Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยสู่เวทีโลก! 2 นักออกแบบเชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย “ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”

เชียงรายสู่เวทีแฟชั่นผ้าไทย 2 นักออกแบบดาวรุ่งจ่อขึ้นชิงชัยระดับภูมิภาค ภายใต้โครงการ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”  เมื่อ Soft Power เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย / ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — บนเส้นด้ายที่ทอดยาวระหว่าง “ราก” และ “โลก” ชื่อของเชียงรายถูกขีดเส้นใต้ขึ้นมาอีกครั้งในแผนที่แฟชั่นไทย เมื่อสองนักออกแบบรุ่นใหม่ของจังหวัด—กนกพร ธรรมวงค์ และ สมชัย ธงชัยสว่าง—เตรียมขึ้นเวทีรอบระดับภูมิภาคในโครงการ นักออกแบบผ้าไทย ใสให้สนุกรุ่นใหม่ 2568 (Young Designer 2025)” หลังฝ่าด่านการแข่งขันที่มีผู้ส่งผลงานจากทั่วประเทศจำนวนมาก สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังกระเพื่อมจากท้องถิ่นสู่เวทีใหญ่

ขณะที่สตูดิโอเล็ก ๆ ของนักออกแบบในตัวเมืองเชียงรายยังมีเสียงจักรเย็บผ้าและแสงไฟดวงเล็กโชยอุ่น—เรื่องเล่าของผืนผ้า “ลายจกสามดอก” ที่ถูกตีความใหม่ และแนวคิดความงามแบบ Wabi Sabi ที่เคยคว้ารางวัลระดับชาติ—กำลังจะถูกจับขึ้นกรอบเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความงาม หากคือบทพิสูจน์ว่า ผ้าไทย สามารถ “ใส่แล้วสนุก” และ “ขายได้จริง” ในโลกปัจจุบัน

ประกวดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพระราชดำริ จาก “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สู่ห้องทดลอง Soft Power

หัวใจของโครงการปีนี้ยังยึดโยงกับ พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงผลักดันแนวคิด ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ให้ผ้าไทยกลับมาเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และขยายผลสู่เศรษฐกิจฐานราก ผ่านคณะทำงานเชิงปฏิบัติการที่เปรียบประดุจ วิชชาลัยผ้าเคลื่อนที่/คาราวานนักออกแบบ” ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาชุมชน จนเกิดองค์ความรู้ต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือแนวโน้ม Thai Textiles Trend Book และเวทีแข่งขันของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เชื่อมชุมชนกับตลาดสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์

ในเชิงสถาบัน โครงการได้รับการขับเคลื่อนโดย กระทรวงมหาดไทย ผ่าน กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ทำให้การคัดสรรและสนับสนุนผลงานจากชุมชนสู่เวทีชาติเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนบางกิจกรรม สะท้อนโมเดลความร่วมมือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศผ้าไทยในระยะยาว.

ภาพรวมการแข่งขันปี 2568 ตัวเลขสะท้อนแรงกระเพื่อม

เวทีปีนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคัก—มีผู้ส่งผลงานรวม 735 ราย เข้าสู่รอบคัดเลือกที่จัดแถลงข่าวเปิดตัว ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ก่อนจะคัดเหลือ ตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค 4 ภาค รวม 80 ราย (ภาคละ 20) เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่รอบประเทศ, ปักหมุดสำคัญไว้ที่ รอบชิงชนะเลิศ 28 ตุลาคม 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม

สำหรับ ภาคเหนือ—เวทีของตัวแทนเชียงราย—การประกวดกำหนดจัด วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมมีเลีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นด่านชี้ชะตาเพื่อคัดเข้าสู่รอบระดับประเทศต่อไป

หมายเหตุ: สื่อบางแห่งรายงานว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป 94 ราย (นับจากการคัดกรองชุดแรก) ก่อนจะจัดสรรลงสู่เวทีภาค แต่ เอกสารทางการของรัฐบาลระบุกรอบแข่งขันระดับภูมิภาค 80 ราย (ภาคละ 20) จึงอาจเกิดความแตกต่างเชิงเทคนิคจากขั้นตอนคัดกรองและการสรุปตัวเลขในแต่ละช่วงเวลา

ในฝั่งรางวัล กรอบรางวัลตามเอกสารประชาสัมพันธ์ทางการ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ 200,000 บาท, รองชนะเลิศ 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับสอง 75,000 บาท และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล ๆ ละ 40,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันสะท้อน แรงจูงใจเชิงคุณค่าทั้งตัวเงินและเวทีพัฒนาอาชีพ ที่ชัดเจน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านองค์ความรู้และโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์หลังเวทีแข่งขัน

เชียงรายส่งสัญญาณจาก “ราก” สองดีไซเนอร์–สองตัวตน–หนึ่งเป้าหมาย

แม้แต่ละภูมิภาคจะส่งตัวแทนขึ้นเวทีจำนวนจำกัด แต่เรื่องเล่าจากเชียงรายปีนี้โดดเด่นในเชิง “อัตลักษณ์ + ความร่วมสมัย” อย่างน่าจับตา

  • กนกพร ธรรมวงค์ (รหัสผลงาน N67 ตามข้อมูลที่วงการแฟชั่นท้องถิ่นเผยแพร่) เลือกหยิบ ลายจกสามดอก มาเป็นวัตถุดิบทางความคิด แล้วพัฒนาเป็นแนวทางร่วมสมัยที่ “สนุกและใส่ได้จริง” โดยให้ความสำคัญกับการ ทอและการย้อมสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวโน้มแฟชั่นยั่งยืน โลกออนไลน์เคยเห็นผลงานเธอผ่าน โชว์ผ้า/วิดีโอแนะนำงานชุมชน ซึ่งปรากฏแนวทาง “วิจิตรลายจกสามดอก” ชัดเจน.
  • สมชัย ธงชัยสว่าง (รหัส N72 ตามลำดับการประกวดที่วงการออกแบบกล่าวถึง) โดดเด่นจากผลงานแนวคิด Wabi Sabi ที่เคยพาเขาคว้ารางวัลระดับชาติ (SACIT AWARD 2021) ด้วยภาษาการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง—สะท้อนความงามของ “ความไม่สมบูรณ์อันเป็นธรรมชาติ”—แล้วนำมาผสานกับโครงสร้างและผิวสัมผัสของผ้าไทยอย่างลงตัว ทุนทางความคิดที่พิสูจน์มาแล้ว ทำให้เขาถูกจับตาในฐานะผู้เล่นที่พร้อมต่อยอดสู่เวทีภูมิภาค

ทั้งคู่คือภาพแทนของ “ท้องถิ่นที่ต่อกับโลก”—คนหนึ่งยืนบนฐานชุมชนและการย้อมธรรมชาติ อีกคนทำให้แนวคิดร่วมสมัยเชื่อมกับภูมิปัญญาผืนผ้า—และพร้อมพิสูจน์ว่า แฟชั่นผ้าไทย อาจไม่ใช่เพียงพิธีการหรือความทรงจำอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ประกวดทำไมเวทีนี้สำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก

ความต่างของ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุก” เมื่อเทียบกับเวทีแฟชั่นสากล คือ วัตถุประสงค์ ที่ต้องการ “พลิกผ้าไทยให้กลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน” มากกว่าการทำคอลเลกชันโชว์อย่างโดดเดี่ยว โครงสร้างการแข่งขันจึงตั้งอยู่บนการ เชื่อมชุมชน–ดีไซเนอร์–ตลาด อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรงบันดาลใจลวดลาย, การเลือกเส้นใย/ย้อมสีที่ยั่งยืน, การออกแบบแพตเทิร์นให้ใส่ง่าย/ผลิตซ้ำได้, ไปจนถึงการสื่อสารแบรนด์และการเข้าถึงช่องทางจำหน่าย

ขุมพลัง Soft Power อยู่ตรงนี้—เมื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบองค์ความรู้ใน Thai Textiles Trend Book และคำแนะนำจากคณะทำงานลงไปทดลองจริงกับชุมชน ต้นทุนทางวัฒนธรรม จึงถูกแปรรูปเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกัน การนำเวทีประกวดกระจายไปยัง 4 ภูมิภาค ก็ช่วยให้ การเดินทางขององค์ความรู้ ไม่ติดอยู่ในเมืองหลวง แต่ไหลกลับไปสู่แหล่งผลิตผ้าอันหลากหลาย ทำให้การพัฒนาเกิด “วงจรป้อนกลับ” ที่ยั่งยืนกว่าเวทีประกวดทั่วไป

เส้นทางสู่เวทีใหญ่ กำหนดการที่ต้องรู้

  • รอบระดับภาคเหนือ: 30 สิงหาคม 2568 ที่ โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่
  • รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ: 28 ตุลาคม 2568 ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ทั้งสองหมุดหมายคือด่านสำคัญที่นักออกแบบต้อง “แปลงสเก็ตช์ให้เป็นชุดจริง” และสื่อสารคอนเซ็ปต์ให้จับใจคณะกรรมการ/ผู้ชม ขณะที่เบื้องหลังคือการ จับมือกับช่างทอ/กลุ่มผู้ผลิต เพื่อสร้างต้นแบบที่ทั้งสวยและผลิตซ้ำได้—นี่แหละ บทพิสูจน์วัดฝีมือของแฟชั่นร่วมสมัยที่ต้องขายได้จริง

เวทีนี้ “ปั้นอาชีพ” ได้จริง

ปีก่อนหน้า นายรุจ กล้ำศรี คว้ารางวัลชนะเลิศ New Gen Young Designer 2024 พร้อมรางวัลตัวเงินและเครื่องมือทำงาน (เช่น จักรเย็บผ้า, แท็บเล็ต) ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเวทีนี้ที่ ไม่หยุดแค่ถ้วยรางวัล แต่ “มอบเครื่องมือ” ให้ต่อยอดอาชีพจริง ขณะเดียวกัน การได้รับการยอมรับจากเวทีที่อยู่ภายใต้พระราชดำริ ยังกลายเป็น ตราประทับความน่าเชื่อถือ ต่อแวดวงธุรกิจแฟชั่นและผู้บริโภค

คำถามเชิงนโยบาย ตัวเลข 735 ชี้อะไร?

ตัวเลขผู้สมัคร 735 ราย บอกเราว่า “แรงดึงดูด” ของผ้าไทยในหมู่คนรุ่นใหม่ยังสูง และ พื้นที่ให้ทดลอง (เช่น การให้ส่งสเก็ตช์/สตอรี่บอร์ดก่อน) ทำให้ ต้นทุนการเข้าร่วมต่ำ จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากได้ลองสนาม เมื่อคัดสรรเหลือ 80 ตัวแทนเข้าสู่เวทีภาค จะยิ่งเห็น คุณภาพเชิงไอเดียและการผลิต เด่นชัดขึ้น—นี่คือฟิลเตอร์ที่ทำให้ “ความสนุก” ขยับไปเป็น “ความจริงจังทางอาชีพ” อย่างมีขั้นตอน

ในแง่ระบบนิเวศ หากดู จุดหมายปลายทาง (ไอคอนสยาม) และ จุดสตาร์ต (โรงแรม/สถานที่จัดระดับพรีเมียม) ย่อมสื่อสารภาพลักษณ์ “แฟชั่นร่วมสมัยของไทย” ในเชิงสากล ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคเหนือที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฮับครีเอทีฟของภูมิภาค ก็ทำให้เวทีนี้ “อยู่ใกล้แหล่งผลิต” มากพอ—เกิดทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ผลิตจริงในคราวเดียว.

จากเวทีภาคเหนือ…สู่มูลค่าเพิ่มของชาติ

การที่เชียงรายมีชื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ถูกจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องของจังหวัดหนึ่ง หากคือหลักฐานว่า “ระบบนิเวศผ้าไทย” เริ่มทำงานในแบบที่ ภูมิปัญญา–ดีไซน์–ตลาด เดินไปด้วยกัน เมื่อเวทีระดับภูมิภาคเปิดโอกาสให้ ราก ทำความรู้จักกับ โลก ผ่านภาษาแฟชั่นร่วมสมัย เราจึงได้เห็น ลายจกสามดอก ที่ถูกแปลเป็นเสื้อผ้าใส่จริง และ ความงามแบบ Wabi Sabi ที่กลายเป็นจังหวะใหม่ของผิวผ้าไทย นี่คือ Soft Power ที่จับต้องได้—เริ่มจากหมู่บ้าน สู่ห้องตัดเย็บ ไปจนถึงรันเวย์ และท้ายสุด…สู่ ยอดขายและงานทำ ในชุมชน

เวที 30 สิงหาคม ที่เชียงใหม่ คือบททดสอบสำคัญของนักออกแบบเชียงราย และหากผ่านด่านนี้ พวกเขาจะมีนัดใหญ่ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม วันที่ 28 ตุลาคม โจทย์ไม่ใช่เพียงว่า “สวยแค่ไหน” หากต้องตอบให้ได้ว่า ใส่แล้วสนุก ขายได้จริง และคืนกำไรให้ชุมชน” มากเพียงใด—คำตอบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การเชื่อมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–ผู้ประกอบการ–หน่วยงานรัฐ ให้แน่นแฟ้นพอที่จะเปลี่ยน “ผืนผ้า” ให้กลายเป็น “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)
  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • Yu Jia Dong
  • พู่ววววว พู่
  • ผ้าไทยใส่สนุก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

นายกฯ หนุนผ้าไทย ใส่สนุก สงกรานต์นี้ อุดหนุนเลย

นายกฯ แพทองธาร ชู “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” รับสงกรานต์ 2568 ดัน Soft Power วัฒนธรรมไทย สร้างรายได้ชุมชนอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – บรรยากาศการเตรียมพร้อมเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสุขของคนไทยทั่วประเทศ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยให้เป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ณ ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีการจัดกิจกรรมภายใต้แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก

รัฐบาลหนุนผ้าไทยสู่ Sustainable Fashion ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

การเยี่ยมชมในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจาก นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานผ้าไทยจากกลุ่มผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าบาติก และผ้าลายพระราชทาน ที่ได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย ใช้วัสดุธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “วันนี้เราไม่ได้มองผ้าไทยแค่ในฐานะเครื่องแต่งกายอีกต่อไป แต่คือ Soft Power ที่มีคุณค่าทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างรายได้ กระจายโอกาสให้ถึงมือชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ห่างไกล”

ผ้าไทย = รายได้คนไทย เมื่อแฟชั่นเชื่อมต่อกับความยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันอุดหนุนผ้าไทย ไม่ว่าจะซื้อไว้ใส่เอง ใช้ในกิจกรรมประเพณีหรือมอบเป็นของขวัญให้ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทยและเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ

“ทุกบาทที่เราจ่ายไปกับผ้าไทย ไม่ใช่แค่การซื้อผ้า แต่คือการลงทุนในคุณค่าของชุมชน ทุนทางวัฒนธรรม และคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รากฐานของการพัฒนา

กลุ่มผู้ประกอบการที่นำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมในงาน ได้แก่

  • ศูนย์การเรียนรู้และออกแบบขวัญตา จ.หนองบัวลำภู
  • กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ จ.กาฬสินธุ์
  • กลุ่มยาริงบาติก จ.ปัตตานี

กลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงเป็นผู้ชนะจากการประกวดผ้าลายพระราชทานเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของความสำเร็จในการพัฒนาแบรนด์ท้องถิ่นไปสู่ตลาดระดับประเทศและสากล

ผ้าไทยใส่ให้สนุก” = ความงาม + ความภูมิใจ + ความยั่งยืน

แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงวัฒนธรรม แต่สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มุ่งให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงผ้าไทยได้ง่ายขึ้น ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมรูปแบบที่ทันสมัย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะในสำนักงาน ชุมชน หรือเทศกาล

การออกแบบที่ร่วมสมัย การใช้สีจากธรรมชาติ และการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นองค์ประกอบของแนวคิด “Sustainable Fashion” ที่ประเทศไทยกำลังผลักดันสู่เวทีโลก

Soft Power ที่เป็นมากกว่าวัฒนธรรม คือเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายผลักดัน Soft Power เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคชนบทที่มีทุนวัฒนธรรมอยู่มาก การพัฒนาเครือข่ายผ้าทอชุมชน จึงเป็นการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ทำลายรากเหง้าแห่งภูมิปัญญา

กรมการพัฒนาชุมชนระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศกว่า 12,400 กลุ่ม สามารถสร้างมูลค่ารวมกว่า 8,900 ล้านบาท/ปี และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7–9% ต่อปี หลังการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ

บทวิเคราะห์ ผ้าไทยในโลกเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีที่มาชัดเจนและมีความยั่งยืน ผ้าไทยไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่คือ “สินค้าเชิงวัฒนธรรม” ที่มีโอกาสขยายตลาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างกระแสเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์ในการ “ยกระดับผ้าไทย” ให้มีบทบาทในเวทีแฟชั่นระดับโลก โดยใช้สงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนไทยให้ความสำคัญกับการแต่งกายพื้นถิ่น เป็นเวทีผลักดันให้ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศ: 12,407 กลุ่ม (ข้อมูลจากกรมการพัฒนาชุมชน, มี.ค. 2568)
  • มูลค่าการจำหน่ายผ้าไทยในประเทศ ปี 2567: ประมาณ 8,900 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของยอดขายผ้าไทยหลังการส่งเสริมจากรัฐ: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7–9% ต่อปี
  • ประชาชนที่ซื้อผ้าไทยเป็นของขวัญช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567: กว่า 2.3 ล้านคน (จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม ม.ราชภัฏเชียงใหม่)
  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าที่เข้าร่วมงานแสดงที่ทำเนียบรัฐบาล 8 เม.ย. 2568: มากกว่า 30 กลุ่มจาก 20 จังหวัด
  • ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยในงานครั้งนี้ (เบื้องต้น): รวมมากกว่า 1.2 ล้านบาท (จากข้อมูลกรมการพัฒนาชุมชน ณ วันจัดงาน)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
  • สมาคมส่งเสริมผ้าไทยแห่งประเทศไทย
  • สำนักข่าวทำเนียบรัฐบาล
  • รายงานนโยบาย Soft Power สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดต่าง ๆ
  • ข้อมูลโครงการ Thailand Textile Sustainable ปี 2566
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยใส่สนุก มมท.เชียงรายรณรงค์ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายส่งเสริมผ้าไทย “ใส่ให้สนุก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สืบสานภูมิปัญญา

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์สวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวันผ่านโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” โดยมุ่งสร้างความตระหนักในคุณค่าของผ้าพื้นถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าไทย พร้อมผลักดันให้ผ้าไทยเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้นำสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยอำเภอแม่ลาว ลงพื้นที่จัดกิจกรรมรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ณ บ้านแม่ต๊าก หมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะผ้าไทย และการสร้างอัตลักษณ์ที่สง่างามในแบบไทยร่วมสมัย

ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านภูมิปัญญา

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มีเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ประกอบการผ้าพื้นถิ่นทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจ โดยในกิจกรรมที่จัดขึ้น ณ ตำบลบัวสลี ได้มีการสาธิตการพิมพ์ลายผ้าด้วยเทคนิค Eco Print ซึ่งใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ มาสร้างลวดลายเฉพาะตัวบนผืนผ้า เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสืบสานภูมิปัญญาชุมชน

กลุ่มผ้าพิมพ์ลายตำบลบัวสลี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างของการรวมกลุ่มในระดับชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการจัดการ การผลิต และการสร้างเครือข่ายจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งช่วยให้ครัวเรือนในพื้นที่มีรายได้เสริมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

ขยายผลสู่ทุกอำเภอของเชียงราย

บ้านแม่ต๊ากในครั้งนี้ ถือเป็นพื้นที่ที่ 15 จาก 18 อำเภอที่คณะทำงานของชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงรายได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะ พูดคุย ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยมีเป้าหมายให้ทุกอำเภอในจังหวัดเชียงรายมีส่วนร่วมในโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” อย่างทั่วถึงภายในปี 2568

นางสินีนาฏ ทองสุข กล่าวว่า “การส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยไม่ใช่เพียงแค่การแต่งกายให้สวยงาม แต่เป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย การเคารพต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการสร้างรายได้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง”

ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย สมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่ลาว ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว ท้องถิ่นอำเภอแม่ลาว พัฒนาการอำเภอแม่ลาว ตลอดจนผู้นำชุมชน อาทิ กำนันและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลบัวสลี ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

นอกจากการเรียนรู้เทคนิคการพิมพ์ผ้าแล้ว ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอ ผ้าพิมพ์ลาย เครื่องแต่งกายพื้นถิ่น และของที่ระลึกจากชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย

ด้านผู้สนับสนุนโครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” มองว่าเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและเหมาะสมต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังผันผวน อีกทั้งยังช่วยให้ประชาชนมีความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง

ขณะที่อีกฝ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วน แสดงความคิดเห็นว่า ควรมีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วม และควรเน้นการสร้างตลาดรองรับที่ยั่งยืนมากกว่าการรณรงค์เพียงระยะสั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สามารถนำไปใช้ประกอบการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป

แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมผ้าไทย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าพื้นเมืองมากกว่า 8,000 กลุ่มทั่วประเทศ สร้างรายได้รวมกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีการผลิตและจำหน่ายผ้าไทยสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยในประเทศ

เฉพาะในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนกลุ่มทอผ้าและพิมพ์ผ้ากว่า 360 กลุ่ม ครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ โดยกลุ่มที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มทอผ้าไทลื้อ กลุ่มผ้าชาติพันธุ์อาข่า และกลุ่มผ้า Eco Print ตำบลบัวสลี ซึ่งต่างได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ และการเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนกลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยในประเทศไทย (ปี 2567): มากกว่า 8,000 กลุ่ม
  • รายได้รวมจากอุตสาหกรรมผ้าไทยในปี 2567: ประมาณ 2,500 ล้านบาท
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวนกลุ่มผ้าพื้นถิ่น: มากกว่า 360 กลุ่ม (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2567)
  • สัดส่วนผ้าไทยที่ผลิตในภาคเหนือ: ร้อยละ 41.5 ของตลาดผ้าไทยทั้งประเทศ (กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปี 2567)

ทัศนคติแบบเป็นกลาง

จากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แม้จะมีข้อเสนอแนะบางส่วนเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาและการขยายผลในรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในระดับชุมชน

โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / สมาคมแม่บ้านมหาดไทย / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย / กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ลาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

แฟชั่นผ้าไทยเชียงราย ดีไซน์ใหม่ สร้างสรรค์สู่สากล

เชียงรายจัดประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ประจำปี 2568

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดงาน การประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2568” เพื่อส่งเสริมการใช้ผ้าไทยและพัฒนาตลาดสินค้าแฟชั่นเชิงสร้างสรรค์ โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย

ส่งเสริมผ้าไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญา

การจัดงานในครั้งนี้อยู่ภายใต้ โครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อ

  • สนับสนุนการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเป็น มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
  • ส่งเสริมและสืบสาน มรดกภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ให้คงอยู่ต่อไป
  • กระตุ้นให้ภาครัฐ เอกชน เยาวชน และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจในการอนุรักษ์ผ้าไทย

นักออกแบบและช่างฝีมือร่วมส่งผลงานเข้าประกวด 15 ผลงาน

การประกวดครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก ดีไซน์เนอร์ นักออกแบบ ช่างทอผ้า ช่างเย็บผ้า และผู้ประกอบการในท้องถิ่น ที่ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้น 15 ผลงาน โดยผลงานที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปจัดแสดงใน งานแสดงแบบแฟชั่นและกิจกรรมสาธิตภูมิปัญญาผ้าทอ ระหว่างวันที่ 19 – 21 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

เชียงรายเมืองแฟชั่นผ้า” การยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมือง

จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มี ความโดดเด่นด้านสิ่งทอพื้นเมือง โดยเฉพาะ ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าทอมือที่เป็นเอกลักษณ์ ของชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • ผ้าทอลื้อ จากอำเภอเชียงของ
  • ผ้าทอไทใหญ่ จากอำเภอแม่สาย
  • ผ้าปักลาหู่ และผ้าม้ง จากชุมชนชาติพันธุ์บนดอย

การจัดประกวดแฟชั่นผ้าไทยในครั้งนี้เป็น โอกาสสำคัญที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมผ้าทอในเชียงราย ให้ก้าวไกลสู่ตลาดที่กว้างขึ้น รวมถึง การเชื่อมโยงภูมิปัญญากับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมืองในประเทศไทย

  • อุตสาหกรรมสิ่งทอในไทยมีมูลค่าตลาด กว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)
  • ตลาดแฟชั่นผ้าทอพื้นเมืองมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี โดยเฉพาะตลาดสินค้า Eco Fashion และ Sustainable Fashion (ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ)
  • การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยในปี 2567 มีมูลค่า ประมาณ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีตลาดหลักคือ จีน สหรัฐฯ และยุโรป (ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์)
  • ปัจจุบัน กว่า 80% ของผู้บริโภคไทยสนใจเสื้อผ้าที่มีอัตลักษณ์พื้นเมืองและผ้าทอมือ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสนับสนุนสินค้าที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลจาก TCDC – ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ)

แหล่งอ้างอิง

  • กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
  • สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • กระทรวงพาณิชย์
  • ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC)

การจัดงานประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทยครั้งนี้ ถือเป็น ก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายให้กลายเป็น “เมืองแฟชั่นผ้าพื้นเมือง” ที่สามารถเชื่อมโยง วัฒนธรรม งานฝีมือ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ให้เติบโตไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัดอบรมผ้าไทย อนุรักษ์มรดกภูมิปัญญา สู่รายได้

อบรมผ้าไทยเชียงราย ดีไซเนอร์ร่วมออกแบบแฟชั่นโชว์

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาผ้าไทย เปิดอบรมพัฒนาอัตลักษณ์ผ้าถิ่นสู่ตลาดเชิงสร้างสรรค์

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ ผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย และการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าของเชียงรายในเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้ โครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในกิจกรรม อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2568ห้องสุดดี 3 โรงแรมเอ็ม บูทีค รีสอร์ท เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเป็นมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และ สืบสานมรดกภูมิปัญญาการทอผ้าให้คงอยู่ต่อไป ตลอดจนกระตุ้นความสนใจให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เด็ก เยาวชน และประชาชนร่วมกัน อนุรักษ์และส่งเสริมผ้าไทย ผ้าถิ่น และผ้าชาติพันธุ์ ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

ดึงกลุ่มนักออกแบบ-ผู้ประกอบการต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าเชียงราย

สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย นักออกแบบ ดีไซเนอร์ ช่างทอผ้า ช่างเย็บผ้า ผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไป จำนวน 50 ราย ที่เข้าร่วมอบรมเพื่อ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาผ้าท้องถิ่นเชียงรายให้ก้าวสู่ตลาดเชิงสร้างสรรค์ รวมถึง การต่อยอดสู่การประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568โรงแรมเอ็ม บูทีค รีสอร์ท เชียงราย

เชียงรายเตรียมจัดแสดงแฟชั่นโชว์-สาธิตภูมิปัญญาผ้าไทย

นอกจากนี้ ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมอัตลักษณ์ผ้าถิ่นเชียงราย ยังมีการ จัดงานแสดงแบบแฟชั่น และกิจกรรมการสาธิตภูมิปัญญาการทอผ้า ระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ชั้น G ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยในงานจะมีการ จัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยจากกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่น พร้อมด้วยเวทีเสวนาเกี่ยวกับ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมผ้าไทยให้สอดรับกับตลาดสมัยใหม่

ยกระดับผ้าเชียงรายสู่ตลาดสากล

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มุ่งเน้นให้ มรดกภูมิปัญญาผ้าไทยกลายเป็นสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ผ่านกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงให้เข้ากับความต้องการของตลาดแฟชั่นปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “Creative Economy” หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่นำวัฒนธรรมมาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างรายได้และยกระดับอุตสาหกรรมผ้าไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดสากล

เชียงรายในฐานะจังหวัดที่มีอัตลักษณ์ผ้าถิ่นและผ้าชาติพันธุ์ที่โดดเด่น จึงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการผสมผสาน ลวดลายผ้าแบบดั้งเดิมเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดแฟชั่นและการออกแบบยุคใหม่

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ กลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่น มีความเข้าใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าสู่ ตลาดการค้าและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE