Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“สนามบินพะเยา” คืบหน้า 4,421 ล้านบาท เชียงรายควรรับมือการแข่งขัน-เสริมกันอย่างไร

สนามบินพะเยา” ใกล้เป็นจริงไทม์ไลน์ปี 2576 คืบหน้าอย่างไร และ “เชียงราย” ควรรับมือแบบไหน

เชียงราย, 24 กันยายน 2568 — ท่ามกลางการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศและการแข่งขันดึงนักท่องเที่ยวสู่ภาคเหนือตอนบน โครงการ ท่าอากาศยานพะเยา กลับมาถูกจับตาอีกครั้ง โดย กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เร่งสรุปผลศึกษาและออกแบบรายละเอียด เพื่อมุ่งเริ่มก่อสร้างปี 2573 และเปิดให้บริการปี 2576 ตามกรอบนโยบายยกระดับ “เมืองรอง” สู่ “เมืองหลัก” ในระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ

แม้ “พะเยา” จะเป็นเพียงหนึ่งในจิ๊กซอว์ของการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน แต่การมี “สนามบินใหม่” ห่างเชียงรายเพียงราวชั่วโมงเศษ ย่อมส่งผลต่อ ภูมิทัศน์การแข่งขัน ของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ซึ่งวันนี้แบกรับผู้โดยสารราว 1.9 ล้านคน/ปี และทำหน้าที่เป็นจุดรวมของเที่ยวบินในต่างประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวที่มุ่งเชียงราย–แม่สาย–เชียงของ–สามเหลี่ยมทองคำ

โครงการ ขนาด–งบ–ศักยภาพที่ตั้ง “ดอนศรีชุม–ดอกคำใต้”

ตามผลการศึกษาเบื้องต้น สนามบินพะเยาจะตั้งในพื้นที่ ตำบลดอนศรีชุม อ.ดอกคำใต้ ครอบคลุมกว่า 2,550–2,812 ไร่ โดยกำหนดทางวิ่ง (Runway) ยาว 2,500 เมตร กว้าง 45 เมตร รองรับเครื่องแอร์บัส A320/โบอิ้ง 737 อาคารผู้โดยสารขนาดใช้สอยประมาณ 9,000 ตร.ม. (รวมสิ่งปลูกสร้างอื่นราว 12,000 ตร.ม.) ลานจอดรถเบื้องต้น ~150 คัน งบลงทุนรวมรายงานอยู่ที่ ~4,421 ล้านบาท แยกเป็น ค่าก่อสร้าง ~2,001–2,201 ล้านบาท, ค่าเวนคืน ~1,700 ล้านบาท, บำรุงรักษา 30 ปี ~720 ล้านบาท (ตัวเลขขึ้นกับแหล่งข้อมูล)

ไทม์ไลน์ ที่สื่อสารต่อสาธารณะยังมีความต่าง โดยบางรายงานคาดเปิดปี 2572 แต่ข้อมูลล่าสุดของหน่วยงานในพื้นที่และข่าวภาครัฐชี้เป้า 2576–2577 ขณะที่งบประมาณเพื่อจัดทำ EIA ก็มีรายงาน 42 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท สะท้อนความจำเป็นที่ กระทรวงคมนาคม–กรมท่าอากาศยาน ต้อง “ล็อกข้อมูลเดียวกัน” เพื่อลดความสับสนและสร้างความเชื่อมั่น

คำถามที่เชียงรายต้องตอบ แข่ง–เสริม–หรือเดินไปด้วยกัน

ภาพรวมผู้โดยสารที่คาดของพะเยาช่วงปีแรกอยู่ราว 78,000–99,000 คน/ปี (มากกว่า 14 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ในช่วงเริ่มต้น) ยังห่างไกลจากเชียงราย แต่การเข้ามาของสนามบินย่อมสร้าง “แรงเสียดทาน” ในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะ

  • ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วัฒนธรรม กว๊านพะเยา–ภูซาง–ภูลังกา ที่พะเยาเป็นจุดหมายตรง
  • เดินทางธุรกิจท้องถิ่น ระหว่างอำเภอพะเยา–ดอกคำใต้–เชียงคำ–จุน ที่ต้องการ “สนามบินใกล้บ้าน”
  • เที่ยวบินสั้น–เชื่อมเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ–พะเยา ซึ่งเดิมผู้โดยสารต้องลงเชียงรายแล้วต่อรถ

แต่ในอีกด้าน “สนามบินใกล้กัน” อาจเป็น กลไกเสริม ให้เกิด เครือข่ายท่าอากาศยาน ที่กระจายโหลดผู้โดยสารช่วงพีก กระจายเส้นทางท่องเที่ยว และดัน “แพ็กเกจร่วม” เช่น “ลงพะเยา–ขึ้นเชียงราย” หรือ “ลงเชียงราย–ต่อรถ–เที่ยวกว๊าน–ย้อนกลับบินพะเยา” หากผู้ประกอบการ–ททท.–ภาคบิน ทำการตลาดร่วมกันอย่างจริงจัง

ฉากทัศน์ 3 แบบ ผู้อ่านลองชั่งน้ำหนักเอง

เพื่อไม่ชี้นำ เราชวนผู้อ่านมองผ่าน สามฉากทัศน์ ที่เป็นไปได้ พร้อม “ข้อดี–ข้อเสีย” แบบย่อๆ

ฉากทัศน์ที่ 1 แข่งขันดุเดือด (Winner-takes-most)

  • ข้อดี: เพิ่มตัวเลือกผู้โดยสาร กดต้นทุนค่าโดยสารบางช่วง เชื่อมต่อพื้นที่รอบกว๊านสะดวกขึ้น เกิดแรงพัฒนามาตรฐานบริการทั้งสองสนามบิน
  • ข้อเสีย: แย่งเส้นทางหลัก/สลอตบิน ทำให้เชียงรายสูญเสียปริมาณบางส่วน; หากพะเยายังสร้างอุปสงค์ใหม่ไม่ทัน อาจเกิด “สนามบินว่าง” ต้องพึ่งงบหลวงบำรุงเพิ่ม

ฉากทัศน์ที่ 2 เสริมกัน (Complementarity)

  • ข้อดี: สร้างเครือข่าย Hub–Spoke ขนาดเล็กในภาคเหนือ บริหาร “โหลดพีก” ได้ดีขึ้น จัดแพ็กเกจ “สองสนามบิน–หนึ่งทริป” ดึงพำนักนานขึ้น เพิ่มการใช้จ่าย
  • ข้อเสีย: ต้องใช้การประสานตารางบิน–เส้นทางรถเชื่อม–ข้อมูลผู้โดยสารร่วมกันสูง หากขาดเอกภาพ การเสริมกันอาจกลายเป็นซ้ำซ้อน

ฉากทัศน์ที่ 3 ชะลอ–ทบทวน (Wait-and-see)

  • ข้อดี: ลดความเสี่ยงงบลงทุนช่วงไม่แน่นอน ประเมินความคุ้มค่าเทียบโครงการใหญ่ เช่น รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของที่ตัดผ่านพะเยา
  • ข้อเสีย: โอกาสยกระดับพะเยาสู่ “เมืองหลัก” อาจช้าลง ภาคเอกชนขาดความแน่ใจในการตัดสินใจลงทุน

เชียงรายควร “ตั้งรับเชิงรุก” อย่างไร

  1. ยืนยันสถานะ “เกตเวย์โขง–ล้านนา” ด้วยเครือข่ายเส้นทาง
    ดึง–รักษาเส้นทางอินเตอร์ (จีนตอนใต้–ลาว–เมียนมา–เวียดนามเหนือ) และโลว์คอสต์ในประเทศ ปรับตารางเชื่อม “ทัวร์ริสท์ลูป” เชียงราย–พะเยา–น่าน–แพร่ ด้วยแคมเปญร่วม
  2. ต่อยอดโครงการเชิงเทคนิค (MRO–คาร์โก้–เที่ยวบินเช่าเหมาลำ)
    หากเชียงรายเร่งบทบาท ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO)–คาร์โก้ชายแดน–เช่าเหมาลำฤดูกาล จะสร้าง “รายได้ไม่ผันผวน” และยากให้สนามบินใหม่แข่งขันในระยะสั้น
  3. เชื่อมพื้นดินให้ลื่นไหล (Air–Ground Integration)
    ลงทุน/ผลักดัน รถรับ–ส่งร่วม (shuttle) ระหว่างสนามบิน–จุดท่องเที่ยว–บขส.–สถานีรถไฟทางคู่ในอนาคต รวมถึงระบบตั๋วรวม บิน+รถ” เพื่อลดต้นทุนเวลา
  4. บูรณาการการตลาดปลายทาง (Destination Marketing)
    ทำแพ็กเกจ “สองเมือง–สองสนามบิน” ร่วมพะเยา เช่น เส้นทาง เชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–กว๊านพะเยา–ภูลังกา เพื่อยืด Length of Stay และเพิ่ม Spending per Trip
  5. ติดตามข้อมูล–สื่อสารความจริง
    ตั้ง แดชบอร์ดเชิงนโยบาย ของจังหวัด รวบรวมสถิติผู้โดยสาร–เส้นทาง–ค่าโดยสาร–การเชื่อมต่อภาคพื้นดิน และสื่อสารสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดข่าวลือ–เพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน

ประเด็นคาใจ งบ–EIA–ไทม์ไลน์ “ต้องเคลียร์ให้ชัด”

  • งบรวม 4,421 ล้านบาท พบความต่างของรายละเอียดรายการ (ค่าก่อสร้าง/เวนคืน/บำรุงรักษา) ระหว่างแหล่งข้อมูล
  • งบ EIA รายงาน 42 ล้านบาท กับ 100 ล้านบาท ส่วนต่างที่สูงชวนถามถึงกรอบงานศึกษาและขอบเขตสิ่งแวดล้อมที่จะครอบคลุม
  • ไทม์ไลน์เปิดใช้ 2572 vs 2576–2577 ส่วนต่าง 4–5 ปี สะท้อนความไม่แน่นอนด้านขั้นตอนอนุมัติ–ออกแบบ–เวนคืนที่ดิน–งานโยธา

คำถามเหล่านี้ไม่ได้ “คัดง้าง” โครงการ หากแต่เป็น เงื่อนไขความโปร่งใส ที่หน่วยงานรัฐควรเร่ง “ล็อกเวอร์ชัน” ของข้อมูลให้สังคมใช้ชุดเดียวกัน เพื่อวัดความคุ้มค่า–ผลประโยชน์ทับซ้อน–และลำดับความสำคัญของงบประมาณได้อย่างยุติธรรม

เทียบสนามบินเมืองรองใกล้เคียง บทเรียนความคุ้มค่า

ปี 2566 สนามบินเมืองรองในโซนเหนือ เช่น น่านนคร ~386,000 คน/ปี และ ลำปาง ~195,000 คน/ปี สะท้อนความจริงว่า “สนามบินจังหวัด” ต้องอาศัย ยุทธศาสตร์ปลายทาง ไม่ใช่รันเวย์อย่างเดียว การจะให้พะเยาถึง ~324,000 คน/ปี ภายใน 30 ปี ตามกราฟคาดการณ์ จึงต้องมีทั้ง อุปสงค์ท่องเที่ยวจริง, โครงสร้างรองรับ, และ เส้นทางบินสม่ำเสมอ ไม่ใช่ความหวังกับตัวเลขฉากสวย

เสียงจากพื้นที่

  • ฝั่งพะเยา ผลัก เอกลักษณ์อาคารล้านนา–กว๊านพะเยา เป็นแม่เหล็ก และขอสนามบินเพื่อกระจายโอกาส
  • ฝั่งเชียงราย สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานภูมิภาค แต่ย้ำบทบาทแม่ฟ้าหลวงในฐานะ เกตเวย์ชายแดน ต้องไม่ด้อยลง
  • ฝั่งส่วนกลาง เน้น ศึกษาความคุ้มค่า–ไม่ซ้ำซ้อน กับโครงการใหญ่ (เช่น รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ) และบริหารงบประมาณอย่างมีวินัย

ทางเลือกร่วม แข่งขัน “เชิงความสามารถ” มากกว่า “เชิงทำเล”

หากมอง “สนามบิน” เป็นเพียง ทรัพย์สินทางกายภาพ คำตอบจะวนอยู่กับแย่งผู้โดยสาร แต่หากมอง “สนามบิน” เป็น แพลตฟอร์มเศรษฐกิจ คำตอบจะไปไกลถึงบริการ หลังประตูสนามบิน ตั้งแต่ โรงแรม–ทัวร์–MICE–สุขภาพ–โลจิสติกส์–ค้าชายแดน ซึ่งเชียงรายได้เปรียบด้วยฐานชายแดน–การค้า–เส้นทางท่องเที่ยวสุกงอม ส่วนพะเยาได้เปรียบเรื่อง “เสน่ห์ธรรมชาติ–ความสงบ–ราคาคุ้มค่า” การจับมือทำ แบรนด์ “เหนือบน” ที่แบ่งบทบาทให้ชัด จึงอาจสร้าง ผลรวมทางเศรษฐกิจ สูงกว่าแข่งราคาเที่ยวบิน

ชั่งน้ำหนัก “ได้–เสีย” ด้วยตัวคุณ

หากพะเยามีสนามบิน…

ได้อะไร

  • ตัวเลือกเดินทางเพิ่มขึ้นสำหรับคนพะเยา–เมืองรอบกว๊าน
  • โอกาสแพ็กเกจ “สองสนามบิน–หนึ่งทริป” เพิ่มวันพักและการใช้จ่าย
  • กระจายโหลดผู้โดยสารช่วงพีก ลดคอขวดในบางฤดูท่องเที่ยว

เสี่ยงอะไร

  • ซ้ำซ้อนกับโครงสร้างพื้นฐานอื่นหากไม่บูรณาการ (เช่น รถไฟทางคู่)
  • ภาระบำรุงรักษาหาก “อุปสงค์จริง” โตไม่ทัน
  • ดึงผู้โดยสารจากเชียงรายบางส่วน หากขาดการตลาดร่วม–เชื่อมต่อภาคพื้นดิน

สุดท้าย คำตอบ “ดี–เสีย” ไม่ได้อยู่ที่รันเวย์ยาวเท่าไร แต่อยู่ที่ ยุทธศาสตร์ใช้สนามบิน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจภูมิภาคอย่างไรเชียงรายจะชนะด้วย “ความเป็นประตูโขง” และพะเยาจะชนะด้วย “คุณค่าปลายทาง” หากทั้งสองทำการบ้านของตนเองครบ

 เกมนี้ไม่ใช่ศูนย์รวมถ้าร่วมออกแบบให้ “คน–เมือง–ภูมิภาค” ชนะ

การเกิด “สนามบินพะเยา” จะเป็น คู่แข่ง หรือ คู่เสริม ของเชียงราย ขึ้นอยู่กับสามสิ่ง (1) ความชัดเจนของข้อมูล–งบ–ไทม์ไลน์ที่รัฐต้องยุติความคลุมเครือ (2) ความสามารถของเชียงรายในการ ยกระดับบริการ–เครือข่าย–ธุรกิจต่อยอด เหนือกว่าการเป็นสนามบินรับ–ส่ง และ (3) ความร่วมมือเชิงการตลาด–การเชื่อมต่อพื้นดินระหว่างสองจังหวัดให้ เดินเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่คนละเล่ม

สำหรับผู้อ่าน คำเชิญชวนคือ อย่าตัดสินจากชื่อโครงการ ให้ดู “ตัวเลขการใช้จริง–แผนการตลาดปลายทาง–ความพร้อมเชื่อมต่อ” แล้วถามกลับว่า “เมื่อสนามบินเปิด ประสบการณ์ผู้โดยสาร–รายได้ธุรกิจ–คุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น ดีขึ้นจริง หรือไม่” เพราะสนามบินที่ดี ไม่ได้วัดด้วยจำนวนเที่ยวบินเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย โอกาสใหม่ ที่กระจายถึงผู้คนทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมท่าอากาศยาน (ทย.) / กระทรวงคมนาคม
  • Cofact: การทวนสอบตัวเลขและข้อเท็จจริงสาธารณะเกี่ยวกับสนามบินพะเยา
  • ข้อมูลผู้โดยสารสนามบินภาคเหนือ (ปี 2566)
  • โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ)
  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สมาคมธนาคารไทย ชี้เงินบาทแข็งสวนทาง ต่างชาติขายสุทธิ หวั่นเงินนอกระบบไหลเข้า

หัวขบวนส่งสัญญาณ สมาคมธนาคารไทยชี้ “ต้อง Connect the dots” ก่อนสาย

กรุงเทพฯ, 22 กันยายน 2568 — นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเข้าหารือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ว่าภาคธนาคารได้สะท้อน “ความผิดปกติ” ของเงินทุนไหลเข้า ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะ ต่างชาติขายสุทธิทั้งหุ้นและพันธบัตร ซึ่ง “สวนทางกลไกตลาด” จึงจำเป็นต้องเร่งทำ Connect the dots—เชื่อมโยงข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้เห็นเส้นทางเงินอย่างครบถ้วน

สาระของข้อเสนอ คือ รวมศูนย์ภาพใหญ่ ที่วันนี้แยกส่วนอยู่ใน “ไซโลข้อมูล” หลายใบ: ธปท.เห็นกระแสเงินข้ามพรมแดน, ปปง.เห็นธุรกรรมผิดปกติในระบบสถาบันการเงินและนอกระบบ, ก.ล.ต.เห็นโครงสร้างผู้ถือหุ้นและธุรกรรมในตลาดทุน—เมื่อดึง “ทุกจุด” มาต่อกัน จึงจะเห็น “เครือข่าย” และ “แพตเทิร์น” ที่แยกกันแล้วมองไม่ออก

“สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ Connect the dots… เงินไหลเข้าปริมาณมาก แต่ไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ เราต้องรู้ว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด” — ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย

เงินบาทแข็งสวนกระแส สัญญาณชวนสงสัยว่ามี “เงินนอกตลาด” ไหลเข้า

เชียงราย/กทม., 23 กันยายน 2568 — ในวันที่เงินบาทเปิดแถว 31.78–31.82 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้นไทยปรับลงกว่า 10 จุด ขณะที่ต่างชาติ ขายสุทธิหุ้น ~3,190 ล้านบาท และ ขายสุทธิพันธบัตร ~302 ล้านบาท หากวัดตามตำรามาตรฐาน ค่าเงินควร “อ่อน” จากฟันด์โฟลว์ไหลออก แต่ในความจริงกลับ “แข็ง” ขึ้น นี่คือ สัญญาณบิดเบี้ยว ที่ยากอธิบายด้วยพฤติกรรมการลงทุนปกติ

แน่นอน ปัจจัยภายนอกอย่าง ดอลลาร์อ่อน จากความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ย่อมหนุนให้สกุลเงินตลาดเกิดใหม่แข็งขึ้น แต่เมื่อ ภาพในประเทศยังอ่อนแรง—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยหดตัว—จึงยิ่งตั้งคำถามว่า แรงซื้อเงินบาท มาจากไหน หากไม่ใช่จากตลาดทุน/พันธบัตรตามปกติ คำตอบที่เป็นไปได้ คือ เงินเข้าช่องอื่น (เช่น ทางการค้า–บริการ–เงินโอนผ่านนิติบุคคล–ธุรกรรมดิจิทัล–โครงสร้างถือหุ้นซับซ้อน) ซึ่งบางส่วนอาจอยู่ในโซน เงินร้อน–เงินเทา” ที่หลบสายตากลไกตลาด

นายกฯ–ทีมเศรษฐกิจ “ยกทีมคุย” ภาคธนาคาร ตั้งโจทย์ใหญ่–เดินเกมไว

การพบปะครั้งนี้ถูกมองว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี ที่ นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม.เศรษฐกิจ มานั่งโต๊ะเดียวกับ สมาคมธนาคารไทย เพื่อแลกเปลี่ยนตรงถึง “ทิศทาง” และ “โจทย์เร่งด่วน”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ย้ำว่า ภายใต้แนวนโยบาย “สั่งวันนี้ ทำเมื่อวาน” ได้สั่งตั้ง ทีมเชื่อมจุด ที่กระทรวงการคลัง ประสาน ธปท.–ปปง.–ก.ล.ต. เดินหน้าหาคำตอบว่า เงินมาจากไหน” พร้อมขีดเส้นเวลาลงมือ ทันทีหลังแถลงนโยบาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ Quick Big Win ควบคู่กับโจทย์แกนกลางของรัฐบาลคือ ภาคประชาชน–การจ้างงาน–หนี้ครัวเรือน–สภาพคล่อง SMEs

“เรา Connect the dots ไว้แล้ว เป้าหมายคือให้เห็นว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ให้ตรงจุด… ปลดไซโล ให้หน่วยงานทำงานร่วมกันจริง” — เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง

ปม “เศรษฐกิจนอกระบบ 48%” และ “ข้อมูลกระจัดกระจาย” ที่ทำให้แก้ช้า

หัวใจของความยากไม่ได้อยู่แค่ “ตัวเลข” แต่อยู่ที่ “สภาพแวดล้อมข้อมูล” ของเศรษฐกิจไทย—เมื่อ เศรษฐกิจนอกระบบคิดเป็นถึง ~48% ของกิจกรรมทั้งระบบ ความเสี่ยงจึงสูงที่เงินจำนวนมากจะไหลในช่องทางที่ กฎหมายเข้าถึงยาก–ข้อมูลไม่ครบ–ผู้รับผลประโยชน์ซ่อนอยู่ ผลที่ตามมา คือ คุณภาพหนี้เปราะบาง และ สภาพคล่องไม่ซึมถึงจุดที่ต้องการ (ครัวเรือน–SMEs)

Net Errors & Omissions (NEO)” ในงบดุลการชำระเงินที่แกว่งแรงยิ่งสะท้อน ช่องว่างข้อมูล—ตัวเลขที่ “ตั้งหลักไม่ติด” เพราะส่วนหนึ่งอาจอยู่ในธุรกรรมที่ยังไม่ถูกบันทึก–ระบุที่มาไม่ชัด หรือไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ ช่องว่างนี้เองทำให้ฝ่ายกำกับ (ที่มองด้วยเลนส์สถิติ) กับฝ่ายนโยบาย (ที่กังวลความมั่นคง) อาจตีความ ความเสี่ยง” ต่างกัน และหากไม่ “เชื่อมจุด” ให้เห็นภาพเดียวกัน การสื่อสารสาธารณะย่อม สั่นคลอนความเชื่อมั่น ได้ง่าย

แผนปฏิบัติ เชื่อมข้อมูล–แบ่งบท–ลงมือ “ลุย” ตามแนวราบ

เพื่อแปลงแนวคิด Connect the dots ให้เป็นผลลัพธ์จับต้องได้ จำเป็นต้องมี “แพลตฟอร์มและกระบวนการ” ที่หน่วยงานนำไปใช้ร่วมกันได้จริง

1) กระทรวงการคลัง – ห้องยุทธการเชื่อมจุด
ทำหน้าที่ แม่งาน–ประสาน ตั้ง คณะทำงานถาวร ที่ประชุมสม่ำเสมอ มีแดชบอร์ดภาพรวม: ค่าเงิน, ฟันด์โฟลว์, NEO, ธุรกรรมต้องสงสัย, โครงสร้างถือหุ้น และสัญญาณเตือนเชิงระบบ

2) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) – เรดาร์มหภาค
ติดตาม กระแสเงินตราต่างประเทศ–อัตราแลกเปลี่ยน–สำรองเงินตรา–ธุรกรรม FX แยกประเภทช่องทาง (ตลาดทุน–การค้า–บริการ–โอนเงินนิติบุคคล–โครงสร้างพิเศษ) เพื่อชี้เป้า “ผิดปกติ” ส่งต่อ ปปง. ตรวจเชิงธุรกรรม

3) สำนักงาน ปปง. – เครื่องมือสืบสวนธุรกรรม
ขยาย Red Flag Rules ให้ครอบคลุมรูปแบบใหม่ เช่น โอนข้ามนิติบุคคลหลายชั้น, ใช้นอมินี, บัญชีพักเงิน, เงินโอนมูลค่าสูงผ่านกิจการทุนต่ำ, และธุรกรรมดิจิทัลข้ามแดน ผสานข้อมูลสถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร (ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ฟอกเงิน)

4) สำนักงาน ก.ล.ต. – เปิดหน้ากาก Beneficial Owner
ไล่โซ่การถือหุ้นซับซ้อน จนถึง ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (BO) ของกิจการใน–นอกตลาดทุน กรอง “โครงสร้างผิดสังเกต” และ เชื่อมข้อมูลข้ามหน่วย เพื่อสะกัดใช้บริษัทบังหน้าในการเคลื่อนย้ายเงิน

5) สมาคมธนาคารไทย – ยกระดับมาตรฐาน CDD/EDD
ออก มาตรฐานร่วม ด้านการรู้จักลูกค้า (KYC), การตรวจสอบสถานะทางธุรกิจ (CDD), และ Enhanced Due Diligence (EDD) สำหรับบัญชี/ธุรกรรมเสี่ยงสูง พร้อม ซ้อมสถานการณ์ (tabletop exercise) รายไตรมาสให้สอดรับเรดแฟลกของภาครัฐ

เงินทุนสีเทาคืออะไร–กระทบอะไร

ในหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยคุ้นกับคำว่า “เงินทุนสีเทา”—ทุนที่ กึ่งถูก–กึ่งผิด” หรือ ผิดกฎหมายเต็มรูปแบบ ซึ่งเข้ามาอาศัยช่องว่างกฎหมาย เช่น ใช้ นอมินี ถือหุ้นกิจการสงวน, ตั้ง โครงสร้างบริษัทหลายชั้น บังที่มาของเงิน, ดำเนินกิจการออนไลน์ผิดกฎหมาย, หรือสร้าง “อาณาจักรเศรษฐกิจคู่ขนาน” ที่หมุนเวียนเงินและรายได้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน

เงินกลุ่มนี้ บิดเบือนการแข่งขัน (ตัดราคา–กินรวบ), บั่นทอนเสถียรภาพการเงิน (ธุรกรรมผิดปกติ–เสี่ยงฟอกเงิน), และ ทำลายฐานภาษี (รายได้ไม่เข้าสู่ระบบ) ที่สำคัญ หากปล่อยให้ไหลเข้าระบบการเงินจำนวนมากโดยไม่ถูกตรวจสอบ อาจนำไปสู่ ความเสี่ยงระบบ (systemic risk) จากภาวะ สภาพคล่องลวงตา ค่าเงิน–สินทรัพย์ ผันผวนผิดธรรมชาติ และทำให้ผู้กำหนดนโยบาย ตัดสินใจผิดทาง ได้

เร่งด่วน–วัดผลได้–ทำให้เห็น

สารที่นายกฯ ส่งผ่านทีมเศรษฐกิจชัดเจน: ลำดับความสำคัญ อยู่ที่ “ผลกระทบจริงต่อประชาชน”—งาน–รายได้–หนี้ ขณะที่ ภาพค่าเงิน ต้องคุมให้ สงบ–สะท้อนพื้นฐาน ไม่ใช่ถูกรบกวนจากเงินปริศนา ฝั่งสมาคมธนาคารไทยตอบรับ—พร้อมปรับมาตรฐานตรวจสอบธุรกรรมและความร่วมมือข่าวกรองการเงิน โดย ยังไม่ร้องขอมาตรการพิเศษ เพิ่มเติม ขอเพียง กรอบร่วม–ช่องทางเชื่อมต่อ–เป้าหมายวัดผล ที่ชัด และ “เดินให้ทันเวลา” เพราะนายกรัฐมนตรีมีกรอบเวลาทำงาน 4 เดือนแรก ที่ต้องส่ง “Quick Big Win” สร้างความเชื่อมั่น

เชื่อมโยงสู่โครงสร้าง ทำไมการแก้หนี้–สภาพคล่อง ต้องเดินคู่ “เชื่อมจุด”

แม้ประเด็น “เงินไหลเข้า–ค่าเงิน” ดึงดูดสายตา แต่ ปัจจัยในประเทศ คือเบื้องหลังสำคัญของเสถียรภาพในระยะยาว—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยหด, อสังหาฯชะลอ จึงต้องมี มาตรการสภาพคล่องแบบตรงจุด (เช่น ค้ำประกันสินเชื่อ SMEs, ปรับเกณฑ์เครดิตประวัติใหม่ที่ไม่ “ปิดประตู” คนเปราะบาง) เพื่อให้เงิน ไหลไป “จุดที่ปวด” จริง และ ยึดโยงกับผลิตภาพ ไม่ใช่ไหลไป “เก็งกำไรค่าเงิน–สินทรัพย์”

นี่คือเหตุผลที่โต๊ะนโยบายต้องทำสองอย่าง พร้อมกัน:

  1. เชื่อมจุด เพื่อ กันเงินสีเทา ออกจากระบบ—ลดความผันผวนผิดธรรมชาติ; และ
  2. ปลดคอขวดเครดิต ให้ครัวเรือน–SMEs—อัดฉีดสภาพคล่องอย่าง “รับผิดชอบ” ไปสู่กิจกรรมที่สร้างรายได้จริง

Roadmap 90 วัน จากประกาศสู่ผลลัพธ์

เพื่อให้เห็น ผลจริง ภายในกรอบ “4 เดือนแรก” ของรัฐบาล ชุดมาตรการควรมี หมุดหมายชัด ใน 90 วันแรก ดังนี้

30 วันแรก

  • เปิด แดชบอร์ดเชื่อมจุด (ข้อมูลองค์รวม) ให้ทีมปฏิบัติทุกหน่วยเข้าถึง
  • ออก แนวปฏิบัติเรดแฟลก กลางให้สถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร
  • นัด ซ้อมแผน TTX ระดับชาติ ครั้งที่ 1 (กรณีเงินไหลเข้าผิดปกติ–ค่าเงินผันผวน)

60 วัน

  • ทดลอง เคสไล่โซ่ธุรกรรม 3–5 กรณี นำร่อง (การค้า–บริการ–โอนนิติบุคคล–ดิจิทัล)
  • รายงาน ผลคืบหน้า NEO และ “สัญญาณผิดปกติ” ต่อสาธารณะเชิงนโยบาย (ไม่เปิดชื่อบุคคล/กิจการ)
  • เสนอ มาตรการค้ำประกันสภาพคล่อง เป้าหมายเฉพาะ—SMEs กลุ่มที่แข็งแรงแต่ถูกบีบเครดิต

90 วัน

  • แถลง Quick Big Win: เคสยึด–อายัด–ดำเนินคดีสำเร็จ, ปรับปรุงเกณฑ์ EDD ภาคธนาคาร, แนวโน้มค่าเงินกลับสะท้อนพื้นฐานมากขึ้น
  • เปิด ช่องทางร้องเรียน–รับเบาะแส สาธารณะ ที่เชื่อมตรงเข้าทีมเชื่อมจุด

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

  • การสื่อสารไม่สอดคล้อง ระหว่างหน่วยงาน อาจทำให้ตลาดตีความผิด—จำเป็นต้องมี ศูนย์สื่อสารกลาง
  • ต้นทุนการปฏิบัติตาม ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs—รัฐควรจัดทำ คู่มือ–เครื่องมือดิจิทัล ช่วยตรวจเช็กเบื้องต้น
  • โยกย้ายช่องทาง ของทุนสีเทาไปจุดอ่อนใหม่—ต้องอัปเดต เรดแฟลก ต่อเนื่องและร่วมมือข้ามประเทศ

ค่าเงินที่ “สะท้อนพื้นฐานจริง” คือฐานของความเชื่อมั่น

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนรอยต่อสำคัญ ระหว่าง “สัญญาณตลาดการเงิน” ที่ผิดธรรมชาติ กับ “เศรษฐกิจจริง” ที่ต้องการสภาพคล่องอย่างมีคุณภาพ การตัดสินใจเชิงนโยบายในห้วงเวลานี้ จึงไม่ใช่การ “ขัน–คลาย” ค่าเงินแบบเชิงกลเท่านั้น แต่คือการ สร้างระบบเชื่อมข้อมูล ที่ทำให้เรามองเห็น เส้นทางเงินทั้งใน–นอกตลาด แล้วจัดการกับ เงินที่ไม่พึงประสงค์ ให้ออกจากสมการ ก่อนจะบิดเบือนราคา–บั่นทอนความเชื่อมั่น

เสียงจากทั้งโต๊ะนโยบายและภาคธนาคาร “ตรงกัน”: ต้อง Connect the dots เดินเกม เร็ว–แม่น–โปร่งใส และวัดผลได้จริง หากทำได้ ค่าเงินบาท จะกลับไปสะท้อน ปัจจัยพื้นฐาน มากกว่าความผิดปกติระยะสั้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่อง ก็จะไหลไป ครัวเรือน–SMEs ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

สุดท้าย การเจอ “เงินมาจากไหน” ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น จุดเริ่มต้นของระเบียบใหม่ ที่ทำให้ตลาดไทย แข่งขันได้ด้วยความโปร่งใส และทำให้เศรษฐกิจจริง เติบโตบนฐานคุณภาพ—นี่คือ Quick Big Win ที่สัมผัสได้ ทั้งในสมุดบัญชีของผู้คน และบนกราฟค่าเงินของชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมธนาคารไทย
  • กระทรวงการคลัง
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)
  • สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • หน่วยงานกำกับดูแลสินเชื่อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา-คุมส่งออก DUI

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา–คุมส่งออก DUI นิวเคลียร์

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — เพื่อแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมบังคับใช้ 2 มาตรการสำคัญตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ได้แก่

  1. มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา: ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานว่าแหล่งผลิต “ไม่เผา” โดยระยะเปลี่ยนผ่านก่อนที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกจะมีผลบังคับใช้ ให้ใช้ การรับรองตนเอง (self-declaration) หรือ เอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออก/องค์กรสากลที่น่าเชื่อถือ พร้อม ข้อมูลการเพาะปลูกและพิกัดแปลง เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability)
  • บทลงโทษ: หากพบมีการนำเข้าจากแหล่งที่มีการเผา ครั้งที่ 1–2 ตักเตือน; ครั้งที่ 3 พักการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้า ไม่สามารถนำเข้าได้อีก
  • หลัง พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีผล: เข้มงวดขึ้น ต้องใช้ ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออก และ แผนที่แปลงเพาะปลูก แนบประกอบ
  1. มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI): ไทยมี DUI 10 หมวด รวมกว่า 1,775 รายการ จะเริ่มคุม หมวด 0 (นิวเคลียร์) 204 รายการก่อน ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 โดยปี 2567 ไทยส่งออกหมวดนี้ มูลค่าประมาณ 437,000 ล้านบาท จากนั้น ไตรมาส 2/2569 ขยายคุมหมวด 7–9 (อิเล็กทรอนิกส์การบิน/ระบบนำร่อง, ยานพาหนะ–อุปกรณ์ทางทะเล, การบิน–อวกาศ–ขับดัน เช่น โดรนและชิ้นส่วนเครื่องบิน) ทั้งนี้ ไทยส่งออก DUI ทั้ง 10 หมวด รวม ราว 3.15 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 30% ของมูลค่าการส่งออกไทย ในปี 2567

ขั้นตอน: ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบด้วยระบบ e-Classification หากเป็น DUI ให้ยื่นขอใบอนุญาตผ่าน e-DUI Licensing พร้อม End-Use/End-User Statement และเอกสารซื้อขาย โดยผู้ประกอบการจะเริ่มยื่นขอได้ตั้งแต่ ธันวาคม 2568

สินค้าเฝ้าระวังพิเศษ 50 รายการ: ไทยยังขอความร่วมมือผู้ส่งออกเฝ้าระวังสินค้าที่ “นอก/ทับซ้อน” รายการ DUI 10 หมวด แต่อาจถูก นำไปผลิตอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ชิ้นส่วนเฮลิคอปเตอร์ ใบพัด เครื่องบิน และโดรน ซึ่งพบการใช้มากขึ้นในสนามรบยุคใหม่ (เช่น ยูเครน) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงและชื่อเสียงประเทศ

เหตุผลเชิงนโยบาย ชัดเจนจากคำอธิบายของ นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ: ไทยต้อง “ปกป้องสุขภาพคนไทย–ลด PM2.5 ข้ามแดน” และ “ยืนยันจุดยืนไม่สนับสนุนสงครามหรือ WMD” ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นให้ สินค้าไทย–นักลงทุนต่างชาติ

ทำไม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” จึงเป็นหัวใจของฤดูฝุ่นควัน

ข้อมูลเชิงโครงสร้างสะท้อนแรงกดดันในห่วงโซ่: ไทย ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ 4–5 ล้านตัน/ปี แต่ ต้องใช้ราว 9 ล้านตัน/ปี ส่วนขาดต้อง นำเข้า ~2 ล้านตัน โดย >90% มาจากเมียนมา ที่เหลือจากลาว–กัมพูชา ภาคเกษตรฝั่งต้นทางจำนวนมากยังพึ่งพา การเผาตอซัง–เตรียมพื้นที่ เพื่อเก็บเกี่ยวทันรอบ ราคาดี และลดต้นทุนแรงงาน สิ่งที่ตามมาในฤดูแล้งคือ Hotspots หนาแน่น พัด “ฝุ่นละเอียด–สารพิษ” ข้ามแดนสู่ภาคเหนือของไทย

มาตรการ “ข้าวโพดปลอดการเผา” จึงเป็น แรงกดดันทางเศรษฐกิจเชิงบวก ต่อพฤติกรรมต้นทาง—หากทำจริงจัง ตลาดนำเข้าไทย จะให้ ราคารับซื้อ–สัญญาซื้อขาย ที่ยึดโยงกับ การผลิตที่ไม่เผา และ ข้อมูลแปลงเพาะปลูกที่ตรวจสอบได้ เป็นการ “ใช้กลไกตลาด สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อม” ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อมีกฎหมายรองรับถาวร

อย่างไรก็ดี “กุญแจ” อยู่ที่ ระบบพิสูจน์และติดตามย้อนกลับ (MRV & Traceability) ที่ต้องทันสมัยและตรวจสอบได้จริง: ตั้งแต่ ทะเบียนเกษตรกร–แปลงปลูก–พิกัด–ร่องรอยโลจิสติกส์–ใบรับรองจากหน่วยงานรัฐ/องค์กรสากล รวมถึง การสุ่มตรวจภาคสนาม–เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อให้การตักเตือน/พักใบอนุญาต มีน้ำหนักพอ และป้องกัน การสวมสิทธิ์ หรือ เอกสารเท็จ

เชียงราย ด่านหน้าของนโยบาย—และของหมอกควัน

ในห้วงเวลาเดียวกันกับการประกาศมาตรการระดับชาติ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และภาคีในพื้นที่ได้จัดประชุม “กรอบความร่วมมือ 4 อำเภอ กลไกชายแดนการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน (ครั้งที่ 1)” วันที่ 22 กันยายน 2568 ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธาน และหน่วยงานป่าไม้–อุทยานฯ–ท้องที่–ท้องถิ่น 4 อำเภอ (เชียงของ เวียงแก่น เทิง ขุนตาล) ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล จุดเสี่ยง–จุดความร้อน–แนวลาดตระเวน พร้อมวางโรดแม็ปประชุมสัญจร 4 ครั้ง 4 อำเภอ (ก.ย.–ธ.ค. 2568) เพื่อยกระดับความร่วมมือ เมืองคู่ขนานชายแดน และ แนวเขตต่อเนื่อง กับฝั่งเพื่อนบ้าน

นี่คือ “มือทำงาน” ในพื้นที่ ที่ต้องจับคู่กับ “นโยบายการค้า” ให้ติด—หากเอกสารแปลงเพาะปลูกจากต้นทางเมียนมาระบุพิกัดที่ชนแนวชายแดนเชียงราย–พะเยา–น่าน ฝ่ายไทยในพื้นที่ต้อง ตรวจทาน–ซ้อนข้อมูล Hotspots–เดินสายตรวจ ได้ทันท่วงที

DUI นิวเคลียร์ทำไมไทยต้องเริ่มจากหมวด 0

โลกการค้าปี 2568 ไม่เหมือนเดิม “ของสองทาง” ไม่ได้มีแค่อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ในโรงงานนิวเคลียร์ แต่ องค์ประกอบ–วัสดุ–ซอฟต์แวร์–ระบบควบคุม จำนวนมากสามารถ ปรับใช้ สู่การผลิตอาวุธหรือระบบนำร่องได้ (แม้จะเป็น ชิ้นส่วนพลเรือน ก็ตาม) ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ จำนวนมากและมีมูลค่าสูง ปลายทางหลักเช่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยต้องยกระดับมาตรฐานคุมส่งออกให้ เท่าทันพันธมิตรการค้า และมาตรฐานนานาชาติ

หมวด 0 (Nuclear) ถูกเลือกเป็นหมวดนำร่อง เพราะเป็นหมวดที่ อ่อนไหวสูงสุด ต่อระบบคว่ำบาตร–ข้อจำกัด WMD ทั่วโลก เมื่อระบบ e-Classification / e-DUI Licensing ใช้งานได้จริง ไตรมาส 2/2569 จะต่อยอดไปยัง หมวด 7–9 ที่กระทบผู้ส่งออก ชิ้นส่วนอากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์การบิน–ระบบขับดัน–โดรน และ ทางทะเล ซึ่งเป็น “หัวใจของเศรษฐกิจฐานอุตสาหกรรมใหม่” ของไทย

การคุม DUI ไม่ใช่ การ “สกัดกั้นการค้า” ตรงกันข้าม หากผู้ประกอบการ ทำการบ้านครบ (รู้ว่าเป็น DUI หรือไม่, จัดเตรียมเอกสาร end-use/end-user, ตรวจสินค้าปลายทางต้องห้าม) จะทำให้ พัสดุผ่านด่านได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงถูก “หยุดตรวจ” หรือ “ถูกปฏิเสธ” จากประเทศคู่ค้า และ ลดความเสี่ยงทางชื่อเสียง ของทั้งบริษัทและประเทศ

ผลกระทบ–ความเสี่ยง–โอกาส ใครควรทำอะไร

1) ผู้ประกอบการอาหารสัตว์–ฟีดมิลล์–เกษตรชายแดน

  • กระทบ: ความเข้มงวดเอกสารนำเข้า–ต้นทุนการทำเอกสาร–ความเสี่ยงความล่าช้าในช่วงเริ่มบังคับใช้
  • ทางรอด: เร่งทำ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ กับคู่ค้าในเมียนมา–ลาว ตั้ง เงื่อนไขสัญญา “ปลอดการเผา” ชัดเจน พร้อมแผน ตรวจสุ่มภาคสนาม และเกณฑ์ ยกเลิก/ลงโทษ เมื่อพบผิดเงื่อนไข เพื่อไม่ให้โดน “พักทะเบียนนำเข้า” ในไทย

2) ผู้นำเข้า–ส่งออกทั่วไป (โดยเฉพาะชิ้นส่วนเทคโนโลยี)

  • กระทบ: ต้องทำ e-Classification ให้เร็วเพื่อรู้สถานะสินค้า หากเข้าเกณฑ์ DUI ต้องทำ e-DUI Licensing และจัดทำ End-Use/End-User Statement
  • ทางรอด: สร้าง มาตรฐานเอกสาร กลางของบริษัท, จัดอบรมทีม Trade Compliance, ทำ Whitelist ลูกค้า/ปลายทาง, และติดตาม รายการ 50 สินค้าเฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด

3) เกษตรกรต้นทาง–ชุมชนชายแดน

  • กระทบ: ตลาดไทยจะ “แยก” ผู้ผลิตที่เผา–ไม่เผา ชัดขึ้น
  • ทางรอด: ผลักดัน กลไกรับรองชุมชน (community certification) เชื่อมกับ สหกรณ์–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้าง ราคารับซื้อส่วนเพิ่ม (premium) สำหรับผลผลิต ปลอดการเผา

4) ภาครัฐ–ท้องถิ่น–ชายแดน

  • ภารกิจ: ทำ ศูนย์ข้อมูล traceability เชื่อม ด่าน–กรมศุลกากร–กรมการค้าต่างประเทศ–กรมควบคุมมลพิษ–อุทยาน/ป่าไม้–เทศบาล–อบจ. และ TEI เพื่อซ้อนข้อมูล ใบรับรอง—พิกัดแปลง—Hotspots แบบรายสัปดาห์ ให้การ ตักเตือน–พักทะเบียน อิงข้อมูลเชิงประจักษ์

 “การค้า” และ “อากาศสะอาด” ต้องเดินคู่

ผู้ปฏิบัติการในพื้นที่เชียงรายสะท้อน เสียงเดียวกัน ว่า มาตรการของกระทรวงพาณิชย์ถือเป็น จิ๊กซอว์สำคัญ ที่ขาดไม่ได้ เพราะ “แรงจูงใจราคา” มักเปลี่ยนพฤติกรรมได้เร็วกว่า “คำขอความร่วมมือ” เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน โครงการของ TEI ที่เปิดวงคุย นายอำเภอ–ท้องที่–ป่าไม้–อุทยาน–ท้องถิ่น ใน 4 อำเภอชายแดน ก็ทำให้ แผนลาดตระเวน–ดับไฟ–สื่อสารชุมชน มีเจ้าภาพชัดเจนขึ้น

แต่ทุกฝ่ายย้ำ เงื่อนไขความสำเร็จ ตรงกัน:

  1. ข้อมูล (แปลง–พิกัด–ใบรับรอง–ภาพถ่ายดาวเทียม) ต้อง เปิด–เชื่อม–ใช้ร่วม;
  2. บังคับใช้ ต้อง ต่อเนื่อง–เป็นธรรม–คาดการณ์ได้;
  3. เครื่องมือชดเชย (เช่น premium ไม่เผา, งบสร้างเครื่องจักรเก็บเกี่ยว, สนับสนุนเชื้อเพลิงชีวมวล) ต้อง ลงถูกจุด ไม่เช่นนั้น ฤดูกาลเผา ก็จะวนกลับมาในรูปแบบใหม่

คำถามที่สังคมต้องจับตา

  • Self-declaration ช่วงเปลี่ยนผ่านจะ “เอาอยู่” แค่ไหน ก่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด บังคับใช้เต็มรูปแบบ? ไทยพร้อม หน่วยตรวจ–สุ่ม–ยืนยัน มากพอหรือยัง
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing จะรองรับ ดีมานด์ยื่นขอ ของผู้ส่งออกได้ รวดเร็ว–โปร่งใส–ตรวจสอบได้ แค่ไหน โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังไม่คุ้นกับเอกสาร end-use/end-user
  • 50 รายการเฝ้าระวัง นอก/ทับซ้อน DUI 10 หมวด จะสื่อสารกับภาคธุรกิจอย่างไรให้ เข้าใจ–ทำตามได้ โดยไม่สร้าง ต้นทุนเชิงเอกสาร ที่เกินจำเป็น

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะกำหนดว่า นโยบายใหม่นี้จะเป็นแค่ “ประกาศสวยบนกระดาษ” หรือเป็น “กติกาใหม่” ที่พลิกฤดูกาลฝุ่นควันภาคเหนือ และยกระดับความน่าเชื่อถือการค้าของไทยในยุคภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

เคสศึกษาจำลอง หาก “ใบรับรองปลอดการเผา” ขัดกับ “ภาพดาวเทียม”

สมมติ ผู้นำเข้ารายหนึ่งแสดงใบรับรองจากหน่วยงานรัฐประเทศผู้ส่งออกว่า “ปลอดการเผา” แต่ข้อมูล Hotspots บนภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเวลาเดียวกันชี้ว่ามี จุดความร้อนหนาแน่น ในพิกัดที่ตรงกับแปลงเพาะปลูกที่ยื่นมา สิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ:

  1. ระบบ เตือนอัตโนมัติ (red flag) ภายใน e-Import;
  2. คณะทำงาน สหหน่วย (ด่าน–การค้าต่างประเทศ–ศุลกากร–ป่าไม้–อุทยาน–TEI) ลงพื้นที่ สอบสวน–ตรวจพยานแวดล้อม–สัมภาษณ์ชุมชน;
  3. หากพบหลักฐานเชื่อมโยง แจ้งตักเตือน ครั้งที่ 1/2 และ เงื่อนไขแก้ไข;
  4. หากทำซ้ำ พักทะเบียน ครั้งที่ 3 และ ขึ้นบัญชีดำ แปลง/ผู้ค้า;
  5. เผยแพร่ผล (เวอร์ชันไม่เปิดเผยชื่อ) เพื่อสร้าง บรรทัดฐาน ให้ตลาดเรียนรู้

นี่คือภาพของ “กติกาที่บังคับใช้ได้จริง”—เพราะทุกอย่างลิงก์กันด้วย ข้อมูล–พื้นที่–บทลงโทษ ที่สอดคล้อง

การค้าไทยยุคใหม่—ขายได้ ต้อง “รับผิดชอบได้”

มาตรการ ข้าวโพดปลอดการเผา และ ควบคุมส่งออก DUI คือ สัญลักษณ์ ของการเลื่อนเกียร์นโยบายการค้าไทยจากยุค “เปิดทาง–เร็ว–ถูก” ไปสู่ยุค “ยั่งยืน–ปลอดภัย–น่าเชื่อถือ” โดยมี สุขภาพประชาชน และ ความมั่นคงเชิงเทคโนโลยี เป็นหลักยึด

สำหรับ เชียงราย เมืองด่านหน้าของทั้งฝุ่นควันและการค้า—สิ่งที่จะตัดสินความสำเร็จไม่ใช่แค่ “ประกาศจากส่วนกลาง” แต่คือ ความร่วมมือชายแดน ที่เริ่มลงมือแล้วโดย TEI และภาคี 4 อำเภอ, คือ การเชื่อมข้อมูล ที่ “เห็นภาพเดียวกัน” ระหว่างใบรับรอง–พิกัด–จุดความร้อน, และคือ การบังคับใช้ที่คาดการณ์ได้ เพื่อให้ตลาด “เรียนรู้” ว่าการไม่เผา คุ้มกว่า–ปลอดภัยกว่า–ขายได้ดีกว่า

ในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานสะเทือนจากสงคราม–คว่ำบาตร–มาตรฐานสีเขียว—ประเทศที่ “ขายได้” ต่อไป คือประเทศที่ พิสูจน์ได้ ว่า “รับผิดชอบได้” ด้วยเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ – กรมการค้าต่างประเทศ
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing
  • กรอบกฎหมายอากาศสะอาด
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมศุลกากร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายพร้อมหรือยัง? Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่จุดหมายสุขภาพโลก

Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่ “จุดหมายสุขภาพ” ระดับโลก—เชียงรายพร้อมหรือยัง?

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ค่อย ๆ เงียบลงเมื่อพิธีเปิดเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ต้องจับมือกันแน่นขึ้น—จากเชียงรายถึงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง” นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเปิด โดยมี นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย และตัวแทนราชการ-เอกชน-ประชาสังคม 4 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 200 คน วาระสำคัญบนโต๊ะ จะเปลี่ยน “ศักยภาพ” ของภาคเหนือให้เป็น “มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยหนึ่งในสี่อุตสาหกรรมเป้าหมายคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเชื่อมตรงสู่ Medical Tourism ในระดับประเทศ

ไทย—จากจุดหมายท่องเที่ยวสู่จุดหมายสุขภาพ

สองทศวรรษหลังเปิดยุทธศาสตร์ “Medical Hub” ประเทศไทยเดินเกมต่อเนื่อง—ยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน, ขยายบริการเฉพาะทาง, รับรองคุณภาพสากล, เสริมโครงสร้างสนามบิน–วีซ่า–บริการล่าม–รถรับส่ง—จน “การรักษา + การพักผ่อน + การพักฟื้น” หลอมรวมเป็นประสบการณ์เดียว จุดเด่นของไทยยังเหมือนเดิมแต่คมขึ้น: คุณภาพการรักษา, ราคาคุ้มค่า, บริการมืออาชีพและเป็นมิตร ขณะที่ตลาดโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้มองหาการผ่าตัดอย่างเดียว แต่ยังสนใจ ศัลยกรรมความงาม–ชะลอวัย, ทันตกรรม, IVF, หัวใจ–กระดูก–สันหลัง, ไปจนถึง แพทย์ฟื้นฟู/เวชศาสตร์ชะลอวัย และ wellness แบบองค์รวม

แม้ตัวเลขมูลค่าตลาดจากแต่ละสำนักวิจัยต่างกัน (เพราะคำนิยามคนละชุด—Medical vs Health/Wellness) แต่ “ทิศทาง” สอดคล้องกัน เติบโตเร็ว, ตัวยืนใหม่เพิ่ม, ผู้ป่วยพักนาน–ใช้จ่ายนอกการแพทย์สูง, และ อาเซียน–ตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–จีนตอนใต้ เป็นฐานลูกค้าหลัก หากมองทั้งห่วงโซ่ คุณค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แค่ “ค่ารักษา” แต่อยู่ใน ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม–แพ็กเกจพักฟื้น–สปาทางการแพทย์ ซึ่งทำให้ “เมืองปลายทาง” เป็นผู้เล่นตัวจริง ไม่ต่างกับโรงพยาบาล

NEC–Creative LANNA เวทีที่เชียงรายต้องคว้า

นายนิพนธ์ นิยม อธิบายทิศทางการขับเคลื่อน NEC หลังมติ ครม. ที่วางโครงมาจากปี 2565–2566 เป้าประสงค์ 5 ด้านเพื่อกระจายความเจริญ ลดเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิต แข่งขันข้ามพรมแดน และเชื่อมโลก ผ่าน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย—อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น Movie Town), ดิจิทัล (Data Center/Cloud/คอนเทนต์), ท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และ เกษตร–อาหาร (อินทรีย์/สารสกัด/นิคมอาหาร)

สำหรับ Medical/Wellness Tourism จุดแข็งของเชียงรายโดดเด่น

  • ทำเลชายแดน เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ (R3A) มีด่าน–ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน–ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเชียงของ
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศและศักยภาพเชื่อมเมืองหลักภูมิภาค
  • สินทรัพย์ท่องเที่ยว ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ชุมชน–กาแฟ–ชา–งานหัตถกรรม
  • ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา สมุนไพร–นวดไทย–สปา–อาหารพื้นถิ่นสายสุขภาพ—ต่อยอดเป็น Wellness Retreat/Detox/Recovery Stay ได้ทันที

แต่ในสนาม Medical Tourism ความพร้อมต้องไปไกลกว่า “บรรยากาศดี–บริการดี”—เชียงรายจำเป็นต้อง “ปิดช่องว่าง” ต่อไปนี้ให้เร็วและพร้อมกัน

สิ่งที่เชียงรายยังขาด และต้องเร่งเติม

1) มาตรฐานสากลฝั่งสถานพยาบาล
เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติอย่างมั่นใจ โรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางต้องมีมาตรฐานระดับสากล (เช่น JCI หรือเทียบเท่า) ในบริการแกน: ศัลยกรรมความงาม–ทันตกรรม–IVF–กระดูกสันหลัง–หัวใจ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู/ชะลอวัย วันนี้ เชียงรายยัง “พึ่งบริการเฉพาะทางระดับสูงจากหัวเมืองใหญ่” อยู่พอสมควร การยกระดับโรงพยาบาลจังหวัด/เอกชน และการดึงดูดพันธมิตรโรงพยาบาลเครือใหญ่จึงเป็น เกมเชิงรุก ที่ต้องทำคู่กัน

2) International Patient Center (IPC) แบบครบวงจร
ผู้ป่วยต่างชาติต้องการ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ตั้งแต่ก่อนบินจนจบการติดตามผล: นัดหมายแพทย์, ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นทางเทคนิคการแพทย์, second opinion ออนไลน์, รับ–ส่งสนามบิน, ล่าม, อำนวยความสะดวกวีซ่าการแพทย์, ประสานประกันสุขภาพนานาชาติ, จัดที่พัก/อาหารเฉพาะโรค, เวชระเบียนภาษาอังกฤษ, และ digital follow-up หลังกลับประเทศ เชียงรายยังต้องตั้ง/ยกระดับ IPC ในโรงพยาบาลหลัก พร้อมมาตรฐานบริการเดียวกันทั้งเครือข่าย

3) ระบบการเงิน–ประกันต่างประเทศ
การเบิกจ่ายตรงกับ International Insurance/Assistance เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการตัดสินใจผู้ป่วย (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–ยุโรป) เมืองปลายทางต้องมี ทีม Billing นานาชาติ, สัญญาเครือข่ายประกัน, และ DRG/ICD สากลที่แม่น—จุดนี้ยังเป็น gap ของหลายโรงพยาบาลหัวเมือง

4) บุคลากรภาษา–มาตรฐานเอกสาร
แม้แพทย์เก่ง แต่ถ้า touchpoint อื่น ๆ ภาษาไม่พร้อม—ประสบการณ์ผู้ป่วยจะสะดุดทันที จึงต้องมี ล่ามการแพทย์ (อังกฤษ–จีน–พม่า–ลาว–อาหรับ), เอกสารสองภาษา, แผงสื่อสารความเสี่ยง–ยินยอมรักษา (informed consent) มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง

5) โครงสร้างรองรับการพักฟื้น (Recovery/Wellness Stay)
นี่คือ “จุดต่าง” ที่เชียงรายสร้างความได้เปรียบได้เร็ว—โรงแรม/รีสอร์ต/โฮมสเตย์คุณภาพ ต้องร่วมกับโรงพยาบาลทำ แพ็กเกจพักฟื้น เฉพาะหัตถการ (อาหาร–กายภาพ–การพยาบาล–รถรับส่ง–แพทย์เยี่ยม–สปาเชิงการแพทย์) โดยมี Care Pathway ชัดเจนและความปลอดภัยเป็นฐาน

6) การตลาดปลายทางแบบ one story, many doors
ต้องมี แบรนด์ร่วม “Chiang Rai Health & Wellness” ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลายประตู: สถานพยาบาล–ผู้ให้บริการท่องเที่ยว–ตัวแทนการแพทย์ในต่างประเทศ–สายการบิน–OTA เพื่อให้ผู้ป่วยค้นเจอ “ข้อเสนอเดียวกัน–คุณภาพเดียวกัน–ราคาโปร่งใส” ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากช่องทางใด

7) ธรรมาภิบาล–สมดุลกับระบบสุขภาพท้องถิ่น
การเติบโตของ Medical Tourism ต้องไม่ดึงบุคลากรจากระบบรัฐมากเกินไปจนกระทบประชาชนในพื้นที่ จำเป็นต้องมี โควตา/แรงจูงใจ ที่รักษาสมดุล และ โครงการร่วมผลิต–พัฒนาบุคลากร ระหว่างรัฐ–เอกชน พร้อม แนวทางรับเรื่องร้องเรียน/ชดเชย ที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับผู้ป่วยต่างชาติและคนไทย

เส้นทางสู่ความพร้อม แผน 3 ระยะที่ “วัดผลได้”

ระยะสั้น 0–12 เดือน “ย้ำหัวใจประสบการณ์ผู้ป่วย”

  • ตั้ง Chiang Rai International Patient Desk กลาง (ออนไลน์ + จุดบริการสนามบิน) เชื่อมโรงพยาบาลหลัก/โรงแรมพันธมิตร
  • คัด “5 สายผลิตภัณฑ์เรือธง” ที่ทำได้ทันที: ทันตกรรมด่วน, ศัลยกรรมเล็ก–ความงามเฉพาะ, โปรแกรมชะลอวัย/Detox, กายภาพ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู, โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
  • Fast track เอกสาร 2 ภาษา, ล่ามการแพทย์, ระบบรับ–ส่ง, จับมือโรงแรมทำ Recovery Packages อย่างน้อย 10 ชุด
  • วัดผลด้วย จำนวนเคสต่างชาติ, คะแนนความพึงพอใจ, ค่าใช้จ่ายต่อเคส (ใน-นอกการแพทย์)

ระยะกลาง 12–36 เดือน  “ล็อกมาตรฐาน–ขยายบริการเฉพาะทาง”

  • พัฒนา/ดึงดูด ศูนย์เฉพาะทาง อย่างน้อย 2 ด้าน (เช่น กระดูกสันหลัง, IVF, เวชศาสตร์ฟื้นฟูชั้นสูง) สู่มาตรฐานสากล
  • ทำ สัญญาเครือข่ายประกันนานาชาติ 10–20 ราย, ตั้ง International Billing Unit ร่วม
  • สร้าง/ยกระดับ Wellness Campus (สมุนไพร–สปาการแพทย์–กายภาพ) เชื่อมชุมชนท้องถิ่น
  • วัดผลด้วย รายได้รวมห่วงโซ่, สัดส่วนเคสประกันนานาชาติ, อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ระยะยาว 36 เดือนขึ้นไป “ศูนย์กลางสุขภาพชายแดนตอนบน”

  • เป็นเจ้าภาพ งานประชุม/มหกรรม Health & Wellness ระดับอนุภูมิภาค (GMS/ล้านช้าง-แม่โขง)
  • พัฒนา ข้อมูลสุขภาพ–เวชท่องเที่ยว ระดับเมือง (แดชบอร์ดสาธารณะ) เพื่อนโยบายฐานข้อมูล
  • ตั้ง กองทุนพัฒนาสุขภาพจังหวัด จากรายได้อุตสาหกรรม เพื่อ “คืนกลับ” สู่ระบบสุขภาพประชาชน—ทำให้การเติบโต “ไม่ทิ้งใคร”

เสียงจากเวทีเชื่อมยุทธศาสตร์ให้ลงดิน

บนเวทีเวิร์กช็อป นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ย้ำว่า “NEC จะสำเร็จได้ ต้อง ‘ทำงานร่วม’ ระหว่างรัฐ–เอกชน–ชุมชน—เชียงรายมีทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติพร้อม แต่เราต้องแปลงทุนให้เป็นบริการที่มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง” ขณะที่ นายนิพนธ์ นิยม ชี้เป้า “ห่วงโซ่คุณค่า” ว่า “ปีนี้เราจะเน้นสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมมากขึ้น ทั้งในมิติแพทย์แผนปัจจุบัน–แผนไทย–Wellness—และเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ตรง”

แม้ไม่มี “คำตอบลัด” แต่ฉากหน้าเริ่มชัดเจน: เมืองชายแดนที่ เดินเกมมาตรฐาน–บริการไร้รอยต่อ–แพ็กเกจพักฟื้นที่ปลอดภัย–การตลาดร่วม จะชิงส่วนแบ่งตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง—และที่สำคัญคือ ทำให้การเติบโตไม่ย้อนศรคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ตัวเลขที่ชวนคิดชวนโฟกัส

  • รายงานตลาดบางสำนักประเมิน Health/Wellness Tourism ไทย แตะหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตในอัตราสูงมากเมื่อรวมบริการสุขภาวะ ขณะที่รายงานที่จำกัดเฉพาะ Medical Tourism ประเมิน หลักหลายร้อยล้าน–พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—สะท้อนความต่างเชิงคำนิยามมากกว่าความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง
  • สัดส่วน Wellness ในตลาดสุขภาพอาเซียนถูกประเมินว่ามีส่วนแบ่งสูง (หลายฉบับระบุราว 70%+ ของภาพรวมสุขภาพ/การแพทย์รวมกัน) จึงเป็น “ทางด่วน” ที่เชียงรายสามารถขึ้นรถได้เร็ว—หากทำให้ ปลอดภัย–เป็นสากล–เชื่อมแพทย์ปัจจุบัน
  • ผู้ป่วยต่างชาติ non-medical spend (ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม) สูง—หมายถึง “รายได้เมือง” จะเกิดเมื่อเรามี แพ็กเกจพักฟื้น ที่คำตอบครบตั้งแต่รพ.ถึงโรงแรม ไม่ใช่ขาย “ค่าห้องผ่าตัด” เพียงอย่างเดียว

เชียงราย—จากคำถาม “พร้อมหรือยัง” สู่ “พร้อมอย่างไร”

คำตอบสั้น ๆ คือ พร้อมบางส่วน แต่ยังต้องเร่ง “เชื่อมจุด” จุดแข็งของเชียงราย—ทำเลชายแดน, สนามบิน, ทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติ, ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา—คือฐานที่ดีมาก เมื่อประกอบเข้ากับกรอบ NEC–Creative LANNA เมืองสามารถ “ยกระดับ” เป็น จุดหมายสุขภาพชายแดนตอนบน ได้จริง หากลงมือ 4 เรื่องใหญ่ พร้อมกัน:

  1. มาตรฐานสากล–ศูนย์เฉพาะทาง (เลือกไม่กี่เรือธงแล้วทำให้ชนะจริง),
  2. International Patient Center + ประกันนานาชาติ (ทำให้การเดินทางรักษาไร้รอยต่อ),
  3. แพ็กเกจพักฟื้นเชื่อมชุมชนอย่างปลอดภัย (เปลี่ยนโรงแรม–รีสอร์ตให้เป็น Recovery Partner), และ
  4. ธรรมาภิบาล–คืนกำไรสู่ระบบสุขภาพประชาชน (ให้คนเชียงรายได้ประโยชน์จากการเติบโต)

บนถนนสาย Medical Tourism เมืองที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน—ให้บริการมาตรฐานเดียวกัน—คิดภาพรวมทั้งห่วงโซ่” จะไปได้เร็วและไกลกว่า คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า พร้อมหรือยัง แต่คือ พร้อมอย่างไร ให้ ได้มาตรฐาน และ ได้ส่วนแบ่ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (20 ก.ย. 2565; 31 ม.ค. 2566)
  • จังหวัดเชียงราย / สำนักงานจังหวัดเชียงราย: เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ NEC (22–24 ก.ย. 2568) คำชี้แจงโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าสำนักงานจังหวัด
  • กระทรวงสาธารณสุข: แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ต่อเนื่องถึงแผน 2017–2026
  • Data Bridge Market Research: Thailand Health/Wellness Tourism
  • IMARC Group และ Credence Research: Thailand Medical Tourism
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาพันธ์โรงพยาบาลเอกชนไทย / ข้อมูลการรับรอง Joint Commission International (JCI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พายุ “รากาซา” จ่อเวียดนาม ทช.เร่งตรวจพนังกั้นน้ำแม่สาย หวั่นน้ำหลากซ้ำรอย

เชียงรายเผชิญภัยซ้อนพายุ “รากาซา” จ่อเวียดนามตอนบน—ทหารช่างเร่งตรวจพนังกั้นน้ำแม่สาย ชูแผนเฝ้าระวัง 24 ชม. กันน้ำหลากซ้ำรอย

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — เสียงเครื่องสูบน้ำของเทศบาลดังสลับกับเสียงปะทะของละอองฝนที่ยังไม่ขาดเม็ด ขณะชาวแม่สายย้ายของขึ้นชั้นสองด้วยความระมัดระวัง ภาพ “น้ำท่วมขังรอการระบาย” เริ่มผ่อนลงเล็กน้อยหลังฝนยาวคืนนั้น แต่ความกังวลรอบใหม่มาไวกว่า—พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” (RAGASA) กำลังเร่งตัวสู่ทะเลจีนใต้และมี “คิว” ส่งผลฝนหนักถึงหนักมากบนภาคเหนือตอนบนไทยช่วง 23–26 ก.ย. การจัดทัพป้องกันจึงต้อง “ขึ้นรูป” ให้ทันเวลาก่อนมวลน้ำลูกใหม่บ่าไหลลงมา

เส้นทางพายุจากลูซอนสู่ทะเลจีนใต้ ก่อนอ่อนกำลังบนอ่าวตังเกี๋ย—แต่ร่องมรสุมไทยจะแข็งขึ้น

รายงานอัปเดตของกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อบ่าย–เย็นวันที่ 22 ก.ย. ระบุศูนย์กลางพายุ “รากาซา” ทางตอนบนเกาะลูซอนมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 205 กม./ชม. เคลื่อนตะวันตกด้วยความเร็วราว 20 กม./ชม. คาดว่าจะเลื่อนลงทะเลจีนใต้ในค่ำวันเดียวกัน จากนั้นจะวิ่งเลียบชายฝั่งใต้จีนผ่านเกาะไหหลำเข้าช่วง อ่าวตังเกี๋ย 25 ก.ย. และอ่อนกำลงเป็นพายุโซนร้อนก่อนขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนภายใน 25–26 ก.ย. แม้ศูนย์กลางจะไม่ปะทะไทยตรง ๆ แต่อิทธิพลพายุทำให้ ร่องมรสุม ที่พาดผ่านภาคเหนือ–อีสานบน และ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เหนืออันดามัน–อ่าวไทย “แรงขึ้น” ช่วง 23–26 ก.ย. ส่งผลให้หลายภาคมีฝนเพิ่มขึ้นและมีโอกาสฝนหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล

คำเตือนหลักคือ ภูมิประเทศลาดเชิงเขา–ทางน้ำไหลผ่าน–พื้นที่ลุ่ม ต้องเฝ้าระวัง น้ำป่าไหลหลาก–น้ำท่วมฉับพลัน–น้ำล้นตลิ่ง เป็นพิเศษ ขณะที่อ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันคลื่นสูง 2–3 เมตร (มากกว่า 3 เมตรในบริเวณพายุฝนฟ้าคะนอง) เรือเล็กฝั่งอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งช่วง 24–26 ก.ย.

สถานการณ์แม่สาย ตัวเลขชี้ “ใกล้ล้นตลิ่ง” แต่ทรงตัว–เริ่มลด—อย่างไรก็ดี “ระยะเผื่อ” ยังน้อย

ปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมง (21–เช้าวันที่ 22 ก.ย.) ที่สถานีสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาแห่งที่ 1 วัดได้ 127.8 มม. เป็นค่าสุด “หนาแน่น” สำหรับรอบ 24 ชม. ระดับน้ำแม่น้ำสาย 397.46 ม.รทก. ขึ้นใกล้ขอบล้นที่ 397.591 ม.รทก. ก่อนทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง ภาพรวมพื้นที่ได้รับผลกระทบแสดง “น้ำขังรอการระบาย” หลายชุมชน เช่น สายลมจอย (ต.เวียงพางคำ) เหมืองแดง–ไม้ลุงขน (ต.แม่สาย) ระดับ 5–15 ซม. แนวโน้มถอยลง ตลอดจนมีน้ำหลากบนถนนพหลโยธินหน้าซอย 6 บ้านถ้ำ (ต.โป่งผา) ปิดการจราจรขาขึ้น 1 ช่อง ระยะราว 300 เมตร ก่อนเร่งอำนวยความสะดวกให้สัญจรได้ตามลำดับ

หมายเหตุเชิงพื้นที่: จุด “ผาแตก–ผาคำ” ที่เคยมีปัญหาน้ำหลากเพราะการปรับถมดินเปลี่ยนทิศทางน้ำ ปัจจุบันกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนหมู่บ้าน “บ้านถ้ำ–บ้านโป่ง–บ้านดงม่วงคำ” (ต.โป่งงาม) ระดับน้ำลดลงต่อเนื่องและใกล้ปกติ

ทหารช่างตรวจแนวตลิ่ง—ปภ.ยิงสัญญาณเตือน—หน่วยงานยืนระวัง 24 ชม.

เวลา ประมาณเที่ยงวันที่ 22 ก.ย. หน่วยทหารช่างจากกรมการทหารช่างเข้าตรวจแนวป้องกันริมแม่น้ำสาย ตั้งแต่คันดิน–แนวกระสอบทราย–โครงสร้างป้องกันน้ำอื่น ๆ เพื่อ “ประเมินความมั่นคง” ของระบบป้องกันหน้าเมืองชายแดน ก่อนรับมวลน้ำรอบใหม่ ข้อมูลเบื้องต้นยืนยันว่า โครงสร้างยังแข็งแรงปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การตรวจทวนซ้ำในจุดเสี่ยง (ตลิ่งคด–รอยต่อโครงสร้าง–ปากท่อ) จะทำต่อเนื่องตลอด 24–48 ชั่วโมงหน้า

ด้าน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) ระบุว่าได้ส่ง ข้อความ Cell Broadcast เตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงแล้ว เทศบาล–อบต. เร่งสูบน้ำ จุดเดิม–จุดอ่อน–คลองซอย เปิดทางน้ำไหล และตั้งทีมอำนวยความสะดวกการจราจรร่วมกับ หมวดทางหลวงแม่สาย–สภ.แม่สาย ขณะเดียวกัน อบต.โป่งงาม ระดมกำลังเคลียร์สิ่งกีดขวางทางน้ำในชุมชน ส่วนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัยแม่สายคงระดับ เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และเชื่อมโยงการสั่งการอุปกรณ์/เครื่องจักรกลหนัก หากต้องเสริมคันป้องกันหรือเปิดแนวทางน้ำเร่งด่วน

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (กอปภ.จ.) สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมเครื่องมือ–ยุทโธปกรณ์–กำลังพล พร้อมปฏิบัติ 24 ชม. เมื่อได้รับแจ้งเหตุ โดยเฉพาะการสนับสนุน เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่–รถบรรทุกน้ำ–เรือท้องแบน ไปยังจุดเสี่ยงเชิงรุกก่อนเกิดเหตุ

สทนช.ชี้พื้นที่เสี่ยง 25–30 ก.ย.—เหนือ–อีสาน–ภาคตะวันออก–ใต้ตอนบน ต้องจับตา

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกประกาศ ฉบับที่ 23/2568 ให้เฝ้าระวังฝนหนักถึงหนักมากหลายจังหวัดช่วง 25–30 ก.ย. จากการบูรณาการประเมินร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา–สสน. (องค์การมหาชน)–กรมทรัพยากรน้ำ–กรมทรัพยากรธรณี–กรมชลประทาน–กฟผ.–ปภ. ระบุพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก–ดินถล่มเฉียบพลันใน ภาคเหนือ (รวมเชียงราย—อ.เมือง, แม่สาย, เชียงของ, เชียงแสน, แม่จัน) ภาคอีสาน (ลุ่มโขง–ห้วยหลวง–ชี–มูล) ภาคตะวันออก (ระยอง–จันทบุรี–ตราด ฯลฯ) และใต้ฝั่งอันดามันส่วนหนึ่ง พร้อม “จับตาอ่างเก็บน้ำ ขนาดกลาง–เล็กที่มีปริมาณน้ำ >80% ความจุ” หลายจังหวัด และ “ผลกระทบลูกโซ่” จากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำโขง–เจ้าพระยา

ในส่วนของเชียงราย สทนช.เน้น “เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มฉับพลัน–ล้นตลิ่ง–ท่วมขัง” ตลอดแนว แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขา โดยเฉพาะพื้นที่เมือง–ชุมชนลุ่มต่ำที่ “ระบายไม่ทัน” ในช่วงฝนต่อเนื่อง

สถิติตัวเลขที่ชี้ความต่างใหญ่

  • 127.8 มม. ใน 24 ชม. คือฝนระดับ “หนักมาก” สำหรับพื้นที่เมืองชายแดน หากซ้ำรอบใน 48–72 ชม. โดยที่ดินอิ่มน้ำแล้ว ความเสี่ยง “น้ำท่วมฉับพลัน–น้ำป่าไหลหลาก” จะเพิ่มแบบ “ไม่เชิงเส้น”
  • ระดับแม่น้ำสาย 397.46 ม.รทก. ใกล้เส้นล้นตลิ่ง 397.591 ม.รทก. หมายความว่า พื้นที่กันชน” เหลือน้อย ถ้ามีน้ำเหนือทะลักเร็วหรือติดคอขวดท้ายน้ำ (เช่น ระดับน้ำโขงสูง) การเอ่อล้นอาจเกิดในเวลาไม่นาน
  • คลื่นทะเล 2–3 เมตร บริเวณอ่าวไทยตอนบน–อันดามัน ชี้ถึง “ความเสี่ยงทางทะเล” ที่ต้องบริหารคู่กัน—การงดเรือเล็กออกจากฝั่ง–จัดเส้นทางเรือโดยสาร–ประมงปลอดภัย

เมืองพร้อมแค่ไหน 6 คำถามเช็คความพร้อม “72 ชั่วโมงทอง”

  1. แนวตลิ่ง–พนังกั้นน้ำ เสริมวัสดุ–อุดรอยรั่ว–รอยต่อแล้วครบหรือยัง โดยเฉพาะหัว–ท้ายพนังและแนวปากท่อ?
  2. จุดอ่อนระบายน้ำเมือง (ท่อระบายน้ำตัน–คอขวดคลองซอย) เคลียร์สิ่งกีดขวางครบหรือยัง และตั้งเครื่องสูบ “รอหน้า” ไว้หรือยัง?
  3. แผนจราจรฉุกเฉิน มีทางเลี่ยง–ปิด–เปิดแบบไดนามิกสำหรับถนนสายหลัก (เช่น พหลโยธิน) พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำจุดหรือไม่?
  4. กลไกเตือนภัยชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มหมู่บ้าน–เสียงตามสาย) อัปเดตล่าสุดหรือยัง—ประชาชนรู้ระดับเตือนอะไรหมายถึงอะไร?
  5. กลุ่มเปราะบาง (ผู้ป่วยติดเตียง–เด็กเล็ก–ผู้สูงวัย) มีบัญชีรายชื่อ–เส้นทางขนย้าย–จุดปลอดภัยใกล้บ้านพร้อมหรือยัง?
  6. การเชื่อมโยงต้นน้ำ–ปลายน้ำ กับเพื่อนบ้านเหนือขึ้นไป (อำเภอ–จังหวัดข้างเคียง/ชายแดน) แจ้งเตือนกันแบบเรียลไทม์หรือยัง?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ภาระของหน่วยงานเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็น “เช็คลิสต์ชุมชน” ที่ทุกบ้านทำได้—การผูกความรู้สึก “ไม่ประมาท” เข้ากับ “ข้อเท็จจริง” จะทำให้การตัดสินใจในยามเสี้ยวนาทีแม่นยำขึ้น

น้ำโขง–ท้ายน้ำ ตัวแปรที่กำหนด “ความเร็วระบาย” ของน้ำในท้องถิ่น

สทนช.ระบุให้เฝ้าระวังผลกระทบจาก ระดับน้ำโขง ที่มีแนวโน้มเพิ่ม—หากโขง “สูงขึ้นต่อเนื่อง” จะเกิดแรงต้านที่ปากแม่น้ำสาย–รวก–โขง ทำให้ การระบายจากท้องถิ่นช้าลง ผลคือระดับน้ำท่วมขังในเมือง (ที่พึ่งพาระบบสูบ–ระบายลงแม่น้ำสาย) อาจ “ทรงตัว” นานกว่าที่คาด การจัดสรรเครื่องสูบน้ำ–การปล่อยน้ำเป็นจังหวะ–การคุมประตูระบายน้ำย่อยจึงต้องสัมพันธ์กับระดับโขงแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง

บทบาทภาคเอกชน–ประชาชน จาก “ผู้รับผล” สู่ “หุ้นส่วนรับมือภัยพิบัติ”

  • ผู้ประกอบการค้าชายแดน–ตลาดสด–โกดังสินค้า ควรติดตั้ง กระดานประกาศระดับน้ำ ง่าย ๆ หน้าอาคาร อัปเดตปริมาณฝน–ระดับน้ำ–แผนเลี่ยงเส้นทาง เพื่อให้แรงงาน–ลูกค้า–รถขนส่งรับรู้ข้อมูลพร้อมกัน ลดคอขวดในนาทีวิกฤต
  • โรงแรม–โฮมสเตย์–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ร่วมมือเทศบาลทำ คู่มือฉุกเฉิน 1 หน้า วางไว้ในห้องทุกห้อง สแกน QR เข้าสถานะน้ำ–โทรฉุกเฉิน–จุดรวมพล
  • ครัวเรือนริมตลิ่งเตรียม กระเป๋าฉุกเฉิน 3 วัน (เอกสารสำคัญ–ยา–ไฟฉาย–ที่ชาร์จ–เสื้อกันฝน–น้ำดื่ม) และจัด “แผนเคลื่อนย้ายของ–สัตว์เลี้ยง” ล่วงหน้า

จาก “ตั้งรับ” สู่ “อยู่ร่วมกับฤดูกาลใหม่”

เหตุการณ์ 22–30 ก.ย. นี้ เป็น “บททดสอบภาคสนาม” ของเชียงรายในโลกที่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง–ฝนสุดขั้วถี่ขึ้น บทเรียนที่ได้—ตั้งแต่จุดอ่อนของคอขวดระบายน้ำเมือง แผนแจ้งเตือนที่ภาษายังยาก ไปจนถึงการเชื่อมโยงข้อมูลต้นน้ำ–ปลายน้ำ—ควรถูกร้อยเป็น Roadmap น้ำฝน–น้ำหลาก เมืองชายแดน ที่วัดผลได้
สามยุทธศาสตร์ระยะกลางควรเดินคู่กัน:

  1. โครงสร้าง – เสริมแนวตลิ่ง–พนัง–ประตูระบายย่อย บูรณะระบบท่อระบายน้ำเมืองแบบ “จับคอขวดตามข้อมูลจริง”
  2. ไม่ใช่โครงสร้าง – แดชบอร์ดสาธารณะระดับหมู่บ้าน–ตำบล, ซ้อมแผนอพยพชุมชนรายครึ่งปี, หลักสูตร “อ่านพยากรณ์อากาศ” สำหรับ อปพร.–อสม.
  3. ทวิภาคี–ลุ่มน้ำโขง – ช่องทางสื่อสารระดับอำเภอ–จังหวัดข้ามแดน, แลกเปลี่ยนข้อมูลฝน–น้ำแบบมาตรฐานเดียวกัน, ตารางแจ้งเตือนล่วงหน้าช่วงฝนสุดขั้ว

 

เชียงรายกำลังยืนอยู่หน้าคลื่นลมฤดูกาลรอบใหม่—พายุ “รากาซา” แม้จะขึ้นฝั่งไกลออกไปทางเวียดนาม แต่แรงขยายของร่องมรสุมจะทำให้ภาคเหนือตอนบนน้ำหนักฝนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยใน 23–26 ก.ย. เมืองหน้าด่านอย่าง แม่สาย ซึ่งเพิ่งผ่าน “ฝน 127.8 มม.” และระดับน้ำใกล้ล้นตลิ่ง จำเป็นต้อง รักษาวินัยการเฝ้าระวัง 24 ชม. ต่อเนื่องอีกระยะอย่างน้อยสัปดาห์หนึ่ง
การที่ ทหารช่าง–ปภ.–เทศบาล–ตำรวจทางหลวง–อบต.–ประชาชน ขยับพร้อมกันตั้งแต่ “ก่อนฝนรอบใหม่” คือจุดเปลี่ยนจาก “รอรับผลกระทบ” ไปสู่ “ลดความเสียหายที่คาดได้” ในทางปฏิบัติ
ในเกมของธรรมชาติ ความเร็วคือทุน ความพร้อมคือโล่ และ “ข้อมูลที่สื่อสารได้” คือสะพานสู่ความมั่นใจของคนทั้งเมือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) – ประกาศฉบับที่ 23/2568 เรื่อง
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • กรมการทหารช่าง / ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัยแม่สาย
  • กรมทางหลวง / ตำรวจทางหลวง / อบต.โป่งผา–โป่งงาม–เทศบาลตำบลแม่สาย–เทศบาลเวียงพางคำ –
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

น้ำกกไม่เกินมาตรฐาน! คพ.ชี้แจงผลตรวจโลหะหนัก แต่แม่น้ำชายแดนยังวิกฤตสารหนู

คพ.ชี้ “แม่น้ำกก” ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน แต่ “แม่น้ำสาย–รวก” ยังวิกฤตสารหนู บททดสอบความมั่นคงทรัพยากรน้ำชายแดนเหนือ

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าตรู่บนสันเขาแม่จัน แดดสีทองยังไม่ทันเฉือนหมอกให้ขาวโปร่ง น้ำในลำน้ำกกยังคงมีสีขุ่นจัดอย่างที่ชาวบ้านคุ้นตามาหลายเดือน แม่ค้าแผงผักริมท่าน้ำบอกว่า “น้ำแรงดี แต่น้ำสีไม่ค่อยสวย” ประโยคสั้นๆ นี้สะท้อนความกังวลของชุมชนปลายน้ำที่พึ่งพาแม่น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและยังใช้เลี้ยงชีพในฐานะ “เส้นเลือด” ทางเศรษฐกิจของเชียงราย

ภาพความขุ่นคล้ายน้ำชาดที่เห็น ไม่ได้เท่ากับ “น้ำเสีย” เสมอไป—นั่นคือข้อเท็จจริงชุดแรกที่ผลตรวจวิเคราะห์ล่าสุดของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ย้ำให้ชัดขึ้น คพ.รายงานว่าแม่น้ำกกและลำน้ำสาขาหลักมีคุณภาพน้ำโดยรวม “อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน” ด้านโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู (As)” ไม่เกินค่าเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรในทุกจุดที่ตรวจ ในขณะที่ “แม่น้ำสาย” และ “แม่น้ำรวก” บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ยังพบค่าสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่องหลายจุด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนวิกฤตแหล่งน้ำข้ามพรมแดนที่ยังต้องเร่งแก้ไขเชิงระบบและเชิงการทูตควบคู่กันไป

สีขุ่นที่ชวนตั้งคำถาม กับข้อเท็จจริงที่ต้องแยกแยะ

ตั้งแต่ไตรมาสสองปีนี้ ชาวเชียงรายคุ้นกับข่าว “น้ำกกขุ่น” จนหลายคนโยงไปถึงการทำเหมืองแร่หายาก (rare earth) ฝั่งต้นน้ำในเมียนมา ซึ่งสื่อชายแดนรายงานต่อเนื่องว่าอาจพาสารแขวนลอยและโลหะหนักไหลลงสู่ลำน้ำ โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดูและมรสุมที่ทำให้ปริมาณน้ำท่าพุ่งสูงผิดปกติ แม้ความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็เพียงพอให้หน่วยงานไทยต้องตั้ง “การเฝ้าระวังเชิงรุก” เป็นวาระเร่งด่วนมาตั้งแต่กลางปี

เพื่อคลี่คลายข้อกังวล คพ.ตั้ง “แผนตรวจติดตามพิเศษ” เก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง และตะกอนดินเดือนละ 1 ครั้ง (ช่วง พ.ค.–ก.ย.) ครอบคลุมแม่น้ำกก 15 จุด (KK01–KK15) ลำน้ำสาขา (แม่น้ำฝาง–ลาว–กรณ์–สรวย) รวมถึงแม่น้ำสาย 3 จุด และแม่น้ำรวก 2 จุด ตลอดจนตรวจในแม่น้ำโขง 3 จุด ให้ได้ภาพ “เชิงพื้นที่และเชิงเวลา” ที่มากพอสำหรับประเมินแนวโน้มความเสี่ยง

10 รอบตรวจ วัดได้อะไร “กกไม่เกิน–สายเกิน” และบทเรียนจากฤดูฝน

ผลตรวจครั้งที่ 10 (18–22 ส.ค. 2568) คพ.สรุปว่า

  • แม่น้ำกกและลำน้ำสาขา: ค่าสารหนู “ไม่เกิน” เกณฑ์มาตรฐานทุกจุด แม้ค่าความขุ่นและสีออกน้ำตาลแดงยังสูงตามฤดูกาลและอิทธิพลพายุช่วงปลายก.ค.–ส.ค.
  • แม่น้ำสาย: พบ “สารหนูเกิน” มาตรฐานทั้ง 3 จุด ได้แก่ บ้านหัวฝายและสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 (0.022 มก./ล.) และบ้านป่าซางงาม (0.020 มก./ล.)
  • แม่น้ำรวก: เกินมาตรฐานทั้ง 2 จุด คือ RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง และ RU02 ปลายน้ำก่อนลงโขง (0.011 มก./ล. เท่ากัน)

คพ.วิเคราะห์เบื้องต้นว่า ปริมาณน้ำท่าที่เพิ่มขึ้นมากในฤดูฝนช่วย “เจือจาง” มลพิษในหลายพื้นที่ จึงเห็นภาพแม่น้ำกก “ผ่านมาตรฐาน” ต่อเนื่องในรอบหลังๆ แต่บริเวณแม่น้ำสาย–รวก ซึ่งใกล้แหล่งกำเนิดมลพิษ อาจได้รับอิทธิพลจากต้นน้ำมากกว่า จึงยังเกินมาตรฐานแม้ปริมาณน้ำสูง

เกณฑ์อ้างอิงสำคัญ: ไทยกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินสำหรับ “สารหนู” ไม่เกิน 0.01 มก./ล. ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งใช้เป็นฐานพิจารณาความเสี่ยงเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของแหล่งน้ำผิวดินทั่วประเทศ

น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าการตรวจรอบล่าสุด สื่อสาธารณะและนักกิจกรรมชายแดนเคยเผยแพร่ผลตรวจในบางช่วงที่ “แม่น้ำกก” เองมีค่าโลหะหนักเกินมาตรฐาน ณ บางจุด ซึ่งตอกย้ำว่าภาพรวมคุณภาพน้ำ “แปรตามฤดูกาลและสภาพภูมิศาสตร์” การอ่านค่าต้องดูเป็น “ชุดข้อมูลต่อเนื่อง” ไม่ใช่หยิบเฉพาะช่วงที่ช็อกความรู้สึกประชาชนมาอธิบายทั้งระบบ

ชายแดน–ข้ามพรมแดน เมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่รู้จักเส้นเขตแดน

ข้อเท็จจริงที่ยากที่สุดของปัญหาแหล่งน้ำภาคเหนือคือ “มันไม่ได้เกิดอยู่ฝ่ายเดียว” แหล่งกำเนิดมลพิษจำนวนมากอยู่ “นอกเขตอำนาจไทย” เช่น กิจกรรมเหมืองแร่หายากและการใช้สารเคมีในเขตอุตสาหกรรมเหมืองของเมียนมา ซึ่งสื่อชายแดนรายงานต่อเนื่องว่าเล็ดลอดสู่ระบบนิเวศและลำน้ำสาขาที่ไหลลงกก สาย และรวก สู่พรมแดนไทย–เมียนมา

เพราะฉะนั้น “มาตรการไทยล้วนๆ” เช่น เพิ่มความถี่ตรวจหรือสั่งเฝ้าระวังสถานีสูบน้ำ แม้จำเป็น แต่ไม่พอ สิ่งที่ต้องเดินคู่กันคือการประสานงานระหว่างรัฐอย่างเป็นระบบ—ตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ชายแดนไปจนถึงคณะทำงานร่วมระดับทวิภาคี เพื่อให้เกิด “ข้อปฏิบัติร่วม” ในการควบคุมแหล่งกำเนิดและแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุผิดปกติปลายน้ำ โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

เสียงจากเวทีนโยบาย วุฒิสภาลงพื้นที่–จังหวัดสานพลังหน่วยงาน

เมื่อ 19 กันยายน 2568 คณะกรรมาธิการวุฒิสภาที่กำกับงานสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ลงพื้นที่เชียงราย ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อหารือสองวาระใหญ่ ได้แก่ (1) การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง และ (2) ปัญหาสถานะบุคคลชายแดน โดยย้ำให้ทุกฝ่ายเร่งมาตรการป้องกันผลกระทบสุขภาพและสร้างกลไกติดตามอย่างเป็นรูปธรรม การเคลื่อนไหวทางนิติบัญญัตินี้สะท้อนแรงกดดันจากสังคมว่า “น้ำสะอาด” คือสิทธิขั้นพื้นฐานของคนชายแดนที่รัฐต้องคุ้มครอง

 “สี–ขุ่น–โลหะหนัก” ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

หลายชุมชนผูกโยง “น้ำสีน้ำตาลแดงและขุ่น” เข้ากับ “น้ำเป็นพิษ” โดยอัตโนมัติ แต่ในเชิงวิชาการ สีและความขุ่น บอกถึงตะกอนแขวนลอย แร่ดิน และอินทรียวัตถุ—ไม่ใช่ตัวชี้วัดโลหะหนักโดยตรง โลหะหนักอย่าง “สารหนู” ต้องตรวจแบบเฉพาะทางและเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานจึงสรุปความเสี่ยงได้ นี่คือเหตุผลที่คพ.เน้นตรวจ “โลหะหนัก” ควบคู่ “ตะกอนดิน” และ “คุณภาพกายภาพ” ของน้ำในแผนเดียวกัน เพื่ออ่านแนวโน้มอย่างครบด้าน

ในด้านสุขภาพ ค่าสารหนู 0.01 มก./ล. เป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” ที่หลายประเทศใช้เป็นเส้นฐานสำหรับแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ทั้งในบริบทน้ำผิวดินและน้ำดื่ม (หน่วยงานกำกับคุณภาพน้ำดื่มของสหรัฐ เช่น EPA ก็กำหนดเพดานสูงสุดระดับเดียวกัน) ซึ่งสอดคล้องกับฐานคิดสากลด้านพิษวิทยาที่ลดความเสี่ยงในระยะยาวต่อโรคมะเร็งและระบบไหลเวียนโลหิต

ผลต่อเศรษฐกิจชุมชน ต้นทุนซ่อนเร้นของ “ความไม่แน่นอน”

แม้ผลล่าสุดจะยืนยันว่า “แม่น้ำกกยังผ่านมาตรฐานโลหะหนัก” แต่ความไม่แน่นอนที่ลากยาวคือ ต้นทุนซ่อนเร้น ของท้องถิ่น—ตั้งแต่ต้นทุนผู้ผลิตน้ำประปาที่ต้องปรับกระบวนการกรอง–ตกตะกอนเพิ่มในช่วงน้ำขุ่น ไปจนถึงผู้ค้าการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากภาพจำ “น้ำไม่ใส” ของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกิจกรรมทางน้ำอย่างแพยาง–ล่องเรือซึ่งขาย “ความงามแม่น้ำ” เป็นสินค้า ต้นทุนทางความรู้สึกนี้ แม้ไม่มีตัวเลขเร็วๆ นี้ แต่สะสมเป็น “ต้นทุนชื่อเสียงปลายทาง” ที่สำคัญไม่แพ้ต้นทุนทางวิศวกรรม

ในทางกลับกัน จังหวัดและองค์กรปกครองท้องถิ่นสามารถ “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส” ได้ หากใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่โปร่งใสและสื่อสารเชิงรุก—เช่น การรายงานค่าคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์, แผนที่จุดเสี่ยงตามฤดูกาล, แนวทางใช้น้ำอย่างปลอดภัยสำหรับครัวเรือนริมฝั่ง—เพื่อลดข่าวลือและเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้มาเยือนและนักลงทุน

แผนรับมือเชิงระบบ 5 คานงัดที่ควรทำ “ทันที–ระยะสั้น–ระยะยาว”

  1. ทำให้ข้อมูล “เข้าถึงง่ายและสม่ำเสมอ”
    เผยแพร่ผลตรวจจากคพ.และหน่วยงานท้องถิ่นในรูปแบบแดชบอร์ด แยกตามแม่น้ำ–จุดตรวจ–ไทม์ไลน์ พร้อมคำอธิบายความหมายของค่ามาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนอ่านออกและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ลดช่องว่างข่าวลือ
  2. ปกป้องจุดวิกฤต: สถานีสูบน้ำและแหล่งใช้น้ำสาธารณะ
    ในแม่น้ำสาย–รวกที่ยังเกินเกณฑ์ ควรเพิ่มความถี่ตรวจก่อน–หลังสถานีสูบน้ำ, เสริมระบบกรองเฉพาะกิจ และประกาศคำแนะนำการใช้น้ำอย่างชัดเจน (เช่น ใช้เพื่อการเกษตรได้หรือไม่ ต้องพักน้ำ–ตกตะกอนกี่ชั่วโมง) ควบคู่การสำรองแหล่งน้ำชั่วคราวของชุมชน
  3. เจรจาทวิภาคี–เขตแดน
    ตั้งคณะทำงานไทย–เมียนมาด้าน “คุณภาพแหล่งน้ำร่วม” บริหารบนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ร่วมกัน กำหนดจุดตรวจในฝั่งต้นน้ำ, กลไกแจ้งเตือน, และมาตรการลดผลกระทบจากกิจกรรมเหมือง/อุตสาหกรรมที่อาจปนเปื้อน เพื่อป้องกันก่อนปัญหาจะไหลถึงชายแดน
  4. เสริมมาตรฐานท้องถิ่นให้เกินข้อกำหนดขั้นต่ำ
    แม้มาตรฐานสารหนูไทยกำหนดไว้ที่ 0.01 มก./ล. แต่เทศบาลหรือการประปาท้องถิ่นอาจตั้ง “ระดับเตือนภัยล่วงหน้า” ที่เข้มกว่า เพื่อกระตุ้นมาตรการเชิงป้องกันเร็วขึ้น—แนวคิดที่สอดคล้องกับหลักการระมัดระวังไว้ก่อน
  5. สร้างภูมิคุ้มกันชุมชนด้วยความรู้
    สนับสนุนโครงการ “นักสังเกตน้ำชุมชน” ฝึกให้โรงเรียน–อสม.–สภาเด็กและเยาวชนเก็บตัวอย่างแบบ citizen science ภายใต้มาตรฐานวิชาการ แล้วป้อนข้อมูลสู่ฐานกลาง จะช่วยเพิ่มจุดข้อมูลและสร้างเจ้าของปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่

เมื่อข้อมูลวิทยาศาสตร์ต้องแปลเป็น “ความอุ่นใจ”

คำว่า “เกินมาตรฐาน” หรือ “อยู่ในเกณฑ์” เป็นคำวิทยาศาสตร์ที่จำเป็น แต่ยังไม่พอสำหรับปลอบใจชุมชน—เพราะสิ่งที่ครัวเรือนต้องการคือ “ความอุ่นใจ” ว่าจะตักน้ำหุงข้าวได้อย่างปลอดภัย จะพาลูกลงเล่นน้ำหน้าบ้านได้โดยไม่ต้องกังวล สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เมื่อการสื่อสารวิทยาศาสตร์เดินคู่กับมาตรการจับต้องได้ เช่น ป้ายแจ้งเตือนที่อ่านง่าย, เสียงตามสายของ อบต., อินโฟกราฟิกสั้นๆ ในไลน์กลุ่มหมู่บ้าน และการตอบคำถามสาธารณะอย่างสม่ำเสมอในวันที่ฝนมามากผิดปกติ

ในอีกฟากหนึ่ง ภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว—ตั้งแต่ผู้ประกอบการล่องเรือ–โฮมสเตย์ ไปจนถึงร้านอาหารริมน้ำ—ควรเข้ามาเป็น “หุ้นส่วนสื่อสาร” ให้ข้อมูลตรงกับทางการ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติคุณภาพ เหตุเพราะ “ความจริง” ที่ตรวจได้วันนี้ อาจกลายเป็น “ความเชื่อ” ที่อยู่ยาวในใจนักท่องเที่ยวไปอีกนาน

 “เสี้ยวส่วนร้อย” ที่พลิกความเสี่ยง

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินไทย 0.01 มก./ล. แต่ค่าในแม่น้ำสายรอบล่าสุดอยู่ที่ 0.020–0.022 มก./ล. ซึ่งเป็นเพียง “เสี้ยวส่วนร้อย” ของกรัมต่อลิตร ทว่าในมิติสุขภาพ “เสี้ยวส่วนร้อย” นี้คือความต่างระหว่าง “ผ่านมาตรฐาน” กับ “ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น”
  • แม่น้ำรวกทั้งสองจุดแตะ 0.011 มก./ล. แปลว่าขยับเหนือเส้นเกณฑ์เล็กน้อย แต่ถ้ารักษาระดับนี้ต่อเนื่องยาวนาน—โดยเฉพาะในพื้นที่สูบน้ำประปา—จะกลายเป็นความเสี่ยงเรื้อรังที่ต้องจัดการด้วยมาตรการเชิงวิศวกรรมและการบริหารน้ำดิบ
  • ขณะที่ “แม่น้ำกก” ผ่านมาตรฐานโลหะหนักในรอบล่าสุดทั้งหมด 15 จุด แต่ยังคง “สีและความขุ่น” สูง—เตือนว่า การจัดการตะกอนแขวนลอยและการสื่อสารความปลอดภัย ยังสำคัญแม้โลหะหนักไม่เกินเกณฑ์

ทางออกที่สมศักดิ์ศรีเมืองชายแดน โปร่งใส–เชื่อมโยง–เข้มแข็ง

เชียงรายคือประตูสู่ลุ่มน้ำโขงและจีนตอนใต้ การดูแล “แม่น้ำกก–สาย–รวก” ให้สะอาดและมีเสถียรภาพคือภารกิจที่เกินกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม—มันคือ ความมั่นคงของเมืองชายแดน ในมิติอาหาร น้ำดื่ม สุขภาพ และเศรษฐกิจฐานชุมชน

ภาพที่พึงประสงค์ไม่ใช่น้ำใสอย่างเดียว แต่คือ “ระบบที่โปร่งใส” ซึ่งตรวจได้–สื่อสารได้–รับผิดชอบได้ และ “ความร่วมมือที่เชื่อมโยง” ตั้งแต่ครัวเรือน–ท้องถิ่น–ส่วนกลาง–ชายแดนระหว่างประเทศ จนเกิด “ชุมชนเข้มแข็ง” ที่พร้อมรับมือฤดูฝนหน้า และฤดูน้ำหลากที่คาดเดาไม่ได้ยิ่งขึ้นในยุคสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

วันนี้ เรามีข่าวดีครึ่งหนึ่ง—แม่น้ำกกไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน—แต่ก็มีสัญญาณเตือนอีกครึ่งหนึ่งจากแม่น้ำสายและรวกที่ยังเกินเกณฑ์ คำถามไม่ใช่ว่า “จะรอให้ธรรมชาติช่วยเจือจางอีกหรือไม่” แต่คือ “เราจะทำอะไรเพิ่มตั้งแต่วันนี้” เพื่อให้ครั้งที่ 11, 12 และทุกครั้งถัดไป—ตัวเลขยืนยันความปลอดภัยมากขึ้น และความอุ่นใจของคนเชียงรายมากขึ้นตามลำดับ

สรุปสาระสำคัญ

  • ผลตรวจล่าสุด (รอบ 10): แม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน ขณะที่แม่น้ำสาย (0.020–0.022 มก./ล.) และแม่น้ำรวก (0.011 มก./ล.) ยังเกิน ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น
  • เหตุปัจจัย: ฤดูฝน–พายุทำให้ปริมาณน้ำท่าสูง ช่วยเจือจาง แต่จุดใกล้แหล่งกำเนิดข้ามพรมแดนยังเกิน—จำเป็นต้องมีความร่วมมือไทย–เมียนมาในระดับนโยบายและวิชาการ
  • นโยบายในประเทศ: วุฒิสภาและจังหวัดระดมหน่วยงานหารือ ย้ำป้องกันผลกระทบสุขภาพและตั้งกลไกติดตามที่วัดผลได้
  • มาตรฐานอ้างอิง: ไทยกำหนดสารหนูในน้ำผิวดินไม่เกิน 0.01 มก./ล. สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) 
  • Transborder News 
  • คณะกรรมาธิการวุฒิสภา 
  • ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 
  • U.S. EPA – ข้อมูลอ้างอิงสากลเรื่องค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม (0.010 มก./ล.) เพื่อเทียบเคียงหลักการคุ้มครองสุขภาพระยะยาว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทช.เร่งทางลอดเชียงรายคืบหน้า 26% คาดแล้วเสร็จปี 2570 หนุนเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว

ทช.เร่งทางลอด “แยกศูนย์ราชการ เชียงราย” คืบหน้า 26% เดินหน้าคุมงาน-ระบายน้ำ-จัดจราจร หวังแก้คอขวดหน้าสนามบิน หนุนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว คาดจบปี 2570

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — เมื่อเช้าวันที่สายหมอกยังเกาะปลายเขา “แยกศูนย์ราชการ” บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.1023 ดูไม่เหมือนสี่แยกธรรมดาอีกต่อไป พื้นที่ก่อสร้างลึกลงไปใต้ระดับผิวถนน กำแพงดินพยุงด้วยเสาเข็มเรียงตัวเป็นแนว ทางเบี่ยงชั่วคราวพาดผ่าน ชี้ให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าอุโมงค์ทางลอด 4 ช่องจราจร ความยาวกว่า 425 เมตร กำลังคืบไปสู่เส้นชัยร้อยละ 26 ตามแผนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ที่ตั้งธงไว้ว่าจะ “ปิดจ๊อบ” ให้ทันปี 2570 เพื่อปลดล็อกปัญหาคอขวดบริเวณหน้าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เชื่อมเมือง–สนามบิน–ศูนย์ราชการ ให้ลื่นไหลในจังหวะเดียวกัน

ภาพการลงพื้นที่ตรวจงานของผู้บริหาร ทช. นำโดย นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท สะท้อนน้ำหนักของ “สามคำ” ที่ถูกย้ำซ้ำระหว่างการประชุมเคลื่อนที่ ความปลอดภัยระบายน้ำจัดจราจร เพราะถ้าพลาดแม้ข้อเดียว ความเชื่อมั่นของประชาชนและประสิทธิภาพเมืองทั้งเมืองอาจสะดุดทันที โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงอุโมงค์ขุดลอด แต่คือเส้นเลือดใหญ่ที่จะเปลี่ยน “จังหวะการเต้นของหัวใจเมืองเชียงราย” ให้สอดรับกับอนาคตการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

โครงสร้าง–ขอบเขตงาน อุโมงค์ 4 ช่องจราจร + สะพานแม่น้ำกก + ปรับถนนรวม 1.635 กม.

สาระของโครงการถูกออกแบบให้แก้ปัญหาที่จุดปะทะหลักของการจราจรอย่างตรงจุดสร้าง อุโมงค์ทางลอดขนาด 4 ช่องจราจร ไป–กลับ ความยาวประมาณ 425.50 เมตร ลอดใต้แยก พร้อมยกระดับ “หัว–ท้าย” ของระบบให้สอดรับกัน ตั้งแต่งาน ปรับปรุง–ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีช่องจราจรกว้างขึ้นตลอดช่วงยาว 410 เมตร ตลอดจน ปรับปรุงผิวทาง–ไฟฟ้าแสงสว่าง–งานสาธารณูปโภค ครอบคลุม ระยะทางรวม 1.635 กิโลเมตร เพื่อให้ทั้งทางตรง ทางเชื่อม และพื้นที่เชิงระบบทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพหลังเปิดใช้จริง

แม้ในวันลงพื้นที่ (21 ก.ย. 2568) ความคืบหน้าอยู่ที่ ร้อยละ 26 แต่เส้นทางปฏิบัติการข้างหน้าถูกวางไว้ละเอียด ก่อสร้างโครงสร้างหลักอุโมงค์ คู่ขนานกับงานปรับสะพานและระบบระบายน้ำ พร้อมแบบแผนจราจรทางเบี่ยงที่ต้อง “ขยับ–เลื่อน–เปิด–ปิด” เป็นรายช่วง โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ไม่ให้ผลกระทบสะสมจนเกิด “จุดตันใหม่” แทนที่ “จุดตันเดิม” ในสายตาประชาชน

3 โฟกัสของอธิบดี ปลอดภัย–น้ำไม่ท่วม–รถต้องไหล

ความปลอดภัยหน้างาน
อธิบดีมนตรีกำชับเรื่องมาตรการความปลอดภัยทั้งของแรงงานและผู้ใช้ทาง ตั้งแต่รั้วกั้น พื้นที่เสี่ยง การติดตั้งสัญญาณเตือน การตรวจสอบเครื่องจักร–อุปกรณ์ ไปจนถึงการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน เพราะพื้นที่ก่อสร้างแบบ “ลึก–แคบ–ยาว” อย่างทางลอดมีความเสี่ยงเชิงโครงสร้างสูง ต้องทำงานตามบล็อกงานและวิศวกรรมควบคุมอย่างเคร่งครัด

การบริหารจัดการน้ำ
เชียงรายเข้าสู่ฤดูฝน ระบบระบายน้ำจึงเป็น “เส้นป้องกันด่านหน้า” ไม่ให้ไซต์งานกลายเป็นแหล่งน้ำท่วมขัง อธิบดีจึงสั่งการให้ติดตั้งบ่อพัก–ท่อชั่วคราว–ปั๊มน้ำสำรอง และจัดแผนระบายน้ำขณะฝนตกหนัก ตรวจสอบทางน้ำเดิม–ทางน้ำใหม่ และเชื่อมต่อกับท่อเมนของเทศบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเลี่ยง “น้ำปิดจราจร” และ “น้ำพัดพังดินเข็ม”

การจัดการจราจรระหว่างก่อสร้าง
จราจรหน้าแยกศูนย์ราชการไม่ใช่ “รถท้องถิ่น” เท่านั้น แต่รวมถึงผู้โดยสารสนามบิน–รถรับส่ง–ขนส่งสินค้า–รถราชการ–นักท่องเที่ยว แผนจราจรจึงต้อง “เหมาะติดเวลาจริง” มีป้ายชี้นำชัด, ไฟสัญญาณชั่วคราว, เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกช่วงพีก, และสื่อสารล่วงหน้าทุกครั้งที่เปลี่ยนรูปแบบการเดินรถ

สามองค์ประกอบนี้จากคำสั่งหน้างานสอดคล้องกับแนวทางที่ ทช. แถลงไว้ในเอกสารข่าวและการประชุมระดมความพร้อมตั้งแต่ช่วง Kick-off โครงการ ซึ่งย้ำมาตรฐานงานทาง-ความปลอดภัย-และแผนรองรับผลกระทบต่อผู้ใช้ทางเป็นพิเศษในพื้นที่เมืองที่มีสนามบินอยู่ติดแนวโครงข่ายหลัก

จุดตันหนึ่งจุด = เวลาหมื่นชั่วโมง” ทำไมแยกนี้ต้องลอด

ถ้าเฉลี่ยความล่าช้า 5–10 นาที/เที่ยว หน้าสนามบินที่มีไฟลท์บินกระจายทั้งวัน “เวลาที่สูญเสีย” ของผู้โดยสาร–รถรับส่ง–ประชาชน–ภาคธุรกิจ อาจรวมกันเป็น “หมื่นชั่วโมง” ต่อเดือน ยิ่งในช่วงเร่งด่วน เช้า–เย็น–ก่อน/หลังไฟลท์ การรอคอยที่แยกเดียวไป “กัก” แกนเวลาเมืองทั้งแกน

การแก้ด้วย “อุโมงค์ลอด” จึงตอบโจทย์เชิงวิศวกรรมเมือง ลดจุดตัดสัญญาณไฟ, แยกทิศทางหลัก–รอง, รักษาความเร็วเฉลี่ยของกระแสหลักให้คงที่ และเปิดพื้นที่ผิวดินด้านบนให้เป็นทางเชื่อมเสริม–เลี้ยวขวา–วนกลับทั้งหมดนี้เพื่อ “ย้ายความซับซ้อนลงใต้ดิน” แล้วปล่อยผิวทางให้ทำงานแบบเรียบง่ายที่สุด

เชื่อมสนามบิน–ศูนย์ราชการ–ย่านเมือง โครงสร้างเดียว กระทบทั้งระบบ

เมื่ออุโมงค์เสร็จ ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างน้อย 4 ด้าน

  1. สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เวลาการเข้าถึงสนามบิน “คาดการณ์ได้” มากขึ้น (predictable travel time) ลดความเสี่ยงตกเครื่อง, ลดเวลาสำรองของรถรับส่ง, เอื้อต่อการจัดตารางเที่ยวบิน–งานภาคพื้นดิน
  2. ศูนย์ราชการ–สถานศึกษา–แหล่งท่องเที่ยว ลดเวลารถติดหน้าแยก ทำให้บริการรัฐ–เอกชนเดินหน้าตามเวลามากขึ้น
  3. โลจิสติกส์เมือง รถขนส่งระยะสั้น–รถบริการสาธารณะ “หมุนรอบได้ถี่ขึ้น” ต้นทุนคงที่ต่อเที่ยวลดลง
  4. ความน่าอยู่ของเมือง จราจรที่ลื่นไหลขึ้นหมายถึงมลพิษ–เสียง–ฝุ่นจากรถชะลอ–เร่ง–หยุด ลดลง เป็นผลทางคุณภาพชีวิตที่จับต้องได้

มิติผลลัพธ์เหล่านี้ถูกหยิบย้ำในสื่อสารของ ทช. และสื่อกระแสหลักที่รายงานความคืบหน้าว่า โครงการนี้ตั้งใจ “แก้คอขวดหน้า ‘แม่ฟ้าหลวง’ กับสถานที่ราชการใกล้เคียง” อย่างตรงจุด ควบคู่กับยกระดับมาตรฐานทางเพื่อเชื่อมโครงข่ายคมนาคมทั้งเมืองให้เป็นภาพเดียวกัน

ไทม์ไลน์–งบประมาณ เดินเกมให้ทันปี 2570

จากข้อมูลการประชุม Kick-off ช่วงต้นปี 2568–2569 และการสื่อสารล่าสุดของ ทช. โครงการเดินตามเส้นเวลาหลัก คือ เดินงานโครงสร้างอุโมงค์–งานสะพานคู่ขนานกัน แล้วไล่ปิดงานระบบ–ผิวจราจร เพื่อเปิดใช้อย่างเต็มรูปแบบ ภายในปี 2570 โดยมีกรอบงบประมาณโครงการที่ผ่านการพิจารณาไว้แล้ว (สื่อบางฉบับอ้างตัวเลขวงเงินราว 849 ล้านบาท) ทั้งนี้รายละเอียดงบประมาณ/งวดงานอยู่ภายใต้สัญญาและการกำกับติดตามของ สำนักก่อสร้างสะพาน และ สำนักสำรวจและออกแบบ ของ ทช. ซึ่งรายงานต่อผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง

“งานแบบนี้ประชาชน ‘เห็น-ใช้-ตัดสิน’ ในวันเปิดจริง เราจึงต้องทำสองอย่างคู่กันคือ เร่งตามแผน และระวังทุกขั้น ในฤดูฝน น้ำต้องไม่ท่วม ในชั่วโมงเร่งด่วน รถต้องไหล” สรุปหลักคิดหน้างานที่ผู้บริหาร ทช. ย้ำต่อทีมวิศวกรและผู้ควบคุมงาน (ถอดจากสาระการลงพื้นที่ตรวจงาน)

บทเรียนจากเมืองสนามบิน ทำไป–สื่อสารไป ลดผลกระทบระหว่างก่อสร้าง

อุโมงค์เมือง–หน้าแยกสนามบิน มี “ข้อจำกัดเฉพาะ” ที่ต้องบริหารเหมือน “ศัลยแพทย์ผ่าตัดหัวใจ” ได้แก่

  • สายน้ำ ต้องมั่นใจว่าระบบระบายน้ำชั่วคราวรับพายุฤดูฝนได้
  • สายไฟ–ท่อสาธารณูปโภค การย้าย/ป้องกันต้องตามมาตรฐานและกำหนดการหน้างานจริง
  • สายรถ แผนทางเบี่ยงต้องชัด–อ่านง่าย–ปรับทัน และมีคนอำนวยการจราจรช่วงคอขวด
  • สายสื่อสาร ต้องแจ้งเปลี่ยนรูปแบบเดินรถล่วงหน้า และมีช่องทางร้องเรียน–รับเรื่องรวดเร็ว

วิธีคิดนี้สอดคล้องกับแนวทางที่ ทช. ใช้กับโครงการเมืองใหญ่หลายแห่ง ทำไป–สื่อสารไปเพื่อลดผลกระทบ ณ ปัจจุบัน และรักษา “ทุนความเชื่อใจ” ไปจนถึงวันเปิดใช้จริง

เชื่อมใหญ่ ทางลอดนี้สอดรับ “ภาพใหญ่เชียงราย” ที่กำลังขยับ

แม้โครงการทางลอดจะเป็นงานของ ทช. แต่ “ผลพวง” กระทบเชิงบวกจะสะท้อนกับภาพใหญ่ที่เชียงรายกำลังขยับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว, ไฟลท์บินที่หนาแน่นขึ้น, และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ใกล้สนามบิน เมื่อจุดตันหน้าแยกศูนย์ราชการถูกแก้ ระยะทาง–เวลา–ความคาดการณ์ได้ในการเดินทางจะเพิ่ม “แต้มต่อ” ให้เชียงรายทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้โดยสารรายวันจนถึงนักลงทุนระยะยาว

คำถามเชิงยุทธศาสตร์ 3 ข้อ

1) ฝน–น้ำจะเอาอยู่หรือไม่?
คำตอบจากหน้างาน เพิ่มชั้นความปลอดภัยด้วยบ่อพัก–ท่อชั่วคราว–ปั๊มสำรอง พร้อมตรวจทางน้ำร่วมกับท้องถิ่นทุกสัปดาห์ในช่วงฝนหนัก

2) รถติดชั่วโมงเร่งด่วนจะหนักขึ้นหรือไม่ในช่วงก่อสร้าง?
คำตอบจากหน้างาน ทำแผนทางเบี่ยงเป็น “เฟสย่อย” จำกัดพื้นที่ก่อสร้างในแต่ละช่วงเวลา, เพิ่มเจ้าหน้าที่อำนวยการจราจร, และสื่อสารล่วงหน้าทุกครั้งที่เปลี่ยนแบบเดินรถ

3) วันเปิดใช้จะคุ้มค่าหรือไม่?
คำตอบจากข้อมูลแผนงาน เมื่อเปิดเต็มระบบ (อุโมงค์–สะพาน–ผิวทาง–สัญญาณ), เวลาการเดินทางเฉลี่ยผ่านแยกลดลง, ความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการตัดกันของจราจรลดลง, สนามบิน–ศูนย์ราชการ–ย่านเมืองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเป็น “ผลประหยัดเวลา” ที่แปรรูปเป็น “ผลประหยัดเศรษฐกิจ” โดยตรง

องค์ประกอบการกำกับงาน ใครทำอะไร–ที่ไหน–อย่างไร

  • หน่วยงานหลัก กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • กำกับ–ควบคุมวิศวกรรม สำนักก่อสร้างสะพาน และสำนักสำรวจและออกแบบ
  • ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องตามบันทึกประชุม นายลิขิต ทิฐิธรรมเจริญ (รักษาการวิศวกรใหญ่ด้านควบคุมการก่อสร้าง), นายอภิชัย วชิระปราการพงษ์ (ผอ. สำนักก่อสร้างสะพาน), ผู้แทนสำนักกฎหมาย และทีมวิศวกรโครงการ

การประชุม “Kick-off Meeting” เมื่อเดือนมกราคม 2568/2569 มีวัตถุประสงค์รับทราบ ความเป็นมา–รูปแบบโครงการ–รายละเอียดสัญญา–งบประมาณ–ปัญหาอุปสรรค–แผนใช้พัสดุ และจัดวาง “ตารางงาน–ตารางความเสี่ยง” ที่ต้องติดตามเป็นรายงวด เพื่อให้ทีมโครงการขับเคลื่อนไปในทิศเดียวกันทั้งส่วนกลางและพื้นที่ 

“ลำบากวันนี้ เพื่อสบายระยะยาว”

แม้ชาวเมืองจะต้องเผชิญทางเบี่ยง–รถติด–ฝุ่นชั่วคราว แต่ภาพรวมเสียงสะท้อนจากคนพื้นที่จำนวนมากคือ “ยอมลำบากวันนี้ เพื่อสบายระยะยาว” เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหน้าแยกศูนย์ราชการคือ “จุดที่ต้องแก้” มานาน การเห็นเครื่องจักรลงมือคือสัญญาณว่าคำสัญญากำลังเปลี่ยนเป็นรูปธรรม

ภาคธุรกิจบริการและขนส่งย้ำว่า “สิ่งที่ต้องการ” ระหว่างก่อสร้างมี 3 ข้อ แจ้งล่วงหน้า, ทางเบี่ยงชัด, เปิดปิดตามเวลาถ้าทำได้ ความรำคาญชั่วคราวจะไม่กลายเป็นความขุ่นเคืองถาวร

หมุดหมาย 2570 เมื่ออุโมงค์เปิด เมืองจะ “หายใจ” คล่องขึ้น

หากยึดกรอบเวลาที่ประกาศไว้ ปี 2570 หลังปิดสุดท้ายและเก็บงานระบบ ทุกลมหายใจของเมืองจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง: ไฟลท์เช้าจะ “คาดเดาได้” มากขึ้น, รถขนส่งหมุนรอบได้ถี่ขึ้น, รถพยาบาล–รถฉุกเฉินวิ่งได้คล่องขึ้น, เมืองส่งสัญญาณความพร้อมรับ “คลื่นการเติบโต” จังหวะใหม่

ยิ่งเมื่อจับคู่กับแนวโน้มการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก เชียงรายจะมี “ทางเข้า–ทางออก” ที่สมศักดิ์ศรีเมืองท่องเที่ยว–การค้าชายแดน และศูนย์บริการรัฐระดับจังหวัดอย่างแท้จริง

งานวิศวกรรมที่ตอบคำถาม “เศรษฐกิจเมือง”

โครงการทางลอดแยกศูนย์ราชการ ชร.1023 ไม่ได้ตอบคำถามวิศวกรรมเพียงข้อเดียว แต่มุ่งตอบ “โจทย์เมือง” 3 ชั้น

  1. ชั้นจราจร: ตัดจุดปะทะ–รักษาความเร็วเฉลี่ย–ลดอุบัติเหตุ
  2. ชั้นเศรษฐกิจ: ลดเวลาสูญเสีย–เสริมความตรงต่อเวลา–ลดต้นทุนขนส่งเมือง
  3. ชั้นคุณภาพชีวิต: ลดมลพิษ–เสียง–ฝุ่นจากรถติด–เพิ่มความน่าอยู่

เมื่อชิ้นส่วนทั้งหมดประกอบเข้าที่อุโมงค์ 4 เลน, สะพานแม่น้ำกกที่กว้างขึ้น, ผิวทาง–ไฟ–สาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานเชียงรายจะได้ “เครื่องมือชิ้นใหม่” สำหรับขับเคลื่อนทศวรรษหน้า

สารจากหน้างานวันนี้จึงเรียบง่าย: ทำวันนี้ให้ปลอดภัย–แม่นยำ–ตามแผน แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ในปี 2570 เป็นคำตอบ

ข้อมูลโครงการ (สรุป)

  • ประเภทโครงการ: ทางลอดแยก + ปรับสะพาน + ปรับปรุงถนนและระบบประกอบ
  • ที่ตั้ง: แยกศูนย์ราชการ ถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.1023 อ.เมืองเชียงราย
  • โครงสร้างหลัก: อุโมงค์ 4 ช่องจราจร ยาว ~425.50 ม., ขยายสะพานแม่น้ำกก ยาว 410 ม., ปรับปรุงถนน–ไฟ–สาธารณูปโภค รวมระยะ 1.635 กม.
  • ความคืบหน้า (ก.ย. 2568): ~26%
  • กรอบเสร็จ: ภายในปี 2570 (ตามแผนงานที่ ทช. วางไว้และสื่อสารต่อสาธารณะ)
  • หน่วยงานเจ้าของโครงการ: กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • หน่วยงานกำกับวิศวกรรม: สำนักก่อสร้างสะพาน, สำนักสำรวจและออกแบบ
  • เป้าหมายผลลัพธ์: แก้คอขวดหน้า สนามบินแม่ฟ้าหลวง–ศูนย์ราชการ, เพิ่มขีดความสามารถโครงข่าย, หนุนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว

 

ตัวเลขความคืบหน้า “ร้อยละ 26 (ก.ย. 2568)” และกรอบ “แล้วเสร็จปี 2570” ในรายงานชิ้นนี้อ้างอิงจากการลงพื้นที่ตรวจงานและข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวได้รับจากการบรรยายสรุปของผู้บริหาร ทช. ณ วันทำข่าว ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและแผนแม่บทที่ ทช. เผยแพร่ไว้ก่อนหน้าในช่องทางทางการตามแหล่งอ้างอิงข้อ 1–2 ข้างต้น


เส้นทางลอดแยกศูนย์ราชการอาจเป็นเพียง “หนึ่งจุดงานก่อสร้าง” บนผังเมืองเชียงราย แต่ในทางยุทธศาสตร์ มันคือคันโยกที่พร้อมยก “ทั้งระบบการเดินทาง” ของเมืองให้ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม จาก 26% วันนี้สู่ 100% ในปี 2570 เมื่ออุโมงค์เปิด เมืองจะเดินหน้าได้เร็วขึ้น เงียบขึ้น และคาดการณ์ได้มากขึ้น นี่คือวิศวกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และคือคำมั่นที่กำลังคืบหน้ากลางสายฝนของเมืองเหนือสุดแดนสยาม.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • กรมทางหลวงชนบท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ทอท. ผงาดเวที ICAO “ดร.สมชนก” นำคณะทำงานยกระดับมาตรฐานสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก

ทอท.ผงาดเวทีบินสากล—“นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์” ขับเคลื่อนคณะทำงาน ICAO ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยกระดับมาตรฐานสนามบินไทยสู่ระดับโลก

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าที่หมอกบางโอบล้อมแนวเทือกเขาเหนือสุดของสยาม เสียงเดินเครื่องของรถบริการภาคพื้นบนรันเวย์ “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย” ดังเป็นจังหวะ งานทุกชิ้นที่สนามบินต้อง “เป๊ะ” ในระดับเซนติเมตร ตั้งแต่ตำแหน่งหลุมจอดไปจนถึงความกว้างเส้นสีเหลืองบนพื้นคอนกรีต เพราะมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ “ทำตามคู่มือ” แต่กำลังยกระดับสู่ “ออกแบบมาตรฐานร่วมกัน” ในเวทีนานาชาติ—และคนไทยกำลังอยู่หน้าห้องประชุมคุมทิศ

บนเวทีนั้นคือ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ผู้ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF) ภายใต้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมวาระล่าสุดของคณะทำงานชุดนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าด้วย “มาตรฐาน” และ “ข้อแนะนำพึงปฏิบัติ (SARPs)” สำหรับการ วางแผน-ออกแบบ-ปฏิบัติการท่าอากาศยาน ให้เท่าทันความเสี่ยงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกการบินที่เปลี่ยนเร็ว (เช่น ระบบไฟส่องสว่าง, เส้นเครื่องหมาย, ระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง, มาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยปลายรันเวย์ RESA ฯลฯ) โดยยึดกรอบแกนกลางจาก ICAO Annex 14 Volume I: Aerodrome Design and Operations ซึ่งเป็น “คัมภีร์สนามบิน” ของโลกการบินพลเรือนยุคใหม่

จากเจ้าภาพ “เวทีเทคนิค” สู่ผู้นำความคิดของภูมิภาค

บทบาทของไทยไม่ได้เกิดจาก “คำประกาศ” แต่สะสมจาก “การทำจริง” หลายปีติดต่อกัน—เชียงราย ในฐานะสนามบินภูมิภาค ได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นเจ้าภาพประชุม AP-ADO/TF ติดต่อกัน และถูกใช้เป็น “สนามเรียนรู้จริง” ให้ผู้แทนจากนานาชาติลงพื้นที่ดูการปฏิบัติการ airside ก่อนถอดบทเรียนเชิงมาตรฐานในห้องประชุม กว่า 13 ประเทศเข้าร่วมเมื่อครั้งประชุมปี 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถานที่หลัก โดยมี นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก ทำหน้าที่ประธานคุมวาระอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความไว้วางใจของภาคี ICAO ในระดับภูมิภาคที่มีต่อประเทศไทยและทอท. ในเชิงเนื้อหาและการประสานความร่วมมือข้ามประเทศ

น้ำหนักของเวทีนี้ไม่ใช่ “พิธีการ” แต่คือการไล่แก้โจทย์ยาก ๆ ที่สนามบินทั่วโลกกำลังเผชิญ เช่น ค่าความคลาดเคลื่อน (tolerance) ของขนาด-ระยะ-ตำแหน่ง เส้นเครื่องหมายบนพื้นผิว และ การติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งหากมาตรฐานใน Annex 14 กำหนดไม่ชัดหรือไม่สอดคล้องกันระหว่างหัวข้อ อาจทำให้สนามบินตีความต่างกันและเกิดความเสี่ยงได้ เอกสารทำงานล่าสุดจากการประชุม AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) นำเสนอการเปรียบเทียบมาตรฐาน Annex 14 กับแนวปฏิบัติของ FAA สหรัฐฯ และ CAA สหราชอาณาจักร เพื่อตกผลึกค่าคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในทางปฏิบัติ (เช่น ±5%) เพื่อให้เกิด “ภาษาเดียวกัน” ทั้งภูมิภาค—นี่คือชิ้นงานเชิงเทคนิคที่ไทยอยู่แถวหน้าในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะทำงานภูมิภาค

ทำไม “เก้าอี้ประธานคณะทำงานเชิงเทคนิค” จึงสำคัญต่อไทย

  1. จากผู้รับมาตรฐาน สู่ผู้ร่วมกำหนดมาตรฐาน – การมี ประธานคณะทำงาน อยู่ในมือ ทำให้เสียงของไทย “ได้ยิน” ตั้งแต่ยกร่างจนถึงเสนอแก้ไขข้อความใน Annex 14 เมื่อเจอปัญหาจริงในสนามบินไทย เราสามารถยกกรณีศึกษาเข้าสู่วาระภูมิภาคได้โดยตรง ส่งผ่าน “บทเรียนจากภาคปฏิบัติ” สู่ถ้อยคำมาตรฐานสากลที่ทุกประเทศต้องอ้างอิง
  2. ลดต้นทุนความไม่แน่นอน – มาตรฐานที่ชัดเท่ากันทั้งภูมิภาค ช่วยให้การออกแบบ-ก่อสร้าง-บำรุงรักษาโครงสร้างสนามบินเป็นไปในแนวเดียวกัน ลดความเสี่ยงในการตีความต่าง ช่วย “ลดต้นทุนรวม” ของระบบการบินและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (ทั้งฝั่งสนามบินและสายการบิน) เพราะทุกฝ่ายวางแผนบนฐานกติกาเดียวกัน
  3. เสริมสถานะฮับการบินของประเทศ – ไทยกำลังลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสนามบินหลักและภูมิภาค วาระนี้ต้องอาศัย “ความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานความปลอดภัย” เป็นใบอนุญาตทางสังคม (social licence) และเป็นคำตอบแก่นักลงทุน-สายการบิน การที่ผู้บริหารทอท. ขึ้นนำเวทีเทคนิคของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก จึงช่วยยืนยันว่า “ไทยไม่ได้แค่ตามมาตรฐาน แต่ช่วยกันเขียนมาตรฐาน”

“งานช่างละเอียด” ที่เปลี่ยนอนาคตสนามบิน

หากเปิดเอกสารทำงาน AP-ADO/TF/6 จะเห็นว่าการประชุมไม่ได้คุย “กว้าง ๆ” แต่ไล่ถึงระดับมิลลิเมตรของเส้นสีบนรันเวย์ และ “ระยะดวงไฟ” ที่ต้องคงที่เพื่อช่วยนักบินในสภาวะทัศนวิสัยต่ำ ประเด็นที่หยิบมาถก ได้แก่

  • ค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องหมายพื้นผิว (runway/taxiway markings): ข้อเสนอให้กำหนด tolerance ที่ชัดเจน (เช่น ความกว้างเส้นกึ่งกลางทางขับ 0.15 เมตร อนุโลมคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) เพื่อความสม่ำเสมอระหว่างสนามบิน ลดความเสี่ยงจากการตีความ Annex 14 ต่างกันในแต่ละรัฐ
  • ไฟส่องสว่างภาคพื้น (airfield ground lighting): เสนอการทบทวนระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง-ทางขับที่ยอมรับได้ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟ “พาเครื่องบิน” ได้อย่างเที่ยงตรงแม้หมอกหนา ฝนหนัก หรือเที่ยวบินกลางคืน—หัวใจของความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางปฏิบัติการ
  • ความสอดคล้องของถ้อยคำใน Annex 14: ชี้ “จุดไม่สอดคล้อง” บางข้อที่อาจสร้างความสับสน เช่น การตีเส้นกึ่งกลางทางขับ-เครื่องหมายจุดสิ้นสุดรันเวย์-ระบบไฟนำร่อน และเสนอให้ ICAO ปรับปรุงถ้อยคำให้เป็นเอกภาพมากขึ้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนฐานกติกาเดียวกัน (one interpretation)

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนรายละเอียดเชิง “ช่าง” แต่ผลลัพธ์คือ ความปลอดภัยเชิงระบบ ที่สัมผัสได้: ลดความคลาดเคลื่อนในการมองเห็น-การนำร่อน เพิ่มความมั่นใจของสายการบิน และเปิดพื้นที่ให้สนามบินภูมิภาค—อย่างเชียงราย—ก้าวสู่บทบาทเครื่องยนต์เศรษฐกิจของเมืองและกลุ่มจังหวัดเหนือบนได้อย่างมีมาตรฐานรองรับ

น้ำหนักทางยุทธศาสตร์ ไทยในบทบาท “พี่เลี้ยง” ของภูมิภาค

การขับเคลื่อนของ AP-ADO/TF ยังสอดรับกับเจตนารมณ์ ICAO “No Country Left Behind” ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ทั่วถึงทั้งภูมิภาค ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้-ฝึกอบรม-พัฒนาเอกสารคำแนะนำ—บทบาท “ประธานคณะทำงาน” จึงไม่ใช่แค่คุมประชุม แต่คือการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือทางเทคนิคกับรัฐสมาชิก เพื่อให้ทุกสนามบินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ลด “ช่องว่างมาตรฐาน” ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงข้ามพรมแดนในระบบการบินที่เชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาค

“เชียงราย” ห้องทดลองมาตรฐานจริง

ความต่อเนื่องที่เชียงรายได้เป็นเจ้าภาพและเวทีเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ช่วยให้ผู้แทนจากต่างประเทศ “เห็นของจริง” ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิบัติ airside ไปจนถึงการจัดการผู้โดยสาร-สัมภาระ-ระบบความปลอดภัย—ก่อนกลับเข้าห้องประชุมเพื่อกลั่นมาตรการที่ทำได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำสวยงามในเอกสาร การที่ ผู้อำนวยการสนามบิน คนเดียวกันรับบท “ประธานคณะทำงาน” ต่อเนื่องหลายวาระ ช่วยเชื่อมโลกของ “มาตรฐานบนกระดาษ” เข้ากับ “โลกจริงบนรันเวย์” อย่างไร้รอยต่อ นี่คือเหตุผลที่เครือข่าย ICAO ในภูมิภาคมองไทยเป็นแหล่ง “องค์ความรู้จากภาคปฏิบัติ” ที่แบ่งปันได้

สิ่งที่ไทยควรทำ “ต่อจากนี้”

  1. ตั้งระบบถ่ายทอดองค์ความรู้เข้าข้างใน – ทุกบทเรียนและข้อเสนอเชิงเทคนิคจาก AP-ADO/TF ควรถูก “ดึงเข้าองค์กร” อย่างเป็นระบบ สู่คู่มือ-มาตรฐานปฏิบัติของทอท. ครอบคลุมสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อลด “ช่องว่างความรู้” ระหว่างสนามบินใหญ่กับสนามบินภูมิภาค
  2. เป็นผู้เสนอนวัตกรรมมาตรฐานใหม่ – สนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญไทยจัดทำ เอกสารทำงาน (Working Paper) ยกประเด็นใหม่ ๆ เข้าสู่เวทีภูมิภาค เช่น แสงสะท้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ใกล้เขตการบิน, ผลกระทบของโดรนต่อการออกแบบเขตปลอดสิ่งกีดขวาง, หรือการใช้ข้อมูลสภาพผิวรันเวย์แบบเรียลไทม์กับการจัดการความเสี่ยง—จากนั้นผลักต่อสู่การปรับภาษา Annex 14 ในขั้นถัดไป
  3. รักษาความต่อเนื่องการเป็นเจ้าภาพ – การเสนอตัวจัดประชุม/เวิร์กช็อป ICAO/APAC อย่างต่อเนื่อง จะตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะ “ศูนย์กลางความเชี่ยวชาญสนามบิน” ของภูมิภาค และเปิดโอกาสให้บุคลากรไทยได้ฝึกมือกับโจทย์ระดับเอเชีย-แปซิฟิกอย่างสม่ำเสมอ

มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจ

มาตรฐาน Annex 14 ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคที่ไกลตัวผู้โดยสาร—มันคือ “ความปลอดภัยที่จับต้องได้” ตั้งแต่เส้นสีที่เห็นยันขอบรันเวย์ไปจนถึงไฟทางขับที่พาเครื่องไปถึงหลุมจอดอย่างแม่นยำ ยิ่งมาตรฐานชัด-ตีความตรงกันทั้งภูมิภาค ยิ่งลด “จุดเสี่ยง” ที่อาจนำไปสู่อุบัติการณ์ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่สายการบินในการเปิด/เพิ่มความถี่เส้นทาง ทั้งหมดนี้แปลตรงไปสู่ ต้นทุนประสิทธิภาพ ที่ดีขึ้นของสนามบิน และ โอกาสทางเศรษฐกิจ ของเมืองและประเทศ—โดยเฉพาะสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายที่กำลังถูกวางบทบาทเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคเหนือบน”

ในแง่นี้ เก้าอี้ประธานคณะทำงานของ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก จึงมีนัยมากกว่าตำแหน่งส่วนบุคคล แต่คือ หลักหมุด ที่ตอกย้ำว่า “ไทยพร้อมและสามารถ” เป็นผู้นำความคิดในเวทีมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันก็รับฟัง-ดึงองค์ความรู้กลับมาขับเคลื่อนการยกระดับสนามบินในประเทศอย่างเป็นระบบ

เมื่อสนามบินไทย “ออกแบบอนาคต” ร่วมกับโลก

โลกการบินหลังโควิดฯ กำลังโตกลับอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกติกา เช่น เทคโนโลยีการนำร่อน, ระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ, เครื่องบินประหยัดพลังงานรุ่นใหม่, โดรน, และข้อมูลสภาพรันเวย์แบบเรียลไทม์ มาตรฐาน Annex 14 จึงต้องถูก “รีเฟรช” ต่อเนื่องให้ทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงใหม่ ๆ เวที AP-ADO/TF ทำหน้าที่เป็น ห้องทดลองนโยบายเทคนิค ระดับภูมิภาค ก่อนป้อนข้อเสนอไปสู่การแก้ไขภาคผนวก (amendment) ในระดับสภา ICAO สิ่งที่ไทยได้—นอกจากชื่อชั้น—คือ โอกาสเรียนรู้ก่อน ปรับใช้ได้เร็วกว่า และ “ออกแบบสนามบิน” บนข้อมูลจริงที่ช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า-ปลอดภัย-เป็นสากล

“บทบาทของเราบนเวทีสากลไม่ได้จบที่การประชุม แต่จะเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เรานำมาตรฐานกลับมาปรับใช้ในสนามบินไทย—จากเส้นสีบนพื้นรันเวย์ ไปจนถึงไฟดวงสุดท้ายปลายทางขับ ทุกจุดมีเหตุผลทางความปลอดภัยรองรับเสมอ”
— มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญท่าอากาศยาน (สรุปสาระจากเอกสารและถ้อยคำในวงประชุม AP-ADO/TF/6)

เมื่อเรื่องมาตรฐานไม่ใช่ภารกิจของ “กฎระเบียบ” อย่างเดียว แต่คือ “สัญญาประชาคม” ว่าผู้โดยสารทุกคนจะขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัยในทุกเที่ยวบิน การที่ไทยมี “มือ” อยู่บนพวงมาลัยเวทีนี้ จึงเท่ากับได้อยู่ “หัวขบวน” ของการออกแบบอนาคตสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก และนั่นหมายถึงการแปลงมาตรฐานให้เป็นความพร้อมของเมืองและโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจฐานรากในที่สุด

สรุปสาระสำคัญ

  • นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ จากทอท. ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน AP-ADO/TF ของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมล่าสุด (การประชุมครั้งที่ 5-6) ตอกย้ำความไว้วางใจต่อไทยในเวทีมาตรฐานสากลด้านท่าอากาศยาน
  • เวที AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) เดินหน้า “ปิดจุดเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องเชิงมาตรฐาน” โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นเครื่องหมายและระบบไฟส่องสว่างภาคพื้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนกติกาเดียวกันทั้งภูมิภาค
  • ฐานความรู้หลักยึด ICAO Annex 14 Volume I ที่เพิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่องในระดับสภา ICAO เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงยุคใหม่—มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ICAO Asia/Pacific – AP-ADO/TF/6 Working Paper
  • ICAO Asia/Pacific – AOP SG/9, WP/08
  • International Civil Aviation Organization (ICAO)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

เหลือ 3 เดือนสุดท้าย ซีเกมส์ 33 กมธ.วุฒิสภา “เร่งเครื่อง” ถามความพร้อมประเทศเจ้าภาพ

3 เดือนสุดท้ายก่อนซีเกมส์ ครั้งที่ 33: กมธ.วุฒิสภา “เร่งเครื่อง” จี้รัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ คนใหม่ สางปมจัดการ–สื่อสาร–ที่พัก ขีดเส้นความพร้อมประเทศเจ้าภาพ

กรุงเทพฯ, 21 กันยายน 2568 – “เหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือน” ประโยคสั้นๆ ที่หนักแน่นพอจะสะท้อนแรงกดดันต่อทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ของไทยปลายปีนี้ ขณะที่สปอร์ตไลต์จากทั้งภูมิภาคกำลังกวาดสายตามาที่เรา—คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา (กมธ.) ออกโรงย้ำสัญญาณเตือนให้ฝ่ายบริหาร “เร่งแก้จุดคอขวด” โดยเฉพาะงานสื่อสารภาพลักษณ์เจ้าภาพ การบริหารศูนย์ถ่ายทอดสด ตลอดจนการจัดการที่พัก–ความปลอดภัยนักกีฬาและกองเชียร์ในช่วงไฮซีซัน

น้ำเสียงจริงจังของ นายจำลอง อนันตสุข สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะโฆษก กมธ.ฯ หลังการเชิญ นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เข้าชี้แจง 2–3 ครั้ง บอกเล่า “ภาพรวมที่น่าเป็นห่วง” ทั้งในเชิงระบบและจังหวะเวลา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบสัญลักษณ์งาน (โลโก–มาสคอต) ในช่วงกระชั้นชิด การตัดสินใจว่าจ้างเอกชนบริหารงานถ่ายทอดสดแทนหน่วยงานรัฐที่มีทรัพยากรพร้อมใช้ และภารกิจสำคัญอย่าง การสำรองที่พัก ในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุดของไทยที่ “ยังไม่เริ่มต้นอย่างที่ควร” รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ต้องชัดเจนยิ่งขึ้น

“ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เข้มแข็ง ปล่อยปัญหานี้จนเหลือเวลาแค่ 3 เดือนสุดท้าย มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนโลโกและมาสคอตซึ่งไม่ควร เพราะต้องใช้ประชาสัมพันธ์… ส่วนเรื่องถ่ายทอดสด กกท.ไปจ้างเอกชน ทั้งที่กรมประชาสัมพันธ์มีพื้นที่และทรัพยากรเพียงพอ… เรื่องที่พักก็ยังไม่จอง ทั้งที่ธันวาคมเป็นไฮซีซัน” — นายจำลอง อนันตสุข กล่าวย้ำประเด็นต่อ กมธ.ฯ

เข็มนาฬิกาเดินต่อเนื่อง ขณะที่ “สมการความพร้อม” ยังมีหลายตัวแปรรอการปลดล็อก—และนี่คือภาพรวมเชิงลึกของโจทย์ท้าทายที่ถูกตั้งไว้ตรงหน้า “รัฐบาลชุดใหม่–รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” ผู้ต้องรับไม้ต่อในโค้งสุดท้าย

โจทย์เร่งด่วน 3 ประการ สื่อสาร–ถ่ายทอด–ที่พัก/ความปลอดภัย

1) การสื่อสารสาธารณะ (Public Communications) และงานสัญลักษณ์เจ้าภาพ

กีฬามหกรรมต้องการ “เรื่องเล่าเดียวกัน” (single narrative) เพื่อรวมพลังสังคมและตรึงใจผู้ชมในภูมิภาค การเปลี่ยนโลโก–มาสคอตในโค้งท้าย ไม่เพียงทำให้กระบวนการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์สะดุด แต่ยังส่งผลต่อ “สื่อสนับสนุนเชิงสิทธิประโยชน์” (sponsorship signage & collaterals) ที่ต้องรีดีไซน์–รีพิมพ์ ซึ่งเท่ากับเวลา–งบประมาณสูญเสียเพิ่มโดยไม่จำเป็น จุดนี้ กมธ.ฯ ระบุชัดว่า “ไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศเจ้าภาพ” และเสนอ ให้ยุติความไม่แน่นอน ด้วยการประกาศแบบใช้อย่างเป็นทางการ พร้อมคู่มือการใช้สัญลักษณ์ (brand guideline) ที่ทำให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าไปในทิศทางเดียว

2) การถ่ายทอดสดและศูนย์สื่อ

กมธ.ฯ ตั้งข้อสังเกตการที่ กกท. ว่าจ้างเอกชน ดูแลศูนย์การถ่ายทอดสด ทั้งที่หน่วยงานรัฐด้านสื่อสารสาธารณะมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับ การบริหารความเสี่ยงในงานระดับภูมิภาคจำเป็นต้องมี “แผนสำรองหลายชั้น” (redundancy) ทั้งลิงก์สัญญาณ สนาม–IBC (International Broadcast Center)–สตูดิโอ และการประสานงานสิทธิถ่ายทอดในประเทศ–ต่างประเทศ การใช้ทรัพยากรของรัฐ “เท่าที่มีพร้อมใช้งาน” จะช่วยควบคุมมาตรฐานและความต่อเนื่องของสัญญาณ รวมถึงป้องกันการทับซ้อนหน้าที่และค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน

3) ที่พักและความปลอดภัยในช่วงไฮซีซัน

ธันวาคมคือ “พีค” ของการท่องเที่ยวไทย—ห้องพักมีจำกัดและราคาแปรผันสูง การยัง ไม่ได้สำรองที่พัก ให้คณะนักกีฬา–เจ้าหน้าที่–สหพันธ์–สื่อมวลชน ในระดับที่เพียงพอ อาจนำไปสู่ “คอขวดเชิงโลจิสติกส์” และความไม่พึงพอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควบคู่กับประเด็น มาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่ง กมธ.ฯ เสนอให้เพิ่มกล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยง จัดทีมรักษาความปลอดภัยแบบผสม (ตำรวจ–ทหาร–อาสาสมัคร–สหพันธรัฐกีฬา) และแผนจัดการฝูงชน โดยเฉพาะการแข่งขันที่อ่อนไหวต่อ “อารมณ์เชียร์” ท่ามกลางบริบทภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค

งบประมาณ “ตั้งไว้ไม่พอ–รอพึ่งงบกลาง” กับความเสี่ยงเชิงเวลา

อีกปมที่ กมธ.ฯ หยิบยกคือเรื่องงบประมาณ “ตั้งทิ้งไว้ไม่เพียงพอ” และมีแนวโน้มต้องใช้งบกลาง ซึ่งตามขั้นตอนย่อม ทำให้ทุกกระบวนการช้าลง โดยเฉพาะงานที่ต้อง “ล็อก” สัญญากับเอกชน เช่น ระบบเทคนิคถ่ายทอดสัญญาณ มาตรการ IT/ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ การอัปเกรดสถานที่ การติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกชั่วคราว และการจ้างบุคลากรเฉพาะทาง “ทุกวันคือโอกาสต้นทุน” ที่อาจเพิ่มขึ้นแบบทบต้นทบดอก หากการตัดสินใจล่าช้าไปเพียงไม่กี่สัปดาห์

ภาพใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยในฐานะเจ้าภาพ “ซีเกมส์ 33” กับกรอบเวลาจริง

แม้แรงกดดันจะสูง แต่ “กรอบเวลา–กรอบงาน” ของไทยในฐานะเจ้าภาพยังชัดเจนตามปฏิทินกีฬาในภูมิภาค ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 กำหนดจัดระหว่าง 9–20 ธันวาคม 2568 โดยไทยเป็นเจ้าภาพหลักด้วยแนวคิด “Green, Clean, Friendly” และวางผังจัดการแข่งขันใน กรุงเทพมหานคร–ชลบุรี–สงขลา เป็นหลัก พร้อมเมืองร่วมจัดบางชนิดกีฬา ทั้งนี้ กกท.ได้รายงานภาพรวมต่อสาธารณะหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา โดยย้ำบริบทความพร้อมของสถานที่แข่งขัน โครงสร้างพื้นฐาน และการประสานหน่วยงานท้องถิ่น–ภาคเอกชนเพื่อรองรับมหกรรมกีฬา

การที่สหพันธ์กีฬานานาชาติและระดับทวีป—รวมถึงสหพันธ์มวยปล้ำโลก (UWW)—ระบุประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ 2025 ในเอกสารทางการ และการตั้ง “คณะกรรมการจัดการแข่งขัน” (Organizing Committee) คือหมุดหมายว่าสังคมกีฬาโลก “นับถอยหลังร่วมกันกับไทย” แล้ว ที่เหลืออยู่คือการปิดจุดเสี่ยงให้เร็วที่สุดเพื่อลดความไม่แน่นอนในสายตาผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

น้ำหนักคำถามจาก กมธ.ฯ สู่ “กรอบปฏิบัติ” สำหรับรัฐมนตรีฯ คนใหม่

คีย์แมสเสจของ กมธ.ฯ ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่ชัดเจน 3 ขั้นตอน

  1. จัดโต๊ะหารือด่วน ระหว่าง (กกท.–กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา–กระทรวงมหาดไทย/ผู้ว่าฯ เมืองเจ้าภาพ–สำนักงานตำรวจแห่งชาติ–กระทรวงดิจิทัลฯ–กรมประชาสัมพันธ์–การไฟฟ้า/การประปาฯ–ขนส่ง/รฟม./รฟท.–การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนรายสำคัญ) เพื่อเคลียร์ “แผนแม่บทโค้งสุดท้าย” ให้มีเจ้าภาพงานแต่ละสายชัดเจน, เส้นตาย, ตัวชี้วัดความก้าวหน้า (KPI) รายสัปดาห์
  2. ล็อกสัญญา–ล็อกพื้นที่–ล็อกคน
    • สัญญาสนับสนุนเทคนิคหลัก: ศูนย์ถ่ายทอด, ระบบเวลา/ผลการแข่งขัน, ระบบขายบัตร, แพลตฟอร์มข้อมูล, ซัพพลายความปลอดภัย
    • พื้นที่: โรงแรมหลัก–โรงแรมสำรอง, โซน IBC, ศูนย์สื่อ, เส้นทางขบวน–รถรับส่ง
    • คน: บุคลากรเทคนิค, อาสาสมัคร, ทีมล่าม, ทีมแพทย์ฉุกเฉิน–เวชศาสตร์การกีฬา, ทีมความปลอดภัยสนาม/โรงแรม/จุดคมนาคม
  3. ระบบรายงานความก้าวหน้า รายสัปดาห์ต่อ กมธ.ฯ และศูนย์บัญชาการซีเกมส์ (War Room) ของฝ่ายบริหาร โดย กมธ.ฯ ระบุว่าจะ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือทุกสัปดาห์ และลงพื้นที่ตรวจจริง เพื่อคุมคุณภาพ–เวลา และช่วย “ปลดล็อกอุปสรรค” ที่กระทบภาพรวม

ซีเกมส์” ไม่ใช่แค่งานกีฬา มาตรวัดความสามารถจัดการมหกรรมระดับภูมิภาค

ประเด็นที่หลายคนมองข้ามคือ “ผลลัพธ์นอกสนาม” ซีเกมส์คือเวทีทดสอบขีดความสามารถโครงสร้างพื้นฐานอีเวนต์ของไทย ตั้งแต่สนาม–ระบบขนส่ง–ความปลอดภัย–การสื่อสารสาธารณะ–เศรษฐกิจท่องเที่ยว–เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ไปจนถึง ความเชื่อมั่นนักลงทุนอุตสาหกรรมอีเวนต์–ไมซ์ หากเราจัดการ “ประสบการณ์รวม” (End-to-End Experience) ได้อย่างมืออาชีพ—ตั้งแต่การขอวีซ่า, การต้อนรับที่สนามบิน, เส้นทางขนส่ง, การเช็กอินโรงแรม, โภชนาการฮาลาล/มังสวิรัติ/อัลเลอร์จี, ไปจนถึงการสื่อสารสองภาษา—เราจะยกระดับ “ตราประทับคุณภาพ” ประเทศเจ้าภาพในสายตาภูมิภาค

ในมุมนี้ การตัดสินใจเรื่อง ศูนย์ถ่ายทอด และ เอกภาพการสื่อสาร จึงไม่ใช่รายละเอียดปลีกย่อย แต่คือ “โครงหลัก” ที่ส่งผลต่อการรับรู้คุณภาพซีเกมส์ของไทยทั้งงาน

เสียงเตือนเรื่องความปลอดภัย แผนเชิงรุกที่ต้องชัด–ซ้อมจริง

ข้อเสนอของ กมธ.ฯ ให้ ติดตั้งกล้องวงจรปิด ในจุดเสี่ยง, จัด ทีมรักษาความปลอดภัยผสม และแผน แยกกองเชียร์ ในบางแมตช์ ไม่ได้เกิดจากความกังวลเกินเหตุ แต่สอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการแข่งขันยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ Crowd Management และ Risk-Based Policing โดยเฉพาะในสนามที่มีแฟนกีฬาเข้มข้น นอกจากนี้ แผนการแพทย์ฉุกเฉิน–การคัดแยกผู้บาดเจ็บ (Triage)–เส้นทางขนย้ายผู้ป่วย–และการสื่อสารวิทยุระหว่างหน่วย ต้อง “ซ้อมสถานการณ์จริง” หลายรอบล่วงหน้า เพื่อให้ทุกคนรู้ตำแหน่ง–หน้าที่–คำสั่ง–และจุดรวมพลอย่างแม่นยำ

งบฯ–เวลา สมการที่ต้องคุมให้ได้ใน 12 สัปดาห์

ประโยคที่ว่า “งบไม่พอ–จะขอใช้งบกลาง” ทำงานได้ในเชิงทฤษฎี แต่ในเชิงปฏิบัติ “เวลาอนุมัติ–เบิกจ่าย–จัดซื้อ–ติดตั้ง–ทดสอบ” คือวงจรที่แทบไม่เหลือช่องว่างผิดพลาด การบริหารงบประมาณในโค้งสุดท้ายจึงต้อง

  • จัดลำดับความสำคัญ (Prioritization): อะไรคือ “ต้องมี” เพื่อความปลอดภัย–ฟังก์ชันหลัก อะไรคือ “ควรมี” เพื่อยกระดับประสบการณ์ และอะไรคือ “อยากมี” ที่เลื่อนได้
  • ใช้สัญญาแบบผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง (Outcome-based) กับผู้รับจ้าง เพื่อผูก KPI กับ “วันจริง”
  • ตั้งกองปฏิบัติการรวมศูนย์ (Integrated Command) ที่มีอำนาจตัดสินใจเร็ว–รายงานตรง–เบิกจ่ายได้ตามกรอบกฎหมาย

ภาพสะท้อนจากเวที กมธ. จากการตรวจสอบสู่ “ความร่วมมือ”

แม้โทนคำพูดของนายจำลองจะเข้ม แต่ในตอนท้าย เขาย้ำชัดเจนว่า กมธ.ฯ พร้อมสนับสนุนรัฐบาล และจะทำงานเชิงรุก—เปิดโต๊ะทุกสัปดาห์ ลงพื้นที่สถานที่แข่งขัน เพื่อช่วยให้ซีเกมส์ครั้งนี้ “เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่าเป็นเวทีตำหนิซ้ำเติม

“ต้องให้กำลังใจรัฐบาลชุดนี้ด้วย และเราจะช่วยให้กีฬาในครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจของประชาชนทั้งประเทศ” — นายจำลอง อนันตสุข ย้ำบทบาท กมธ.ฯ

สิ่งที่สังคมคาดหวัง ความชัดเจนภายใน “วัน–สัปดาห์” ไม่ใช่ “เดือน”

เมื่อเวลาคือทรัพยากรที่แพงที่สุด ความชัดเจนภายใน 7–14 วัน ข้างหน้า จะเป็นตัวคูณความสำเร็จของโครงการอย่างมีนัยสำคัญ

  • ประกาศสัญลักษณ์ทางการ พร้อมคู่มือใช้งาน–แผนสื่อ
  • ปิดดีลที่พักหลัก–สำรอง ครอบคลุมทีมชาติ–เจ้าหน้าที่–สหพันธ์–สื่อ
  • ตัดสินใจผู้รับผิดชอบศูนย์ถ่ายทอด–ระบบสัญญาณ พร้อมแผนสำรอง
  • เปิด War Room รายสัปดาห์ และเผยแพร่ “แดชบอร์ดความก้าวหน้า” ต่อสาธารณะในระดับที่เหมาะสม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและชวนอาสาสมัครทั่วประเทศเข้าร่วม

กมธ.ฯ ยืนยัน จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าหารือทุกสัปดาห์ และลงพื้นที่สนามแข่งขัน เพื่อให้ “เส้นตาย” กลายเป็น “เส้นชัยร่วมกัน” ของทุกคน

โค้งสุดท้ายที่ต้อง “เดินพร้อมกัน”

ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ไม่ใช่เพียงบทพิสูจน์นักกีฬาบนโพเดียม แต่คือ บทพิสูจน์กำลังของระบบ ตั้งแต่นโยบาย–ปฏิบัติการ–ความร่วมมือรัฐ–เอกชน–ท้องถิ่น—ที่จะบอกกับภูมิภาคว่า “ไทยยังยืนหนึ่งในฐานะเจ้าภาพอีเวนต์มหกรรมระดับอาเซียน” ได้หรือไม่

สัญญาณเตือนจาก กมธ.วุฒิสภา ในวันนี้จึงไม่ใช่ “เสียงตำหนิ” หากคือ “เสียงกลอง” ที่ตีจังหวะให้ทุกฟากฝ่ายเร่งก้าวเท้าเข้าหากัน—เพื่อให้ 3 เดือนสุดท้าย กลายเป็นช่วงเวลาของการ “เก็บงานอย่างมีวินัย–ปิดจุดเสี่ยงอย่างมืออาชีพ–และเล่าเรื่องประเทศไทยอย่างภาคภูมิ” บนเวทีกีฬาของเพื่อนบ้านทั้งภูมิภาค

เมื่อเส้นชัยอยู่ไม่ไกล—สิ่งที่ต้องทำคือ วิ่งให้เป็นทีม เดินให้เป็น “ขบวนเจ้าภาพ” ที่มั่นใจ และจัดการรายละเอียดให้เรียบร้อยตั้งแต่วันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ฤดูดอกดินในพะเยา ของดีปีละครั้งจากป่า สู่เมนู “ข้าวเหนียวดอกดิน” สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน

พะเยาเข้าสู่ฤดู “ดอกดิน” จากครัวบ้านถึงครัวชุมชน สีม่วงจากป่าที่โผล่เพียงปีละครั้ง สู่เมนูเอกลักษณ์ “ข้าวเหนียวดอกดิน”

พะเยา, 21 กันยายน 2568 — เมื่อม่านฝนแรกคลอเคลียผืนป่าตามแนวเขาเหนือสุดของประเทศ ผืนดินในอำเภอดอกคำใต้ก็แย้มสัญญาณแห่งฤดูกาล—ดอกทรงกรวยก้านแดงอมม่วง “โผล่พ้นดิน” เป็นหย่อมเล็ก ๆ คล้ายฝากะทิ้งไว้กลางผืนใบไม้ชื้น นี่คือ “ดอกดิน” พืชป่าหายากที่มาเยือนชั่วคราวปีละครั้ง สร้างความคึกคักให้ชุมชนที่ต่างรู้คิวและรู้ทางเดินของตัวเองดี—ออกหาแต่เช้าตรู่ เก็บอย่างพอเพียง นำกลับบ้านไปปรุงอาหาร หรือแปรรูปเป็นเมนูที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่ไปแล้วอย่าง “ข้าวเหนียวดอกดิน”

ภาพเช้าหลังฝนในดอกคำใต้จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมเข้าป่าทั่วไป แต่เป็น “ฤดูเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม” ของชุมชน เป็นวิถีที่เชื่อมโยงระหว่างคน ดิน และผืนป่า ผ่านพืชเล็ก ๆ ที่มีอายุบนดินเพียงไม่กี่สัปดาห์

ดอกดินคือใครในเชิงวิทยาศาสตร์ พืชเบียนที่รอฝนก่อนโผล่เหนือดิน

ข้อมูลเชิงวิชาการระบุว่า “ดอกดิน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aeginetia indica L. อยู่ในวงศ์ Orobanchaceae มีลักษณะเป็นพืชเบียน (parasitic plant) ที่ไม่มีใบสีเขียว ไม่สังเคราะห์แสง แต่ใช้ชีวิตใต้ดินเกาะรากพืชเจ้าบ้าน (มักเป็นหญ้าหรือพืชใบแคบ) และจะชูช่อดอกขึ้นเหนือผิวดินในช่วงดินชื้นจัด โดยก้านดอกมีสีแดงอมม่วง ดอกตูมแน่น เมื่อบานจะเห็นกลีบสีม่วง-ชมพูอ่อน ลักษณะทางชีววิทยาเช่นนี้ทำให้ประชากรดอกดินขึ้นเป็นหย่อม ๆ เฉพาะจุด และปรากฏแก่สายตาเพียงช่วงสั้น ๆ ของปี จึงยิ่งเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนที่อยู่ร่วมกับป่าอย่างรู้จักเวลา

จากครัวบ้านสู่ครัวชุมชน ดอกดินในตำรับอาหารและสีธรรมชาติ

ดอกดินเข้าครัวเหนือมาเนิ่นนาน ทั้งในเมนูเรียบง่ายอย่างแกงดอกดิน ผัดดอกดินใส่ไข่ และแกงเลียง แต่สิ่งที่ทำให้ดอกคำใต้เป็นที่รู้จักกว้างขวางคือ “ข้าวเหนียวดอกดิน”—สีม่วงอ่อนชวนมอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ และรสละมุนแบบข้าวใหม่ โดยวิธีทำที่ชาวบ้านเล่าต่อกันคือ นำดอกดินมาต้มคั้นให้ได้ “น้ำสีม่วงธรรมชาติ” แล้วจึงนำไปหุงกับข้าวเหนียวหรือข้าวขาว สีม่วงอ่อนเป็นเอกลักษณ์ของเมนู และยิ่งเด่นเมื่อรับประทานคู่กับกับข้าวพื้นบ้าน

สื่อสาธารณะเคยบันทึกภาพกระบวนการนี้ไว้อย่างชัดเจน ทั้งในรายการสารคดีชุมชนที่ถ่ายทอดวิถีไปจนถึงคลิปสั้นสาธิตการทำสีจากดอกดิน ซึ่งสะท้อนว่า อาหารจานนี้ไม่ได้เป็นแค่ “ของอร่อยตามฤดูกาล” แต่เป็น “อัตลักษณ์ชุมชน” ที่ผสานภูมิปัญญา การจัดการวัตถุดิบ และการสื่อสารของคนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน

อาหารคือยา” สรรพคุณในความเชื่อพื้นบ้านและข้อเท็จจริงที่ควรรู้

ในสายตาชาวบ้าน ดอกดินคือพืชสมุนไพรจากป่าที่ “กินแล้วมีกำลัง” บางตำรับพื้นบ้านยกให้ช่วยบำรุงเลือด แก้ร้อนใน หรือขับปัสสาวะ ความเชื่อและการใช้ประโยชน์ดังกล่าวปรากฏในคลังความรู้สมุนไพรและแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นหลายแห่ง ขณะที่แวดวงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีข้อมูลด้านองค์ประกอบเคมีของสกุลนี้และพืชวงศ์เดียวกันอยู่บ้าง เช่น การศึกษาฐานข้อมูลพืชมีประโยชน์เขตร้อนสรุปภาพรวมชีววิทยาและการใช้ประโยชน์ของ Aeginetia indica ในหลายประเทศเอเชีย อย่างไรก็ดี งานทบทวนเชิงคลินิกเฉพาะ “ดอกดินไทย” ยังมีไม่มากพอให้เคลมสรรพคุณทางการแพทย์อย่างชัดเจนในระดับมาตรฐานสาธารณสุข จึงควรยึดหลัก “กินเป็นอาหาร” มากกว่า “กินเป็นยา” และใช้ความระมัดระวังสำหรับผู้มีโรคประจำตัวหรือหญิงตั้งครรภ์

เศรษฐกิจชุมชนเมื่อฤดูดอกดินมา รายได้เสริมและโอกาสต่อยอด

ฤดูดอกดินในพะเยา—โดยเฉพาะดอกคำใต้—ไม่ใช่แค่ความคึกคักชั่วคราว แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” สร้างรายได้เสริมให้ครัวเรือน เกิดการแบ่งงานกันในชุมชน ตั้งแต่คนออกหา คนคัด คนต้มน้ำสี คนหุงข้าวเหนียว ไปจนถึงการจัดจำหน่ายในตลาดชุมชนและออนไลน์ ผู้สูงวัยมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดภูมิปัญญาเรื่อง “เลือกเก็บเท่าใด เก็บอย่างไร ให้เหลือไว้ปีหน้า” ขณะคนรุ่นใหม่ช่วยสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ “ข้าวเหนียวดอกดิน” กลายเป็นสินค้าที่มี “เรื่องเล่า” ชัดเจน—ป่า ฝน ดิน วิถี และคน—ซึ่งตลาดยุคใหม่ให้คุณค่า

นักพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ลงพื้นที่พะเยามองว่า เมื่อสินค้ามีอัตลักษณ์ชัดและหายากตามฤดูกาล สามารถสร้าง “ความต้องการเชิงประสบการณ์” (experience demand) ได้ดี หากมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ สื่อสารแหล่งที่มา (provenance) และกำกับมาตรฐานความสะอาด-ปลอดภัยอย่างเหมาะสม โอกาสต่อยอดสู่ “ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (culinary tourism)” ก็ยิ่งเห็นภาพ เช่น ทัวร์สั้น ๆ เรียนรู้การออกหาดอกดิน (บนฐานมารยาทป่าและข้ออนุญาตที่ถูกต้อง) การทำสีธรรมชาติ และการหุงข้าวเหนียวดอกดินชุดเล็กสำหรับนักท่องเที่ยว

หาอย่างไรไม่ให้ “ของดีปีละครั้ง” กลายเป็น “ของหายากขึ้นทุกปี”

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นย่อมพาความเสี่ยงเรื่อง “เก็บเกินกำลัง” และ “รุกพื้นที่หวงห้าม” นักพฤกษศาสตร์ไทยชี้ว่า Aeginetia indica เป็นพืชเบียนที่ขึ้นได้เมื่อเงื่อนไขระบบนิเวศเหมาะสม—ชั้นดิน ความชื้น เจ้าบ้าน—หากวงจรนี้ถูกรบกวน อาจทำให้ประชากรลดลงได้ การเก็บจึงต้องยึดหลัก “สั้น-น้อย-แบ่งปัน” (เก็บเฉพาะที่สมควร เก็บให้น้อยกว่าที่เจอเสมอ แบ่งพื้นที่ให้ธรรมชาติ) และ “ไม่รุกเข้าเขตอนุรักษ์/เขตห้ามเก็บ” ซึ่งหน่วยงานป่าไม้และเทศบาลท้องถิ่นต่างย้ำใช้กติกาชุมชนเป็นเครื่องมือแรก ก่อนยกระดับเป็นกฎหมายเมื่อจำเป็น

ชาวบ้านดอกคำใต้เองก็รับรู้โจทย์นี้ดี หลายหมู่บ้านมีกติกา “เว้นจุดเกิดใหม่” ไม่ตัดถอนทั้งกอ เลือกเก็บเฉพาะดอกที่เหมาะแก่การกิน และไม่ใช้เครื่องมือขุดลึกที่ทำลายรากและเชื้อใต้ดิน ซึ่งเป็นความรู้ปฏิบัติที่เกิดจากการอยู่ร่วมกับป่ามานาน

สีม่วงที่แต้มใจ ทำไม “ข้าวเหนียวดอกดิน” จึงติดตรึงฤดูกาล

ในเชิงประสบการณ์ผู้บริโภค “สี” และ “กลิ่น” คือความทรงจำที่ชัดเจน ข้าวเหนียวดอกดินมีสีม่วงอ่อนละเมียด ไม่จัดจ้านแบบสีจากดอกไม้อื่น ให้กลิ่นอ่อน ๆ คล้ายพืชป่า เมื่อจับคู่กับของเคียง—น้ำพริกผัก หรือตำรับเหนือ—ยิ่งเด่น นักสื่อสารอาหารบอกว่า ความพิเศษอยู่ที่ความ “ชั่วครั้งชั่วคราว” (ephemeral) ของวัตถุดิบ มันไม่มาให้คิดทุกวัน จึงบังคับให้ “รอคอย” และทำให้ทุกครั้งที่ได้กิน กลายเป็นเหตุการณ์พิเศษของครัวบ้าน ครัวชุมชน และนักเดินทาง

เสียงสะท้อนจากชุมชน “หาอย่างสบายใจ ขายอย่างพอดี กินอย่างขอบคุณธรรมชาติ”

คำเล่าจากผู้สูงวัยในชุมชนมักลงท้ายคล้ายกัน—“ของดีจากป่ากินได้ปีละครั้ง อย่าเก็บหมด อย่าเก็บเล่น” คนรุ่นใหม่เสริมต่อว่า การขายออนไลน์ช่วยเพิ่มรายได้ แต่ก็ต้อง “เล่าให้หมด” ว่าเก็บอย่างไร ทำไมถึงแพงกว่าข้าวเหนียวทั่วไป เพื่อให้ผู้ซื้อ “ซื้อเรื่อง” และ “ซื้อระบบนิเวศ” ไปพร้อมกับสินค้าหนึ่งห่อ ในบางหมู่บ้าน มีการรวมกลุ่มทำ “แบรนด์หมู่บ้าน” ใส่ป้ายแหล่งที่มา วันทำ วันเก็บ ลงบนซอง เพื่อให้เกิดความภูมิใจร่วมกันและถือเป็น “สัญญากับป่า” แบบไม่เป็นทางการ

โอกาสและการบ้านภาครัฐ มาตรฐานปลอดภัย-การตลาด-การเรียนรู้

ฝ่ายสาธารณสุขท้องถิ่นและพัฒนาชุมชนสามารถเสริมพลังให้ฤดูดอกดิน เช่น

  • อบรมสุขลักษณะขั้นตอนการต้มคั้นสี/การหุง/การบรรจุ เพื่อให้จำหน่ายได้มั่นใจขึ้น
  • สนับสนุนฉลากชุมชนที่ระบุ “ที่มา-วิธีเก็บ-ข้อควรระวัง” และคำแนะนำผู้แพ้ง่าย/กลุ่มเปราะบาง
  • จัดเทศกาลเล็ก ๆ เชื่อม “ตลาด-ท่องเที่ยว-การเรียนรู้” ในช่วงสั้น ๆ ของฤดู พร้อมกำหนดโควตาการเก็บในพื้นที่เปราะบาง
  • ประสานเขตป่า อปท. และผู้นำชุมชน ทำแนวทาง “เก็บยั่งยืน” ที่สื่อสารง่าย เช่น โปสเตอร์/คลิปสั้นในตลาด

ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ “เศรษฐกิจฤดูกาล” เติบโตคู่กับการคงอยู่ของทรัพยากร

ทำอย่างไรให้ “ดอกดิน” อยู่กับพะเยาไปอีกนาน

ข่าวดีคือ ปัจจุบันยังมี “ดอกดิน” โผล่ให้เห็นในหลายหย่อมป่าของดอกคำใต้และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อฝนชุ่มและป่าพร้อม แต่เส้นทางสู่ความยั่งยืนต้องเริ่มวันนี้—ตั้งแต่ผู้เก็บ ผู้ขาย ผู้ซื้อ ไปจนถึงหน่วยงานดูแลป่า ทุกคนมีบทบาทร่วมกัน ความหอมสีม่วงหนึ่งห่อที่ซื้อมาวันนี้จึงอาจมี “ราคาจ่าย” ของระบบนิเวศที่ควรรับรู้และดูแลร่วมกัน

สำหรับผู้มาเยือนพะเยา—ถ้าอยากลิ้มรสข้าวเหนียวดอกดินแท้ ๆ—ให้ถามหาต้นทาง ถามวิธีเก็บ ถามช่วงฤดู และพร้อมจ่าย “ราคาแห่งความยั่งยืน” ที่ช่วยให้ชุมชนตั้งราคาอย่างยุติธรรม ฤดูหน้าจึงยังมีเรื่องเล่าและรสชาติเดิมรออยู่

ท้ายที่สุด ดอกดินไม่ใช่เพียงวัตถุดิบ หากเป็น “นาฬิกาฤดูกาล” ของผู้คน เป็นบทพิสูจน์ว่าความอุดมของป่ายังหายใจ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าความอร่อยที่แท้จริง ต้องไม่ทำร้ายบ้านของมันเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Thai PBS – รายการ “Localist ชีวิตนอกกรุง” ตอน “ข้าวเหนียวดอกดิน”
  • ชนิดพืชและชีววิทยา: “Aeginetia indica – Useful Tropical Plants database”
  • บทความประชุมวิชาการ: “นิเวศวิทยา การกระจายพันธุ์ และวัฏจักรชีวิตของดอกดินสกุล Aeginetia L. (Orobanchaceae) ในประเทศไทย” โดย ศิวเชษฐ ชัยโรจน์ และคณะ, การประชุมวิชาการพฤกษศาสตร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5, 2554 (ฐานข้อมูลหอสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) — ยืนยันนิเวศวิทยา/การกระจายพันธุ์ในไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News