Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายสู้ศึกปีใหม่ 2569 ผสานประเพณีชาติพันธุ์กับเมืองศิลปะ ดึงนักท่องเที่ยวโตสวนกระแสเศรษฐกิจ

เชียงรายติด Top 3 จุดหมายปีใหม่ 2569 สวนกระแสรายได้ท่องเที่ยวรวมที่คาดหดตัว 2–9%

เชียงราย, 27 ธันวาคม 2568 – ในขณะที่ภาพรวมรายได้การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ของประเทศไทยถูกประเมินว่าจะชะลอตัวลง จากผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จังหวัดเชียงรายกลับสร้างภาพจำใหม่ให้วงการท่องเที่ยวไทย ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็น “จังหวัดยอดนิยมอันดับ 3” ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย และมียอดผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สวนทางกับรายได้รวมทั้งระบบที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะหดตัวลงระหว่าง 2–9%

บทบาทของเชียงรายในปีใหม่นี้จึงไม่ได้เป็นเพียง “จังหวัดปลายทาง” แต่กำลังกลายเป็นตัวอย่างของเมืองท่องเที่ยวภูเขาที่สามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรมและวิถีชุมชนบนดอยมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ในช่วงเวลาที่ตลาดต่างประเทศยังซบเซา และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยการเดินทางในภูมิภาคยังเผชิญแรงสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

ภาพใหญ่ปีใหม่ 2569 รายได้รวมลด แต่ “ไทยเที่ยวไทย” ยังยืนได้

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยการคาดการณ์สถานการณ์ท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ว่า ในภาพรวมทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศ ระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2568 – 1 มกราคม 2569 ประเทศไทยคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ราว 70,105 – 76,500 ล้านบาท ลดลงประมาณ 2–9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อลงลึกในรายละเอียด ททท. แบ่งการประเมินออกเป็น 2 ตลาดหลัก ได้แก่

  1. ตลาดต่างประเทศ (20 ธ.ค. 2568 – 1 ม.ค. 2569)
  • คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.4–1.5 ล้านคน ลดลง 6–12% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา
  • คาดสร้างรายได้ 51,600–58,000 ล้านบาท ลดลง 4–15%
    ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า แม้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเหตุอุทกภัยในภาคใต้ซึ่งกระทบเส้นทางหลักของนักท่องเที่ยวมาเลเซีย หรือความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ทำให้หลายประเทศออกคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisory) ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักเดินทางในกลุ่มที่อ่อนไหวต่อประเด็นความปลอดภัย
  1. ตลาดในประเทศ (31 ธ.ค. 2568 – 4 ม.ค. 2569)
  • คาดผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 4.96 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7%
  • คาดรายได้ท่องเที่ยว 18,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
    ตลาดในประเทศจึงกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการประคองอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วงรอยต่อปลายปีนี้ โดยได้รับอานิสงส์จากหลายปัจจัย ทั้งวันหยุดยาว 5 วันติดต่อกัน อากาศหนาวเย็นที่ดึงให้คนไทยออกเดินทางสู่ภาคเหนือ รวมถึงการจัดงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ

ในเชิงภูมิภาค ททท. ประเมินว่าภาคตะวันออกจะเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้สูงสุดในช่วงปีใหม่ อยู่ที่ประมาณ 3,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% รองลงมาคือภาคเหนือ 3,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 12% และกรุงเทพมหานคร 3,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ภูเขาและเมืองใหญ่ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญของ “ไทยเที่ยวไทย”

และในแผนที่การท่องเที่ยวภาคเหนือปีนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่น่าจับตา

เชียงรายเบียดขึ้น Top 3 ยอดนิยม คนไทยเที่ยวเพิ่ม 22%

ตามการคาดการณ์ของ ททท. สำหรับช่วงหยุดยาวปีใหม่ 31 ธันวาคม 2568 – 4 มกราคม 2569 จังหวัดที่มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  • อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร 502,400 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 5%
  • อันดับ 2 อุดรธานี 130,440 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 5%
  • อันดับ 3 เชียงราย 97,230 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้นสูงถึง 22%

ตัวเลข 97,230 คน-ครั้ง แม้ดูน้อยกว่ากรุงเทพฯ อยู่หลายเท่า แต่เมื่อพิจารณาในเชิง “อัตราการเติบโต” จะเห็นได้ว่าจังหวัดเชียงรายเติบโตสวนกระแสหลายพื้นที่ และขยับตัวเร็วกว่าหลายเมืองท่องเที่ยวหลักในภูมิภาคเดียวกัน

การที่เชียงราย ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “เมืองรอง” ในหลายมาตรการด้านภาษีท่องเที่ยว กลับกลายเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของผู้มาเยือนสูงกว่าหลายเมืองใหญ่ เป็นคำตอบในตัวเองว่าทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของจังหวัดเริ่มถูกมองเห็นมากขึ้นในสายตาคนไทย

ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานเชิงรุกของหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นที่พยายามสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ ให้เชียงรายไม่ใช่เพียงเมืองที่คนแวะมา “ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วผ่านไป” แต่เป็นเมืองที่สามารถวางแผนพักค้างหลายคืน เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจากยอดดอยสู่ตัวเมือง และจากตัวเมืองต่อไปยังชุมชนรอบนอก

Soft Power ชาติพันธุ์–ภูเขา–ศิลปะ ฐานรากความสำเร็จ

หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยผลักดันให้เชียงรายโดดเด่นในช่วงปีใหม่นี้ คือการนำ “ประเพณีบนดอย” มายกระดับเป็น Soft Power ที่จับต้องได้

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ ลานกิจกรรมศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า บ้านร่มฟ้าไทย ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีปีใหม่ม้งตำบลตับเต่าและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า ประจำปี 2568

งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–27 ธันวาคม 2568 มีกิจกรรมทั้งขบวนแห่จาก 14 หมู่บ้าน การแข่งขันยิงหน้าไม้ การตีลูกข่าง การโยนลูกช่วง การตำข้าวปุก และการแสดงศิลปวัฒนธรรมอีกหลากหลายรูปแบบ พร้อมซุ้มนิทรรศการวิถีชีวิตและสินค้าชุมชนของชาวม้งในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุในพิธีเปิดว่า การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อความสนุกสนานของคนในชุมชน แต่มีเป้าหมายชัดเจนในการ “ส่งเสริม ฟื้นฟู และอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น” ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถเชิงสร้างสรรค์ และสร้างความรักความสามัคคีระหว่างคนในและนอกพื้นที่

เมื่อประเพณีปีใหม่ม้งถูกเชื่อมโยงเข้ากับภูมิทัศน์ของภูชี้ฟ้า จุดชมทะเลหมอกชื่อดังของเชียงราย ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีจึงไม่ได้ขายเพียง “วิวสวย” แต่ขายเรื่องราวของผู้คนที่อยู่ร่วมกับภูเขา ทำให้การเดินทางขึ้นดอยของนักท่องเที่ยวไทยมีความหมายลึกซึ้งกว่าเพียงการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง การจัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2026” ที่เชียงรายได้รับการสนับสนุนจาก ททท. ให้เป็นหนึ่งใน 7 จังหวัดเคาท์ดาวน์ทั่วประเทศ ก็ช่วยเติมสีสันให้ตัวเมืองเชียงรายมีชีวิตชีวาในยามค่ำคืน ทั้งบริเวณหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติและแลนด์มาร์กสำคัญอื่น ๆ ปลายปีนี้จึงเป็นครั้งที่เชียงรายสามารถเชื่อม “ดอยสูงยามเช้า” เข้ากับ “เมืองศิลปะยามค่ำคืน” ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

มาตรการรัฐ–เที่ยวดีมีคืน–เที่ยวบินใหม่ กลไกหนุนเมืองรอง

อีกปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนให้เชียงรายเติบโตโดดเด่น คือบทบาทของมาตรการภาครัฐด้านภาษีและการเดินทาง โดยเฉพาะโครงการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท โดยหากเลือกเดินทางไปเมืองรองจะได้รับสิทธิ “คูณ 1.5 เท่า”

เชียงรายซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเมืองรองในหลายมาตรการ จึงได้ประโยชน์จากการออกแบบนโยบายในลักษณะนี้โดยตรง ทั้งฝั่งผู้ประกอบการที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และฝั่งผู้เดินทางที่รู้สึกว่าการขึ้นเหนือไปเยือนเชียงราย “คุ้มค่า” ทั้งในเชิงประสบการณ์และภาษี

ควบคู่กันนั้น การเพิ่มเที่ยวบินและเส้นทางบินใหม่ในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเที่ยวบินตรงและเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และยุโรปตะวันออก เข้าสู่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงราย ช่วยคลี่คลายปัญหาคอขวดด้านอุปทานที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงฟื้นตัวหลังโควิด เมืองที่มีสนามบินอย่างเชียงรายจึงสามารถรับนักท่องเที่ยวได้โดยตรง ทั้งชาวไทยจากภูมิภาคอื่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการต่อเครื่องจากเมืองหลัก

ต่างชาติชะลอตัวจากภัยธรรมชาติ–การเมือง แต่ยังมีสัญญาณบวก

อย่างไรก็ดี แม้เชียงรายและเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งในไทยจะเดินหน้าสร้างกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาพรวมยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างชัดเจน

ททท. รายงานว่า ระหว่าง 20 ธันวาคม 2568 – 1 มกราคม 2569 ความต้องการเดินทางจากต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอ โดยเฉพาะตลาดมาเลเซียซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ในพื้นที่หลักอย่างอำเภอหาดใหญ่และตลาดกิมหยง ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 1–12 ธันวาคม 2568 ลดลงถึง 27% จากปีก่อน และเมื่อตัดเฉพาะการเดินทางผ่านด่านสงขลาและสตูล ตัวเลขลดลงถึง 48% และ 83% ตามลำดับ

ในขณะเดียวกัน ปัญหาความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2568 บริเวณจังหวัดชายแดน 7 แห่งของไทย ก็กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่น แม้ไทยจะไม่ได้ถูกประกาศห้ามเดินทางในภาพรวม แต่หลายประเทศได้ออก Travel Advisory ให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ชายแดนดังกล่าว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากตลาดที่อ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย ชะลอการเดินทางในช่วงปีใหม่

อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากตลาดระยะไกล เช่น ยุโรป อเมริกา และเอเชียใต้ (โดยเฉพาะอินเดีย) ซึ่งมียอดจองล่วงหน้าเพิ่มขึ้นราว 6% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีนเริ่มดีขึ้นหลังการเสด็จเยือนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินี สื่อสารถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ และกระตุ้นการค้นหาข้อมูลการเดินทางมาไทยบนแพลตฟอร์มอย่าง Baidu และ Ctrip เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางภูเก็ต กรุงเทพฯ และเชียงใหม่

เชียงรายเอง แม้ยังไม่ติดอันดับ Top 5 เมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจองมากที่สุด (ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ และเกาะสมุย) แต่การมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำและเที่ยวบินตรงเพิ่มขึ้นในฤดูกาลนี้ ก็ถือเป็น “การปูทาง” สำหรับการยกระดับบทบาทของจังหวัดบนแผนที่ท่องเที่ยวของชาวต่างชาติในระยะกลางและระยะยาว

ปีใหม่ 2569 เชียงรายในฐานะ “เมืองขุนเขา–วัฒนธรรม–สุขภาวะ”

การที่เชียงรายสามารถเติบโตด้านจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยได้ถึง 22% ท่ามกลางภาพรวมรายได้ท่องเที่ยวทั้งระบบที่คาดว่าจะหดตัวลง 2–9% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เน้นการใช้ทุนวัฒนธรรมชาติพันธุ์ ธรรมชาติบนภูเขา และกิจกรรมสร้างสรรค์ในเมือง กำลังเดินมาถูกทาง

จากประเพณีปีใหม่ม้งที่ภูชี้ฟ้า ไปจนถึงกิจกรรมเคาท์ดาวน์ในตัวเมือง และการเชื่อมกับเทศกาลอื่น ๆ ในช่วงเวลาใกล้เคียง เช่น มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 หรือกิจกรรม Learning Space เมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งหมดนี้ช่วยให้เชียงรายไม่ใช่เพียง “จุดหมายปลายทางรูปสวย” แต่เป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเรียนรู้ สัมผัสวิถีชีวิต และสร้างความทรงจำร่วมกับชุมชนได้อย่างแท้จริง

เมื่อมองไปข้างหน้า หากจังหวัดสามารถต่อยอดยุทธศาสตร์สู่การเป็น “Wellness City บนขุนเขา” ผสานสุขภาวะกายใจเข้าไว้กับธรรมชาติ ชา กาแฟ อาหารท้องถิ่น และวัฒนธรรมชาติพันธุ์ เชียงรายย่อมมีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั้งไทยและต่างชาติให้กลับมาเยือนซ้ำในระยะยาว

ท่ามกลางโลกที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ เมืองที่ยืนอยู่ได้คือเมืองที่รู้จักตัวเอง เข้าใจทุนของตัวเอง และเล่าเรื่องของตนอย่างตรงไปตรงมา เชียงรายในปีใหม่ 2569 จึงไม่ใช่เพียงจังหวัดที่ “ติด Top 3 ยอดนิยม” แต่เป็นกรณีศึกษาว่าการลงทุนกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเข้มแข็งของชุมชนบนดอย สามารถแปลงเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่จับต้องได้ แม้ในปีที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยังเต็มไปด้วยความท้าทายก็ตาม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • แถลงข่าวผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY NEWS UPDATE

จากโลกออนไลน์สู่ยอดจอง! เปิดยุทธศาสตร์คว้าโอกาส เมื่อเชียงรายถูกค้นหามากที่สุด

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจาก Google Trends—แรงดันดีมานด์ปลายปีหนุนเมืองรองโดดเด่น รับสัญญาณไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เสียงลมหนาวเริ่มแตะยอดดอยพอดี ขณะที่ “เชียงราย” ผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจากการค้นหาใน Google Trends (ข้อมูล ณ 24 กันยายน 2568) พร้อมแรงเสริมจากบทวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ชี้ว่าดีมานด์เดินทางช่วงไฮซีซันยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเมืองรองในภาคเหนือ สัญญาณทั้งหมดกำลังสอดรับกันอย่างลงตัว ทั้งสภาพอากาศเย็นสบาย เทศกาลปลายปี กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และแพ็กเกจการตลาดที่ถูกจังหวะ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “กระแสออนไลน์” หากสะท้อนการตัดสินใจจริงของผู้เดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่กำลังล็อกเส้นทางปลายปี ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนเจ้าบ้านเริ่มเร่งเครื่องรับลูก เพื่อเปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็น “ยอดจอง–ยอดใช้จ่าย” ที่วัดได้ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

เศรษฐกิจดีมานด์ปลายปีมาแรง เมืองรองได้อานิสงส์ชัด

การติดอันดับ 1 ใน Google Trends ชี้ให้เห็น “อุปสงค์แฝง” ที่กำลังจะปลดล็อกสู่การเดินทางจริง โดยบทวิเคราะห์ แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ เดือนตุลาคม 2568 ของ ททท. ประเมินว่า เดือนนี้จะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 16.28 ล้านคน–ครั้ง และสร้างรายได้ท่องเที่ยวราว 93,857 ล้านบาท แม้ภาพรวมจะชะลอเล็กน้อยเมื่อเทียบปีก่อน แต่สัดส่วนการเดินทางสู่ “เมืองท่องเที่ยว” นอกเมืองหลักขยับขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับโมเมนตัมของเชียงรายที่ขึ้นแท่นเมืองน่าเที่ยวอันดับต้นในโลกออนไลน์

ฝั่ง “ปัจจัยสนับสนุน” ททท.ระบุข้อได้เปรียบสำคัญไว้ 3 มิติ

  1. มาตรการกระตุ้นช่วง Green Season และเทศกาลต่อเนื่องปลายปี
    งานวัฒนธรรมและกิจกรรมดนตรีช่วยกระจายผู้คนสู่เมืองรอง ขณะที่คอนเทนต์เชิงท้องถิ่นดึงดูดเจเนอเรชันใหม่ได้ดี
  2. ฤดูกาลท่องเที่ยวเริ่มหนาวเย็น
    อุณหภูมิที่ลดลงทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่นิยม การเดินป่า กางเต็นท์ และล่าสายหมอกช่วยต่อยอดที่พักและบริการชุมชน
  3. อีเวนต์ดนตรีและกิจกรรมเอาต์ดอร์
    เทศกาลดนตรีและงานวิ่งปลายปีดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y–Z ที่เน้นประสบการณ์และพร้อมจ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยอุปสรรค ยังมีให้จับตา ทั้งค่าครองชีพที่ยังสูง ภาระครัวเรือน และการท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมาคึกคักในบางตลาด ทว่าเมื่อซ้อนทับกับจุดแข็งเชิงภูมิอากาศและคอนเทนต์เฉพาะถิ่น เมืองรองที่เตรียมตัวดีจะ “รับแรงส่ง” ได้มากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเชียงรายอยู่ในจังหวะนั้นพอดี

เชียงรายในเลนส์ข้อมูล ความสนใจพุ่ง–จุดขายชัด–แบรนด์ชุมชนแข็ง

1) สัญญาณความสนใจชัดเจน
การขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends สะท้อนการค้นหาที่เข้มข้น ทั้งคำหลักเกี่ยวกับ วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ไร่ชาฉุยฟง–ขุนน้ำนางนอน–ถนนคนเดิน รวมถึงกิจกรรมฤดูหนาว เช่น ลานดอกไม้–งานแสงสี–วิ่งเทรล ข้อมูลระดับพื้นที่ยังชี้ว่าการค้นหา “ที่พักเชียงราย” และ “คาเฟ่วิวภูเขา” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วงปลายกันยายน–ตุลาคม

2) จุดแข็งด้านความปลอดภัยและไลฟ์สไตล์
เชียงรายถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยวและกลุ่มผู้หญิง/ดิจิทัลโนแมดในเอเชีย จุดเด่นนี้เสริมความเชื่อมั่นด้านการเดินทางคนเดียวและการทำงานระยะไกล (Work from Anywhere) ที่กำลังเป็นกระแส

3) Soft Power เชิงพื้นที่
เมืองศิลปะและกาแฟคือภาพจำที่ชัด วัดร่องขุ่นของเฉลิมชัย–พิพิธภัณฑ์บ้านดำของถวัลย์–ย่านคาเฟ่กาแฟพิเศษจากดอยแม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีหมอกหนาวได้ลื่นไหล เหมาะกับการออกแบบเส้นทาง 2–3 คืน ที่จับคู่ได้ทั้งเมือง–ชานเมือง–ชายแดน

4) ความพร้อมรองรับดีมานด์จริง
สนามบิน การคมนาคมข้ามจังหวัด และคลัสเตอร์ที่พักระดับกลาง–เล็กของชุมชน เติบโตควบคู่กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์และมาตรฐานสะอาดปลอดภัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดให้ความสำคัญ

ภาพใหญ่ในประเทศ โครงสร้างการเดินทางเดือนตุลาคม 2568

รายงานทิศทางตลาดในประเทศของ ททท. ชี้ว่า เมืองท่องเที่ยว นอกกลุ่ม “เมืองหลัก” กำลังแย่งส่วนแบ่งผู้เยี่ยมเยือนได้ดีขึ้น โดยแรงขับมาจาก 4 ตัวแปร

  • งานเทศกาล–วัฒนธรรม–ดนตรี ที่เกิดถี่ขึ้น
  • แพ็กเกจโปรโมชันร่วมเอกชน ที่ลด Pain Point ค่าเดินทางและที่พัก
  • คอนเทนต์สื่อออนไลน์ ที่ลงพื้นที่จริง ทำให้ “หมุดหมายรอง” โดดเด่น
  • สภาพอากาศเย็นลง ที่เร่งให้คนอยากออกนอกเมืองใหญ่

ในเชิงอุปทานฝั่งที่พักและเที่ยวบิน เดือนตุลาคมยังมีที่นั่งรวมราว 4 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนเส้นทางบินสู่ภาคเหนือยังแข็งแรง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเชียงราย–เชียงใหม่–แพร่–น่าน สามารถออกแบบทริปเชื่อมโยงแบบ “Multi-City” ได้คล่องตัว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ โกลเดนวีกหนุนหน้าเอเชีย–ไฟลต์ใหม่ช่วยกระจายตัว

ด้านตลาดต่างชาติ รายงาน แนวโน้มเดือนตุลาคม 2568 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.62 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่มี “แรงหนุนเฉพาะจังหวะ” ที่สำคัญ ได้แก่

  • เทศกาล China Golden Week ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ที่ดันการจองล่วงหน้าขึ้น
  • Forward Booking รวม เติบโต +1.8% โดยตลาดที่โตเด่น คือ อิสราเอล–สหราชอาณาจักร–จีน
  • เส้นทางบินใหม่ 50 เส้นทาง ในหลายภูมิภาค ที่ช่วยเพิ่มความถี่และกระจายผู้โดยสาร

กลุ่ม Short-haul Top 5 ยังนำโดย มาเลเซีย–จีน–อินเดีย–เกาหลีใต้–อินโดนีเซีย ส่วน Long-haul Top 5 ได้แก่ รัสเซีย–สหราชอาณาจักร–สหรัฐฯ–เยอรมนี–ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขึ้นเหนือมักจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” ในทริปเดียว เน้นธรรมชาติ ศิลปะ วัดดัง และคาเฟ่วิวขุนเขา ทำให้เชียงรายได้ส่วนแบ่ง “คืนพัก” เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงโลว์ซีซัน

เชียงรายต้องรับมืออะไร ค่าครองชีพ–โลจิสติกส์–คุณภาพบริการ

แม้สัญญาณเชิงบวกมีมาก แต่ ปัจจัยอุปสรรค ยังเป็นโจทย์ต้องติดตาม

  • ค่าครองชีพและค่าเดินทาง ที่กดดันการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย
  • การดึงคนออกนอกเมืองใหญ่ ที่ยังต้องพึ่งอีเวนต์คุณภาพสูงและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
  • การแข่งขันจากต่างประเทศ เมื่อหลายประเทศอาเซียนเร่งแคมเปญราคาช่วงปลายปี
  • บริหารความหนาแน่น ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ช่วงไพรม์ไทม์เช้า–เย็น เพื่อรักษาประสบการณ์

เชียงรายจึงต้อง “เก็บดีเทล” ให้ครบ โดยเฉพาะการจัดการคิวจุดชมวิว การจราจรในวันพีก สัญญาณอินเทอร์เน็ตในแหล่งท่องเที่ยว และการสื่อสารหลายภาษาในย่านท่องเที่ยวหลัก เพื่อคงมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงที่ดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างพร้อมกัน

การบ้านเชิงนโยบาย–เอกชน–ชุมชน เปลี่ยนการค้นหาเป็นการจอง

1) นโยบาย–หน่วยงานท้องถิ่น
ควรวาง แผนปฏิบัติการ 60 วัน รับไฮซีซันครอบคลุม ความปลอดภัย–จราจร–สิ่งแวดล้อม–สื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมตั้งจุดข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษในย่านหลัก และเตรียมจุดปฐมพยาบาลในงานเทศกาล

2) เอกชน–ผู้ประกอบการ
ปรับแพ็กเกจ เที่ยวยาว–ใช้จ่ายยาว” ผ่านดีลที่พัก + ร้านอาหาร + คาเฟ่ + กิจกรรมท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าต่อบิล แนะนำสินค้าชุมชนและทัวร์ครึ่งวัน เพื่อลด “เวลาว่าง” ในทริป และขยายการใช้จ่ายสู่ชุมชนรอบนอก

3) ชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย
ยกระดับ Content–Commerce ให้เดินคู่กัน เน้นเรื่องเล่าท้องถิ่น บริการที่เป็นมิตร และมาตรฐานความสะอาด–ปลอดภัย พร้อมระบบจองง่ายบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เพื่อลดขั้นตอนตัดสินใจ

ปลายฝนต้นหนาว หนึ่งวันในเชียงรายที่พูดด้วยตัวเอง

เริ่มเช้าด้วยหมอกบางๆ เหนือทุ่งชา นักท่องเที่ยวแวะจิบกาแฟดริปจากเมล็ดดอยแม่สลอง ก่อนมุ่งหน้าไป วัดร่องขุ่น แสงเช้าสะท้อนผิววิจิตรสีขาวโพลน จบช่วงสายที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ซึ่งเล่าเรื่องลึกของล้านนาในภาษาศิลป์ พอเที่ยงก็สลับไปร้านอาหารท้องถิ่นริมกก บ่ายแก่ๆ แวะ คาเฟ่วิวภูเขา ที่ชุมชนเจ้าบ้านลงมือชงด้วยใจ

ยามเย็นเดินควงแขนกันที่ ถนนคนเดินเชียงราย ดนตรีเปิดหมวกดังคลอ ผู้คนเลือกผ้าทอไทลื้อ ข้าวจี่ร้อนๆ ควันกรุ่น ช่วงเวลานี้อาจเป็น “จุดตัดสินใจ” ที่สำคัญที่สุด เพราะประสบการณ์จริงจะทำให้ทุกไลก์–ทุกการค้นหา กลายเป็น “รีวิวปากต่อปาก” ที่พาเพื่อนอีกหลายคนกลับมาในฤดูกาลหน้า

โอกาสของเมืองรองในหน้าหนาว ต้องคว้าด้วยคุณภาพ

การคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “จุดเริ่ม” เชียงรายมีทรัพยากรพร้อมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กาแฟ และความปลอดภัย แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจับต้องได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการอย่างมีวินัย ตั้งแต่คิวจุดชมวิวจนถึงห้องน้ำสาธารณะ ตั้งแต่มาตรฐานที่พักจนถึงถังขยะรีไซเคิล ตั้งแต่ข้อมูลเรียลไทม์จนถึงเจ้าบ้านที่ยิ้มต้อนรับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ปลายปีนี้ “เมืองรองดาวรุ่ง” จึงไม่ได้ชนะกันที่แสงสีที่ดังที่สุด แต่ชนะกันที่รายละเอียดและความสม่ำเสมอที่สุด หากเชียงรายรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลายและต่อยอด Soft Power ให้คมชัด เชียงรายจะไม่ใช่เพียง “คำค้นหายอดนิยม” แต่จะเป็น “คำตอบ” ของนักเดินทางคุณภาพในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Google Trends
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ททท. แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนตุลาคม 2568
  • OAG / ระบบ ForwardKeys
  • ข้อมูลสาธารณะด้านความปลอดภัยนักเดินทาง/ผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด
  • TAT Intelligence Center
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แนวโน้มท่องเที่ยวไทย 2568: ลดจ่าย-เพิ่มคุ้มค่า

แนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวของคนไทยในปี 2568: การปรับตัวและกลยุทธ์ธุรกิจท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 SCB EIC เผยข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวในปี 2568 พบว่า ชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดการใช้จ่าย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่คาดว่าจะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ

แนวโน้มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทย

SCB EIC รายงานว่า การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศยังคงเป็นที่นิยม เนื่องจากมีสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการใช้จ่ายในด้านอื่น เช่น เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ กลุ่มที่มีสถานะการเงินมั่นคง เช่น กลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้และรายได้ดี มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่กลุ่มการเงินเปราะบางกว่า 50% มีแนวโน้มลดหรือยกเลิกแผนท่องเที่ยว

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน ขณะที่การท่องเที่ยวต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มอื่น

วิธีปรับตัวของนักท่องเที่ยวไทย

นักท่องเที่ยวไทยใช้ 4 วิธีในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยว ได้แก่

  1. ลดความถี่ในการท่องเที่ยว
  2. ลดการช้อปปิ้งสินค้า
  3. เลือกที่พักราคาประหยัด
  4. ชะลอแผนการท่องเที่ยว

การปรับตัวเหล่านี้แตกต่างกันตามช่วงอายุ เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานเลือกลดค่าใช้จ่ายด้านความสะดวกสบาย ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยปรับแผนมาท่องเที่ยวในประเทศหรือเลือกกรุ๊ปทัวร์ที่คุ้มค่า

กลยุทธ์สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวในปี 2568

  1. เจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อดี
    ธุรกิจควรมุ่งเน้นการดึงดูดกลุ่มที่มีรายได้ดีและคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ตอบโจทย์

  2. เพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าและบริการ
    การสร้างความคุ้มค่าให้ตรงกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม เช่น การนำเสนอกิจกรรมที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น หรือบริการพิเศษที่เหมาะกับผู้สูงวัย

  3. บริหารต้นทุนเพื่อเสนอแพ็กเกจราคาประหยัด
    การใช้เทคโนโลยี เช่น AI และ Automation ในการบริหารจัดการ รวมถึงการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน เช่น การใช้พลังงาน Solar Cell หรือรถยนต์ไฟฟ้า

สรุปผลการสำรวจ

ในปี 2568 แม้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ แต่การท่องเที่ยวยังคงเป็นกิจกรรมยอดนิยม ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถตอบสนองความต้องการด้วยการปรับตัวและนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าและความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SCB EIC

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“มนพร“ ตรวจคืบหน้าพัฒนาโครงข่าย คมนาคมทางน้ำ จ.เชียงราย

 
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนและติดตามโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต โดยมีนายดรุฒ คำวิชิตธนาภา กรรมการ กทท. นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. นายอภิเสต พงษ์สุวรรณ รองผู้อำนวยการ กทท. สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ และพนักงาน กทท.ให้การต้อนรับ ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย
 
 
โครงการส่งออกสัตว์มีชีวิตที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน (ทชส.) ได้ผ่านความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว และสามารถดำเนินโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต (โคเนื้อ กระบือ สุกร) ผ่านที่ ทชส. ในพื้นที่ 1 บริเวณพื้นที่ท่าเรือแนวลาดฝั่งทิศใต้ ได้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยคาดการณ์ปริมาณสัตว์ส่งออกสุกร 15,000 ตัว/เดือน หรือ 180,000 ตัว/ปี โค กระบือ จำนวน 5,000 ตัว/เดือน หรือ 60,000 ตัว/ปี ส่งผลให้ ทชส. มีรายได้จากการดำเนินโครงการฯ เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งนี้ การส่งออกสัตว์มีชีวิตผ่านที่ ทชส. ต้องปฏิบัติตามแนวทางตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และระเบียบพิธีการของกรมศุลกากรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การขนถ่าย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยผู้ประกอบการต้องทำนัดหมายช่วงเวลาในการขนถ่ายสัตว์ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง การล้างสิ่งปฏิกูลและฉีดยาฆ่าเชื้อ การขนย้ายโดยมีที่กั้นที่แข็งแรง ถ่ายเทอากาศได้ดี มีอุปกรณ์ช่วยขนสัตว์ขึ้นลง รวมทั้งการทำความสะอาดจุดขนถ่ายสัตว์ เมื่อดำเนินการขนถ่ายแล้วเสร็จ เป็นต้น
 
 
“ปัจจุบันโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต (โคเนื้อ กระบือ สุกร) ที่ ทชส.ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมเจ้าท่าและการท่าเรือฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดำเนินโครงการให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเกษตรกรที่อยู่บริเวณพื้นที่โดยรอบท่าเรือและอำเภอเชียงแสนตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้เน้นย้ำให้ดำเนินการตามแนวทางตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และระเบียบพิธีการของกรมศุลกากร เพื่อเป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน” นางมนพร กล่าว
 
 
ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า “โครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต เป็นการใช้พื้นที่ ทชส. เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของ ทชส. ที่สามารถให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว อันจะเป็นการสร้างรายได้ ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการส่งออกสัตว์ที่อาจจะมีราคาต่ำลง และเชื่อว่าแนวคิดต่างๆ ทั้งภาคเกษตรกร ภาคธุรกิจที่ได้ร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อ ทชส. ในการให้การสนับสนุนและต่อยอดด้านการค้าการขนส่งในพื้นที่ต่อไป”
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่าเรือแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News