Categories
ECONOMY

9 เดือนแรกปี 68 เด็กเกิดใหม่ลด 10% ประชากรไทยเสี่ยงต่ำกว่า 66 ล้านคน

ประเทศไทยกำลังหดเล็กลงจากภายใน “เกิดน้อยลง ตายมากขึ้น” ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ แต่คือแนวโน้มถาวร

เชียงราย / ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนทางโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่อง “คนเกิดน้อยลง” เป็นเพียงประเด็นข่าวเชิงสังคม แต่หากมองลึกลงไปในตัวเลข จะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังขยายตัว และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปี 2568 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ “จำนวนคนเกิดใหม่ของไทยน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต” โดยกระแสนี้เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความหมายของปรากฏการณ์นี้คือ ประชากรไทยโดยกำเนิดกำลังหดตัวลงเรื่อย ๆ ไม่ได้เกิดจากการย้ายถิ่นออกต่างประเทศ หรือการเปลี่ยนแปลงการนับสถิติ แต่เกิดจากธรรมชาติของสังคมไทยเอง นั่นคือ เกิดใหม่น้อยกว่าเสียชีวิต ซ้ำต่อเนื่อง

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวล คือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องจำนวนคน แต่สะท้อนถึงเสถียรภาพของกำลังแรงงานฐานราก ความสามารถในการบริโภคภายในประเทศ ความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐ ตลอดจนภาระด้านสุขภาพและสวัสดิการผู้สูงอายุที่กำลังเร่งตัวขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประชากรไทย

คนไทย “เกิดน้อย ตายมากขึ้น” ตัวเลขที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่ที่ลงทะเบียนจำนวน 309,644 คน โดยลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนเชิงโครงสร้างว่าอัตราการเกิด (fertility) ของไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีตัวชี้วัดว่ากำลังจะฟื้นตัว

ในเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับสูง และในหลายจังหวัดกลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดที่มีช่องว่างสูงสุด ได้แก่

  1. นครราชสีมา
  2. ขอนแก่น
  3. ร้อยเอ็ด

พื้นที่เหล่านี้เคยเป็นฐานประชากรหลักของภูมิภาคอีสานที่สร้างแรงงานให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการของประเทศ แต่วันนี้กำลังส่อสัญญาณการหดตัวทางประชากรในระดับโครงสร้าง นั่นหมายความว่า “คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ไม่ได้มีจำนวนเพียงพอที่จะแทนที่คนรุ่นก่อน”

สัญญาณอีกประการหนึ่งที่ชี้ว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ คือความเสี่ยงที่จำนวนประชากรไทยทั้งประเทศอาจลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนภายในปี 2568 หากแนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ

วิกฤตที่ไม่ใช่แค่ “สังคมสูงวัย” แต่เป็น “ประเทศที่เล็กลงจากภายใน”

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีหลัง คือการเปลี่ยนผ่านจาก “สังคมสูงวัย” ไปสู่ “สังคมที่หดตัวทางประชากร” (Population Shrinkage) นั่นหมายถึงไม่ใช่แค่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประชากรทั้งระบบกำลังหายไปช้า ๆ ทุกปี

ในเชิงโครงสร้าง ประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่

  1. คนวัยทำงานสัดส่วนลดลง
    สัดส่วนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) ค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจแตะระดับกว่าหนึ่งในสามของทั้งประเทศในระยะไม่กี่สิบปีข้างหน้า
    แนวโน้มนี้สอดคล้องกับฉากทัศน์ที่ระบุว่า สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นจนถึงระดับราว 36% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่แรงงานวัยทำงานอาจลดลงเหลือใกล้เคียงครึ่งเดียวของประเทศภายในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหมายถึงฐานผู้เสียภาษีและผู้ผลิตสินค้า-บริการจะเล็กลง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พึ่งพิงระบบสวัสดิการ
  2. จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่อปีลดลงต่อเนื่อง
    คนรุ่นใหม่จำนวนมากแต่งงานช้าลง มีลูกช้าลง หรือเลือกไม่มีบุตรเลย ปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจเหล่านี้มีทั้งด้านเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร) ด้านโอกาสทางอาชีพ (ผู้หญิงอยู่ในตลาดแรงงานยาวนานขึ้น) และด้านความไม่แน่นอนทางสังคม (ภาวะหนี้ครัวเรือน ความไม่มั่นคงทางรายได้)
    ผลลัพธ์คือ อัตราเกิดหยาบ (Crude Birth Rate: CBR) ลดลงแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ลดลงชั่วคราว
  3. จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุ
    จำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากวิกฤตสุขภาพเฉียบพลันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างประชากรของประเทศ “แก่แล้ว” คนจำนวนมากเข้าสู่วัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตตามธรรมชาติในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
    หรือกล่าวอีกแบบได้ว่า ระบบของเรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่คนรุ่นใหญ่ทยอยออกจากระบบเร็วกว่าอัตราที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแทน

ผลของทั้งสามมิติข้างต้นเมื่อรวมกัน นำไปสู่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานและนักประชากรศาสตร์เตือนมานาน ประเทศไทยไม่เพียงแก่ตัวลง แต่กำลัง “บางลง” ทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แรงงานหาย การบริโภคลด ภาระรัฐเพิ่ม

ตัวเลขประชากรไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงสังคม แต่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

จากการวิเคราะห์เชิงนโยบาย สามารถสรุปแรงกดดันหลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

  1. การขาดแคลนแรงงาน
    เมื่อแรงงานวัยทำงาน (15-59 ปี) มีสัดส่วนลดลง และคนรุ่นใหม่เข้าระบบแรงงานน้อยลงเรื่อย ๆ ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการจะต้องแข่งขันกันบนฐานแรงงานที่เล็กลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้จะยิ่งหนักในจังหวัดที่ประชากรวัยทำงานย้ายออกไปทำงานต่างพื้นที่หรือเดินทางไปต่างประเทศ
    ความเสี่ยงที่ตามมาคือธุรกิจภาคการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำอาจเริ่มพบปัญหาแรงงานขาดแคลนเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เป็นช่วงสั้น ๆ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจอีกต่อไป
  2. แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศชะลอลง
    ประชากรสูงอายุมีแนวโน้มใช้จ่ายในรูปแบบที่แตกต่างจากคนวัยทำงาน โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนเพื่ออนาคตของครอบครัว (เช่น ค่าเล่าเรียนลูก ค่าที่อยู่อาศัยใหม่) ซึ่งเป็นหมวดใช้จ่ายที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
    เมื่อสัดส่วนครัวเรือนที่อยู่ในวัยขยายครอบครัวลดลง เศรษฐกิจในประเทศเผชิญแรงเสียดทานต่อการเติบโตในเชิงโครงสร้าง แม้จะไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจฉับพลันก็ตาม
  3. ภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น
    ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัวจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณด้านรายได้พื้นฐานผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพระยะยาว (Long-Term Care) และการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้นทุกปี
    ในบริบทไทย แนวโน้มนี้ปรากฏชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพผู้สูงอายุมีอัตราเร่งตัวสูงกว่าการเติบโตของฐานภาษี ในระยะยาว ภาระนี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 7% ตามประมาณการการขยายตัวของค่าใช้จ่ายในหมวดสวัสดิการและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ (อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี หรือ CAGR ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง)
    กล่าวได้ว่า รัฐต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อดูแลคนที่อยู่ในวัยพึ่งพาระบบ ในขณะที่ฐานผู้จ่ายภาษีมีแนวโน้มเล็กลง

เชียงรายในภาพใหญ่ โครงสร้างประชากรชายแดนกับความจริงที่ซับซ้อนกว่า “จำนวนคนในทะเบียนบ้าน”

หากมองลึกลงไปที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนสำคัญ เราจะเห็นภาพอีกชั้นหนึ่งของวิกฤตโครงสร้างประชากรที่ซับซ้อนกว่าการ “เกิดน้อย ตายมาก” แบบตรงไปตรงมา

การวิเคราะห์ข้อมูลประชากร การเกิด และการตายในจังหวัดเชียงราย ระหว่างปีงบประมาณ 2564–2567 พบว่า จังหวัดกำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดที่ “อัตราเพิ่มตามธรรมชาติ” (Rate of Natural Increase: RNI) ใกล้ศูนย์หรืออาจติดลบในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือ จำนวนการตายเริ่มเข้าใกล้หรือเทียบเท่ากับจำนวนการเกิดแล้ว

แรงผลักดันสำคัญของสถานการณ์นี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    แนวโน้มการเกิดมีชีพในเชียงรายลดลงตามโครงสร้างเดียวกันกับทั้งประเทศ และสอดคล้องกับพฤติกรรมประชากรวัยทำงานที่มีแนวโน้มสร้างครอบครัวช้าลง รวมทั้งต้องเผชิญภาระค่าครองชีพของครัวเรือนที่สูงขึ้น
  2. อัตราการตายเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุที่สูงขึ้น
    จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนการตายที่ลงทะเบียนขยับสูงขึ้นในช่วงปี 2564–2567 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกับหลายจังหวัดในภาคเหนือที่เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้เชียงรายแตกต่างจากหลายจังหวัดอื่น คือ “ประชากรที่อยู่อาศัยจริง” ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ “ประชากรตามทะเบียนบ้าน”

ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย มีประชากรที่พำนักระยะยาวจำนวนมากซึ่งไม่ได้ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรตามระบบของกรมการปกครอง (DOPA) ประชากรกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยเป็นแรงงานข้ามชาติ โดยพบว่ามีรูปแบบการอยู่อาศัยระยะยาวในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บางส่วนอยู่อาศัยในพื้นที่ 2-19 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติ พวกเขาใช้สาธารณูปโภค การบริการสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่นเหมือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด “ความคลาดเคลื่อนเชิงนโยบาย” อย่างน้อย 2 ประการ

  • หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณภาครัฐส่วนใหญ่ โดยเฉพาะงบสาธารณสุขและการศึกษา มักอ้างอิงจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้าน (de jure) ไม่ใช่จำนวนคนที่ใช้บริการจริง (de facto) นั่นหมายความว่า ในพื้นที่อย่างแม่สาย เทศบาลและหน่วยบริการสุขภาพอาจต้องรองรับคนจำนวนมากกว่าที่ได้รับงบประมาณมารองรับจริง
  • สอง การนับสถิติการเกิดและการตายอาจไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่พำนักจริงเหล่านี้ได้ครบถ้วน ส่งผลให้ภาพรวมทางสถิติของจังหวัดดูเหมือนว่ามีเด็กเกิดน้อยมาก แต่ความต้องการด้านสาธารณสุขแม่และเด็กยังคงอยู่ หรือดูเหมือนมีการตายสูง แต่ไม่ได้สะท้อนภาระบริการระยะยาวทั้งหมดต่อหน่วยงานพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญ “โจทย์คู่ขนาน” โจทย์หนึ่งคือการจัดการประชากรตามทะเบียน ซึ่งกำลังสูงวัยอย่างรวดเร็ว และอีกโจทย์หนึ่งคือการรองรับประชากรที่พำนักจริงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมักเป็นแรงงานและครอบครัวแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในวัยทำงานและวัยเด็ก

เชียงราย ความเปราะบางที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย

นอกจากปริมาณประชากรที่ลดลงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังเผชิญโจทย์สำคัญในเชิงคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์รุ่นถัดไป

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงจากระบบติดตามตัวชี้วัดด้านอนามัยแม่และเด็กในปี 2567) ระบุว่า ร้อยละของเด็กอายุ 0–5 ปี ในจังหวัดเชียงรายที่มีพัฒนาการ “สมวัย” อยู่เพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในระดับ ≥87%

ความหมายของตัวเลขนี้รุนแรงกว่าที่เห็นในบรรทัดเดียว เพราะมันสะท้อน “วิกฤตซ้อน” ดังนี้

  • จำนวนเด็กเกิดใหม่ในจังหวัดลดลง
  • แต่ในบรรดาเด็กที่เกิดขึ้นมาจำนวนไม่มากนั้น เกือบครึ่งหนึ่งมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัยในเกณฑ์ที่กระทรวงฯ คาดหวัง

กล่าวอีกแบบคือ ไม่ใช่แค่ “เรามีเด็กน้อยลง” แต่ “เรากำลังเสี่ยงจะมีเด็กที่เริ่มต้นชีวิตด้วยข้อจำกัดมากขึ้น” ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อสมรรถนะการเรียนรู้ ความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางอาชีพ และท้ายที่สุดคือศักยภาพแรงงานของจังหวัดและของประเทศ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแก้ปัญหาเชิงประชากรในวันนี้ ไม่อาจจำกัดความหมายแค่การส่งเสริม “ให้มีลูกมากขึ้น” เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเชิงรุกใน Early Childhood Intervention Programs หรือมาตรการแทรกแซงพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาทิ โภชนาการ การกระตุ้นพัฒนาการ การดูแลด้านสุขภาพแม่และเด็ก รวมถึงการสนับสนุนครอบครัวเปราะบางทางเศรษฐกิจ

เพราะถ้าประเทศไทยกำลังจะมีเด็กน้อยลงจริง เด็กทุกคนจึงยิ่ง “มีความหมายทางเศรษฐกิจและสังคม” มากขึ้นเป็นทวีคูณ

โครงสร้างการตายและภาระสุขภาพระยะยาว สัญญาณเตือนจากผู้สูงอายุ

การที่จำนวนผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงรายและทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงปี 2564–2567 ไม่ได้เป็นหลักฐานของความล้มเหลวทางการแพทย์ แต่เป็นผลตามธรรมชาติของโครงสร้างประชากรสูงวัย สิ่งที่สะท้อนอยู่ใต้ตัวเลขนี้คือ “ภาระด้านระบบสุขภาพ” ที่กำลังเปลี่ยนทิศ

เมื่อคนสูงวัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ความต้องการบริการสุขภาพระยะยาว การดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) และบริการดูแลระยะท้ายชีวิต (palliative care) จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดจำเป็นต้องโยกทรัพยากรจากบริการมารดาและทารก — ที่ความต้องการลดลงตามจำนวนการเกิด — ไปสู่บริการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ

ในระบบประเมินผลของกระทรวงสาธารณสุข ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพของการดูแลชีวิต เช่น อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (Maternal Mortality Ratio: MMR) ยังคงถูกติดตามอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าให้ต่ำกว่า 16 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน การที่หน่วยงานระดับจังหวัดต้องรายงานตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนความเที่ยงตรงของฐานข้อมูลการตายและคุณภาพการดูแลเคสที่เสี่ยงสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของตัวเลขการตายโดยรวม

กล่าวในเชิงนโยบาย นี่คือจุดเปลี่ยนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดอย่างเชียงราย จากระบบที่เคยถูกออกแบบเพื่อ “รองรับการเกิดใหม่จำนวนมาก” ไปสู่ระบบที่ต้อง “ดูแลประชากรสูงอายุจำนวนมาก ที่มีชีวิตยืดยาวขึ้น แต่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อนขึ้น”

ปี 2568 จุดวัดทิศทางอนาคตผ่าน “สำมะโนประชากร”

การคาดการณ์ประชากรเชียงรายและของประเทศสำหรับปี 2568 เป็นการประมาณการเบื้องต้นโดยต่อแนวโน้มจากปี 2564–2567 โดยใช้ข้อมูลการเกิด การตาย และโครงสร้างอายุจากแหล่งข้อมูลหลักของกรมการปกครอง (DOPA) และกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านประชากรย้ำว่าปี 2568 ไม่ใช่ “ปีปกติ” เพราะจะมีหมุดหมายสำคัญด้านข้อมูล นั่นคือ “การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568” ที่มีกำหนดเริ่มเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568

การสำมะโนประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ

  1. เป็นโอกาสในการ “อัปเดตความจริง” เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริง (de facto population) เทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียน (de jure population) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย
  2. เป็นโอกาสในการตรวจสอบโครงสร้างอายุจริงในระดับพื้นที่ เพื่อประเมินแรงกดดันด้านภาระการดูแลผู้สูงอายุและความต้องการบริการสุขภาพ
  3. เป็นจุดตั้งต้นของการคำนวณฐานภาษีและการจัดสรรงบประมาณในระยะถัดไป ซึ่งหมายความว่า “งบประมาณของจังหวัดหลังปี 2568” อาจสะท้อนสภาพจริงของประชากรมากขึ้น หากข้อมูลสำมะโนสะท้อนจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริง ไม่ใช่เพียงจำนวนคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน

กล่าวอีกอย่าง ปี 2568 เป็นปีที่ข้อมูลจริงจะเริ่มไล่ทันความเป็นจริงทางสังคม และข้อมูลดังกล่าวจะกลับมามีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐในระดับจังหวัดและประเทศ

ทางออกเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ชวนมีลูก แต่ต้อง “ลงทุนกับคนทุกวัย”

เมื่อพิจารณาปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัดอย่างเชียงราย ภาพรวมชี้ไปที่ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ 3 มิติต่อไปนี้

  1. ยกระดับศักยภาพแรงงาน (Upskill / Reskill) แทนการหวังเพียงจำนวนแรงงาน
    ในบริบทที่แรงงานวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (productivity) ของคนที่ยังอยู่ในระบบ มากกว่าหวังเพียงว่าจำนวนคนทำงานจะกลับมาเพิ่มขึ้นเอง
    นโยบายการยกระดับทักษะ (upskill) และปรับทักษะใหม่ (reskill) โดยเฉพาะในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นหนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงในระดับนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้แรงงานรวมจะลดลง
  2. พิจารณานโยบายขยายอายุเกษียณอย่างรอบด้าน
    การขยับอายุเกษียณเป็นประเด็นที่เริ่มถูกหยิบขึ้นมาหารือในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยมีโจทย์ที่ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น อายุเกษียณที่เหมาะสมคือเท่าใด? จะทยอยปรับอย่างไร? ภาคธุรกิจพร้อมหรือไม่? และระบบสวัสดิการแรงงานปัจจุบันรองรับแรงงานสูงอายุที่ยังต้องการทำงานได้หรือไม่?
    ประเด็นนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะในจังหวัดที่แรงงานวัยกลางคนยังเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น เชียงราย ซึ่งมีบทบาทเป็นจังหวัดการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-การเกษตร
  3. ลงทุนในช่วงปฐมวัยอย่างเข้มข้นในพื้นที่เสี่ยง
    กรณีเชียงรายเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าประชากรเด็กไม่ได้มีเพียง “น้อยลง” แต่ยังมีสัดส่วนพัฒนาการไม่สมวัยสูง โดยมีเพียงราว 46.35% ของเด็กอายุ 0–5 ปี ที่อยู่ในเกณฑ์พัฒนาการตามวัย เทียบกับเป้าหมายระดับนโยบายที่ตั้งไว้มากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ
    หากไม่เร่งลงทุนในระบบสนับสนุนปฐมวัย วันนี้ เราอาจกำลังปล่อยให้ “คนรุ่นต่อไป” เริ่มต้นชีวิตด้วยเงื่อนไขเชิงพัฒนาการที่ถดถอย ทั้งในเชิงการเรียนรู้ สุขภาพกาย-ใจ และความพร้อมในตลาดแรงงานในอีก 15-20 ปีข้างหน้า

วิกฤตประชากรไม่ใช่วิกฤตของอนาคตอีกต่อไป แต่มาถึงแล้ว

ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีที่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ลดลงอีก 10% จนเหลือ 309,644 คนในช่วง 9 เดือนแรกของปีเท่านั้น ไม่ใช่แค่ปีที่ประเทศไทยอาจมีประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคนเป็นครั้งแรก แต่เป็นปีที่ประเทศไทยต้องยอมรับความจริงว่า “วิกฤตโครงสร้างประชากร” คือประเด็นเศรษฐกิจ การคลัง สาธารณสุข และความมั่นคงทางสังคมในระดับชาติ

จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยิ่งตอกย้ำความซับซ้อนของปัญหา เมื่อจำนวนประชากรตามทะเบียนกำลังแก่ตัวและเติบโตช้า ขณะที่จำนวนผู้อยู่อาศัยจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติและครอบครัว กลับสร้างภาระเชิงบริการสาธารณะจริง แต่ไม่ได้สะท้อนในฐานงบประมาณอย่างเต็มที่

ในอีกด้าน เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ คุณภาพของประชากรรุ่นต่อไป ซึ่งในบางพื้นที่ ตัวเลขเด็กเล็กที่มีพัฒนาการสมวัยอยู่เพียงราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่กำหนด นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขด้านสาธารณสุข แต่คือสัญญาณล่วงหน้าของความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด ของภูมิภาค และของประเทศทั้งระบบ

กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์ประชากรสองชุดในเวลาเดียวกัน คนเกิดใหม่น้อยลง คนสูงวัยมากขึ้น และความต้องการบริการสาธารณะในพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อนขึ้น ในเงื่อนไขเช่นนี้ การแก้ไขปัญหาไม่อาจเป็นเพียงการรณรงค์ “ให้มีลูกเยอะขึ้น” อย่างในอดีต แต่ต้องเป็นการปรับโครงสร้างนโยบายทั้งระบบ ตั้งแต่การยกระดับแรงงานไปจนถึงการดูแลเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด และการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริงในพื้นที่

และในที่สุด คำถามสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ “เรามีคนเหลืออยู่กี่ล้านคน” แต่อาจเป็น “เราพร้อมหรือยังกับการอยู่ในประเทศที่เล็กลง สูงวัยขึ้น และแข่งขันได้ยากขึ้น — หากไม่เร่งปรับวันนี้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลประชากรกลางปีและทะเบียนราษฎร จากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง (DOPA)
  • กำหนดการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุการเริ่มต้นเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อปรับฐานข้อมูลประชากรที่แท้จริงสำหรับการวางแผนนโยบายหลังปี 2568
  • ระบบตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) ในปีงบประมาณ 2567–2568 ซึ่งติดตามตัวชี้วัดสำคัญ อาทิ อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (ตั้งเป้าน้อยกว่า 16), อัตราการดูแลแม่และเด็ก รวมถึงตัวชี้วัดพัฒนาการเด็กเล็กอายุ 0–5 ปี ที่บรรลุผลจริงเพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายระดับ ≥87%
  • KResearch
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” 82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงานไร้ภูมิคุ้มกัน

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” วิกฤตการเงินลึกทุกระดับรายได้—82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงาน–ไร้ภูมิคุ้มกันทางการเงิน

ประเทศไทย, 23 ตุลาคม 2568 — สัญญาณเตือนจากเงินเดือนรอบล่าสุด ข่าวสารทางเศรษฐกิจช่วงปลายปีอาจดูไกลตัวสำหรับหลายคน แต่รายงานเชิงลึก “เปิด Insight มนุษย์เงินเดือน เดอะแบกตัวจริง การเงินยุคนี้” ของทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) กลับสะท้อนภาพอีกมุมที่กระทบชีวิตประจำวันอย่างจัง นั่นคือ “ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือน” ที่เปราะบางกว่าที่คิด และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้มีรายได้น้อย เมื่อข้อมูลชี้ชัดว่าแม้มีรายได้เกินหนึ่งแสนบาทต่อเดือน หลายคนก็ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุจำนวนมากยังจำเป็นต้องทำงานต่อ ทั้งที่ก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว

รายงานดังกล่าวอาศัยฐานข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงิน ttb financial health check ซึ่งเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของมนุษย์เงินเดือนกว่า 96,000 คน ระหว่างสิงหาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2568 เสริมด้วยฐานข้อมูลเครดิตและการวิเคราะห์เชิงระบบของหน่วยงานรัฐและเอกชน ภาพรวมทั้งหมดนำไปสู่คำถามใหญ่ที่สังคมไทยต้องตอบร่วมกันว่า “เราจะสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้แรงงานกินเงินเดือน ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจ ได้อย่างไร”

ภาพรวมเชิงตัวเลข รายได้สูงไม่เท่ากับมั่นคง

สาระสำคัญของรายงานชี้ว่า “รายได้สูงไม่ได้แปลว่าปลอดภัยทางการเงิน” อีกต่อไป

  • 32% ของผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน”
  • 16% ของกลุ่มรายได้สูงดังกล่าว มี “รายจ่ายมากกว่ารายได้” อย่างต่อเนื่อง
  • โดยรวมแล้ว 8 ใน 10 คน (82%) ของมนุษย์เงินเดือนมีหนี้สินในระบบ
  • โครงสร้างหนี้เอนเอียงไปทางหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 53% รองลงมาคือหนี้รถยนต์ 17% และหนี้บ้าน 15%
  • เกือบ “ครึ่งหนึ่ง” หรือ 49% มีพฤติกรรมชำระขั้นต่ำหรือเคยผิดนัด ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมสูงขึ้นและเสี่ยงติดอยู่ใน “วงจรหนี้ไม่สิ้นสุด”

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าโครงสร้างรายได้–รายจ่ายของคนทำงานไทยกำลังเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งค่าครองชีพที่เร่งขึ้นเร็วกว่าค่าแรงจริง หนี้บริโภคที่สะสมยาวนาน และการขาด “ระบบกันสะเทือน” อย่างเงินออมฉุกเฉินและความคุ้มครองความเสี่ยงด้านสุขภาพ

คำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญฟันเฟืองเศรษฐกิจที่กำลัง “แบกหนัก”

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต อธิบายว่า ประเทศไทยมีมนุษย์เงินเดือนราว 12.5 ล้านคน เป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของแรงงานทั้งหมด แต่สร้างรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากถึง 90% หรือกว่า 270,000 ล้านบาท/ปี ฟันเฟืองกลุ่มนี้จึงเป็น “เดอะแบกตัวจริง” ของระบบเศรษฐกิจ ทว่าในความเป็นจริง พวกเขาต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งหนี้สิน การขาดเงินออม และความคุ้มครองไม่เพียงพอ หากไม่เร่งสร้างภูมิคุ้มกัน ระยะกลางถึงยาวอาจกระทบการบริโภคครัวเรือนและความเชื่อมั่นโดยรวม

โจทย์หนี้ “จ่ายขั้นต่ำ” คือทางลัดสู่ต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง

หนึ่งในสัญญาณอันตรายที่รายงานเน้นย้ำคือพฤติกรรมชำระหนี้ “ขั้นต่ำ” จนเป็นกิจวัตร เฉพาะกลุ่มหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งคิดเป็น มากกว่าครึ่ง ของโครงสร้างหนี้มนุษย์เงินเดือน หากชำระขั้นต่ำเพียงระยะสั้น ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมอาจพุ่งชัน ทับซ้อนกับรายจ่ายประจำ และหากมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพหรือการตกงานแบบไม่คาดคิด ย่อมเสี่ยงทำให้ “เครดิตเสีย” ได้ง่าย

ข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และการวิเคราะห์ของ ttb analytics ณ มิถุนายน 2567 ยังสะท้อนภาพใหญ่ของประเทศว่า คนไทย “เกือบ 40%” มีหนี้ในระบบ และ “หนี้เฉลี่ยต่อหัว” สูงกว่า 500,000 บาท เมื่อพิจารณาร่วมกับตัวเลข 49% ที่ชำระขั้นต่ำ/ผิดนัดของกลุ่มมนุษย์เงินเดือน สัญญาณนี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะราย แต่เป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่ควรเร่งจัดการ

เงินออม–ภูมิคุ้มกันช่องโหว่ที่เติมเต็มไม่ทัน

แม้คำว่า “วินัยการเงิน” จะถูกพูดถึงตลอด แต่ข้อมูลสะท้อนว่า “ช่องโหว่ภาคครัวเรือน” ยังมีอยู่มาก

  • 77% ของมนุษย์เงินเดือนมีเงินออม ต่ำกว่า 10% ของรายได้ต่อเดือน
  • 70% ไม่ได้กันเงินฉุกเฉินถึง 6 เดือน ตามเกณฑ์มาตรฐาน
  • 80% ไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ หากเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเกิดอุบัติเหตุใหญ่

ความเสี่ยงสามชั้นนี้ทำให้หลายครัวเรือน “ล้มทั้งยืน” เมื่อเจอเหตุไม่คาดฝัน ขณะเดียวกันยังลดทอนความสามารถในการวางแผนระยะยาวทั้งด้านการศึกษา–ที่อยู่อาศัย–และการเกษียณ

มุมผู้สูงอายุเมื่อ “วัยเกษียณ” ไม่ใช่บทสรุปการทำงาน

สังคมไทยกำลังก้าวสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” อย่างเต็มรูปแบบ แต่ภูมิคุ้มกันทางการเงินของผู้สูงอายุจำนวนมากกลับไม่พร้อม ข้อมูลอ้างอิงที่ถูกหยิบยกในงานบรรยายระบุว่า

  • เกือบ 4 ใน 10 ของผู้สูงอายุยังต้อง “ทำงานต่อ” เพื่อมีรายได้
  • 42.7% ของผู้สูงอายุในกลุ่มตัวอย่าง ยังมีหนี้ เฉลี่ยกว่า 130,000 บาท/คน
  • เกือบ ครึ่งหนึ่ง (44%) “ไม่มีเงินออมเลย”
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ สูงกว่าครัวเรือนทั่วไป 48% ซึ่งเป็น “ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่” ในช่วงที่รายได้ประจำลดลง

ปัญหานี้เชื่อมโยงกับโครงสร้างแรงงานและคุณภาพการจ้างงานในอดีต รวมถึงระบบสวัสดิการเกษียณที่ยังพึ่งพาตนเองสูง หากไม่เร่งปิดช่องว่างตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน ภาพ “ทำงานจนแก่–ใช้หนี้จนเกษียณ–ไร้เงินออม” จะยังวนซ้ำ

เสียงจากธุรกิจธนาคารโซลูชันต้อง “ครบวงจรและใช้งานจริง”

นางณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่มกลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีทีบี ระบุว่า สถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วย “ผ่อนแรง” ให้คนทำงานผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่แก้โจทย์จริง เช่น

  • ทางเลือก รีไฟแนนซ์/รวมหนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยลดภาระจ่ายขั้นต่ำ
  • โซลูชัน ออมอัตโนมัติ ที่ผูกกับวันเงินเดือนออก เพื่อสร้างวินัยโดยไม่เพิ่มภาระความคิด
  • ความคุ้มครอง สุขภาพ–อุบัติเหตุ–โรคร้ายแรง ในระดับเบี้ยที่เอื้อมถึง
  • วางแผนภาษี ปลายปีควบคู่การออมระยะยาว เพื่อให้ “เงินทำงาน” อย่างคุ้มค่า

เป้าหมายไม่ใช่เพียงขายผลิตภัณฑ์ แต่คือ “สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งธนาคาร นายจ้าง ภาครัฐ และตัวบุคคล

หนึ่งวันของคนเงินเดือนที่ “ทำทุกอย่างถูกต้อง” แล้วทำไมยังไม่พอ

หลายคนตั้งคำถามว่า “เราวางแผนแล้ว ทำไมยังตึงมือ” คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่ “แรงเสียดทาน” เล็กๆ ที่สะสมในระบบการใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทางที่ปรับขึ้นตามพลังงาน ค่าอาหารกลางวันที่เพิ่มทีละน้อย ค่าเช่าบ้านที่ขยับทุกปี รวมถึงค่าเลี้ยงดูผู้สูงอายุในครัวเรือนที่สูงขึ้นตามวัย เมื่อรายได้โตช้ากว่าค่าครองชีพเพียงเล็กน้อยทุกเดือน ผลรวมปลายปีจึง “ติดลบเล็กๆ” ต่อเนื่อง และนั่นคือเชื้อเพลิงให้หนี้บริโภคพอกตัว

สิ่งที่รายงานของทีทีบีสะท้อนจึงไม่ใช่เพียง “จิตวิทยาการเงินส่วนบุคคล” แต่เป็นปัญหาโครงสร้างที่ต้องแก้ร่วมกัน ตั้งแต่การเข้าถึงความรู้ทางการเงินที่ใช้งานได้จริง ไปจนถึงสวัสดิการนายจ้างที่ควบคู่กับสุขภาพกาย–ใจ และนโยบายรัฐที่เอื้อต่อค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล

ประเด็นรองที่หลายคนมองข้ามการคุ้มครองก่อน “เรื่องใหญ่” มาเยือน

เมื่อ 80% ของมนุษย์เงินเดือนไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ คำถามคือ “เราจะรับความเสี่ยงใหญ่ด้วยเงินสดได้จริงหรือ” คำตอบแทบทุกครัวเรือนคือ “ไม่” เบี้ยประกันพื้นฐานที่เหมาะสมกับช่วงวัย หรือสวัสดิการกลุ่มผ่านนายจ้าง อาจเป็นคำตอบที่คุ้มกว่าการใช้เงินออมก้อนเล็กไปแลกกับค่ารักษาพยาบาลหลักแสน–หลักล้าน ซึ่งกระทบฐานะทั้งครอบครัวในพริบตา

เชื่อมโยงนโยบายสาธารณะแรงงาน–สวัสดิการ–ผลิตภาพ

ในภาพกว้าง มนุษย์เงินเดือนคือกลุ่มที่เชื่อมภาษี การบริโภค และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน หากฐานะการเงินส่วนบุคคลเปราะบาง ผลสะท้อนจะกระทบ “ผลิตภาพแรงงาน” และความสามารถในการออม–ลงทุนระดับประเทศ นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอให้เร่งพัฒนา 3 มิติร่วมกัน

  1. ความรู้ทางการเงินแบบลงมือทำปลูกฝังตั้งแต่มัธยม–อุดมศึกษา ไปจนถึงหลักสูตรภายในองค์กร
  2. ช่องทางปรับโครงสร้างหนี้ที่เข้าถึงง่ายลดอคติ–ลดต้นทุนธุรกรรม และสร้างแรงจูงใจให้คน “เริ่มต้นใหม่” ก่อนเครดิตพัง
  3. สวัสดิการเสริมจากนายจ้างออมอัตโนมัติ–กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบสมทบ–ความคุ้มครองสุขภาพในระดับเหมาะสม

ทั้งสามมิตินี้จะช่วยให้เงินออมและภูมิคุ้มกันเติบโต “ก่อน” วิกฤตรอบใหม่

เช็กลิสต์ปฏิบัติได้ทันทีสำหรับมนุษย์เงินเดือน

เพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นการกระทำ นี่คือเช็กลิสต์สั้นๆ ที่ยึดตามหลักการที่รายงานแนะนำ

  • ลิสต์หนี้ทั้งหมด พร้อมอัตราดอกเบี้ย และเรียงจาก “แพงสุด–ถูกสุด”
  • หยุดชำระขั้นต่ำ โดยย้ายหนี้ไปสู่สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่าผ่านรีไฟแนนซ์/รวมหนี้
  • ตั้งออมอัตโนมัติ 10–15% ของรายได้ ตั้งแต่วันเงินเดือนออก
  • สะสมเงินฉุกเฉิน ให้ถึง 3–6 เดือน เริ่มจาก 1 เดือนภายใน 60–90 วัน
  • เติมความคุ้มครอง สุขภาพ/อุบัติเหตุ/โรคร้ายแรงในระดับเบี้ยที่เหมาะสมกับวัย
  • วางแผนภาษีปลายปี ให้ “เงินออม = เงินภาษีที่จ่ายน้อยลง” อย่างมีเหตุผล

จาก “ข้อมูล” สู่ “ความหวังที่ลงมือทำได้”

รายงานของทีทีบีไม่ได้ตั้งใจชี้ให้เห็นเพียง “ปัญหา” แต่พยายามวางกรอบคิดใหม่ว่า การมีวินัยการเงินไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล หากเป็น “โครงสร้างสนับสนุน” ที่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่ทำได้จริงด้วยต้นทุนทางเวลาที่ต่ำ ข้อมูลที่ชัดเจน และเครื่องมือที่เข้าใจง่าย หากธนาคาร–นายจ้าง–รัฐ และตัวเราเอง เดินไปในทิศทางเดียวกัน ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือนจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น และเมื่อฐานะของ “เดอะแบกตัวจริง” ดีขึ้น ฐานเศรษฐกิจไทยก็จะมั่นคงขึ้นตามลำดับ

สุดท้ายนี้ ตัวเลข 82% ที่ “มีหนี้” หรือ 77% ที่ “ออมไม่ถึง 10% ของรายได้” ไม่ได้เป็นตราบาปของใคร แต่มันคือไฟเตือนบนหน้าปัดที่บอกว่า “ถึงเวลาเข้าอู่ซ่อม” และเริ่มสร้างระบบกันสะเทือนให้ชีวิตทางการเงิน ตั้งแต่ตัดดอกเบี้ยแพง ลดการจ่ายขั้นต่ำ ไปจนถึงออมและทำประกันที่พอดี นี่คือเส้นทางที่ไม่ง่าย แต่เริ่มได้ทันทีตั้งแต่ “เงินเดือนรอบหน้า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
  • บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
  •  ttb analytics
  • Money Buffalo
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

วิกฤตชาติ ไทยอันดับ 3 โลก เกิดน้อยลง 81%

ประเทศไทยติดอันดับ 3 ของโลก อัตราการเกิดลดลง กระทบเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต

กรุงเทพฯ,12 กุมภาพันธ์ 2568  – การลดลงของอัตราการเกิดกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ โดยข้อมูลล่าสุดจาก Global Statistics พบว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 3 ของโลก ในด้านอัตราการเกิดที่ลดลง ตั้งแต่ปี 1950 – 2024 รองจากเกาหลีใต้และจีน ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรในระยะยาว และอาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต

แนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงทั่วโลก

จากข้อมูลของ Global Statistics พบว่าประเทศที่มีอัตราการเกิดลดลงมากที่สุด ได้แก่

  1. เกาหลีใต้ อัตราการเกิดลดลง 88%
  2. จีน อัตราการเกิดลดลง 83%
  3. ไทย อัตราการเกิดลดลง 81%
  4. ญี่ปุ่น อัตราการเกิดลดลง 80%
  5. อิหร่าน อัตราการเกิดลดลง 75%
  6. บราซิล อัตราการเกิดลดลง 74%
  7. โคลอมเบีย อัตราการเกิดลดลง 72%
  8. เม็กซิโก อัตราการเกิดลดลง 72%
  9. โปแลนด์ อัตราการเกิดลดลง 71%
  10. ตุรกี อัตราการเกิดลดลง 70%

สถานการณ์ประชากรไทยปี 2567

ตัวเลขการเกิดต่ำกว่าครึ่งล้านครั้งแรกในรอบ 75 ปี

จากรายงานของ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปี 2567 เป็นปีแรกที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในไทยต่ำกว่า 5 แสนคน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 462,240 คน ซึ่งถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องและสวนทางกับนโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” ที่ภาครัฐพยายามผลักดัน

การลดลงของประชากรในอนาคต

  • นักวิจัยคาดการณ์ว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรลดลงเหลือ 40 ล้านคน
  • ประชากรไทยจะลดลง เฉลี่ย 1 ล้านคนทุก ๆ 2 ปี
  • อัตราแรงงานจะลดลงจาก 37.2 ล้านคน เหลือเพียง 22.8 ล้านคน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ปัจจัยที่ทำให้อัตราการเกิดลดลง

  1. ค่าครองชีพสูงขึ้น
  • ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้คนรุ่นใหม่ลังเลที่จะมีบุตร
  • ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าเรียนและค่ารักษาพยาบาล
  1. การเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคม
  • คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการทำงานและไลฟ์สไตล์มากกว่าการสร้างครอบครัว
  • ความนิยมในแนวคิด “DINK” (Double Income, No Kids) เพิ่มขึ้น
  1. นโยบายสนับสนุนครอบครัวที่ไม่เพียงพอ
  • สวัสดิการเพื่อครอบครัวของไทยยังไม่ครอบคลุมเท่ากับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้
  • ขาดมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีและการดูแลเด็กเล็ก

ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย

  1. แรงงานลดลง กระทบเศรษฐกิจโดยรวม
  • จำนวนแรงงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและบริการ
  • อาจต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ หรือใช้เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานมนุษย์
  1. ระบบสวัสดิการสังคมเผชิญแรงกดดัน
  • จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องใช้งบประมาณดูแลสุขภาพมากขึ้น
  • แรงงานที่ลดลงทำให้มีผู้เสียภาษีน้อยลง ส่งผลต่อรายได้ภาครัฐ

แนวทางแก้ไขและปรับตัวของประเทศไทย

  1. สนับสนุนครอบครัวและการมีบุตร
  • เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับครอบครัวที่มีลูก
  • ขยายสวัสดิการเด็ก เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดและเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดู
  1. ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน
  • ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน
  • เปิดรับแรงงานต่างชาติที่มีฝีมือมากขึ้น
  1. เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการมีบุตร
  • รณรงค์ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวและการมีลูก
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีลูกและการเลี้ยงดูเด็ก

บทสรุป

อัตราการเกิดที่ลดลงของไทยเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่เพียงส่งผลต่อจำนวนประชากร แต่ยังกระทบต่อแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม หากไม่มีมาตรการรับมือที่เหมาะสม ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับสังคมสูงวัยที่มีผลกระทบระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากมีนโยบายที่ดีและสามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจมีบุตรมากขึ้น ก็อาจช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมอัตราการเกิดของไทยถึงลดลงอย่างมาก?

ปัจจัยหลักมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไป และนโยบายสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ

  1. การลดลงของอัตราการเกิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร?

ทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมและบริการ อีกทั้งภาครัฐต้องแบกรับภาระสวัสดิการผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

  1. ประเทศอื่น ๆ แก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำอย่างไร?

หลายประเทศใช้มาตรการสนับสนุน เช่น เงินอุดหนุนเด็ก นโยบายภาษีที่เอื้อต่อครอบครัว และขยายสวัสดิการเลี้ยงดูเด็ก

  1. ไทยสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?

ควรเพิ่มสวัสดิการครอบครัว ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน และส่งเสริมแนวคิดเชิงบวกเกี่ยวกับการมีบุตร

  1. ถ้าอัตราการเกิดลดลงต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต?

ประชากรอาจลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อแรงงาน เศรษฐกิจ และการพัฒนาในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Global Statistics 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

อสังหาฯ ไทยรับมือสังคมสูงวัย เน้นที่อยู่อาศัยตอบโจทย์

การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 รายงานข่าวจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลสำรวจเกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยระบุว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจาก 6.8% ในปี 2537 เป็น 20% ในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.89% อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน

สถานการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

ปี 2567 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุทั้งหมด 916 โครงการ แบ่งเป็นเนอร์สซิ่งโฮม 832 โครงการ และที่อยู่อาศัยทั่วไป 84 โครงการ โดยพื้นที่ที่มีโครงการมากที่สุดอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 516 โครงการ นอกจากนี้ อัตราการเข้าพักในเนอร์สซิ่งโฮมเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 70.91% โดยจังหวัดชลบุรีมีอัตราการเข้าพักสูงสุดที่ 76.95% ตามมาด้วยนครราชสีมา 73.71% และเชียงใหม่ 73.07%

ในส่วนของที่อยู่อาศัย อัตราการเข้าพักในจังหวัดสมุทรปราการอยู่ที่ 70.91% และกรุงเทพฯ อยู่ที่ 75.64% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเมืองและศูนย์กลางเศรษฐกิจ

ราคาค่าเช่าและการเข้าถึงบริการ

ผลสำรวจระบุว่าค่าเช่าเนอร์สซิ่งโฮมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มภาครัฐและมูลนิธิอยู่ในช่วง 15,001-20,000 บาท ขณะที่กลุ่มเอกชนมีค่าเช่าสูงถึง 30,001-50,000 บาท ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยของภาครัฐมีค่าเช่าเฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 บาท โดยกลุ่มเอกชนมีค่าเช่าที่นิยมอยู่ในช่วง 30,001-50,000 บาท

รายได้และการพัฒนากลไกสนับสนุน

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากบุตร 35.7% รองลงมาคือรายได้จากการทำงาน เบี้ยยังชีพ และบำนาญ ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนากลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น สินเชื่อเพื่อที่พักอาศัยแบบเช่าระยะยาว การซื้อสิทธิ์การอยู่อาศัย และโครงการขายหรือเช่าในราคาที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำ

มุมมองอนาคต

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้พัฒนาสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยผลักดันการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน

ข่าวดังกล่าวสะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเน้นการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความต้องการที่หลากหลายของประชากรกลุ่มนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

วิจัยกสิกรฯ เผยว่า ปี 2029 ผู้สูงอายุไทยพุ่ง 18 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2029 คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยจะอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท โตเฉลี่ย 5.3% ต่อปี (CAGR 2024-2029) ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น (ปี 2024 อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท) โดยในปี 2029 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged Society) ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สูงวัยในไทยราว 18 ล้านคน จากปัจจุบันที่อยู่ราว 14 ล้านคน ทั้งนี้ ธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการขยายตัวของสังคมสูงวัย อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

 

    1) ธุรกิจที่เน้นด้านสุขภาพ ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจการดูแลสุขภาพ โดยการใช้จ่ายใน 2 หมวดนี้มีสัดส่วนรวมกันกว่า 37% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายในหมวดเดียวกันของช่วงวัยหรือ Generation อื่นๆ ราว 3% สอดคล้องไปกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่พบว่าผู้สูงอายุไทยมีความสนใจซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของผู้สูงอายุที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมด

 

    ขณะที่สินค้าและบริการที่น่าจะเป็นโอกาสในกลุ่มนี้ ได้แก่ ศูนย์โรคเฉพาะทาง ยาและเวชภัณฑ์ บริการดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home และ Care Giver) ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยมีปัจจัยหนุนจากเทรนด์รักสุขภาพ ความเสี่ยงเจ็บป่วยต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่เรื้อรังของผู้สูงอายุ สำหรับในหมวดอาหาร ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและอาหารทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้รูปแบบของอาหารควรเคี้ยวง่าย ย่อยง่าย มีขนาดที่พอเหมาะ และมีโภชนาการครบถ้วน

 

    2) ธุรกิจอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้สูงอายุ คิดเป็นสัดส่วนราว 63% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งการใช้จ่ายต่อครั้งจะมีมูลค่าสูง แต่มีความถี่ในการใช้จ่ายน้อยกว่าการบริโภคสินค้าในกลุ่มแรก (อาหารและสุขภาพ) อาทิ

        – ธุรกิจนวัตกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart Home Devices เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง อุปกรณ์แจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุในบ้าน กล้องติดตามการเคลื่อนไหว ไม้เท้าอัจฉริยะ เครื่องช่วยฟัง เป็นต้น

        – ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง จากปัจจุบันผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมเลี้ยงสัตว์ของผู้สูงอายุเพื่อช่วยในการบำบัดรักษา (Pet Healing) ส่งผลให้สินค้าและบริการที่น่าจะได้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และบริการดูแลสัตว์เลี้ยง

        – ธุรกิจที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในปี 2023 ยังมีอยู่น้อยเพียง 728 แห่งทั่วประเทศ รองรับผู้สูงอายุที่ได้เพียงราว 19,490 คนเท่านั้น คาดว่าต่อไปจะเพิ่มมากขึ้น จากมาตรการหนุนให้ชาวต่างชาติมีอาศัยที่ไทย รวมถึงธุรกิจการปรับปรุงที่อยู่อาศัยน่าจะช่วยรองรับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้

        – ธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น บริการทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ และ Reverse Mortgage สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ แต่ไม่มีลูกหลานดูแล รวมถึงบริการ Entertainment ต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ อาทิ เกมช่วยบริหารสมองและช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และเกมช่วยฝึกความไวของสายตา เป็นต้น 

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ตลาดผู้สูงอายุมีแนวโน้มน่าสนใจมากขึ้น แต่ธุรกิจอาจมีความเสี่ยงจาก 2 เรื่องหลัก ได้แก่

    1. ตลาดแข่งขันรุนแรง เพื่อแย่งชิงลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้ตลาดผู้สูงอายุจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น แต่ในช่วง 2-3 ปีแรกของการเจาะตลาดผู้สูงอายุ ขนาดตลาดจะยังไม่ใหญ่มากตามจำนวนผู้สูงอายุไทยที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 23% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อกำลังซื้อที่จำกัด

    ขณะที่ ผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่ พบว่ามักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง ทำให้ธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อาจต้องเผชิญการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เข้มข้นจากคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน และญี่ปุ่น

    นอกจากการปรับตัวของธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ การทำกลยุทธ์การตลาด (Marketing) ไปที่ลูก-หลาน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการแทนผู้สูงอายุ โดยเน้นที่คุณภาพ/มาตรฐานของสินค้าและบริการ รวมถึงความคุ้มค่าด้านราคาเป็นหลัก

 

    2. ธุรกิจมีต้นทุนในการปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย ทั้งต้นทุนหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มจากการปรับไลน์การผลิต/พัฒนารูปแบบสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เช่น สินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มก็อาจต้องเพิ่มสารอาหารที่เหมาะสมกับวัยและโรคของผู้สูงอายุ ปรับบรรจุภัณฑ์ให้ใช้เปิด-ปิดง่าย เป็นต้น รวมถึงบางธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ในภาคเกษตร การผลิต และการค้า ที่อาจต้องมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่จะรุนแรงในระยะข้างหน้า

    การปรับตัวเหล่านี้อาจกระทบผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหมดราว 3.18 ล้านราย โดยธุรกิจที่มีสัดส่วน SMEs สูง ได้แก่ ค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิต ก่อสร้าง และธุรกิจการเกษตร คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 63% ของจำนวน SMEs ทั้งหมด (รูปที่ 6) ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น

    แต่ในระยะข้างหน้า การปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่แม้จะใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก แต่คาดว่าจะสร้างความคุ้มค่าในระยะกลาง-ยาวจากราคาเริ่มถูกลง เช่น ราคาหุ่นยนต์ (Robot Price) ที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Robot Arms, Industrial Robots) จะลดลงเฉลี่ยปีละ 11% (CAGR 2017-2025) และการใช้ AI ในธุรกิจจะมีต้นทุนลดลงจากการแข่งขันกันพัฒนาโมเดล/ความสามารถใหม่ๆ โดยเฉพาะ Gen AI (ChatGPT, Gemini, Claude-3 ฯลฯ) ซึ่งคงจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News