Categories
AROUND CHIANG RAI VIDEO

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2023 คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

อบจ.เชียงราย เปิดงานมหกรรมดอกไม้อาเซียน จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “When You Wish Upon A Star คำอธิษฐานผ่านดอกไม้…ถึง…ดวงดาว” ซึ่งทางทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เล่ารายละเอียดของงานว่า

ปีนี้ก็เป็นเรื่องของความรักความโรแมนติกเกี่ยวข้องกับเรื่องของสายมู คําอธิษฐานผ่านดอกไม้หรือดวงดาวมีอยู่7โซน ในสวนดอกไม้งามริมน้ำกกของเรา ในแต่ละโซนก็จะมีไฮไลท์ที่แตกต่างกันไปการจัดสวนของเราเป็นการจัดสวนที่มีการออกแบบผสมผสานไม่ใช่เป็นสวนดอกไม้อย่างเดียว แต่เป็นการจัดสวนออกแนวศิลปะ

 

มีการนําประติมากรรมที่รังสรรค์โดยศิลปินชาวจังหวัดเชียงราย มาออกแบบในส่วนของท้ายสวนก็จะมีพื้นที่สร้างสรรค์โดยกลุ่มเยาวชนของจังหวัดเชียงรายเราและหลังจากจบงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน เราจะมีการจัดพื้นที่สร้างสรรค์ไปอีก 4 อําเภอรอบนอกงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน

อทิตาธร กล่าวอีกว่า ในการคํานวณที่พื้นที่แค่ 500,000 คน หากมีการจับจ่ายใช้สอยพักกินเที่ยวซื้อของคิดแค่คนละ 1,000 บาท ท่านเอาจํานวน 1,000 บาท คูณกับนักท่องเที่ยวจํานวน 500,000 คนคิดว่าเงินจะไหลกลับเข้ามาจํานวนเชียงรายมากมายเท่าไหร่อันนี้กว่า 5 ร้อยล้าน

เพราะฉะนั้นเนี่ยก็ถือว่าเป็นโอกาสทองของจังหวัดเชียงรายหากมีการลดลงของนักท่องเที่ยวจีนไม่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวงานในจังหวัดเชียงรายหรือแม้กระทั่งงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน เพราะเท่าที่ผ่านมาเจากการสํารวจนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวในประเทศและเป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากหลายประเทศ

ทางทีมข่าวได้สอบถามถึงประเด็นที่เชียงรายได้รับเลือกให้เข้าเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ในระดับโลก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN ) ประจำปี 2566 จากองค์การยูเนสโก ที่ผ่านมาจะช่วยส่งผลต่อจังหวัดอย่างไร

ทางด้านอทิตาธร กล่าวว่า – ในขณะเดียวกันด้วยความเชียงรายเนี่ยเราได้รับการประกาศเป็นเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกมีกว่า 30 ประเทศทั่วโลกที่วันนี้ได้ประสานงานติดต่อเข้ามาเพื่อที่จะเข้ามาเที่ยวชมงานแล้วจะมาเที่ยวชมที่จังหวัดเชียงรายของเรา

ช่วงนี้ถือว่าช่วงเดือนธันวาเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศก็เริ่มเย็นลงงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานเฟสติวัลที่จะนําพานักท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดเชียงรายของเราและในจังหวัดเชียงรายของเรานอกเหนือจากจะมีเรื่องของไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 แล้วเชียงรายเมืองสร้างสรรค์แล้ว

งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน ของเราที่จัดนี้ก็เป็นการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาและมีการกระจายการจัดงานไปอีก 4 อําเภอในขณะเดียวกันในอําเภอล้อมรอบของเรา ในส่วนที่เราจัดงาน 4 อําเภอแล้วก็มีการดึงนักท่องเที่ยวไปในแหล่งต่างๆ ซึ่งถือว่าเชียงรายของเราเที่ยวได้ทั้งปีและมีดีทุกอําเภอเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเที่ยวในด้านของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ชา กาแฟสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ขณะนี้เชียงรายถือว่าเป็นเมืองแห่งมนต์เสน่ห์ของการท่องเที่ยวเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพค่ะ – อทิตาธร กล่าว

โดยงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2566 – 2 มกราคม 2567 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทั้งนี้ สวนดอกไม้จะเปิดให้เข้าชมได้ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

SONP จับมือ MarTech เสริมแกร่งทักษะสื่อยุคดิจิทัล One Day Training ครั้งที่ 2

 

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2566  ณ ห้องแมนดาริน ซี ชั้น 1 โรงแรมแมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในโครงการความร่วมมือองค์กรสื่อขับเคลื่อนพัฒนาวิชาชีพและส่งเสริมจริยธรรมสื่อเพื่อสร้างระบบนิเวศสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดให้มีการฝึกอบรม One Day Training แลกเปลี่ยน – เรียนรู้กับกูรูออนไลน์ ประจำปี 2566 ครั้งที่ 2  หัวข้อ “ความสำคัญของ MarTech กับอุตสาหกรรมสื่อดิจิทัล ในยุค Digital Era” โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด (MerTech)  ในการจัดอบรมในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาทักษะให้แก่บุคลากรด้านการผลิตข่าว การตลาด รวมทั้งการสร้างรายได้ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อในยุคดิจิทัล มีสมาชิกผู้เข้าอบรม จำนวน 58 ท่าน

การอบรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก คุณชุตินธรา วัฒนกุล ที่ปรึกษาสมาคมฯ และบรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) กล่าวต้อนรับวิทยากร และผู้เข้ารับการอบรม

 

          คุณชุตินธรา กล่าวว่า “ในยุคที่เทคโนโลยีสื่อสารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรามีข้อมูลขนาดมหาศาลที่เรียกว่า Big Data เกิดขึ้น การตลาดดิจิทัลก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีเครื่องมือมากมายเลยสำหรับการทำการตลาด สามารถจะเอามาใช้ในการวิเคราะห์ในการวางกลยุทธ์ เราจะนำคอนเท้นท์ไปถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างไร จะหากลุ่มเป้าหมาย อย่างไร และจะนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มอะไร เราจะปรับปรุงพัฒนาตัวคอนเท้นท์ของเราให้มีประสิทธิภาพอย่างไร เครื่องมือการตลาดสามารถช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้ หวังว่าความรู้และทักษะที่ผู้อบรมจะได้รับจากผู้บรรยาย จะสามารถที่นำไปประยุกต์ พัฒนา ปรับปรุงเนื้อหาของเราให้มีคุณภาพ วางแผนกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมรับมือ AI ที่กำลังจะมา”

 

            ด้าน คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า “นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผู้บริหารคนรุ่นใหม่กลุ่ม Start up ในสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาดได้มาแชร์ความรู้ ประสบการณ์ทำงาน ในด้าน MerTech เพื่อตอบคำถามของสื่อมวลชนว่า เป้าหมายการทำงานต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางไหน แกนหนึ่งที่สำคัญคือ  “เรื่องของข้อมูล” เป็นสิ่งสำคัญในยุคนี้อย่างยิ่ง สามารถไปต่อยอดในด้านกลยุทธ์หรือการขายก็ได้  เช่น  ข้อมูลของเพจ “ส่องสื่อ” ที่รวมรวม Engagementโดยจัดเรียงอันดับ ทำให้เราเห็น ความสัมพันธ์ของจำนวนการโพสต์ กับจำนวนผู้ติดตามในแต่ละเพจอย่างชัดเจน ” 

 

         การอบรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก คุณจิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ นายกสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด หรือ MarTech มาบรรยายถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดมาช่วยในการปรับปรุง หรือ สร้างวิธีการทำงานแบบใหม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด  “MarTech คือ เครื่องมือที่ทำให้การทำการตลาดยุคใหม่ไม่ต้องใช้วิธี Manual เราสามารถทำแบบ Automation ได้ ซึ่ง MarTech มาจากการความก้าวหน้าของการใช้  Software ที่อยู่บนคลาวด์ SAAS (Software AS A Services)  ใช้ประโยชน์ได้มากมาย อาทิเช่น การเก็บข้อมูลจาก Social การช่วยตัดสินใจในธุรกิจ (Data Driven Business) ช่วยในการเก็บข้อมูลลูกค้า การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) การทำการตลาดอัตโนมัติ (Marketing Automation)”

 

          คุณกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wisesight ให้มุมมองเรื่องการทำงานที่ท้าทายในปัจจุบัน Trend ของ Social media ไม่ได้หยุดแค่ Social Media  เพราะบริบทของ Social Media หมายถึง ผู้บริโภคทั้งหมด What Next 2024 มาดูกันว่า ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และคอนเท้นท์บน Social media มีการปรับเปลี่ยนไปอย่างไร บริบทของสังคมในภาพใหญ่ ปรับเปลี่ยนอย่างไร เพื่อให้เราสามารถวางแผนกลยุทธ์ หรือวาง Tactic ได้ว่าในปี 2024  เราควรจะปรับตัวเรื่องอะไรบ้าง การเปลี่ยนแปลงในเชิงปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI Disruption ถ้าใครปรับตัวใช้งานปัญญาประดิษฐ์ได้ก่อน ก็จะสามารถสร้างความได้เปรียบในปี 2024 ค่อนข้างมาก “ในอนาคต งานจะเหมือนเดิม แต่วิธีการทำงานจะเปลี่ยน ถ้าเราทำเหมือนเดิม เราจะตกยุค”

 

          คุณณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธิ์  ผู้บริหารและหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท พรีดิกทีฟ  (Predictive) ผู้ให้บริการด้าน Data Intelligent กล่าวถึง “การนำเครื่องมือ เทคโนโลยีการตลาดมาใช้ ทั้งในด้าน กระบวนการ วิธีคิด และกลยุทธ์ ในฐานะสื่อจะสามารถสร้างรายได้มากขึ้นจากการใช้ข้อมูล ไม่ว่าจากการวิเคราะห์ Segmentation ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาบนเว็บไซต์ ว่าเขาต้องการอะไรบ้าง ทั้งในแกนของ นักการตลาดและแกนของผู้ใช้งาน  พวกเขามีความคาดหวังอย่างไรบ้าง เราสามารถนำข้อมูล มาสร้างมูลค่าเพิ่มในการหารายได้อย่างไร ซึ่งกระบวนการคิดจะเริ่มจาก ต้องรู้ว่าปัจจุบันข้อมูลที่มีอยู่ในองค์กร ที่จัดเก็บมาเป็นสิบๆ ปีมีตรงไหนบ้าง นำมาสร้างมูลค่าให้เราได้ การนำข้อมูลไปสร้างธุรกิจใหม่ๆ หรือสามารถ Monetized เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกิดขึ้น เช่น การทำ CPM ถ้าเรานำข้อมูลมาวิเคราะห์แยกแยะประเภทของข้อมูลให้ละเอียดมากขึ้น เราก็จะอาจจะขายได้ในมูลค่าที่มากกว่าเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราวางกลยุทธ์ไว้ สามารถนำไปสร้างรายได้อย่างไรบ้าง ข้อมูลไม่ได้มาฟรี ๆ คุณต้องลงทุนเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและพฤติกรรมของลูกค้า ”

 

          คุณภาวัต พุฒิดาวัฒน์  ผู้บริหาร บริษัท โกเซล  (Gosell) สตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้าน ระบบจัดการคำสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าออนไลน์ กล่าวถึงการทำการตลาด  Ecommerce & Affiliated Marketing ว่า สื่อทุกค่ายมี Follower หรือผู้ติดตามจำนวนมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดไปคือ การเพิ่มช่องทางการขาย เช่นการทำ Affiliate การเพิ่มรายได้จากฝั่ง E commerce นำไปปรับใช้กับธุรกิจสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตมากขึ้น และแพลตฟอร์มที่น่าสนใจที่สุดในเวลานี้คือ TikTok ที่ Disruption วิธีการขาย Affiliate แบบเก่า กลายมาเป็นรูปแบบของคลิปวีดีโอ ซึ่งสามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมากให้กับกลุ่ม Influencer

 

          คุณชนกานต์ ชินชัชวาล ผู้บริหาร บริษัท Robolingo (ZWIZ.AI) ผู้ให้บริการระบบ AI Chat Bot และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก บรรยายในหัวข้อ “ Social Commerce” แนะการหารายได้ บนช่องทาง Social Media เช่น Facebook  Line, IG, TikTok และ การนำ Automation Tool  มาช่วยในการขาย เช่น ออกรายการทีวีแล้วปิดการขายผ่าน Line ผ่าน Chat Facebook มีตัวช่วยเยอะมาก ถ้าสื่อบวกกับ MarTech ในเชิงการใช้เครื่องมือต่าง ๆ จะช่วย Brand และผู้ประกอบการ เรื่องยอดขายได้มากขึ้น เพิ่ม Reach การเข้าถึงได้มากขึ้น การออกแบบโครงสร้าง Chatbot ให้ดี ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และนำไปสู่การเพิ่มยอดขายได้

 

          คุณอัจฉริยะ ดาโรจน์ ผู้บริหารบริษัท AIYA บรรยายในหัวข้อ Proximity Marketing หรือการทำการตลาดแบบใกล้ชิด โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น  การทำ Location base Marketing ใน Line Application เป็นการตลาดที่น่าสนใจ มุ่งเน้นไปที่การเจาะกลุ่มลูกค้าตามโลเคชั่นเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง สามารถวัดสถิติได้ เป็นการสื่อสารที่ไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถสร้างผู้ติดตามใน Line

กล่าวโดยสรุป การใช้เทคโนโลยีในการทำการตลาดยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจ มีความสำคัญต่อการปรับตัวขององค์กรสื่อ เพื่อมองหาโอกาสในการหารายได้เพิ่ม และเรียนรู้เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงเนื้อหา เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เล็งเห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาบุคคลากรองค์กรสื่อให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น และโครงการ One Day Training เป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพดังกล่าวให้เกิดขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ดีอี ร่วม ตำรวจไซเบอร์ แก้ไขปัญหา อาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ

 

 

นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ดีอี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒนครบัญชา ผบช.สอท. เร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกรณีแก๊งคอลเซนเตอร์และการพนันออนไลน์ทุกรูปแบบ ด้วยการตั้งศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ตั้งแต่ 1 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา เพื่อให้เป็น One Stop Service แก้ปัญหาออนไลน์แก่ประชาชน โดยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมี War-room เพื่อใช้บูรณาการในการติดตามสถานการณ์ สั่งการ ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามโจรออนไลน์อย่างทันเวลา โดยเน้นมาตรการเชิงรุก คือ “ระงับ” หรือ “อายัด” บัญชีของคนร้ายให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ทันที โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

1. ติดตามสถานะการแก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายทุกขั้นตอนได้ทันที
2. เร่งรัดการติดตามเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายให้เร็วที่สุด
3. เพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม การดำเนินคดี และการขยายผลคดี โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการดำเนินการ
4. เริ่มบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เมื่อได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย

 

ทั้งนี้ จากความร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มข้น ได้นำมาสู่การแถลงปฏิบัติการ Cyber Guardian เป็นการบุกตรวจค้นจับกุมผู้กระทำผิดจำนวน 4 กรณี

 

1. กรณีจับกุมแก๊งหลอกโหลดแอปดูดเงิน อายัดเงินได้ทัน 9.6 แสนบาท เพื่อคืนผู้เสียหาย สำหรับพฤติกรรมคนร้ายในการหลอกลวงให้ผู้เสียหายโหลดแอปพลิเคชันนั้น คนร้ายได้โทรศัพท์มาหลอกลวงผู้เสียหายโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง แจ้งว่ารัฐบาลจะให้รับเงินบําเหน็จ บํานาญ เดือนละ 2 ครั้ง และจะช่วยดําเนินการให้ จากนั้นคนร้ายให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์ แล้วมีการให้ทําตามขั้นตอนที่คนร้ายบอก ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องค้างไม่สามารถปิดเครื่องหรือทําอะไรได้ ผู้เสียหายจึงรีบเดินทางไปที่ธนาคารและพบว่าเงินในบัญชีธนาคาร 2 บัญชีถูกโอนไปยังบัญชีคนร้าย 5 ครั้ง

2. กรณีจับกุมเครือข่ายพนันออนไลน์ Slotkub พบเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาท พบการกระทำผิดในการจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ slotkub789.com, slotkub88.com และ like365.com ซึ่งเครือข่ายดังกล่าว มีสมาชิกผู้เล่นรวมกันกว่า 100,000 คน มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาทต่อปี จากการสืบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ทั้ง 3 เว็บไซต์ดังกล่าวนั้น เป็นเครือข่ายเดียวกัน จึงได้ลงพื้นที่หาข้อมูลพร้อมรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออำนาจศาลออกหมายหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมจำนวน 10 ราย โดยมีทั้ง เจ้าของเว็บไซต์ โปรแกรมเมอร์ เจ้าหน้าที่ดูแลการเงิน และบัญชีม้า นอกจากนี้ ยังได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาล เพื่อเข้าตรวจค้นเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง กระทั่งเช้ามืดของวันที่ 13 ธันวาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตํารวจไซเบอร์ได้ระดมกำลังเพื่อเข้าตรวจค้นเป้าหมาย และจับกุมผู้กระทําความผิดที่เกี่ยวข้อง โดยได้เข้าตรวจค้นพื้นที่ทั้งหมด จำนวน 6 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องได้หลายรายการ มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

3. กรณีบุกค้นโกดังใหญ่ย่านบางบอน ขยายผลจากกรณีจับตัวการส่งพัสดุ หลอกเก็บเงินปลายทาง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บุกตรวจค้นโกดังสินค้าขนาดใหญ่ย่านบางบอน ขยายผลจากกรณีจับกุมตัวการตีเนียนส่งพัสดุหลอกเก็บเงินปลายทางโดยที่ไม่ได้สั่งซื้อ และส่งสินค้าที่ไม่ตรงปกเพื่อหลอกเก็บเงินปลายทาง ตำรวจไซเบอร์ได้เร่งกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิด โดยสืบเนื่องจาก ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center) หรือ AOC 1441 ได้รับร้องเรียนจากการประชาชนเป็นจำนวนมาก ว่าได้รับความเดือดร้อนจากการเรียกเก็บเงินค่าพัสดุปลายทางโดยที่ไม่ได้สั่งซื้อ หรือ เคยสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มบนโซเชียล แต่ไม่ได้รับสินค้าตรงตามที่ได้สั่งซื้อ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมนายอนุศาสน์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ซึ่งได้ใช้แพลตฟอร์ม TikTok จำนวน 4 บัญชีในการขายสินค้า มีการส่งพัสดุในรอบ 1 เดือน ประมาณ 8,000 ชิ้น และมีพัสดุตีกลับประมาณ 47 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมียอดระงับการเก็บเงินปลายทางกว่า 8 แสนบาท จึงได้นำตัวพร้อมของกลางส่งดำเนินคดี ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลแขวงบางบอน เข้าตรวจค้นโกดังสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในซอย เอกชัย 109 แขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร พบนางสาวกัญญารัตน์ อายุ 24 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ อ้างว่าเป็นผู้ดูแล โดยได้ให้ความร่วมมือพาเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในโกดังดังกล่าว จากการตรวจค้นพบของกลางสินค้านำเข้าจากประเทศจีนที่ไม่มีมาตรฐานกว่า 30 รายการ รวมทั้งสิ้นกว่า 4 พันชิ้น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า น้ำหอม ครีมทาผิว และสินค้าอื่นๆ อีกหลายรายการ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดส่งดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมจะทำการขยายผลเพิ่มเติมจากหลักฐานที่ได้จากปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป

 

4. กรณีจับแก๊งรับจ้างตัดต่อภาพลามกอนาจารผ่านกลุ่มลับแอป VK โดยใช้ชื่อบัญชี “รบกวนตัดออกให้ที” ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณ 1.2 แสนราย นอกจากนี้ ยังมีการโพสต์ข้อความรับจ้างตัดต่อภาพผู้อื่นให้เป็นภาพโป๊เปลือย หรือรับเข้าเป็นสมัครชิกกลุ่มวีไอพีชื่อ “ชุมชนช่างตัดเสื้อ” รวมทั้งเปิดให้เช่าใช้งานโปรแกรม AI สำหรับตัดต่อภาพโป๊เปลือย โดยรับชําระเงินผ่านระบบทรูมันนี่ วอลเล็ท ในรูปแบบของอั่งเปา ทั้งนี้ สมาชิกที่เสียเงิน สามารถดูภาพตัดต่อโป๊เปลือยของผู้อื่น ซึ่งถูกตัดต่อไว้แล้วโดยใช้โปรแกรมระบบ AI หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” โดยมีแอดมินที่เชื่อว่ามีความรู้ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีในการทําหน้าที่ควบคุมกลุ่มดังกล่าว

 

จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน สามารถนําไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาได้จํานวน 2 ราย ซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการร่วมกันกระทําความผิดดังกล่าว โดยในครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ครบทั้ง 2 ราย พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการกระทําความผิด นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบอีกว่า คนร้ายดังกล่าวมีพฤติกรรมนําภาพของผู้อื่นมาตัดต่อให้มีลักษณะโป๊เปลือยและนําเข้าข้อมูลภาพดังกล่าวลงในกลุ่มในลักษณะลามกอนาจารแล้วหลายราย ทั้งดารา และบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยการตัดต่อเป็นภาพลามกและนําไปโพสต์ขายในสื่อสังคมออนไลน์เป็นการกระทําความผิดหลายข้อหา ได้แก่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์14(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับและมาตรา 16 นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 200,000 บาท

 

“ผมและพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน มีความมุ่งมั่นที่จะกวาดล้างอาชอาญกรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ ทั้งเว็บไซต์พนันออนไลน์ หลอกโหลดแอป และอื่นๆ เพื่อลดความเสียหายและลดความเสี่ยงให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน รวมทั้งหามาตรการใหม่ๆ เพื่อยับยั้งการทำงานของมิจฉาชีพด้วย และบูรณาการการทํางานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เมื่อได้รับแจ้งจาก ผู้เสียหาย” นาย ประเสริฐ กล่าว

 

ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถโทรปรึกษาสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

​นายกฯ ชวนนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมลงทุน โครงการ ‘Landbridge’ โอกาสทองนักลงทุนทั่วโลก

 

 

18 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชม.) ณ ห้องซากุระ โรงแรมอิมพีเรียล โตเกียว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นประธานการเปิดสัมมนางานภาพรวมของโครงการ Landbridge และโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งมีบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเกือบ 30 บริษัทให้ความสนใจร่วมเข้ารับฟัง โดยภายหลังเสร็จสิ้นการกล่าวของนายกรัฐมนตรี นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยสาระสำคัญจากคำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 

 

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมงาน “Thailand Landbridge Roadshow” ในวันนี้ ย้ำว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการที่รัฐบาลไทยได้ริเริ่มขึ้น จากโอกาสและศักยภาพของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งของภูมิภาค และในอนาคตอาจจะเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งอีกแห่งหนึ่งของโลก

 

โดยได้นำเสนอข้อมูลของโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากนักลุงทุนชาวญี่ปุ่น ซึ่งทวีปเอเชียมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 40% รองลงมาเป็นทวีปยุโรปที่มีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 38% ซึ่งการค้าขายส่วนใหญ่จะอาศัยการขนส่งทางเรือเป็นหลัก เนื่องจากขนส่งได้ในปริมาณมากและประหยัดที่สุด และการเดินเรือสินค้าระหว่างเอเชียกับยุโรปนั้นส่วนใหญ่จะใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกา

 

ช่องแคบมะละกาจึงจัดได้ว่าเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าทางทะเลหลักในภูมิภาค โดยตู้สินค้าผ่านช่องแคบมะละกามีสัดส่วนร้อยละ 25 ของจำนวนตู้สินค้าที่ขนส่งทั่วโลก รวมทั้ง การขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบมะละกามีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของการขนส่งน้ำมันทั่วโลก จึงจัดได้ว่าช่องแคบมะละกามีปริมาณการเดินเรือที่คับคั่ง และแออัดมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

 

ปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้า หรือตู้คอนเทนเนอร์ที่เกิดขึ้นในท่าเรือต่างๆ ที่อยู่บริเวณช่องแคบมะละกามีอยู่ประมาณ 70.4 ล้านตู้ต่อปี และจำนวนเรือที่เดินทางผ่านช่องแคบมะละกามีประมาณ 90,000 ลำต่อปี คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2030 ปริมาณเรือจะเกินกว่าความจุของช่องแคบมะละกา และจะประสบปัญหาตู้สินค้าจำเป็นต้องรอที่ท่าเรือ เพื่อรอเรือเข้ามาทำการขนถ่ายตู้สินค้า ทำให้เกิดค่าเสียโอกาส และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจากความล่าช้า

 

ไทยได้เห็นโอกาสในการพัฒนาเส้นทางที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ โดยใช้ทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ที่สามารถพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ไทยจึงเชื่อว่าโครงการ Landbridge เป็นเส้นทางเลือกที่สำคัญ ที่จะรองรับการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีความได้เปรียบของเส้นทางที่ประหยัดกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า

 

เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนและระยะเวลาสำหรับการขนส่งตู้สินค้าผ่าน Landbridge กับผ่านช่องแคบมะละกาแล้วนั้น พบว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของเรือขนส่งตู้สินค้าที่จะเข้ามาใช้ Landbridge ได้แก่ เรือขนส่งตู้สินค้าขนาดกลาง หรือ Feeder ที่ขนส่งตู้สินค้าระหว่างประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย

 

ในปัจจุบันการขนส่งตู้สินค้าจากประเทศผู้ผลิตในกลุ่มเอเชียตะวันออก อาทิ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ไปยังประเทศผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง ตู้สินค้าส่วนใหญ่จะถูกขนส่งมาโดยเรือขนาดใหญ่ หรือ Mainline แล้วมาเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าลงเรือ Feeder ที่ท่าเรือในช่องแคบมะละกา เพื่อขนส่งไปยังประเทศผู้บริโภค ซึ่งในอนาคตเมื่อมีโครงการ Landbridge ตู้สินค้าเหล่านั้นจะเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากประเทศผู้ผลิตโดยใช้เรือ Feeder แล้วมาเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าลงเรือ Feeder อีกลำที่ Landbridge ซึ่งจะสามารถประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย 4% และประหยัดเวลาได้ 5 วัน

 

สำหรับสินค้าซึ่งผลิตจากประเทศผู้ผลิตในแถบทะเลจีนใต้ เช่น จีนด้านตะวันออก ไต้หวัน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มายังประเทศผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง ส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งโดยเรือ Feeder แล้วมาถ่ายลำที่ท่าเรือในช่องแคบมะละกา ไปลงเรือ Feeder อีกลำ เพื่อขนส่งตู้สินค้าไปยังประเทศผู้บริโภค เมื่อมีโครงการ Landbridge ตู้สินค้าเหล่านั้นจะมาถ่ายลำที่ Landbridge ซึ่งจะสามารถประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย 4% และประหยัดเวลาได้ 3 วัน

 

ในกลุ่มสินค้าอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา และประเทศจีนตอนใต้ สามารถขนถ่ายตู้สินค้าผ่านโครงข่ายคมนาคมทางบกของไทย ไปออกที่ Landbridge ด้วยเรือ Feeder ไปยังประเทศผู้บริโภคต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศในเอเชียกลาง และประเทศในตะวันออกกลาง โครงการ Landbridge จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากเดิมได้มากถึง 35% และประหยัดเวลาได้มากถึง 14 วัน

 

ดังนั้น เฉลี่ยแล้วการขนส่งตู้สินค้าในทุกเส้นทางดังกล่าว ผ่าน Landbridge จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางได้ 4 วัน และลดต้นทุนได้ 15% ซึ่งจากการคาดการณ์ปริมาณตู้สินค้าทั้งหมดที่จะผ่านท่าเรือฝั่งตะวันตกของ Landbridge จะอยู่ที่ประมาณ 19.4 ล้านตู้ และผ่านท่าเรือฝั่งตะวันออกจะอยู่ที่ประมาณ 13.8 ล้านตู้ หากเทียบเป็นสัดส่วนกับจำนวนตู้สินค้าทั้งหมดที่ผ่านท่าเรือต่าง ๆ ในช่องแคบมะละกา จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 23%

 

ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประมาณการแบบขั้นต่ำ (Conservative) และพิจารณา การเชื่อมโยงสินค้าที่เกิดจากเรือ Feeder มาต่อเรือ Feeder เท่านั้น ยังไม่รวมโอกาสที่เรือขนาดใหญ่ หรือ Mainline จะเข้ามาเทียบท่าในโครงการ Landbridge ในอนาคต

 

ในส่วนของการขนส่งน้ำมันดิบจากภูมิภาคตะวันออกกลาง พบว่าในปัจจุบันมีการขนส่งน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยที่ 56% หรือประมาณ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งหากใช้ Landbridge เป็นจุดกระจายน้ำมันดิบในภูมิภาค จะประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย 6%

 

อีกทั้งในการลงทุนโครงการนี้ นักลงทุนจะได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในภาคบริการ ธุรกิจภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงินและการธนาคาร โดยผลประโยชน์จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในภาคเกษตรกรรม และธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-curves ที่จะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น

 

Landbridge จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ในภาพรวม โดยคาดว่าจะเกิดการสร้างงานในพื้นที่จำนวนไม่น้อยกว่า 280,000 อัตรา และคาดว่า GDP ของประเทศไทยจะเติบโตถึง 5.5% ต่อปี หรือประมาณ 6.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อมีการพัฒนาโครงการอย่างเต็มรูปแบบ

 

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่น และเชิญชวนให้ญี่ปุ่นร่วมลงทุนในโอกาสครั้งสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อนในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ทั้งในเชิงพาณิชย์ และเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย เพื่อความเติบโตในเศรษฐกิจร่วมกัน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อุทยานฯ แจงแล้ว ค่าเข้าถ้ำหลวง 950 บาท เป็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่อุทยาน

 

18 ธันวาคม 2566 จากกรณี กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ประกาศเปิดท่องเที่ยวในพื้นที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน โดยช่วงแรกของการเปิดการท่องเที่ยว เข้าชมถ้ำหลวงในโถง 1-3 จะเปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาวถึงร้อนและจะปิดบริการในช่วงฤดูฝน โดยจะเก็บค่าบริการ ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทย รายละ 950 บาท และนักท่องเที่ยวต่างชาติ รายละ 1,500 บาท ต้องจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์อุทยานถ้ำหลวง ซึ่งการเข้าชมจะแบ่งเป็นกลุ่มละ 10 คน วันละ 2 รอบ เนื่องจากระยะทางเดิน 800 เมตรถึงโถง 3 และกลับออกมาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง 

 

 

โดยได้พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานเปิดงาน “หนาวนี้ เที่ยวอุทยานแห่งชาติ National Parks to Remember Winter Festival” โดยมีร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. นายอรรถพล เจริญชันษา รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายศรัญยู มีทองคำ ผวจ.เชียงราย ข้าราชการ ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงาน

 

 

ต่อมาเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลจำนวนมาก ถึงราคาค่าบริการ โดยหลายคนแสดงความคิดเห็นว่า ราคาแพงเกินไป เพราะกิจกรรมไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีบางส่วนบอกว่า ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโอกาส ทางนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่บริเวณ โถงที่ 1 ซึ่งมีระยะทาง 200 เมตร ของถ้ำหลวงนั้น ประชาชนยังสามารถเข้าเที่ยวชมได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และ โถงที่ 2 และ3 เนื่องจากเป็นพื้นที่พิเศษ ต้องมีคนนำทาง ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปคนเดียวได้

 

 

 

ต่อมามีนายชุติเดช กมนณชนุตม์ ผอ.สำนักบริการพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย แถลงชี้แจงกรณีค่าเข้าร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวถ้ำหลวง โกงที่ 2 และ 3 การเก็บค่าเข้าร่วมกิจกรรมตามรอยหมูป่า (ท่องเที่ยวถ้ำหลวงโถงที่ 2 และ 3) อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) โดยมีค่าเข้าร่วมกิจกรรมสำหรับชาวไทย 950 บาท ชาวต่างชาติ 1,500 บาท จำกัดจำนวนผู้เที่ยวชม วันละ 2 รอบ รอบละไม่เกิน 10 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วยเป็นผู้นำทาง บรรยายสื่อความหมายเกี่ยวกับธรณีถ้ำ และความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือ 13 หมูป่า ตลอดจนมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการกู้ภัย ที่มีนักท่องเที่ยวโวยว่า ค่าเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวแพงเกินไปนั้น

ทั้งนี้ การเก็บค่าเข้าร่วมกิจกรรมราคาดังกล่าว ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านถ้ำทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์ในการเที่ยวถ้ำ เนื่องจากเป็นพื้นที่พิเศษ และเสี่ยงต่ออันตรายและการหลงทางในถ้ำ สำหรับการเที่ยวชมถ้ำหลวงโถง 2 และ 3 ของถ้ำหลวง ต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในการนำเข้าไปในถ้ำ เพราะสภาพพื้นที่มีความลาดชันสูง มีการไต่เชือกขึ้นผาหิน ลอดช่องแคบ ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมกิจกรรม การเที่ยวชมถ้ำหลวงโถง 2-3 ต้องมีการจองล่วงหน้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้คัดเลือกผู้มีความพร้อมทั้งสุขภาพ ร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการเที่ยวชม

 

สำหรับการอนุญาตให้เปิดถ้ำหลวงโถง 2 ถึงจุดเชื่อมต่อโถง 3 ระยะทางประมาณ 715 เมตร ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการถ้ำแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการถ้ำหลวงได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดถ้ำหลวงโถง 2-3 มาเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยค่าเข้าร่วมกิจกรรมจะเก็บโดยกองทุนสวัสดิการอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทย แบ่งเป็นค่าบุคลากรนำเที่ยว (ผู้เชี่ยวชาญ 300 บาท ผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญ 50 บาท เจ้าหน้าที่กู้ภัย 2 คน 100 บาท ผู้นำเที่ยวท้องถิ่น 50 บาท) นำเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่าและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 150 บาท นำเข้ากองทุนสวัสดิการถ้ำหลวง 300 บาท

“อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีประวัติศาสตร์การกู้ภัยระดับโลก การท่องเที่ยวตามรอยการกู้ภัยดังกล่าว ถือว่ามีความคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมกิจกรรมและสัมผัสประสบการณ์ในถ้ำหลวงที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ สำหรับประชาชนที่ไปเที่ยวในบริเวณโถง 1 ซึ่งมีระยะทาง 200 เมตร จะไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ยังคงเที่ยวได้ตามปกติ”

 

โดยการเก็บเงินค่าเข้าร่วมกิจกรรมตามรอยหมูป่า (ท่องเที่ยวถ้ำหลวงโถงที่ 3) อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) รายละ 950 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเก็บโดยกองทุนสวัสดิการอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) มีรายละเอียด คือ

  1. บุคลากรนำเที่ยว เป็นเงิน 500 บาท
    1.1 ผู้เชี่ยวชาญ 300 บาท
    1.2 ผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญ 50 บาท
    1.3 เจ้าหน้าที่กู้ภัย 2 คน 100 บาท
    1.4 ผู้นำเที่ยวท้องถิ่น 50 บาท
  2. นำเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่าและเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นเงิน 150 บาท
    2.1 กองทุนมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าและรักษาทะเล    
    2.2 กองทุนสวัสดิการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  3. นำเข้ากองทุนสวัสดิการถ้ำหลวง เป็นเงิน 300 บาท
    3.1 สวัสดิการสำหรับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ)
    3.2 ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ในถ้ำและบริเวณด้านนอก (ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายจากทางราชการได้)
    3.3 จัดหาอุปกรณ์สำหรับเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญ
    3.4 ค่าอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
    3.5 ค่าประกันชีวิตเจ้าหน้าที่และบุคลากรนำเที่ยวถ้ำหลวง

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กรมขนส่งทางบก คาดปีใหม่ 2567 ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน กลับภูมิลำเนาขนส่งสาธารณะ

 
นายสุรพงษ์ ปิยโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดกิจกรรมรณรงค์อำนวยความสะดวก และความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567  พร้อมเปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567 คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะรวม 15,840,000 คน
 
 
แบ่งเป็นระบบสาธารณะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 14.1 ล้านคน และการเดินทางระหว่างจังหวัด 1.8 ล้านคน ซึ่งในส่วนของผู้เดินทาง 100,000 คน  พบว่าในแต่ละปีมีค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตถึง 25 คน ขณะที่กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าลดการสูญเสียให้เหลือไม่เกินปีละ 12 คนเพียงเท่านั้น
 
 
การเตรียมการในปีนี้ ได้มีการเตรียมการล่วงหน้ามาก่อนราว 3 เดือน ทั้งการดูเรื่องของรถเชื่อมต่อสถานีกลางบางซื่อและหมอชิต รวมไปถึงการนำรถมาจอดที่สถานีขนส่งเพื่อดูความพร้อม และให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการตกค้างของประชาชน ซึ่งปีนี้จะพยายามบูรณาการร่วมโดยไม่ใช้งบประมาณ และใช้งบการบริหารจัดการร่วมกัน ส่วนเรื่องของตั๋วโดยสารยืนยันว่า วันนี้สามารถจองได้ตลอดไม่มีเต็ม

 

ด้านนาย วิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ที่ผ่านมาดำเนินการประชุมร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย  สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์รถโดยสาร สมาคมผู้ประกอบการขนส่งทั่วไทย และผู้ประกอบการผู้โดยสาร เพื่อที่จะหารือแนวทางร่วมกันในการอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยการดูแลการเดินทางของประชาชน

 

ทั้งนี้ กรมขนส่งได้มีการเตรียมรถโดยสารไว้กว่า 4,000 เที่ยว และรถเสริมจำนวน 700 คันต่อวัน รองรับคนกลับวันละ 70,000 คน พร้อมตั้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียนเฉพาะกิจ และสายด่วน 1584 ที่สถานีขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กำกับให้สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ดำเนินการตรวจความพร้อมผู้ประกอบการขนส่ง 

 

ทั้งรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศ และสถานประกอบการ ทั้งก่อนและระหว่างเทศกาล  พร้อมวางจุดตรวจความพร้อมรถ และ พนักงานขับรถตามจุดต่างๆ ทั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร 123 แห่ง จุดจอดจำนวน 55 แห่ง จุดตรวจความปลอดภัยจำนวน 15 จุด และจุดเช็คพ้อยจำนวน 28 จุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมขนส่งทางบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชาวเชียงราย มีศูนย์รังสีรักษา รพ.เชียงรายฯ เปิด Quick Win “มะเร็งครบวงจร”

 
17 ธันวาคม 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอาคารรังสีรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย โดยมี พญ.นวลสกุล บำรุงพงษ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารร่วม
 
          นพ.ชลน่านกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ “มะเร็งครบวงจร” เป็น 1 ในนโยบายมุ่งเน้นที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การส่งเสริมป้องกัน คัดกรอง ตรวจวินิจฉัย รักษา และดูแลฟื้นฟูกายใจ โดยเฉพาะในมะเร็ง 5 ชนิด ที่พบมากและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งการเปิดศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมมีทีม Cancer Warrior ช่วยดูแล เพิ่มความรอบรู้ สร้างพฤติกรรมป้องกันมะเร็งให้กับประชาชนจังหวัดเชียงราย ตามแนวทาง Quick Win “มะเร็งครบวงจร” จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งของจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา ที่มีประมาณ 2,400 ราย/ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยการฉายรังสี (ข้อมูล 3 ปีย้อนหลัง) ได้เข้าถึงบริการ ลดการกลับเป็นซ้ำของโรคมะเร็ง และบรรเทาอาการของโรคในระยะแพร่กระจาย ส่งผลให้มีโอกาสหายจากโรคมะเร็งได้มากขึ้น ทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวก ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย
 
          ด้าน พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 758 เตียง รับผิดชอบผู้ป่วยโรคมะเร็งจังหวัดเชียงรายและพะเยา โดยมะเร็งที่พบบ่อยในเพศชาย ได้แก่ 1.มะเร็งตับ 2.มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง 3.มะเร็งปอด ส่วนในเพศหญิงพบมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ตามลำดับ ส่วนมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายสูงสุด คือ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม ตามลำดับ ซึ่งเดิมผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาด้วยรังสี ส่วนใหญ่ประมาณ 900 รายต่อปี ต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง ทำให้มีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 25 ที่ไม่เดินทางไปรับการรักษา เนื่องจากมีภาระด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ประมาณ 15,000 บาทต่อราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์จึงได้ก่อสร้างอาคารรังสีรักษา 6 ชั้น เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 123,900,000  บาท เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งได้เข้าถึงบริการด้านรักษา ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและครอบครัว โดยได้เริ่มทยอยเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
 
          นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาศักยภาพบุคลากรในการให้บริการด้านรังสีรักษา และพัฒนาระบบสารสนเทศรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานบริการในเครือข่าย เพื่อความต่อเนื่องในการดูแลผู้ป่วย และนำข้อมูลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบและบริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อประสิทธิภาพการบริการและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
 

โดยทางด้าน “หมอเอก”  นายแพทย์ เอกภพ เพียรพิเศษ เฟซบุ๊ก หมอเอก Ekkapob Pianpises ได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องเกี่ยวกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลผู้ป่วยมะเร็งชาวเชียงราย-พะเยา ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการฉายรังสีประมาณ 1,200 รายต่อปี พร้อมจัดทีม Cancer Warrior เพิ่มความรอบรู้ สร้างพฤติกรรมป้องกันมะเร็ง ว่า

ข่าวดีสุดๆ !!!!!!! จากนี้ไปชาวเชียงรายไม่ต้องลำบากข้ามเขาไปรักษามะเร็งถึงที่ลำปาง ที่เชียงใหม่แล้ว !!!!!
อาคารรักษามะเร็ง พร้อมทีมบุคลากรรักษามะเร็ง และเครื่องมือรักษามะเร็งพร้อมสำหรับชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงแล้วครับ
 
และในเดือนมีนาคม-เมษายน เครื่องรักสีรักษามะเร็งจะได้มาติดตั้งพร้อมให้การรักษาแล้วครับ
ต่อจากนี้คนไข้มะเร็งและครอบครัวไม่ต้องเลือกอีกแล้วว่าจะต้องเดินทางไปรักษาไกลบ้าน หรือต้องยอมยุติการรักษาเพื่อไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัว
 
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ได้เคยนำเสนอปัญหาของผู้ป่วยมะเร็งในพื้นที่ให้กับ #พี่หนู ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
 
ร่วมกับการขับเคลื่อนของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทั้งในสมัยพี่ไชยเวช มาถึงสมัยพี่อัจฉรา และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และการสนับสนุนของผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่ชาวเชียงรายเรียกว่า โฮงยาไทย ได้มีการพัฒนาศักยภาพเพื่อ คุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเชียงราย
 
วันนี้ขณะนั่งร่วมอยู่ในพิธีเปิดอาคาร ผมมีความรู้สึกดีใจและอิ่มใจกับอาคารที่จะช่วยชีวิตชาวเชียงรายต่อเนื่องไปอีกนาน 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ประทับใจ ASEAN-Japan นายกฯ ญี่ปุ่น พูดถึงนายเจ ชนาธิป

17 ธันวาคม 2566 เวลา 16.00 น.ณ โรงแรม Okura Tokyo นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด ASEAN-Japan โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการสัมภาษณ์ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมอาเซียน-ญี่ปุ่นครบรอบ 50 ปี ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีมีการลงทุนมากที่สุดในอาเซียน การประชุมครั้งนี้ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกันในหลายๆ เรื่อง ทั้งความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น การลงทุน การท่องเที่ยว พลังงานสะอาด Digital Economy Connectivity หุ้นส่วนแบบใจถึงใจ (heart to heart partnership) ซึ่งเกิดจากความผูกพันทางจิตใจ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนที่แน่นแฟ้น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกนักธุรกิจ จนมีความผูกพันกัน

นายกรัฐมนตรีประทับใจมากที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพูดถึงนายเจ ชนาธิป นักฟุตบอลชาวไทยซึ่งได้ระบุในคำกล่าวช่วงการปิดการประชุม แสดงถึงความผูกพันระหว่างกันจริงๆ

ในโอกาสเดินทางครั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งได้พูดคุยเกี่ยวกับด้านการลงทุน และได้กล่าวถึงการพบปะกับนักธุรกิจรายใหญ่ด้านยานยนต์ 7 บริษัทของญี่ปุ่น ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นขอบคุณ และมีความสบายใจถึงการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ จากยานยนต์สันดาปเป็น EV เพราะนายกรัฐมนตรีไทยได้ให้ความมั่นใจว่าจะช่วยดูแลนักธุรกิจญี่ปุ่น

และในการพูดคุยครั้งนี้ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาความร่วมมือ ด้าน Soft power การลงทุนระหว่างกัน เรื่องการท่องเที่ยว การโรงแรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ขอให้ชาวญี่ปุ่นดูแลธุรกิจของคนไทยในประเทศญี่ปุ่นด้วย

ต่อความร่วมมือ OECD ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกมหาอำนาจทั้ง 30 ประเทศ ประเทศไทยยังไม่ได้เป็นสมาชิก และในปีหน้า ประเทศญี่ปุ่นในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมได้เชิญประเทศไทยร่วมเป็นประเทศสังเกตการณ์ด้วย

โดยในโอกาสนี้ ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอย่างสร้างสรรค์ต่อสถานการณ์ในเมียนมา นายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเมียนมามากกว่า 2,000 กิโลเมตร พร้อมที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นจัดตั้งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม Humanitarian Assistance Committee เพื่อให้เกิดความช่วยเหลือร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้มอบสาเกซึ่งทำจากข้าวไทย ชื่อ awamori เป็นของขวัญให้แก่นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนเกิดเป็น fusion  ของ Soft power ของทั้งสองประเทศ

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เล่าว่าได้พูดคุยกับผู้นำอีกหลายประเทศ 

สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้พูดคุยเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการกงสุลเพื่ออำนวยความสะดวกคนไทย และคนกัมพูชาเดินทางระหว่างกันบริเวณเสียมราฐ 

นายกรัฐมนตรีเวียดนาม หารือเพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ซึ่งกำหนดไว้อย่างคร่าวๆว่าจะจัดครั้งต่อไปในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2567 และเป็นโอกาสให้ทั้งสองประเทศซึ่งเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกได้พูดคุยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรข้าวของทั้งสองประเทศ

และยังได้พูดคุยเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว ซึ่งจะจัดเป็นคณะกรรมการร่วมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยใช้จุดเด่นด้านความเชื่อมโยงของไทย ให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน

นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ฝ่ายอินโดนีเซียยืนยันจะขอซื้อข้าวจากไทย 1 ล้านตันภายในปีนี้ หรือหากมีข้อจำกัดจะขอซื้อ 2 ล้านตันภายในปีหน้า โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ติดตามในเรื่องนี้ รวมทั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้กล่าวว่านักธุรกิจอินโดนีเซียมีความต้องการที่จะร่วมลงทุนในโครงการ Landbridge ของไทยด้วย

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเดินทางมาร่วมประชุมครั้งนี้ทำให้เกิดความสบายใจ รู้สึกเป็นการพูดคุยอย่างรู้ใจกับผู้ที่มีความผูกพันกัน ทั้งในระดับรัฐบาล ระดับธุรกิจ และระดับประชาชน โดยต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนร่วมดำเนินการในการเดินทางครั้งนี้อย่างมากเนื่องจากทำให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงของขวัญปีใหม่ที่จะให้กับประชาชนว่า ในการทำงานทุกวันนี้ตั้งใจทำงานอย่างมาก โดยไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นในการเข้ามาเล่นการเมือง ต้องการมาทำงานเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้พี่น้องประชาชน โดยตั้งใจจะทำให้ทุกวันทำงานทุกวันเป็นของขวัญให้ประชาชน อาจจะมีบ้างบางส่วนที่รัฐบาลทำได้ช้า แต่ตั้งใจไว้ว่าอะไรทำได้ก็ทำก่อน เนื่องจากมีประเด็นความท้าทายในหลายเรื่อง ทั้งความเสมอภาค ความเท่าเทียม ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

Chiangrai Super Cup ครั้งที่ 1 เชียงรายจับสลากแบ่งสายแข่งฟุตบอล

 
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2566 เทศบาลนครเชียงราย โดยดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย และ คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาฯ และ นายวรฉัตร ชื่นชอบ ประธานฝ่ายกีฬาฟุตบอล สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแถลงข่าว จัดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน Chiangrai Super Cup ครั้งที่ 1 ที่ ห้องประชุมสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย
พร้อมกันนี้ การจับสลากแบ่งสายการแข่งขันฟุตบอลฯ โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 23 และ 24 ธันวาคม 2566 ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 บาท ที่สนาม X-ARENA STADUM ต.ท่าสาย อ.เมือง จ.เชียงราย โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือรุ่น เยาวชน ชาย 10 ปี12 ปี และ 14 ปี และรุ่นประชาชนทั่วไป ชาย
 
 
นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ทางสมาคมกีฬาฯ มีความมุ่งหวังที่จะส่งเสริมด้านกีฬาทุก ๆ ด้าน รวมทั้งต้องการสสร้าง และพัฒนา เยาวชน และประชาชนภายในจังหวัดเชียราย ในทุกอำเภอ ที่มีใจรักและชื่นชอบในด้านกีฬาฟุตบอล ประการสำคัญคือ เพื่อฝึกการเป็นผู้นำ ผู้ตามที่ดี มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รวมทั้งเพื่อให้ผู้สนใจกีฬาฟุตบอลหันมาสนใจกีฬาชนิดนี้มากขึ้น พร้อมกันนี้ เตรียมจัดกิจกรรมวิ่งเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย และส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงราย พร้อมกระต้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ซึ่งจะจัดวิ่งในวันที่ 16 มกราคม 2567 เริ่มจากสวนตุงและโคมเทศบาลนครเชียงราย ไปยัง หาดเชียงราย
 
 
ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า ทางเทศบาลนครเชียงราย พร้อมให้การสนับสนุนเรื่องของกีฬา เมืองแห่งกีฬา อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้เตรียมที่จะจัดกีฬาทางน้ำขึ้นมาอีก บริเวณสวนสาธารณะริมน้ำกก ด้านหลังวัดฝั่งหมิ่น โดยจะได้มีการส่งมอบเรือ ทั้งเรือที่จะใช้การแข่งขันแบบต่าง ๆ ให้กับทาง ฝ่ายชนิดกีฬาทางน้ำ และเรือสัญจรให้กับวัดฝั่งหมิ่น ซึ่งอานาคตก็อาจจะจัดกีฬาทางน้ำในลำน้ำกก เพื่อร่วมกระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยวด้านกีฬา และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายด้วย
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

หน่วยงานสธ.ในพื้นที่ร่วมบูรณาการมาตรการรองรับเปิดสถานบริการผับ บาร์ถึงตี 4

 

16 ธ.ค.2566  รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย หน่วยงานสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่จัดมาตรการรองรับเปิดสถานบริการผับ บาร์ ถึงตี 4 โดยเชียงใหม่ มีการจัดเตรียมที่พักคอยคนเมา ประสานรถสาธารณะบริการนักท่องเที่ยว ขณะที่ชลบุรี ภูเก็ตออกตรวจตราสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เตรียมระบบการแพทย์และสาธารณสุขพร้อมดูแลเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ


        นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกรณีมีการขยายเวลาเปิดสถานบริการผับ บาร์ถึงตี 4 นำร่องใน กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งเริ่มเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ในการดำเนินมาตรการต่างๆ รองรับเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ มีสถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายรวม 27 แห่ง ใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงใหม่ 24 แห่ง อ.ฝาง อ.เชียงดาว อ.สันทราย อำเภอละ 1 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับอำเภอ ตำรวจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดเตรียมที่พักคอยสำหรับผู้ขับขี่ยานพาหนะที่มีระดับแอลกอฮอล์สูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ขนส่งจังหวัดได้ประสานเครือข่ายรถสาธารณะคอยให้บริการนักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งทีมออกตรวจตรา ควบคุมสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย


         จังหวัดชลบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้นำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อตรวจตราสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนจังหวัดภูเก็ต เบื้องต้นมีสถานบริการจดทะเบียนเปิดถึงตี 4 เฉพาะที่ซอยบางลา ตำบลป่าตอง อำเภอกระทู้ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการผ่านหมายเลข 1669 ได้เตรียมพร้อมดูแลตลอด 24 ชม. และยังมีคณะทำงานวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อสอบสวนสาเหตุพฤติกรรมเสี่ยงและจุดเสี่ยงในพื้นที่ เป็นต้น

 

        “หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เฝ้าระวังสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ส่วนระบบการแพทย์และสาธารณสุข ทั้ง 3 จังหวัดมีความพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งจากนี้จนถึงช่วงปีใหม่ จะเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆไว้ด้วย เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นายแพทย์สุรโชคกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News