Categories
NEWS UPDATE

มาตรการใหม่ ดีอี-ปปง. 27 พ.ค. 67 ชื่อบัญชีโมบายแบงกิ้งไม่ตรงเบอร์ยุติทันที

 

 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ประชุมหารือเรื่องการกวาดล้างบัญชีม้าและเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้กระทรวง ดีอี ร่วมกับ ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เป็นระยะที่ 2 ต่อเนื่องจากระยะแรก 30 วัน (1-30 เมษายน 2567)

 

            โดยผลการประชุมที่สำคัญมีดังนี้
1. การเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า
  ปปง. ธปท. สมาคมธนาคาร กสทช. สมาคมโทรคมนาคมฯ และ ดีอี ร่วมดำเนินการ
            – ขยายผลกวาดล้างบัญชีม้า จากการใช้ข้อมูลรายชื่อเจ้าของบัญชีม้า และรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทำการปิดบัญชีธนาคารทุกธนาคาร จากชื่อบุคคลดังกล่าว โดยตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน
           – กำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิดโดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชี โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว 
          – การกวาดล้างบัญชีม้า และซิมม้าในระบบ mobile banking ที่ประชุมมอบหมายให้ กสทช.เร่งรัดตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ผูกกับระบบ mobile banking จำนวนประมาณ 106 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 120 วัน

สำหรับผลการกวาดล้างบัญชีม้าถึง 30 เมย 2567 มีดังนี้
            – ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 700,000 บัญชี แบ่งเป็น ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี AOC ระงับ 101,375 บัญชี ปปง.ปิด 325,586 บัญชี
            – ตร. ดำเนินการการจับกุมคดี บัญชีม้า-ซิมม้า เม.ย. 67 มีจำนวน 361 คน เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 187 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม – มีนาคม 2567

2. การแก้กฎหมายพิเศษเป็นการเร่งด่วน
    เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตลอดจนช่วยเหลือคืนเงินให้ผู้เสียหาย ได้มีการหารือเรื่องการแก้กฎหมายในประเด็นดังนี้
             – การเร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยที่ผ่านมาการคืนเงินให้ผู้เสียหายจากคดีออนไลน์ ต้องใช้เวลานาน หลายๆ กรณี ใช้เวลาหลายปี กว่าจะสามารถคืนเงินให้ผู้เสียหายได้
ประกอบกับ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ทาง AOC 1441 โดย ดีอี ตร. สมาคมธนาคาร ได้ร่วมมือ เร่งการระงับ/อายัด บัญชีม้าได้รวดเร็วเฉลี่ยภายใน 10 นาที และมีเงินที่ถูกอายัดได้จำนวนมาก ซึ่งในวันนี้จึงได้ประชุมพิจารณาถึงการหาวิธีคืนเงินให้รวดเร็วขึ้น โดยพิจารณาการออกกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งการคืนเงิน
             – การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล โดยถือว่าการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมในวงกว้าง จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องและคนร้ายในอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี


            นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย


            รมว.ประเสริฐฯ กล่าวเพิ่มว่า “วันนี้ เราประชุมเพื่อหามาตรการเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า และ หาวิธีคืนเงินให้ผู้เสียหายรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมได้หารือถึงการออกพระราชกำหนด เป็นกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายและเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูล ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งการปราบปรามจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้า ซิมม้า ปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงต่อเนื่อง แก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ และช่วยลดความเดือนร้อนของประชาชน”

 
 นายประเสริฐกล่าวว่า ในที่ประชุมมีความคืบหน้ามาตรการควบคุมการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการใช้เป็นช่องทางในการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งเพิ่มการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (ซีดีดี) โดยมีกระบวนการประเมินและบริหารความเสี่ยงก่อนอนุมัติเปิดบัญชีลูกค้า รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวทางการเงินจากการทําธุรกรรมของลูกค้าใหม่ จากเดิมที่มีการทำการพิสูจน์ตัวตนในการทําความรู้จักลูกค้า (เควายซี) ในการเปิดบัญชีใหม่เท่านั้น โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว
 
“ความคืบหน้าเพิ่มเติมในการกำหนดให้ลูกค้าใหม่ที่ต้องการเปิดบัญชีธนาคาร โดยกำหนดให้เจ้าของบัญชีธนาคารและหมายเลขโทรศัพท์ (ซิมการ์ด) ต้องมีชื่อระบุตรงกัน จากเดิมเมื่อเปิดบัญชีธนาคารจะใช้ซิมการ์ดไม่ตรงกันก็สามารถเปิดบัญชีใหม่ได้ เบื้องต้นได้ให้ กสทช.ดำเนินการประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และธนาคาร รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้ง ปปง. ธปท. และสมาคมธนาคารไทย” นายประเสริฐกล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน) ผู้ว่าฯ จับซ้ำ บุหรีไฟฟ้าร้านเดิมในรอบไม่ถึงเดือน

 
เมื่อวันที่ (15 พฤษภาคม 2567) เวลา 13.50 น. ภายใต้การอำนวยการของ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงรายได้สั่งการให้ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจ 
 
 
นำโดยนายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 นายธีรัตน์ อิทธิพลาลักษณ์ ปลัดอำเภอเมืองเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองเชียงรายที่ 3 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ออกปราบปรามร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้แก่เด็กและเยาวชน
 
 
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ชุดจัดระเบียบสังคมได้เข้าทำการจับกุมร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าชื้อร้าน บ้านควันหอม (สาขาตลาดล้านเมือง) ตั้งอยู่ที่ 66/23 หมู่ 11 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 1 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล และได้นำส่งผู้ต้องหาพร้อมของกลางดำเนินคดีตามกฎหมาย นั้นชุดจัดระเบียบสังคมฯ ได้รับข้อมูลจากผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนมาเป็นจำนวนมาก ว่าร้านดังกล่าวกลับมาเปิดให้บริการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอีกครั้งหลังจากถูกจับกุม ไม่ถึงเดือน 
 
 
โดยยังคงเปิดหน้าร้านและมีการวางน้ำหอมตบตาเจ้าหน้าที่เช่นเดิม ซึ่งพฤติกรรมยังคงพบมีการจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชน รวมถึงลูกค้าทั่วไปเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนเข้าตรวจสอบร้านดังกล่าวพบว่าร้านมีการติดฟิล์มสีขาวขุ่นอำพรางไม่ให้มีการมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นในบริเวณด้านใน และมีกล้องวงจรปิดรอบทิศทางเพื่อดูสถานการณ์จากภายนอก แต่ผู้ซื้อจะรู้กันภายในกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค หรือสื่อสังคมต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการเข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าจำแล้ว 3 ร้าน คือ
 

      1. ร้านบ้านควันหอม (สาขาตลาดล้านเมือง) ตั้งอยู่ที่ 66/23 หมู่ 11 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 2 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล ซึ่งร้านนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการเข้าจับกุมไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567
      2. ร้านบ้านควันหอม (สาขาในเมืองหอนาฬิกา) ตั้งอยู่ที่ 531 ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 1 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล
      3. ร้าน P-VAPE ตั้งอยู่ที่ 197/8 ม.15 ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 4 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล ซึ่งร้านดังกล่าวขณะเจ้าหน้าที่เข้าสังเกตการณ์ พบว่าร้านมีการปิดประตูม้วนเหล็กลงอย่างมิดชิด เมื่อเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์อยู่หน้าร้านสักพัก พบว่ามีพนักงานปิดประตูม้วนออกมาจากด้านใน เหมือนจะออกมาส่งของ (บุหรี่ไฟฟ้า) เจ้าหน้าที่จึงเปิดหน้าต่างและเรียนพนักงาน พนักงานดังกล่าวจึงเข้ามาถามว่าได้สั่งของ (บุหรี่ไฟฟ้า) ไหม เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวและพาตรวจสอบภายในร้านแล้ว จากการตรวจสอบภายในร้านพบบุหรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์ น้ำยา และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายซึ่งสินค้าที่ตรวจยึดได้ของกลางกว่า 1,000 ชิ้น มูลค่าหลักแสนบาท
 

และจากการตรวจสอบการรับจ่ายเงินหรือเงินหมุนเวียนภายในร้าน พบแต่ละร้านมีรายได้ต่อวันตั้งแต่วันลหลายหมื่น บาทต่อวัน ซึ่งจากการสอบถามผู้ดูแลพบ เจ้าของที่แท้จริงจะติดต่อผ่านไลน์และส่งของมาให้ขายจึงไม่ทราบราคาต้นทุนต่อชิ้น และจะขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตั้งแต่ราคาหลักสิบ ถึง หลักพันบาท และระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบจะมีลูกค้ามาใช้บริการตลอดเวลา เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ดูแลทั้ง 7 ราย โดยแจ้งข้อหา 
 

          1) ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
 

         2) ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้ปราบปรามร้านทั้งเปิดหน้าร้านและขายออนไลน์ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย พาดูหนัง…”หลานม่า” บันทึกช่วงเวลามีค่าของครอบครัว

 

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00 น. นายก พี่นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายฐิติวัตร ไลศิริพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และสมาชิกสภาเยาวชน นำน้องๆเยาวชน ร่วมผลักดัน Soft Power อุดหนุน ภาพยนตร์คุณภาพของไทย 

 

โดยมี สมาชิกศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย และประชาชนทั่วไปกว่า 200 คน พาคู่หูรับชมมาภาพยนตร์บันทึกช่วงเวลามีค่าของสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว “หลานม่า”บรรยากาศเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข และความอบอุ่น จากคู่หูดูหนัง เช่น พ่อ-แม่-ลูก ย่า-หลาน คู่รัก เพื่อน 

 

ภาพยนตร์เรื่อง หลานม่า คือเรื่องราวที่มีเค้าแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงในครอบครัวสังคมไทย ผ่านตัวละครของ เอ็ม (พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ กลับมาใช้ชีวิตร่วมกับ อาม่าเหม้งจู (อุษา เสมคำ) ผู้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของครอบครัว เบื้องหน้าที่ดูเหมือนหลานมาดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิต แต่แท้จริงแล้วเอ็มมีจุดประสงค์บางอย่างซ่อนอยู่ หลังได้รู้ว่า มุ่ย (ต้นตะวัน ตันติเวชกุล) ได้รับมรดกก้อนใหญ่เป็นบ้านราคาสิบล้านบาทจากอากง เอ็มจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้อาม่าไว้ใจ แต่กำแพงที่อาม่าตั้งไว้ ทำให้เอ็มได้เริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตไปทีละน้อย จนอะไรบางอย่างถูกอาม่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

 

“หลานม่า” ยังไม่แผ่ว โกยรายได้ต่อเนื่อง แม้เข้าฉายมาแล้ว 5 สัปดาห์ 

  • รายได้วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2567 – 1.14 ล้านบาท 
  • รายได้รวม 163.40 ล้านบาท (รายได้รวมทั่วประเทศกว่า 300 ล้านบาท)

หลังฉายที่อินโดนีเซียแล้ว หลานม่า จะเข้าฉายที่ฟิลิปปินส์, สปป.ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, กัมพูชาไต้หวัน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง, จีนและเกาหลีใต้ ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ “หลานม่า”ยังชวนทัชใจกับรอบพิเศษส่งท้าย “จากใจหลานถึงใจม่า” ร่วมทำบุญด้วยกัน ทุกที่นั่งรับฟรีเสื้อลิมิเต็ดอิดิชั่น free size รอบอก 48 นิ้ว ในราคา 450 บาท รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้มูลนิธิมิตรภาพสงเคราะห์บ้านพักคนชราหญิง (สถานที่ถ่ายทำ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

วัฒนธรรมเชียงราย ร่วมประชุมขับเคลื่อนรสชาติ…ที่หายไป The Lost Teste

 
เมื่อวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 การประชุมเชิงปฏิบัติการชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Teste” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ณ โรงแรมเดอะพาลาสโซ กรุงเทพมหานคร

 

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Teste” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” โดยมี นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธาน นางสาวปราณิสา เตียวพิพิธพร ผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายและชุมชน กล่าวรายงาน พร้อมด้วย วัฒนธรรมจังหวัด ข้าราชการผู้รับผิดชอบโครงการ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)และสื่อมวลชน ร่วมประชุม

 

โดยมีกิจกรรมดังนี้

  1. การเสวนาหัวข้อ “การสรุปผลการดำเนินงานกับการพัฒนายกระดับอาหารถิ่นอัตลักษณ์ความเป็นไทยสู่สากล”
  2. การเสวนาหัวข้อ “การส่งเสริมและพัฒนาอาหารถิ่น เพื่อการท่องเที่ยว และยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนอย่างยั่งยืน”
  3. กิจกรรมกลุ่มหัวข้อเรื่อง “การสร้างพลังการสื่อสารเชิดชูอาหารไทยพื้นถิ่น”

มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย “รสชาติ…  ที่หายไป The Lost Teste” คุณค่าของเมนูอาหารถิ่นที่เสี่ยงต่อการสูญหาย ไม่ได้มีการบริโภคอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน (The Lost Teste Locol Food) ควรได้รับการรักษาและสืบทอด เพราะเป็นอาหารที่แสดงถึงภูมิปัญญา ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นอาหารที่มีคุณค่า ต่อชุมชน ท้องถิ่น เป็นแบบอย่างที่ควรเชิดชู เพื่อให้เกิดการรักษาและฟื้นฟูให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจังหวัด ซึ่งกิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567

 

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เผยค่าแรงปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศอาจทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้นตาม

 

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยว่าศูนย์พยากรณ์ฯได้เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ประจำเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ระดับ 62.1 จาก 63.0 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภค เริ่มกลับมากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และกระแสข่าวการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพ รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามรัสเซียยูเครน กับ อิสราเอลและฮามาส ที่ยังส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบ ต่อกำลังซื้อ ต่อการท่องเที่ยว การส่งออก และการจ้างงานในอนาคต 

 

ขณะที่ ความคิดเห็นของภาคธุรกิจ จากสมาชิกหอการค้าไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนเมษายน 2567 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อยู่ที่ระดับ 55.3 แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยจากระดับ 55.2 ในเดือนมีนาคม โดยความเชื่อมั่นถือว่า ดีขึ้นเกินกว่าค่ากลางระดับ 50 ในทุกภูมิภาค รวมทั้งตัวชี้วัดทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจโดยรวม การบริโภค การลงทุน ภาคท่องเที่ยว ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม  ภาคการค้า การค้าชายแดน และภาคบริการ รวมถึงการจ้างงาน ปรับตัวดีขึ้น แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพียง 0.1-0.3% 

 

ทั้งนี้ ถือความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ยังคงทรงตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยลบที่สำคัญจากต้นทุนทางการเงิน และต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความกังวลปริมาณน้ำในเขื่อน เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค ที่อาจจะไม่เพียงพอ ขณะที่ในภาคเหนือ ที่เจอผลกระทบ จากฝุ่น PM 2.5 และที่สำคัญ ผู้ประกอบการทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคใต้ มีความกังวลถึงเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคบริการที่สูงแล้วให้สูงขึ้นอีก รวมถึงต้นทุนการผลิตสินค้าด้วย

 

โดยผู้ประกอบการ มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ให้เร่งบริหารจัดการน้ำให้มีใช้เพียงพอกับภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และภาคครัวเรือนรวมทั้งหาแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือ มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ หากมีการค่าแรงขั้นต่ำตามที่รัฐบาลประกาศจริง และต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคู่ขนานกันไปด้วย ไปจนถึงการดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสมกับการค้าการลงทุน โดยภาคเอกชน มองปีนี้ เศรษฐกิจกลับมาฟื้นจากสถานการณ์โควิดที่เคยติดลบถึง 6.1% แต่น่าจะฟื้นตัวได้แบบอ่อนๆ และเริ่มมีความลังเล จากภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าไฟ ราคาพลังงาน และที่สำคัญ คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ  ที่เอกชน ออกมาเสนอให้ขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละจังหวัด และรายอุตสาหกรรม ตามหลักการสากล ซึ่งหากภาครัฐ มีการปรับขึ้นค่าแรงตามที่ประกาศไว้จริง ก็ต้องมีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน เพราะเงินที่ใช้ในส่วนนี้เป็นของเอกชน 100% เต็ม

 

ขณะที่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งมีสัญญาณของการปรับตัวไม่โดดเด่น ปัจจัยหลักจะมาจากราคาพลังงาน มีผลต่อเนื่องกับค่าครองชีพรวมทั้งยังมีข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทมาเป็นปัจจัยบั่นทอนเพิ่มเติม และเสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง หลังมีการทยอยลาออกของรัฐมนตรี ที่สำคัญคือเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น แต่ยังเชื่อว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ จะดีขึ้นได้ จากนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งงบลงทุน การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นหากเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ ภายในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม อย่างน้อยเดือนละ 50,000 ล้านบาท เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ 

 

อย่างไรก็ตาม โดยทางศูนย์ฯคาดว่า เศรษฐกิจจะมีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากเม็ดเงินภาครัฐ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ภาคการเกษตรดีขึ้น จากฝนที่เริ่มตก บรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 2.6%  ซึ่งต้องรอนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้น เพราะยังต้องรอความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน รวมถึงความชัดเจนของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมด้วย เพราะจะมีผลให้ผู้ประกอบการ จะขึ้นราคาสินค้าและบริการ
 
 
นอกจากนี้ จากการคำนวณมีกลุ่มแรงงานที่ได้รับประโยชน์จากขึ้นค่าแรง 400 บาทประมาณ 7 ล้านคน และเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำขณะนี้อยู่ที่ 360 บาท จะมีเงินเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 3,600 ล้านบาท รวมในไตรมาสสุดท้าย จะมีเงินเพิ่มประมาณ 10,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ได้ 0.3-0.4% แต่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งปีเพียง 0.05% เท่านั้น แต่ในทางกลับกันหากผู้ประกอบการผลักภาระไปยังราคาสินค้า จากการประเมินคาดว่า ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น 10-15% กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกำลังแรงงานทั่วประเทศที่ 38 ล้านคน ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์ตรงนี้ทุกคน กระทบต่อการบริโภคหดตัวลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก คาดว่าจะฉุดเศรษฐกิจปีนี้ ให้หดตัวจากที่ควรจะเป็น ประมาณ 0.1-0.2% เป็นต้น .-514-สำนักข่าวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

บอร์ด สปสช. เห็นชอบ 30 บาท บัตรใบเดียวขยายพื้นที่ ระยะที่ 3

 
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งแรกภายหลังจากที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดย พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ในฐานะตัวแทนบอร์ด สปสช. ได้มอบดอกไม้ต้อนรับ ซึ่งในวันนี้มีวาระพิจารณาและเห็นชอบการขยายพื้นที่ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ระยะที่ 3 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคม 2567 และในกรุงเทพมหานคร พร้อมรับทราบการดำเนินงานนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ตั้งแต่ 7 ม.ค. – 7 พ.ค. 67
 
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” โดยแบ่งพื้นที่การดำเนินการในจังหวัดต่างๆ เป็น 4 ระยะ และได้รับความเห็นชอบจากบอร์ด สปสช. แล้วเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2566 ในการร่วมขับเคลื่อน พร้อมกับเห็นชอบการของบกลางเพื่อรองรับการดำเนินการ ทั้งในส่วนการบริหารจัดการและการให้บริการสุขภาพประชาชน ซึ่งรวมถึงหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ 7 ประเภท ที่เข้ามามีส่วนขับเคลื่อน ในวันนี้บอร์ด สปสช. จึงได้เห็นชอบให้เดินหน้าสนับสนุนต่อเนื่องในระยะที่ 3 เพิ่มเติมในเขตสุขภาพที่ 1 ภาคเหนือตอนบน เขตสุขภาพที่ 4, ภาคกลางตอนกลาง เขตสุขภาพที่ 9, ภาคอีสานตอนใต้ เขตสุขภาพที่ 12, ภาคใต้ตอนล่าง เขตสุขภาพที่ 3 และเขสุขภาพที่ 8 รวมทั้งสิ้น 33 จังหวัด โดยเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคมนี้
 
 
สำหรับในส่วนของกรอบงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนนโยบายฯ นั้น ภาพรวมการดำเนินการทั้ง 4 ระยะ สปสช. กำหนดงบประมาณไว้รองรับทั้งสิ้น 7,120.07 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนระยะที่ 1 จำนวน 366.57 ล้านบาท ระยะที่ 2 จำนวน 807.16 ล้านบาท และระยะที่ 3 ตามที่บอร์ด สปสช. เห็นชอบครั้งนี้จำนวน 2,813.08 ล้านบาท รวมถึงระยะที่ 4 ที่ให้ขยายทั่วประเทศ อีกจำนวนจำนวน 3,254.60 ล้านบาท
 
 
จากงบประมาณภาพรวมดังกล่าวนี้ แยกเป็นงบประมาณดำเนินการในส่วนหน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุขวิถีใหม่ 7 ประเภท จำนวน 4,368.62 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมการให้บริการทั้งที่ร้านยาชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกการพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น และคลินิการแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น นอกจากนี้เป็นงบประมาณการบริการในหน่วยบริการอื่นกรณีที่มีเหตุสมควร จำนวน 2,684.75 ล้านบาท และงบประมาณเพื่อใช้ในการบริหารจัดการ จำนวน 66,700 ล้านบาท
 
 
“งบประมาณดำเนินการ 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ในส่วนของระยะที่ 2 และ 3 นั้น วันนี้บอร์ด สปสช. ยังได้เห็นชอบให้ สปสช. เสนองบกลางเพื่อดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างนี้ให้ สปสช. ดำเนินการสำรองจ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพก่อน และเมื่อได้รับงบกลางให้จัดสรรทดแทนคืนเงินตามกองทุนที่ได้เบิกจ่ายไป” ประธานบอร์ด สปสช. กล่าว
 
 
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ยังได้รับทราบการดำเนินงานนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ในช่วงระยะที่ 1 และระยะที่ 2 โดยรวมมีประชาชนเข้ารับบริการตามนโยบาย จำนวน 3,493,101 คน เป็นจำนวน 4,810,812 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นการรับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรมฯ จำนวน 944,778 คน เป็นจำนวน 1,280,458 ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ 26.62 ของจำนวนการรับบริการทั้งหมด (ที่มา: ผลงานบริการจากฐานข้อมูล NHSO_OneID ที่รวบรวมข้อมูลบริการจาก FDH ของกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูล Eclaim และ DMIS สปสช. ข้อมูลตั้งแต่ 7 ม.ค. – 7 พ.ค. 67)
 
 
ส่วนการรับรู้และความพึงพอใจต่อนโยบายฯ นั้น จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่เข้ารับบริการฯ ใน 4 จังหวัดนำร่อง โดยสายด่วน สปสช. 1330 ในช่วงวันที่ 19 – 27 เม.ย. 67 นั้น พบว่าประชาชนมีการรับรู้ต่อนโยบายฯ อยู่ที่ร้อยละ 75-82 การรับบริการส่วนใหญ่รอคอยไม่เกิน 30 นาที และส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อการดำเนินนโยบายฯ นี้ ทั้งในด้านความสะดวกในการเข้ารับบริการ ความพึงพอใจในการเข้ารับบริการ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อรับการรักษาพยาบาล และระยะเวลาการให้บริการ โดยรวมแล้วประชาชนมีความพึ่งพอใจต่อนโยบายฯ ในภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 98.77 สะท้อนให้เห็นว่า เป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง และได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมาก และข้อมูลนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการเดินหน้านโยบายฯ ในระยะต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY WORLD PULSE

ไทยเสียอันดับตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ ของอาเซียนให้ประเทศมาเลเซีย

 
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2024 นิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า มาเลเซียแซงหน้าไทยขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาคซึ่งได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปเอเชียใช้ห้ำหั่นกัน 

 

นิกเคอิเอเชียรวบรวมข้อมูลยอดขายที่เผยแพร่โดยกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม พบว่ายอดขายรถยนต์ในมาเลเซียซึ่งก่อนหน้านี้ครองอันดับ 3 ของอาเซียนมายาวนาน ได้แซงหน้ายอดขายในประเทศไทยแล้ว 3 ไตรมาสติดต่อกัน นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 

 

จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซีย (Malaysian Automotive Association) ยอดขายรถยนต์ในมาเลเซียในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 202,245 คัน เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) หลังจากที่มีทำยอดขายรวมในปี 2023 ได้ 799,731 คัน เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้าการยกเว้นภาษีรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเลเซีย เป็นแรงหนุนยอดขายรถยนต์ของแบรนด์ระดับชาติของมาเลเซีย อย่าง เปโรดัว (Perodua) และโปรตอน (Proton) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันอยู่ประมาณ 60%

 

การยกเว้นภาษีรถยนต์ของมาเลเซียเริ่มต้นในปี 2020 และแม้ว่ามาตรการนี้จะสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี ​​2022 แต่ยอดจองรถยนต์ในช่วงปลอดภาษียังคงเพิ่มตัวเลขยอดขายในปี 2023 

 

“การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวในราคาที่แข่งขันได้สูง ช่วยกระตุ้นยอดขาย” สมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซียระบุในแถลงการณ์ 

 

ในทางตรงกันข้ามยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยซึ่งครองอันดับ 2 ของภูมิภาคมาอย่างยาวนานกลับตกต่ำลง ถึงขั้นที่ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 25% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 

 

ยอดขายรถยนต์รายเดือนของประเทศไทยเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 เนื่องจากปัญหาสินเชื่อรถยนต์ที่ไม่ก่อรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อรถยนต์เข้มงวดขึ้น บวกกับการบริโภคที่ซบเซาลงโดยท่ัวไปอย่างไรก็ตาม สัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน อีวีจีน 

 

ส่วนอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนยังขาดแรงผลักดัน ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 24% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคลังเลในการซื้อรถ

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Nikkei Asia

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมจัดหางาน แจ้งด่วนรับสมัครคนไทยไปทำงานมาเก๊า นายจ้างจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน

 
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า กับนายจ้างบริษัท MGM Grand Paradise Limited ซึ่งประกอบกิจการสถานคาสิโน ร้านอาหาร และโรงแรม ตั้งอยู่ที่ MGM MACAU Building, Avenida Dr. Sun Yat Sen, N.1101, NAPE, Macau จำนวน 7 ตำแหน่ง รวม 46 อัตรา ได้แก่ พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม วีไอพี พนักงานยกกระเป๋า บัตเลอร์ พนักงานต้อนรับ พนักงานต้อนรับส่วนหน้า วีไอพี และพนักงานบริการลูกค้า

 

เงินเดือนอยู่ระหว่าง 53,469 – 85,916 บาท โดยนายจ้างจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป – กลับ เมื่อทำงานสิ้นสุดสัญญาจ้าง ช่วยจ่ายค่าที่พักเดือนละ 500 เหรียญมาเก๊า จัดอาหารให้ในช่วงเวลาทำงาน มีค่าล่วงเวลา และสวัสดิการตามกฎหมายแรงงานมาเก๊า ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครได้ที่เว็ปไซต์ toea.doe.go.th ได้ตั้งแต่วันที่ 13 – 22 พฤษภาคม 2567 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ

 

นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งงานและคุณสมบัติ ที่นายจ้างแจ้งความต้องการมี 7 ตำแหน่ง  ดังนี้

1. พนักงานบริการลูกค้า จำนวน 1 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 18,800 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 85,916 บาท อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า สามารถพูดภาษาจีนกลางได้ดี ทำงานเป็นกะได้  โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีประสบการณ์ทำงานด้านการตลาด การขาย

2. บัตเลอร์ จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 17,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 79,975 บาท  อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป สามารถพูดภาษาจีนกลางได้ ทำงานเป็นกะได้ โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีความรู้ด้านอาหาร เครื่องดื่ม และการทำความสะอาดบ้าน 

3. พนักงานต้อนรับ จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 17,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 79,975 บาท อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ทำงานเป็นกะได้ โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีประสบการณ์บริการลูกค้า 1 ปีขึ้นไป  

4. พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม วีไอพี จำนวน 10 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 16,600 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 75,862 บาท อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป มีทักษะด้านการสื่อสาร สามารถพูดภาษาจีนได้ ทำงานเป็นกะได้ โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม 

5. พนักงานต้อนรับส่วนหน้า วีไอพี  จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 16,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 75,405 บาท อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีทักษะด้านการสื่อสาร สามารถพูดภาษาจีนได้คล่อง ทำงานเป็นกะได้ โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้อง 

6. พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม  จำนวน 10 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 12,200 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 55,754 บาท อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป มีทักษะด้านการสื่อสาร สามารถพูดภาษาจีนกลางได้ ทำงานเป็นกะได้ โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีประสบการณ์ทำงานด้านอาหารและเครื่องดื่ม  

7. พนักงานยกกระเป๋า จำนวน 10 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 11,700 เหรียญมาเก๊า  หรือประมาณ 53,469 บาท อายุระหว่าง 22 – 35 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป สามารถพูดภาษาจีนกลางได้ ทำงานเป็นกะได้ โดยจะพิจารณาเป็นพิเศษหากมีประสบการณ์ด้านบริการลูกค้า 

อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การรับสมัครครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกไปทำงานจะมีค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ได้แก่ ค่ารูปถ่าย ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 4,000 บาท

 

โดยผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครสอบ กำหนดการและวิธีการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หัวข้อ “ข่าวประกาศรับสมัคร” หรือ Facebook : แรงงานไทยไปต่างประเทศโดยรัฐจัดส่ง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2245 1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการจัดหางาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

15 พฤษภาคม“วันครอบครัวสากล” : มอบความรักให้เด็กที่ขาดโอกาส ด้วย “ครอบครัวทดแทน”

 

วันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี องค์กรสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นวันครอบครัวสากล (International Day of Families) เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญของครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานแรกในการอบรมเลี้ยงดูเด็กให้มีคุณภาพ ครอบครัวที่อบอุ่น มีเมตตา และการอบรมอย่างมีเหตุผล จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กมีพื้นฐานจิตใจและนิสัยที่ดี อันจะนำไปสู่การเติบโตเพื่อเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อสังคม

ทั้งนี้ เนื่องในวันครอบครัวสากล มูลนิธิเด็กโสสะฯ ตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว จึงมีรูปแบบการดำเนินงานภายใต้แนวคิดการเลี้ยงดูเด็กแบบ “ครอบครัวทดแทน” คือ การเลี้ยงดูเด็กในระยะยาวโดยมอบครอบครัวให้กับเด็กๆ ที่เคยขาดพ่อแม่ ไร้ญาติมิตร จะได้มีบ้าน มีแม่โสสะให้การดูแล มีพี่น้อง อยู่ในหมู่บ้านเด็กโสสะที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน พร้อมทั้งได้รับการศึกษาสูงสุดตามความสามารถ ซึ่งเด็กๆ จะเข้ามาอยู่ในมูลนิธิฯ ตั้งแต่แรกเกิด จนกระทั่งเติบโตสามารถเรียนจบหางานทำได้ และออกจากครอบครัวโสสะเพื่อไปใช้ชีวิตในสังคมต่อไป โดยเด็กทุกคนจะได้เติบโตในสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสม มั่นคง และปลอดภัย

         วันนี้มูลนิธิเด็กโสสะฯ จะพามาทำความรู้จักกับครอบครัวโสสะกันค่ะว่า มีใครบ้าง และเด็กๆ ได้เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมอย่างไรกันบ้าง

 
แม่โสสะ คือ สตรีโสดที่ไม่มีภาระผูกพัน ซึ่งทำ “อาชีพแม่” มีหน้าที่ดูแลเด็กๆ ในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต่างจาก “แม่” ทั่วไป เด็กทุกคนมีแม่ผู้ให้การเลี้ยงดูด้วยความรักและความอบอุ่น แม่โสสะพร้อมรับลูกทุกคนให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโสสะโดยไม่มีเงื่อนไข ก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์อันแนบแน่นและมั่นคงระหว่างแม่โสสะกับลูกโสสะทุกคน
 
 พี่น้องชายหญิง

          นอกจากคุณแม่โสสะที่คอยดูแลลูกๆ ทุกคนในบ้านแล้ว ยังมีพี่ๆ ที่คอยช่วยเหลือคุณแม่อีกแรง ทั้งอาบน้ำ ชงนม พาเข้านอน พี่โตก็จะแบ่งหน้าที่กัน ยิ่งน้องตัวเล็กๆ ยิ่งเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ลูกโสสะแม้ต่างที่มา ต่างภูมิหลัง แต่พวกเขาเติบโตและร่วมแบ่งปันสุขทุกข์ในชีวิตผ่านสายใยอันอบอุ่นของความเป็นพี่เป็นน้อง ที่คอยช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน

 
 บ้านของครอบครัว

          เด็กทุกคนมีบ้านของตัวเองซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงปลอดภัย  ภายในบ้านไม่แตกต่างจากครอบครัวทั่วไปเลยค่ะ มีห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ และโซนนั่งเล่น ที่เด็กๆ ทุกคนจะมานั่งทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งเด็กๆ จะมีหน้าที่รับผิดชอบงานบ้านที่แตกต่างกันไป รวมถึงช่วยคุณแม่ทำกับข้าวด้วย

 หมู่บ้านเด็ก

          ครอบครัวโสสะอาศัยอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านเด็กโสสะซึ่งเป็นชุมชนที่ช่วยเหลือและเกื้อกูลกัน อีกทั้งหมู่บ้านเด็กโสสะยังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพากันอาศัยกัน โดยในหมู่บ้านเด็กโสสะจะประกอบไปด้วยบ้าน 12-14 หลัง โดยแต่ละหลังจะมีแม่โสสะอาศัยอยู่ร่วมกับเด็กๆ 10-12 คน ซึ่งเด็กๆ จะมีวัยที่แตกต่างกันไป และอยู่ร่วมกันเสมือนพี่น้องแท้ๆ ค่ะ

มูลนิธิเด็กโสสะฯ ยังคงมุ่งมั่นให้การช่วยเหลือเด็กไทยที่สูญเสียครอบครัว ไร้ที่พึ่ง เพื่อมอบความรักและชีวิตที่คุณภาพให้กับเด็กทุกคน ซึ่งเราไม่เพียงมอบครอบครัวทดแทนและบ้านที่ปลอดภัย แต่ยังสนับสนุนให้เด็กๆ ทุกคน เติบโตอย่างมีความรู้ ความสามารถ เพื่ออาศัยอยู่อย่างพึ่งพาตนเองได้ในสังคม โดยปัจจุบันมีเด็กที่ออกจากครอบครัวโสสะไปใช้ชีวิตด้วยตนเองแล้วร่วม 600 คน

          การที่เด็กๆ ทุกคนในครอบครัวโสสะได้มีช่วงเวลาแห่งความสุข ทางมูลนิธิฯ ต้องขอขอบพระคุณทุกจิตเมตตาที่ได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่เด็กๆ ให้พวกเขาได้มีวัยเด็กที่มีความสุข และได้เติบโตมีอนาคตที่สดใสอีกครั้ง


ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเด็กในครอบครัวโสสะ ได้ที่ เว็บไซต์ 
https://www.sosthailand.org/donatenow และรับชมคลิป Never Ending Family : ครั้งแรกที่เด็กกำพร้าจะได้ถ่ายรูปกับครอบครัว ได้ที่ https://youtu.be/7HEu1ANr6c4

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มูลนิธิเด็กโสสะ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายเตรียมใช้ศาลากลางหลังแรก จัดงานวิสาขบูชา 22 พ.ค. นี้

 

เมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ วัดพระสิงห์ พระอารามหลวง ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย พระพุทธิญาณมุณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการจัดโครงการธรรมยาตราวิสาขบูชาถวายเป็นพุทธบูชา และเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา จังหวัดเชียงราย โดยมีรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดในเขตเทศบาลนครเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่าย ภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมประชุมเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการจัดงาน ทั้งด้านวัสดุอุปกรณ์ บุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง การเตรียมความพร้อมในด้านการให้บริการอาหาร น้ำดื่ม และน้ำปานะ รวมถึงการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และด้านการพยาบาล แก่ผู้เข้าร่วมพิธี

 

ด้วย คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย ร่วมกับจังหวัดเชียงราย และหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ตลอดจนภาคีเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา กำหนดจัดกิจกรรม “โครงการธรรมยาตราวิสาขบูชา ถวายเป็นพุทธบูชาและเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา จังหวัดเชียงราย” ขึ้นในวันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 13.00น. เป็นต้นไป ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ศาลากลางหลังแรก) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย ได้น้อมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา และศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา น้อมถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา(วันวิสาขบูชา) ประจำปี พ.ศ. 2567 และเพื่อให้พสกนิกรชาวจังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้น้อมถวายพระพรชัยมงคล และถวายเป็นพระราชกุศลแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ6 รอบ 72 พรรษา รวมถึงเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้ศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตและประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย ผ่านสถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจและ รักบ้านเกิดของตนเองเพิ่มมากขึ้น

 

โดยจังหวัดเชียงราย กำหนดประกอบพิธีธรรมยาตราวิสาขบูชาขึ้นในวันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2567 เวลา 13:00 น. ณ พระอุโบสถวัดพระสิงห์ พระอารามหลวง พิธีเปิดโครงการและเดินธรรมยาตรา เวลา 14:00 น. ณ พระบรมราชานุเสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ศาลากลางหลังแรก) โดยคณะสงฆ์ และส่วนราชการ พุทธศาสนิกชน ร่วมเดินธรรมยาตราไปยังสถานที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ วัดศรีบุญเรือง อนุสาวรีย์พญามังราย วัดกลางเวียง วัดเจ็ดยอด วัดมิ่งเมือง วัดพระแก้ว วัดดอยงำเมือง และสิ้นสุดที่วัดดอยจอมทองในเวลา 16:00 น. โดยผู้เข้าร่วมพิธี คณะสงฆ์ ส่วนราชการ และพุทธศาสนิกชน ร่วมประกอบพิธีเวียนเทียนเนื่องในสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา ประจำปี 2567

 

ทั้งนี้จังหวัดเชียงราย ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมโครงการธรรมยาตรา วิสาขบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา และเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา โดยพร้อมเพรียง การแต่งกายชุดสุภาพ เสื้อสีเหลือง ได้ในวันและเวลาดังกล่าว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News