Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ.-อว. เตรียมความพร้อม ฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี

 

 วันนี้ (17 กรกฎาคม 2566) ที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพมหานคร นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการเตรียมความพร้อมและตอบสนองทางการแพทย์ต่อภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี (Medical Preparedness and Response for Radiological and Nuclear Emergency) โดยมี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นสักขีพยาน


          นพ.โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริม ยกระดับภารกิจด้านการเตรียมความพร้อม และการตอบสนองกรณีฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี รวมถึงตอบโต้ภัยฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับบริบทของประเทศ ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 แผนฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. 2564 – 2570 และแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในโครงการ “เตรียมความพร้อมและตอบสนองทางการแพทย์ต่อภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี  (Medical Preparedness and Response for Radiological and Nuclear Emergency)” เพื่อเป็นการกำหนดมาตรฐาน เป้าหมายและการปฏิบัติงานให้มีความเชื่อมโยงทุกระดับ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงและจัดการสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ “การรู้รับ – ปรับตัว – ฟื้นเร็วทั่ว – อย่างยั่งยืน”


            โดย กระทรวงสาธารณสุข จะมีภารกิจในการประสานและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขระดับชาติ ตลอดจนเป็นศูนย์ประสานงานกลางของหน่วยงานทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ในการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข จัดให้มีศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับต่างๆ สนับสนุนและพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากร ระบบข้อมูลสารสนเทศ องค์ความรู้ นวัตกรรมด้านบริหารจัดการในการจัดการภาวะฉุกเฉิน รวมถึงด้านวิชาการในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย


          ด้าน ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า ขอบเขตและแนวทางการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย, การสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็ง, บริหารจัดการระบบฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และสถานพยาบาล, พัฒนาศักยภาพบุคลากรและงานด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง, การกำหนดรายละเอียดเฉพาะเรื่องให้สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ,การติดตามประเมินผลร่วมกัน, จัดตั้งคณะทำงาน รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะมีภารกิจในการเสนอแนะนโยบาย แนวทาง และแผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และกำกับให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ ประชาชน และสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการ กำกับดูแลความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี ตามพันธกรณีหรือความตกลงระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชิดชูเกียรตินักธุรกิจสตรีไทย พัฒนาพิเศษระเบียงสังคม (SCC)

 

 วันนี้ (17 ก.ค. 66) เวลา 10.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในงานพิธี “ประกาศเกียรติคุณสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ประจำปี 2566” โดยมี คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล ประธานสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจฯ กล่าวต้อนรับ และนางมาลีรัตน์ ปลื้มจิตรชม ที่ปรึกษาสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจฯ และประธานคณะกรรมการจัดงาน กล่าวรายงาน อีกทั้ง นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจกรอบความร่วมมือโครงการเขตพัฒนาพิเศษระเบียงสังคม (Social Capital Corridor : SCC) ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

           นายจุติ กล่าวว่า สหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (สสธวท.) ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) United Nations Development Programme (UNDP) และ USAID Southeast Asia Smart Power Program (SPP) จัดงานพิธี “ประกาศเกียรติคุณสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ประจำปี 2566” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ และเป็นกำลังใจนักธุรกิจสตรีและนักวิชาชีพสตรีที่ประสบความสำเร็จและทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมและเป็นแรงบันดาลใจในการจุดประกายให้สตรีนักธุรกิจและวิชาชีพในรุ่นต่อไป สำหรับการเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่ทิ้งการพัฒนาชุมชนและสังคม รวมถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  

        นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สตรีที่มาร่วมงานวันนี้ เปรียบเสมือนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย และพลังขับเคลื่อนภาคธุรกิจจากจังหวัดต่างๆ ของประเทศ ซึ่งเป็นผู้ให้โอกาสคนที่ไม่มีโอกาสในสังคม และวันนี้จะเห็นว่าสตรีทุกท่านที่เป็นนักธุรกิจได้ทำธุรกิจมานานตลอดชีวิต และยังถอดบทเรียนให้กับลูกหลานทำงานต่อไป อีกทั้งยังคุมทิศทางของธุรกิจให้ดูแลสังคม มีกำไร และมีความยั่งยืนได้ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอเชิญทุกท่านซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัดร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษระเบียงสังคม เพื่อช่วยเหลือ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสกับผู้ที่ไม่มีโอกาส

         นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับบันทึกความเข้าใจกรอบความร่วมมือโครงการเขตพัฒนาพิเศษระเบียงสังคม (Social Capital Corridor : SCC) เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. คณะกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษระเบียงสังคม  สสธวท. และ 7 องค์กรภาคีเครือข่าย โดยกระทรวง พม. เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนโครงการฯ และองคาพยพในการช่วยเหลือดูแลชุมชนและกลุ่มเปราะบางเพื่อให้เกิดความมั่นคงในสังคม รวมทั้งองค์กรภาคีเครือข่าย ภายใต้ขอบเขตความร่วมมือในการให้ความร่วมมือและการสนับสนุนเพื่อการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์  อีกทั้งการให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ วางแผนประสานงาน การให้ความรู้ การฝึกอบรม และการถ่ายทอดประสบการณ์ รวมถึงการรณรงค์ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และขยายผลกิจกรรมของโครงการฯ 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ตัดแว่นฟรี! สภากาชาดไทย พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2566 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงราย อ.เมืองเชียงราย สภากาชาดไทย ร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย จัดโครงการให้บริการตรวจวัดสายตา และแก้ไขความผิดปกติทางสายตาพร้อมตัดแว่นฟรีให้กับเด็กนักเรียนในพื้นที่เชียงรายระหว่างวันที่ 17 – 27 ก.ค. 2566 นี้

 
นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากอำเภอทุกอำเภอ ร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุข และโรงเรียนในพื้นที่ร่วมกันคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาทางสายตาและการมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งมีนักเรียนที่เข้าร่วมการคัดกรองเบื้องต้น พบว่ามีสายตาผิดปกติ จำนวน 4,000 คน ความผิดปกติทางสายตา เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิต ยิ่งถ้าเกิดปัญหานี้กับเด็กนักเรียนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ จะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตหลายด้าน สภากาชาดมองเห็นปัญหานี้จึงเกิดโครงการ รถตัดแว่นสายตาเคลื่อนที่สภากาชาดไทย เพื่อเด็กนักเรียนในชนบทตามโครงการแว่นสายตาสภากาชาดไทย เพื่อเด็กนักเรียนในชนบท เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่มีปัญหาทางสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนในชนบทห่างไกลทุกระดับ เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ และดำเนินชีวิตได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป
 
 
นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กล่าวต่อไปว่าโครงการรถตัดแว่นสายตาเคลื่อนที่สภากาชาดไทย เพื่อเด็กนักเรียนในชนบท จังหวัดเชียงราย จะใช้รถตัดแว่นสายตาที่เป็นรถบัสใหญ่ ออกแบบภายในพร้อมอุปกรณ์เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ จำนวน 4,000 ราย เพื่อให้เด็กๆ เชียงรายมีความสามารถในการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้น มีโอกาสในการเรียนรู้ พร้อมกับดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป สามารถช่วยเหลือตัวเอง และครอบครัวต่อไป
 
 
“เราได้ตระหนักว่าความผิดปกติทางสายตา ของนักเรียนในชนบท เป็นปัญหาสำคัญที่ยังไม่ได้รับการดูแลแก้ไขเท่าที่ควร ทั้งจากปัญหาครู ผู้ปกครองนักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องสายตา อีกทั้งยังขาดแคลนจักษุแพทย์ในพื้นที่ ตลอดจนการขาดแคลน ร้านแว่นตาที่มีคุณภาพในท้องถิ่นห่างไกล ทำให้เด็กนักเรียนในชนบทจำนวนมาก มองเห็นไม่ชัด เป็นเหตุให้การเรียนไม่มีประสิทธิภาพ และการดำรงชีวิตด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไป ส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้ด้อยโอกาสในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านการศึกษา และการเรียนรู้น้อยลงในครั้งนี้เด็กๆเชียงรายจะได้มีแว่นตาที่มีคุณภาพกว่า 4,000 คน ซึ่งนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯสามารถรอรับแว่นสายตาได้ทันที อีกด้วย”นางสุภาเพ็ญกล่า
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ลุย 3 อำเภอ มอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุง

 

เมื่อวันอังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.00 น. นายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายชัยวัฒน์ อุดขา สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 1 อ.ป่าแดด และเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย เข้ามอบทรายอะเบท(ทรายเคลือบสารทีมีฟอส) / ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงชนิดเม็ด (Mosdop TB) ให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ.เชียงราย อ.ป่าแดด โดยได้รับการต้อนรับจากนายมงคล เชื้อไทย นายกเทศบาลตำบลป่าแงะ คณะผู้อำนวยการ รพ.สต. ในสังกัด อบจ.เชียงราย และนางเพ็ญโสภา ปุณโณฑก ณ รพ.สต.ตำบลป่าแงะ อ.ป่าแดด

 

ต่อมาในเวลา 10.30 น. นายก นก พร้อมด้วยนายบุญตัน เสนคำ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 1 อ.เทิง และเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย เข้ามอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุง ให้แก่ รพ.สต.ในสังกัด อบจ.เชียงราย อ.เทิง โดยได้รับการต้อนรับจากคณะผู้อำนวยการ รพ.สต. ในสังกัด อบจ.เชียงราย และนายสมชาย ท้าวธนะ ประธาน อสม. อ.เทิง ณ รพ.สต.ตำบลงิ้ว อ.เทิง
และในช่วงเวลา 13.00 น. นายก นก พร้อมด้วย นายนิคม ยะป๊อก สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 1 อ.พญาเม็งราย และเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย เข้ามอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุง ให้แก่ รพ.สต.ในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อ.พญาเม็งราย โดยได้รับการต้อนรับจากนายชูสวัสดิ์ สวัสดี นายอำเภอพญาเม็งราย นายธนภัทร กันเขี่ยสกุล นายกเทศบาลตำบลพญาเม็งราย นายพยุง แก้วจำปา กำนันตำบลเม็งราย คณะผู้อำนวยการ รพ.สต. ในสังกัด อบจ.เชียงราย และนายคำมูล คำมา ประธาน อสม.อ.พญาเม็งราย ณ ศูนย์สุขภาวะผู้สูงอายุ อ.พญาเม็งราย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

แม่ทัพภาคที่ 3 ลงตรวจการฝึกผสม ไทย-สหรัฐ Balance Torch 23-4

 

เมื่อ วันที่ 11 พ.ค. 66 เวลา 14.00 น. พลโท สุริยะ เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมการฝึกผสม รหัส Balance Torch 23-4 ประจำปี 66 (ไทย-สหรัฐ) โดยแม่ทัพภาคที่ 3 ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุป และตรวจการฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลังพลด้วยเฮลิคอปเตอร์

 
กองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้กองพลทหารราบที่ 4 เป็นหน่วยรับผิดชอบการจัดการฝึกฯ
โดยกองทัพบกสหรัฐอเมริกา จัดครูฝึกจากหน่วยรบพิเศษ ODA1313 และ ODA9222 จำนวน 2 ชุดปฏิบัติการ รวม 20 นาย และ กองทัพบกไทย จัดจาก กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 4 และ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล กองพลทหารม้าที่ 1 จัดกำลังพล หน่วยละ 2 ชุดปฏิบัติการๆ ละ 12 นาย รวม48 นาย 


โดยทำการฝึกที่สนามยิงปืนทราบระยะ มณฑลทหารบกที่ 39 ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งการฝึกในครั้งนี้เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนขีดความสามารถของกำลังพลอีกด้วย


เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

หญิงหน่อย ลาออก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไทยสร้างไทย

 

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 11 กรกฏรคม 2566 ที่ผ่านมา เพจ Facebook คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ได้มีการโพสต์ข้อความ ประกาศสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคไทยสร้างไทยแล้วโดยระบุว่า

ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่า ดิฉันได้แจ้งลาออกจากการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคไทยสร้างไทยแล้ว ตามที่ได้ประกาศในวันที่เข้าสภาครั้งเเรก และจะเลื่อนลำดับผู้สมัครของพรรคท่านถัดๆ ไป ขึ้นมาแทนตามลำดับ เพื่อให้มีโอกาสทำงาน แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน
.
การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ที่ดิฉันที่ได้ประกาศไปตั้งแต่เมื่อก่อตั้งพรรคในวันแรกนั่นคือ ขอเป็น “เสาเข็ม” ลงหลักปักฐานตั้งพรรคให้สำเร็จ และเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงคนทุกวัยเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ทำให้พรรคไทยสร้างไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
.
#พรรคไทยสร้างไทย ยังเป็นพรรคน้องใหม่ และเรามีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะสร้างพรรคของประชาชน จึงมีงานอีกมากมาย ในการวางรากฐานพรรค ดิฉันจึงขออาสาไปทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชน อย่างเต็มที่ เต็มกำลังเช่นเดิม เพื่อสร้างพรรคไทยสร้างไทยให้เข้มแข็ง และเป็นเครื่องมือในการทำงานที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
.
ดิฉันเป็น ส.ส. สมัยแรกในปี 2535 จนถึงปัจจุบันรวม 6 สมัย ผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งในกระทรวงคมนาคม มหาดไทย สาธารณสุข และเกษตร จนถึงวันนี้ ทำงานการเมืองมามากกว่า 32 ปี เป็นมาแล้วหลายตำแหน่งสำคัญๆ
ความตั้งใจของดิฉันในวันนี้
คือการสร้างพรรคไทยสร้างไทยให้เป็นสถาบันการเมืองของประชาชน ซึ่งก็ปรากฏว่าเราได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน ส่ง ส.ส. ของเราเข้าสู่สภาฯ 6 คน เป็นความซาบซึ้งในพระคุณของพี่น้อง ที่เราจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ให้พี่น้องผิดหวัง
.
ขอยืนยันถึงจุดยืนของ #พรรคไทยสร้างไทย ที่จะโหวตให้พรรคที่มีเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ตามครรลองประชาธิปไตย #พิธา แคนดิเดตจากพรรคก้าวไกลเป็น #นายกคนที่30 และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนให้สำเร็จ
.
พร้อมกันนี้ ยังขอเรียกร้องไปยัง ส.ว. ทั้ง 250 ท่าน ให้ยึดหลักการประชาธิปไตย ไม่ฝืนเจตจำนงของประชาชน ซึ่งมีแต่จะนำพาประเทศไปสู่หล่มความขัดแย้งครั้งใหม่
.
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง พร้อมลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

 

เมื่อเวลา 16.15 น.วันที่ 11 กรกฏรคม 2566 ที่ผ่านมา เพจ Facebook พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการโพสต์ข้อความ ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  โดยระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน
.
ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่
.
การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต
.
ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม
.
ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเตอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอด
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป
.
จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย
.
ขอขอบพระคุณครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“ประยุทธ์” อนุมัติ 2 ร่างพรฎ. ปลดล็อกให้สิทธิทำกินถูกกฎหมาย

 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบและอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกากาหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 

ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. ระยะเวลาโครงการ 20 ปีนับแต่ พ.ร.ฎ. ใช้บังคับ สำหรับพื้นที่โครงการ ใน 7 เขตอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ 

1.อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี 

2.อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น จ. จันทบุรี 

3.อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จ. กาญจนบุรี 

4.อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ จ. อุตรดิตถ์ 

5.อุทยานแห่งชาติตาดหมอก จ. เพชรบูรณ์ 

6.อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ. เพชรบูรณ์ และ 

7.อุทยานแห่งชาติลานสาง จ. ตาก 


สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พ.ศ. ….ระยะเวลาโครงการ 20 ปีนับแต่ พ.ร.ฎ. ใช้บังคับ สำหรับพื้นที่โครงการ ใน 7 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ได้แก่ 

1.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล จ. พิษณุโลก 

2.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ. ลพบุรี 

3.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ จ. เชียงราย 

4.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน จ. อุทัยธานี 

5.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง จ. เพชรบูรณ์ 

6.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ. อุทัยธานี และ 

7.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา จ. อุตรดิตถ์


น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ประชาชนที่ได้รับประโยขน์ในสิทธิอาศัยและทำกินในเขตดังกล่าว ได้แก่ บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยหรือได้ยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยและอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่เป็นผู้ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตดังกล่าวภายใต้กรอบเวลาตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 41 (อยู่ในพื้นที่มาก่อนการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และ/หรือก่อนวันที่ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ใช้บังคับ) หรือตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 (เป็นผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือผู้ไร้ที่ดินทำกินที่อยู่ในพื้นที่ก่อนวันที่ 17 มิ.ย. 57) และมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่โครงการหรือได้ครอบครองที่ดินรวมทั้งทำประโยชน์มาโดยต่อเนื่องและไม่มีที่ดินทำกินอื่น


การอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่โครงการ อาทิ ครอบครองและใช้ประโยชน์ด้วยตนเอง, ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน, กำหนดพื้นที่ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ (ไม่เกิน 50 ไร่กรณีอยู่กันเป็นครัวเรือนตั้งแต่ 3 ครอบครัวขึ้นไป), ทำประโยชน์และอยู่อาศัยต่อเนื่อง ไม่ละทิ้งติดต่อกันเกิน 1 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร, ไม่อนุญาตให้ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่า ให้เช่าซื้อ ให้ยืม หรือโอนการครอบครองให้บุคคลอื่นรวมถึงไม่บุกรุกขยายพื้นที่เพิ่มเติม โดยผู้เข้าร่วมโครงการอยู่อาศัยจะมีหน้าที่และส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพภายในเขตพื้นที่โครงการ


“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการมาโดยตลอดในส่วนของแผนงานหรือนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าว ร่าง พ.ร.ฎ 2 ฉบับนี้เป็นการสร้างสมดุลในการช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยและทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมายและยังให้การอนุรักษ์ธรรมชาติมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว


เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทย ‘มีเสถียรภาพ’ นักลงทุนต่างชาติ เพิ่ม70 %

 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม. (11 กรกฎาคม 2566) รับทราบการประกาศอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) โดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch) ประเทศไทยอยู่ที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) 


รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา พอใจผลการประเมินดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรการภาครัฐที่ทำได้ดี และยังวางรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจนะระยะต่อไป ดังเห็นจากการที่ Fitch คาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยที่ ร้อยละ 3.7 ในปีพ.ศ. 2566 และร้อยละ 3.8 ในปีพ.ศ. 2567 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.6 ในปี พ.ศ. 2565 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการบริโภคของภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง เช่น ตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการและนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 11.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2565 เป็นประมาณ 29 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งเกือบ 3 ใน 4 ของระดับก่อนเกิดโรคระบาด 

ทั้งนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น โดยถือเป็นจุดแข็งหลัก ที่เป็นเกราะป้องกันภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่ง Fitch คาดการณ์ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 2.0 ของ GDP ในปีนี้ (พ.ศ. 2566) และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ในปีพ.ศ. 2567 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการคลี่คลายของสถานการณ์ราคาน้ำมัน นอกจากนี้ คาดว่าทั้งปี 2566 ประเทศไทยจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก คือ 7.3 เดือน


โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Fitch ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ 

1. เศรษฐกิจมหภาค ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นในระยะปานกลาง โดยไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของหนี้ภาคเอกชน และ 

2. การคลังสาธารณะ ที่มีการลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) 


สอดคล้องกับ BOI ที่เปิดเผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปี 2566 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน 
– คำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม รวม 891 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
– คำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ
– อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 106 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด กว่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
– ในแง่พื้นที่ การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 306 โครงการ เงินลงทุนรวม 171,470 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47 ของการลงทุนทั้งหมด
– สำหรับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือนแรก จีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 61,500 ล้านบาท จาก 132 โครงการ ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 
– อันดับ 2 สิงคโปร์ 73 โครงการ เงินลงทุน 59,112 ล้านบาท 
– อันดับ 3 ญี่ปุ่น 98 โครงการ เงินลงทุน 35,330 ล้านบาท แต่มูลค่าคำขอรับการส่งเสริมจากญี่ปุ่นเติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีมูลค่า 16,793 ล้านบาท


“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจจนเห็นเป็นผลสำเร็จอย่างเด่นชัดจากตัวเลขการจัดอันดับ รัฐบาลดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างมีวุฒิภาวะ น่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพ เห็นได้จากตัวเลขหนี้สาธารณะที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ สอดคล้องกับตัวเลขการขอลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากโครงสร้างที่นายกรัฐมนตรีได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการจัดอันดับในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับการกำหนด และดำเนินนโยบายของรัฐบาลต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาศวันคล้ายวันประสูติ 4 กรกฎาคม

 
พระครูสุจิณวรคุณ (กมล) เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย เขต 1 เจ้าอาวาสวัดท่าข้ามศรีดอนชัย เป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ดำเนินงานพิธีทำบุญตักบาตรโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายพระราชกุศล
 

นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานพิธีฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล โดยจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยดอกไม้บนธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และนำถวายเครื่องไทยธรรมและจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป
 

นางพัชรนันท์ แก้วจินดา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของกิจกรรมโครงการฯ และพบปะผู้นำศาสนา หัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนชุมชนบ้านศรีดอนชัย
 

นายภัทรพงษ์ มะโนวัน หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ทำหน้าเป็นศาสนพิธีกร และกำกับดูแลการจัดกิจกรรมโครงการฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 

จัดโดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ คณะสงฆ์วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ที่ว่าการอำเภอเชียงของ เทศบาลตำบลศรีดอนชัย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และคณะศรัทธา จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาศวันคล้ายวันประสูติ 4 กรกฎาคม 2566 และกิจกรรมโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ประจำปีพุทธศักราช 2566 ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวหิ้วตะกร้า ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยจัดในวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน เข้าวัดปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ โดยการฟังธรรม การสมาทานศีลและรับศีล 5 หรือศีล 8 ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เจริญจิตภาวนา การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งอุดหนุนสินค้าผลิตภัณท์ท้องถิ่นในชุมชน โดยส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนนำหลักธรรมไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต รวมทั้งดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมไทย สืบสานศาสตร์พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีกิจกรรมสำคัญ ดังนี้
1. พิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์-สามเณร จำนวน 25 รูป
2. การถวายเครื่องไทยธรรมจตุปัจจัย แด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป
3. พิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายราชกุศล เฉลิมพระเกียรติฯ
4. กิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระรัตนตรัย และรับศีล
5. พระครูสุจิณวรคุณ (กมล) เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย เขต 1 เจ้าอาวาสวัดท่าข้ามศรีดอนชัย เมตตากล่าวสัมโมทนียกถา
6. การเจริญจิตภาวนา และแผ่เมตตา
7. กิจกรรมตลาดวัฒนธรรม “ชุมชนคุณธรรมบ้านศรีดอนชัย” การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน
 

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางพัชรนันท์ แก้วจินดา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางสาวกฤษยา จันแดง ผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ ข้าราชการ และบุคลากรสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมโครงการฯ อำนวยความสะดวกแด่คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนที่เข้ามาร่วมงาน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News