Categories
CULTURE

พะเยา ขุดพบเจดีย์พันปี สร้างรถไฟเด่นชัย-เชียงราย

พบเจดีย์โบราณพันปีแนวรถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงราย กรมศิลป์เร่งตรวจสอบ ชาวบ้านหวั่นมรดกถูกทำลาย

พะเยา, 25 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย บริเวณใกล้ชุมชนบ้านเจดีย์งามและบ้านสันป่าเป้า ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อมีการขุดพบ “ยอดเจดีย์โบราณ 7 ชั้น” คาดว่ามีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี โดยชาวบ้านเชื่อว่าโบราณวัตถุชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัดพระธาตุนกแซว วัดโบราณที่เคยตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว

ล้อมพื้นที่ ขุดเจดีย์เก่า บ่งชี้แหล่งอารยธรรมโบราณ

บริเวณที่พบวัตถุโบราณ มีการล้อมปิดพื้นที่โดยผู้รับเหมาก่อสร้าง พร้อมติดป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้า อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ได้สังเกตเห็นการขุดเจาะด้วยรถแบ็กโฮ และพบหลุมที่คาดว่าใช้เตรียมวางหม้อรางรถไฟ

เมื่อชาวบ้านสำรวจเพิ่มเติมกลับพบเศษชิ้นส่วนเจดีย์ลักษณะเป็นหินทรายแกะสลัก ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของศิลปกรรม โดยเฉพาะยอดเจดีย์ทรง 7 ชั้น ที่มีลักษณะทางศิลปะล้านนาเด่นชัด สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะจากยุคพุทธศตวรรษที่ 17–18

พระสงฆ์และชาวบ้านร่วมใจ พิธีสูตรถอนก่อนนำไปเก็บรักษา

พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในตำบลท่าวังทอง ได้ร่วมกันประกอบพิธีสูตรถอนตามแบบล้านนาโบราณ เพื่อแสดงความเคารพต่อโบราณวัตถุ ก่อนจะทำการขนย้ายชิ้นส่วนที่พบไปยังวัดเจดีย์งาม เพื่อเก็บรักษาและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่อไป

พระครูประจักษ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์งาม ระบุว่า ชาวบ้านรู้สึกห่วงใยโบราณสถานในพื้นที่ที่อาจจะสูญหายไปกับการก่อสร้างทางรถไฟ โดยไม่ผ่านกระบวนการสำรวจที่เหมาะสม จึงร่วมมือกันขุดค้นและแจ้งเจ้าหน้าที่อย่างเร่งด่วน

กรมศิลปากรเข้าตรวจสอบเบื้องต้น สั่งชะลอการก่อสร้าง

หลังได้รับแจ้งจากประชาชน กรมศิลปากรโดยสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที และยืนยันว่าโบราณวัตถุที่พบมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และควรได้รับการอนุรักษ์

ขณะนี้ได้มีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หยุดการก่อสร้างชั่วคราวในจุดดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้กรมศิลป์ทำการสำรวจทางโบราณคดีอย่างละเอียด โดยจะร่วมมือกับชุมชนในกระบวนการเก็บข้อมูลและศึกษาเชิงลึกต่อไป

แนวรถไฟรุกที่นาเอกชน ชาวบ้านตั้งข้อกังวล

พื้นที่ที่มีการขุดพบยอดเจดีย์นั้น เดิมเป็นที่นาของชาวบ้านซึ่งมีเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้อง แต่ถูกเวนคืนโดยการรถไฟฯ เพื่อใช้ในการวางรางรถไฟสายใหม่ สร้างความกังวลให้กับชาวบ้านว่า อาจมีโบราณสถานอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ

ชาวบ้านบางรายให้ข้อมูลว่า วัดพระธาตุนกแซวในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางศาสนาของชุมชน มีอายุยาวนานกว่าศตวรรษ และคาดว่ามีซากวัดหรืออุโบสถฝังอยู่ใต้ดิน หากไม่มีการสำรวจอย่างรอบคอบ โบราณสถานเหล่านี้อาจถูกทำลายโดยไม่ตั้งใจ

ข้อเสนอจากภาคประชาชน-ขอร่วมเป็นกรรมการสำรวจ

ภาคประชาชนเสนอให้กรมศิลปากรตั้งคณะกรรมการร่วมสำรวจ โดยให้มีตัวแทนจากชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และภาควิชาการเข้าร่วม เพื่อให้การทำงานมีความโปร่งใส และสามารถเก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พระสงฆ์ในพื้นที่ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชนจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำลายรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชุมชนดั้งเดิม

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายชาวบ้านและภาคอนุรักษ์
ชี้ว่า การขุดเจดีย์และพบโบราณสถานในแนวรถไฟครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการสำรวจโบราณคดีก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ พวกเขาเรียกร้องให้ทุกโครงการพัฒนาระดับชาติให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ยังเสนอให้กรมศิลปากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนผังโบราณสถานร่วมกับชุมชน และจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือศูนย์เรียนรู้ เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษาและซึมซับประวัติศาสตร์ของบ้านตนเอง

ฝ่ายหน่วยงานรัฐและโครงการรถไฟ

ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยการเวนคืนที่ดินและเตรียมการก่อสร้างได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว อย่างไรก็ตาม หน่วยงานพร้อมรับฟังและปรับแผนงาน หากพบว่าในพื้นที่มีหลักฐานโบราณสถานที่สำคัญ พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับกรมศิลปากรในการหยุดงานชั่วคราวเพื่อศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • วันที่พบยอดเจดีย์โบราณ: 25 มีนาคม 2568
  • ลักษณะเจดีย์: เจดีย์ 7 ชั้น หินทรายแกะสลัก ศิลปะล้านนา
  • พื้นที่ตั้ง: บ้านเจดีย์งาม – บ้านสันป่าเป้า ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
  • แนวทางรถไฟที่เกี่ยวข้อง: โครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย–เชียงราย
  • หน่วยงานรับผิดชอบ: การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • หน่วยงานสำรวจโบราณคดี: กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • พื้นที่ที่เวนคืน: ที่นามีเอกสารสิทธิ์ของชาวบ้าน
  • ความคืบหน้าล่าสุด: หยุดการก่อสร้างชั่วคราว รอการสำรวจเต็มรูปแบบจากกรมศิลป์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานภาคสนามจากผู้สื่อข่าวท้องถิ่น จังหวัดพะเยา
  • ข้อมูลจากสมาคมอนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนา
  • สำนักงานศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • ข้อมูลโครงการจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ไฟป่า ‘พะเยา’ วิกฤต เผาไข่นกยูง ล่าสัตว์ต้นเหตุ จุดความร้อนพุ่ง

ไฟป่าเวียงลอวิกฤติ พื้นที่ป่าพะเยาเสียหายหนัก นกยูงไทยสูญเสียแหล่งขยายพันธุ์

เจ้าหน้าที่เร่งควบคุมสถานการณ์ไฟป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ

พะเยา,15 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์ ไฟป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ จังหวัดพะเยา ยังคงสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าจากหลายหน่วยงานระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ยังคงพบ จุดความร้อน (Hotspot) มากกว่า 40 จุด ในพื้นที่ โดยเฉพาะใน อำเภอปง เชียงม่วน และจุน ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่อนุรักษ์สำคัญของภาคเหนือ

นายฉกาจ เทพทองปัน หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าพะเยา รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าปฏิบัติการดับไฟป่าตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2568 โดยดำเนินการลาดตระเวนและพักแรมในป่า เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์และเร่งดับไฟ

จากจำนวน 23 จุดความร้อน ขณะนี้สามารถควบคุมได้แล้ว 18 จุด เหลืออีก 5 จุด ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติการ โดยคาดว่าจะสามารถดับไฟได้ทั้งหมดภายในวันนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงพบไข่นกยูงไทยที่ถูกไฟไหม้ สะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบนิเวศในพื้นที่

ไฟป่าพะเยายังรุนแรง จุดความร้อนสะสมสูงสุดของภาคเหนือ

สาเหตุหลักมาจากการล่าสัตว์และหาของป่า

นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า สาเหตุหลักของไฟป่าที่เกิดขึ้นในจังหวัดพะเยา มาจากการลักลอบจุดไฟเพื่อล่าสัตว์ และหาของป่า ส่งผลให้พื้นที่ป่าถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและกระทบต่อสัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะ นกยูงไทย ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

จังหวัดพะเยาได้ประกาศ ปิดป่าทุกพื้นที่ เพื่อควบคุมสถานการณ์ พร้อมดำเนินมาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดจะถูกดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น

มาตรการเร่งด่วนในการควบคุมไฟป่า

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยาได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่า โดยมีการตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ณ ศาลากลางจังหวัดพะเยา และสั่งการให้ ทุกอำเภอเร่งดับไฟและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

ในอำเภอเชียงม่วน ได้สั่งการให้ ผู้นำชุมชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม ดำเนินการดับไฟป่าบริเวณ ป่าบ้านบ่อต้นสัก หมู่ 10 ตำบลบ้านมาง อย่างไรก็ตาม การควบคุมไฟเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากพื้นที่เกิดไฟป่าเป็นภูเขาสูงชันและมีลมพัดแรง

ล่าสุด ช่วงบ่ายของวันนี้ จังหวัดพะเยายังคงพบ จุดความร้อน 25 จุด โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ, อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง และป่าสงวนแห่งชาติในอำเภอปง

มาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่าในระยะยาว

แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ

  1. บูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน – ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายปกครอง อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อส.) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้นำชุมชน กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ร่วมปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและควบคุมไฟป่า
  2. ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังในจุดเสี่ยง – ให้หน่วยเผชิญเหตุเร่งดำเนินการดับไฟให้สนิท และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไฟปะทุซ้ำ
  3. เข้มงวดมาตรการด้านกฎหมาย – กำชับให้ทุกอำเภอ ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษผู้ที่ลักลอบจุดไฟป่าหรือกระทำผิดกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไฟป่าในพะเยา

  • จำนวนจุดความร้อนที่พบในจังหวัดพะเยา 40 จุด (สูงสุดในภาคเหนือ)
  • จุดความร้อนสะสมตั้งแต่ต้นปี 1,253 จุด
  • อำเภอที่พบจุดความร้อนมากที่สุด:
    • อำเภอปง 17 จุด
    • อำเภอเชียงม่วน 8 จุด
    • อำเภอจุน 7 จุด
  • หน่วยงานที่เข้าร่วมภารกิจดับไฟป่าทั้งหมด 90 นาย
  • พื้นที่ไฟป่าที่เกิดจากการลักลอบล่าสัตว์และหาของป่า มากกว่า 60% ของพื้นที่ทั้งหมด
  • จำนวนจุดความร้อนใน 17 จังหวัดภาคเหนือ 113 จุด โดย พะเยาสูงสุด 40 จุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา / สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา/ กองทัพภาคที่ 3 / ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“คาราวานมาเหนือ” กระตุ้นท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

“คาราวานมาเหนือ” เปิดตัวยิ่งใหญ่ กระตุ้นท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 –  โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “คาราวานมาเหนือ” อย่างเป็นทางการ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบูรณาการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการเดินทางเชื่อมโยงในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

ความพร้อมของเชียงรายในการรองรับนักท่องเที่ยว

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความพร้อมของจังหวัดเชียงรายในการรองรับนักท่องเที่ยวว่า เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย มีพรมแดนติดกับสองประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภูมิประเทศของจังหวัดเต็มไปด้วยเทือกเขาสลับกับที่ราบลุ่มแม่น้ำ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามและสมบูรณ์ พร้อมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่หลากหลาย อาทิ วัดร่องขุ่น วัดมิ่งเมือง วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง และจุดชมวิวสำคัญอย่างสามเหลี่ยมทองคำ ดอยตุง และภูชี้ฟ้า ที่นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศหนาวเย็นและวิวทิวทัศน์อันตระการตา นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่ากว่า 30 กลุ่ม เช่น อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง ไทลื้อ และไทใหญ่ ส่งผลให้มีเอกลักษณ์ทางศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และวิถีชีวิตที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก จังหวัดเชียงรายพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ด้วยระบบขนส่งที่สะดวกสบาย โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การจัดคาราวานในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมภาพลักษณ์ของเชียงรายให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักเดินทางทั่วโลก

รายละเอียดของกิจกรรม “คาราวานมาเหนือ”

นางวิภาวี ลีไพบูลย์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ผู้แทนท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการ “คาราวานมาเหนือ” เป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือตอนบน 2 ผ่านเส้นทางท่องเที่ยว โดยมีการออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละจังหวัด ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ท้องถิ่น กิจกรรม “คาราวานมาเหนือ” จะจัดขึ้นตลอดเดือนมีนาคม 2568 ครอบคลุมทั้ง 4 จังหวัด โดยมีอินฟลูเอนเซอร์และนักเดินทางชื่อดังร่วมเดินทางในเส้นทางต่าง ๆ ได้แก่

  • น่าน – แพร่ (7-9 มีนาคม 2568): นำโดย คุณลีโอ พุฒิ, คุณต้า เผ่าพล และคุณเร แม็คโดแนลด์ (รายการเร่ร่อน)
  • เชียงราย – พะเยา (14-16 มีนาคม 2568): นำโดย คุณเร แม็คโดแนลด์
  • เชียงราย – พะเยา (21-23 มีนาคม 2568): นำโดย คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ (วิวไฟน์เดอร์)
  • น่าน – แพร่ (28-30 มีนาคม 2568): นำโดย คุณเบนซ์ ถาวร ภัสสรสิริกุล (เบนซ์ไกจิน – แบกเป้เที่ยวคนเดียว)

ทั้งนี้ คาราวานจะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า และร้านอาหารสำคัญในพื้นที่ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยวในอนาคต

การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นายสุขสันต์ เพ็งดิษฐ์ ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย กล่าวว่า สำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย (อพท.) เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงราย ผ่านกิจกรรมคาราวานเชื่อมโยงเส้นทางสร้างสรรค์ เชียงรายในฐานะเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของยูเนสโก (UCCN) มีศักยภาพโดดเด่นด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรมล้านนา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ อพท. ที่มุ่งพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยใช้เกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) เป็นแนวทางในการพัฒนา อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการนี้ คือ การศึกษาเส้นทางสร้างสรรค์ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 15-18 มกราคม 2568 ซึ่งช่วยให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้เรียนรู้เพิ่มเติมถึงแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

สรุป

โครงการ “คาราวานมาเหนือ” เป็นความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่คาราวานท่องเที่ยว เส้นทางสร้างสรรค์ จนถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : คาราวานมาเหนือ หรือโทร 053 716 434

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. หนุนเลี้ยงจิ้งหรีด สร้างรายได้เสริมมั่นคง

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. หนุนชาวบ้านพะเยาเลี้ยงจิ้งหรีด สร้างรายได้เสริม เลี้ยงง่าย เก็บผลผลิตไว

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้สนับสนุนการเลี้ยงจิ้งหรีดในพื้นที่บ้านปางถ้ำ หมู่ 9 ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับกลุ่มเปราะบางที่มีวิถีชีวิตที่ยากลำบาก

ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการเลี้ยงจิ้งหรีด

โครงการดังกล่าวเน้นเสริมศักยภาพในการสร้างอาชีพเพื่อบรรเทาความยากลำบากของครอบครัวในโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. โดยเล็งเห็นว่า การเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นอาชีพที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่น้อย และลงทุนน้อย แต่สามารถสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ นางแดง ไชยวงค์ อายุ 49 ปี เปิดเผยว่า เธอได้เลี้ยงจิ้งหรีดมาแล้ว 3 รุ่น ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้ในราคากิโลกรัมละ 200-250 บาท โดยสร้างรายได้เสริมให้ครอบครัวได้อย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาและต่อยอดอาชีพในพื้นที่

นายณรงค์ ไข่ทา อายุ 62 ปี อีกหนึ่งผู้ร่วมโครงการในตำบลลอ อำเภอจุน เล่าถึงการพัฒนาเทคนิคการเลี้ยงจิ้งหรีด โดยเขาได้ศึกษาเรื่องการแยกไข่และการเลี้ยงในกรงที่มีพื้นที่เปิดโล่ง ทำให้จิ้งหรีดเจริญเติบโตเท่ากัน สามารถขายได้กรงละ 4-5 กิโลกรัม และโพสต์ขายผ่านโซเชียลมีเดียที่ขายหมดภายในเวลาอันสั้น

นายณรงค์ยังเสริมว่าในอนาคตเขามีแผนจะขยายพื้นที่เลี้ยงให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต โดยคาดการณ์ว่ากรงขนาด 2×2 เมตร จะสามารถสร้างรายได้ต่อรอบการผลิตกรงละ 20,000-25,000 บาท

ต้นทุนต่ำ รายได้สูง

นางย้าย ศรีวิชัย อายุ 59 ปี ผู้ร่วมโครงการอีกคนหนึ่ง เปิดเผยว่าการเลี้ยงจิ้งหรีดช่วยลดต้นทุนอาหาร โดยใช้อาหารหัวร่วมกับพืชผักในพื้นที่ เช่น มะละกอสุก และผักไชยา ซึ่งลดต้นทุนได้มาก และยังสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายเพียงแค่เก็บไข่จากพ่อแม่พันธุ์

นางย้ายยังกล่าวขอบคุณมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ที่เข้ามาสนับสนุนความรู้และเทคนิคการเลี้ยง ทำให้เธอสามารถพัฒนาการเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริม และหวังว่าในอนาคตจะกลายเป็นอาชีพหลักที่มั่นคงของครอบครัว

ผลตอบรับดี เกิดแรงบันดาลใจในชุมชน

โครงการเลี้ยงจิ้งหรีดในจังหวัดพะเยาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในชุมชนอย่างมาก ด้วยต้นทุนการเลี้ยงที่ต่ำ และผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไวภายใน 45 วัน การเลี้ยงจิ้งหรีดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการสร้างรายได้เสริมที่มั่นคง

โครงการนี้สะท้อนถึงแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง โดยมุ่งเน้นการสร้างอาชีพที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนและพัฒนาทักษะอาชีพให้กับครอบครัวเด็กในโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนที่ยังขาดโอกาสในสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พบกาแฟ-ชาคุณภาพ ล้านนาตะวันออกที่เชียงราย

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จับมือจัดงานเทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ร่วมกันจัดงาน “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟและชาในภูมิภาค พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่

งานแถลงข่าวจัดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ณ ร้านอาหารภูภิรมย์ สิงห์ปาร์ค อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากจังหวัดต่างๆ และสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมงาน

ศักยภาพของชาและกาแฟล้านนาตะวันออก

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพในการผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลผลิตที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้จึงเป็นการนำเสนอจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

เป้าหมายของการจัดงาน

  • ส่งเสริมการท่องเที่ยว: สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจ: สร้างเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจชาและกาแฟ
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์: ส่งเสริมให้ผู้ผลิตพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น
  • สร้างรายได้ให้ชุมชน: สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

ไฮไลท์ภายในงาน

  • การแสดงสินค้า: รวบรวมร้านค้าผู้ประกอบการชาและกาแฟกว่า 50 ร้านค้า มาจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์
  • การแข่งขันลาเต้อาร์ต: การแข่งขันสร้างสรรค์ลวดลายบนกาแฟนม
  • กิจกรรมเจรจาธุรกิจ: สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
  • นิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ: นิทรรศการเกี่ยวกับชาและกาแฟ การแสดงวัฒนธรรม และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ

การสนับสนุนจากภาครัฐ

รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกาแฟอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในอาเซียน การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

อนาคตของอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

ด้วยศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติและการสนับสนุนจากภาครัฐ เชื่อว่าอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในตลาดโลกได้

สำหรับ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” 2024 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – วันที่ 1 มกราคม 2568 ตั้งแต่ เวลา 16:00 น. ถึง 22:00 น. ณ สิงห์ปาร์คจังหวัดเชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-5973823 (เวลาทำการ 09.00-16.00 น.) หรือที่
Facebook: Eastern Lanna Coffee & Tea Festival
LineOA : @easternlanna
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ล้านนาตะวันออกฟื้น! ชวนเที่ยวงานใหญ่ Consumer Fair

ภาคเหนือตอนบน 2 ฟื้นตัวหลังวิกฤติน้ำท่วม จัดงานใหญ่กระตุ้นการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ภายหลังจากที่ภาคเหนือตอนบน 2 ได้เผชิญกับสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ในวันนี้ กลุ่มจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ได้ร่วมกันประกาศความพร้อมในการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการจัดงาน Consumer Fair and Road Show เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวล้านนาตะวันออก

ภาคเหนือฟื้นตัวแล้ว พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในการแถลงข่าวว่า “แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติ แต่ชาวล้านนาตะวันออกก็มีความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูและพัฒนาภูมิภาคให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง งาน Consumer Fair and Road Show นี้ ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนสำคัญของจังหวัด”

งาน Consumer Fair and Road Show: สุดยอดโปรโมชั่นและวัฒนธรรมล้านนา

งาน Consumer Fair and Road Show จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลบางนา และเซ็นทรัล เวสต์เกต โดยมีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ

  • ตลาดสินค้า OTOP: พบกับสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด
  • มุมอาหารรสเด็ด: ลิ้มลองรสชาติอาหารเหนือรสเด็ดที่ปรุงสดใหม่
  • การแสดงศิลปวัฒนธรรม: ดื่มด่ำกับการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมที่งดงาม สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์และความเป็นมาของชาวล้านนา
  • โปรโมชั่นพิเศษ: โรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวต่างนำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวสุดคุ้ม
  • กิจกรรม Business Matching: เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวได้พบปะกับนักลงทุนและขยายธุรกิจ

เป้าหมายของการจัดงาน:

  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจ: กระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
  • ส่งเสริมวัฒนธรรม: สร้างความตระหนักถึงมรดกทางวัฒนธรรมของล้านนาตะวันออก และส่งเสริมการอนุรักษ์
  • เชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยว: สร้างเครือข่ายและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ล้านนา

การจัดงานครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของภาคเหนือตอนบน 2 ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในการฟื้นฟูและพัฒนาภูมิภาคให้กลับมาเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พะเยา ทุ่มงบประมาณ 208 ล้านบาท สร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่ 7,000 ตร.ม.

โครงการสำคัญในจังหวัดพะเยาที่ รมช.อัคราเร่งขับเคลื่อน

การปลูกข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดพะเยาเพื่อขับเคลื่อนโครงการปลูกข้าวหลากสี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการผลิตข้าวในพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้รับการดำเนินการโดยกรมการข้าว ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาพื้นที่นาข้าวในตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมืองพะเยา ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้และสัมผัสกับอัตลักษณ์ของจังหวัดพะเยา

คุณค่าของข้าวหลากสีและความเป็น Super Food แห่งอนาคต

ข้าวหลากสีที่ปลูกในโครงการนี้มีลักษณะพิเศษเนื่องจากเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูงที่สุดในโลก จัดว่าเป็น Super Food แห่งอนาคต ซึ่งมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่ดีเยี่ยม อีกทั้งข้าวชนิดนี้ยังมีใบที่มีสีสันหลากสี ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมแปลงนาข้าวที่สวยงาม

การปลูกข้าวหลากสีแบบปลอดสารเคมีเพื่อความยั่งยืน

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการข้าวหลากสี คือ การปลูกแบบปลอดสารเคมี ทำให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตสามารถมั่นใจได้ว่าข้าวนี้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

การแปรรูปข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่า

นอกจากการปลูกแล้ว โครงการนี้ยังเน้นการแปรรูปข้าวหลากสี เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ โดยเมื่อข้าวหลากสีได้รับการแปรรูปแล้ว จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถผลิตและแปรรูปข้าวได้ด้วยตนเอง

การสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และยังมีการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรท้องถิ่น ภาควิชาการ และภาคธุรกิจ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ

แผนการปลูกข้าวหลากสีในเดือนตุลาคม 2567

กรมการข้าวได้วางแผนที่จะดำเนินการปลูกข้าวหลากสีในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่

ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา: แหล่งการเรียนรู้ด้านประมงในอนาคต

โครงการสำคัญอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการขับเคลื่อนในจังหวัดพะเยา คือ การสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกรมประมง โดยศูนย์นี้จะเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำ และเป็นแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำจืดและพันธุ์ไม้น้ำ เพื่อให้ความรู้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่สนใจในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ

แผนการจัดตั้งศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา จะถูกจัดตั้งขึ้นบริเวณสวนสาธารณะเทศบาลเมืองพะเยา โดยพื้นที่ที่จะใช้ในการจัดตั้งศูนย์นั้นมีขนาดประมาณ 7,000 ตารางเมตร และประกอบด้วยอาคารศึกษาและจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่อนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง และพื้นที่บริการ

วัตถุประสงค์ของศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา

วัตถุประสงค์หลักของศูนย์นี้คือการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำในท้องถิ่น รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับจังหวัดพะเยาในระยะยาว

การเชื่อมโยงโครงการข้าวหลากสีและศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

ทั้งสองโครงการนี้มีจุดเชื่อมโยงที่สำคัญ คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งภาคการเกษตรและการท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งที่สวนสมเด็จย่า 90 ริมกว๊านพะเยา ซึ่งมีโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา (อควาเรียม) พื้นที่ 7,000 ตารางเมตร งบประมาณ 208 ล้านบาท โดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ศูนย์ฯ ดังกล่าวมีลักษณะเดียวกับบึงฉวาก จ.สุพรรณบุรี ได้รับงบประมาณปี 2568 สามารถดำเนินการก่อสร้างภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำในการศึกษาการดำรงชีวิตและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำประจำถิ่นให้ยั่งยืน และเป็นสถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำจืด พรรณไม้น้ำ แก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เกษตรกร หรือผู้สนใจทั่วไป เป็นการสร้างความตระหนัก รับรู้ เห็นคุณค่า ของการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำจืด และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.พะเยา กรมประมงจึงมีความประสงค์ขอใช้พื้นที่สวนสาธารณเทศบาลเมืองพะเยา บริเวณสวนสมเด็จย่า 90พรรษา เพื่อก่อสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่าของแผ่นดิน อีกโอกาสหนึ่งด้วย

การขับเคลื่อนนโยบายการเกษตรของ รมช.อัครา

รมช.อัครา พรหมเผ่า ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายการเกษตรในจังหวัดพะเยา โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

การสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการในอนาคต

สำหรับโครงการศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา ได้มีการเสนอขอจัดสรรงบประมาณในปี 2568 เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างและพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นจริง โดยมีเป้าหมายที่จะให้ศูนย์นี้กลายเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดพะเยา

ความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในพะเยา

จังหวัดพะเยามีศักยภาพสูงในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยการนำทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ ซึ่งทั้งโครงการข้าวหลากสีและศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของ รมช.อัครา ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการสำคัญในจังหวัดพะเยา ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และการสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่เป็นแหล่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งทั้งสองโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

FAQs

  1. ข้าวหลากสีมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร? ข้าวหลากสีเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูงที่สุดในโลก และถือเป็น Super Food แห่งอนาคต

  2. โครงการปลูกข้าวหลากสีช่วยเกษตรกรอย่างไร? โครงการนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการผลิตข้าว และยังช่วยพัฒนาเกษตรกรให้สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง

  3. ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยามีวัตถุประสงค์อะไร? ศูนย์นี้มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำ และให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์น้ำจืด

  4. การปลูกข้าวหลากสีมีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? การปลูกข้าวหลากสีใช้วิธีการปลูกแบบปลอดสารเคมี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อิ๊งค์ ลุยนำทีมพรรคเพื่อไทยเดินสายช่วยหาเสียงนายก อบจ. พะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) นำทีมพรรคเพื่อไทยเดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดยมีประชาชนจำนวนมากมาต้อนรับและให้กำลังใจอย่างอบอุ่น ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะเดินทางต่อไปยัง จ.พะเยา เพื่อช่วยนายธวัช สุทธวงค์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พะเยา หมายเลข 2 หาเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2567

น.ส.แพทองธาร และทีมพรรคเพื่อไทย ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ณ วัดศรีโคมคำ อ.เมืองพะเยา พร้อมทักทายพี่น้องประชาชนชาวพะเยาที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่ามกลางฝนโปรยปราย ทั้งนี้ พระครูพิศาลสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง) ได้ให้พรแก่ทีมงานทุกคนด้วย

จากนั้น น.ส.แพทองธาร พร้อมด้วย นายธวัช และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังหน้าลานอนุเสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง อ.เมืองพะเยา เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยา โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอต้อนรับ แม้ฝนจะโปรยปรายแต่ก็ยังอยู่ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอให้นายธวัช ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา หมายเลข 2 จากพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกตั้งเพื่อกลับเข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชน ด้วยนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจของคนพะเยา และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจพะเยาให้เติบโตตั้งแต่ระดับชุมชนไปถึงระดับจังหวัด

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวพะเยาที่เข้ามาทักทายอย่างหนาแน่น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความขอบคุณและยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพรรคเพื่อไทยในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางไปพูดคุยกับผู้ประกอบการที่กาดหล่ายต้าในช่วงบ่ายต่อไป

การเลือกตั้งท้องถิ่นใน จ.พะเยา นี้ ยังสะท้อนถึงภาพรวมของการเมืองระดับประเทศที่พรรคเพื่อไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายการพัฒนาที่จะถูกผลักดันจากระดับท้องถิ่นจะเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง

บทบาทของการเมืองท้องถิ่นใน จ.พะเยา นั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมของรัฐบาลไทย เพราะการเลือกตั้งนายก อบจ. และการพัฒนาท้องถิ่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเมืองระดับประเทศ การพัฒนาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

คืบหน้าสร้าง ถนน อ.เทิง-อ.จุน เชื่อม 2 จังหวัด เชียงรายและพะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.1020 – บ้านกิ่วแก้ว อำเภอเทิง, จุน จังหวัดเชียงราย, พะเยา โดยปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 82 อยู่ระหว่างดำเนินงานชั้นโครงสร้างทาง งานก่อสร้าง

 
ผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีต งานก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และงานไฟฟ้าส่องสว่าง คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม 2567 นี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จจะสามารถใช้เป็นเส้นทางลัดจากอำเภอเชียงของมายังกรุงเทพมหานครโดยไม่ต้องผ่านตัวอำเภอภูซาง อำเภอเชียงคำ และอำเภอจุน ช่วยลดระยะทาง ได้ประมาณ 20 กิโลเมตร พร้อมสนับสนุนการเดินทางและการขนส่งภาคเหนือตอนบน ช่วยยกระดับการคมนาคม การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เนื่องจากจังหวัดพะเยาและจังหวัดเชียงรายมีเขตติดกับประเทศเมียนมา สปป.ลาว และสามารถเชื่อมต่อไปยังตอนใต้ของประเทศจีนได้ 
 
 
จึงใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อการขนส่งลำเลียงสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ตลอดจนประชาชนที่จะใช้เส้นทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ – ห้วยทราย) และจากท่าเรือเชียงของได้อีกด้วย โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.1020 – บ้านกิ่วแก้ว อำเภอเทิง, จุน จังหวัดเชียงราย, พะเยา มีระยะทางรวม 43.709 กิโลเมตร 
 
 
ในการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือการปรับปรุงขยายถนนเดิมในบริเวณทับซ้อนถนนสาย พย.4025 เดิมช่วง กม.ที่ 5+000 – 11+900 และ กม.ที่ 13+000 – 15+500 ระยะทางประมาณ 9.4 กิโลเมตร และการก่อสร้างถนนใหม่ บริเวณ กม.ที่ 0+000 – 5+000, 11+900 – 13+000 และ 15+500 – 43+709 รวมระยะทาง 34.309 กิโลเมตร 
 
 
ซึ่งก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 2 – 4 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำลาว 1 แห่ง สะพานคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดเล็ก 12 แห่ง รวมถึงโครงสร้างระบายน้ำ อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย สัญญาณไฟจราจร และไฟฟ้าส่องสว่างตลอดสายทาง โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,199 ล้านบาท
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News