Categories
NEWS UPDATE

กรมศุลกากรสกัดจับน้ำมันดีเซลและเฮโรอีน ลักลอบนำเข้าและส่งออกนอกประเทศ

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 14.30 น. นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เป็นประธานในการแถลงข่าวกรณีกรมศุลกากรจับกุมน้ำมันดีเซลจำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท ลักลอบนำเข้ามาราชอาณาจักร และยึดเฮโรอีนเตรียมส่งออกนอกราชอาณาจักรซุกซ่อนอยู่ภายในซองแผ่นประคบร้อน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่า 10.5 ล้านบาท ณ บริเวณคลังของกลาง กรมศุลกากร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษีในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ จึงมอบหมายให้นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด จนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ได้ทำการตรวจค้นรถบรรทุกน้ำมันจำนวน 3 คัน ที่บริเวณริมถนนบางนา – ตราด ขาเข้า กม.37 ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีรถบรรทุกน้ำมัน โดยภายในรถมีน้ำมันที่มีเมืองกำเนิดต่างประเทศและไม่มีเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องจะขับผ่านมาบริเวณดังกล่าว

ผลการตรวจค้นพบน้ำมันดีเซล จำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท เบื้องต้นไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จึงยึดน้ำมันของกลางและยานพาหนะที่ใช้กระทำความผิด จำนวน 3 คัน ซึ่งยานพาหนะมีมูลค่าประมาณ 7,700,000 บาท รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาน 11,341,160 บาท นำส่งกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
              
กรณีดังกล่าวเป็นการนำของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่ามิได้ผ่านพิธีการศุลกากรอันเป็นกระทำความผิดตาม มาตรา 242  หรือ มาตรา 246 ประกอบ มาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

สำหรับสถิติในการจับกุมการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง (ดีเซล) เข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 – ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) มีจำนวน 642 รายปริมาณ 440,168 ลิตร มูลค่ากว่า 10,834,000 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะให้ความสำคัญกับการปราบปรามการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง(ดีเซล)เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อเป็นการปกป้องสังคมและสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้ให้ความสำคัญในภารกิจปกป้องสังคม ให้ปราศจากการลักลอบนำเข้าสิ่งผิดกฎหมายและยาเสพติด จึงให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการป้องกัน สกัดกั้นยาเสพติดให้โทษ และบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ กรมศุลกากรพบกล่องพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศ ต้นทางจากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ปลายทางเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 หีบห่อ มีความน่าสงสัยจึงให้เจ้าหน้าที่ภายใต้การกำกับดูแลของนายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม และนายจักกฤช อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับชุดปฏิบัติการ AITF (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE) ประกอบด้วย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยงในการลักลอบส่งของต้องห้ามต้องกำกัดออกนอกราชอาณาจักร และทำการตรวจสอบพัสดุดังกล่าว ซึ่งสำแดงชนิดสินค้าเป็น PILL PATCH , COUGH PILLS , SNACK น้ำหนักรวม 10.790 กิโลกรัม จากการตรวจสอบสินค้า PILL PATCH จำนวน 12 ถุง (แผ่นประคบร้อน) พบร่องรอยการถูกปิดผนึกใหม่ด้วยความร้อน โดยภายในแต่ละถุงบรรจุซองย่อยอีก จำนวน 4 ซอง รวมทั้งสิ้น 48 ซอง มีร่องรอยการปิดผนึกใหม่เช่นกันทุกซอง จึงได้เปิดซองออกตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (Heroine) ซุกซ่อนอยู่ภายใน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 10.5 ล้านบาท
        
โดยการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 242,244 ประกอบมาตรา 252 ซึ่งเป็นของอันพึงต้องริบ ตามมาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จึงส่งให้ผู้ที่เกี่ยวของดำเนินคดีต่อไป
        
สำหรับสถิติจับกุมยาเสพติดกรมศุลกากร ตั้งแต่ประจำปีงบประมาณ 2566  – ปัจจุบัน (ตุลาคม – กรกฎาคม 2566)  มีจำนวน 148 ราย มูลค่า 1,022,513,880 บาท

นอกจากประเด็นดังกล่าวข้างต้น โฆษกกรมศุลกากร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การนำเงินตราไทยและเงินตราต่างประเทศ ออกไปนอก และเข้ามาในราชอาณาจักร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม. สานพลัง ศูนย์ APCICT หนุนกลุ่มผู้สูงอายุ สตรี ครอบครัว

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 66 เวลา 16.00 น. นางสาวอังคณา  ใจกิจสุวรรณ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีประกาศเจตนารมณ์ และลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างศูนย์ฝึกอบรมเอเชียและแปซิฟิกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา (Asian and Pacific Training Centre for Information and Communication Technology for Development: APCICT) กับ กรมกิจการผู้สูงอายุ (Department of Older Persons: DOP) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (Department of Women’s Affairs and Family Development: DWF) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมี มิสเตอร์คียอง โค (Mr. Kiyoung Ko) ผู้อำนวยการ APCICT  นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ  และนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ

       นางสาวอังคณา กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงสำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ สตรี และครอบครัว รวมถึงกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งประสานพลังความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ระหว่างภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาสังคม รวมทั้งประชาชน ซึ่งวันนี้ พิธีประกาศเจตนารมณ์ และลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดย กรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมกับศูนย์ฝึกอบรมเอเชียและแปซิฟิกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา (APCICT) ภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก หรือเอสแคป (ESCAP) เพื่อพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนด้านการส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ สตรี และครอบครัว ด้วยการยกระดับการมีส่วนร่วมทางดิจิทัลและโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสู่การค้าในระดับสากลต่อไป

       สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ กระทรวง พม. โดย ผส. และ สค. ให้การสนับสนุนในการจัดสรรผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ สนับสนุนทางเทคนิคในการจัดกิจกรรมอบรม และสร้างการมีส่วนร่วมกับโครงการอื่น ๆ รวมถึงการหารือระดับภูมิภาค การฝึกอบรมวิทยาการ การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จัดโดยศูนย์ APCICT อีกทั้งส่งเสริมโครงการพัฒนาศักยภาพในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก โดยมีแผนดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องใน 4 ภูมิภาคของประเทศ

       นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) มีความร่วมมือในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนด้านการส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ ด้วยการนำ Thai Soft Power 5F Food Festival Fashion Fighting Flim มายกระดับการสร้างงาน อาชีพ รายได้ และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผู้สูงอายุ (Silver Economy) 

       นางจินตนา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) มีความร่วมมือในการส่งเสริมและผลักดันให้กลุ่มสตรีและครอบครัว ได้รับการส่งเสริมทักษะในยุคดิจิทัลทั้งด้านองค์ความรู้ การรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์ และทักษะความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) สำหรับการประกอบอาชีพ 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม. เตรียมทำ Sandbox พัฒนาคุณภาพ ประเมินผลสถานรองรับเด็กทั่วประเทศ

วันที่ 2 สิงหาคม 2566 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยถึงการปฏิรูประบบบริหารจัดการสถานรองรับเด็กว่า เบื้องต้น ได้มอบหมายให้ผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมผู้บริหารกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ลงพื้นที่เพื่อสแกนปัญหาการปฎิบัติงานและการดูแลเด็กในสถานรองรับเด็กสังกัด ดย. จำนวน 30 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีเด็กอยู่ในความดูแลกว่า 4,000 คน โดยมีการตรวจสอบถึงชั่วโมงการทำงานของพี่เลี้ยง ระบบงานสังคมสงเคราะห์  สภาพแวดล้อม สุขอนามัย ความปลอดภัย โภชนาการ ตารางกิจกรรมตลอด 24 ชั่วโมง มิติความเป็นส่วนตัวของเด็ก โปรแกรมการปรับพฤติกรรมเด็กบางรายที่อาจจะมีปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงเด็กที่มีภาวะพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น ถูกกระทำความรุนแรงจากครอบครัว ก้าวร้าว ลักขโมย ทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตัวเอง เป็นต้น อีกทั้งร่วมกับทีมสหวิชาชีพเข้าไปตรวจสอบถึงมาตรฐานการดูแลเด็กทั้งหมด รวมถึงการประเมินทักษะความสามารถ ความถนัดของเด็กแต่ละคน เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนพัฒนารายบุคคล  ในส่วนของเด็กโต มีการเสนอให้จัดตั้งสภาเด็กในสถานรองรับเด็ก โดยให้เด็กมีส่วนร่วมในการเสนอความต้องการและกำหนดกิจกรรมต่างๆ 

    นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ดูแลหรือพี่เลี้ยงเด็กจะต้องมีการประเมินการปฎิบัติงานทั้งทัศนคติ ทักษะความรู้ ศักยภาพการทำงาน รวมถึงชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไปหรือไม่ เป็นต้น โดยวิเคราะห์ภาพรวมทั้งหมดและจัดทำเป็นแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เพื่อเสนอของบประมาณจากรัฐในการดำเนินการแต่ละด้าน ซึ่งจากเหตุการณ์พี่เลี้ยงกระทำความรุนแรงกับเด็กในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี รวมถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดในสถานรองรับเด็กเอกชน นับเป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องนำมาปรับและพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูงขึ้น ประกอบกับในห้วงเวลาเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จึงต้องทบทวนการทำงานเพื่อเสนอรัฐบาลชุดใหม่

     นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ มีการสแกนพบปัญหาต่างๆ เช่น ทัศนคติ การขาดทักษะในการสื่อสารกับเด็ก อัตราส่วนพี่เลี้ยงหรือผู้ดูแลเด็กไม่ได้เป็นไปตามสัดส่วนของลักษณะปัญหาของเด็ก ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องดึงภาคธุรกิจเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุน นอกจากนี้ อาจต้องอาศัยกลไกคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ซึ่งมีทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและทีมสหวิชาชีพ ร่วมติดตามประเมินและให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานและพัฒนาการเด็กในสถานรองรับเด็กทั้งหมด โดยให้มีการรายงานทุกเดือน จากที่ผ่านมา มีการประเมินติดตามในระดับกรม อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ โดยจะมีการรายงานประเด็นปัญหาให้ที่ประชุมรับทราบพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นที่ปัจจุบัน เด็กมีอัตราการเกิดน้อยลง แต่พบว่า มีการนำเด็กเข้าสู่สถานรองรับเด็กจำนวนมาก นับเป็นอีกข้อท้าทายที่ต้องไปดูปัญหาต้นทางที่ความเป็นอยู่ของเด็กในครอบครัว และร่วมกันเสนอทางออกว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กได้อยู่กับครอบครัวและชุมชนในพื้นที่อย่างปลอดภัย โดยรัฐเข้าไปช่วยสนับสนุนการดำเนินงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“อนุพงษ์” สั่งทุกจังหวัดใช้กฎหมาย ขออนุญาตสร้างอาคารไม่ป้องกันไฟ

วันนี้ (3 ส.ค. 66) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ให้เข้มงวดในการตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย ดังกรณีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าดอกไม้เพลิงที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ตามที่ปรากฏข่าว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้า ตามที่ปรากฏในข่าวที่มีการลักลอบนำดอกไม้เพลิงมาเก็บไว้บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในลักษณะนี้ จึงได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ดำเนินการให้ความสำคัญในการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 อย่างเคร่งครัด และให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบ สอดส่องดูแล หากเห็นว่าอาคารมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามความจำเป็นและเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร และหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และเจ้าพนักงานท้องถิ่นเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่อาจรอช้าไว้ได้และมีความจำเป็น ให้มีคำสั่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 7 ห้ามใช้อาคารทั้งหมดหรือบางส่วนจนกว่าจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แจ้งเตือนหรือประชาสัมพันธ์ผ่านหอกระจายข่าว และช่องทางการประชาสัมพันธ์ทุกหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อช่วยดูแล ป้องกัน และเฝ้าระวัง สอดส่องดูแลอาคาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชน โดยเฉพาะอาคารที่ถูกดัดแปลงหรือไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงวัสดุ สิ่งของ หรือสิ่งผิดปกติที่เก็บไว้ในอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบทันที เพื่อป้องกันเหตุที่อาจก่อให้เกิดอันตราย มิให้เกิดขึ้น

“หากพี่น้องประชาชนพบเห็น อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ หรือโทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ damrongdhama.dopa.go.th หรือแอปพลิเคชั่น Dopa Help ทั้งระบบ Android และ iOS” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กระทรวงยุติธรรม เร่งเยียวยาเหยื่อโกดังพลุระเบิด นราธิวาส เสียชีวิตจ่ายเต็มที่ รายละ 200,000 บาท

จากกรณี โกดังเก็บพลุ ประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บกว่าร้อยราย รวมทั้ง บ้านเรือนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายจำนวนมาก นั้น
 
นายธีรยุทธ แก้วสิงห์  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ในฐานะโฆษกกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งผู้ประสบเหตุ ที่ได้รับความเสียหายในเหตุการณ์ครั้งนี้  ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ได้เร่งให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายเป็นการเร่งด่วน โดยกรมฯได้ประสานงานกับนางอำไพ ชนะชัย ยุติธรรมจังหวัดนราธิวาสและเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัด เพื่อประสานแนวทางการแจ้งสิทธิตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559  ร่วมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก และศูนย์ปฏิบัติการเยียวยาฯ อำเภอสุไหงโก-ลก รวมทั้งเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆแก่ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์พลุระเบิดครั้งนี้ด้วย

นายธีรยุทธฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดครั้งนี้ นับเป็นโศกนาฏกรรม ที่เกิดความสูญเสียอย่างมาก และเป็นเหตุสะเทือนใจของสังคม กรณีของผู้เสียหายที่เสียชีวิต มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามกฎหมายสูงสุด รายละ 200,000 บาท  ประกอบด้วย ค่าตอบแทนเสียชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท ค่าจัดการศพ ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ไม่เกิน 40,000 บาท และค่าตอบแทนความเสียอื่น ไม่เกิน  40,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการฯจังหวัดนราธิวาส พิจารณาเป็นสำคัญ ส่วนกรณีผู้ที่ได้บาดเจ็บ มีสิทธิได้รับการเยียวยา ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล จำนวนไม่เกิน 40,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ จำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ เนื่องจากต้องพักรักษาตัว ตามค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดนราธิวาส (อัตราวันละ 328 บาท)ไม่เกิน 1 ปี และค่าตอบแทนความเสียอื่น ตามความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ จำนวนไม่เกิน 50,000 บาท

 นายธีรยุทธ กล่าวย้ำว่า กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความผิดอาญาที่ชัดเจนจากการกระทำผิดของผู้อื่น โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่า คณะอนุกรรมการจังหวัดนราธิวาส จะสามารถประชุมพิจารณาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์หน้านี้ ส่วนกรณีที่ได้รับบาดเจ็บอาจต้องรอการรักษาพยาบาลและเอกสารประกอบการพิจารณา ซึ่งสำนักงานยุติธรรมจังหวัดจะได้ประสานงานกับผู้เสียหายและทายาทอย่างใกล้ชิดต่อไป   ทั้งนี้ ทายาทหรือผู้เสียหาย สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนราธิวาส หมายเลข 0-7353-1234 หรือ สายด่วนยุติธรรม โทร 1111 กด 77 (โทรฟรี ตลอด 24ชั่วโมง)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงยุติธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สธ.เฝ้าระวังมลพิษจากโกดังพลุระเบิด รัศมี 500 เมตร พบน้ำยังมีปัญหา!

 วันนี้ (1 สิงหาคม 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการเผาไหม้ของดินปืน อาจทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ รวมถึงปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในแหล่งน้ำได้ ล่าสุด นพ.ชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ได้รายงานความคืบหน้าการตรวจเฝ้าระวังผลกระทบมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยคณะกรรมประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) ทั้ง 13 อำเภอใน จ.นราธิวาส ศูนย์อนามัยที่ 12 ยะลา และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา ได้ลงพื้นที่ร่วมคัดกรองผลกระทบด้านสุขภาพ เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย รวมถึงตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพแหล่งน้ำใช้ โดยเครื่องมือวัดภาคสนาม ณ จุดเกิดเหตุและรัศมี 500 เมตรโดยรอบ พบว่าไม่มีปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ส่วนคุณภาพน้ำยังไม่เหมาะสมทั้งการอุปโภคและบริโภค จึงเสนอให้ใช้แหล่งนำจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ประปา อบต. และน้ำบาดาลโรงเรียนมูโนะ เป็นต้น


          นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ ทีม MCATT จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ และ 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส ลงพื้นที่เยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวในโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก 10 ราย เป็นผู้ใหญ่ 8 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 7 ราย และเด็ก 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย 2.ครอบครัวผู้เสียชีวิต 1 ครอบครัว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ประเมินบุตรของผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย และ 3.ผู้ได้รับผลกระทบในหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 5  จำนวน 241 ราย เป็นผู้ใหญ่ 209 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 43 ราย เด็ก 32 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 8 ราย รวมผู้มีความเสี่ยงทางสุขภาพจิตทั้งหมด 62 ราย ซึ่งทุกรายทีม MCATT ได้ให้การปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นแล้ว สำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ยังได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วย Crisis intervention หรือการช่วยให้วางแผนรับมือความเครียดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และในรายที่พบความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต จะส่งต่อให้ทีม MCATT ในพื้นที่ประเมินตามมาตรฐานการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“วราวุธ” เชิดชูเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า วัน World Ranger Day 2023


วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “วันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าโลก ประจำปี พ.ศ. 2566” World Ranger Day 2023 ซึ่งตรงกับวันที่ 31 กรกฎาคม ของทุกปี ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีและการทำงานอันเสียสละของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในการปกป้องรักษาทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า รวมถึงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ตลอดจนเผยแพร่ผลงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่อยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมี ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คณะผู้บริหารกระทรวงฯ นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้แทน IUCN  มูลนิธิฟรีแลนด์ ประเทศไทย และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ทั้งจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กว่า 700 คน เข้าร่วมในพิธี


นายวราวุธ กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้พิทักษ์ป่ารวมทั้งสิ้น 26,400 คน แบ่งเป็นกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวน 20,275 คน กรมป่าไม้ จำนวน 5,737 คน และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน 388 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีความเสียสละ ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทและอุตสาหะ ทำให้ประเทศไทยยังคงมีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งแลกมาด้วยการอุทิศตนปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ยากลำบากและเสี่ยงภัย อันจะหาผู้ปฏิบัติได้น้อย ถือเป็นการกระทำอันมีเกียรติ ควรค่าแก่การยกย่องเชิดชู ภารกิจของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เป็นงานหนักที่ได้รับค่าตอบแทนไม่สูง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้ให้การดูแลช่วยเหลือด้านสวัสดิการและการสนับสนุนยานพาหนะ วัสดุอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการปฏิบัติงานให้เป็นระบบ มีมาตรฐาน และลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ในการเข้าปะทะกับผู้ที่กระทำผิดเกี่ยวกับการป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ยังได้ผลักดันจนมีการปรับฐานเงินเดือนค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า จาก 9,000 บาท เป็น 11,000 บาท โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 นี้เป็นต้นไป จึงขอเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกนาย ในการพิทักษ์ป่าและรักษาทะเลของประเทศไทยให้คงอยู่เป็นสมบัติของลูกหลานไทยอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป


สำหรับการจัดงานวันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าโลก ประจำปี 2566 นอกจากเพื่อประกาศเกียรติคุณและระลึกถึงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่สละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังมีการมอบเกียรติบัตร มอบสิ่งของและเครื่องดำรงชีพจำเป็นในการออกปฏิบัติงานลาดตระเวนรักษาป่า และพิธีกล่าวคำปฏิญาณตนของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจากทั้ง 3 หน่วยงาน พร้อมกันทั้ง 18 แห่ง ทั่วประเทศ การจัดแสดงนิทรรศการผลงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ด้านการป้องกันรักษาป่า การส่งเสริมการมีส่วนร่วม การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และยังมีเครือข่ายชุมชนในพื้นที่มรดกโลก “แก่งกระจาน” กว่า 20 ชุมชน มาร่วมออกร้านค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนในงานอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปลัด มท. เผยพบทำผิดกฎหมาย 1 จังหวัด หลังสั่งตรวจสอบพลุไฟทั่วประเทศ

วันนี้ (1 ส.ค. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าที่เกิดขึ้น ที่บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมีสาเหตุมาจากการลักลอบนำดอกไม้เพลิงมาเก็บไว้ในที่เกิดเหตุ ผลกระทบจากแรงระเบิดเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีหนังสือกำชับแนวทางการควบคุม ตรวจสอบผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิงไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อเป็นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการของผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนให้การดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน เป็นไปด้วยความถูกต้อง โดยกรมการปกครองได้สั่งการให้อำเภอ 878 อำเภอ ในทุกจังหวัด เร่งตรวจสอบสถานที่ที่อาจเป็นโกดังเก็บดอกไม้เพลิงหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พร้อมรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดและกรมการปกครองทราบโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง ในทุกพื้นที่อย่างเคร่งครัด และอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมชนในช่วงวันหยุดยาวให้พี่น้องประชาชน
.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานจากการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ที่อาจจะเป็นโกดังหรืออาคารลักลอบจัดเก็บพลุ พบแหล่งลักลอบเก็บดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยฝ่ายปกครองอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้เข้าตรวจค้นอาคารไม่มีบ้านเลขที่ อยู่ติดกับหลังบ้านเลขที่ 164/1 หมู่ที่ 11 ตำบลวังด้ง อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งจากการตรวจค้นพบว่ามีร่องรอยการทำดอกไม้เพลิง (พลุ) และสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายประเสริฐ เซี่ยงว่อง อายุ 68 ปี ซึ่งรับเป็นเจ้าของสถานที่และให้การสารภาพว่าตนรับทำดอกไม้เพลิง (พลุ) ที่ใช้ในงานศพ จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีใบอนุญาตทำดอกไม้เพลิงจากนายทะเบียนท้องที่ จึงได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อนที่จะพบของกลางหลายรายการ คือ 
1) พลุ ขนาด 3 นิ้ว จำนวน 3 กระบอก 
2) พลุกล้วย ขนาดใหญ่ จำนวน 30 ลูก 
3) พลุกล้วย ขนาดกลาง จำนวน 4 ลูก 
4) พลุกล้วย ขนาดเล็ก จำนวน 10 ลูก 
5) ดินปืนสำหรับทำชนวน จำนวน 1 ถัง 
6) สายชนวนสีดำ จำนวน 2 เข่ง 
7) สายชนวนสีแดง จำนวน 3 ม้วน
 
  สายชนวนแบบตัดแต่งแล้ว จำนวน 1 ถุง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้แจ้งข้อกล่าวหา “ทำดอกไม้เพลิง (พลุ) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ในทุกพื้นที่ได้ทำการตรวจสอบสถานที่เป้าหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนว่าจะไม่มีเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก รวมทั้งเป็นการป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ในช่วงวันหยุดยาวด้วย โดยมีผลการดำเนินงาน อาทิ
 
1. จังหวัดลำปาง ฝ่ายปกครองจังหวัดลำปาง ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิงในพื้นที่ ประกอบด้วย อำเภอเมืองลำปาง จำนวน 2 แห่ง อำเภองาว 1 แห่ง อำเภอห้างฉัตร 3 แห่ง อำเภอแม่ทะ 1 แห่ง จากการเข้าตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด ในส่วนการตรวจสอบอีก 9 อำเภอที่เหลือ ไม่พบว่ามีโกดัง อาคาร ลักลอบเก็บพลุ ดอกไม้เพลิง
 
2. จังหวัดหนองคาย ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองหนองคาย ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำเภอเมืองหนองคาย เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอเมืองหนองคาย โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 4 ร้าน ประกอบด้วย 1) ร้าน ต.โต้ด การค้า บริเวณร้านค้าตลาดแจ้งสว่าง 2) ร้านแสงรุ่งการเกษตร ต.มีชัย 3) ร้านสุระสถิตย์เซนต์เตอร์ ม.11 ต.พระธาตุบังพวน 4) ร้านจารุวรรณซูเปอร์สโตร์ ม.11 ต.พระธาตุบังพวน จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด
 
3. จังหวัดขอนแก่น ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองขอนแก่น ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำเภอเมืองขอนแก่น เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 1 ร้าน คือ ร้านไทยประเสริฐ ตำบลในเมือง จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
4. จังหวัดราชบุรี ฝ่ายปกครองอำเภอปากท่อ ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอปากท่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากท่อ สภ.ทุ่งหลวง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอปากท่อ โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 3 ร้าน ประกอบด้วย 1) ร้านนายศุภชัย จำปาโชติ ม.1 ต.ปากท่อ 2) ร้าน น.ส.สุรีย์ แซ่ลิ้ม ม.1 ต.ปากท่อ และ 3) ร้าน น.ส.เพ็ญศรี ศุภกุลศรีศักดิ์ ม.1 ต.ปากท่อ จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
5. จังหวัดตาก ฝ่ายปกครองอำเภอวังเจ้า ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอวังเจ้า ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟ บริเวณร้านค้า โกดัง ตลาดนาโบสถ์ เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
6. จังหวัดอุดรธานี ฝ่ายปกครองอำเภอโนนสะอาด ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอโนนสะอาด ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟในพื้นที่อำเภอโนนสะอาด จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
7. จังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายปกครองอำเภอศรีเทพ ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอศรีเทพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีเทพ และ เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลสว่างวัฒนา ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟในพื้นที่อำเภอศรีเทพ จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
8. จังหวัดบึงกาฬ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ จากผลการตรวจสอบ ไม่มีสถานที่ผลิตในพื้นที่ ส่วนสถานที่เก็บและจำหน่ายนั้น ไม่พบการกระทำผิด ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่เป็นสถานที่จำหน่ายตามช่วงเทศกาลสำคัญ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้กำชับให้จัดเก็บอย่างปลอดภัยและให้ห่างไกลจากแหล่งเชื้อเพลิงที่เป็นอันตราย รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
“ขอกำชับไปยังทุกจังหวัด อำเภอให้หมั่นออกตรวจตราเป็นประจำอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมเน้นย้ำผู้ประกอบการ ร้านค้า สถานที่จำหน่าย จัดเก็บดอกไม้เพลิง ให้ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และให้ความระมัดระวัง ไม่ให้ประทัดหรือดอกไม้เพลิง อยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดไฟ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามแนวทางการควบคุม วิธีปฏิบัติการจำหน่ายอย่างเคร่งครัด” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเน้นย้ำ
 
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และตรวจสอบจุดเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดภัยต่อพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการดำเนินการ หรือประกอบการใดที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ชุมชน/หมู่บ้านทุกแห่ง รวมถึงการแจ้งประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หากผู้ใดพบเบาะแสหรือสถานที่ต้องสงสัยที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเก็บพลุ ดอกไม้เพลิง หรือวัตถุอันตราย ที่อาจก่อให้เกิดระเบิด โดยอยู่ในพื้นที่ของชุมชน หรืออาจไม่มีใบอนุญาตประกอบการดังกล่าว ขอให้แจ้งมายังที่ทำการปกครองจังหวัด ที่ทำการปกครองอำเภอ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ หรือโทรสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ชาวเชียงรายแห่เวียนเทียน วันอาสาฬหบูชาวัดห้วยปลากั้ง แน่นวัด!

ค่ำวันนี้(1 ส.ค.) ที่วัดห้วยปลากั้ง อ.เมืองเชียงราย พระไพศาลประชาทร วิ. (หลวงพ่อพบโชค) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง นำพระสงฆ์ พุทธศาสนิกชน ปฎิบัติธรรมสวดมนต์เย็น นั่งสมาธิ และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ โดยพบว่ามีประชาชน และนักท่องเที่ยวร่วมพิธีเวียนเทียนจำนวนมาก โดยมาเป็นครอบครัว ทั้งคนหนุ่ม คนสาวมาเวียนเทียนกันจนแน่นวัด วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมจากการตรัสรู้ให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งเป็นวันแรกที่พระรัตนตรัยเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ครบองค์ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
 
นางปวีณา งามกระบวน ชาวเชียงราย กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาพร้อมกับครอบครัว ส่วนตัวยังคงมีความศรัทธา และยึดมั่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การมาทำบุญ เวียนเทียน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับน้อมนำหลักคำสอนไปปฏิบัติต่อไป
 
การเวียนเทียน ถือเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา ซึ่งถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชาและวันอาสาฬหบูชาโดยปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ใช้คำว่าเวียนประทักษิณาวัตร คือ การเวียนขวา 3 รอบ เพื่อเป็นเครื่องหมายการแสดงออกถึงการเคารพบูชาต่อสิ่งนั้น ๆ อย่างสูงสุด โดยก่อนการเวียนเทียนพุทธบริษัท ทั้ง พระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา จะมาพร้อมกันที่หน้าพระอุโบสถ
 
จากนั้นประธานสงฆ์จุดเทียนและธูป ตามด้วยประธานฝ่ายฆราวาสและผู้ที่มาร่วมประกอบพิธีเวียนเทียน เสร็จแล้วประนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนขวารอบปูชนียสถาน จำนวน 3 รอบ โดยรอบแรกจะเป็นการเจริญภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ รอบที่สองเจริญภาวนาระลึกถึงพระธรรมคุณ และรอบสามเจริญภาวนาระลึกถึงพระสังฆคุณ ซึ่งขณะเวียนเทียนทุกคนจะต้องอยู่ในอาการที่สำรวมทั้ง กาย วาจา และใจ มีสติอยู่กับตัว ไม่พูดคุยและหยอกล้อกันในขณะที่เวียนเทียน เพราะเป็นการไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยและสถานที่ ตลอดจนทำให้ผู้อื่นเกิดความรำคาญหรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อเวียนครบ 3 รอบ ทุกคนจะนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางและปักบูชาไว้ยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News