z นายกฯ เนปาลลาออก ตั้งผู้นำชั่วคราว

เนปาลบนเส้นขอบวิกฤต จาก “การแบนโซเชียล” สู่การลุกฮือของ Gen Z การลาออกของนายกฯ โอลี และการตั้ง “สุชิลา คาร์กี” เป็นผู้นำชั่วคราว — บทเรียนว่าด้วยความโปร่งใสและศรัทธาทางการเมือง

เนปาล, 13 กันยายน 2568 — กลิ่นควันไฟหน้ารัฐสภาและรั้วลวดหนามรอบย่านกลางกรุงกาฐมาณฑุยังไม่ทันจาง เมื่อเสียงประกาศเคอร์ฟิวและฝีเท้าทหารย้ำให้ทั้งโลกตระหนักว่า ประเทศเล็กๆ บนหลังคาโลกกำลังยืนอยู่ตรงทางแยกประวัติศาสตร์อีกครั้ง การประท้วงต่อต้านการทุจริตและความเหลื่อมล้ำที่หมักหมมนานนับทศวรรษปะทุรุนแรง ภายหลังรัฐบาลตัดสินใจ “แบนโซเชียลมีเดีย” ครั้งใหญ่ จนลุกลามเป็นกระแสของคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเชิงโครงสร้าง ผลเชิงรูปธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว—นายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลี ประกาศลาออก กองทัพลงพื้นที่ควบคุมสถานการณ์ และล่าสุดมีการแต่งตั้ง นางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ พร้อมกำหนดจัดการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากซึ่งตอกหมุดจำให้โลกต้องหันกลับมาถามว่า เนปาลจะเดินไปทางใดต่อจากนี้

ปมเริ่มจากปลายนิ้ว “แบน 26 แพลตฟอร์ม” – ฟางเส้นสุดท้ายของคนรุ่นใหม่

ชนวนไฟเริ่มจากวันที่ 4 กันยายน เมื่อทางการเนปาลประกาศห้ามใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังรวม กว่า 26 แพลตฟอร์ม โดยให้เหตุผลเรื่องการสกัด “ข่าวปลอม คำพูดสร้างความเกลียดชัง และอาชญากรรมไซเบอร์” กระทรวงที่เกี่ยวข้องย้ำว่าเป็นมาตรการเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่กับ Gen Z—ที่เติบโตมาพร้อม “หน้าจอคือโลก บ้าน และหน้าร้าน”—การแบนถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกและช่องทางทำมาหากิน ผลกระทบทางสังคมจึงไม่ได้หยุดเพียงพฤติกรรมออนไลน์ แต่กระแทกลงสู่ตัวตนและศักดิ์ศรีของคนรุ่นใหม่โดยตรง แม้ต่อมารัฐบาลจะ “ยกเลิกคำสั่งแบน” หลังมีผู้เสียชีวิตจากการปะทะ แต่วิกฤตศรัทธาที่ถูกจุดติดแล้วกลับยากจะดับลงง่ายๆ

จากถนนสู่รัฐสภาการปะทุ ความสูญเสีย และสัญลักษณ์ที่ถูกเผา

เพียง 4 วันถัดมา (8 กันยายน) การชุมนุมขยายวงอย่างรวดเร็วจากย่านกลางกรุงไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ สถานที่เชิงสัญลักษณ์อย่างอาคารรัฐสภาถูกจุดไฟเผา สนามบินนานาชาติตรีภูวัน (TIA) ต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ความรุนแรงพุ่งขึ้นเป็นลำดับ—รายงานข่าวจากหลายสำนักระบุผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ กระทั่งวันที่ 12 กันยายน ตัวเลขผู้เสียชีวิต “ทะลุ 50 ราย” และผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,300 คน เหตุสะเทือนใจ อาทิ การเสียชีวิตของภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีรายหนึ่งภายหลังถูกกักในบ้านที่ถูกวางเพลิง สะท้อนโศกนาฏกรรมที่ไม่มีฝ่ายใดควรเผชิญ

ขณะที่ฝุ่นควันยังตลบ นายกรัฐมนตรี โอลี ประกาศลาออกเมื่อ 9 กันยายน โดยยอมรับสถานการณ์ “ไม่ปกติ” และอ้างถึงการแทรกซึมของกลุ่มผลประโยชน์ ขณะเดียวกันกองทัพประกาศใช้มาตรการเข้ม ฝากฝังให้ทุกฝ่ายหันหน้าเจรจา แม้ย้ำว่า “ทหารจะอยู่ไม่นาน” และไม่ต้องการแทนที่รัฐบาลพลเรือน แต่ภาพทหารตรึงกำลังหน้าอาคารรัฐสภาก็เป็นสัญญะว่าประเทศกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นบางเรื่องเสถียรภาพ

The first world leader elected via Discord, Sushila Karki, has been sworn in as Nepal’s interim prime minister after Gen Z overthrew the government

รัฐสภาอยู่ใน Discord” และการถือกำเนิดของพื้นที่สาธารณะใหม่

ท่ามกลางสุญญากาศ คนหนุ่มสาวกว่าหลายหมื่นคนหันไปใช้ Discord เป็น “ห้องประชุมออนไลน์ของชาติ” เพื่อถกเถียงและออกแบบอนาคต มีการเสนอชื่อ นางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ผู้ได้รับการยอมรับด้านความซื่อสัตย์ ให้เป็นผู้นำชั่วคราวเพื่อกอบกู้ศรัทธา และในที่สุดเธอได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศยุบสภาและกำหนดเลือกตั้งในเดือนมีนาคม ซึ่งนักสังเกตการณ์ตีความว่าเป็น “ทางออกทางสถาบัน” เพื่อลดแรงเสียดทานบนถนนและดึงความขัดแย้งกลับเข้าสู่กติกา

รากลึกของความคับข้องใจ ทุจริต เหลื่อมล้ำ และเศรษฐกิจเปราะบาง

การแบนโซเชียลอาจเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” แต่แรงสะสมมาจากปัญหาโครงสร้างที่เรื้อรังยาวนาน

  • ทุจริตเชิงระบบ: ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ปีล่าสุด เนปาลได้ 34/100 คะแนน ใกล้เคียงอันดับร้อยต้นๆ ของโลก สะท้อนศรัทธาต่อสถาบันรัฐที่สึกกร่อนยืดเยื้อ และเป็นเชื้อเพลิงให้ความไม่พอใจขยายตัวรวดเร็วเมื่อรัฐใช้อำนาจจำกัดสิทธิประชาชน
  • ความเหลื่อมล้ำและโอกาสที่ไม่เท่าเทียม: ขณะที่ชนชั้นนำบางส่วนถูกมองว่ามีชีวิตหรูหรานอกความจริงของคนส่วนใหญ่ เศรษฐกิจมหภาคของเนปาล พึ่งพาเงินโอนกลับ (remittances) ในสัดส่วนสูง—ข้อมูลองค์กรระหว่างประเทศชี้ว่าเฉพาะปี 2566 เงินโอนกลับคิดเป็น ราว 1 ใน 4 ของ GDP สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งแรงงานนอกประเทศ และฐานงานคุณภาพในประเทศที่ยังมีจำกัด โดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาว

ถอดบทเรียนเชิงโครงสร้าง: เมื่อ “ศรัทธาเชิงสถาบัน” ตกต่ำ การตัดสินใจเชิงนโยบายที่กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานย่อมจุดชนวนการต่อต้านได้รวดเร็วกว่าเดิม ความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดด้วยสายตา (ผ่านโลกออนไลน์) ผสานกับการรับรู้ว่ากติกาไม่เป็นธรรม คือแรงผลักชั้นดีให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นจัดระเบียบวาระของประเทศด้วยตนเอง—และครั้งนี้พวกเขาไม่ได้รวมตัวเฉพาะบน “ถนน” แต่อยู่ใน “ห้องแชต” ที่สามารถเรียกประชุม “สภาประชาชน” ได้เกือบตลอดเวลา.

ใครได้อะไร ใครเสี่ยงอะไร ผู้เล่นหลักและสมดุลใหม่อำนาจ

  1. กลุ่มผู้ชุมนุม (Gen Z และพันธมิตร) – ได้ “พื้นที่ทางการเมือง” และความ正当 (legitimacy) ในฐานะผู้กำหนดวาระการเปลี่ยนผ่าน เมื่อข้อเสนอชัดเจน (ผู้นำชั่วคราวที่น่าเชื่อถือ/เลือกตั้งใหม่) และได้รับการตอบรับผ่านสถาบันทางการ (แต่งตั้งผู้นำรักษาการ) โอกาสยกระดับข้อเรียกร้องเชิงโครงสร้าง—เช่น กติกาต่อต้านทุจริต การคานอำนาจผู้บริหาร—จึงเปิดกว้างขึ้น
  2. รัฐบาลและชนชั้นการเมืองเดิม – เผชิญ “แรงกดดันคู่ขนาน” ทั้งจากถนนและประชาคมโลก การลาออกของนายกฯ โอลีและคำมั่นเลือกตั้งใหม่เป็นการถอยเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษาเสถียรภาพขั้นต่ำ แต่อาจไม่พอ หากการเยียวยาผู้สูญเสียและการสอบสวนใช้อำนาจเกินกว่าเหตุไม่ชัดเจนโปร่งใส
  3. กองทัพ – กลับเข้า “พื้นที่สีเทา” ระหว่างความมั่นคงและการเมือง การย้ำว่าไม่หวังอยู่ยาวช่วยลดแรงเสียดทานในระยะสั้น แต่ผลลัพธ์จริงขึ้นกับความเร็วของกระบวนการสถาบัน (ตั้งรัฐบาลรักษาการ–จัดเลือกตั้ง) ว่าเดินได้ตามกรอบเวลาจริงเพียงใด

มิติสิทธิมนุษยชนและแรงกดดันภายนอก เสียงเตือนให้สอบสวนโปร่งใส

องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติและโครงการเพื่อการสื่อเสรีหลายแห่งแสดงความกังวลต่อการใช้กำลังสลายการชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้สอบสวนการเสียชีวิตและการบาดเจ็บอย่างเป็นอิสระ โปร่งใส ขณะที่สื่อมวลชนต่างชาติรายงานคำเตือนและคำแนะนำพลเมืองของหลายประเทศให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม รวมถึงการปิดและยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนในช่วงที่ความรุนแรงพุ่งสูง—ดัชนีความเสี่ยงประเทศจึงถูกตลาดและผู้ประกอบการประเมินใหม่ชั่วคราว

 “ผู้นำชั่วคราวที่น่าเชื่อถือ + ปฏิรูปที่จับต้องได้ + ปิดบัญชีความยุติธรรม”

สัญญาณบวกเริ่มปรากฏ หลัง สุชิลา คาร์กี รับตำแหน่งรักษาการนายกฯ และกำหนดเลือกตั้ง มีนาคมปีหน้า กุญแจสำคัญสู่การคลี่คลายมีอย่างน้อย 3 ประการ

  • ความน่าเชื่อถือของคณะรักษาการ: ทีมบริหารที่สะอาด โปร่งใส และสื่อสารต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วย “พักศึก” บนท้องถนนดึงพลังคนรุ่นใหม่กลับมาสู่เวทีสถาบันได้
  • แพ็กเกจปฏิรูปเร่งด่วน: ปรับปรุงกฎหมายคอร์รัปชัน ระบบเปิดเผยทรัพย์สินนักการเมือง การคานอำนาจหน่วยงานตรวจสอบ และกลไกคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออกในยุคดิจิทัล (เรียนรู้จากบทเรียน “แบนโซเชียล”) เพื่อยืนยันว่ารัฐไม่ตั้งธงจำกัดสิทธิเป็นด่านแรกอีก
  • ความยุติธรรมต่อผู้เสียหาย: การสอบสวนเหตุปะทะ การชดเชยเยียวยา และการดำเนินคดีต่อผู้สั่งการที่เกินกว่าเหตุอย่างจริงจัง คือ “สะพานศรัทธา” ที่ต้องสร้างก่อนถึงคูหาเลือกตั้ง

ทั้งหมดนี้จะเกิดผลได้ ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยอมส่งสัญญาณถอยเพื่อเดินหน้า—ถอยจากความรุนแรง ถอยจากการผูกขาดวาระ และยอมรับ “การกลับเข้ากรอบสถาบัน” เป็นทางออกหลักของชาติ

ผลสะเทือนต่อภูมิภาค บทเรียนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

กรณีเนปาลให้บทเรียนร่วมสมัยอย่างน้อย 4 ข้อแก่รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียใต้–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  1. อย่าประเมินพลัง “พื้นที่สาธารณะดิจิทัล” ต่ำเกินจริง — การจำกัดสิทธิเสรีภาพบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมในยุคที่ชีวิต–งาน–การเมืองเชื่อมติดกัน อาจเร่งปฏิกิริยาทางสังคมมากกว่าลดแรงปะทุ เพราะวันนี้ “สภาประชาชน” ตั้งได้บนมือถือ.
  2. ศรัทธาสาธารณะคือทุนการเมืองที่สำคัญที่สุด — ดัชนีทุจริตที่ต่ำคือสัญญาณเตือนระยะยาว หากไม่มีความคืบหน้าเชิงโครงสร้าง ความไม่พอใจจะสะสมและลามรวดเร็วเมื่อเกิด “เหตุลัดวงจร”
  3. เศรษฐกิจที่พึ่งเงินโอนกลับสูง = เปราะบางทางสังคม — ช่องว่าง “งานดี–รายได้ดี” ในประเทศทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกอนาคตถูกบีบแคบ เมื่อการเมืองไม่เสนอคำตอบ ความโกรธย่อมถามหาทางออกของตนเอง.
  4. การเมืองยุคใหม่ต้อง “ร่วมออกแบบ” กับคนรุ่นใหม่ — ไม่ใช่แค่ดึงมาร่วมเวที แต่ต้องแบ่งอำนาจกำหนดวาระ และยอมรับข้อเสนอจากเวทีพลเมือง/ห้องแชต เป็นเมล็ดพันธุ์นโยบาย

สถานการณ์ล่าสุดและภาพข้างหน้า

หลังการแต่งตั้งผู้นำรักษาการและกำหนดกรอบเลือกตั้ง ความตึงเครียดในบางพื้นที่เริ่มคลาย ร้านค้าในเมืองใหญ่ทยอยเปิด ข้อจำกัดเคอร์ฟิวผ่อนคลายเป็นช่วงๆ แต่ทหารยังคงลาดตระเวนจุดเสี่ยงเพื่อป้องกันการซ้ำรอย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เนปาลต้องเผชิญโจทย์ใหญ่—เปลี่ยนพลังโกรธให้เป็นพลังนโยบาย และ แปลงความสูญเสียให้เป็นระบบยุติธรรมที่จับต้องได้ หากทำได้ การเลือกตั้งต้นปีหน้าจะไม่ใช่เพียง “การรีเซ็ตอำนาจ” แต่คือโอกาสก่อร่างสัญญาประชาคมใหม่ที่วางอยู่บนเสรีภาพ ความรับผิด และความหวังร่วมกันของคนทั้งรุ่น

เรื่องเล่าของเนปาลในเดือนกันยายน 2568 คือพลังของรุ่นสู่รุ่นที่ปะทะกันบนสนามการเมืองจริง—ระหว่างความคุ้นชินกับโครงสร้างเดิม และแรงปรารถนาต่อสังคมที่ยุติธรรมกว่า เมื่อวัสดุดิบคือความเหลื่อมล้ำและการทุจริต “นโยบายสื่อสาร-ความมั่นคง” ที่แข็งเกินไปจึงทำหน้าที่เหมือนไม้ขีด—จุดเชื้อเพลิงให้ติดไฟเร็วขึ้น การตั้ง สุชิลา คาร์กี คือจังหวะหายใจเพื่อชะลอเพลิง แต่ไฟจะดับลงหรือแค่ซุกใต้ขี้เถ้า อยู่ที่ว่าสังคมเนปาลจะได้เห็น “ความจริง ความยุติธรรม และแผนปฏิรูปที่เดินได้จริง” มากน้อยเพียงไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Reuters — “Nepal PM Oli resigns as soldiers guard parliament after unrest; social media ban rolled back”
  • Al Jazeera / CPJ roundup — “As it happened: Nepal unrest…”
  • BBC — “Dozens killed in Nepal political unrest”
  • ABC News (Australia) — “Discord becomes Nepal’s ‘parliament’ for Gen Z protests; calls for Sushila Karki”
  • IOM / UN Migration — “Remittances fuel Nepal’s economy”
  • Transparency International / TradingEconomics — “Corruption Perceptions Index 2024: Nepal scores 34/100”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

องคมนตรีเยี่ยม “โครงการหลวงเชียงราย” ต้นแบบพัฒนาจากปราบฝิ่นสู่เศรษฐกิจยั่งยืน

สืบสาน รักษา ต่อยอด องคมนตรีเยี่ยม “โครงการหลวงเชียงราย” ต้นแบบพัฒนาพื้นที่สูง—จากปราบฝิ่นสู่เศรษฐกิจยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดี

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 — แสงเช้าตัดกับแนวภูเขาที่ทอดยาวของชายแดนเหนือเมื่อขบวนตรวจเยี่ยมเคลื่อนเข้าสู่ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้” เสียงทักทายเป็นกันเองจากเกษตรกรรุ่นพ่อแม่สลับกับรอยยิ้มของเยาวชนชนเผ่าที่กำลังทดลองชิมน้ำผึ้งผสมคาโมมายล์รุ่นทดลอง ร่องรอยของอดีตที่เคยเป็นไร่ฝิ่นและไร่เลื่อนลอยเหมือนถูกเล่าอย่างแผ่วเบาอยู่ในผืนดิน แต่สิ่งที่ชัดดังภาพคือผลผลิตสีสันสดใสและแผนทำกินที่มั่นคง—เรื่องเล่าของการ “สืบสาน รักษา ต่อยอด” กำลังดำเนินอยู่จริง

ผู้ขับเคลื่อนลงพื้นที่ครั้งนี้คือ พลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เลขาธิการและประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง เพื่อ ติดตามผล–ให้กำลังใจ–และประสานการพัฒนาต่อเนื่อง ที่สองศูนย์พัฒนาโครงการหลวงในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ (ก่อตั้ง พ.ศ. 2522) และ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2550) ซึ่งต่างเป็นภาพสะท้อนของการพัฒนาพื้นที่สูงแบบองค์รวมที่เริ่มจากการแก้ปัญหายาเสพติดและป่าเสื่อมโทรม มาสู่การสร้างอาชีพสุจริต ต่อยอดนวัตกรรมเกษตร และเสริมความเข้มแข็งของชุมชน

สะโง้เส้นทางจากไร่ฝิ่นสู่ “สมุนไพร–น้ำผึ้ง–ดอกไม้” ที่แข่งขันได้

เช้าวันนี้เริ่มที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ ศูนย์พัฒนาลำดับที่ 17 ของโครงการหลวง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเพื่อ ลดพื้นที่ปลูกฝิ่นและหยุดไร่เลื่อนลอย เมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน ปัจจุบันพื้นที่ส่งเสริมของศูนย์ฯ มี 1,397 ครัวเรือน (3,351 คน) เชื่อมกับเครือข่ายแปลงเกษตรภูเขาจำนวนมากและตลาดรองรับที่มั่นคง

เฉพาะในปีที่ผ่านมา ศูนย์ฯ รายงานว่า พัฒนาและส่งเสริมอาชีพเกษตรกร 136 ราย สร้างรายได้เพิ่มขึ้นรวม กว่า 1.24 ล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ย 22,728 บาทต่อครัวเรือน โดยส่งเสริม พืชเศรษฐกิจกว่า 17 ชนิด และเดินเกม “เพิ่มมูลค่า” อย่างจริงจังในกลุ่ม สมุนไพร–ดอกไม้–ผึ้งโพรง มีแผน ผลิตพืชสมุนไพรอบแห้ง 10,000 กิโลกรัม เพื่อรองรับความต้องการตลาดสุขภาพและชาน้ำสมุนไพร ขณะเดียวกัน น้ำผึ้งคาโมมายล์” และ ดอกเก๊กฮวยโครงการหลวง” กลายเป็นดาวเด่น—สีเหลืองสดและกลิ่นหอมยังคงเด่นหลังผ่านการอบแห้ง ตอกย้ำ ความต่างเชิงคุณภาพ ที่ตลาดพร้อมจ่าย

เบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือชุดความรู้ที่โครงการหลวงสั่งสม ทั้งเรื่อง พันธุ์–เทคนิคเพาะปลูก–มาตรฐาน GAP–การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการ แปรรูปและบรรจุภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ เกษตรกรรุ่นพ่อถ่ายทอดแปลงปลูกให้ลูกหลาน และเห็นผลลัพธ์จับต้องได้—จากรายได้เสริมแปลงเล็กสู่การวางแผนฤดูกาลผลิตอย่างเป็นระบบ

ผาตั้ง โมเดลองค์รวม—เศรษฐกิจเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

ช่วงบ่าย ขบวนเคลื่อนไปยัง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง อ.เวียงแก่น ศูนย์ฯ ลำดับที่ 38 ที่ทำงานมาตั้งแต่ปี 2550 โดดเด่นด้วย การพัฒนาครบวงจร ในสามมิติสำคัญ

  1. เศรษฐกิจ — ศูนย์ฯ ส่งเสริม พืชเศรษฐกิจกว่า 18 ชนิด ตั้งแต่ผักสลัดคุณภาพสูงไปจนถึงไม้ผล ให้กับ เกษตรกรสมาชิก 78 ราย ในชุมชนที่หลากหลายเชื้อสายทั้ง ม้ง เมี่ยน จีนยูนนาน และคนเมือง ทำให้มูลค่ารายได้ภาคเกษตร มากกว่า 7.7 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าพืชคุณภาพบนพื้นที่สูงมีศักยภาพแข่งขัน ทั้งตลาดท่องเที่ยวภายในจังหวัดและตลาดเมืองใหญ่
  2. สังคม — ศูนย์ฯ หนุนการรวมกลุ่มของ สตรีและเยาวชน จัดตั้ง กลุ่มวิสาหกิจชุมชน–กลุ่มแปรรูป–กลุ่มหัตถกรรม เช่น เสื้อผ้าปักลายม้งโบราณ เป็น การรักษาวัฒนธรรมควบคู่อาชีพ เพิ่มอำนาจต่อรองและสัญลักษณ์อัตลักษณ์ชุมชน
  3. สิ่งแวดล้อม — ขับเคลื่อน ชีวภัณฑ์–ลดสารเคมี–อนุรักษ์ต้นน้ำ ผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชน ปรับผังปลูกให้เหมาะกับภูมิประเทศป้องกันการพังทลายของดิน สร้างสมดุลระหว่างรายได้กับความอุดมสมบูรณ์

นอกจากนี้ พื้นที่ยังเตรียมสร้าง อาคารศูนย์การเรียนรู้แห่งใหม่ (งบประมาณจังหวัดเชียงราย ปี 2570) เพื่อทำหน้าที่เป็น คลังความรู้–พื้นที่ถ่ายทอดเทคโนโลยี–และเวทีทดลองของเยาวชน ทั้งจากโรงเรียนในพื้นที่และเครือข่ายนักศึกษาที่ขึ้นมาฝึกปฏิบัติ—วางฐาน “คนรุ่นใหม่ของภูเขา” ให้ทันตลาดและเทคโนโลยี

คำย้ำจากองคมนตรี “ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก” ให้เป็นจริงในพื้นที่

การลงพื้นที่ขององคมนตรีครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงตรวจงาน หากเป็นการ “สื่อสารพันธกิจร่วม” ว่าการพัฒนาพื้นที่สูงตามแนวพระราชดำริยังคงเดินหน้าอย่างมีทิศทาง พลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ เน้นให้ศูนย์พัฒนาทั้งสองแห่งยึดมั่นแนวทาง สืบสาน รักษา ต่อยอด” โดยตีความ “ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก” ให้เป็น ผลลัพธ์ที่วัดได้ ตั้งแต่ระดับครัวเรือนถึงระบบนิเวศ—ชาวเขาและชุมชนท้องถิ่นมีรายได้มั่นคง ชาวเรา (สังคมไทย) ได้ผัก–ผลไม้คุณภาพมาตรฐาน และชาวโลกได้เห็นแบบอย่างการลดแรงกดดันต่อป่าและทรัพยากรน้ำของเทือกเขาสูง

ตัวเลขที่เล่าเรื่องได้ เมื่อความยั่งยืนกลายเป็นสถิติ

  • สะโง้: 1,397 ครัวเรือน (3,351 คน) ในโครงข่ายส่งเสริม, 136 รายได้รับการพัฒนาอาชีพปีล่าสุด, รายได้เพิ่มรวมกว่า 1.24 ล้านบาท (เฉลี่ย 22,728 บาท/ครัวเรือน), ส่งเสริม 17 ชนิดพืชเศรษฐกิจ, เป้าหมายผลิตสมุนไพรอบแห้ง 10,000 กก. (กลุ่มเก๊กฮวย–คาโมมายล์–สมุนไพรอื่น)
  • ผาตั้ง: เกษตรกรสมาชิก 78 ราย, ส่งเสริม 18 ชนิดพืชเศรษฐกิจ, มูลค่ารายได้ภาคเกษตรมากกว่า 7.7 ล้านบาท, มีเครือข่าย วิสาหกิจชุมชน–หัตถกรรม–แปรรูป ขยายบทบาทสตรีและเยาวชน

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่า โมเดลโครงการหลวง ไม่ได้หยุดที่ “เลิกฝิ่น” หากไปไกลถึง “สร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนภูเขา” ที่ผูกพันกับ มาตรฐาน GAP/ความปลอดภัยอาหาร–การแปรรูป–บรรจุภัณฑ์–และช่องทางตลาด ตั้งแต่ตลาดเกษตรคุณภาพในเมือง การท่องเที่ยว ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์—ทั้งหมดนี้ ลดความเสี่ยงรายได้ จากพืชเดี่ยวและอากาศแปรปรวน

จากพิธีสู่การปฏิบัติ 5 คานค้ำของความยั่งยืนบนภูเขา

  1. วิจัย–พัฒนา–ตลาด เดินด้วยกัน: ศูนย์พัฒนาเป็น “หน้าเสาธง” ที่รับเทคโนโลยีจากสถานีวิจัยโครงการหลวงและหน่วยงานวิชาการ ส่งต่อสู่แปลงเกษตร แล้ว ผูกตลาด ผ่านเครือข่ายรับซื้อของมูลนิธิโครงการหลวงและเอกชนพันธมิตร
  2. มิติสังคมไม่ถูกลืม: การรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน–หัตถกรรม และการให้บทบาทสตรี–เยาวชน คือ เกราะกันความเปราะบาง ไม่ให้ครัวเรือนถอยหลังเมื่อเจอราคาพืชผันผวน
  3. สิ่งแวดล้อมคือทุน: โครงสร้างปลูกที่รักษาหน้าดิน แหล่งน้ำ และการใช้ชีวภัณฑ์ช่วยให้ “ต้นทุนธรรมชาติ” ไม่เสื่อมลงตามรายได้
  4. การเรียนรู้ตลอดชีวิต: ศูนย์การเรียนรู้ (และอาคารใหม่ที่ผาตั้ง) ทำให้เกษตรกร–นักเรียน–นักศึกษา เรียนรู้จากพื้นที่จริง สร้างทักษะใหม่และตั้งคำถามใหม่ ๆ กับตลาด
  5. ความร่วมมือข้ามระดับ: จังหวัด–อำเภอ–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–เอกชน–ชุมชน ทำงานเป็นวงจรเดียวกัน ทำให้การ “ต่อยอด” เกิดขึ้นได้รวดเร็ว—ตั้งแต่การขอรับรองมาตรฐานถึงการขนส่งสินค้า

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ความหวังในรุ่นลูกหลาน

แม้ในรายงานวันนี้จะไม่มีพิธีการกล่าวถ้อยคำยาว ๆ จากเกษตรกร แต่ภาพที่จับใจคือ เยาวชนชนเผ่าที่กลับจากเมือง ถือสมุดจดสูตรชงชาสมุนไพร ทดลองสัดส่วนเก๊กฮวยกับคาโมมายล์เพื่อทำผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มแม่ ๆ ในหมู่บ้าน “รายได้เสริมเล็ก ๆ” กลายเป็น ห้องทดลองธุรกิจ ที่ชวนให้ทั้งครอบครัวและเพื่อนบ้านลุกขึ้นมาวางแผนการตลาด แพ็กเกจจิ้ง และช่องทางขาย—นี่คือเรื่องราวเล็ก ๆ ที่ยืนยันว่า “การสืบสาน” ไม่ได้อยู่ในพิพิธภัณฑ์ แต่อยู่ใน ร้านค้าชุมชน และ ตะกร้าสินค้าออนไลน์ ของคนรุ่นใหม่

ประเด็นท้าทายที่ยังต้องไปต่อ

ความสำเร็จไม่ได้หมายความว่า “ถึงเส้นชัย” ทั้งสองศูนย์ยังยอมรับโจทย์สำคัญ ได้แก่

  • อากาศสุดขั้ว–ฝนผิดฤดูกาล ที่ส่งผลต่อผลผลิตบนพื้นที่สูง จำเป็นต้องลงทุนความรู้ด้าน เกษตรแม่นยำ–ระบบน้ำ–โรงเรือน ให้มากขึ้น
  • มาตรฐาน–การรับรอง ที่ต้องรักษาอย่างเคร่งครัด พร้อมพัฒนาสินค้า GI/แบรนด์ท้องถิ่น เพื่อยกระดับราคา
  • โลจิสติกส์–ห่วงโซ่เย็น ที่ต้องเสถียรในฤดูกาลผลผลิตพีก โดยเฉพาะผักสลัดและดอกไม้กินได้
  • การสื่อสารตลาด ให้จับใจผู้บริโภคเมืองใหญ่—เล่าเรื่อง “ภูเขา” ให้กลายเป็น คุณค่า ไม่ใช่แค่ สินค้า

พื้นที่สูงในกระจกเงา “เศรษฐกิจ–สังคม–ธรรมชาติ”

การลงพื้นที่เชียงรายขององคมนตรีครั้งนี้ทำให้ภาพการพัฒนาพื้นที่สูงชัดขึ้น—อดีต คือการต่อสู้กับฝิ่นและไร่เลื่อนลอย, ปัจจุบัน คือการยืนบนฐานผลผลิตปลอดภัยและงานหัตถกรรมที่มีเรื่องเล่า, อนาคต คือการทำให้เด็กบนภูเขา อยู่กับบ้านเกิดได้อย่างภาคภูมิ มีรายได้ มีโอกาส และรักษาป่า–ต้นน้ำที่เลี้ยงดูพวกเขามาช้านาน

คำว่า สืบสาน รักษา ต่อยอด” จึงไม่ใช่คำขวัญ หากคือ สมการพัฒนา ที่มีตัวแปรครบ—ความรู้ เทคโนโลยี ตลาด สังคม และสิ่งแวดล้อม—ยิ่งเมื่อตัวเลขที่ศูนย์พัฒนารายงานเริ่มขยับขึ้นอย่างคงที่ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งสูงขึ้นว่า โมเดลโครงการหลวง ยังเป็นเข็มทิศที่พาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและสมดุล

สรุปข้อมูลสำคัญ (Key Facts)

  • สถานที่ตรวจเยี่ยม: ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ (เริ่มปี 2522) และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง (เริ่มปี 2550) จ.เชียงราย
  • ผลลัพธ์สะโง้: พื้นที่ส่งเสริม 1,397 ครัวเรือน (3,351 คน), พัฒนาอาชีพปีล่าสุด 136 ราย รายได้เพิ่มรวม >1.24 ล้านบาท (เฉลี่ย 22,728 บาท/ครัวเรือน), พืชเศรษฐกิจ >17 ชนิด, เป้าหมายสมุนไพรอบแห้ง 10,000 กก., ผลิตภัณฑ์เด่น “น้ำผึ้งคาโมมายล์–ดอกเก๊กฮวย”
  • ผลลัพธ์ผาตั้ง: สมาชิก 78 ราย, พืชเศรษฐกิจ >18 ชนิด, มูลค่ารายได้ภาคเกษตรมากกว่า 7.7 ล้านบาท, ขยายบทบาทสตรี–เยาวชน–วิสาหกิจชุมชน, เตรียมก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ใหม่ ปีงบ 2570
  • กรอบพัฒนา: “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ตามพระราชดำริ—เชื่อมเศรษฐกิจฐานราก สังคมเข้มแข็ง และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิโครงการหลวง (Royal Project Foundation)
  • ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย/ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เอกสารแนวพระราชดำริและนโยบายโครงการหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มทบ.37-เทศบาลนครเชียงรายผนึกกำลัง ยกระดับ “ถ้ำตุ๊ปู่” สู่พื้นที่ปลอดภัย

มทบ.37–เทศบาลนครเชียงราย–กอ.รมน.–โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา ลงนามยกระดับ “ถ้ำตุ๊ปู่” สู่พื้นที่สาธารณะปลอดภัยและแหล่งเรียนรู้เชิงพุทธ คิกออฟโมเดลท่องเที่ยว–ชุมชน–ความมั่นคง “เชียงรายเมืองปลอดภัย”

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 — แสงยามบ่ายสะท้อนหน้าผาหินของ “ถ้ำตุ๊ปู่” ในตำบลริมกก—พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งชาวบ้านต่างจดจำในฐานะ “จุดเสี่ยง”—กำลังเปลี่ยนบทบาทอย่างเป็นทางการ เมื่อ 4 หน่วยงานหลักของจังหวัดจับมือกันลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาให้ที่นี่เป็น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย–ปลอดยาเสพติด–ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว” และยกระดับเป็น แหล่งเรียนรู้เชิงพระพุทธศาสนา ควบคู่การเป็น พื้นที่กิจกรรมของเยาวชนและชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

พิธีลงนามจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 โดยมี พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบาย แผน และการข่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.) และ ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร ผู้จัดการโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา เข้าร่วมลงนามพร้อมข้าราชการ ครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่

จาก “จุดเสี่ยง” สู่ “พื้นที่เรียนรู้” พลิกวิกฤตเป็นโอกาสของเมือง

ภาพจำในอดีตของถ้ำตุ๊ปู่—พื้นที่รกร้าง มีเหตุอาชญากรรม และเกี่ยวพันปัญหายาเสพติด—คือฉากหลังที่ทุกภาคส่วนต้องการปิดฉาก พลตรีจักรวีร์กล่าวบนเวทีว่า แม้ทหารจะมีภารกิจป้องกันประเทศและดูแลชายแดน แต่ภารกิจเสริมสร้างความมั่นคงภายในและความเข้มแข็งของชุมชนคืองานหลักเช่นกัน “โครงการดี ๆ ที่เปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชน เราพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ทั้งวิทยากร วินัยเยาวชน และกิจกรรมตามศาสตร์พระราชา หากสำเร็จจะขยายเป็นเครือข่ายสู่พื้นที่อื่นได้”

ด้าน นายวันชัย จงสุทธานามณี ย้ำว่า บทเรียนสำคัญจาก น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ทำให้เทศบาลต้อง “เปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาส” ใช้การพัฒนาพื้นที่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง และทำให้ถ้ำตุ๊ปู่กลายเป็น แหล่งเรียนรู้ของนักเรียนและเยาวชนเชียงราย เป็นพื้นที่สีขาวที่ลดละเลิกการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเป็น พื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัย สำหรับประชาชนและนักเดินทาง

พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ จากกอ.รมน. จังหวัดเชียงราย ระบุว่า โครงการนี้เชื่อมตรงกับพันธกิจสร้างความปรองดอง ยึดโยงสถาบันหลักของชาติ และแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ “เราจะบูรณาการกำลังกับ มทบ.37 และเทศบาลนครเชียงราย รวมถึงเครือข่ายชุมชน ให้กลไกป้องปรามยาเสพติดเดินคู่ไปกับกิจกรรมดี ๆ ของพื้นที่”

ส่วน ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร สะท้อนประสบการณ์ในฐานะ “คนริมพื้นที่” ที่อยู่กับโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษามายาวนานว่า ถ้ำตุ๊ปู่เคยเป็นพื้นที่อันตราย มีคดีอาชญากรรมและปัญหายาเสพติดมาก่อน การร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่รอคอยเพื่อ สร้างพื้นที่ปลอดภัยใกล้โรงเรียน และเปิดโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพ มีรายได้จากการท่องเที่ยว “โรงเรียนมีนักเรียนกว่า 7,000 คน จาก 12 ชาติพันธุ์ พร้อมร่วมมือเต็มที่ทั้งกิจกรรมนักเรียน อาสาสมัครชุมชน และการดูแลพื้นที่ในชีวิตประจำวัน”

โมเดล “สามราง” เพื่อความยั่งยืน ความปลอดภัย–การท่องเที่ยว–ชุมชนมีส่วนร่วม

สาระในบันทึกความร่วมมือกำหนดทิศทางพัฒนาพื้นที่ด้วยแนวคิด “สามราง” ที่ต้องเดินพร้อมกัน

  1. ความปลอดภัยเชิงระบบ – จัดระเบียบพื้นที่ให้ปลอดภัย ปราศจากยาเสพติด เพิ่มแสงสว่าง กล้องวงจรปิด ทางเดิน–ทางจักรยาน ระบบเตือนภัยเบื้องต้นช่วงฝนหลงฤดู รวมถึงการลาดตระเวนร่วมระหว่างเทศบาล–ทหาร–ชุมชนในช่วงเวลาความเสี่ยง เพื่อกด “ต้นทุนโอกาส” ของอาชญากรรมลงให้ต่ำสุด
  2. การท่องเที่ยว–เรียนรู้เชิงพระพุทธศาสนา – เน้นการตีความคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม และธรรมชาติของถ้ำตุ๊ปู่ ออกแบบเส้นทางเรียนรู้ ห้องเรียนธรรมชาติ จุดพัก–ป้ายความรู้สองภาษา และกิจกรรมไหว้พระ–นั่งสมาธิอย่างเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวคิด ท่องเที่ยวปลอดภัยและมีความหมาย (meaningful & safe tourism)
  3. ชุมชนมีส่วนร่วม–เศรษฐกิจฐานราก – เปิดพื้นที่ให้ชุมชนจัดกิจกรรมกีฬาและศิลปะของเยาวชน ตลาดชุมชนในวันเทศกาล โซนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด และระบบอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (พื้นที่สีขาว) เพื่อให้รายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น สร้างงานระยะยาวมากกว่ารายได้เฉพาะกิจ

แผนปฏิบัติ 3 ระยะ ทำทันที–ยกระดับ–สถาปนาระบบ

เพื่อให้เป้าหมายเป็นรูปธรรม ที่ประชุมร่วมกำหนดกรอบเวลาทำงานคร่าว ๆ ดังนี้

  • ระยะสั้น (0–6 เดือน): เคลียร์พื้นที่เสี่ยง–กำจัดจุดอับ ทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) ติดตั้งไฟส่องสว่าง จุดฉุกเฉิน–กล้องวงจรปิด จัดเส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นชั่วคราว ทดสอบ “เวรยามร่วม” ระหว่างชุมชน–เทศบาล–ทหาร และเปิดกิจกรรมนำร่องของนักเรียน/เยาวชน (เช่น โยคะเช้า, ดนตรีเย็นวันศุกร์)
  • ระยะกลาง (6–18 เดือน): ปรับภูมิทัศน์ถาวร–จัดโซนการใช้ประโยชน์ (โซนปฏิบัติธรรม โซนเรียนรู้ โซนกีฬา โซนตลาดชุมชน) ติดตั้งป้ายความรู้–ทางเดินปลอดภัย รองรับผู้สูงวัย/ผู้ใช้รถเข็น สร้าง ศูนย์เรียนรู้ชุมชน ขนาดกะทัดรัด และกำหนด “ปฏิทินกิจกรรม” รายไตรมาสเพื่อให้คนกลับมาใช้พื้นที่สม่ำเสมอ
  • ระยะยาว (หลัง 18 เดือน): พัฒนาเครือข่ายเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมจุดใกล้เคียง (วัด เสน่ห์ชุมชน ตลาดเช้า) จัดเทศกาลประจำปีเชิงวัฒนธรรม–ศาสนา สร้างระบบ “กองทุนดูแลพื้นที่” จากรายได้กิจกรรมและ CSR เอกชน วางระบบเก็บ–วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้พื้นที่เพื่อปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่วัดได้และสื่อสารได้

เพื่อหลีกเลี่ยง “โครงการสวยบนกระดาษ” ฝ่ายปฏิบัติการเสนอชุดตัวชี้วัดที่จับต้องได้ ได้แก่

  • ความปลอดภัย: จำนวนเหตุทะเลาะวิวาท/อาชญากรรม/เหตุเกี่ยวกับยาเสพติดในรัศมีพื้นที่ ลดลงต่อเนื่องเทียบฐานปี 2567–2568
  • การใช้พื้นที่: จำนวนผู้ใช้พื้นที่รายวัน/รายสัปดาห์, สัดส่วนเยาวชนและครอบครัว, ชั่วโมงกิจกรรมการเรียนรู้/สันทนาการ
  • เศรษฐกิจชุมชน: มูลค่าการซื้อขายตลาดชุมชน/ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น, จำนวนผู้ประกอบการชุมชนที่เข้าร่วม, รายได้เฉลี่ยต่อกิจกรรม
  • ความพึงพอใจ: คะแนนประสบการณ์ผู้ใช้ (ความสะอาด ความปลอดภัย ความสะดวกในการเข้าถึง) ผ่านแบบสอบถามสั้นบนจุดบริการ/QR
  • สิ่งแวดล้อม: ดัชนีความสะอาด–ขยะตกค้าง, สภาพพืชพรรณพื้นถิ่น, คุณภาพน้ำฝน–น้ำผิวดินรอบพื้นที่ (เก็บตัวอย่างรายไตรมาส)

เสียงสะท้อนจากเวทีคำประกาศเจตนารมณ์

พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37: “ทหารพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งวิทยากร วินัย และองค์ความรู้เศรษฐกิจพอเพียง หากพื้นที่นี้สำเร็จ เราจะขยายเครือข่ายสู่จุดอื่น เพื่อให้ความมั่นคงภายในยืนบนฐานชุมชนที่เข้มแข็ง”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย: “เราจะเปลี่ยนวิกฤตน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วให้เป็นโอกาส สร้างพื้นที่เรียนรู้ของเยาวชน และกำหนด ‘เขตปลอดยาเสพติด–ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว’ ให้ประชาชนมั่นใจ”

พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ กอ.รมน. จ.เชียงราย: “กอ.รมน.จะผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนงานความมั่นคงควบคู่กิจกรรมสร้างสรรค์ ลดปัจจัยเสี่ยงยาเสพติดในระดับชุมชน”

ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร ผู้จัดการโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา: “เรามีนักเรียนกว่า 7,000 คน 12 ชาติพันธุ์ พร้อมเป็นพลังร่วมพัฒนา ให้ถ้ำตุ๊ปู่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกหลานและเป็นแหล่งอาชีพใหม่ของชุมชน”

มองไปข้างหน้า เงื่อนไขความสำเร็จและความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้โมเดล “ถ้ำตุ๊ปู่–เมืองปลอดภัย” จะเริ่มต้นบนความพร้อมของภาคีหลัก แต่ความสำเร็จระยะยาวขึ้นกับการบริหารความเสี่ยง 4 ประการ

  1. งบประมาณบำรุงรักษา – แสงสว่าง–กล้อง–ทางเดิน–ภูมิทัศน์ ต้องการค่าใช้จ่ายดูแล จึงควรมี “กองทุนพื้นที่” ที่มีรายได้หมุนเวียนจากตลาดชุมชน งานเทศกาล และความร่วมมือเอกชน (CSR) เพื่อลดภาระงบปกติของท้องถิ่น
  2. การเข้าถึงสำหรับทุกคน – ผังพื้นที่ควรเป็นมิตรกับผู้สูงวัย ผู้ใช้รถเข็น และเด็กเล็ก พร้อมจุดพัก–ห้องน้ำสะอาด–แนวทางความปลอดภัยยามค่ำคืน เพื่อให้พื้นที่ “มีคนใช้จริง” ตลอดวัน
  3. สมดุลสิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม – การพัฒนาเชิงท่องเที่ยวควรรักษาบริบทพุทธ–วัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่เชิงพาณิชย์เกินสมควร และเฝ้าระวังผลกระทบต่อธรรมชาติ (ขยะ เสียง แสงรบกวน)
  4. ข้อมูล–ความต่อเนื่อง – ตั้ง “แดชบอร์ดพื้นที่” รวบรวมสถิติความปลอดภัย การใช้พื้นที่ รายได้ชุมชน และความพึงพอใจ เผยแพร่สาธารณะรายไตรมาส เพื่อสร้างความโปร่งใส และคงแรงสนับสนุนจากสังคม

เชื่อมโยงยุทธศาสตร์เมือง “เชียงรายเมืองปลอดภัย” ที่วัดได้จริง

การลงนามครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มการพัฒนาเมืองยุคใหม่ที่ไม่ได้แยก “ความมั่นคง–ท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิต” ออกจากกัน แต่ ผสานเป็นสมการเดียว ผ่านพื้นที่สาธารณะคุณภาพ การมีส่วนร่วมของโรงเรียน/ชุมชน และกลไกลดปัจจัยเสี่ยงยาเสพติด เหตุผลที่ ถ้ำตุ๊ปู่ ถูกยกเป็นต้นแบบ เพราะตั้งอยู่ในเมือง–เข้าถึงง่าย–เชื่อมเครือข่ายสถานศึกษาและชุมชนได้จริง หากพัฒนาได้ผล จะกลายเป็น คู่มือปฏิบัติ” สำหรับขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยงอื่นในจังหวัด

ท้ายที่สุด ความสำเร็จจะไม่ได้พิสูจน์ด้วยพิธีลงนาม หากแต่ด้วย ภาพใหม่ยามค่ำ ที่คนเดิน–ปั่น–สวดมนต์–เล่นกีฬา–ขายของพื้นถิ่น ระหว่างแสงไฟที่พอเพียงและกล้องที่ทำงานจริง พร้อมเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่—นี่ต่างหากคือ “ตัวชี้วัด” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ไทม์ไลน์–แผนปฏิบัติการ “ถ้ำตุ๊ปู่”

  • ก.ย.–ต.ค. 2568: Big Cleaning, ติดไฟส่องสว่าง/กล้องวงจรปิด, จัดเส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นนำร่อง, จัดเวรยามร่วม
  • พ.ย. 2568–มี.ค. 2569: ปรับภูมิทัศน์, ป้ายความรู้สองภาษา, ศูนย์เรียนรู้ขนาดย่อม, ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส
  • เม.ย. 2569 เป็นต้นไป: เทศกาลประจำปีเชิงวัฒนธรรม–ศาสนา, เครือข่ายเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมจุดใกล้เคียง, กองทุนดูแลพื้นที่

พิธีลงนามความร่วมมือพัฒนา “ถ้ำตุ๊ปู่” ไม่ใช่แค่การประกาศโครงการท่องเที่ยวใหม่ หากคือ “ข้อตกลงทางสังคม” ที่จะเปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชน โดยมี ทหาร–ท้องถิ่น–ความมั่นคง–โรงเรียน เป็น 4 เสาหลัก ข้อท้าทายหลังจากนี้คือการทำให้ ระบบดูแลพื้นที่ เดินเองได้—มีงบดูแลสม่ำเสมอ มีอาสาสมัครชุมชน มีข้อมูลเปิดเผย และมีการมีส่วนร่วมของเยาวชนอย่างต่อเนื่อง หากเชียงรายรักษาวินัยนโยบายและจัดการความเสี่ยงได้ดี ถ้ำตุ๊ปู่” จะเป็นบทพิสูจน์ว่าเมืองปลอดภัย สร้างได้จากพื้นที่จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.)
  • โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News