Categories
WORLD PULSE

ดูไบส่งสัญญาณ เชียงรายต้องทำอะไร เมื่อกาแฟเกอิชาแก้วละ 9,000 บาท สะเทือนเศรษฐกิจเหนือ

เชียงรายควรมองอย่างไร เมื่อกาแฟ “เกอิชา” ในนครดูไบ แก้วละ 9,000 บาท เขย่าโลก—และเขย่าจินตนาการเศรษฐกิจเมืองเหนือ

อาหรับเอมิเรตส์, 5 ตุลาคม 2568 – แก้วกาแฟหนึ่งแก้วอาจเป็นเพียงกิจวัตรยามเช้าของใครหลายคน แต่ “แก้วเดียว” ที่บูเลอวาร์ด ดาวน์ทาวน์ ดูไบ เมื่อปลายเดือนกันยายน ได้กลายเป็นพาดหัวข่าวโลก ร้าน Roasters เสิร์ฟกาแฟที่บันทึกโดย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ว่าเป็น “กาแฟแก้วที่แพงที่สุดในโลก” ลูกค้าจ่าย 2,500 ดีแรห์ม หรือราว 9,000 บาท เพื่อชิมเมล็ดพันธุ์หายาก “เกอิชา (Geisha)” จากฟาร์มดังของปานามา ชงด้วยวิธี V60 และเสิร์ฟในแก้วคริสตัลแกะสลักสไตล์เอโดะอย่างประณีต พร้อมขนมหวานที่เข้าคู่กัน

บนผิวน้ำสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นดอกไม้และผลไม้เปรี้ยวบาง ๆ ของเกอิชากระทบจมูก—ไม่เพียงสร้างประสบการณ์รสชาติ หากยังส่งสัญญาณเศรษฐกิจที่ดังไกลถึงภูเขาทางเหนือของไทย เพราะในขณะเดียวกัน จังหวัด เชียงราย กำลังพัฒนาศักยภาพกาแฟพิเศษอย่างจริงจัง และเริ่มปลูก เกอิชา ในระดับทดลอง โดยมี ดอยตุง เป็นหนึ่งในพื้นที่ปลูกที่ถูกกล่าวถึง แม้ผลผลิตยังน้อยและจำหน่ายได้เฉพาะในจังหวัด

แก้วเดียวที่สะท้อน “พีระมิดมูลค่า” ของกาแฟพิเศษ

เพื่อคว้าเกียรติยศครั้งนี้ Roasters เพิ่งประมูลเมล็ดเกอิชา 20 กิโลกรัม ในงาน Best of Panama 2025 ด้วยราคา 604,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20 ล้านบาท) —ตัวเลขที่ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟทั้งโลกหันมามองว่า “คุณค่า” ของกาแฟไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่คุณภาพ เรื่องเล่า แหล่งที่มา และพิธีกรรมการเสิร์ฟ

เมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาในเชียงรายวันนี้ ช่องว่างมีให้ “ไล่จับ” อย่างชัด

  • เกรด Quality Commercial : 250–330 บาท/กก.
  • Specialty Grade : 400–600 บาท/กก.
  • Variety Specialty Grade : 800–3,000 บาท/กก.

แม้ช่องว่างดูห่างไกลจากระดับ “ประมูลโลก” แต่ก็สะท้อน เพดานการเติบโต ที่ยังเหลือพื้นที่อีกมาก หากเชียงรายยกระดับทั้งเกษตรกรรม (สายพันธุ์–การดูแลสวน) การแปรรูป (โปรเซส) มาตรฐานคัปปิ้ง (cupping) และ “ศิลปะการเล่าเรื่อง” ให้ครบ

“การได้รับการรับรองจากกินเนสส์ เป็นการเฉลิมฉลองความทุ่มเทของทีมงาน และสะท้อนภาพลักษณ์ของดูไบในฐานะปลายทางประสบการณ์กาแฟระดับโลก” — คอนสแตนติน ฮาร์บุซ, ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Roasters (อ้างอิงแถลงข่าวร้าน)

คำพูดนี้มีค่าไม่เฉพาะกับดูไบ แต่ยังเตือนใจเมืองกาแฟทั่วโลกว่า “ปลายทางกาแฟ” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณภาพ–พิธีกรรม–การสื่อสาร ถูกบูรณาการให้เป็นหนึ่งเดียว

เชียงรายยืนอยู่ตรงไหนในแผนที่กาแฟพิเศษ

เชียงรายมีต้นทุนธรรมชาติหลายประการ—ระดับความสูง เหมาะกับอาราบิก้า, อุณหภูมิกลางคืนต่ำ, ความหลากหลายสายพันธุ์ (คาติมอร์, คาทูร่า, บูร์บง และเริ่มทดลอง เกอิชา), รวมถึงวัฒนธรรมกาแฟที่ฝังตัวกับการท่องเที่ยวภูเขา ชา และศิลปะ

อย่างไรก็ดี อายุของต้นกาแฟเกอิชา ในหลายแปลงยัง “อ่อนวัย” ทำให้ผลผลิตจริงยังน้อย นี่คือช่วงเวลาที่จังหวัดต้อง “ลงทุนในความอดทน”—ดูแลสวนอย่างถูกหลัก, เลือกโปรเซสที่ชูจุดเด่นสายพันธุ์ (Washed, Honey, Anaerobic, Carbonic Maceration) และควบคุม Traceability ตั้งแต่ต้นน้ำถึงแก้ว เพื่อรองรับการประเมินคะแนนตามมาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ในวันหน้า

เมื่อกรอบเวลาธรรมชาติของกาแฟบอกว่า “ผลจริง” ของเกอิชาจะเริ่มมากขึ้นใน 2–3 ปีข้างหน้า หัวใจของยุทธศาสตร์ตอนนี้จึงต้องวางที่ การยกระดับทั้งห่วงโซ่ และ การสร้างอัตลักษณ์เชิงจังหวัด ไปพร้อมกัน

บทเรียนจาก “แก้วละ 9,000” คุณภาพ–บริบท–พิธีกรรม

กรณี Roasters แสดงให้เห็นว่าความแพงของกาแฟมิใช่มาจาก “เมล็ด” อย่างเดียว แต่เกิดจาก 3 องค์ประกอบที่หนุนกันเป็นวงกลม

  1. คุณภาพเมล็ดและเรื่องเล่าที่ตรวจสอบได้ – เกอิชาแหล่งปลูกระดับโลกอย่างฟาร์ม Hacienda La Esmeralda มีชื่อเสียงยาวนาน เรื่องเล่าและรางวัลสะสมทำให้ผู้บริโภค “ยอมจ่าย” เพื่อประสบการณ์ที่รับรองได้
  2. บริบทสถานที่ – เสิร์ฟในย่านไอคอนิกของโลกอย่างดาวน์ทาวน์ดูไบ ทำให้ “การดื่ม” กลายเป็นพิธีกรรมทางสังคม
  3. พิธีกรรมการเสิร์ฟ – การเลือกแก้วคริสตัลเอโดะ การชงแบบ V60 อย่างประณีต การให้ Tasting Card กับลูกค้า—ทั้งหมดนี้คือ “ส่วนต่อขยายของรสชาติ” ที่ผู้ดื่มสัมผัสได้

เชียงรายจึงควรถามตัวเอง เรามีคุณภาพเมล็ด—ใช่; เรามีบริบทสถานที่—ใช่ (ภูเขา ไร่ชา ศิลปะ); เรามีพิธีกรรม–เรื่องเล่า–มาตรฐานการเสิร์ฟที่ยกระดับ “ทุกแก้ว” ให้มีความหมายหรือยัง?

แผนยกระดับ “จากไร่สู่แบรนด์โลก” ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์แบบเป็นขั้นตอน

เพื่อเปลี่ยน “โอกาส” ให้เป็น “ระบบนิเวศกาแฟ” ที่ยั่งยืน ขอนำเสนอโรดแมปที่เป็นกลาง และทำได้จริงในกรอบเวลา 3 ปี

ระยะที่ 1: วางมาตรฐานต้นน้ำ–กลางน้ำ (ปีที่ 1)

  • คลัสเตอร์เกอิชาเชียงราย รวบรวมแปลงทดลองใน ดอยตุง–แม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง ตั้งคณะทำงานด้านพันธุ์–เกษตรกรรม–โรคพืช ร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่
  • โปรโตคอลโปรเซส ออกคู่มือวิธีแปรรูป 2–3 แบบที่ชูจุดเด่นกลิ่นดอกไม้–ซิตรัสของเกอิชา พร้อม SOP ควบคุมอุณหภูมิ–เวลา–ความสะอาด
  • Traceability & Microlot สร้างระบบรหัสประจำล็อต (Lot ID), ระบุพิกัดสวน–ความสูง–โปรเซส, เปิดทางให้ “ไมโครล็อต” คุณภาพสูงต่อรองราคาได้ยุติธรรม

ระยะที่ 2: สร้างแบรนด์–ตั้งราคาบนคุณค่า (ปีที่ 2)

  • แบรนด์ร่ม “Geisha Chiang Rai” ใช้เป็นตราร่วม (co-brand) ให้ผู้ผลิตที่ผ่านมาตรฐาน พร้อมเล่าเรื่องภูมิประเทศ–ผู้ปลูก–ชุมชน
  • งานคัปปิ้งประจำปี เชิญ Q-graders/คัพเทสเตอร์จาก SCA และคั่วชื่อดัง ประเมินคะแนนอย่างโปร่งใส แล้วเผยแพร่สกอร์—ยกระดับความเชื่อถือสากล
  • ดีไซน์พิธีกรรมการเสิร์ฟ ออกแบบ เซ็ตพิธีชงเชียงราย” (กา–ดริปเปอร์–แก้วฝีมือช่างท้องถิ่น) เป็นเอกลักษณ์ พร้อม Tasting Card ไทย–อังกฤษ–จีน–อาหรับ

ระยะที่ 3: เปิดเส้นทาง “Coffee Tourism” (ปีที่ 3)

  • Route สายเกอิชา ทริป 2–3 วัน เชื่อมไร่–ห้องคั่ว–แกลเลอรีศิลปะ–สปา–ที่พักสไตล์วิลล่าพร้อมครัว ให้ผู้มาเยือนชิมหลายโปรเซส–หลายความสูง
  • อีเวนต์ลานหมอก จัดเทศกาลคัปปิ้งหน้าหนาว ควบคู่งานศิลป์–ดนตรี–ชิมอาหารเหนือ–ยูนนาน สร้างคอนเทนต์ระดับนานาชาติ
  • ช่องทางพรีเมียม คัดล็อต “ไมโครล็อตเรือธง” เข้าประมูลพิเศษ/จับคู่กับบาร์กาแฟชั้นนำในดูไบ โดฮา ริยาด มุมไบ โตเกียว—ตลาดกำลังซื้อสูงที่ “ยอมจ่ายเพื่อประสบการณ์”

โลจิสติกส์และตลาด เมื่อ “การบิน–การท่องเที่ยว” กลายเป็นคูณสองของกาแฟ

แนวโน้มเปิดเส้นทางบินใหม่ในอนาคตจากอินเดียสู่เชียงราย (เช่น สายการบินเครือข่ายใหญ่) หากเกิดขึ้นจริง จะช่วยเชื่อมตลาด กำลังซื้อสูง เข้าถึง “หมุดหมายกาแฟ” ได้สะดวก ขณะเดียวกัน ตลาดตะวันออกกลาง เป็นกลุ่มที่พิสูจน์แล้วว่าพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์พรีเมียม—กรณี Roasters คือสัญญาณชัด การทำตลาดร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในเซกเมนต์ “Luxury/Experience Seekers” จึงควรถูกวางเป็นยุทธศาสตร์ร่วม

อย่างไรก็ดี ข่าวชิ้นนี้ขอย้ำความเป็นกลาง เส้นทางบินใหม่ยังขึ้นกับการอนุมัติความพร้อมของสนามบิน ดีมานด์จริง จึงควรมองเป็น “โอกาสเชิงกลยุทธ์” ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติ ณ วันรายงาน

เมื่อเทียบกับ เกอิชาไมโครล็อตโลก ที่ราคาประมูลอาจแตะ 1,000–3,000 ดอลลาร์/กก. ในบางปี ช่องว่าง ราคาต่อกิโล–ราคาต่อแก้ว” ของเชียงรายยังเปิดกว้าง—นี่คือพื้นที่ของการลงทุนในคุณภาพ–มาตรฐาน–แบรนด์

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร คุณภาพไม่เสถียรการคาดหวังที่เร็วเกินไป

  1. อายุสวน – เกอิชาต้องการเวลา 3–4 ปีจึงให้ผลเต็มที่ ความเร่งรีบออกสู่ตลาดอาจทำให้คุณภาพแกว่งและเสียชื่อในระยะยาว
  2. โรคพืช–สภาพอากาศ – การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ต้องลงทุนความรู้ระบบสวนที่ยืดหยุ่น
  3. ความคาดหวังราคา – ต้องสื่อสารว่าราคาประมูลระดับโลกคือ “ปลายพีระมิด” ไม่ใช่ฐานตลาด ทั้งจังหวัดควรมุ่ง ยกระดับค่าเฉลี่ย ก่อนหวัง “สถิติโลก”

เสียงจากวงการ บทเรียนเชิงบริการหน้าบาร์

เหตุการณ์ดูไบยังสอนเราถึง ศิลปะการเสิร์ฟ บาริสต้าผู้ชำนาญ, การควบคุมอุณหภูมิ, เวลาการชง, การเลือกแก้ว, การเล่าเรื่อง—ทั้งหมดคือ “องค์ประกอบรสชาติ” ที่ประเมินเป็นเงินได้จริง เชียงรายจึงควรเร่ง

  • อบรม Q-grader/บาริสต้า/โรสเตอร์ รุ่นใหม่
  • สร้าง มาตรฐานบริการสองภาษา (ไทย–อังกฤษ และเสริมจีน/อาหรับในเส้นทางพรีเมียม)
  • ร่วมมือกับโรงเรียน/มหาวิทยาลัยท้องถิ่น เปิดหลักสูตรสั้นด้านกาแฟพิเศษ–บริการหรู

ภาพใหญ่ ทำไมเชียงราย “ไม่ควรรอ”

เพราะ “หน้าต่างโอกาส” เปิดอยู่—โลกเพิ่งหันกลับมาคุยถึงแก้วเดียวในดูไบ ราคา 9,000 บาท และถามหาที่มาของเมล็ดเกอิชา ขณะเดียวกัน ผู้เดินทางรุ่นใหม่มองหาประสบการณ์ที่ลงรายละเอียด—จากไร่สู่แก้ว จากเรื่องเล่าสู่พิธีกรรม เมืองที่มีทั้งภูเขา ศิลปะ และวัฒนธรรมกาแฟอย่างเชียงรายคือผู้เล่นธรรมชาติในสนามนี้

ถ้า วันนี้ เราบ่มเพาะคุณภาพในสวน วางมาตรฐานในโรงคั่ว สร้างพิธีกรรมหน้าบาร์ และเล่าเรื่องให้ถูกที่ถูกเวลา อีก 2–3 ปี ข้างหน้า เมื่อผลเกอิชารอบแรกทยอยออก—เชียงรายย่อมพร้อมยืนในแผนที่กาแฟพิเศษของโลก ไม่ใช่ด้วย “แก้วเดียวที่แพงที่สุด” แต่ด้วย ระบบนิเวศกาแฟ ที่ยั่งยืน เป็นธรรม และภาคภูมิใจร่วมกันทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Guinness World Records – บันทึกสถิติ “Most expensive cup of coffee” ที่ร้าน Roasters นครดูไบ เมื่อเดือนกันยายน 2568 และรายละเอียดการเสิร์ฟ
  • Best of Panama (BoP) 2025
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • Mae Fah Luang Foundation / โครงการพัฒนาดอยตุง)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

กาแฟ-ศิลปะผสานพลัง! เชียงรายพลิกโฉมสู่ “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ต้องรอหน้าหนาว

เชียงราย เมื่อจุดแข็ง “กาแฟ-ศิลปะ” พร้อมสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดปี

จุดเปลี่ยนของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ต้องรอหน้าหนาว เมื่อศักยภาพที่มีอยู่พร้อมถูกผสานเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

เชียงราย 2 ตุลาคม 2568 — ในช่วงเวลาที่เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังแข่งขันกันดึงดูดนักเดินทาง จังหวัดเชียงรายกลับยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ คำถามที่วงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกำลังตั้งขึ้นคือ เชียงรายจะยังคงเป็น “เมืองที่ต้องรอ” เทศกาลใหญ่หรือฤดูหน้าหนาวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ หรือจะพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน

การวิเคราะห์จากนักสื่อสารและผู้สังเกตการณ์ในแวดวงศิลปวัฒนธรรมชี้ให้เห็นว่า คำตอบอยู่ที่การผสานพลังระหว่างสองจุดแข็งที่เชียงรายมีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือ นั่นคือ “วัฒนธรรมกาแฟและคาเฟ่” กับ “ชุมชนศิลปินและศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งหากนำมาบูรณาการอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายกลายเป็น “เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาค

มรดกกาแฟที่ไม่เพียงแค่เครื่องดื่ม

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองที่มีร้านกาแฟมากมาย แต่คือแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพที่มีชื่อเสียงระดับสากล โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้าจากชุมชนชาวเขาบนพื้นที่สูง ชาวอาข่าในพื้นที่เชียงรายได้พัฒนาฝีมือการปลูก แปรรูป และคั่วกาแฟจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

จากข้อมูลของวิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยผาหมี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนอาข่าที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน และมีกำลังการผลิตกาแฟกะลาหลักแสนกิโลกรัมต่อปี โดยราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำงานในธุรกิจกาแฟของชุมชนเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาและการต่อยอดสู่รุ่นถัดไป

ความสำเร็จของกาแฟเชียงรายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ไร่กาแฟ แต่ขยายตัวสู่วงการคาเฟ่ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ จนมีคำกล่าวในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “เชียงรายมีร้านกาแฟเยอะกว่าร้านข้าว” การออกแบบคาเฟ่ในเชียงรายมักผสมผสานระหว่างความเป็นร่วมสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น บรรยากาศที่เป็นมิตร และการใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่นคุณภาพสูง ทำให้คาเฟ่ในเชียงรายไม่ใช่แค่สถานที่ดื่มกาแฟ แต่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ

ศิลปินและศิลปะที่รอคอยเวที

ขณะที่วงการกาแฟกำลังเติบโต อีกหนึ่งจุดแข็งของเชียงรายที่ไม่ควรมองข้ามคือชุมชนศิลปินที่มีความหลากหลายและมีพลัง เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังระดับชาติ และยังคงดึงดูดศิลปินรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายมาสร้างฐานการทำงานในพื้นที่ ด้วยต้นทุนการครองชีพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และชุมชนศิลปินที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ศิลปินเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาขาดพื้นที่แสดงผลงานอย่างต่อเนื่อง แกลเลอรีศิลปะในเชียงรายมีจำนวนจำกัด และส่วนใหญ่เปิดให้จัดแสดงเฉพาะเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ศิลปินรุ่นใหม่หรือศิลปินที่ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ขาดโอกาสในการนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ

จุดนี้เองที่เป็นโอกาสทองสำหรับการบูรณาการระหว่างวงการกาแฟและศิลปะ คาเฟ่ที่มีอยู่มากมายในเชียงรายสามารถกลายเป็น “แกลเลอรีเคลื่อนที่” หรือพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและเปิดกว้างมากกว่าแกลเลอรีแบบดั้งเดิม การจิบกาแฟท่ามกลางงานศิลปะไม่ใช่แนวคิดใหม่ในระดับสากล แต่ในบริบทของเชียงราย มันคือโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและยั่งยืน

บทเรียนจาก Thailand Biennale 2023 ความสำเร็จที่ไม่ควรจบ

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าการผสานกาแฟและศิลปะในเชียงรายสามารถประสบความสำเร็จได้ คือ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 งานศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “The Open World” (เปิดโลก)

งานครั้งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินกว่า 60 คนจาก 21 ประเทศ และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่ที่หลากหลายทั่วจังหวัดเชียงราย รวมถึงคาเฟ่ โรงแรม ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบ Site-specific หรืองานศิลปะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะ

ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 5 เดือน สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ คาเฟ่และพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต่างได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ได้จางหายไปหลังงานสิ้นสุดลง คาเฟ่และพื้นที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามปกติโดยไม่มีการจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป เพราะหากสามารถรักษาโมเมนตัมและพัฒนาให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีได้ เชียงรายจะไม่ต้องรองาน Biennale ครั้งต่อไปอีก 2 ปี แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์เป็นเมืองที่มีศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันได้

ยุทธศาสตร์ “เมืองศิลปะคาเฟ่”: จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

การสร้าง “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ใช่เพียงแค่ให้ศิลปินนำผลงานมาแขวนในร้านกาแฟเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน รูปแบบที่เป็นไปได้ประกอบด้วยหลายมิติ:

  1. สร้างย่านศิลปะคาเฟ่และเส้นทางศิลปะ

การรวมกลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ต่างๆ ของเชียงรายให้เป็น “ย่านศิลปะคาเฟ่” โดยแต่ละร้านจะมีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้แสดงผลงาน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม “เส้นทางศิลปะคาเฟ่” ได้เหมือนการเดินชมแกลเลอรี แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่า พร้อมทั้งได้ดื่มด่ำกับกาแฟคุณภาพสูงของเชียงรายไปในตัว การสร้างแผนที่หรือแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการในแต่ละคาเฟ่จะช่วยให้นักท่องเที่ยววางแผนการเยี่ยมชมได้สะดวกขึ้น

  1. โครงการ Art Residency ในคาเฟ่

การสร้างโครงการ Art Residency หรือการให้ศิลปินพักอาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้คาเฟ่เป็นฐานการทำงาน ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับบริบทของคาเฟ่หรือชุมชนรอบข้าง และนำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าชมได้เห็น

รูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยือนคาเฟ่ ที่จะได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน เรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ และเข้าใจบริบททางศิลปะมากขึ้น การมีศิลปินประจำจะทำให้แต่ละคาเฟ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเรื่องราวที่น่าติดตาม

  1. ขายประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า

นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ “ซื้อกาแฟดี” หรือ “ดูงานศิลปะ” แยกกัน แต่พวกเขาต้องการ “ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย” ที่สามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและสร้างความประทับใจที่ยาวนาน

การจิบกาแฟชั้นดีที่มีเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปจากชุมชนชาวเขา ภายใต้ผลงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวของเชียงราย หรือการได้พูดคุยกับศิลปินเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นและบอกต่อ

  1. ใช้ความสำเร็จดึงดูดการลงทุน

ในยุคที่นักลงทุนระมัดระวังและต้องการเห็น “หลักฐานความสำเร็จ” (Proof of Concept) ก่อนตัดสินใจ การแสดงให้เห็นว่าโมเดลเมืองศิลปะคาเฟ่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้จริงคือกุญแจสำคัญ

เมื่อมีคาเฟ่บางร้านเริ่มประสบความสำเร็จจากการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น และมีรายได้ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้เจ้าของคาเฟ่รายอื่นๆ เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้ยังสามารถใช้ดึงดูดการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสนับสนุนศิลปะทั้งในและต่างประเทศ

การลงทุนจากภายนอกจะช่วยขยายขนาดของตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการจัดการนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรมบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับเมืองศิลปะอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแข็งแกร่ง

กรณีศึกษา: “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ปรากฏว่ามีศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังทำให้มันเป็นจริงอยู่แล้ว นิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพที่ว่า

นิทรรศการนี้จัดโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ที่ย้ายมาอยู่เชียงรายได้ 5 ปี และมีความสนใจในงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับ NANZI (Nanzi Meechumna) ศิลปินรับเชิญ โดยใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านกาแฟที่ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

แนวคิดหลักของนิทรรศการคือการสำรวจ “สภาวะจิตภายใน” ของผู้คนในยุคที่โซเชียลมีเดียครอบงำชีวิต ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์บนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพของร้านคาเฟ่ งานชิ้นนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งสะท้อนถึงการคัดกรองสิ่งที่ถูกมองเห็นและสิ่งที่ถูกซ่อนบนโลกออนไลน์

วัชราอธิบายว่า งานนี้ต้องการ “ชวนแง้มประตูเข้ามา ‘ส่อง’ พื้นที่ ข้าวของ และผู้คน ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนความหมายอยู่ในระหว่างบรรทัด” โดยสำรวจผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ยังเป็นปัจจัยในการกำหนดวิธีคิด วิธีมอง และการแสดงออกของผู้คน

นิทรรศการนี้สะท้อนประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในสังคมร่วมสมัย เช่น ความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย การผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความสำเร็จ ความงาม และมาตรฐานทางสังคม รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาคุณค่าในตัวเองท่ามกลางความคาดหวังภายนอก

ที่สำคัญคือรูปแบบการจัดแสดงแบบ Site-specific ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ทำให้ผู้เข้าชมไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟ แต่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของตัวเองผ่านบรรยากาศที่คุ้นเคย

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ซึ่งการเปิดเข้าชมฟรีและเวลาที่ยาวนานตลอดวันทำให้งานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมศิลปะเท่านั้น ภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม “Mangos(on)teen” ที่เพิ่มมิติความสนุกสนานและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

แม้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่จะดูมีศักยภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืนยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ

ความเข้าใจและการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจ หลายเจ้าของคาเฟ่อาจยังไม่เห็นคุณค่าของการนำศิลปะเข้ามาในพื้นที่ หรือกังวลว่าจะเพิ่มต้นทุนหรือสร้างความยุ่งยาก การสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หรือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การขาดระบบสนับสนุนและประสานงาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรหรือเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างคาเฟ่ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ การมีหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการตารางการแสดง ประสานงานระหว่างศิลปินและเจ้าของพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ และจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและยั่งยืนมากขึ้น

การสร้างตลาดและผู้ชม การพัฒนาฐานผู้ชมที่เข้าใจและชื่นชมศิลปะร่วมสมัยต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบงานศิลปะบางประเภท การจัดกิจกรรมให้ความรู้ การพูดคุยกับศิลปิน หรือการจัด workshop ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น

ความยั่งยืนทางการเงิน ศิลปินต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคาเฟ่ก็ต้องการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนศิลปะและความยั่งยืนทางธุรกิจเป็นความท้าทาย การหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรศิลปะ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่อย่างแท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถบรรจุแนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เข้าในแผนการตลาดการท่องเที่ยวเชียงราย สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคาเฟ่ต่างๆ และประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรม การสร้างแคมเปญ “Chiang Rai: Where Coffee Meets Art” หรือคำขวัญที่คล้ายกันจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สามารถให้การสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณสำหรับโครงการศิลปะในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของศิลปินท้องถิ่นและการสร้างเครือข่ายกับศิลปินและองค์กรศิลปะในระดับชาติและนานาชาติ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การจัดทำป้ายบอกทางและข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมประจำปี เช่น “Chiang Rai Art & Coffee Festival” เพื่อรวมพลังและสร้างโมเมนตัม

สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเป็นแหล่งผลิตศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นพื้นที่ทดลองแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับคาเฟ่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นักศึกษาได้พื้นที่แสดงผลงานจริง และคาเฟ่ได้งานศิลปะที่สดใหม่และร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ

แนวคิดการผสานกาแฟและศิลปะเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายท่านชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมาเห็นสถานที่ แต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น การผสานกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวและอัตลักษณ์ของพื้นที่ คือการสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมที่นักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังมองหา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองว่า การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่น กาแฟที่มีเรื่องราวและบริบททางวัฒนธรรมจะมีมูลค่าสูงกว่ากาแฟธรรมดา และคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ศิลปะจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีจ่ายมากขึ้น

นักวิจารณ์ศิลปะบางท่านแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิด แต่ก็เตือนให้ระวังเรื่องการรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานศิลปะ การทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงการตกแต่งหรือเครื่องมือทางการตลาดโดยปราศจากเนื้อหาที่มีความหมายอาจทำให้โครงการสูญเสียคุณค่าในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการคัดสรรและดูแลคุณภาพของงานที่นำมาจัดแสดง

เปรียบเทียบกับเมืองต้นแบบในต่างประเทศ

การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล มีหลายเมืองที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เชียงราย

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมกาแฟและศิลปะริมถนน (Street Art) ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตรอกซอกซอยในเมืองเต็มไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตีและจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณภาพสูง ขณะที่คาเฟ่เล็กๆ มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม “ตรอกศิลปะ” พร้อมดื่มกาแฟคุณภาพสูงได้ในเวลาเดียวกัน เมลเบิร์นจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น แม้จะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสคาเฟ่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย หลายคาเฟ่ตั้งอยู่ในอาคารไม้เก่าที่ได้รับการบูรณะ และมีการจัดแสดงงานศิลปะหรือหัตถกรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ดื่มชาหรือกาแฟ แต่มาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน

พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งกาแฟและศิลปะอิสระ” โดยมีการสนับสนุนจากเทศบาลให้คาเฟ่และร้านค้าท้องถิ่นเป็นพื้นที่แสดงงานของศิลปินอิสระ มีกิจกรรม “First Thursday” ที่แกลเลอรีและพื้นที่ศิลปะต่างๆ เปิดให้เข้าชมฟรีในวันพฤหัสบดีแรกของทุกเดือน พร้อมกับคาเฟ่และบาร์ต่างๆ ที่มีการแสดงดนตรีสดและกิจกรรมทางศิลปะ

สิ่งที่เมืองเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ความต่อเนื่องและความเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การจัดงานใหญ่ๆ เป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ศิลปะและกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก การผสานศิลปะกับคาเฟ่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างเนื้อหาที่ “Instagrammable” หรือเหมาะกับการถ่ายรูปและแชร์บนโซเชียลมีเดีย

งานศิลปะที่น่าสนใจในพื้นที่คาเฟ่จะกระตุ้นให้ผู้มาเยือนถ่ายรูปและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเป็นการโปรโมตฟรีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แฮชแท็กเช่น #ChiangRaiArtCafe #CoffeeAndArt #ChiangRaiCulture สามารถสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตามกระแสเหล่านี้

นอกจากนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ หรือระบบ QR Code ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะและศิลปิน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนและทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับงานมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก็สะท้อนถึงปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียนี้เอง การที่งานศิลปะพูดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อจิตใจ ขณะเดียวกันก็อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเผยแพร่และดึงดูดผู้ชม คือความขัดแย้งที่น่าสนใจและสะท้อนความซับซ้อนของยุคสมัย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

หากเชียงรายสามารถพัฒนาเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ได้อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงบวกจะเกิดขึ้นในหลายมิติ

ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนในวงกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่เจ้าของคาเฟ่และศิลปิน แต่ยังรวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ช่างฝีมือ ธุรกิจที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนธุรกิจบริการอื่นๆ การมีนักท่องเที่ยวตลอดปีจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่มักเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล

ด้านสังคม จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปินรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำงานในบ้านเกิดโดยไม่ต้องย้ายไปเมืองใหญ่ ผู้คนในชุมชนจะมีโอกาสเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับชุมชนจะช่วยสร้างความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เน้นประสบการณ์มากกว่าการบริโภคมวลชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวที่มาเพื่อศิลปะและวัฒนธรรมมักใช้เวลาพำนักนานขึ้นและใช้จ่ายในชุมชนมากกว่า แต่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านักท่องเที่ยวแบบมวลชน

ก้าวต่อไป: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นจริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ระยะแรก (6 เดือนแรก): โครงการนำร่อง เริ่มจากการรวมกลุ่มคาเฟ่ที่สนใจประมาณ 5-10 ร้านในพื้นที่ใจกลางเมืองเชียงราย จัดหาศิลปินที่สนใจเข้าร่วม และสร้างตารางการจัดแสดงที่ชัดเจน จัดกิจกรรมเปิดตัวพร้อมประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สอง (ปีที่ 1-2): ขยายและพัฒนา หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ขยายไปยังคาเฟ่ในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ จัดกิจกรรมประจำปีเช่น Art & Coffee Festival และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อขอการสนับสนุน

ระยะที่สาม (ปีที่ 3 เป็นต้นไป): ยกระดับสู่มาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับเมืองศิลปะในต่างประเทศ เชิญศิลปินต่างชาติมาจัดแสดง และส่งศิลปินไทยไปแสดงในเมืองพี่เมืองน้อง พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมสำหรับบุคลากร และสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนซึ่งสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความต่อเนื่อง และคุณภาพ หากเชียงรายสามารถทำให้ศิลปะและกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของเมืองอย่างแท้จริง มันจะไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “วิถีเชียงราย” ที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เชียงรายไม่ต้องรออีกต่อไป

เชียงรายมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ที่มีชีวิตชีวาตลอดปี กาแฟคุณภาพสูงจากชุมชนท้องถิ่น คาเฟ่ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ศิลปินที่มีความสามารถและแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ความสำเร็จจาก Thailand Biennale ที่พิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ ส่องภาวะจิตภายใน: นิทรรศการที่สะท้อน “Soft Power” แห่งคาเฟ่ เพื่อเป็นการพิสูจน์แนวคิดนี้ การเคลื่อนไหวของศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความคิดที่สดใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเชียงราย ล่าสุดคือ นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์”

นิทรรศการนี้จัดแสดงโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ผู้ย้ายมาอยู่เชียงรายและสนใจงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับศิลปินรับเชิญ NANZI Nanzi Meechumna โดยใช้พื้นที่ของ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) เป็นพื้นที่ทดลอง

แก่นสารของงาน เป็นงานทดลองขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น บนชั้นสองของร้านกาแฟ ที่สำรวจ สภาวะจิตภายใน” ผ่านความสัมพันธ์บนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลและวาทกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดความคาดหวัง ความวิตกกังวล และการ นอยซ์” ภายในจิตใจ

  • งานทดลองกึ่ง Site-Specific: งานนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งเชื่อมโยงตัวตนบนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพในร้านกาแฟ
  • การเชื่อมโยงบริบท: สะท้อนความสัมพันธ์ของการกระทำที่ก่อให้เกิด ความนอยซ์” ที่ส่งคลื่นแทรกซ้อนไปในบริบทภายนอก พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมมองกลับเข้าสู่ภายในตัวเอง เพื่อสำรวจคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการตัดสินและความคาดหวังทางสังคม

นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์” จะจัดแสดงที่ OBOON Coffee House (ชั้นสอง) ตั้งแต่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 08.00 – 17.00 น. โดยมีการเปิดตัวในวันที่ 13 กันยายน เวลา 16.30 น. ซึ่งภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม Mangos(on)teen เปิดทำการอีกด้วย

การเกิดขึ้นของนิทรรศการเช่นนี้ในพื้นที่ของคาเฟ่ เป็นการตอกย้ำว่าเชียงรายมีศักยภาพในการเป็น เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่มีชีวิตชีวาด้วยตัวเอง การนำเสนอผลงานที่ลึกซึ้งและทันสมัยเช่นนี้ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างร้านกาแฟ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เชียงรายไม่ต้องรอให้ใครมาจุดไฟ แต่สามารถสร้างแสงสว่างให้ตัวเองได้ตลอดปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

หนีเมือง มาหาธรรมชาติ เชียงรายนำทัพกาแฟ-ชาไทย สู้ศึกนำเข้า

เชียงรายเปิดตัวงานกาแฟ-ชายิ่งใหญ่ สะท้อนการเติบโตตลาดกาแฟไทยท่ามกลางการพึ่งพานำเข้าเพิ่มขึ้น

เชียงราย, 26 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่ตลาดกาแฟโลกกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ผลิตท้องถิ่นและสร้างโอกาสทางธุรกิจในวงการกาแฟไทย

งานที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Escape into Nature – หนีเมือง มาหาธรรมชาติ” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 นี้ ไม่เพียงเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการในวงการกาแฟและชาของจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่กำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายในยุคปัจจุบัน

ตลาดกาแฟโลกเติบโตต่อเนื่อง แต่ไทยยังผลิตไม่เพียงพอ

ข้อมูลจากองค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization) ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคกาแฟทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การบริโภคกาแฟของโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี ขณะที่รายงานจากเว็บไซต์ Money Buffalo ระบุว่า ทั่วโลกมีการดื่มกาแฟเฉลี่ยประมาณ 2,250 ล้านแก้วต่อวัน และมีผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่มยอดนิยม แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย สถานการณ์การเติบโตของตลาดกาแฟในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า ในปี 2566 คนไทยบริโภคกาแฟรวมกันมากถึง 90,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่เพียงประมาณ 30,000 ตัน การเพิ่มขึ้นของการบริโภคถึง 3 เท่าในระยะเวลา 1 ทศวรรษนี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับกาแฟมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกลับผลิตกาแฟได้ไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยปริมาณการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45,000–50,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คนไทยบริโภค ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าการนำเข้ากาแฟพุ่งขึ้นแตะระดับกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่สำคัญในตลาดกาแฟไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตในประเทศ หากสามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ ก็อาจกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาวได้

อุตสาหกรรมกาแฟไทยเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกาแฟไทยกำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะการผลิตในประเทศที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้า ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องการกาแฟสดและกาแฟพิเศษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกาแฟในประเทศเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 3% โดยในปี 2565/66 มีการใช้เมล็ดกาแฟดิบในภาคอุตสาหกรรมถึง 93,551 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/63

ในส่วนของภาพรวมกาแฟโลกสำหรับปี 2024/25 การผลิตกาแฟทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.9 ล้านกระสอบ (ขนาด 60 กิโลกรัม) จากปีที่แล้วเป็น 174.9 ล้านกระสอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของผลผลิตในเวียดนามและอินโดนีเซีย การส่งออกทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในเวียดนามและอินโดนีเซียสามารถชดเชยปริมาณการส่งออกที่ลดลงจากบราซิลได้

การบริโภคทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.1 ล้านกระสอบเป็น 168.1 ล้านกระสอบ โดยบริโภคเพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ขณะที่สต็อกปลายปีคาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านกระสอบเหลือ 20.9 ล้านกระสอบ

เชียงรายจัดงานใหญ่ยกระดับผู้ผลิตท้องถิ่น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายในฐานะหนึ่งในแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟและใบชาชั้นเลิศของประเทศไทย ได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น

นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ว่า “จุดประสงค์สำคัญของงาน คือการรวมตัวของผู้ประกอบการร้านชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ โรงคั่ว ร้านต้นแบบ ไปจนถึงผู้ผลิตวัตถุดิบและแปรรูป เพื่อให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยน แรงบันดาลใจ และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยอัตลักษณ์ของท้องถิ่น”

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่ยังเป็นเวทีให้เกษตรกร ผู้ผลิต และคาเฟ่ท้องถิ่น ได้แสดงศักยภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ

ผู้ประกอบการท้องถิ่นโชว์ศักยภาพ

งานนี้มีผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้าร่วมจำนวนมาก โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนซ้าย โซนกลาง และโซนขวา ซึ่งแต่ละโซนมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน

ในโซนซ้าย มีร้านเด่นๆ เช่น กาแฟสมถะ (SAMATHA) จากบ้านผาอี้ อำเภอแม่สาย ที่ผลิตกาแฟอาราบิก้าคั่วพิเศษรสชาติเข้ม หอม เต็มบอดี้ พร้อมกลิ่นดินขึ้นและความละมุนของดอยผาฮิในทุกแก้ว และไร่รื่นรมย์เกษตรอินทรีย์ จากอำเภอเทิง ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปลอดสาร 100%

โซนกลางเป็นจุดตัดของรสชาติและความคิดสร้างสรรค์ โดยมี Ploysai Coffee Roaster ที่เริ่มต้นจากตึกแถวเล็กๆ สู่โรงคั่วระดับโกดัง มีเมล็ดให้เลือกกว่า 20 ชนิด และ Chillrista เจ้าของรางวัลสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย 2 ปีซ้อน ทั้ง Arabica และ Robusta

ส่วนโซนขวาเป็นแหล่งรวมกลิ่นอายคลาสสิกและแบรนด์ใหญ่ อาทิ กาแฟโบราณโกปี ที่นำเสนอกาแฟโบราณต้นตำรับและโอเลี้ยงยกล้อที่หอมหวานกลมกล่อม และ Café Doitung จากพระตำหนักดอยตุง พร้อมเมนู Iced Macadamia Nut Latte ที่หอมละมุนอย่างมีระดับ

กิจกรรมหลากหลายสร้างประสบการณ์ใหม่

งานนี้ไม่เพียงเป็นการจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมหลากหลายที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าชม ได้แก่ Camp Coffee Experience ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชมการสาธิตการใช้งานเครื่องชงกาแฟหลากหลายประเภท พร้อมเทคนิคจากบาริสต้ามืออาชีพ

Private Tea & Coffee Workshop ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลิ้มรสและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการชาและกาแฟ อาทิ The Roastery By Roj, สวรรค์บนดิน, One Tea At A Time, และ 22grams Coffee & Roastery

Campfire Moment ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ล้อมวงจิบชาและกาแฟท่ามกลางเสียงดนตรีในบรรยากาศอบอุ่นของแคมป์ไฟ และ Tasting Zone ที่เปิดประสบการณ์ชิมเครื่องดื่มชา-กาแฟขึ้นชื่อประจำเชียงรายแบบไม่อั้น

นอกจากนี้ยังมี Bakery & Snack Corner ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชิมและช้อปของหวาน-ขนมโฮมเมดจากร้านดังทั่วเชียงราย

เวิร์กชอปพิเศษสำหรับสมาชิก

สำหรับสมาชิก Central X จะได้รับสิทธิ์ Workshop เพ้นท์แก้วกาแฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ขณะที่สมาชิก The1 จะได้รับสิทธิ์ Workshop ดริปกาแฟ หรือ Sensory ฟรี ในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 เมื่อมียอดกิน/ช้อปในโซนพลาซาครบ 5,000 บาทขึ้นไป โดยจำกัด 20 สิทธิ์ตลอดแคมเปญ

โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมกาแฟไทย

การจัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคเอกชนและรัฐในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายจากการผลิตที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของการบริโภคกาแฟในประเทศไทยถึง 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศที่ยังมีที่ว่างให้เติบโตได้อีกมาก หากผู้ผลิตในประเทศสามารถพัฒนาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ

จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศ มีศักยภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทย โดยเฉพาะการเน้นคุณภาพและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งตรงกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ specialty coffee และ sustainable coffee

การรวมตัวของผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงใหญ่ในงานนี้ยังเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ และการยกระดับคุณภาพให้สามารถแข่งขันกับกาแฟนำเข้าได้ ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะของเกษตรกร และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

เชียงรายนำทางสู่อนาคตกาแฟไทย

งาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการจัดงานแสดงสินค้าทั่วไป แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ระดับสากล ผ่านการรวมตัวของผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @CentralChiangrai งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.30 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซนจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมกาแฟไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์กาแฟไทยในตลาดโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization)
  • เว็บไซต์ Money Buffalo
  • Euromonitor International
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CHIANGRAI COFFEE LOVER – CCL)
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

FAM Trip เชียงราย สร้างสรรค์ศิลปะจากธรรมชาติ

ศิลปินเชียงราย ร่วมสรรค์สร้างสรรค์งานศิลปะตามรอยเส้นทางชา-กาแฟ

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสมาคมขัวศิลปะ จัดกิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟ จากสวนสู่แก้วครั้งที่ 1 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย โดยมีศิลปินจากทั่วภาคเหนือเข้าร่วมกิจกรรม

ตามรอยเส้นทางชา กาแฟ สู่แรงบันดาลใจศิลปะ

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟ จากสวนสู่แก้วครั้งนี้ เป็นการนำศิลปินจากหลากหลายสาขา ทั้งจิตรกร นักแกะสลัก และช่างภาพ เดินทางไปยังแหล่งปลูกชาและกาแฟชั้นนำของจังหวัดเชียงราย เพื่อสัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมการปลูกชาและกาแฟอย่างใกล้ชิด และสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงความงดงามและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ และภูมิทัศน์ของจังหวัดเชียงราย

ศิลปินร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อประชาสัมพันธ์

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ศิลปินจะได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวเชียงราย ผลงานศิลปะที่เกิดจากการจัดกิจกรรมครั้งนี้ จะถูกนำไปจัดแสดงในงานเชียงรายดอกไม้งาม เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

เส้นทางชา กาแฟ สู่ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

ตลอดระยะเวลาของกิจกรรม ศิลปินจะได้สัมผัสกับกระบวนการผลิตชาและกาแฟตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพันธุ์ชาและกาแฟที่ปลูกในจังหวัดเชียงราย รวมถึงได้ชิมกาแฟและชาหลากหลายชนิด นอกจากนี้ ศิลปินยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับเกษตรกรผู้ปลูกชาและกาแฟ

กิจกรรม

กิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟ จากสวนสู่แก้วครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายในหลายด้าน ได้แก่

  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์: กิจกรรมนี้จะช่วยส่งเสริมให้จังหวัดเชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่มีศิลปะและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟ: ผลงานศิลปะที่เกิดจากกิจกรรมนี้ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟของจังหวัดเชียงราย
  • สร้างรายได้ให้กับชุมชน: กิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการท่องเที่ยว
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม: กิจกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. กิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟ จัดขึ้นเมื่อไหร่? กิจกรรมจัดขึ้นในวันที่ 11-12 ธันวาคม 2567
  2. มีศิลปินเข้าร่วมกิจกรรมกี่คน? มีศิลปินจากเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และพะเยา เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 35 คน
  3. ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นจะนำไปจัดแสดงที่ไหน? ผลงานศิลปะจะถูกนำไปจัดแสดงในงานเชียงรายดอกไม้งาม
  4. กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์หลักอะไร? วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย
  5. กิจกรรมนี้มีประโยชน์ต่อชุมชนอย่างไร? กิจกรรมนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พบกาแฟ-ชาคุณภาพ ล้านนาตะวันออกที่เชียงราย

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จับมือจัดงานเทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ร่วมกันจัดงาน “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟและชาในภูมิภาค พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่

งานแถลงข่าวจัดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ณ ร้านอาหารภูภิรมย์ สิงห์ปาร์ค อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากจังหวัดต่างๆ และสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมงาน

ศักยภาพของชาและกาแฟล้านนาตะวันออก

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพในการผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลผลิตที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้จึงเป็นการนำเสนอจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

เป้าหมายของการจัดงาน

  • ส่งเสริมการท่องเที่ยว: สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจ: สร้างเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจชาและกาแฟ
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์: ส่งเสริมให้ผู้ผลิตพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น
  • สร้างรายได้ให้ชุมชน: สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

ไฮไลท์ภายในงาน

  • การแสดงสินค้า: รวบรวมร้านค้าผู้ประกอบการชาและกาแฟกว่า 50 ร้านค้า มาจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์
  • การแข่งขันลาเต้อาร์ต: การแข่งขันสร้างสรรค์ลวดลายบนกาแฟนม
  • กิจกรรมเจรจาธุรกิจ: สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
  • นิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ: นิทรรศการเกี่ยวกับชาและกาแฟ การแสดงวัฒนธรรม และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ

การสนับสนุนจากภาครัฐ

รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกาแฟอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในอาเซียน การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

อนาคตของอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

ด้วยศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติและการสนับสนุนจากภาครัฐ เชื่อว่าอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในตลาดโลกได้

สำหรับ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” 2024 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – วันที่ 1 มกราคม 2568 ตั้งแต่ เวลา 16:00 น. ถึง 22:00 น. ณ สิงห์ปาร์คจังหวัดเชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-5973823 (เวลาทำการ 09.00-16.00 น.) หรือที่
Facebook: Eastern Lanna Coffee & Tea Festival
LineOA : @easternlanna
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เตรียมจัดเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก 17-18 ส.ค. นี้ ที่เซ็นทรัลเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567  ที่ ห้องไลบรารี่ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ได้จัดงานแถลงข่าว “เทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก สวรรค์ของเมืองกาแฟ” (Eastern Lanna Coffee Fest 2024) ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟและพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน 

โดยได้ภายในงานมีางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย นางสาวการะเกด นันทศรีนนท์ ส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผู้แทนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center :AIC) จังหวัดเชียงราย  นายวัชรพันธ์ ปัญญาคำ 93degree Coffee อ.เชียงของ จ.เชียงราย ตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ  นายพงษ์ศิลา คำมาก กรรมการและประชาสัมพันธ์สมาคมกาแฟพิเศษไทย ร่วมกันแถลงความพร้อม ในการจัดเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” กิจกรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟและพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค ร่วมถึงมีการสาธิตการขงกาแฟ โดย คุณ จุติเสฏฐ์ ลิ้มพชรพล (อเล็กข์) เจ้าของร้าม Alexta Coffee Roaster ให้ผู้ร่วมงานแถลงข่าวได้ชมกันอย่างทั่วถึง

กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โดยสร้างมูลค่าให้กับพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปี กาแฟที่ปลูกในพื้นที่นี้ยังมีส่วนช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระบบเกษตรแบบยั่งยืน ด้วยการปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ ทั้งไม้ผลและป่าธรรมชาติ จึงเรียกได้ว่าเป็นกาแฟรักษาป่า นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังมีนโยบายลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของภาคเหนือและกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ว่า “ท่องเที่ยวบนพื้นฐานวัฒนธรรมร่วมสมัย ยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร สิ่งแวดล้อมยั่งยืนสู่เศรษฐกิจมั่นคง”

การขับเคลื่อนอย่างมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ช่วยยกระดับสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่เกษตรอินทรีย์ มีการพัฒนาตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำด้วยการส่งเสริมเกษตรกรปลูกในระบบเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ กลางน้ำด้วยการแปรรูปให้เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง และพัฒนาเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการกาแฟคุณภาพที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และปลายน้ำด้วยการประชาสัมพันธ์และขยายช่องทางการตลาด

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) มีการปลูกกาแฟที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ทั้งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand /PGS และแบบวิถีพื้นบ้านที่ไม่ใช้สารเคมีแต่มีข้อจำกัดในการออกใบรับรองมาตรฐาน รวมทั้งแบบเกษตรปลอดภัย (GAP) ที่มีการใช้สารเคมีอย่างจำกัด ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมและพัฒนามาตรฐาน เกษตรกรส่วนใหญ่จำหน่ายในรูปแบบเชอรี่และสารกาแฟ (Green bean) ให้กับพ่อค้าคนกลางหรือโรงคั่ว

เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านการแข่งขันของภาคเกษตร เน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรไปสู่สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง โดยการใช้ประโยชน์จากอัตลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิต สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย จึงได้รับอนุมัติจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ให้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟ และพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ

ภายใต้กิจกรรมหลักส่งเสริมช่องทางการตลาดของสินค้าเกษตรอินทรีย์สู่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค โดยดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมและสร้างตราสินค้ากาแฟของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟคุณภาพ ประชาสัมพันธ์และนำเสนอกาแฟคุณภาพของเกษตรกรต่อผู้บริโภคและเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ

มีเกษตรกรเป้าหมายจำนวน 27 รายจาก 4 จังหวัด (เชียงราย 17 ราย พะเยา 4 ราย แพร่ 4 ราย น่าน 2 ราย) ซึ่งเกษตรกรทั้ง 27 ราย ได้ผ่านการอบรมการทดสอบรสชาติของกาแฟ หรือ Cupping ภายใต้กิจกรรมสนับสนุนการยกระดับผลผลิตกาแฟสู่มาตรฐานและการพัฒนาอัตลักษณ์เพื่อสร้างมูลค่า โดยส่งเสริมให้เกษตรกรแบ่งผลผลิตบางส่วนมาทำกาแฟคุณภาพหรือกาแฟพิเศษ (Special Coffee)

สำหรับการจัดงานเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก Eastern Lanna Coffee Fest 2024 “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” มีการประชาสัมพันธ์นำเสนอกาแฟคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคได้รู้จักอย่างแพร่หลาย กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 17-18 สิงหาคม 2567 ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การออกบูธประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟคุณภาพ การเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการกาแฟ/เกษตรกรและนักธุรกิจที่สนใจ การจัดนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ได้รับการพัฒนา พร้อมทั้งกิจกรรม workshop สาธิตให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟ เช่น การคัดเมล็ดกาแฟตามมาตรฐานสมาคมกาแฟ การชิมกาแฟสำหรับคอกาแฟและนักท่องเที่ยว การทำสครับกาแฟ ชิมกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆ ของ 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ฟรีทุกวัน พร้อมกิจกรรมการแสดงบนเวที การร่วมสนุกเล่นเกมส์ลุ้นรับของรางวัล

งานเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการตลาดกาแฟคุณภาพในประเทศ แต่ยังเป็นการยกระดับกาแฟของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายจะได้รับผลกระทบที่ดีจากการจัดงานนี้ และการส่งเสริมการปลูกกาแฟที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและการผลิตกาแฟคุณภาพในอนาคตมี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย โทร. 053-718970

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มฟล. ส่งเสริมการผลิตกาแฟไทย MFU Coffee Fest 2024

 

เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 67 ที่อาคาร พลเอกสำเภา ชูศรี (E4) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกันเปิดงาน MFU Coffee Fest 2024 โดยมี ดร.อมร โอวาทวรกิจ หัวหน้าหัวหน้าโครงการศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและการจัดการห่วงโซ่คุณค่ากาแฟประเทศไทย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ก่อนมีพิธีมอบรางวัล MFU Best Coffee Farmer จำนวน 4 รางวัล โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร ผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟ และภาคเอกชน นักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจเข้าร่วมงานคึกคัก โดยทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับผู้ประกอบการกาแฟ ชา จากจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน จัดงาน MFU Coffee Fest 2024 ระหว่างวันที่ 15-16 มีนาคม 2567

 

ดร.อมร โอวาทวรกิจ หัวหน้าหัวหน้าโครงการศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและการจัดการห่วงโซ่คุณค่ากาแฟประเทศไทย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า จากนโยบายสำคัญของประเทศในการยกระดับสินค้าเกษตร และพัฒนาเกษตรกรเพื่อผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีคุณภาพสูง รองรับการแปรรูปและพัฒนาสินค้าและส่งออก เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับกระบวนการแปรรูป โดยนำองค์ความรู้ ผลงานวิจัย และนวัตกรรม มาใช้เชื่อมต่อจากภาคการผลิตสู่ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจ นำไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง หรือเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟอะราบิก้าจำนวน 11,169 ตัน/ปี ปลูกมากในภาคเหนือตอนบนและปลูกมากที่สุดในจังหวัดเชียงราย ส่วนกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้ามีผลผลิตประมาณ 22,505 ตัน/ปี ปลูกกันมากในภาคใต้และปลูกมากที่สุดในจังหวัดชุมพร กาแฟมีมูลค่าการส่งออกสูงไม่แพ้พืชเศรษฐกิจของไทยชนิดอื่น จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่ตลาดต้องการและมีศักยภาพในอนาคต
 
 
ปัจจุบันความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปในประเทศไทยมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากกระแสความนิยมดื่มกาแฟ ทั้งกาแฟคั่วบดและกาแฟสําเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการผลิตกาแฟสําเร็จรูปเพื่อการส่งออกเพิ่มมากขึ้น และในปัจจุบันมีแนวโน้มการบริโภคกาแฟที่เน้นการผลิตกาแฟที่มีเรื่องราว การนำเอาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการผลิต และการพัฒนากลิ่นรสเพื่อบ่งบอกความเฉพาะของกาแฟ ได้ทำให้มีการผลิตกาแฟคุณภาพมีรสชาติที่น่าสนใจที่เรียกว่ากาแฟคุณภาพพิเศษ ได้แก่ อะราบิก้า ที่เป็น Specialty coffee และ Fine Robusta เป็นต้น
 
 
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้มีการดำเนินการในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกาแฟ และการพัฒนาศักยภาพการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพและมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถาบันวิจัยและนวัตกรรม โดยมีสถาบันชาและกาแฟ และส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน ที่ผ่านมาได้ดำเนินการโครงการและกิจกรรมที่ส่งเสริมการการพัฒนาเกษตรกรเพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตกาแฟ การใช้องค์ความรู้เพื่อพัฒนากระบวนการแปรรูปและจัดการผลผลิต การพัฒนาเกษตร ผู้ประกอบการ ชุมชนที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากจังหวัดเชียงรายอันเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพการผลิตสินค้าคุณภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ขยายผลการดำเนินงานสู่ภาคเหนือตอนบน และเชื่อมโยงสู่ระบบการผลิตกาแฟในประเทศไทย และสร้างเครือข่ายองค์ความรู้ความร่วมมือในระดับนานาชาติ
 
 
สำหรับการจัดงาน MFU Coffee Fest 2024 เส้นทางกาแฟ เส้นทางความสุข ในครั้งนี้เป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ หน่วยงานสนับสนุนภาครัฐและเอกชน เพื่อเชื่อมโยงการดำเนินการและเกิดการนำองค์ความรู้ไปต่อยอดและพัฒนา ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินโครงการต่อภาคีที่เกี่ยวข้องในรูปแบบของการนำเสอนเมล็ดกาแฟของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ แก่ผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟ และผู้ที่มีความสนใจในธุรกิจกาแฟ เกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการร้านกาแฟ และผู้ที่มีความสนใจในธุรกิจกาแฟ เพื่อเชื่อมโยงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ภายในงานจะแบ่งเป็นพื้นที่การจัดกิจกรรมเป็นโซนเวทีกลางในการเสวนาและเปลี่ยนเรียนรู้ และการแข่งขัน โซนจัดนิทรรศการกาแฟของเกษตรกรร้านกาแฟคุณภาพ กิจกรรม workshop เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านการแฟ เจรจาธุรกิจ การแสดงงานศิลปะงานฝีมืออาหาร และเครื่องดื่ม
 
 
นอกจากนี้ภายในงาน MFU Coffee Fest 2024 จะมีการประชุมวิชาการในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทยอย่างยั่งยืน” ภายใต้โครงการศูนย์กลางด้านความรู้ หรือ Hub of Knowledge ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการจัดตั้ง “ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและการจัดการห่วงโซ่คุณค่ากาแฟประเทศไทย” ที่มีเป้าหมายดำเนินงานในการสร้างสรรค์และรวบรวมองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตกาแฟ สร้างเครือข่ายการทำงานแบบเชื่อมโยง และให้บริการและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตกาแฟอย่างครบวงจร
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News