
ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ สู้วิกฤต PM2.5
เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมภาคเหนือของประเทศไทยทุกฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน ได้กลายเป็นฝันร้ายที่คุ้นชินของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและสุขภาพของผู้คนนับแสน ได้ผลักดันให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ และในวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ
จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เสียงจากประชาชน
เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านจากอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าทุกปีจนทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองในปี 2566 โดยชี้ว่าหน่วยงานนี้ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหา PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือ “ทุกเช้าที่ตื่นมา ลูกผมไอจนแทบหายใจไม่ออก ผมทนเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” นายภูมิเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวันแถลงข่าวหลังการพิจารณาคดี
คดีนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนายภูมิเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของชาวบ้านนับล้านที่ต้องสูดอากาศพิษเข้าไปในปอดทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในช่วงฤดูหมอกควันระหว่างปี 2561-2564 ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังใน 4 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
การตัดสินใจที่สร้างประวัติศาสตร์
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการมลพิษในประเทศไทย โดยสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอนเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักพุ่งสูงเกินมาตรฐานจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ศาลให้เหตุผลว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบถึงปัญหามลพิษ PM2.5 มานาน แต่การดำเนินการที่ผ่านมา เช่น แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ยังไม่เพียงพอที่จะลดระดับมลพิษให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ศาลชี้ว่า การที่หน่วยงานนี้ไม่ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ที่มีปัญหาวิกฤต ถือเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่” ตามที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม ศาลยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนในพื้นที่ จึงกำหนดให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีผลเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาหมอกควันรุนแรงที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของจังหวัดเหล่านี้ในช่วงเวลาอื่นของปี

ผลกระทบของคำตัดสิน ก้าวแรกสู่ท้องฟ้าที่ใสสะอาด
การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะนำมาซึ่งมาตรการที่เข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการจัดการปัญหา PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจำกัดการเผาในที่โล่ง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและยานพาหนะ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิเคราะห์ว่า คำตัดสินนี้จะเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น “การเป็นเขตควบคุมมลพิษจะให้อำนาจแก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เช่น การปรับผู้ที่เผาในที่โล่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมมลพิษ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่”
ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
แม้คำพิพากษานี้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประชาชน แต่การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระยะยาวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลากหลาย ตั้งแต่การเผาในภาคเกษตรกรรม ไฟป่า ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ
ประการที่สองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเผาในที่โล่งมักเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดโดยไม่มีการให้ทางเลือกที่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการเศษพืชผลเกษตร อาจสร้างความขัดแย้งและลดความร่วมมือจากชุมชน
สุดท้าย การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันว่ามาตรการต่างๆ จะนำไปสู่การลดมลพิษอย่างยั่งยืน หากในอนาคต ระดับ PM2.5 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถพิจารณาเพิกถอนการประกาศเขตควบคุมมลพิษได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้
จุดเปลี่ยนของการปกป้องสิ่งแวดล้อม
คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้สิทธิทางกฎหมาย
ในมุมมองของผู้เขียน คำตัดสินนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจนำไปสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดำเนินการตามคำสั่งศาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนจากประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดมลพิษ
สู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ความหวังของคนเหนือ
สำหรับชาวบ้านอย่างนายภูมิและครอบครัว คำตัดสินในวันนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “ผมหวังว่าลูกๆ จะได้หายใจอากาศที่สะอาด และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งจะป่วยเพราะฝุ่นควัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง
เมื่อมองไปข้างหน้า การต่อสู้กับวิกฤต PM2.5 ในภาคเหนืออาจเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก ว่าด้วยพลังของประชาชน ความยุติธรรม และความร่วมมือ เราสามารถเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรงนี้ได้ และคืนท้องฟ้าสีครามให้กับลูกหลานของเราในอนาคต
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- ศาลปกครองสูงสุด: คำพิพากษาคดีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1 สิงหาคม 2568)
- พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
- สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, และแม่ฮ่องสอน: รายงานสถิติผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 (2561-2564)
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (2566-2568)
- รายงานสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษทางอากาศในภาคเหนือ พ.ศ. 2566-2568, กรมควบคุมมลพิษ