Categories
FEATURED NEWS

ดูโฮม เปิด ‘สาขาเชียงราย’ หนุนการขยายตัว เขตพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดน

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2566 ดูโฮม บุกเมืองมรดกล้านนา ปักหมุดศูนย์ค้าวัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งบ้าน เปิด ‘สาขาเชียงราย’ หนุนการขยายตัวเขตพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าชายแดน

บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ฉลองครบรอบ 40 ปี เดินหน้าขยายสาขา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกภูมิภาคทั่วประเทศ บุกเมืองมรดกล้านนาเปิดสาขาขนาดใหญ่สาขาแรกของปี 2566 จัดงาน Grand Opening ฉลองเปิด ดูโฮม สาขาเชียงราย สาขาที่ 22 ตอบรับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยวที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในจังหวัดเชียงรายและชายแดน พร้อมอัดโปรแรงเฉพาะวันที่ 25-27 ส.ค. 2566 แจกทองทุกวัน ลุ้นรับวันละ 2 รางวัล และยกทัพขบวนสินค้าเพื่อบ้านลดสูงสุด 70% เท่านั้น พร้อมช้อปคุ้มยาวๆ โปรโมชั่นจัดหนักตลอดเดือน เริ่มตั้งแต่ 25 ส.ค. – 1 ต.ค. 2566

  โดย คุณอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME กล่าวว่า สำหรับ ดูโฮม ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2526 โดยจากเดิมใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ.อุบลวัสดุ จ.อุบลราชธานี และเติบโตเป็นธุรกิจ Modern Trade ที่ได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา จนทำให้เราเป็นศูนย์ค้าปลีก-ค้าส่ง วัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม ตกแต่งบ้าน ระดับประเทศ และในโอกาส ฉลองครบรอบ 40 ปี ดูโฮม ภายใต้ คอนเซ็ปต์ Better Together ครบ ถูก ดี…ตลอดไป’ 

ซึ่งตามนโยบายของบริษัทเรามีความตั้งใจที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งบ้าน จึงเปิด ดูโฮม สาขาเชียงราย เป็นสาขาที่ 22 ด้วยบริษัทได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่ได้รับเลือกเป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจระยะที่ 2 มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ และการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านผ่านชายแดน (ด่านเชียงของ ด่านเชียงแสน และด่านแม่สาย) อย่างต่อเนื่องนั่นเอง

            สำหรับ ดูโฮม สาขาเชียงราย ตั้งอยู่บริเวณติดกาดล้านเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เราคัดสรรสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง สินค้ากลุ่มซ่อมแซม และสินค้ากลุ่มตกแต่งบ้านจากแบรนด์ชั้นนำ โดยมีรูปแบบร้านที่เป็นสมาร์ทคอนเซ็ปต์ (Smart Concept) เน้นการสร้างประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทกับบรรยากาศเย็นฉ่ำและแสงสว่างที่ได้มาตรฐาน, สมาร์ทกับการจัดเรียงที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเลือกซื้อและสร้างแรงบันดาลใจจากห้องตัวอย่าง ตลอดจนสมาร์ทกับบริการ ด้วยการต้อนรับจากพนักงานที่พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งยังคงเน้นย้ำคอนเซ็ปต์ ครบ ถูก ดี ที่ดูโฮม เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งการเปิดสาขาเชียงรายครั้งนี้ ดูโฮม มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวเศรษฐกิจในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมและทำให้เกิดกระจายตัวของนักท่องเที่ยว     

ให้เข้าถึงเมืองต่างๆ มากขึ้น ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และแหล่งท่องเที่ยว พร้อมรองรับการขยายตัวภาคธุรกิจและแผนงานการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งทางบกในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (NSEC) อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ กรุงเทพ-เชียงของ ในอนาคต สุดท้ายแล้วเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสการสร้างงาน และอาชีพให้กับชาวจังหวัดเชียงราย และเราสัญญาว่าจะรักษามาตรฐานของสินค้า ราคา และคุณภาพในการบริการให้กับลูกค้า พร้อมทั้งดูแลลูกค้าด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ และเป็นกันเอง ให้สมกับที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ” คุณอดิศักดิ์ กล่าวปิดท้าย

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.DOHOME.co.th หรือ Line official : @Dohome หรือ Facebook fan page : Dohomeonline หรือ สายด่วน 1746

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตามวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตามวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2566

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ครม. รับรองวัดคาทอลิก 21 จังหวัด รวม 49 แห่ง

 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 23 ส.ค. 66 ได้ ให้ความเห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564  จำนวน 49 แห่ง  ซึ่งเมื่อรวมกับที่ ครม.ได้ให้การรับรองทั่วประเทศไปแล้วก่อนหน้านี้ ในการประชุม ครม. วันที่ 23 ส.ค. 65, 8 พ.ย. 65, 21 ก.พ. 66 และ 16 พ.ค. 66 จำนวน 155 แห่ง  จะให้มีวัดคาทอลิกที่ได้รับการรับรองตามระเบียบฯ รวมแล้วมีทั้งสิ้น 204 แห่ง
 
สำหรับวัดคาทอลิกทั้ง 49 แห่งที่ได้รับการรับรองครั้งนี้ ได้ผ่านการพิจารณาคำขอจากคณะกรรมการกลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิก เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 66 โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่าทั้งหมด มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ได้แก่ 1)ได้รับความเห็นชอบให้ยื่นคำขอรับรองจากสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย 2)มีข้อมูลที่ตั้งวัด 3)มีข้อมูลที่ดินที่ตั้งวัดและการอนุญาตให้ใช้ที่ดิน 4) มีรายชื่อบาทหลวงซึ่งจะไปประกอบศาสนกิจประจำวัด และ 5) มีข้อมูลอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับการรับรองวัดคาทอลิก เช่น มีใบอนุญาตหรือใบรับรองการก่อสร้างอาคารหรือเอกสารรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคารวัด/ มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เอื้อ มีอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการประกอบศาสนพิธี
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับวัดคาทอลิกที่ได้รับการรับรองทั้ง 49 แห่ง อยู่ใน 21 จังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี 9 แห่ง, เชียงราย 7 แห่ง, ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ สกลนคร จังหวัดละ 3 แห่ง กรุงเทพฯ จันทบุรี ภูเก็ต  ยะลา นครพนม และมุกดาหาร จังหวัดละ 2 แห่ง, สมุทรปราการ เพชรบูรณ์ ลำปาง ชุมพร พังงา ตรัง สงขลา ปัตตานี และสุรินทร์ จังหวัดละ 1 แห่ง
 
สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับรองวัดคาทอลิกนั้น นอกจากจะเป็นสถานประกอบศาสนพิธีต่างๆ แล้ว ยังจะสนับสนุนให้วัดเป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจเพื่อความสงบและพัฒนาจิตใจของชุมชนและท้องถิ่น เป็นแหล่งศึกษาด้านวัฒนธรรมประเพณีของคาทอลิกแก่นักเรียนและประชาชน เป็นแหล่งเรียนรู้พระธรรมคำสอนคริสต์ศาสนา ตลอดจนเป็นสถานที่พบปะส่งผลให้เกิดความสามัคคีในชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกไทยประจำเดือนมิ.ย. ขยายตัวสูงถึง 68.7%

 

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกไทยประจำเดือนมิถุนายน และครึ่งแรกของปี 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกไทยครึ่งแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.4 และหดตัวร้อยละ 2.3 เมื่อหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย และเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงซบเซาจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง การผลิตและการบริโภคจึงยังคงตึงตัว คำสั่งซื้อและการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลให้สถานการณ์การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2566 มีมูลค่า 24,826.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (848,927 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 6.4 และหดตัวร้อยละ 2.9 เมื่อหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่าและกระแสความมั่นคงทางอาหารทำให้สินค้าบางรายการขยายตัว จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกได้ในระยะนี้

ด้านการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มีสินค้าสำคัญหลายประเภทที่ขยายตัว อาทิเช่น
1. อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 68.7 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐอเมริกา อินเดีย เกาหลีใต้ กัมพูชา และมาเก๊า
2. หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 46.8 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ฮ่องกง และไต้หวัน
3. อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 31.2 โดยขยายตัวในตลาดฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน และอิตาลี
4. เครื่องใช้สำหรับเดินทาง ขยายตัวร้อยละ 30.3 โดยขยายตัวในตลาดจีน สิงคโปร์ อินเดีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง
5. แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัว 5.3 โดยขยายตัวในตลาดไต้หวัน จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และฟิลิปบินส์
6. รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเขีย และชาอุดีอาระเบีย

ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่
1. น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 31.4 โดยขยายตัวในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ลาว และไต้หวัน
2. ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 14.2 โดยขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
3. ไอศกรีม ขยายตัวร้อยละ 11.3 โดยขยายตัวในตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา สหรัฐอเมริกา และอินเดีย
4. ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 10.7 โดยขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และสหราช
อาณาจักร
5. เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 8.3 โดยขยายตัวในตลาดเวียดนาม เมียนมา จีน ลาว และมาเลเซีย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมาเพื่อมาตรการส่งเสริมการส่งออก อาทิ
1.กิจกรรมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ เช่น จัดงานแสดงสินค้า Top Thai Brands 2023 ณ เมืองบังคาลอร์ รัฐกรณาฎกะ สาธารณรัฐอินเดีย, เข้าร่วมงาน Western China International Fair (WCIF) ณ มณฑลเสฉวน ประเทศจีน, นำผู้แทนการค้า (Trade Mission) ไปเจรจาการค้าในภูมิภาคลาตินอเมริกา (อาร์เจนตินา ชิลี บราชิล), เข้าร่วมงานแสดงสินค้า Naturally Good Expo 2023 ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และเข้าร่วมงานเทศกาล Annecy International Animation Film Festival 2023 เป็นต้น
2. ผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนถาวรไทย-ประเทศเพื่อนบ้านให้กลับมาเปิดทำการปกติได้ครบทั้ง 42 จุด ประกอบด้วย ไทย-ลาว 20 จุด ไทย-กัมพูชา 7 จุด ไทย-เมียนมา 6 จุด และไทย-มาเลเขีย 9 จุด เพื่อให้อำนวยความสะดวกทางด้านการขนส่ง
สินค้าและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

“แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มพื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี มีปัจจัยสนับสนุนการส่งออกจากการเร่งเบิดตลาดศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดส่งออกหลัก เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา และแอฟริกา นอกจากนี้ เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการส่งออกสินค้าของไทย และความกังวลต่อการขาดแคลนอาหารทั่วโลกอาจเป็นปัจจัยผลักดันให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ” น.ส.ทิพานัน กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน ร่วมมือประเด็นอากาศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม

 

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างเอกสารและร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ
แถลงการณ์ร่วมอาเชียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (ASEAN Joint Statement on Climate Change to UNFCCC COP 28)     แสดงถึงความมุ่งมั่นของ อาเซียนในการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศและความตกลงปารีสภายใต้หลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละประเทศและสถานการณ์ของประเทศที่แตกต่างกัน   โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่วดล้อม หรือผู้แทนเห็นชอบ (Endorsement ) ในการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนครั้งที่ 17  ในวันที่  22-24 สิงหาคม 2566 ณ สปป.ลาว  และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนร่วมรับรอง (Adoption) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit ) ครั้งที่ 43 ในวันที่ 5-7 กันยายน 2566 ณ อินโดนีเซีย
2. ร่างเอกสารแนวคิดสำหรับข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของอาเซียนและญี่ปุ่น “แผนงานยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN -Japan New Environment Initiative “Strategic Program for ASEAN Climate and Environment (SPACE) )  และร่างแผนงานอาเซียน-สหรัฐ ฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (ASEAN -U.S. Environment and Climate Work Plan )    โดยร่างเอกสารแนวคิดสำหรับข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของอาเซียน-ญี่ปุ่น มุ่งมั่นแก้ไขวิกฤติหลักของโลก 3  ประการ ได้แก่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  มลพิษและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ  พร้อมเปิดตัวข้อริเริ่มในแผนงานยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาเซียน เพิ่มเติมจากข้อริเริ่มความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-ญี่ปุ่น และแผนปฎิบัติการอนเซียน -ญี่ปุ่น  ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศวันละ 2.0    ในส่วนแผนงานอาเซียน- สหรัฐฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ                                   
ทั้งนี้  ร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ  จะมีการรับรองระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2566 ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 17 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ สปป. ลาว 

3. ร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (ASEAN Action Plan for Invasive Alien Species MAnagement) ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางการประสานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการจัดการและลดผลกระทบจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในภูมิภาคอาเซียน    
โดยจะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่   17 ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  ณ สปป.ลาว ก่อนเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 43  ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2566 ณ อินโดนีเซีย เพื่อทราบต่อไป

 4. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน (ปี 2566 -2570)  Plan of Action for the Promotion of Inclusive Business in ASEAN (2023-2027)  เป็นการกำหนด แนวทางและการจัดลำดับความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ประชาชนเป็นจุดศูนย์กลางของประชาคมในการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย 
ทั้งนี้ จะมีการรับรองแบบไม่ลงนามในการประชุม รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน [ASEAN Economic Ministers Meeting (AEM)] ระหว่างวันที่ 17 – 22 สิงหาคม  2566 ณ เมืองเซอมารัง อินโดนีเซีย  และการประชุมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่  6 และการประชุมรัฐมนตรีระดับสูง ระหว่างวันที่ 23- 25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย  

5. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 10 [Joint Statement of the 10th ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting (AFMGM)]  และ (ร่างแถลงการณ์ร่วมการ AFMGM ครั้งที่  10) และร่างแถลงการณ์ร่วม การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 1 [Joint Statement of the 1st ASEAN Finance and Health Ministers’ Meeting (AFHMM)]    โดยร่างแถลงการณ์ร่วม AFMGM คร้ังที่ 10 เป็นการส่งเสริมความร่วมมือ และให้ความช่วยเหลือระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันและรักษาความเป็นแกนกลางให้กับอาเซียน รวมท้ังมุ่งส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาคอย่างยั่งยืน    สำหรับร่างแถลงการณ์ร่วม AFHMM คร้ังที่ 1 เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ด้านการคลังและสาธารณสุข เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุข ในภูมิภาคและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดหลังโรคโควิด – 19 ทั้งโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำและโรคติดเชื้ออุบัติใหม่  
ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง 2  ฉบับ แบบไม่ลงนามในการประชุม AFMGM ครั้งที่  10 และการประชุม AFHMM ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 – 25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองจาการ์ตา อินโดนีเซีย   

6. เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรี ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 30   และอนุมัติให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงด้านมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 30 [30th ASEAN Socio – Cultural Community (ASCC) Council Meeting]  ในวันที่ 29 ส.ค. 2566 ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย

นางสาวรัชดา ฯ  กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียน มุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและกรอบความร่วมมืออื่นๆ ในประเด็นสำคัญของโลกต่างๆ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ  การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งการเปิดตัวเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการคลังและสาธารณสุข เป็นครั้งแรก เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

ก.วัฒนธรรม ร่วมงานเปิดฉาย ภาพยนตร์ “แมนสรวง” รอบปฐมทัศน์

 

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงานเปิดฉายภาพยนตร์ 
เรื่อง “แมนสรวง” รอบปฐมทัศน์ โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร บริษัท บี ออน คลาวด์ ศิลปิน ดารา นักแสดง สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนิเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ

ภาพยนตร์เรื่อง “แมนสรวง”เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ไทย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ไทย สมัยรัชกาลที่ 3 ถ่ายทอดความน่าสนใจของศิลปะและวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก  ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์ เมืองคานส์ 2023 และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ พร้อมทั้งมีแผนการฉายในประเทศต่างๆ ด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ภาพยนตร์ “แมนสรวงปฐมทัศน์ : Lift The Curtain Gala Premiere”

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

บสย. ผนึก วีซ่า ลงนาม MOU ยกระดับบริการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน

 

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายเดบารุน รอย เชาดูรี หัวหน้าสายงาน Commercial and Money Movement Solutions ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วีซ่า และคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการยกระดับการบริการผู้ประกอบการ SMEs เพื่อโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนอย่างมีมาตรฐานระดับสากล” สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความหลากหลาย ณ สำนักงานใหญ่ บสย. อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 เพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566

ความร่วมมือระหว่าง บสย. และ วีซ่า ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการด้านข้อมูลของวีซ่า ที่เชื่อมโยงร้านค้า ผู้บริโภค และหน่วยงานภาครัฐผ่านเครือข่ายนวัตกรรมการชำระเงินในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2556 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://usa.visa.com/about-visa.html) เพื่อใช้ในการศึกษารูปแบบ และพฤติกรรมการใช้จ่ายและการรับชำระเงินของผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศไทยโดยจะนำผลการศึกษามาจัดกลุ่มลูกค้าและต่อยอดเพื่อพัฒนาระบบเครดิตสกอริ่ง (Credit Scoring) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการปล่อยสินเชื่อและเงินกู้แก่ธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ ( Digital Lending) และการออกหนังสือค้ำประกันผ่านช่องทางออนไลน์ (Digital Credit Guarantee) ร่วมกัน โดยใช้ข้อมูล ความเชี่ยวชาญ และเครื่องมือต่างๆ เพื่อยกระดับการบริการการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs โดยมี บสย. เป็นผู้ค้ำประกัน นอกจากนี้ บสย.จะนำผลการศึกษาไปต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและความต้องการของ SMEs ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้คาดว่าจะเกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEsไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม Micro SMEs กว่า 2.7 ล้านรายต่อไป (ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) ประจำปี 2565)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

กองทัพบก จับมือ กรุงไทย เปิดตัวแอปฯ “OOMSUB”

 
“กองทัพบก” ร่วมกับ “ธนาคารกรุงไทย” เปิดตัวแอปพลิเคชัน OOMSUB (ออมทรัพย์) ให้บริการกับกำลังพล สมาชิกกิจการออมทรัพย์ข้าราชการกองทัพบก (อทบ.) กรมสวัสดิการทหารบก ที่จะช่วยบริหารจัดการด้านการเงิน ครบ จบ ง่าย ในแอปฯเดียว ทั้งจัดการข้อมูลสมาชิก ตรวจสอบยอดเงินฝาก เงินกู้ และถอนดอกเบี้ย รวมถึงยื่นขอกู้ ได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมฟีเจอร์พิเศษ “คู่คิด” ที่จะช่วยให้สมาชิก คิดคำนวณ ต่อยอดวางแผนด้านการเงิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับข้าราชการกองทัพบก เตรียมพร้อมชีวิตหลังวัยเกษียณราชการได้อย่างมีความสุข

พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กองทัพบก ได้รับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทยในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินมาช่วยสนับสนุนภารกิจของกองทัพบก และการให้บริการกับกำลังพลมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทย ได้เปิดสาขากองบัญชาการกองทัพบก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกำลังพล และในครั้งนี้ จากนโยบายการปฏิบัติงานการพัฒนาด้านกำลังพล ในการส่งเสริมสวัสดิการและยกระดับคุณภาพชีวิตของข้าราชการกองทัพบก จึงได้ประสานความร่วมมือกับทางธนาคารกรุงไทย ในการร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน OOMSUB (ออมทรัพย์) แอปฯที่จะช่วยให้กำลังพลซึ่งเป็นสมาชิกกิจการออมทรัพย์ข้าราชการกองทัพบก (อทบ.) สามารถบริหารจัดการเงิน อทบ. ได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย  ผ่านสมาร์ทโฟนด้วยตัวเอง ได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและวิสัยทัศน์ด้านดิจิทัลของภาครัฐ ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกกลุ่ม รวมถึงข้าราชการกองทัพบก โดยที่ผ่านมาธนาคารได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินมาสนับสนุนบริการแก่กองทัพบกในหลายด้าน ทั้งด้านการบริหารจัดการทางการเงิน บนระบบ Krungthai Corporate Online ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านงบประมาณและการเงินของหน่วยงานในกองทัพบก การพัฒนาบริการในระบบนิเวศที่สำคัญในชีวิตประจำวัน ทั้ง Smart Hospital กับโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบก  และ Smart Academy กับหน่วยงานด้านการศึกษา

ในครั้งนี้ ธนาคารได้ร่วมมือกับกองทัพบก พัฒนาแอปฯ OOMSUB (ออมทรัพย์)  ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของข้าราชการกองทัพบกที่เป็นสมาชิก อทบ. ให้จัดการเงิน อทบ. ได้อย่างมั่นใจ โดยแอปฯ OOMSUB (ออมทรัพย์) ให้บริการอยู่บนระบบคลาวด์ ที่มีความปลอดภัยสูง ด้วยการเข้ารหัสข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงระดับมาตรฐานสากล ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินรวดเร็ว และปลอดภัย บนช่องทางดิจิทัลครบวงจร  

แอปฯ OOMSUB (ออมทรัพย์)  ครอบคลุมการให้บริการ ทั้งการตรวจสอบสถานภาพสมาชิก ตรวจสอบยอดเงิน อทบ. ทั้งเงินฝาก เงินกู้ และดอกเบี้ยสะสม สามารถยื่นเรื่องกู้เงิน และตรวจสอบสถานะการยื่นกู้ ที่ทำได้ง่าย ด้วยตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา แบบออนไลน์ เรียลไทม์ รวมถึงสามารถส่งเงินฝากสะสมเพิ่ม หรือชำระหนี้ก่อนกำหนด ผ่านระบบรับชำระเงินจากทุกธนาคาร นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “คู่คิด”  ที่ช่วยให้สมาชิกวางแผนด้านการเงิน ทั้งด้านการเก็บออมเงินและด้านการกู้เงิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับข้าราชการกองทัพบก เตรียมพร้อมชีวิต หลังวัยเกษียณราชการได้อย่างมีความสุข สามารถทำธุรกรรมได้อย่างมั่นใจ

โดยบริการทั้งหมดนี้เป็นการสนับสนุน วิสัยทัศน์และภารกิจด้านดิจิทัลของกองทัพบก เพื่อมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตทางด้านการเงินให้กับข้าราชการกองทัพบกให้ดีขึ้นในทุกวัน เตรียมพร้อมชีวิตหลังวัยเกษียณราชการได้อย่างมีความสุข สอดคล้องกับภารกิจของธนาคาร ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

“งานตรานกยูงพระราชทาน ฯ ครั้งที่ 18”

 

   นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้บริหารกรมหม่อนไหมเข้าพบนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์ “งานตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 18 ประจำปี 2566 โดยมี นายศรัญญู พูลลาภ รองอธิบดีกรมหม่อนไหม นำเสนอนิทรรศการฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงสืบสานและทรงให้ความสำคัญกับผ้าไหมไทย เป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ้าไหมไทยคุณภาพผลิตภัณฑ์จากหม่อนและไหม รวมทั้งภารกิจและผลงานของกรมหม่อนไหมให้เป็นที่รู้จัก ตลอดจนเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน ผลิตภัณฑ์จากหม่อนและไหมของเกษตรกรให้ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง


            สำหรับการจัด “งานตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 18 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ไหมไทยล้ำค่า สายใยแห่งภูมิปัญญา พัฒนาสู่สากล” ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น. ณ ฮอลล์ 6-7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การจัดแสดงเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน ประเภทผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมยกดอกลำพูน ผ้าไหมแพรวา ผลงานการประกวด เส้นไหม ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานและผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ประจำปี 2566 ผลงานของกรมหม่อนไหม และการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับหม่อนไหม เป็นต้น รวมทั้งยังมีการออกร้านจำหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมไทย และสินค้าหม่อนไหม มากกว่า 200 ร้านค้า


            นายศรัญญู พูลลาภ รองอธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า กรมหม่อนไหม มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาไหมไทยตามความต้องการของตลาด ทั้งภายในประเทศและในระดับสากล โดยไฮไลท์สำคัญของการจัดงานตรานกยูงพระราชทานฯ ในครั้งนี้ คือ นิทรรศการการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นการนำเสนอนิทรรศการพันธุ์หม่อน พันธุ์ไหมอนุรักษ์ ที่กรมหม่อนไหมได้รวบรวมและอนุรักษ์ให้คงอยู่ การนำเสนอไหมกินใบหม่อนและไหมที่กินใบพืชชนิดอื่น เช่น ไหมกระท้อน ไหมดาหลา ไหมมันสำปะหลัง และไหมอีรี่ เป็นต้น การนำเสนอการพัฒนาพันธุ์ไหมที่เหมาะสมในการผลิตผ้าห่มใยไหม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดูดความชื้น ระบายเหงื่อและน้ำมันจากร่างกาย จึงทำให้รู้สึกแห้งสบายตัว และเย็นแม้ในค่ำคืนของฤดูร้อน นิทรรศการงานวิจัยผลิตภัณฑ์วัสดุทางการแพทย์จากไหมไทย ในส่วนของโครงร่างกระดูกและเต้านม นิทรรศการผ้าไหมลายดอกเอเดลไวส์ ซึ่งกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือ “จากพันธุ์ไม้ สู่แพรพรรณ” ซึ่งเป็นข้อมูลการออกแบบลายผ้าดอกเอเดลไวส์ ประกอบด้วย 5 เทคนิค ได้แก่ มัดหมี่ ยกดอก จก ขิด และ บาติก โดยกรมหม่อนไหมจัดทำขึ้น เพื่อส่งต่อให้ช่างทอผ้าไหมของทุกภูมิภาคได้สานต่องานทอผ้าให้มีความหลากหลาย และเพิ่มมูลค่าให้แก่  ผ้าไหมไทย


            นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการ Silk Home ที่เป็นการจำลองการใช้ชีวิตประจำวันใน ห้องรูปแบบ Studio คอนโดมิเนียม โดยมีผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหมเป็นหลัก ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ซึ่งผลิตภัณฑ์ใน Silk Home จะมีรายละเอียดของสินค้าและช่องทางการจำหน่ายที่สามารถเลือกซื้อสินค้าดังกล่าวได้ภายในงานที่ได้รับการการันตีคุณภาพและมาตรฐาน ตลอดจน มีการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ของทูตอัตลักษณ์ไหมไทย ซึ่งเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ และสวมใส่ผ้าไหมไทย ในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งยังประชาสัมพันธ์การสวมใส่ผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอีกด้วย         

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News