Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กอ.รมน.ภาค 3 ฟื้นฟูความชุ่มชื้น ป่าไม้จากต้นกล้าและเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา

 

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ พลตรี ณภัทร สุมาทัย ผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการน้ำและป่าต้นน้ำ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ได้ร่วมกันเปิดการอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้และการเพาะเชื้อเห็ดตามโครงการฟื้นฟูความชุ่มชื้นป่าไม้จากต้นกล้าและเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา ณ ห้องประชุมเชียงรุ้ง 2 โรงแรมเวียงอินทร์ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย

การอบรมนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการฟื้นฟูความชุ่มชื้นของป่าไม้ โดยการใช้เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ป่าเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงการผลิตเห็ดบริโภคเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว ในงานมี พันเอก จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ รอง ผอ.รมน.จังหวัดเชียงราย และวิทยากรจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ กรมป่าไม้, วิทยากรปราชญ์ชาวบ้าน และวิทยากรจาก กอ.รมน.ภาค 3 มาบรรยายและถ่ายทอดความรู้

การอบรมมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 300 คน แบ่งเป็น 2 รุ่น ซึ่งเป็นเกษตรกรเครือข่าย กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการปลูกจิตสำนึกในการรักและหวงแหนพื้นที่ป่าไม้ พร้อมทั้งการสร้างป่าใหม่ให้มีความอุดมสมบูรณ์ โดยการใช้เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซาซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นไม้และทำให้ป่าไม้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการลดปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละออง PM 2.5 โดยการลดการเผาป่าเพื่อทำการเกษตร ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่ส่งผลให้เกิดมลพิษและความเสี่ยงต่อสุขภาพ การปลูกป่าใหม่และการใช้เห็ดไมคอร์ไรซาไม่เพียงแต่ช่วยในการฟื้นฟูความชุ่มชื้นของป่า แต่ยังสามารถผลิตเห็ดที่บริโภคได้ และนำไปขายสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

เห็ดไมคอร์ไรซาเป็นเชื้อราที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ระบบรากของต้นไม้สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้ต้นไม้เติบโตเร็วและมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งเห็ดยังเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการ

การสร้างรายได้จากการผลิตเห็ดไม่เพียงแต่ช่วยให้ครอบครัวมีรายได้เสริม แต่ยังสามารถช่วยลดการพึ่งพาการเผาป่าและส่งเสริมการจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ยั่งยืนอีกด้วย การอบรมในครั้งนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย ก่อนหมดวาระ 19 ธันวาคม 2567 นี้

 

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 นายพุฒฺพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมเวียงชัยนารายณ์ ชั้น 3 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมี นายชูชาติ สุขสงวน ผอ.สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดเชียงราย ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย คณะกรรมการแบ่งเขตเลือกตั้งฯ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมตามประกาศให้มีคณะกรรมการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย ในการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้ง นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมาประกอบการพิจารณาการแบ่งเขตเลือกตั้ง แล้วรวบรวมสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว พร้อมผลการพิจารณาอย่างน้อย 3 รูปแบบพร้อมความคิดเห็น เรียงตามความเหมาะสมเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเร็ว

โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณารูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เฉพาะอำเภอที่แบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ จำนวน 6 อำเภอ ได้แก่ 
  1. อำเภอแม่สาย 2 เขต 
  2. อำเภอพาน 4 เขต 
  3. อำเภอเทิง 3 เขต 
  4. อำเภอเมืองเชียงราย 7 เขต 
  5. อำเภอแม่สรวย 2 เขต 
  6. และอำเภอเวียงป่าเป้า 2 เขต 
และได้มีการพิจารณารูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เฉพาะอำเภอที่ใช้เขตเลือกตั้งเดิม ได้แก่ 
  1. อำเภอแม่จัน 3 เขต 
  2. อำเภอเชียงของ 2 เขต 
  3. อำเภอแม่ฟ้าหลวง 2 เขต 
  4. และกรณี 1 เขต 9 อำเภอ รวมอำเภอเชียงแสน เหลือ 1 เขต 
 
โดยสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ที่มาจากการเลือกตั้งทั้ง 18 อำเภอ ของจังหวัดเชียงราย รวมทั้งสิ้น 36 คน โดยแบ่งตามอำเภอ ได้แก่ 
  1. อำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 7 คน 
  2. อำเภอพาน จำนวน 3 คน 
  3. อำเภอแม่สาย จำนวน 3 คน 
  4. อำเภอเทิง จำนวน 2 คน 
  5. อำเภอแม่จัน จำนวน 3 คน 
  6. อำเภอแม่สรวย จำนวน 2 คน 
  7. อำเภอเวียงป่าเป้า จำนวน 2 คน 
  8. อำเภอเชียงของ จำนวน 2 คน 
  9. อำเภอแม่ฟ้าหลวง จำนวน 2 คน 
  10. อำเภอเชียงแสน จำนวน 2 คน 
  11. อำเภอเวียงชัย จำนวน 1 คน 
  12. อำเภอป่าแดด จำนวน 1 คน 
  13. อำเภอพญาเม็งราย จำนวน 1 คน 
  14. อำเภอเวียงแก่น จำนวน 1 คน 
  15. อำเภอขุนตาล จำนวน 1 คน 
  16. อำเภอแม่ลาว จำนวน 1 คน 
  17. อำเภอดอยหลวง จำนวน 1 คน 
  18. และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จำนวน 1 คน
 
 ตามจำนวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นไปตามแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ใช้จำนวนราษฎร ตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉพาะราษฎที่มีสัญชาติไทย (หนังสือสำนักงาน กกต.ที่ ลต 0012/ว 227 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563)
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE FEATURED NEWS

CEA หนุนศักยภาพเชียงราย ‘เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ’ ยูเนสโก

 

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)หรือ CEA ในฐานะหน่วยงานร่วมขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ เชียงราย ภายใต้เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ร่วมเปิดงาน “Chiang Rai Sustainable Design Week 2024” หรือ “เทศกาลเชียงรายเมืองออกแบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2567” ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด “Chiang Rai Creature” หรือ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเมือง” ระหว่างวันที่ 9 – 15 สิงหาคม 2567 ณ อาคาร OTOP ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก โดยมีนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ร่วมเปิดงานเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 มุ่งชูศักยภาพของเชียงรายในการเป็น ‘เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ’ ที่โดดเด่นในฐานะหนึ่งในเครือข่ายสมาชิกเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก (UCCN, Chiang Rai City of Design) พร้อมตอกย้ำการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองที่ใช้ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ และ ‘การออกแบบ’ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเมืองเชียงราย

นอกจากนี้ CEA ยังได้เป็นประธานเปิดงานกิจกรรม “สล่ากาแฟ” หรือ “Chiang Rai Specialty Coffee Showcase” และ “ธุลีกาศ” หรือ “SMOG” โดยมี ดร. ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวเปิดงาน ทั้ง 2 กิจกรรมมุ่งเน้นการส่งเสริมสินทรัพย์ในพื้นที่ของจังหวัด และทดสอบแนวคิดการใช้งานออกแบบเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในเชียงราย  โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง CEA กับนักสร้างสรรค์ จาก 69 องศา ภาคีเครือข่ายธุรกิจกาแฟของเชียงราย และ FabCafe Bangkok  

ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่าสำหรับ CEA ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่สนับสนุนและส่งเสริมเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโกทุกเมืองในประเทศไทย การพัฒนา ‘เมืองสร้างสรรค์’ เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของ CEA โดย ‘เชียงราย’ ได้รับการประกาศเป็นสมาชิกเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโกด้านการออกแบบในปี 2566 นับเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ให้กับเชียงรายในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม CEA จึงมุ่งมั่นที่จะใช้องค์ความรู้และเครือข่ายในการส่งเสริมเชียงรายให้เป็นต้นแบบเมืองสร้างสรรค์ระดับสากล และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศให้เติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน

“CEA เล็งเห็นโอกาสและศักยภาพของเชียงรายในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการออกแบบของเชียงราย โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างระบบนิเวศทางความคิดสร้างสรรค์ที่เข้มแข็ง ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักออกแบบท้องถิ่น และประยุกต์ใช้การออกแบบเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ การร่วมผลักดันเมืองเชียงรายในฐานะเครือข่ายสมาชิกเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโกนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล” 

CEA ร่วมจัดกิจกรรมภายใต้ “Chiang Rai Sustainable Design Week 2024”

“Chiang Rai Sustainable Design Week 2024” หรือ “เทศกาลเชียงรายเมืองออกแบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2567” จะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองสร้างสรรค์ รวมถึงมอบโอกาสให้นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ เครือข่ายชุมชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจากเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง ได้พบปะ แลกเปลี่ยนไอเดีย มุมมอง และประสบการณ์ พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ ด้วยการสร้างโอกาสในเรียนรู้และทดลองผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบ เพื่อออกแบบและพัฒนาเมืองเชียงรายไปด้วยกัน

เทศกาลฯ เป็นความร่วมมือระหว่าง CEA ร่วมกับสำนักงานจังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลเมืองเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นักสร้างสรรค์ และหน่วยงานเครือข่ายภาคเอกชนในจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ CEA ได้นำร่องจัด 3 กิจกรรมภายใต้เทศกาลฯ โดยร่วมกับพันธมิตรอย่าง FabCafe ฺBangkok, 69 องศา และ MAYDAY! จัดงานที่ส่งเสริมการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่ มุ่งผลักดันเชียงรายใน 3 มิติ ให้เป็นทั้งเมืองน่าอยู่ น่าลงทุน และน่าท่องเที่ยว ได้แก่

  1. เมืองน่าอยู่ –SMOG I ธุลีกาศ โดยร่วมกับ FabCafe Bangkok กิจกรรมเสวนา โชว์เคสและเวิร์กช็อปที่จะมานำเสนอแนวทางเปลี่ยนขยะที่เกิดจากกิจกรรมทางการเกษตร ให้กลายเป็นสินทรัพย์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่สร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับนักสร้างสรรค์ ซึ่งนอกจากจะสร้างมูลค่าแล้ว ยังช่วยลดปัญหาฝุ่นและไฟป่าซึ่งพบบ่อยในเชียงราย ทั้งยังส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  2. เมืองน่าลงทุน –Chiang Rai Specialty Coffee Showcase I สล่ากาแฟ โดยร่วมกับ 69 องศา และเครือข่ายธุรกิจกาแฟ กิจกรรมเสวนาและเวิร์กช็อปที่เชิญชวน Coffee Lover มาเพิ่มทักษะด้าน “กาแฟ” สินทรัพย์ที่โดดเด่นของเชียงราย พร้อมส่งเสริมกาแฟให้เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ของเชียงราย ให้ทั้งรสชาติดีและมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กาแฟของไทย 
  3. เมืองน่าเที่ยว –Chiang Rai MOVE I วน “เวียง” เจียงฮาย โดยร่วมกับ MAYDAY!  และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลเมืองเชียงราย และสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงราย EV Bus Chiang Rai และบัสซิ่ง ทรานสิท กับ Go Go Bus นำเสนอเส้นทางเดินรถทั้งหมด 2 สาย โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ร่วมกันสร้างแนวคิดการออกแบบขนส่งสาธารณะ ที่ครอบคลุมพื้นที่และเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะที่มีอยู่เดิม เพื่อให้คนเจียงฮายเดินทางได้สะดวกสบายและสนุกยิ่งขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถทดลองใช้งาน Go Go Bus ได้ฟรีตลอดเทศกาลฯ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมหลากหลายที่สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และศักยภาพของคนในพื้นที่ในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้แก่ การจัดแสดงนิทรรศการและโชว์เคสจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานศึกษา และผู้ประกอบการ การสัมมนาทางวิชาการด้านการออกแบบสร้างสรรค์ รวมถึงตลาด Design Market ที่รวบรวมสินค้าดีไซน์และแบรนด์ที่สะท้อนศักยภาพพื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เครื่องแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ ของแต่งบ้าน อาหารสร้างสรรค์ Green Market & Local Spa และกิจกรรมเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ เช่น เวิร์กช็อป เสวนา ดนตรีและการแสดง และกิจกรรมเดินแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าพื้นถิ่น ในแนวคิดเชียงรายสร้างสรรค์ ณ ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย

CEA เชื่อมั่นว่าเทศกาลฯ จะจุดประกายไอเดียใหม่ ๆ เปิดโอกาสให้นักสร้างสรรค์ได้นำเสนอผลงานที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้นผ่านการออกแบบ นับเป็นการส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สร้างเครือข่ายพันธมิตรด้านการออกแบบ รวมถึงสร้างสรรค์องค์ความรู้ สนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของผู้คนและธุรกิจในย่าน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ ในการส่งเสริมและผลักดันเชียงราย ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน และมาร่วมขับเคลื่อน ‘สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเมือง’ ผ่าน ‘การออกแบบ’ และ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ในเมืองที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์อย่างเชียงราย ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ที่น่าอยู่ น่าลงทุน น่าท่องเที่ยว และเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของ CEA ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป” ดร. อรรชกา กล่าวทิ้งท้าย

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน): สศส. หรือ Creative Economy Agency (Public Organization): CEA จัดตั้งขึ้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2561 โดยการยกระดับ TCDC ขึ้นเป็นองค์การมหาชนในกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืนในระยะยาว หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของ CEA คือการสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นจริง โดยการส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ที่เอื้อต่อบรรยากาศสร้างสรรค์และการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ตลอดจนมีความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงสู่ชุมชนโดยรอบให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น CEA ยังทำหน้าที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้เติบโต จากการพัฒนาศักยภาพและเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือยกระดับธุรกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ Creative Economy Agency (Public Organization)

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Chiang Rai Sustainable Design Week 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย ลงตรวจมาตรฐานขนาดลำไย สร้างความเป็นธรรมทางการค้า

 

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 เวลา 14.00 น. นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะทำงานตรวจสอบมาตรฐานเครื่องคัดขนาดลำไยสดตัดขั้ว (รูดร่วง) จังหวัดเชียงราย ร่วมกันตรวจสอบเครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน เพื่อกำกับดูแลให้ได้ตามมาตรฐานในการคัดขนาดลำไย สร้างความเป็นธรรมทางการค้า ดูแลเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ และลดข้อขัดแย้งระหว่าง ผู้ซื้อและผู้ขาย ณ บริษัท ไท้หยวนจินซาน จำกัด ที่ตั้งเลขที่ 194 หมู่ 9 ตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

โดยคณะทำงานตรวจสอบมาตรฐานเครื่องคัดขนาดลำไยสดตัดขั้ว (รูดร่วง) จังหวัดเชียงราย กำหนดแผนออกตรวจสอบเครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน ที่อยู่ระหว่างการใช้งาน สำหรับรับซื้อลำไยสดรูดร่วง ในเดือน สิงหาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ลำไยจังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดมาก

ทั้งนี้ เครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน ปัจจุบันใช้เป็นตัวกลางในการกำหนดราคาซื้อขายลำไยสดรูดร่วง ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัด กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ (ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดลักษณะเครื่องวัดสำหรับคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน รายละเอียดของวัสดุที่ผลิต อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดและอายุคำรับรอง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2566 และเครื่องคัดฯ ที่มีมาก่อนประกาศฯ บังคับใช้ ให้นำมาตรวจสอบให้คำรับรองก่อนวันที่ 22 ธันวาคม 2567) โดยเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบความเที่ยงตรงของรูตะแกรง โดยแต่ละขนาดต้องตรงตามที่มาตรฐานกำหนด และอยู่ในเกณฑ์อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ทั้งฝ่ายมากและฝ่ายน้อย ไม่เกิน 0.5 มม. และกำหนดให้มีอายุคำรับรอง 2 ปี ซึ่งปัจจุบันเครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน ในจังหวัดเชียงรายผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองแล้ว 684 เครื่อง

สำหรับจุดสังเกตุ เครื่องคัดฯ ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองแล้ว เกษตรกร ชาวสวนลำไยและประชาชนทั่วไป ให้สังเกตสติกเกอร์ตราครุฑ “ตรวจสอบแล้ว” จากสำนักงานกลางชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน ซึ่งจะติดอยู่ด้านทางออก (AA,A,B,C)

หากผู้ประกอบการท่านใด มีเจตนากระทำความผิด แก้ไขดัดแปลงเครื่องคัดขนาดลำไยฯ หรือเครื่องชั่ง เพื่อเอาเปรียบประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการทางกฎหมายสูงสุด มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกินสองแสนแปดหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ หากผู้ครอบครองนำเครื่องที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบให้คำรับรอง ไปใช้ในการรับซื้อ จะมีโทษตาม พ.ร.บ. มาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน   ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบในการซื้อขาย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์หนุนวิสาหกิจชุมชน เพื่อผู้สูงวัย ‘Hug Villages’

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้า ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการโครงการสร้างชุมชนสู่ออนไลน์สร้างรายได้ธุรกิจ (Digital Village by DBD) : Hug Villages จ.เชียงราย ถึงกับขนานนามเป็น ‘วิสาหกิจชุมชนเพื่อผู้สูงวัย’ โดยผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าปักมือ อัตลักษณ์ประจำถิ่นสุดประณีต กว่า 80% เป็นผู้สูงวัยในชุมชน สูงสุดอายุ 82 ปี ไม่เท่านั้นพ่ออุ๊ย-แม่อุ๊ย ยังช่วยไลฟ์ขายสินค้าตามสไตล์แต่ละคนที่ไม่เหมือนใคร นำรายได้เข้าชุมชนนับล้านบาท ยกย่อง ช่วยสร้างคุณค่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ผู้สูงอายุ เตรียมพัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชนต้นแบบที่ให้โอกาสผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการบริหารธุรกิจชุมชน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “โครงการสร้างชุมชนสู่ออนไลน์สร้างรายได้ธุรกิจ หรือ Digital Village by DBD เป็นโครงการที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ และนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เร่งสร้างองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการชุมชน โดยเฉพาะด้านการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ขยับตัวเองจากพ่อค้า-แม่ขายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ที่พร้อมนำเสนอสินค้าในแบบฉบับของตนเอง สร้างรายได้ให้ชุมชน เพิ่มโอกาสทางการตลาด ขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมยกระดับธุรกิจฐานรากให้สามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในบริบทการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น

โดยล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ลงพื้นที่วิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ทำมือบ้านจงเจริญ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการพัฒนาและผ่านการอบรมโครงการ Digital Village by DBD ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในปี 2566 เพื่อติดตามการดำเนินงาน พบปะพูดคุยกับผู้นำชุมชนเพื่อทราบถึงแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนฯ และการขยายช่องทางการตลาดแบบคู่ขนานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้ง เชิญชวนวิสาหกิจชุมชนฯ ร่วมออกงานแสดงและจำหน่ายสินค้าที่กรมหรือหน่วยงานพันธมิตรจัดขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้สินค้าและบริการ ขยายโอกาสทางการตลาดให้กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งเป็น 1 ใน 9 มาตรการหลักของกรมในการสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการไทย

อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า จากการพูดคุยทำให้ทราบว่า วิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ทำมือบ้านจงเจริญ มีการจ้างแรงงานคนในชุมชนที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ เกษตรกร กลุ่มชาติพันธุ์ และแรงงานนอกระบบ เข้ามาทำงานให้กับวิสาหกิจชุมชนฯ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็นกำลังหลักสำคัญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าปักมือ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ประจำถิ่นที่มีความประณีตสวยงาม ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนฯ มีสมาชิกซึ่งเป็นคนในชุมชน 82 คน โดย 80% เป็นผู้สูงอายุที่ยังสามารถผลิตงานผ้าปักมือได้อย่างคล่องแคล่ว โดยสมาชิกที่มีอายุสูงสุด คือ 82 ปี จนสามารถขนานนามว่าเป็น ‘วิสาหกิจชุมชนเพื่อผู้สูงวัย’ ได้อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ยังทราบว่าผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ หลังจากผ่านการอบรมโครงการ Digital Village by DBD ได้ช่วยไลฟ์สดขายสินค้าตามสไตล์ของแต่ละคนที่ไม่เหมือนใคร มีความเป็นธรรมชาติ และสามารถสร้างรายได้เข้าชุมชนนับล้านบาทต่อปี เป็นการนำความรู้ที่ได้รับจากโครงการมาใช้ในการขยายโอกาสทางการตลาดที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ช่วยสร้างคุณค่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ผู้สูงอายุ โดยมีการส่งต่อความรู้และเทคนิคด้านการปักผ้าด้วยมือแก่สมาชิกคนอื่นๆ ที่ต้องการเข้ามาช่วยพัฒนาชุมชน ทำให้เป็นวิสาหกิจชุมชนต้นแบบที่ให้โอกาสผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารธุรกิจชุมชน ใช้ประสบการณ์ของผู้สูงอายุมาต่อยอดให้เกิดการพัฒนาในแบบฉบับของวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ทำมือบ้านจงเจริญ

นางวิไล นาไพวรรณ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ทำมือบ้านจงเจริญ กล่าวว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ทำมือบ้านจงเจริญ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ ปี 2548 โดยได้กำหนดเป้าหมายของธุรกิจไว้คือ ‘พัฒนาคน สร้างงาน สร้างสรรค์ศิลปะเพื่อสังคม ของชุมชนท้องถิ่น’ เริ่มต้นจากการผลิตตุ๊กตาไหมพรมจำหน่าย ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าปักมือ เช่น กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายผสมผ้าใยกัญชง ไหมประดิษฐ์ และเส้นฝ้ายพื้นเมือง ที่ย้อมสีเส้นด้ายจากธรรมชาติใช้เอง และมีการปรับชื่อแบรนด์เป็น ‘Hug Villages Art Design’ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป็นงานปักมือที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และมีเทคนิคการปัก 7 หลักการ ใช้ทั้งทฤษฎีสี องค์ประกอบศิลป์ และจินตนาการ ผสมผสานให้เกิดเป็นลวดลายปักที่สวยงามไม่เหมือนใคร จนได้รับรางวัลชมเชย ‘ผ้าอัตลักษณ์เชียงราย’ ที่มีความละเอียดประณีต ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษนั้น ซึ่งตรงกับสโลแกนของกลุ่มที่ว่า ‘ปักด้วยมือ สัมผัสด้วยใจ’

โดยเริ่มแรกเน้นขายสินค้าผ่านหน้าร้านเป็นหลักทั้งที่วิสาหกิจชุมชนฯ ตามงานแสดงสินค้าใน จ.เชียงราย และต่างจังหวัด ซึ่งผู้บริโภครับรู้และรู้จักผลิตภัณฑ์ในระดับหนึ่ง ต่อมา ปี 2566 ได้สมัครเข้าร่วมโครงการ Digital Village by DBD ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผ่านการอบรมวิสาหกิจชุมชนที่ใช้ออนไลน์ในการขยายช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาศักยภาพด้านการวางแผนธุรกิจ และการบริหารจัดการการค้าออนไลน์ให้สามารถพัฒนาและจำหน่ายสินค้าชุมชนบนช่องทางการตลาด e-Commerce ยุคใหม่ สร้างการรับรู้และช่วยกระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกพื้นที่ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังเป็นสมาชิกเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ของกระทรวงพาณิชย์อีกด้วย เพื่อเพิ่มพันธมิตรและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้น ขอขอบคุณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการชุมชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อม/รายย่อย ให้มีความรู้ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เป็นการติดอาวุธเสริมทักษะและช่วยให้ปรับตัวรับมือกระแสการค้าโลกใหม่ได้เป็นอย่างดี เป็นลมใต้ปีกและพลังสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการชุมชนสามารถแข่งขันได้อย่างเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีศักยภาพในโลกการค้ายุคใหม่

อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้ายว่า ประชาชนและผู้บริโภคที่สนใจงานผ้าปักมือของวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ทำมือบ้านจงเจริญ สามารถติดตามและเลือกชมสินค้าได้ทาง www.facebook.com/CraftChiangraibywilai62 ,  ID Line : wilainapaiwan โทร 088 267 4469 ซึ่งนอกจากจะช่วยอุดหนุนสินค้าของผู้ประกอบการชุมชนแล้ว ยังเป็นการให้กำลังใจผู้สูงอายุที่ร่วมสร้างสรรค์งานผ้าปักมือด้วยใจรักและช่วยหารายได้ให้ครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย ผู้สนใจและผู้ประกอบการสามารถติดตามกิจกรรมและโครงการดีๆ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทาง www.dbd.go.th และ สายด่วนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 1570

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงราย จัดรักบี้ฟุตบอล ปีที่ 2 เฟ้นหาตัวแทนสู่นักกีฬาอาชีพ

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 10  สิงหาคม  2567 เวลา 10.00  น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการกีฬาและนันทนาการประชาชนจังหวัดเชียงราย กิจกรรมที่ 29 การแข่งขันกีฬารักบี้ฟูตบอล 7 คน อบจ.เชียงรายคัพ ประจำปี 2567 โดยมีนายประจญ ปรัชญ์สกุล ที่ปรึกษาสมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย นายเก่ง แกล้วกล้า นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย

อบจ.เชียงราย ได้บูรณาการร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จ.เชียงราย และสมาคมรักบี้แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันจัด

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2567 เวลา 17.00 น.นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอล 7 คน อบจ.เชียงรายคัพ ประจำปี 2567 ณ สนามรักบี้ฟุตบอล สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย และบุคลากร กองการท่องเที่ยวและกีฬา อบจ.เชียงราย

โดยการจัดการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอล 7 คน ได้บูรณาการร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย และสมาคมรักบี้แห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ เพื่อส่งเสริมและยกระดับกีฬารักบี้ฟุตบอลในจังหวัดเชียงรายให้แพร่หลาย เป็นการส่งเสริมความรู้ทักษะทางด้านกีฬารักบี้ฟุตบอล เพื่อต่อยอดในระดับการแข่งขันต่อไป เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย ได้ฝึกทักษะในกีฬารักบี้ฟุตบอล และเป็นการยกระดับวงการกีฬารักบี้ฟุตบอลภายในจังหวัดเชียงราย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมแข่งขันจากโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงราย  โครงการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอล 7 คน ในระหว่างวันที่ 10-11 สิงหาคม 2567 โดยมีกลุ่มเป้าหมายนักกีฬารักบี้ จากโรงเรียนมัธยมศึกษาใน จ.เชียงราย จำนวน  10 โรงเรียน ดังนี้ โรงเรียนจันจว้าวิทยาคม 5 ทีม,โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2 ทีม,โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ 3 ทีม,โรงเรียนแม่จันวิทยาคม 2 ทีม,โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม 2 ทีม,โรงเรียนปล้องวิทยาคม 1 ทีม,โรงเรียนแม่ลาววิทยาคม 1 ทีม,โรงเรียนราษฎร์ประชานุเคราะห์ 62 2 ทีม,โรงเรียนพานพิทยาคม 1 ทีม,โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย  3 ทีม

 

มีกำหนดการแข่งขันประเภท รุ่นอายุ 12 ,14 ,16 ปี ชาย-หญิง ประเภททีมโรงเรียน ชาย-หญิง จำนวนทีมนักกีฬาที่ร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 22 ทีม จำนวนนักกีฬาทั้งหมด  352 คน โดยกำหนดตารางการแข่งขันออกเป็น 2 วัน ซึ่งการจัดโครงการในครั้งนี้ ได้รับความอนุเคราะห์จากสมาคมรักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นายประจญ ปรัชญ์สกุล ที่ปรึกษาสมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นผู้ประสานผลักดันโครงการในครั้งนี้ และให้ความอนุเคราะห์กรรมการตัดสิน และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อนุเคราะห์บุคลากรประจำสนามแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอล สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จ.เชียงราย ให้การสนับสนุนในความร่วมมือในการ

ซึ่งผลการแข่งขันรักบี้ อบจ.เชียงรายคัพ ประจำปี 2567

รุ่น 12 ปีชาย

– ชนะเลิศ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 62

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

รุ่น 14 ปีหญิง

– ชนะเลิศ โรงเรียนจันจว้าวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์

รุ่น 14 ปีชาย

– ชนะเลิศ โรงเรียนจันจว้าวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

รุ่น 16 ปีหญิง

– ชนะเลิศ โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนจันจว้าวิทยาคม

รุ่น 16 ปีชาย ดิวิชั่น 2

– ชนะเลิศ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์

รุ่น 16 ปีชาย ดิวิชั่น 1

– ชนะเลิศ โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 62

รุ่นโรงเรียนหญิง

– ชนะเลิศ โรงเรียนจันจว้าวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนแม่จันวิทยาคม

รุ่นโรงเรียนชาย ดิวิชั่น 4

– ชนะเลิศ โรงเรียนปล้องวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์

รุ่นโรงเรียนชาย ดิวิชั่น 3

– ชนะเลิศ โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนพานพิทยาคม

รุ่นโรงเรียนชาย ดิวิชั่น 2

– ชนะเลิศ โรงเรียนแม่ลาววิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนแม่จันวิทยาคม

รุ่นโรงเรียนชายดิวิชั่น 1

– ชนะเลิศ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม

– รองชนะเลิศอันดับที่ 1 โรงเรียนจันจว้าวิทยาคม

จัดการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อยอดมาจากการฝึกอบรมเมื่อ วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 และเพื่อคัดทีมเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมการแข่งขันในระดับภาคเหนือ ณ จังหวัดพิษณุโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

12 สิงหาคม ชาวเชียงรายร่วมใจ บริจาคโลหิต อวัยวะ และดวงตา

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ที่มูลนิธิสาธารณะกุศลสงเคราะห์เชียงราย (หน้าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม) อ.เมืองเชียงราย เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และมูลนิธิสาธารณกุศลสงเคราะห์เชียงราย จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 เพื่อถวายความจงรักภักดี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ 

ที่ทรงมีต่อประชาชนและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ซึ่งเปิดรับบริจาคตั้งแต่เวลา 9.00 – 14.00 น. โดยภายในกิจกรรมวันนี้ ชาวเชียงรายต่างรวมใจสวมเสื้อสีฟ้า สีสัญลักษณ์ของวันแม่ มีทั้งประชาชนจิตอาสา นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ที่มาบริจาคโลหิตจะได้รับของที่ระลึก ใบประกาศเกียรติคุณ และได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ จากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รวมถึงลุ้นรับแก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ แก้วน้ำมินิมอล ร่ม และอื่นๆอีกมาย จาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย และไทย ฮอนด้า เชียงราย เพื่อเป็นการตอบแทนที่มีจิตอาสา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งการบริจาคโลหิตถือเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นการต่อชีวิตให้กับผู้อื่น โดยการบริจาคเลือดปกติ 1 ครั้งสามารถช่วยต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ 3 คน ทำให้มีเลือดเพียงพอในการรักษาชีวิตของผู้ป่วยตลอดไป

ทั้งนี้ “โลหิต” หรือ “เลือด” เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญในการใช้รักษาผู้ป่วย ในปัจจุบันยังไม่มีผู้ที่สามารถคิดค้นสิ่งใดมาใช้ทดแทนโลหิตได้ จึงจำเป็นต้องมีการรับบริจาคโลหิต เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตสำหรับใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยการบริจาคโลหิตแต่ละครั้ง สามารถปั่นแยกเป็นส่วนประกอบโลหิตได้มากกว่า 3 ส่วน ช่วยชีวิตได้มากกว่า 3 ชีวิต และผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิตได้อีกมากมาย เพื่อนำไปรักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ อาทิ เกล็ดเลือด นำไปรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง นำไปรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ ผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากการ ผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ตกเลือดจากการคลอดบุตร พลาสมา นำไปรักษาผู้ที่มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ ผลิตเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัข 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ประเพณีโล้ชิงช้า บ้านห้วยไร่ อ.แม่จัน เทศกาลปีใหม่ชาวอาข่า

 
เมื่อวันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2567 เวลา 15.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการจัดงานประเพณีโล้ชิงช้าของชนเผ่าอาข่าประจำปี พ.ศ. 2567 ณ บ้านห้วยไร่ (ซาเจ๊ะ) หมู่ 6 ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสมชาย บัญชาพล ผู้ใหญ่บ้านห้วยไร่ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนายเสน่ห์ ปัญญาดี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ นายก อบจ.เชียงราย, นายระพิน เตมียะ ที่ปรึกษา นายก อบจ.เชียงราย, นายสุทธิรัตน์ แสงเพ็ญจันทร์ ปลัดอำเภอแม่จัน หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง, นายไพศาล พรมมาลี นายกเทศมนตรี ตำบลแม่ไร่, นายณรงค์ชัย ใจวงค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ไร่, ข้าราชการ, ผู้นำท้องที่, ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย

การจัดงานประเพณีโล้ชิงช้าของชนเผ่าอาข่าปีนี้เป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ความสำคัญของประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นในพื้นที่ ตลอดจนการสร้างความสามัคคีในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและรักษาวัฒนธรรมอันดีงามไว้ให้คงอยู่ต่อไป

งานประเพณีโล้ชิงช้าของชนเผ่าอาข่าจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 12 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์เด็กเล็กบ้านห้วยไร่ (ซาเจ๊ะ) หมู่ 6 ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยกิจกรรมหลักประกอบด้วยการโล้ชิงช้า, การแสดงพื้นบ้าน, การทำอาหารและของฝากท้องถิ่น, และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของชนเผ่าอาข่า

นอกจากนี้ ยังมีกำหนดการจัดงานประเพณีโล้ชิงช้าในพื้นที่ต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงราย ดังนี้:

  • วันที่ 17-18 สิงหาคม 2567 เทศกาลโล้ชิงช้า บ้านดอยช้าง
  • วันที่ 22 สิงหาคม 2567 ประเพณีโล้ชิงช้า สืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ ดอยแสนใจ ตำบลแม่สลองใน
  • วันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567 ประเพณีโล้ชิงช้าบ้านผาฮี้

การจัดงานประเพณีโล้ชิงช้านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชุมชนในการรักษาและส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้มีชีวิตชีวาและยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและกับนักท่องเที่ยวที่สนใจวัฒนธรรมพื้นบ้านของชนเผ่าอาข่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลเล็งใช้เวทีแม่โขง-ล้านช้าง ผลักดันกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยย้ำว่า เป็นวาระที่สำคัญ พร้อมได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประสานร่วมกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC ครั้งที่ 9 ด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคมนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเน้นย้ำความมุ่งมั่นใจการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน

ขณะที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปได้ เพราะจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ

ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลของกัมพูชา, สปป.ลาว, จีน และอินเดีย ต่างให้ความสำคัญ และคำมั่นที่จะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลางในลุ่มน้ำโขง จึงพร้อมผลักดันวาระดังกล่าวร่วมกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กำลังจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายมาริษยังขอบคุณฝ่าย สปป.ลาว โดยเฉพาะนายทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้วคนใหม่ ที่ได้ประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกกิจการภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวในทุกระดับ พร้อมมั่นใจว่า ฝ่ายลาว ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาก และยืนยันว่า ทางการไทย ก็พร้อมร่วมมือกับ สปป.ลาวในระดับพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมกำหนดการในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ 9 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคมนี้ ที่โรงแรมแมริออท เชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี จะการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “Towards Safer and Cleaner Mekong Lancang” และจะมีการแถลงข่าวร่วมกัน (Joint Press Conference)

หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 9 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน

สำหรับกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่ริเริ่มโดยประเทศไทย ในปี 2555 เพื่อพัฒนากรอบความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาอาเซียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวสื

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กสทช. ส่งหนังสือตักเตือน 2 บริษัท หลังเชียงรายพบสายเคเบิลข้ามแดน 10.5 กม.

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตากและประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา หรือ TBC ฝ่ายไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการลักลอบวางสายเคเบิลใต้ดินข้ามแดนจากหมู่บ้านสันติสุข ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงรายไปยังเขตอิทธิพลของกองกำลังว้าที่เมืองยอนในฝั่งพม่าว่า ผู้ลักลอบได้มีการตัดสายสัญญาณช่วงที่ต่อจากบ้านของเขา เพื่อไม่ให้สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ รวมทั้งชาวบ้านแถวนั้นก็รู้ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีนั้นเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่ง กสทช.( คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)บอกว่าในความผิดครั้งแรกเป็นการตักเตือน เพราะกฎหมายกำหนดไว้อย่างนี้ หากผิดครั้งที่ 2 จึงจะเป็นการดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลากสายสัญญาณนับ 10 กม.เป็นเรื่องของความมั่นคงชาติจะไม่เอาผิดกับใครได้เลยหรือ พ.อ.ณฑีกล่าวว่า ได้แจ้ง กสทช. ไปแล้วว่ามีการสืบทางลับ ทราบอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำคือคนในหมู่บ้าน แต่เขาก็รู้ตัวจึงตัดสายของตัวเองออก อย่างไรก็ตามการวางสายข้ามไปฝั่งโน้นระยะทางไกล แม้หลักฐานที่เป็นประจักษ์โดนทำลายไปก่อน แต่ถ้าเอาจริงๆ ก็สืบสาวรู้อยู่แล้ว

“อินเตอร์เน็ตคุณจ่ายรายเดือนเท่าไหร่ ความเร็วเท่าไหร่ รู้หมดนั่นแหละ แต่ต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเขาดำเนินการได้เต็มที่แค่ไหน ถ้าไม่เต็มที่ก็ตอบว่าพยานหลักฐานไม่ได้ออกจากบ้านเขา กำปั้นทุบดินก็จบไป หน่วยปฏิบัติก็ได้แต่ทำงานไป แต่จับไม่ได้ รอเวลาว่าเมื่อไหรเจ้าหน้าที่เผลอ เขาก็ทำอีก” ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กล่าว

ประธาน TBC ฝ่ายไทย กล่าวว่า การวางสายเคเบิลนั้นเป็นสัญญาณคงที่กว่าการใช้จานรับส่งสัญญาณ แต่จานได้รับความนิยมมากกว่าโดยเป็นจานกลมๆ เป็นตัวขยายสัญญาณ  ซึ่งจะติดตั้งในบ้านได้เลยแล้วหันสัญญาณส่งออกไป ทั้งนี้การส่งสัญญาณมีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ 1.การใช้แผงของบริษัทโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นทรู เอไอเอส ดีแทค โดยในส่วนนี้เราส่งข้อมูลให้ กสทช.ช่วยตรวจสอบและให้หันแผงกลับมาเข้าฝั่งประเทศไทย พร้อมทั้งมีตรวจสอบสัญญาณตามแนวชายแดนว่ามีการส่งสัญญาณออกไปถึงมากน้อยแค่ไหน และตรวจวัดระดับสัญญาณ ซึ่ง กสทช.แจ้งว่าดำเนินการเรียบร้อยแล้วขณะนี้ระดับสัญญาณอ่อนลงและบางจุดไม่สามารถใช้การได้ 2. วิธีลากสายเคเบิลออกไป และ 3. ใช้ตัวขยายสัญญาณ ซึ่งเหมือนจานดาวเทียมโทรทัศน์ โดยแต่ละบ้าน สามารถติดตั้งไว้ภายในแล้วเปิดหน้าต่าง เปิดประตู หันจานออกไปเพื่อส่งสัญญาณขยายไปยังที่ที่ต้องการ ลักษณะเดียวกันกับแผงสัญญาณของบริษัทใหญ่

“นิยมใช้ตัวขยายสัญญาณกัน เพราะเอื้อประโยชน์มากที่สุด แค่ติดตั้งภายในบ้าน พอเจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาก็หันจานกลับและบอกว่าไม่ได้ส่ง เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปก็หันจานส่งไปที่เดิม เราพบวิธีการแบบนี้มากตามบ้านเรือนที่อยู่แนวชายแดน  หรือแนวตามลำน้ำโขง วิธีการแบบนี้ทำให้ตรวจสอบหลักฐานได้ยากเพราะไม่มีสายลากไป เพียงใช้จานขนาดเล็กแค่เมตรกว่าๆ ซึ่งง่ายที่สุด ใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตบ้านที่จะเพิ่มเมกให้แรงๆ แล้วส่งไป”พ.อ.ณฑี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแก้ปัญหาลักลอบในรูปแบบที่ 3 นี้อย่างไร บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องไปเข้าตรวจ หากเจอก็ถ่ายรูปและดำเนินการทันทีแม้เป็นเรื่องยาก ตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติของผู้กระทำความผิดซึ่งต้องหลบเลี่ยงอยู่ตลอด แตกต่างจากแผงสัญญาณของโทรศัพท์ใหญ่ที่มองเห็นทำให้ทำได้ยาก สาเหตุที่บริษัทใหญ่ทำก็เพราะได้รายได้  แต่สำหรับจานขยายสัญญาณนั้นเล็กจึงทำให้ตรวจสอบยาก

“เขาลักลอบส่งสัญญาณไปได้ไกลเพราะมีตัวขยายไปอีกเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ายิงสัญญาณข้ามไป 50-60 กม. ไม่ใช่แบบนั้น แต่จานขยายสัญญาณไปได้  4 กม. แล้วก็มีจานฝั่งโน้นขยายอีก ส่งต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทเจ้ายของสัญญาก็ไม่รู้ ตรวจไม่ได้ ถ้าเราจะแก้ปัญหานี้ ต้องให้คนในชุมชนช่วยกัน เพราะผู้ใหญ่บ้านต้องทราบอยู่แล้ว กระทรวงมหาดไทยต้องช่วย อสม.ประจำหมู่บ้านต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา”พ.อ.ณฑี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการลากสายเคเบิลจากหมู่บ้านสันติสุขไปฝั่งเพื่อนบ้านมีวัตถุประสงค์อะไร ประธาน TBC ฝ่ายไทย กล่าวว่าเป็นการเอื้ออำนวยฐานปฏิบัติการของชนกลุ่มน้อยเพื่อนำไปใช้ส่งข่าว วิทยุและภาพต่างๆและรายงานข่าวสารให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งสายเคเบิลที่วางแม้มีความยาวนับ 10 กม. แต่จะมีตัวขยายสัญญาณเป็นระยะๆเหมือนกล่องปลั๊กไฟซึ่งเราได้ขุดเจอ

ด้านนายสุธีระ พึ่งธรรม ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช.กล่าวว่า บริษัทต่างชาติที่เป็นบริษัทเพื่อนบ้านในภูมิภาค แต่ไม่ใช่บริษัทในประเทศเมียนมา ได้มาเช่าอินเตอร์เนตลีสไลน์(สายอินเทอร์เน็ตแบบเช่าใช้) ดรอปไว้ และแอบลักลอบลากสายกว่า 10.5 กม.ข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา ดังที่ปรากฏเป็นข่าว โดยบริษัทต่างชาติได้ขอให้โอเปอร์เรเตอร์มาวางไว้  2 จุด โดยจุดที่หน้าแปลงสวนเกษตร กับอีกจุดหนึ่งที่ท่าสุเทพ

 

“กสทช.ได้เรียกโอเปอร์เรเตอร์บริษัทผู้ให้บริการ 2 รายมาสอบแล้ว ว่าเอาไปลงตรงนั้นได้อย่างไร ทางบริษัทได้ไปดูหรือไม่ว่าลูกค้าบริษัทต่างชาตินำไปใช้อะไร เขาบอกว่าเขาไม่ได้ไปดูเลย เขามีหน้าที่แค่ว่าผู้ซื้อบอกดรอปตรงนี้ก็ไปดรอป ผมบอกว่าไม่ได้ละ ผมขอใช้คำว่า สักแต่ว่าขายของ ขายของแบบเอาไปดรอปไว้ตรงแนวชายแดน คุณก็รู้อยู่ว่าวันนี้มันมีประเด็นเรื่องนี้อยู่ค่อนข้างรุนแรง คุณไม่รู้หรือว่าเป็นความเสี่ยง จากการตรงสอบพบว่าบริษัทต่างชาติที่ขอให้ติดตั้งไม่มีบริษัทอยู่ที่เมืองไทย ถ้ามีออฟฟิศอยู่จุดที่ดรอปเป็นสาขา อันนี้เราไม่ว่า แต่นี่มาดรอปหน้าแปลงสวนป้าคนนั้น แล้วออฟฟิศเขาอยู่ไหน บริษัทก็ไม่ได้สนใจ ผมจึงขอดูการดรอปสายทั้งหมดเลย เพราะไม่ไว้ใจโอเปอร์เรเตอร์แล้ว มันทำให้สถิติการร้องเรียนภัยไซเบอร์ไม่ลดลง มันยังสายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเราตามอยู่” ผ.อ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมกล่าว

นายสุธีระกล่าววว่า ทาง กสทช. ได้มีหนังสือตักเตือน โดยทางกฎหมายปกครอง ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ของ กสทช. เราต้องตักเตือน2 บริษัทนี้ให้แก้ไขก่อนว่าห้ามมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีก ถ้ามีกรณีแบบนี้อีกจะมีโทษปรับตามกฎหมายปกครอง เป็นมาตรการปกครอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หันจานขยายสัญญาณออกนอกประเทศแต่เมื่อเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบก็หันกลับมาในประเทศ ทาง กสทช.แก้ไขปัญหาอย่างไร นายสุธีระ กล่าวว่า กสทช. จะมีการส่งรถตรวจสอบสัญญาณไปในพื้นที่ทุกสัปดาห์ หากมีสัญญาณเพิ่มขึ้นมาจากจุดที่เราเคยวัดระดับไว้ ก็จะค้นหาทันทีว่าเพราะอะไร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News