Categories
TOP STORIES WORLD PULSE

จีนยันส่ง 40 อุยกูร์! ไม่ละเมิดสิทธิฯ UNHCR กลัวจีนโกรธ

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยชี้แจงกรณีส่งตัว 40 ชาวจีนกลับประเทศ

การดำเนินการของรัฐบาลไทยและปฏิกิริยาระหว่างประเทศ

ประเทศไทย, 2 มีนาคม 2568สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความชี้แจงล่าสุดเกี่ยวกับกรณีการส่งตัวชาวจีนจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน หลังมีคำถามจากผู้สื่อข่าวและการแสดงความกังวลจากประเทศและองค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง โฆษกสถานทูตจีนได้รวบรวมคำถามและให้คำตอบเพื่ออธิบายถึงรายละเอียดของกรณีดังกล่าว

การส่งตัวชาวจีนกลับประเทศและข้อโต้แย้งด้านกฎหมายระหว่างประเทศ

คำถามแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การส่งตัวชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนชี้แจงว่า บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ดังนั้น การส่งตัวพวกเขากลับประเทศจึงถือเป็นกระบวนการปกติของการบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกับหลักมาตรฐานสากล

ทางการไทยและจีนมีหลักฐานยืนยันว่าผู้ถูกส่งตัวไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และรัฐบาลไทยดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายการควบคุมการลักลอบอพยพผิดกฎหมายซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 ประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งได้ส่งกลับบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 270,000 คน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่า การส่งตัวบุคคลดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวหลังเดินทางกลับจีน

ข้อกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อผู้ถูกส่งตัว

บางประเทศและองค์กรระหว่างประเทศตั้งคำถามว่า บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับอาจถูกทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อเดินทางถึงจีน ทางสถานทูตจีนตอบว่า รัฐบาลจีนปฏิบัติตามหลักการปกครองโดยกฎหมาย และยึดมั่นในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture) ที่จีนเป็นภาคีมาตั้งแต่ปี 2529

ทางการจีนยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับได้รับการดูแลและได้กลับสู่ครอบครัวแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนจะให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพและการพัฒนาทักษะให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้โดยเร็วที่สุด

กรณีซินเจียงและปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย

คำถามที่สามเกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ในซินเจียง ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมานานหลายปี โดยมีรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ

สถานเอกอัครราชทูตจีนระบุว่า ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เขตปกครองตนเองซินเจียงเผชิญกับภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ซึ่งได้รับการขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยองค์การสหประชาชาติ ทางการจีนจึงดำเนินมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ซินเจียงไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายอีกเลยตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศให้ความเห็นว่า มาตรการของจีนอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนา โดยมีรายงานว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอาจเผชิญกับการควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

การติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ถูกส่งตัวกลับในอนาคต

โฆษกสถานทูตจีนยืนยันว่า ทางการจีนยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่ไทยให้เดินทางไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของบุคคลที่ถูกส่งตัวกลับ และให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ในประเทศบ้านเกิดของตน

ข้อพิพาทระหว่างไทย จีน และองค์กรระหว่างประเทศ

รายงานจาก The New Humanitarian เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่อสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ในประเทศไทยที่ถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานกว่าสิบปี โดยมีข้อกล่าวหาว่า UNHCR ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ เนื่องจากแรงกดดันจากจีน และความกังวลเกี่ยวกับการลดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ไทยกับการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์

เอกสารภายในของ UNHCR ที่ถูกเปิดเผยโดย The New Humanitarian ระบุว่า รัฐบาลไทยได้ควบคุมตัวชาวอุยกูร์ 48 คนมาตั้งแต่ปี 2014 โดยไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ในจำนวนนี้ 5 คนถูกลงโทษจำคุกจากความพยายามหลบหนีในปี 2020 ส่วนที่เหลือ 43 คนถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวคนต่างด้าวในกรุงเทพฯ โดยถูกตัดขาดจากการติดต่อกับครอบครัว ทนายความ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน

UNHCR กับการปฏิเสธบทบาทในการช่วยเหลือ

The New Humanitarian รายงานว่า รัฐบาลไทยได้พยายามขอความร่วมมือจาก UNHCR ตั้งแต่ปี 2015 ให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในไทย แต่ถูกปฏิเสธ สาเหตุหนึ่งมาจากความกังวลว่า จีนอาจลดเงินสนับสนุนต่อ UNHCR หากมีการดำเนินการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์มากเกินไป

บาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR ให้สัมภาษณ์ว่า UNHCR ได้หยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงผู้ลี้ภัยหรือดำเนินการช่วยเหลือโดยตรง นอกจากนี้ เอกสารภายในของ UNHCR ยังระบุว่าหากมีการเข้าไปช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในไทย อาจกระทบความสัมพันธ์กับจีนและการดำเนินงานในประเทศจีน

ผลกระทบของอิทธิพลจีนต่อ UNHCR

จากเอกสารภายในของ UNHCR ระบุว่า มีความเสี่ยงที่จีนจะลดเงินสนับสนุนให้กับ UNHCR ซึ่งครอบคลุมถึงโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ UNHCR ที่ทำงานอยู่ในจีน

ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ ฮิวแมนไรท์วอตช์ (Human Rights Watch – HRW) ให้ความเห็นว่า UNHCR ล้มเหลวในการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ เนื่องจากกลัวการตอบโต้จากจีน เขายังระบุว่า รัฐบาลไทยเองพยายามให้ UNHCR มีบทบาทมากขึ้น แต่ UNHCR กลับเลือกที่จะถอยห่างออกจากประเด็นนี้

ข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นักวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนมองว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจ ละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ (Non-Refoulement) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ ห้ามส่งตัวบุคคลกลับไปยังประเทศที่เขาอาจเผชิญกับอันตรายหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุนการส่งตัวกลับ: เห็นว่าการดำเนินการของไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ จีนเองมีระบบกฎหมายที่เข้มแข็งในการปกป้องสิทธิของพลเมืองตนเอง
  • ฝ่ายที่คัดค้านและแสดงความกังวล: มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกรณีของชนกลุ่มน้อยในซินเจียง ที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อต้องกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทยและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พบว่า:

  • ในปี 2567 ประเทศไทยส่งตัวชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 15,000 คน
  • ประเทศใหญ่บางประเทศมีการส่งตัวบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางมากกว่า 270,000 คน
  • องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 1 ล้านคนที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์กักกันในซินเจียง
  • รัฐบาลจีนรายงานว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนในซินเจียงเพิ่มขึ้น 6.7% ในปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทย / กระทรวงการต่างประเทศจีน / องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ / The New Humanitarian

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
TOP STORIES

ส่ง “อุยกูร์” กลับจีน ‘นานาชาติ’ หรือ ‘ไทย’ ใครทำถูก

รัฐบาลไทยชี้แจงการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ยืนยันดำเนินการตามหลักกฎหมายและความสมัครใจ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาแถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยดำเนินการส่งตัว ชาวอุยกูร์ 40 คน กลับสู่ประเทศจีน โดยยืนยันว่า เป็นการดำเนินการที่รอบคอบ เป็นไปตามหลักกฎหมาย และกระบวนการทางการทูตระหว่างสองประเทศ โดยคำนึงถึง สิทธิมนุษยชนและสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวกลับเป็นสำคัญ

การดำเนินการตามข้อตกลงไทย-จีน และความสมัครใจของผู้ถูกส่งตัว

รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ เป็นไปตามคำร้องขอจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลจีนได้แจ้งว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นพลเมืองของจีนที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการกระทำผิดทางอาญาหรืออาชญากรรมใดๆ

“รัฐบาลไทยไม่มีความต้องการที่จะควบคุมตัวบุคคลเหล่านี้ไว้อีกต่อไป เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของไทยเป็นเวลานานแล้ว การส่งตัวกลับไปยังมาตุภูมิเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และที่สำคัญ ทุกคน ยินยอมและสมัครใจ ที่จะเดินทางกลับจีน” นายภูมิธรรมกล่าว

การส่งตัวในครั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกระบวนการดำเนินงานได้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างใกล้ชิด

ติดตามตรวจสอบสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์หลังส่งตัวกลับ

เพื่อสร้างความมั่นใจในสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวกลับ รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลไทยจะเดินทางไปติดตามตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ในจีน โดยมี นายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนเดินทางไปในช่วง 7 วันแรกหลังจากการส่งตัว ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่รัฐบาลจีนให้การรับรองว่าชาวอุยกูร์ทุกคน จะได้รับความปลอดภัยและไม่ถูกดำเนินคดี

“ทางการจีนได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ชาวอุยกูร์เหล่านี้จะได้รับการดูแลอย่างดี รวมถึงการสนับสนุนด้านอาชีพและการดำรงชีวิตหลังจากกลับไปยังบ้านเกิด” รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติม

ความพยายามของรัฐบาลไทยในการหาประเทศที่สาม

นายภูมิธรรมยังได้กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในการหาประเทศที่สามเพื่อรองรับชาวอุยกูร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเคยส่งตัวกลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นสตรี เด็ก และผู้สูงอายุจำนวน 109 คนไปยังตุรกี อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่เหลือ ไม่มีประเทศที่สามใดเสนอรับตัวชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไป ทำให้รัฐบาลไทยต้องหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด

“รัฐบาลไทยพยายามหาทางออกที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลให้กับบุคคลกลุ่มนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อไม่มีประเทศที่สามรับรอง ทางออกที่เป็นไปได้และมีความปลอดภัยสูงสุดคือการให้พวกเขากลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีนว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน” นายภูมิธรรมกล่าว

กระแสต่อต้านจากนานาชาติ และการตอบสนองของรัฐบาลไทย

หลังจากมีรายงานการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยระบุว่า อาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement Principle)

ด้าน ลิซ ธรอสเซล โฆษกด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยรายละเอียดของการดำเนินการ รวมถึงให้รัฐบาลจีนรับรองความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินการทุกขั้นตอนตามหลักสากลและกฎหมายของประเทศ โดยยืนยันว่าไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ให้เห็นว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ จะถูกดำเนินคดีหรือได้รับอันตรายใดๆ

“ทางการจีน เปิดให้รัฐบาลไทยสามารถเดินทางไปตรวจสอบ ได้ทุกเมื่อ และหากพบว่ามีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อชาวอุยกูร์เหล่านี้ รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิของพวกเขา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ประเด็นด้านความมั่นคง และคำเตือนจากนานาชาติ

หลังจากการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ออกคำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทย โดยอ้างอิงถึง เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อปี 2558 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนในช่วงเวลานั้น

นอกจากนี้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งยังแสดงความกังวลว่าการดำเนินการของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม

ข้อสรุปและทิศทางต่อไป

การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ถือเป็น กรณีที่ละเอียดอ่อนทั้งในด้านสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยได้ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และได้รับการรับรองจากจีนว่าผู้ถูกส่งตัวจะได้รับการคุ้มครอง

แม้จะมีแรงกดดันจากนานาชาติ แต่รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินการที่สมเหตุสมผลและไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล โดยจะมีการติดตามและตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาจะได้รับการดูแลตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์

  • ประเทศไทยเคยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังตุรกี 109 คน เมื่อปี 2557 แต่ยังคงมีผู้ต้องกักในไทยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
  • UNHCR รายงานว่า ปัจจุบันยังคงมีชาวอุยกูร์อีก 8 คนที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทย โดยมี 5 คนเสียชีวิตระหว่างถูกกักขัง
  • หลักการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement Principle) เป็นข้อห้ามที่ปรากฏใน อนุสัญญาต่อต้านการทรมานของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยลงนามเป็นภาคี
  • การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้เป็นกรณีที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี และกำลังได้รับการจับตามองจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : UNHCR , กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น, สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไทย, แถลงการณ์จากรัฐบาลไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย เริ่มสมรสเท่าเทียมไทย มอบสิทธิเท่าเทียมทุกอัตลักษณ์ทางเพศ

กฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มบังคับใช้ คู่รักทั่วไทยร่วมจดทะเบียนวันแรก

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เปิดโอกาสให้บุคคลทุกอัตลักษณ์ทางเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมายไทย

จุดเริ่มต้นของวันสำคัญ

กฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนกันยายน 2567 และมีผลบังคับใช้ในวันนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย ได้เร่งปรับแก้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนถ้อยคำในเอกสารราชการจาก “ชาย-หญิง” เป็น “บุคคล” และ “สามี-ภริยา” เป็น “คู่สมรส”

กิจกรรมวันแรกของกฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มต้นที่ ที่ว่าการอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ซึ่งคู่รักคู่แรกได้ทำการจดทะเบียนสมรสต่อหน้านายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย และเจ้าหน้าที่งานทะเบียน โดยมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความยินดี

Kick Off การจดทะเบียนสมรสทั่วประเทศ

นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย เปิดเผยว่า การจดทะเบียนสมรสวันแรกนี้จัดขึ้นในที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 แห่งทั่วประเทศ สำนักงานเขต 50 เขตในกรุงเทพมหานคร และสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ โดยกิจกรรมเฉลิมฉลองวันสำคัญนี้จัดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและพื้นที่อื่น ๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ มีคู่รักกว่า 300 คู่ร่วมจดทะเบียนสมรส

สิทธิและประโยชน์จากสมรสเท่าเทียม

กฎหมายสมรสเท่าเทียมมอบสิทธิเสมือนคู่สมรสที่เป็นชาย-หญิง เช่น

  • การจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
  • สิทธิในการหย่าและการดูแลบุตร
  • การให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาล
  • สิทธิได้รับสวัสดิการจากรัฐ
  • การอุปการะบุตรบุญธรรม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมครั้งนี้ ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเท่าเทียมในสังคมไทย แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติว่าเป็นประเทศที่เคารพในสิทธิมนุษยชน

เส้นทางสู่กฎหมายสมรสเท่าเทียม

การต่อสู้เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มต้นมานานกว่าทศวรรษ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบในวาระที่หนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคม 2566 และผ่านวุฒิสภาในเดือนมิถุนายน 2567 ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา

การเตรียมตัวจดทะเบียนสมรส

ผู้ที่ประสงค์จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมต้องเตรียมเอกสาร ได้แก่ บัตรประชาชนตัวจริง หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หนังสือรับรองโสด (กรณีสมรสกับชาวต่างชาติ) ใบหย่าตัวจริง (กรณีเคยจดทะเบียนสมรส) และพยาน 2 คน พร้อมบัตรประชาชน

ผลกระทบและความสำคัญ

การเปิดให้จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความเท่าเทียมและยอมรับในความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับคู่สมรสในด้านสิทธิกฎหมายและสวัสดิการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กสม.เร่งยุติความรุนแรงต่อสตรี ย้ำปัญหาสำคัญที่สังคมต้องแก้

กสม. ย้ำวันยุติความรุนแรงต่อสตรี ปัญหาสำคัญที่สังคมต้องร่วมมือแก้ไข

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกสารเนื่องในโอกาส “วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล” ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี โดยย้ำถึงความรุนแรงต่อสตรีว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

 

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

เป้าหมายและการดำเนินงานของ กสม.

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี (Beijing Declaration and Platform for Action – BDPA) และตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) กสม. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการในหลายด้าน ได้แก่

  1. ยุติความรุนแรงต่อสตรี

    • เน้นให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นวาระแห่งชาติ
    • สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง
  2. สร้างกลไกป้องกันและช่วยเหลือ

    • พัฒนาบุคลากรที่มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ
    • จัดตั้งฐานข้อมูลกลางเพื่อรวบรวมปัญหาและแนวทางแก้ไข
  3. ส่งเสริมความเสมอภาคและความตระหนักรู้ในสังคม

    • ปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องความรุนแรงต่อสตรี
    • เน้นย้ำถึงสิทธิของผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้พิการ และแรงงานข้ามชาติ
  4. พัฒนากฎหมายและบริการที่เกี่ยวข้อง

    • เร่งออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
    • พัฒนาระบบบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรี

กสม. ย้ำว่าปัญหาความรุนแรงต่อสตรีไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสาธารณะที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมแก้ไข เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ยอมรับการกระทำความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ กสม. ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณะ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเสมอภาคทางเพศอย่างยั่งยืน

ด้วยความร่วมมือที่เข้มแข็งและการตระหนักรู้ในปัญหา สังคมไทยสามารถร่วมกันยุติความรุนแรงต่อสตรี และสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันในทุกมิติ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News