Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มิจฉาชีพอ้างตำรวจเชียงราย หลอกขอข้อมูลเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ซ้ำ

เชียงรายเตือนภัย! แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจ หลอกผู้เสียหายซ้ำ ตำรวจเร่งประชาสัมพันธ์ป้องกันตกเป็นเหยื่อ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 –สถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ออกประกาศเตือนภัยเร่งด่วนแก่ประชาชน หลังได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้แผนใหม่แอบอ้างชื่อตำรวจในพื้นที่ติดต่อไปยังผู้เสียหายจากกรณีถูกหลอกโอนเงิน ก่อนหน้า เพื่อหวังตบตาให้เหยื่อหลงเชื่อและส่งข้อมูลส่วนตัว หรือเรียกร้องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ด้านตำรวจยืนยัน “ไม่ติดต่อขอข้อมูลส่วนตัว-เงินผ่านโทรศัพท์” แนะประชาชนอย่าหลงเชื่อ หรือโอนเงินเด็ดขาด

เปิดกลยุทธ์ใหม่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างชื่อเจ้าหน้าที่-ใช้รูปโปรไฟล์ปลอม

จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเพจเฟซบุ๊กของ สภ.เชียงของ ได้เผยแพร่ประกาศเตือนภัย หลังได้รับแจ้งจากประชาชนหลายรายในพื้นที่ต่างจังหวัดว่ามีผู้โทรศัพท์ติดต่อโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงราย โดยเฉพาะ “ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย สว.กก.สส.ภ.จว.เชียงราย” อ้างว่ากำลังดูแลคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เสียหาย อาศัยข้อมูลจริงบางส่วน เช่น ชื่อตำรวจ รูปโปรไฟล์ และภาพสถานีตำรวจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย เปิดเผยว่า เพิ่งทราบว่ามีผู้อ้างชื่อและตำแหน่งของตน ติดต่อไปยังผู้เสียหายในหลายจังหวัด เช่น ลำพูน สุรินทร์ และชลบุรี โดยระบุว่าตนเป็นพนักงานสอบสวน สภ.เชียงของ อ้างว่าสามารถช่วยติดตามเงินหรือประสานงานจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายและรายละเอียดคดี แต่ยังไม่ได้ขอให้โอนเงินในทันที อย่างไรก็ดี ผู้เสียหายบางรายเกิดความสงสัย จึงติดต่อสอบถามกลับไปที่ สภ.เชียงของ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเรื่องและรีบประกาศเตือนผ่านทุกช่องทาง

ตำรวจขอความร่วมมือประชาชน “อย่าหลงเชื่อ–อย่าโอนเงิน–แจ้งสถานีใกล้บ้าน”

ด้าน พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ ตงศิริ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเชียงของ สั่งการให้ทุกฝ่ายเร่งประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติม พร้อมระบุว่า ตำรวจจะไม่มีการโทรศัพท์ไปขอข้อมูลส่วนตัว เอกสาร หรือเงินจากประชาชนในลักษณะนี้โดยเด็ดขาด หากได้รับการติดต่อควรแจ้งหรือสอบถามกับสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดทันที

ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีข้อมูลว่าคนร้ายได้โทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายอย่างน้อย 5-6 รายทั่วประเทศ โดยใช้รูปโปรไฟล์และข้อมูลตำแหน่งที่อาจค้นหาจากสื่อหรืออินเทอร์เน็ตมาแอบอ้าง หากประชาชนได้รับการติดต่อให้สงสัยไว้ก่อนเสมอ และอย่ารีบให้ข้อมูลหรือโอนเงินไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น

มิจฉาชีพดัดแปลงข้อมูล–ล่อลวงซ้ำซ้อน หวั่นขยายขบวนการ

ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการพัฒนาแผนการล่อลวงตลอดเวลา จากเดิมที่หลอกโอนเงินตรง ๆ ปัจจุบันกลับมุ่งเน้นใช้ข้อมูลของเหยื่อที่เคยแจ้งความมาแล้วมาเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะการอ้างว่าช่วยเหลือหรือดำเนินการกับคดีเก่าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น แอบอ้างว่าได้จับกุมคนร้ายได้แล้ว ต้องการสอบถามข้อมูลหรือเรียกเก็บค่าดำเนินการเพิ่มเติม ทั้งยังใช้รูปโปรไฟล์เจ้าหน้าที่ตำรวจและสถานที่ราชการเพื่อหลอกลวง

ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตือนประชาชนที่เปิดบัญชีรับโอนเงิน (บัญชีม้า) ให้กับขบวนการเหล่านี้ว่า ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษรุนแรงและจะถูกดำเนินคดีเป็นกลุ่มแรก ก่อนขยายผลไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่น ๆ ต่อไป

ผลกระทบ–ข้อเสนอแนะและแนวทางป้องกัน

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารมาแสวงหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน ทางตำรวจแนะนำให้ผู้เสียหายหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับการติดต่อแปลก ๆ ในลักษณะนี้ ควรตรวจสอบกับสถานีตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วน 191 และหลีกเลี่ยงการตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวในทันที

ภาครัฐควรเร่งรัดพัฒนากลไกการสื่อสาร แจ้งเตือนภัยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงรณรงค์ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนตระหนักถึงรูปแบบใหม่ ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

UNIDO เลือกเชียงราย สร้างภูมิคุ้มกันโลกร้อน หนุนท่องเที่ยวชุมชนเข้มแข็ง

เชียงราย จังหวัดต้นแบบ “อยู่ร่วมโลกร้อน” อพท. จับมือ UNIDO ระดมพลังทุกภาคส่วน เดินหน้าโครงการท่องเที่ยวชุมชนยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ผนึกความร่วมมือกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ประกาศเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้ปรับตัวและอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนและโลกรวนอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน ร่วมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนโครงการนำร่อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างแบบจำลองการปรับตัวในระดับพื้นที่ต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของไทย

เวทีร่วมคิดสร้างแผนปรับตัวเพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ โรงแรม Athita The Hidden Court Chiang Saen Boutique Hotel อพท. จัดประชุมระดมความคิดเห็น “การสร้างการท่องเที่ยวชุมชนที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน” เพื่อร่วมกำหนดแผนงานโครงการต้นแบบในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ เชียงแสน แม่สาย แม่จัน และแม่ฟ้าหลวง ครอบคลุมกว่า 300 หมู่บ้าน โดยมี นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ อพท. เป็นประธาน, นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, Mr.Virpi Stucki Chief, Fair Production, Sustainability Standard and Trade, UNIDO (ประชุมทางไกล) พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญของเชียงราย เนื่องจาก UNIDO ได้ตัดสินใจนำร่องพัฒนาระบบการอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนในจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่แรกของไทย และเตรียมสนับสนุนงบประมาณจากองค์การสหประชาชาติ ต่อยอดการพัฒนาทั้งมิติการท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากร การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน

สู่เป้าหมาย “ปรับตัวอยู่รอด” ในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

จุดเด่นของโครงการฯ คือการมุ่งสร้างความยืดหยุ่น (Climate Resilience) ให้กับชุมชน โดยอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น องค์กรระหว่างประเทศ และภาควิชาการ ตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาที่จะผลักดันในพื้นที่เป้าหมาย เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือน้ำท่วมหรือภัยแล้ง พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) และสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานสินค้าและบริการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้จริง

นายศิริปกรณ์ ย้ำว่า “เรากำลังติดกระดุมเม็ดแรก” ให้กับชุมชนเชียงราย เพื่อวางระบบการบริหารจัดการเงินทุนและความร่วมมือ เมื่อได้รับงบประมาณและโอกาสจากต่างประเทศแล้ว จะต้องบริหารงบอย่างตรงเป้าหมายและโปร่งใส พร้อมให้ความสำคัญกับต้นน้ำของปัญหาในแต่ละชุมชน เช่น ภัยน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น จังหวัด อบจ. และเทศบาล เพื่อให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

โอกาสเชียงรายจากเวทีโลกสู่การพัฒนาท้องถิ่นยั่งยืน

การเลือกเชียงรายเป็นพื้นที่นำร่องครั้งนี้เกิดจากความเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดและการทำงานแบบเป็นทีม โดยเฉพาะความเข้มแข็งของผู้นำจังหวัดอย่างนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการยอมรับจากทีม UNIDO และภาคีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ อพท. ยังได้ร่วมมือกับ GISTDA ในการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและระบบอวกาศมาวิเคราะห์ วางแผนและติดตามผลลัพธ์ของโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ

สะท้อนภาพอนาคตเชียงรายต้นแบบการอยู่ร่วมกับโลกร้อน

ในเวทีระดมความคิดเห็นครั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยนปัญหาและแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางเลือกใหม่ๆ ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สินค้าท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า หรือการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต

การเคลื่อนโครงการนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนและความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ชุมชนต่างๆ สามารถนำไปต่อยอดขยายผลในพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทย

สรุปและวิเคราะห์ผลลัพธ์

โครงการความร่วมมือระหว่าง อพท. และ UNIDO เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวในเชียงราย ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในเวทีโลก ดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยความร่วมมือของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารพันธุ์ดี เสริมแกร่ง ศปร.ทบ. ตรวจเยี่ยมเชียงราย-พะเยา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน

มทบ.37 ต้อนรับ ผอ.ศปร.ทบ. ลงพื้นที่เชียงราย-พะเยา ติดตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ–ขยายผล “ทหารพันธุ์ดี” หนุนความมั่นคงยั่งยืน

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – พลเอก พรมงคล พึ่งเสมา ผู้อำนวยการสำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.) พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 จังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา เพื่อติดตามความคืบหน้าและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมถึงโครงการ “โคก หนอง นา” และโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือ

ก้าวสำคัญของการพัฒนาจากพระราชดำริสู่ความมั่นคงชุมชน

เวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ให้การต้อนรับ พล.อ. พรมงคล พึ่งเสมา และคณะ ณ ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย ก่อนเข้าสู่ภารกิจหลัก ได้แก่ การรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานและการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ห้องประชุมพญาเม็งราย บก.มทบ.37 และเยี่ยมชมโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ค่ายเม็งรายมหาราช

จากนั้น คณะฯ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการผลิตแพะพันธุ์แบล็คเบงกอล “เพื่อนช่วยเพื่อน” ของ ร.17 พัน.3 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชทานที่มุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สร้างต้นแบบด้านความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน

ตรวจเยี่ยมและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่สูง

ในการเดินทางครั้งนี้ คณะ สปร.ทบ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลายจุดสำคัญ อาทิ

  • โครงการดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ จังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านหนองห้า อ.เชียงคำ จ.พะเยา
  • โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านสันติสุข อ.ปง จ.พะเยา
  • โครงการทดลองเลี้ยงแกะและสัตว์ปีก บ้านร่มฟ้าทอง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ทุกโครงการล้วนมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของชุมชน ส่งเสริมการเกษตรบนพื้นที่สูง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามแนวพระราชดำริที่เน้นการพึ่งพาตนเอง ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสทางอาชีพ และลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชนบท

ผลักดัน “ทหารพันธุ์ดี” ขยายผลสู่ชุมชน สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อความมั่นคง

การดำเนินงานโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งริเริ่มโดยกองทัพบก ได้ขยายผลอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ร่วมมือกับกรมทหารราบที่ 17 กองพันทหารราบที่ 3 (ร.17 พัน.3) ผลักดันโครงการฝึกอบรมเกษตรกรต้นแบบ การผลิตและกระจายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ (เช่น แพะพันธุ์แบล็คเบงกอล) และการส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสานในพื้นที่ของหน่วยงานทหาร นำไปสู่การส่งเสริมรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่โดยรอบค่ายทหาร

นอกจากนี้ สปร.ทบ. ยังรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงการไปยังชุมชนที่ยังขาดโอกาส และสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนผ่านเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

การลงพื้นที่ติดตามและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการสืบสานแนวคิด “ประชาชนอยู่ดี มีสุข” ผ่านการผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น และประชาชน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคงทางอาหาร อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และผลักดันนวัตกรรมเกษตรในพื้นที่สูงของภาคเหนือ

ในอนาคต การบริหารจัดการและขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุมมากขึ้น จะยิ่งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • สำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.)
  • คณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทุเรียนเหนือผงาด! เชียงรายปั้น ‘ทุเรียนถิ่นหนาว’ ชูรสชาติเอกลักษณ์ สู่ตลาดสากล

เชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาว” ผลไม้เศรษฐกิจใหม่สู่ตลาดโลก

พัฒนาจากการทดลองเพียง 80 ต้น สู่อุตสาหกรรมกว่า 3,700 ไร่ ชูจุดแข็งรสชาติหวานมัน เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” อย่างเป็นทางการ ในกิจกรรมสัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารสื่อ สานสัมพันธ์ ครั้งที่ 3 ณ สวนธวานันท์รุ่งเรือง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน

การเปิดตัวผลไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ของภาคเหนือครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการยกระดับเกษตรกรรมไทยสู่มิติใหม่ เมื่อพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิทุเรียนคุณภาพสูงที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

สุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย

จากการทดลอง 5 ไร่ สู่อุตสาหกรรมหลักของจังหวัด

เรื่องราวของทุเรียนเชียงรายเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2552 เมื่อเกษตรกรอำเภอเวียงเชียงรุ้งได้ทดลองปลูกทุเรียนแซมในสวนผลไม้ชนิดต่างๆ โดยมีพื้นที่ปลูกเพียง 5 ไร่ จำนวน 80 ต้น การทดลองครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นของเชียงรายที่แตกต่างจากแหล่งปลูกทุเรียนทั่วไป

นางสุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรผู้บุกเบิกการปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองในพื้นที่เวียงเชียงรุ้งมากว่า 17 ปี เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า “จริงๆ แล้วเราอาจจะเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของการปลูกทุเรียน อาจจะเป็นเจ้าแรกของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3-4 เริ่มได้เห็นผลผลิต แต่ก็มีปัญหาให้คอยแก้ไขตลอด”

ความมุ่งมั่นและการเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้การปลูกทุเรียนในเชียงรายประสบความสำเร็จ จากจุดเริ่มต้นเพียงไม่กี่ต้น ปัจจุบันได้ขยายเป็นแปลงปลูกขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดระบุว่า ปัจจุบันอำเภอเวียงเชียงรุ้งมีพื้นที่ปลูกทุเรียนประมาณ 468 ไร่ ขณะที่ทั่วจังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกรวมกว่า 3,711 ไร่

จุดเด่นเฉพาะตัวของทุเรียนถิ่นหนาว

ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงรายมีจุดเด่นที่แตกต่างจากทุเรียนภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน ด้วยรสชาติหวานมัน เมล็ดลีบ เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว และเปลือกบาง ความแตกต่างนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง คือการปลูกในพื้นที่สูงเฉลี่ย 400-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 10-35 องศาเซลเซียส

สภาพอากาศที่เย็นสบายนี้ส่งผลให้ทุเรียนออกดอกและติดผลได้ดี โดยช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี ซึ่งไม่ซ้ำกับช่วงเวลาของทุเรียนภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี

นางสุพรรณี อธิบายถึงข้อได้เปรียบนี้ว่า “ทุเรียนของเรามันจะไม่ค่อยชนกับทางภาคตะวันออก เพราะทุเรียนมันจะไล่ผลไม้จากข้างล่างขึ้นมา เราเป็นภาคเหนือ ของเขาเริ่มหมดแล้ว ของเราก็เริ่มออกสู่ตลาด เพราะของเราจะออกในช่วงกรกฎา-สิงหา”

ต้นทุนต่ำ ผลกำไรสูง

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของการปลูกทุเรียนในเชียงรายคือต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ นางสุพรรณี เปิดเผยว่า “เราทำในระบบการปลูกทุเรียนแบบครอบครัว ซึ่งต้นทุนจะไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ในเรื่องของแรงงาน และการใช้ปุ๋ยใช้ยาเราสามารถควบคุมได้ ถ้าเราทำเองน่าจะอยู่ที่ประมาณต้นละไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี”

เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อไร่ ซึ่งมีประมาณ 30 ต้น จะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 21,000-30,000 บาทต่อไร่ต่อปี ในขณะที่ราคาขายทุเรียนอยู่ที่ 150-200 บาทต่อกิโลกรม ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็วยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ปัญหาสภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

ยุทธศาสตร์สร้างแบรนด์และพัฒนาคุณภาพ

เพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรฐานการผลิต จังหวัดเชียงรายได้วางแผนยุทธศาสตร์หลายด้าน เริ่มจากการสร้างแบรนด์ “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” ภายใต้การสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นางสุพรรณี กล่าวว่า “ทางกลุ่มของผู้ปลูกทุเรียนเชียงราย ภายใต้ชื่อทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย กำลังสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มาเยี่ยมชมสวน และได้บอกว่าเราน่าจะผลิตทุเรียนให้มันมีคุณภาพ เพราะฉะนั้นเกษตรกรจะต้องทำทุเรียนให้มันมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับเขาได้”

การพัฒนาคุณภาพจะเน้นไปที่การตัดทุเรียนให้มีอายุการตัดที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ทุเรียนที่แก่พอดี มีรสชาติเต็มที่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เชียงรายสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้

เครือข่ายความรู้และการถ่ายทอดประสบการณ์

การพัฒนาทักษะและให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ โดยการสร้างเครือข่ายของนักวิชาการและผู้มีความชำนาญในการทำเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน เพื่อเข้ามาให้ความรู้กับชาวสวนและช่วยดูแลกันในเบื้องต้น

นางสุพรรณี อธิบายว่า “ชาวสวนที่ปลูกก่อนมีประสบการณ์ ใช้ประสบการณ์ถิ่นของเรามาช่วยกัน ช่วยดูแลกันให้มันมีคุณภาพ ส่งต่อความรู้ตามประสบการณ์” การถ่ายทอดประสบการณ์แบบเกษตรกรสู่เกษตรกรนี้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น

โอกาสการส่งออกและการเชื่อมต่อตลาดโลก

ด้วยตำแหน่งที่เป็นเมืองชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เชียงรายมีโอกาสสำคัญในการเป็นประตูการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นางสุพรรณี มองว่า “ในอนาคตมันจะมีรถไฟ เป็นเมืองชายแดนติดต่อ เรามองว่าตรงนี้มันน่าจะมีโอกาสที่ดีในเรื่องของการส่งออก และในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร”

การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นอีกหนึ่งมิติที่จังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญ โดยการผสมผสานระหว่างการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่

สุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรสวนทุเรียน

การสนับสนุนจากภาครัฐและแผนการส่งเสริม

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลไม้เศรษฐกิจทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เตรียมผลักดันทุเรียนเชียงรายออกสู่ตลาดให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ด้วยการจัดกิจกรรมเทศกาลกินทุเรียนเชียงรายในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สาธารณชน

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง กล่าวว่า “ตอนนี้อำเภอเวียงเชียงรุ้งของเราได้ผลักดันเกษตรกรในการปลูกทุเรียน และตอนนี้อัตลักษณ์ของเราก็คือทุเรียนเวียงเชียงรุ้ง เป็นของดีของเรา ตอนนี้เรากำลังผลักดันทุเรียนอำเภอเวียงเชียงรุ้งให้ดังในระดับทั่วประเทศ”

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนเชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ปัญหาหลักที่พบได้แก่ สภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีองค์ความรู้ในการทำทุเรียนให้มีคุณภาพ โดยจะเน้นแค่ติดลูกได้ และมีปัญหาด้านการจัดการที่ไม่เหมาะสม เช่น ตัดอ่อน ตัดเบียด ซึ่งจะทำให้ทุเรียนไม่มีคุณภาพและราคาตกต่ำ

การรวมกลุ่มของเกษตรกรจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยจะช่วยเสริมความรู้ในการผลิต การใช้ปุ๋ย ยา การลดต้นทุน และการควบคุมคุณภาพ ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตทุเรียนที่มีมาตรฐานและแข่งขันได้ในตลาด

มินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง

บริบทระดับชาติและระดับภูมิภาค

การพัฒนาทุเรียนเชียงรายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านทุเรียนในระดับโลก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพสินค้าทุเรียน โดยมีรัฐมนตรีเป็นประธาน

การจัดตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทย ให้การพัฒนาคุณภาพทุเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของทุเรียนไทยในระดับโลก

รัฐมนตรีเกษตรฯ ยังได้ประเมินสถานการณ์ผลไม้ปี 2568 โดยคาดว่าทุเรียนและลำไยจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนกรกฎาคม และมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ทุเรียนมีผลผลิตรวมประมาณ 606,958 ตัน เพิ่มขึ้น 14.46% จะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม

การเชื่อมต่อกับความร่วมมือระดับอาเซียน

ในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้ง “สมาพันธ์ทุเรียนอาเซียน” ซึ่งจะเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ล้วนเป็นผู้ผลิตหลักที่ครองตลาดทุเรียนมากกว่า 90% ของอาเซียน

สมาพันธ์ฯ จะทำหน้าที่ใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิตและแนวโน้มตลาด การถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและองค์ความรู้ การกำหนดมาตรฐานสินค้า การสร้างแบรนด์ร่วม การกำหนดการรายงานราคารูปแบบรายเดือน และการสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาคนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าทุเรียนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สร้างระบบข้อมูลการตลาดที่โปร่งใส พัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และสร้างเครือข่ายการจำหน่ายที่แข็งแกร่งในตลาดโลก

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและแนวโน้มอนาคต

การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนในเชียงรายมีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน จากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทุกอำเภอของจังหวัดเชียงรายมีการปลูกทุเรียนประมาณ 10,000 ไร่ สายพันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หมอนทอง ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาด นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์อื่นๆ เช่น มูซังคิง หนามดำ ก้านยาว

การเติบโตของอุตสาหกรรมทุเรียนไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรโดยตรง แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการขนส่ง การแปรรูป การจำหน่าย และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร

นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานที่เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ และได้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร

ก้าวสู่การเป็นผู้นำทุเรียนระดับโลก

การเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” เป็นเครื่องหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเกษตรของภาคเหนือ จากพื้นที่ที่เคยไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นของเกษตรกร การสนับสนุนจากภาครัฐ และความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมท้องถิ่น ซึ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ด้วยแผนการพัฒนาที่ชัดเจน การสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง และการเชื่อมต่อกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทุเรียนเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เกษตรหลักของประเทศไทย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย นำทัพ! สู่ตลาดมาตรฐานระดับชาติ หนุนเที่ยว สร้างงาน

เชียงรายยกระดับตลาดท้องถิ่น 4 แห่ง เข้ารอบประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐาน” ปี 2568 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 24 มิถุนายน 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมและยกระดับตลาดสดในพื้นที่ หลังได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงมหาดไทย ให้เข้าร่วมประเมิน “ตลาดดีมีมาตรฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้นโยบายการพัฒนาตลาดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่ความเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชน เพิ่มมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม

ก้าวสำคัญ ตลาดดีมีมาตรฐาน สร้างงาน สร้างอาชีพ

โครงการ “ตลาดดีมีมาตรฐาน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งยกระดับตลาดท้องถิ่นทั่วประเทศให้เป็นตลาดที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน และอาหารพื้นถิ่นที่หลากหลาย ตอบโจทย์วิถีชีวิตของประชาชน และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล โดยเน้นการพัฒนาตลาดให้เป็นพื้นที่สร้างรายได้ สนับสนุนอาชีพและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย 4 ตลาดเด่น

ในปีงบประมาณ 2568 จังหวัดเชียงรายมีตลาดที่ผ่านเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายจำนวน 4 แห่ง ได้แก่

  1. ตลาดสดเทศบาล 2 ศิริกรณ์
  2. ตลาดสดเทศบาลตำบลบ้านดู่
  3. ตลาดประชารัฐตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  4. ตลาดสดเวียงชัย อำเภอเวียงชัย

การประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน ดำเนินการโดยคณะกรรมการระดับจังหวัด นำโดยนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด หอการค้าจังหวัดเชียงราย สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด อบจ.เชียงราย และท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย

ยกระดับมาตรฐานตลาด สุขาภิบาล สะอาด ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยว

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มอบหมายให้นางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย นางนงคราญ กันกา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านสุขอนามัย ความสะอาด ความปลอดภัย รวมถึงการคัดสรรและจัดระเบียบพื้นที่การขายสินค้าให้มีมาตรฐาน พร้อมส่งเสริมการจัดกิจกรรมตลาดนัดเชิงสร้างสรรค์ เพิ่มความมีชีวิตชีวาและตอบโจทย์การท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของการขับเคลื่อนตลาดดีมีมาตรฐานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเชื่อมโยงตลาดท้องถิ่นกับภาคการท่องเที่ยว สร้างความมั่นคงให้กับอาชีพค้าขายและการผลิตสินค้าเกษตรในท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และโอกาส

การเข้าสู่รอบประเมินสุดท้ายของ 4 ตลาดในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการตลาดของท้องถิ่นที่สามารถรักษามาตรฐานด้านความสะอาด สุขาภิบาล และการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดศักยภาพด้านเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยววิถีชุมชน นำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

การยกระดับตลาดในครั้งนี้ จะช่วยสร้าง “จุดขาย” ให้กับชุมชน เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ใหม่ กระจายโอกาสและสร้างความภาคภูมิใจแก่ประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • คณะกรรมการประเมินตลาดดีมีมาตรฐาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึก CEA เตรียมเปิด TCDC ยกระดับศักยภาพนักออกแบบท้องถิ่น

เชียงรายเดินหน้าพัฒนา Kick-off ปรับปรุงศูนย์ TCDC จุดเปลี่ยนใหม่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคเหนือ

เชียงราย, 24 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รับเทรนด์โลกอนาคต หลังองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ประกาศ “Kick-off” ลงพื้นที่เตรียมปรับปรุงอาคาร “เชียงรายครีเอทีฟซิตี้เซ็นเตอร์” ถนนสิงห์ไคล ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย สู่การเป็นศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) เชียงราย ศูนย์กลางความรู้และนวัตกรรมสำหรับนักออกแบบและผู้ประกอบการท้องถิ่นในภาคเหนือ

เริ่มต้นยุคใหม่ พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้แทน CEA, คณะกรรมการตรวจรับงานก่อสร้าง, ผู้บริหารโครงการ, ทีมควบคุมงาน บริษัท จี22 วิศวกรและสถาปนิก จำกัด, ผู้รับจ้างก่อสร้าง บริษัท ไทยประเสริฐ กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) และทีมนักออกแบบ 1922 Architects ลงพื้นที่สำรวจอาคารที่จะพัฒนาเป็น TCDC เชียงรายอย่างเป็นระบบ

การสำรวจพื้นที่ในครั้งนี้ มุ่งเน้นการประเมินศักยภาพของสถานที่เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านการออกแบบ นวัตกรรม และกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของท้องถิ่น เชื่อมโยงกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการกระจายโอกาสด้านองค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่สู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง

ประชุมวางยุทธศาสตร์ สร้างแบรนด์เชียงรายสู่ตลาดโลก

ภายหลังจากการสำรวจพื้นที่ คณะทำงานทั้งหมดได้เดินทางต่อไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อหารือแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ วางแผนการสนับสนุนระยะยาว และกำหนดยุทธศาสตร์การสร้างศูนย์ TCDC ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สร้างโอกาสให้นักออกแบบ นักศึกษา ผู้ประกอบการ และประชาชน ได้เข้าถึงองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้าง “เชียงรายแบรนด์” ขยายตลาดไปสู่เวทีระดับชาติและสากล

ในที่ประชุมได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก อบจ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมได้รับแนวทางจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ประธานในที่ประชุม) เพื่อวางแผนการพัฒนาศูนย์ฯ ใน 10 จังหวัดเป้าหมายทั่วประเทศ

จุดเปลี่ยนใหญ่ สร้างโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจภาคเหนือ

การเดินหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) เชียงราย ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ผ่านการพัฒนา “Creative Space” หรือพื้นที่แห่งความรู้สร้างสรรค์ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อศักยภาพของผู้ประกอบการ นักออกแบบ นักศึกษา และประชาชนในเชียงรายและภาคเหนือ ทั้งยังช่วยกระจายโอกาสและยกระดับมาตรฐานการแข่งขันสู่ระดับสากลอย่างเป็นรูปธรรม

TCDC เชียงราย จะกลายเป็นศูนย์กลางในการอบรม ถ่ายทอดความรู้ จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ รวมถึงเชื่อมโยงเครือข่ายกับศูนย์ฯ TCDC ส่วนกลางและเครือข่ายภูมิภาค สร้างเสริมความสามารถให้กับนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ สอดคล้องกับเป้าหมาย “Creative Economy” ของประเทศ และนโยบายเชียงรายเมืองนวัตกรรมสร้างสรรค์

บทวิเคราะห์โอกาสและผลลัพธ์

การเปิดตัวโครงการปรับปรุงพื้นที่ TCDC เชียงรายในวันนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดอย่างแท้จริง หากโครงการแล้วเสร็จและดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นทั้ง “Co-working Space” และ “Creative Hub” ที่สร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการในภาคเหนือ ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

โครงการนี้ยังเป็นเวทีสำคัญในการกระจายอำนาจทางความคิด นำองค์ความรู้สมัยใหม่และเทคโนโลยีสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางโอกาส และเป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักออกแบบ และประชาชนในท้องถิ่น ที่จะร่วมขับเคลื่อน “เชียงรายแบรนด์” สู่ตลาดโลกในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • บริษัท จี22 วิศวกรและสถาปนิก จำกัด
  • บริษัท ไทยประเสริฐ กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)
  • 1922 Architects
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายฉลอง 3 ปีศูนย์เยาวชน ปลุกพลังเด็กรุ่นใหม่ กล้าคิด กล้าแสดงออก

ศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย ฉลองครบรอบ 3 ปี ปลุกพลังสร้างสรรค์เยาวชนรุ่นใหม่ พร้อมดันเวทีความสามารถสู่สาธารณะ

เชียงราย, 23 มิถุนายน 2568 – ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาเชียงราย ได้จัดงานมหกรรม “ครบรอบ 3 ปี ศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวนับเป็นหลักไมล์สำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของท้องถิ่นในการพัฒนาเยาวชนอย่างรอบด้านและต่อเนื่อง

สร้างพื้นที่สร้างสรรค์ เปิดเวทีแสดงความสามารถ

ภายในงานได้ผนึกกำลังความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงรายที่สนับสนุนพื้นที่ จนทำให้เยาวชนชาวเชียงรายได้มีเวทีแสดงความสามารถต่อสาธารณะอย่างเต็มที่ ซึ่งตลอดทั้งวันบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้ปกครอง เยาวชน นักเรียน และประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมสำคัญที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง “ลูกทุ่งสุดถิ่นไทย” รอบชิงชนะเลิศ โดยมีสามทีมสุดยอดจากโรงเรียนชั้นนำของจังหวัดเชียงรายเข้าสู่รอบชิง ได้แก่ YRC. Combo (โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย), ดาวรุ่งลูกทุ่ง ท.6 (โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย) และ CR-PAO Dance (โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย) พร้อมคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากแวดวงดนตรีและศิลปะ เช่น คุณทัศนีย์ พูลเจริญ, คุณเผ่าเทพ อรรถไกวัลวที และคุณปริญญา กันทะวงค์ ร่วมตัดสิน

จุดประกายฝัน เติมศักยภาพเยาวชนสู่อนาคต

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า “กิจกรรมในครั้งนี้คือหลักฐานของความร่วมมือและความตั้งใจจริงในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับเยาวชนเชียงราย ไม่เพียงแค่ส่งเสริมทักษะทางศิลปะ ดนตรี หรือกีฬา แต่ยังมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนมีภูมิคุ้มกันชีวิต มีทักษะปรับตัวในยุคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว สามารถคิด วิเคราะห์ และแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของสังคมในวันข้างหน้า”

บูรณาการงานพัฒนา สร้างเครือข่ายเยาวชนเข้มแข็ง

ภายในงาน ยังมีเวที Workshop, บูธเกม, “กาดละอ่อนเจียงฮาย” รวมถึงโซนกิจกรรมสร้างเสริมทักษะชีวิตที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เสริมสร้างเครือข่ายระหว่างแกนนำเยาวชน ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่ภาครัฐในแต่ละอำเภอให้ขับเคลื่อนงานเด็กและเยาวชนอย่างเป็นระบบ

โครงการพัฒนาทักษะชีวิตเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงรายภายใต้การดำเนินงานของศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในทุกมิติ ให้เยาวชนสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต พร้อมเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อจังหวัดและประเทศชาติในอนาคต

ไฮไลต์พิเศษและเสียงสะท้อนจากเวที

ไฮไลต์ที่สร้างสีสันให้กับงานคือ Free Concert จากศิลปิน “เอ็ดดี้ ตลาดแตก” ที่จุดประกายความสุขและแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งกิจกรรมประกวดและโชว์ความสามารถของเยาวชนที่สะท้อนพลังสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเชียงราย

เสียงสะท้อนจากเยาวชนและผู้ปกครองส่วนใหญ่ชื่นชมในแนวทางการจัดงานที่ให้เยาวชนมีเวทีในการแสดงศักยภาพ ฝึกฝนความกล้าแสดงออก และได้ร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ พร้อมยืนยันจะนำความรู้และประสบการณ์จากงานมหกรรมครั้งนี้กลับไปต่อยอดในชีวิตจริง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การฉลองครบรอบ 3 ปีศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย เป็นตัวอย่างของการพัฒนาเยาวชนบนฐานความร่วมมือทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้พื้นที่สร้างสรรค์เป็นกลไกสำคัญ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้คิด ได้ลงมือทำ และได้แสดงศักยภาพของตนเอง ขณะเดียวกันยังเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมและการพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งหากดำเนินงานต่อเนื่องและขยายผลสู่ระดับอำเภอและตำบล จะช่วยให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งเยาวชนคุณภาพในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาเชียงราย
  • กลุ่มงานส่งเสริมกิจกรรมเด็กและเยาวชน ศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สะพานใหม่ข้ามแม่น้ำกก เปลี่ยนโฉมการเดินทาง หนุนเกษตร-ท่องเที่ยวเชียงราย

กรมทางหลวงชนบทเร่งสร้างสะพานข้ามแม่น้ำกก อ.แม่จัน จ.เชียงราย คืบหน้า 89% หนุนเศรษฐกิจ-คุณภาพชีวิตคนพื้นที่ กำหนดเปิดใช้งาน ก.ค. 2568

เชียงราย, 23 มิถุนายน 2568 – ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ภาครัฐให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น และลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ห่างไกล ล่าสุด โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำกก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งดำเนินการโดยกรมทางหลวงชนบท (ทช.) มีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 89 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้

จากความลำบากสู่โอกาสใหม่ในการเดินทางและเศรษฐกิจชุมชน

สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อจากถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.4004 บ้านผ่านศึก หมู่ที่ 10 ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน ข้ามแม่น้ำกกไปยังบ้านวังเขียว หมู่ที่ 8 ตำบลหนองป่าก่อ อำเภอดอยหลวง ก่อนจะเชื่อมต่อกับ ทล.1271 สะพานก่อสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 160 เมตร ผิวจราจรกว้าง 9 เมตร พร้อมถนนเชื่อมต่อแบบแอสฟัลต์ติกคอนกรีตกว้าง 6 เมตร รวมไหล่ทาง ระยะทางรวม 2,522 เมตร ใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 59.59 ล้านบาท

โครงการนี้นอกจากจะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในสองฝั่งแม่น้ำแล้ว ยังตอบโจทย์เรื่องเศรษฐกิจและสังคมในหลายมิติ ทั้งการร่นระยะทางสัญจรจากเดิมกว่า 25 กิโลเมตร ช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนค่าเดินทางของชาวบ้านและผู้ประกอบการ เพิ่มความสะดวกในการเดินทางสู่ศูนย์กลางราชการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียนผ่านศึกสงเคราะห์ 2 วัดพระพุทธบาทผาเรือ รวมถึงการเดินทางไปยังท่าเรือเชียงแสน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการค้าชายแดนสำคัญของภาคเหนือ

สะพานเชื่อมคน เชื่อมชุมชน สู่อนาคตใหม่ของเชียงราย

เดิมทีประชาชนสองฝั่งแม่น้ำกกต้องใช้เส้นทางอ้อมไกล เสียเวลาหลายชั่วโมง โดยเฉพาะในฤดูฝนที่เส้นทางเลียบแม่น้ำถูกตัดขาดเป็นช่วงๆ ทำให้การค้าขาย การไปโรงเรียนหรือโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องท้าทาย การก่อสร้างสะพานแห่งนี้จึงเปรียบเสมือน “ประตูสู่โอกาส” ให้กับชุมชนในพื้นที่ ไม่เพียงเชื่อมโยงคนในพื้นที่ให้เข้าถึงบริการของรัฐและแหล่งเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น แต่ยังส่งเสริมศักยภาพด้านการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรอย่าง ข้าวโพด ยางพารา และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น สู่ตลาดอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต

จากข้อมูลของกรมทางหลวงชนบทและหน่วยงานในพื้นที่ พบว่า การเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำกกจะช่วยเพิ่มปริมาณการเดินทางของประชาชนในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าเกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเข้าสู่ตลาดเชียงแสนและดอยหลวง นำไปสู่ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ต่ำลง เพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านและผู้ประกอบการ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังช่วยกระจายการท่องเที่ยวจากตัวเมืองเชียงรายไปยังอำเภอดอยหลวง อำเภอแม่จัน และพื้นที่ริมแม่น้ำกก กระตุ้นการท่องเที่ยวชุมชนและการค้าแนวชายแดน

ด้านสังคม การมีสะพานถาวรที่มั่นคงปลอดภัยจะช่วยลดอุบัติเหตุและปัญหาในการข้ามฟากช่วงน้ำหลาก สร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับนักเรียน ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และประชาชนทุกกลุ่ม

บทวิเคราะห์และมุมมองอนาคต

เมื่อโครงการสะพานข้ามแม่น้ำกก อ.แม่จัน เสร็จสมบูรณ์ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานเชียงรายยุคใหม่ เชื่อมโยงอำเภอแม่จัน ดอยหลวง สู่ศูนย์กลางการค้าชายแดนและเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญ เปิดโอกาสให้เกษตรกรในพื้นที่ขยายการค้าสู่ตลาดใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรเชียงรายในเวทีการค้าไทย-ลุ่มน้ำโขง

ขณะเดียวกัน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและท้องถิ่นในการผลักดันโครงการนี้เป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
  • สัมภาษณ์ผู้ประกอบการท้องถิ่น ตำบลท่าข้าวเปลือก-ตำบลหนองป่าก่อ, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตตะวันออกกลางเปิดช่อง! ผลไม้อบแห้งไทย-เชียงราย ผงาดตลาดโลก

โอกาสทองของผลไม้อบแห้งเชียงราย หลังภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนเกมตลาดโลก อินเดีย-ตะวันออกกลางสะเทือน เปิดช่องการค้าไทยในเวทีเอเชียใต้

เชียงราย, 23 มิถุนายน 2568 –ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของตลาดผลไม้อบแห้งทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าและบริโภคผลไม้อบแห้งอันดับต้นของโลก ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทั้งสองด้าน ได้แก่ สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทำให้เส้นทางโลจิสติกส์ในภูมิภาคตะวันออกกลางสะดุด และการปิดเส้นทางการค้าทางบกระหว่างปากีสถาน-อินเดีย ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายผลไม้อบแห้งจากอัฟกานิสถานและอิหร่านเข้าสู่อินเดียเกิดความล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าหลายรายการพุ่งสูงขึ้นถึง 100% ในเวลาไม่กี่เดือน

จากวิกฤตสู่โอกาสใหม่ – อินเดียปรับกลยุทธ์นำเข้า ผลักดันไทยขึ้นแท่นผู้เล่นสำคัญ

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ปัจจุบันอินเดียต้องรับมือกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่สั่นคลอน ไม่เพียงแต่เรื่องการขนส่งล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของโครงสร้างภาษีนำเข้า และการขาดความชัดเจนเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้า โดยเฉพาะกรณีสินค้าจากอัฟกานิสถานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางผ่านอิหร่าน ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนใหม่และความเสี่ยงในตลาดเพิ่มขึ้น

สถานการณ์นี้เองได้เปิดช่องว่างและโอกาสทางการค้าให้กับผู้ส่งออกจากนอกพื้นที่ความขัดแย้งโดยตรง เช่น ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกผลไม้อบแห้งสูงที่สุดในโลก โดยมีการขนส่งมากถึง 2,908 shipments ในปีที่ผ่านมา แม้อัตราการเติบโตจะหดตัวลงชั่วคราว แต่ด้วยภาวะขาดแคลนในตลาดอินเดียขณะนี้ การส่งออกจากไทยกลับขยายตัวสูงถึง 40% ในเดือนตุลาคม 2567

ช่องทางการเกษตรเชียงราย – ต้นน้ำโอกาสสู่ตลาดโลก

สำหรับจังหวัดเชียงรายเอง ถือเป็นแหล่งผลิตผลไม้เมืองร้อนและผลไม้อบแห้งสำคัญของไทย ทั้งมะม่วง กล้วย มะพร้าว ลิ้นจี่ ทุเรียนและผลไม้ท้องถิ่นอื่นๆ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการในพื้นที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย พร้อมรองรับตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ในมุมของโอกาสเชิงกลยุทธ์ ข้อมูลล่าสุดจากการนำเข้าของอินเดียปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) ภายใต้รหัส HS 0813 (ผลไม้อบแห้งและถั่วผสม) พบว่าไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 881 เหรียญสหรัฐ เทียบกับอัฟกานิสถาน (3.16 ล้านเหรียญ) และอิหร่าน แม้จะน้อยมากแต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะจากเชียงรายที่มีศักยภาพในด้านการแปรรูปและต้นทุนขนส่ง สามารถเร่งรุกตลาดอินเดียได้อย่างชัดเจน

วิเคราะห์ช่องทางและแนวโน้มโอกาสเกษตรเชียงราย

  1. เจาะตลาดอินเดียแบบพรีเมียม
    ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าอินเดียขณะนี้ เปิดโอกาสให้ผลไม้อบแห้งไทยเข้าสู่ตลาดพรีเมียม โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานสากล ชูจุดเด่นเรื่องสุขภาพ ความสะอาด และความเป็นออร์แกนิก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคอินเดียให้ความสนใจมากขึ้น
    ข้อแนะนำ: เกษตรกรเชียงรายควรรวมกลุ่มผลิต (Cluster) เน้นผลไม้หลัก เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและต่อรองกับผู้ซื้อได้ดีขึ้น
  2. พัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์
    การส่งออกผลไม้อบแห้งควรเน้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุสินค้า เพิ่มมูลค่าและสร้างความโดดเด่นในตลาด เช่น ถุงซิปล็อก บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หรือดีไซน์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมล้านนา เพื่อให้เกิดความแตกต่างและสร้าง Storytelling เชิงพื้นที่
  3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและ FTA
    ในขณะที่อินเดียกำลังพิจารณานโยบายภาษีนำเข้า ไทยควรใช้โอกาสนี้เจรจาขอสิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดีย หรือ MOU ทวิภาคี เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่ง และลดข้อจำกัดด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  4. ขยายฐานตลาดใหม่ในภูมิภาค
    วิกฤตที่อินเดียกำลังเผชิญยังเปิดโอกาสให้ไทยขยายตลาดไปยังบังกลาเทศ เนปาล ปากีสถาน (หากเปิดพรมแดน) และตะวันออกกลาง โดยเน้นสินค้าที่มีศักยภาพสูง เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง และทุเรียนอบกรอบ

เกษตรกรเชียงรายบนเวทีโลก

ในวิกฤตย่อมมีโอกาส การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกและความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ เปิดโอกาสให้ “ผลไม้อบแห้งเชียงราย” เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่ขาดแคลนสินค้าและต้องการสินค้าทางเลือกคุณภาพสูง หากเกษตรกรและผู้ประกอบการในเชียงรายเร่งปรับตัว พัฒนานวัตกรรม และใช้ประโยชน์จากสิทธิทางการค้า เชื่อว่าเชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นโอกาสทองของเกษตรกรไทยในศตวรรษนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ฐานข้อมูล Volza (มูลค่านำเข้า/ส่งออกผลไม้อบแห้ง)
  • รายงานการนำเข้าของอินเดีย HS 0813 (ม.ค.–มี.ค. 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตาสงครามรีเทลเชียงราย โอกาส-ความท้าทายสู่ศูนย์กลางค้าภูมิภาค

เชียงรายขยับสู่เมืองเศรษฐกิจใหม่ ‘Greenpark Community Mall’ จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ตั้งเป้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจ-สร้างงาน-รองรับนักท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมื่อ “บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด” บริษัทในเครือของกรีนบัส ได้ฤกษ์ลงเสาเอกโครงการ “Greenpark Community Mall Chiang Rai” บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ใจกลางเมืองย่านแยกประสพสุข มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 350 ล้านบาท โดยโครงการนี้นับเป็น “Community Mall แห่งแรก” ของจังหวัดเชียงราย ที่รวมร้านค้าดัง บริการทันสมัย และการออกแบบเพื่ออนาคตไว้ในที่เดียว

โครงการต่อยอดจากเชียงใหม่ สู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชายแดน

Greenpark Community Mall ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่คือผลสำเร็จจากโมเดลเดียวกันในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ การนำคอนเซปต์นี้เข้าสู่เชียงราย—ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน—จึงเป็นกลยุทธ์ที่วางแผนมาแล้วอย่างรอบคอบ

พื้นที่โครงการตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ บริเวณถนนพหลโยธิน ใกล้แยกประสพสุข เชื่อมต่อได้ถึง 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนประสพสุข และถนนเจ้าชาย ถือเป็นทำเลทองที่สามารถรองรับทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจากลาวและเมียนมา ไปจนถึงนักเดินทางจากเชียงใหม่-พะเยา

"กรีนพาร์ค" คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกในเชียงราย ตั้งอยู่บนที่เดิม กรีนบัสคาร์โก้เชียงราย มีทางเข้า-ออกถึง 3 ทาง คือ ด้านถนนพหลโยธิน ด้านถนนประสพสุข และด้านถนนเจ้าชาย ทั้งนี้ด้วยมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท
พานพงษ์ไทย รับเหมาก่อสร้างโครงการ Green Park เชียงราย ภาพวันที่ 23 มิถุนายน 2568

มากกว่าแค่ห้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

จุดเด่นของ Greenpark Community Mall อยู่ที่ความครบจบในที่เดียว โดยคัดสรรร้านอาหารและร้านค้าชื่อดังมารวมไว้ เช่น สุกี้ตี๋น้อย, โอ้กะจู๋, Oh Juice (สาขาแรกในเชียงราย), KFC Drive Thru, MR. D.I.Y. และร้านอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม EV Station สำหรับรถไฟฟ้า ที่จอดรถกว่า 200 คัน และระบบ Drive-Thru Pickup ซึ่งตอบรับทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มอนาคตด้านการเดินทางและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “ความง่าย ความเร็ว ความครบครัน” โครงการยังให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคน รวมถึงที่จอดรถสำหรับผู้พิการ สวนหย่อม และโครงสร้างสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ “บริษัท พานพงษ์ไทย จำกัด” เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง

การลงทุนที่กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้เชียงราย

Greenpark Community Mall ไม่ใช่เพียงแค่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อกำไรเชิงพาณิชย์ แต่ยังถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยตรงและโดยอ้อม การก่อสร้างโครงการจะเริ่มในเดือนมิถุนายน 2568 และมีกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2568 ก่อนเปิดเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปี 2569

คาดว่าจะสร้างงานให้กับแรงงานในพื้นที่มากกว่า 500 ตำแหน่ง ทั้งภาคก่อสร้าง การค้าปลีก และบริการ รวมถึงกระตุ้นธุรกิจโดยรอบ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหารพื้นถิ่น และธุรกิจบริการขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกับห้างใหม่

นอกจากนี้ โครงการยังตั้งเป้าเป็น “จุดพักทางเศรษฐกิจ” สำหรับนักเดินทางทั้งจากลุ่มน้ำโขงและคนในประเทศ ที่ใช้เชียงรายเป็นเมืองเชื่อมต่อสู่จังหวัดพะเยา หรือแหล่งท่องเที่ยวอย่างเชียงของ ดอยแม่สลอง และแม่สาย

คณะผู้บริหารโครงการคำพรพัฒนา โดยคุณปรียา เวโรจน์ ,คุณกานต์ เวโรจน์, คุณนงลักษณ์ ทองคำคูณ และคณะ ได้มาประกอบพิธีลงเสาเอกโครงการ Green Park เชียงราย

โอกาสเปิด แต่ความท้าทายยังไม่จบ

แม้ Greenpark จะมาพร้อมจุดขายที่แตกต่าง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปิดตัวศูนย์การค้าหลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น โลตัสเชียงรายที่กำลังจะเปิดอาคารใหม่ขนาดใหญ่ พร้อมโรงภาพยนตร์ 3 โรง การแข่งขันจึงไม่ใช่เพียงการเปิดพื้นที่ค้าปลีก แต่เป็นการแย่งชิง “เวลาและใจ” ของผู้บริโภค

Greenpark vs Index vs Lotus: สงครามศูนย์การค้าบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงราย – การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายกำลังเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนักลงทุนรายใหญ่จากทั้งในและนอกพื้นที่เริ่มเคลื่อนทัพเข้ามาพัฒนา “ศูนย์การค้า” ขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ทั้ง Greenpark Community Mall,Index Living Mall และโลตัสเชียงราย อาคารใหม่บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ที่มาพร้อมโรงภาพยนตร์ การเปิดตัวพร้อมกันของศูนย์การค้าเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ด้านการค้า แต่ยังเป็นแรงกระเพื่อมต่อโครงสร้างเมือง พฤติกรรมผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจในระดับจังหวัดอย่างไม่อาจมองข้าม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมเมือง

ในอดีต เชียงรายคือจังหวัดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการเกษตรและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม เช่น เซ็นทรัลเชียงราย เคยเป็นเพียงไม่กี่แห่งที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 บทบาทของเมืองเริ่มเปลี่ยนไป การกระจายตัวของชนชั้นกลางใหม่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และการเชื่อมต่อพรมแดน ล้วนส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักลงทุนค้าปลีกให้ความสนใจ

Index Living Mall สาขาเชียงราย เป็นสาขาขนาดกลาง พื้นที่ขาย 7,000 ตร.ม.

หนึ่งในผู้เปิดเกมรุกคือ บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด ในเครือกรีนบัส ที่ตัดสินใจสร้าง Greenpark Community Mall บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ ใกล้แยกประสพสุข โดยใช้งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท จุดขายของ Greenpark คือการเป็น Community Mall แห่งแรกในเชียงราย ที่รวมร้านอาหารชื่อดัง สะดวก สบาย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และออกแบบพื้นที่ให้รองรับรถยนต์ EV พร้อมบริการ Drive-Thru Pickup

ในขณะที่ Index Living Mall เน้นเจาะตลาดเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้านครบวงจร เหมาะกับกลุ่มครอบครัวและเจ้าของบ้าน ขณะที่โลตัสเชียงรายรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิด จะมาในรูปแบบ Hypermarket + Lifestyle Mall ที่มีโรงหนัง 3 โรง และพื้นที่จอดรถขนาดใหญ่ คาดว่ารองรับลูกค้ากว่าพันคนต่อวัน

ภาพจำลองจาก คุณโกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ

เปรียบเทียบจุดแข็ง ห้างใหม่ทั้ง 4

ศูนย์การค้า

รูปแบบ

จุดแข็ง

กลุ่มเป้าหมาย

Greenpark

Community Mall

ใกล้ชุมชน แบรนด์ดัง จอดรถง่าย

คนเมือง-คนรุ่นใหม่-นักท่องเที่ยว

Index

Specialty Mall

เฟอร์นิเจอร์ครบวงจร

เจ้าของบ้าน-ผู้ประกอบการ

Lotus

Hyper+Lifestyle

มีโรงหนัง จอดรถสะดวก

ครอบครัว-นักเรียน-นักศึกษา

ผลกระทบเชิงมหภาค: เม็ดเงินไหลเข้า – ทุนท้องถิ่นจะอยู่หรือไป?

การเกิดขึ้นของศูนย์การค้าใหม่ถึง 3 แห่งเท่ากับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นหลายพันล้านบาท ทั้งในรูปแบบของค่าก่อสร้าง การจ้างงาน การสร้างธุรกิจรายย่อย และภาษีที่ไหลกลับสู่ท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่เป็นบวกไปเสียทั้งหมด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ มองว่า “ฟองสบู่ค้าปลีก” เป็นสิ่งที่ต้องจับตา หากห้างเปิดมากเกินกำลังซื้อในพื้นที่ จะเกิดการแย่งชิงผู้บริโภคอย่างรุนแรง นำไปสู่การตัดราคาหรือการปิดตัวในที่สุด ขณะเดียวกัน ธุรกิจ SME ท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ตลาดสด หรือร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ก็อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการในศูนย์การค้าแทน

ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค: ใครจะครองใจคนเชียงราย?

สิ่งที่น่าสนใจคือ ศูนย์การค้าแต่ละแห่งต่างออกแบบแนวคิดแตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดย Greenpark วางตัวเป็นแหล่งนัดพบของคนเมืองแบบไม่ต้องเดินไกลหรือเสียเวลาหาที่จอดรถ และพื้นที่กว้าง Index เน้นประโยชน์ใช้สอยและการแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ ขณะที่โลตัสใช้โมเดลราคาประหยัดผสมกับความบันเทิง เพื่อดึงคนได้หลายกลุ่มพร้อมกัน

หากมองในแง่การพัฒนาเมือง ห้างเหล่านี้คือ “เครื่องมือ” สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองเชียงรายในระยะยาว จากเมืองเกษตรกรรมและชายแดน ไปสู่เมืองไลฟ์สไตล์เชิงพาณิชย์ระดับภูมิภาค

โอกาสและความเสี่ยงบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เมื่อห้างสรรพสินค้าไม่ใช่แค่สถานที่ช้อปปิ้ง แต่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเมือง การลงทุนในศูนย์การค้า 3 แห่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้คือการประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่า เชียงรายพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ยังต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น

หากสามารถสร้างสมดุลระหว่างทุนใหญ่กับธุรกิจดั้งเดิม, ระหว่างความบันเทิงกับการกระจายรายได้, และระหว่างการพัฒนาเมืองกับคุณภาพชีวิตประชาชนได้ เชียงรายจะกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตาอย่างยิ่งของการเปลี่ยนแปลงเมืองผ่านพลังของเศรษฐกิจค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด / Greenpark Community Mall Press Release, 21 มิถุนายน 2568
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ Index Living Mall เชียงราย, พฤษภาคม 2568
  • รายงานการลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประจำปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News