Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายก นก” ลุยเอง! อบจ.เชียงรายเสริมแกร่งป้องกันน้ำท่วม เร่งเตรียมพร้อมรับมือพายุ

อบจ.เชียงราย “นายก นก” ลงพื้นที่เทิง เร่งมอบบิ๊กแบ็ค-สร้างทางเบี่ยง สั่งเตรียมพร้อมเต็มสูบรับมือ “พายุวิภา”

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ลงพื้นที่เชิงรุก ตอบโจทย์ภัยพิบัติ: อบจ.เชียงราย-ผู้นำท้องถิ่นเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเทิง กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าการเตรียมรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนปีนี้ เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย หรือ “นายก นก” เดินหน้านำทีมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งจัดการสถานการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยและมีแนวโน้มสร้างฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ

เร่งมอบบิ๊กแบ็ค – เสริมแนวป้องกันชุมชนเวียงเทิง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายก นก พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง ได้แก่ นายอาทิตย์ รู้ทำนอง (เขต 1), นายสุชัด เสนคำ (เขต 2), นายประจวบ แก้วข้าว (เขต 3) และเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านตั้งข้าว หมู่ 2 และหมู่ 14 ตำบลเวียง เทศบาลตำบลเวียงเทิง เพื่อมอบกระสอบบิ๊กแบ็คแก่ประชาชน โดยมีนายเอนก ปัญทะยม นายอำเภอเทิง และนายสิงห์ทอง หนุนนำศิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เป็นตัวแทนรับมอบ

นายก นก เปิดเผยกับประชาชนว่า “อบจ.เชียงราย ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในฤดูฝนนี้ เรามุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงได้เร่งมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม หวังว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตได้อย่างทันท่วงที”

กระสอบบิ๊กแบ็คที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ จะถูกนำไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำและเตรียมการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

ลุยสร้างทางเบี่ยง – รับมือปัญหาน้ำป่า “ลำน้ำหงาว”

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายก นก และคณะเดินทางต่อไปยังบ้านปางค่า หมู่ 8 ตำบลหงาว อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทางเบี่ยงขาดและชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้

อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักช่างเร่งนำเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการสร้างทางเบี่ยงชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการวางกระสอบบิ๊กแบ็คบรรจุทรายตลอดแนวตลิ่งลำน้ำหงาว ป้องกันการพังทลายและลดผลกระทบในระยะยาวต่อเส้นทางการสัญจรและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่าทางเบี่ยงใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2 วันนี้

นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในอำเภอเทิง เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ

 “อบจ.เชียงราย” เดินหน้าทำงานเชิงรุก สร้างความมั่นใจชาวบ้าน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอบจ.เชียงราย ที่สามารถเคลื่อนตัวและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม หลายประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ในระดับท้องถิ่น ได้แก่

  • การตอบสนองฉับไว: ทันทีที่มีรายงานผลกระทบ อบจ.เชียงรายสามารถจัดสรรและมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค รวมถึงนำเครื่องจักรกลลงพื้นที่ทันที เป็นการสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ประชาชนในยามวิกฤต
  • การเตรียมพร้อมล่วงหน้า: การมอบกระสอบบิ๊กแบ็คให้กับชุมชนเสี่ยงน้ำท่วม ช่วยให้ชาวบ้านมีเครื่องมือรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะมาถึง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดความเสียหาย
  • การแก้ปัญหาที่ตรงจุด: การสร้างทางเบี่ยงชั่วคราวหลังน้ำป่าหลาก ช่วยให้การเดินทางของชาวบ้านไม่สะดุด และลดผลกระทบในชีวิตประจำวัน
  • การสื่อสารเชิงบวกและสร้างขวัญกำลังใจ: คำมั่นของ “นายก นก” ที่ประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่า อบจ.จะไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความสามัคคีในชุมชน
  • การบูรณาการทุกภาคส่วน: ความร่วมมือระหว่างอบจ., สมาชิกสภา, นายอำเภอ, เทศบาลตำบล สะท้อนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

ข้อควรจับตาต่อไป

  • การซ่อมแซมถาวรในระยะยาวจำเป็นต้องวางแผนใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ
  • ต้องประเมินและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
  • การเสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมชุมชนให้พร้อมรับมือและช่วยเหลือตนเองในภาวะฉุกเฉิน จะทำให้เชียงรายสามารถรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

วิเคราะห์สถานการณ์

การดำเนินงานของอบจ.เชียงรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของผู้นำท้องถิ่นในการปกป้องและดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมุ่งเน้นทำงานเชิงรุกและบูรณาการทุกฝ่ายถือเป็นต้นแบบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่จะสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับประชาชนเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง
  • อำเภอเทิง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายลุยติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ยกระดับความปลอดภัย สร้างศูนย์จัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงรายลุยติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ยกระดับความปลอดภัย สร้างศูนย์จัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ ตอบโจทย์เชียงรายปลอดภัย

เชียงรายเดินหน้าสู่เมืองปลอดภัย รับมืออุทกภัยด้วยเทคโนโลยีทันสมัย

เชียงราย,วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 –  จังหวัดเชียงรายยกระดับมาตรการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัยที่เกิดซ้ำซากทุกปี ด้วยการนำร่องติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ในพื้นที่เสี่ยง พร้อมเร่งจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม

ลงพื้นที่จริงประเมินจุดติดตั้งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง

เวลา 13.30 น. วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย ร่วมทีมบุคลากรสำนักช่างและทีมวิจัย ลงพื้นที่สำรวจจุดติดตั้งเสาเตือนภัยอัจฉริยะในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย หนึ่งในพื้นที่ที่เคยเผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง เป้าหมายเพื่อประเมินจุดเสี่ยงและวางแผนติดตั้งระบบเตือนภัยให้ครอบคลุมพื้นที่วิกฤตมากที่สุด

เทคโนโลยีอัจฉริยะเสริมเขี้ยวเล็บการจัดการภัยพิบัติ

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ อบจ.เชียงราย ที่เลือกนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือหลักในการรับมือและบรรเทาสาธารณภัย โดยเสาเตือนภัยอัจฉริยะจะทำหน้าที่แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำท่วมและภัยธรรมชาติแบบเรียลไทม์ สามารถวัดระดับน้ำ ส่งสัญญาณเตือนและถ่ายทอดข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุมกลางและประชาชนในพื้นที่ผ่านหลายช่องทาง เช่น เสียง ไฟไซเรน และข้อความแจ้งเตือนออนไลน์ เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือและอพยพได้อย่างทันท่วงที

จัดตั้งศูนย์ PDOSS ศูนย์กลางข้อมูลและแผนฟื้นฟูครบวงจร

หัวใจของโครงการนี้ คือการจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ” (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูล รับ-ส่ง-วิเคราะห์สถานการณ์แบบเรียลไทม์ ทั้งการรับมือ ป้องกัน และฟื้นฟูผลกระทบหลังเกิดภัยพิบัติ ศูนย์นี้จะช่วยเชื่อมโยงการทำงานทุกหน่วยงาน ให้ประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร และตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ

เป้าหมายและผลลัพธ์ที่วางไว้

  • เพิ่มศักยภาพตอบสนองเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น
  • นำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ลดความเสียหายชีวิตและทรัพย์สิน
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย
  • สะสมข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟูและป้องกันภัยพิบัติระยะยาวอย่างยั่งยืน

ต้นแบบเมืองปลอดภัยในยุคภัยธรรมชาติถี่

จังหวัดเชียงรายถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการปรับตัวสู่ “เมืองปลอดภัย” ด้วยการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกและการใช้เทคโนโลยีเสริมแกร่งการป้องกันภัยพิบัติ ภูมิประเทศที่มีแม่น้ำหลายสายและพื้นที่ภูเขาทำให้มีความเสี่ยงเกิดอุทกภัยซ้ำซาก การติดตั้งเสาเตือนภัยอัจฉริยะช่วยให้ชุมชนมีเวลารับมือ เตรียมอพยพ หรือเคลื่อนย้ายทรัพย์สินได้ก่อนเหตุการณ์รุนแรง

ศูนย์ PDOSS ยังช่วยสร้างเครือข่ายข้อมูลเชื่อมต่อทุกภาคส่วน ทั้งการแจ้งเตือน การเก็บสถิติภัยพิบัติ และการฝึกซ้อมอพยพให้กับประชาชน ช่วยลดความสูญเสียและสร้างมาตรฐานใหม่ในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

ความท้าทายและสิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อ

ความสำเร็จของโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาระบบเตือนภัยให้พร้อมใช้งานเสมอ การฝึกซ้อมการอพยพและถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ และการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสและเข้าใจง่ายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบ

อบจ.เชียงรายกำลังปูทางให้จังหวัดก้าวสู่ต้นแบบการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ด้วยการผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับภูมิปัญญาชุมชน เชื่อมโยงภาครัฐกับประชาชนเข้าด้วยกัน พร้อมเป้าหมายสูงสุด “เชียงรายปลอดภัย” ท่ามกลางโลกที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • รายงานพิเศษภัยพิบัติและเทคโนโลยีเตือนภัย, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อุโมงค์ดอยหลวงเจาะทะลุฉลุย! เร็วกว่ากำหนด 19 เดือน ความหวังใหม่เชื่อมโลก

แสงแรกแห่งล้านนา” อุโมงค์ดอยหลวงทะลุฉลุย! รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ความหวังใหม่เชื่อมไทย-ลาว-จีน

เชียงราย, 8 กรกฎาคม 2568 – “ทะลุแล้ว…อีกหนึ่งความก้าวหน้า อีกขั้นของความสำเร็จ” เสียงแห่งความยินดีดังกึกก้องที่อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เมื่อการเจาะทะลุ (Breakthrough) อุโมงค์ขนาดมหึมาได้สำเร็จก่อนกำหนดถึง 19 เดือน ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะทางวิศวกรรม แต่คือแสงแห่งความหวังที่จะฉายส่องอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือของไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

อุโมงค์ดอยหลวง สัญลักษณ์แห่งศักยภาพไทย ก้าวข้ามความท้าทายทางธรณีวิทยา

อุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งมีความยาว 3,400 เมตร เป็นหนึ่งในสี่อุโมงค์หลักของโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือเส้นใหม่นี้ การก่อสร้างถือเป็นงานวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากภูมิประเทศและธรณีวิทยาบริเวณดังกล่าวเป็น หินภูเขาไฟและดินเหนียว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูงอย่าง Drill & Blast (เจาะและระเบิด) ร่วมกับการขุดด้วยเครื่องจักร (Excavator)

เดิมที การขุดเจาะและงานคอนกรีตภายในอุโมงค์ถูกประมาณการว่าจะใช้เวลาถึง 40 เดือน (3 ปี 4 เดือน) ทว่าด้วยศักยภาพของทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญชาวไทย รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้งานนี้สำเร็จได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึง 19 เดือน ณ เดือนมิถุนายน 2568 ความคืบหน้าโดยรวมของงานก่อสร้างอุโมงค์ดอยหลวงอยู่ที่ประมาณ 54% ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ 7%

“การเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงได้เร็วกว่ากำหนดถึง 19 เดือน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของบุคลากรไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์” นายอธิรัฐ กะตังค์ หัวหน้าโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กล่าว “นี่คือสัญญาณที่ดีว่าโครงการจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการในปี 2571 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคเหนือสู่ประตูการค้ากับลาวและจีน”

นอกจากนี้ โครงการยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและมาตรฐานสากล โดยมีการเสริมกำแพงโครงเหล็กและผนังคอนกรีต ติดตั้งแผ่นกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม รวมถึงระบบระบายน้ำที่ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกอุโมงค์ มีการศึกษาแนวการไหลของน้ำเพื่อรองรับน้ำป่าในฤดูฝนอย่างละเอียด และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ยังมีการจัดสร้าง ทางเชื่อมฉุกเฉิน (Cross Passages) จำนวน 14 จุด สำหรับการอพยพตามมาตรฐานสากลในทุกๆ ระยะ 240 เมตร

ความคืบหน้าภาพรวมแม้มีอุปสรรคแต่เดินหน้าไม่หยุด

จากข้อมูลล่าสุด (ณ เดือนมกราคม 2568) โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งมีระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.28 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากงบประมาณอนุมัติเบื้องต้น 85,845 ล้านบาท ในปี 2561) มีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 25% แม้ว่า ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะรายงานว่าภาพรวมโครงการยังล่าช้ากว่าแผนประมาณ 3.7% แต่ความสำเร็จในการเจาะอุโมงค์ดอยหลวงที่รวดเร็วกว่ากำหนดมาก แสดงให้เห็นถึงการเร่งรัดในงานโครงสร้างสำคัญที่มีความซับซ้อนสูง

สำหรับงานโครงสร้างสำคัญอื่นๆ:

  • อุโมงค์แม่กา (พะเยา): ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีความคืบหน้าประมาณ 17.8% และมีการจัดซ้อมแผนกรณีอุโมงค์ถล่มเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
  • งานระบบราง: คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2569 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571
  • สะพานและทางยกระดับ/ทางลอด: มีการนำเทคโนโลยีอย่าง Curved Precast Reinforced Concrete Railway Arch Culverts (BEBO) มาใช้ เพื่อความแข็งแรงและลดระยะเวลาการก่อสร้าง

ปมร้อนเวนคืนที่ดินโจทย์ใหญ่ที่ต้องคลี่คลาย

แม้การก่อสร้างจะคืบหน้าไปมาก แต่โครงการยังคงเผชิญกับประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การเวนคืนที่ดิน ซึ่งคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องมีการประชุมหารือเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาหลักคือ ข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเกี่ยวกับการประเมินค่าชดเชยที่ไม่เป็นธรรม โดยมีการเปรียบเทียบกับราคาการเวนคืนของกรมทางหลวงและโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการคิดราคา นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังได้ลงพื้นที่ประกาศเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืนในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชุมชนได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ท้องถิ่น ให้ความเห็นว่า “การแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินที่เหลืออยู่ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชนในระยะยาว หากปัญหานี้ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่ความล่าช้าในบางพื้นที่ ความท้าทายทางกฎหมาย และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ แม้ว่าการก่อสร้างทางกายภาพจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วในส่วนอื่นๆ ก็ตาม”

แสงสว่างทางเศรษฐกิจโอกาสมหาศาลสู่ล้านนาและภูมิภาค

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ไม่ใช่แค่เส้นทางคมนาคม แต่คือ กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาคเหนือตอนบน ด้วยประโยชน์และโอกาสที่หลากหลาย

  • กระตุ้นการค้าชายแดนและโลจิสติกส์ เส้นทางนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ จากไทยไปยัง สปป.ลาว, เมียนมา, และจีนตอนใต้ ผ่าน ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางถนน R3A (เชียงของ-โม่ฮาน-คุนหมิง) และรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรของไทย
  • ฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดเส้นทาง รถไฟจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้าถึงภาคเหนือตอนบนได้สะดวกสบายขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดรายได้และการจ้างงานในท้องถิ่น
  • ลดต้นทุนและเพิ่มขีดแข่งขัน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระยะไกล ทำให้สินค้าไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาด E-commerce ขนาดใหญ่ของจีนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างงานและกระจายรายได้ การก่อสร้างและการดำเนินงานโครงการจะสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างมหาศาล
  • โลจิสติกส์สีเขียว การขนส่งทางรางช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนถึง 6 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เชิงกลยุทธ์ปูทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

เพื่อให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และสร้างประโยชน์สูงสุด รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินงานเชิงรุกในหลายด้าน:

  1. เร่งรัดและแก้ไขปัญหาการก่อสร้าง วิเคราะห์ความล่าช้าเชิงลึกในแต่ละสัญญา และพิจารณากลไกแรงจูงใจหรือบทลงโทษผู้รับจ้าง เพื่อกระตุ้นให้งานเดินหน้าตามแผน รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ
  2. จัดการปัญหาเวนคืนที่ดินอย่างเป็นธรรม จัดตั้งช่องทางการสื่อสารที่โปร่งใสกับชุมชน ทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่าชดเชยให้สอดคล้องกับราคาตลาด และจัดทำแผนการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุม
  3. พัฒนาระบบป้องกันภัยธรรมชาติที่ยั่งยืน เร่งนำมาตรฐานระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงภัยในระบบรางไปปฏิบัติใช้ ติดตั้งระบบ “DRT Alert” เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ และจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
  4. ส่งเสริมการเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสริม เช่น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ (Dry Port) ผลักดันการเจรจาและประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในห่วงโซ่อุปทาน
  5. เตรียมความพร้อมของภาคส่วนในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่นควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ ส่งเสริมการท่องเที่ยวรอง พัฒนาทักษะแรงงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ความสำเร็จของการเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงเป็นเพียง “แสงแรก” ที่ส่องนำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองของภาคเหนือ การสานต่อโครงการให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอย่างเป็นธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงไทยสู่เวทีโลกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย
  • TEAM GROUP
  • ผู้รับจ้างโครงการ: กิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 2, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง MOU ยกระดับจัดการสาธารณภัย สร้างความปลอดภัยยั่งยืน

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง! ลงนาม MOU บูรณาการการจัดการสาธารณภัย ยกระดับความปลอดภัยให้ชาวเชียงราย

ก้าวย่างใหม่ของระบบป้องกันภัยพิบัติในเชียงราย

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในบรรยากาศของวันฝนพรำที่แฝงไว้ด้วยความหวัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนวงการบริหารท้องถิ่น นั่นคือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบูรณาการการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่คือการเริ่มต้นของยุคใหม่ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “เชียงรายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

จากโต๊ะประชุมสู่ความร่วมมือในภาคสนาม

จุดเริ่มต้นของ MOU ฉบับนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อม Table-Top Exercise (TTX) เพื่อจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินและเสริมสร้างทักษะการรับมือภัยพิบัติ โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแลกเปลี่ยนความรู้ การจำลองสถานการณ์ และการฝึกตัดสินใจภายใต้ความกดดัน ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าความร่วมมือแบบบูรณาการคือหัวใจสำคัญ

บรรยากาศของการประชุม TTX เปรียบเสมือน “สนามซ้อมรบ” ให้ทุกหน่วยงานได้ทดสอบความพร้อมและประสานงานจริง ตั้งแต่การเตรียมแผน การระดมทรัพยากร ไปจนถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประสบการณ์ที่ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ในวันนี้

ทีมเชียงราย” บนเส้นทางความปลอดภัย

การลงนาม MOU ฉบับนี้ เป็นการรวมตัวของพันธมิตรหลักในระบบการบริหารสาธารณภัยของจังหวัดเชียงราย ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ. 37)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)

การหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากรจากทุกหน่วยงาน ทำให้ระบบป้องกันภัยพิบัติของจังหวัดมีความแข็งแกร่งรอบด้าน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมเชิงรุก การเฝ้าระวัง การสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังเกิดภัย

อบจ.เชียงราย แกนกลางของระบบความปลอดภัย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เน้นย้ำบทบาทขององค์กรว่า “อบจ.เชียงราย คือศูนย์กลางประสานงานและขับเคลื่อนการบูรณาการทรัพยากรเพื่อประชาชน” โดยเป้าหมายคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนเชียงรายมีภูมิคุ้มกันภัยพิบัติทุกรูปแบบ ผ่านการสนับสนุนบุคลากร อุปกรณ์ และการฝึกอบรมต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดการภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของ ‘หน่วยใดหน่วยหนึ่ง’ แต่เป็นภารกิจของ ‘ทุกคน’ ที่ต้องทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง”

มิติของความร่วมมือบูรณาการสู่มาตรฐานระดับชาติ

สาระสำคัญของ MOU ฉบับนี้ ครอบคลุมมิติหลัก ดังนี้

  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและบทเรียน
    การแบ่งปันข้อมูลสภาพอากาศ แนวโน้มภัยพิบัติ และประสบการณ์รับมือในอดีต จะทำให้ทุกฝ่ายวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  2. การสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมือ
    บูรณาการบุคลากร ยานพาหนะ อุปกรณ์กู้ภัย และเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร
    จัดฝึกอบรม สัมมนา และฝึกซ้อมร่วมกันเป็นประจำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่ทันต่อเหตุการณ์
  4. กลไกการประสานงาน
    สร้างระบบประสานงานและการตัดสินใจที่รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน และทำให้การตอบสนองต่อภัยพิบัติมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลลัพธ์ของความร่วมมือจะทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

วิเคราะห์ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

การลงนาม MOU ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ สู่การบริหารจัดการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลที่คาดหวังในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่

  • ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย: ระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติจะมีความชัดเจน รวดเร็ว และเทียบเท่ามาตรฐานสากล
  • สร้างความมั่นใจให้ประชาชน: ประชาชนเชียงรายจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น ทราบวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติและได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  • พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น: การอบรมและฝึกซ้อมร่วมกันจะเสริมสร้างความรู้ความสามารถให้เจ้าหน้าที่ในทุกระดับ
  • ลดผลกระทบและความสูญเสีย: การประสานงานที่ดีจะช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ต้นแบบความร่วมมือ: เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ

ในอนาคต เราจะได้เห็นโครงการอบรมร่วม การพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยอัจฉริยะ และแผนเผชิญเหตุใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายปลอดภัย มั่นใจ สู่อนาคตที่เข้มแข็ง

“เชียงรายจะเป็นจังหวัดที่ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และพร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์” คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือในวันนี้

การลงนาม MOU ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นการเริ่มต้นของระบบความปลอดภัยที่บูรณาการอย่างแท้จริง “เชียงรายโมเดล” กำลังถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • รายงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งช่วยน้ำท่วม เปิดศูนย์ PREDOS

เชียงรายเร่งส่งต่อความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำป่าหลาก แม่เปา อ.พญาเม็งราย
อบจ.เชียงราย ผนึกกำลังท้องถิ่นและภาคีเครือข่ายวางแผนรับมือภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 4 กรกฎาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำโดยนางอทิตธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ. ลงพื้นที่มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลากในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากฝนตกต่อเนื่องเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

พิธีส่งมอบสิ่งของจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 เวลา 12.00 น. ณ ที่ว่าการอำเภอพญาเม็งราย โดยมีนายชูสวัสดิ์ สวัสดี นายอำเภอพญาเม็งราย ให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอภาพรวมของสถานการณ์และแนวทางการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่

ชื่นชมการประสานงานฉับไว หนุนระบบเตือนภัยทันท่วงที

นายอำเภอพญาเม็งราย กล่าวว่า “จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราได้เตรียมวางแผนล่วงหน้าในทุกมิติ ทั้งการเตรียมกำลังพลและเครือข่ายหน่วยงานต่าง ๆ ที่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ โดยเฉพาะ อบจ.เชียงรายและมูลนิธิต่าง ๆ ที่เข้าพื้นที่รวดเร็วมากทันทีหลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่นาที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบสนองเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ”

เขายังกล่าวถึงแผนฟื้นฟูหลังเกิดภัย อาทิ การสำรวจและเยียวยาความเสียหายในด้านชีวิตและความเป็นอยู่ เช่น เครื่องครัว เครื่องนอน รวมถึงบ้านเรือนและทรัพย์สินต่าง ๆ ตามระเบียบของกระทรวงการคลัง โดยมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและส่งเรื่องเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ

เปิดนโยบายศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ “PREDOS” รับมือภัยธรรมชาติระยะยาว

นางอทิตธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีว่า “เชียงรายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและมีภูมิประเทศซับซ้อน การเกิดน้ำป่าไหลหลากจึงเป็นสิ่งที่ต้องรับมืออย่างต่อเนื่อง ดังนั้น อบจ. ได้จัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ ‘PREDOS’ ซึ่งเป็นนโยบายหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่กักเก็บน้ำ แก้มลิง การสร้างระบบเตือนภัยร่วมกับ สสน. และการใช้ดาวเทียมของ GISTDA ในการเฝ้าระวังลุ่มน้ำต่าง ๆ”

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อร่วมสำรวจและวางแผนพัฒนาระบบระบายน้ำ รวมถึงการจัดทำข้อมูลร่วมกันผ่านระบบศูนย์กลาง ซึ่งจะถูกส่งต่อถึงระดับอำเภอและท้องถิ่นเพื่อดำเนินการอย่างทันที

เร่งฟื้นฟูพื้นที่และเยียวยาสุขภาพประชาชน

อบจ.เชียงรายยังได้ส่งเครื่องจักรกลเข้าพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2568 เพื่อเร่งขุดลอก ล้างดินโคลน และฟื้นฟูพื้นที่ ซึ่งใช้เวลาดำเนินการต่อเนื่องถึง 6 วัน โดยหลังจากเสร็จสิ้นจะทยอยย้ายเครื่องมือไปช่วยเหลือพื้นที่อื่นที่ประสบภัยเช่นกัน

ในส่วนของสุขภาพ อบจ. ยังจัดทีมจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด ลงพื้นที่ให้บริการด้านจิตวิทยา การดูแลสุขภาพ และการแจกจ่ายยาให้กับผู้ประสบภัยโดยตรง

ย้ำการทำงานแบบบูรณาการ-เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติอย่างครอบคลุม

นางอทิตธร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เราจะไม่หยุดแค่การบรรเทาทุกข์เฉพาะหน้า แต่ยังวางแผนระบบฟื้นฟู เยียวยา และป้องกันภัยพิบัติในอนาคตให้ครอบคลุมทั้งน้ำท่วมและปัญหาอื่น ๆ เช่น PM2.5 โดยยกระดับศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติให้เป็นแบบ One Stop Service พร้อมดำเนินการร่วมกับกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ เช่น ปภ., ชลประทาน, เกษตร ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที”

สถานการณ์ยังคงต้องติดตามใกล้ชิด – มีผู้สูญหายจากน้ำป่าหลาก

แม้การช่วยเหลือจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและครอบคลุม แต่จากรายงานของผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ยังพบว่ามีผู้สูญหายจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยและทีมค้นหายังคงปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องในการค้นหาร่างผู้สูญหาย ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของทุกภาคส่วนในช่วงเวลานี้

สรุปสถานการณ์ (ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2568)

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบ: ตำบลแม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
  • สาเหตุ: น้ำป่าไหลหลากจากฝนตกหนักต่อเนื่อง
  • การดำเนินการ: อบจ.เชียงรายส่งทีม เครื่องจักร สิ่งของช่วยเหลือ ลงพื้นที่ทันที
  • มาตรการระยะยาว: จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการ (PREDOS)
  • ประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง: การค้นหาผู้สูญหาย และการฟื้นฟูระบบน้ำ-สุขภาพในชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ที่ว่าการอำเภอพญาเม็งราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพัฒนาภาคพลเรือน อบจ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำท่วมหนัก ประปาเริ่มจ่ายน้ำช่วยเหลือประชาชน

แม่สายฟื้นตัวจากอุทกภัย: การประปาฯ และหน่วยงานท้องถิ่นระดมช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย ที่เริ่มทยอยจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมความหวังที่ชุมชนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การระดมกำลังจากกรมทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และหน่วยงานในพื้นที่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาความเดือดร้อนและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในยามวิกฤต

ฝนกระหน่ำและสายน้ำที่โหมกระพือ

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนาที่ยังคงเทน้ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านปิยะพร และชุมชนใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มสังเกตเห็นระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำ รวมถึงในฝั่งเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายรับน้ำปริมาณมหาศาลจนเกินกว่าพนังกั้นน้ำจะรับไหว ไม่นาน น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมถนน พื้นที่ลุ่มต่ำ และบ้านเรือนของประชาชนอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อน้ำท่วมขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตลาดสายลมจอย และบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและตะกอนโคลนที่ไหลเข้าปิดกั้นระบบ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายต้องหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว เนื่องจากน้ำดิบมีความขุ่นสูงเกินกว่าที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้ ความหวังของประชาชนในพื้นที่เริ่มริบหรี่ ขณะที่หลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากแม่น้ำสาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักและน้ำจากลุ่มน้ำในเมียนมาไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเร่งหาทางแก้ไขเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน

การระดมกำลังช่วยเหลือและฟื้นฟู

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มรุนแรง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายและระดับชาติไม่รอช้าที่จะลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือทันที กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้การนำของนายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จัดเตรียมเครื่องจักรและกำลังพลเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สาย โดยนายนิทัศน์ สุดดีพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 มอบหมายให้นายศิริศักดิ์ เกษารัตน์ ผู้อำนวยการส่วนการจัดสรรน้ำที่ 1 ลำปาง นำทีมเจ้าหน้าที่ 15 คน พร้อมเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 2 ชุด เครื่องสูบน้ำขนาด 3 นิ้ว 3 ชุด และรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดวิกฤต เช่น ตลาดสายลมจอย ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่

ในขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ระดมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมทีมงาน นำกระสอบทราย 9,000 ใบ รถบรรทุกน้ำ 4 คัน รวมถึงรถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำได้ 12,000 ลิตร และเครื่องสูบน้ำ 4 ชุด เข้าสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ อบจ.เชียงรายยังส่งรถไถ 1 คัน เพื่อช่วยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางในพื้นที่น้ำท่วม

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชน ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูระบบน้ำประปา หลังจากน้ำดิบในแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงจนไม่สามารถผลิตน้ำได้ในช่วงแรก เมื่อสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายและค่าความขุ่นลดลง ทีมงานของ กปภ.สาขาแม่สายสามารถเริ่มผลิตน้ำได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 และทยอยจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบท่อตั้งแต่เวลา 18.40 น. โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน กปภ.สาขาแม่สายออกแถลงการณ์ขออภัยในความไม่สะดวกและยืนยันความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูการให้บริการโดยเร็วที่สุด

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ร่วมกับนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ และทีมงาน พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินพนังกั้นน้ำ ส่งผลให้น้ำล้นผ่านกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กที่กั้นไว้ใต้สะพาน ไหลเข้าท่วมชุมชนริมน้ำอย่างรวดเร็ว ผู้ว่าฯ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารและแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว เทศบาลตำบลแม่สายได้รับการสนับสนุนกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจาก อบจ.เชียงราย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชน ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำเตรียมประสานงานกับหน่วยงานข้ามพรมแดนในเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสายและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

ความหวังและการฟื้นตัวของชุมชน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในอำเภอแม่สายเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลง หลังจากฝนหยุดตกและเครื่องสูบน้ำทำงานอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น บ้านปิยะพร และพื้นที่ใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มเห็นน้ำลดลงจากถนนและบ้านเรือน การกลับมาของระบบน้ำประปาจาก กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟื้นตัว

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย เช่น รถบรรทุกน้ำและกระสอบทราย ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “เราจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ภัยพิบัติ และจะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อให้แม่สายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะยาว หน่วยงานต่างๆ มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น การเสริมพนังกั้นน้ำและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ นอกจากนี้ ชุมชนในแม่สายจะได้รับการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอย เพื่อให้สามารถกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การระดมเครื่องจักร กำลังพล และทรัพยากรจากกรมทรัพยากรน้ำ อบจ.เชียงราย และ กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยลดผลกระทบและเร่งการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชน สร้างความเข้มแข็งในการรับมือภัยพิบัติ
  3. การฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค การกลับมาของน้ำประปาภายใน 24 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแสดงถึงความพร้อมของ กปภ.สาขาแม่สายในการจัดการวิกฤต
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลและสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ไม่เพียงพอ พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กไม่สามารถต้านทานน้ำปริมาณมากได้ แสดงถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
  2. การพึ่งพาน้ำจากลุ่มน้ำข้ามพรมแดนnน้ำท่วมส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกหนักในเมียนมา ซึ่งต้องมีการประสานงานข้ามชาติเพื่อบริหารจัดการน้ำ
  3. ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำสายยังคงเสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องมีการยกระดับที่อยู่อาศัยและวางแผนผังเมืองใหม่
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะสั้น

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • ลงทุนในโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม สร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำที่ทนทาน และขุดลอกลำน้ำเพื่อเพิ่มความจุน้ำ
  • พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแจ้งเตือนน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวได้ทันท่วงที
  • ประสานงานข้ามพรมแดน สร้างความร่วมมือกับเมียนมาในการบริหารจัดการลุ่มน้ำสาย เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการและให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในแม่สาย
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในอำเภอแม่สายส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอยและชุมชนริมน้ำ
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าไทย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย.
  3. การสนับสนุนจากหน่วยงาน
    • ในปี 2567 หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลใช้เครื่องสูบน้ำกว่า 50 ชุดและกระสอบทรายกว่า 100,000 ใบในการจัดการน้ำท่วมทั่วภาคเหนือ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE