Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมีทางออก! MRC จัดเวทีระดมสมองแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก-โขง

เปิดฉาก “โต๊ะกลม MRC–ภาคประชาสังคม” เชียงราย วางหมุดหมายแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดนแม่น้ำกก–โขง ดัน “ชุมชนเป็นแกนกลาง” คุมคุณภาพน้ำและจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 –ร้าน “Melt In Your Mouth” ริมน้ำกกค่อยๆ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหน้าตาคุ้นในแวดวงน้ำของภาคเหนือ—เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการผืนดินล้านนา ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาสังคม ไปจนถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว—ที่ต่างแบก “โจทย์เดียวกัน” มาพูดคุยบนโต๊ะเดียว: จะร่วมกันแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา และเชื่อมโยงออกสู่แม่น้ำโขงได้อย่างไรให้ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และ “นำโดยชุมชน”

เวทีวันนี้จัดโดย สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) ในรูปแบบ MRC–CSO Roundtable Discussion โดยมี นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) MRCS และ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมดำเนินวงเสวนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วย งานวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–โขงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อ “ต่อจิ๊กซอว์” ข้ามพรมแดนและระดับมาตรการ ตั้งแต่ข้อมูลคุณภาพน้ำเชิงประจักษ์ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในชุมชน และการเชื่อมกับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของ MRC ที่กำลังเตรียมฉบับถัดไปปี 2026–2030

“เวทีนี้มีคุณค่าเพราะเปิดกว้างให้เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ บนฐานของความเคารพและการเป็นหุ้นส่วน” ผู้บริหาร MRCS ย้ำบนเวทีถึงบทบาทของพื้นที่กลางเช่นนี้ที่ตั้งใจให้ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน “ได้ฟังกันจริงๆ” ก่อนขยับไปสู่แนวทางร่วมที่ทำได้ในชีวิตจริง

แม่น้ำกกในภาวะกดดันหลายมิติ

คำถามชวนคิด: เมื่อ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้ทำนา เลี้ยงปลา และพานักท่องเที่ยวล่องแพ เป็นแหล่งเดียวกัน เราจะตรวจวัด–แจ้งเตือน–และตัดสินใจใช้อย่างไรให้ “ปลอดภัยพอ” สำหรับแต่ละกิจกรรม?

ตลอดปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกและตอนล่างที่ไหลลงโขงถูกจับตาเข้มข้นจากสังคมไทยและนานาชาติจาก รายงานสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ในหลายจุดตรวจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผลตรวจที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ผ่านสื่อ ระบุว่า พบค่า As เกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค (0.01 มก./ลิตร) ใน 11 จุดตรวจ บางช่วงมีค่าสูงถึง 0.187–0.200 มก./ลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์น้ำดื่มอย่างมีนัยสำคัญ สร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยเร่งตั้ง “ระบบตรวจติดตามร่วม–แจ้งเตือน–และฟื้นฟู” ทั้งในและข้ามพรมแดนอย่างเป็นระบบมากกว่าที่เคยทำมา

ปัจจัยกดดันของแม่น้ำกกไม่ได้มาจากมิติเดียว หากเป็น “ชั้นๆ” ของกิจกรรมมนุษย์ที่ซ้อนทับกัน—ตั้งแต่ขยะชุมชนที่ไหลลงลำน้ำ การชะล้างสารเคมีเกษตรจากพื้นที่ต้นน้ำ ไปจนถึงแรงเหวี่ยงจากการท่องเที่ยว และ มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งถูกจับตาว่าเกี่ยวเนื่องกับการพบโลหะหนักในช่วงก่อนหน้าและทำให้รัฐบาลไทยต้องเดินเกมทวิ–พหุภาคีคู่ขนานกับมาตรการภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นต่างให้เป็นพลัง” รูปแบบเสวนาที่พาชุมชนยืนกลางเวที

เวทีโต๊ะกลมครั้งนี้ออกแบบให้มี 2 ช่วงหลัก:

  • ช่วงปรึกษาหารือ (Consultation) เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่อยู่ “หน้าด่าน” ของปัญหา—เกษตรกร ชาวประมง บุคลากรสาธารณสุข และหน่วยงานประปา—เล่า “ความจริงในพื้นที่” ทั้งสัญญาณเตือนและช่องว่างที่พบ
  • ช่วงร่วมกันแก้ (Joint Solutions) นำเสนอทางออกสั้นกระชับจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ชุมชน องค์กรทั้งใน–ต่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ก่อนแตกกลุ่มย่อยแปลง “ความเห็นร่วม” เป็น ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (actionable) ที่จับต้องได้

ประเด็นใหญ่ ที่เด่นชัดคือ “การทำให้ข้อมูลไหลลื่น” ระหว่างพื้นที่–จังหวัด–ส่วนกลาง–ระดับลุ่มน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายสำหรับชุมชน โดยเฉพาะในเวลาวิกฤตที่ปริมาณฝนสูง น้ำหลากเร็ว และจำเป็นต้อง “ตัดสินใจในหลักชั่วโมง” เช่น การงดใช้น้ำดิบบางจุดชั่วคราว การตั้งจุดจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแผนให้น้ำการเกษตรตามคุณภาพน้ำจริง

เชื่อมพื้นที่สู่ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำบทของ MRC และกลไกระดับชาติ

หลายความเห็นในเวทีชี้ว่า การจะ “ข้ามพรมแดน” ให้ได้จริงต้องมีกลไกกลางที่ทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงยอมรับร่วมกัน MRC ในฐานะองค์กรระหว่างรัฐบาลของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ถูกออกแบบมาเพื่อบทบาทนั้น—เป็น เวทีทางการทูตน้ำ (water diplomacy) และ คลังความรู้ ให้การบริหารลุ่มน้ำโขงอิงหลักฐานและความร่วมมือมากกว่าความรู้สึกหรือการเมืองระยะสั้น

กรอบวางแผนลุ่มน้ำของ MRC ปัจจุบันยึด Basin Development Strategy (BDS) 2021–2030 ซึ่งต่างจากฉบับก่อนหน้าเพราะวางระยะยาว 10 ปี มุ่ง “การลงมือ” เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม–สังคมจากการพัฒนาในลุ่มน้ำ พร้อมเร่งเครื่องระบบข้อมูลและการเตือนภัย โดยหลังปี 2025 จะก้าวสู่ แผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ 2026–2030 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นและเตรียมยกร่าง เวทีเชียงรายครั้งนี้จึงเป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญในการนำเสียงชุมชนเข้ากรอบยุทธศาสตร์ภูมิภาคตั้งแต่ต้นน้ำของนโยบาย

ฝั่งไทย บทบาทของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee) คือการเชื่อมข้อเสนอ–ข้อมูลจากพื้นที่เข้าสู่โต๊ะเจรจาระดับประเทศและ MRC ควบคู่กับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในประเทศให้สอดรับกัน เช่น ระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่และแผนฟื้นฟูคุณภาพน้ำเชิงรุกในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากเร็ว

ตัวเลขที่ทำให้การตัดสินใจ “ไวขึ้น–แม่นขึ้น”

  • 11 จุดตรวจ ในแม่น้ำกกที่พบ สารหนูเกินมาตรฐานน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) โดยบางช่วงมีค่าสูงสุด ราว 0.187–0.200 มก./ลิตร — สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของ มาตรการเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แทนการสื่อสาร “ห้าม/ได้” แบบเหมารวม เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน (เช่น ประมง–ท่องเที่ยว) ในวงกว้าง
  • ท่าทีรัฐไทย: รัฐบาลสั่ง เร่งติดตามคุณภาพน้ำ–ฟื้นฟู–และหารือข้ามแดน อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายวิกฤตและคืนความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำหลักของชีวิตภาคเหนือและลุ่มโขงตอนล่าง
  • สถานะ MRC: เป็น แพลตฟอร์มการทูตน้ำและองค์ความรู้ ของ 4 ประเทศลุ่มโขง ตามความตกลงแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งสนับสนุนการวางแผน–พัฒนาลุ่มน้ำบนฐานหลักฐาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

5 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติจากวงเสวนาทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผล

  1. แปลงข้อมูลให้ใช้การได้ในพื้นที่ – จัดทำ แดชบอร์ดคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่ ที่ “อ่านง่าย ตัดสินใจไว” แยกตามประเภทการใช้ (อุปโภคบริโภค–เพาะปลูก–ประมง–นันทนาการ) พร้อมสีสัญญาณแบบเดียวกันทั้งจังหวัด และ ลิงก์ข้อมูลแบบเปิด ไปยังระดับลุ่มน้ำเพื่อเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  2. เตือนภัยแบบรวมศูนย์–กระจายเสียงแบบกระจายศูนย์ – เมื่อผลตรวจพบ “สัญญาณเสี่ยง” ให้ ประกาศเตือนรายตำบล/รายจุด ผ่านช่องทางราชการและชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มอสม.–เทศบาล) อีกชั้น เพื่อให้การปรับพฤติกรรมเกิดขึ้นจริงในครัวเรือนและฟาร์ม
  3. ตั้ง “อาสาน้ำชุมชน” คู่กับหน่วยงาน – ชุมชนจัดทีม เก็บตัวอย่าง–อ่านค่าเบื้องต้น–รายงานผล ร่วมกับ อบต./เทศบาล–สาธารณสุข–ประปา เพื่ออุดช่องว่าง “เวลา-พื้นที่” ของการตรวจทางการ และสร้างความไว้วางใจในข้อมูล
  4. เชื่อมการทูตชุมชน–ชาติ–ภูมิภาค – เมื่อปัญหามีมิติข้ามพรมแดน ให้ สทนช. และ กต. ใช้เสียงจากเวทีชุมชนเป็น “ข้อมูลเชิงสังคม” ส่งเข้าสู่ โต๊ะ MRC ควบคู่กับข้อมูลเทคนิค เพื่อเร่งกลไกติดตาม–แจ้งเตือนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยึดหลักความโปร่งใสและประโยชน์ร่วม
  5. เยียวยา–พยุงเศรษฐกิจฐานน้ำ – ระหว่างคลี่คลายคุณภาพน้ำ ต้องมีมาตรการชั่วคราวสำหรับครัวเรือน–ผู้ประกอบการที่พึ่งพาน้ำ เช่น จุดจ่ายน้ำสะอาด–กองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูประมง–มาตรการตลาดช่วยเหลือ เพื่อกันความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็น “ปัญหาใหม่”

บทบาทคีย์แมนและ “จังหวะ” เชิงยุทธศาสตร์

การที่ MRCS หยิบเวทีเชียงรายขึ้นมาในจังหวะที่กำลังเตรียม ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำชุดใหม่ (2026–2030) ทำให้ข้อเสนอจากพื้นที่ “มีทางไป” สู่เอกสารนโยบายภูมิภาคตั้งแต่ต้นทาง—เป็นโอกาสแปลง เสียงของชุมชน เป็น มาตรการระดับลุ่มน้ำ ไม่ใช่เพียงเวที “รายงานปัญหาแล้วแยกย้าย” เหมือนที่หลายชุมชนคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกัน การนำโดยผู้บริหาร MRCS คนไทยอย่าง คุณบุษฎี สันติพิทักษ์ (CEO) ซึ่งเข้ารับบทบาทเมื่อช่วงต้นปีนี้ ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างเวทีท้องถิ่น–ชาติ–ภูมิภาคได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งในแง่การสื่อสารสาธารณะและการประสานงานหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขง

ด้าน สทนช. ในฐานะผู้ถือพวงมาลัยด้านนโยบายน้ำของประเทศและฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีภารกิจเร่งรัด ระบบเตือนภัย–การฟื้นฟู–และการเจรจาร่วม ให้ “ทันฤดูกาล” โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดู–น้ำหลากเร็วที่ความเสี่ยงเพิ่มทวี เพื่อปกป้องชีวิต–สุขภาพ–และฐานเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำกก–โขงไปพร้อมกัน

จาก “เวทีพูดคุย” สู่ “ข้อตกลงทำจริง”

ท้ายเวที ผู้จัดสรุป “การบ้าน” 3 แพ็กเกจที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมในหลักการ และเริ่ม ตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ นำไปสู่การทดลองปฏิบัติ (pilot) ใน จุดเสี่ยงสำคัญของแม่น้ำกก ทันทีในฤดูฝนนี้ ได้แก่

  1. แพลตฟอร์มข้อมูล/สื่อสารความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ของจังหวัด ที่ดึงข้อมูลจากทุกหน่วยเข้า “หน้าจอเดียวกัน” เปิดสาธารณะและส่งเข้าลุ่มน้ำ,
  2. อาสาน้ำชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเพิ่มความถี่การเฝ้าระวังและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อมูล, และ
  3. โรดแมปประสานข้ามแดน เชื่อมไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางทวิภาคีและช่องทาง MRC อย่างต่อเนื่อง

คำถามปลายเปิดที่ยังทิ้งไว้ให้ทำร่วมกันคือ: เราจะทำให้ข้อมูลไหลไปเร็วเท่าน้ำหลากได้อย่างไร? และ จะทำให้การเตือนภัยกลายเป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรมจริง” ในครัวเรือน–ไร่นา–ท่าเรือท่องเที่ยว ได้อย่างไร—คำถามเหล่านี้อาจไม่ใช่ “โจทย์เทคนิค” ล้วนๆ แต่เป็นโจทย์ความไว้เนื้อเชื่อใจและการออกแบบการสื่อสารกับมนุษย์ ที่ต้องทำซ้ำๆ ให้ติดมือ ติดตา และ “ติดนิสัย” ของทั้งรัฐและชุมชน

อย่างไรก็ดี การมีทั้ง แพลตฟอร์มการทูตน้ำระดับภูมิภาค (MRC) และ กลไกชาติ–จังหวัด–ชุมชน ที่ยอมรับร่วมกัน กำลังทำให้ “ข้อเสนอจากเชียงราย” วันนี้มี ทางเดินชัดเจน สู่การเป็น มาตรการจริง ที่ช่วยให้คน–ปลา–และสายน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เชิงอรรถนโยบายทำไม “กรอบ MRC” จึงสำคัญกับแม่น้ำกก

  • บทบาท MRC: ทำหน้าที่เวทีกลางการทูตน้ำและคลังความรู้ภายใต้ความตกลงปี 1995 ของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ช่วยลดความเสี่ยงจากโครงการพัฒนาและสร้างระบบเตือนภัย–ข้อมูลร่วมทั้งลุ่มน้ำ
  • BDS 2021–2030: ยุทธศาสตร์ 10 ปีฉบับแรกของลุ่มน้ำโขง วางทิศทาง “ลงมือจริง” ในประเด็นคุณภาพน้ำ ระบบข้อมูล และการมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกำลังป้อนเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ 2026–2030 ผ่านเวทีรับฟังหลายระดับรวมถึงเวทีเชียงรายครั้งนี้
  • โครงสร้างไทย: สทนช. เชื่อมเสียงพื้นที่เข้าสู่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และโต๊ะ MRC ควบคู่ขับเคลื่อนแผนในประเทศ—ตั้งแต่เตือนภัยเฉพาะพื้นที่ถึงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ—ให้สอดรับกับฤดูกาลและวิถีชุมชนลุ่มน้ำกก–โขง

สรุปสำหรับผู้อ่านเชิงลึก

  • ประเด็นหลัก: เวที MRC–CSO Roundtable เชียงราย สร้าง “ทางร่วม” ระหว่างชุมชน–รัฐ–นักวิชาการ–เอกชน สำหรับแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกที่โยงสู่โขง โดยเน้นข้อมูล–เตือนภัย–และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
  • ความเร่งด่วน: ข้อมูลสารหนูปนเปื้อน 11 จุด กับค่าสูงสุดราว 0.2 มก./ลิตร เทียบมาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ลิตร ทำให้การตัดสินใจเชิงพื้นที่–เชิงเวลา และการสื่อสารความเสี่ยงแบบเข้าใจง่าย “จำเป็นทันที”
  • โอกาสเชิงโครงสร้าง: การยกร่างยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำฉบับใหม่ของ MRC 2026–2030 เปิดหน้าต่างให้เสียงชุมชนจากเชียงราย ถูกฝัง ลงในนโยบายภูมิภาคที่มีผลจริง
  • ทางเดินต่อไป: ตั้งทีมทำงานทดลอง แดชบอร์ดข้อมูล–เตือนภัย–อาสาน้ำชุมชน และเชื่อมทวิ–พหุภาคีผ่าน สทนช.–MRC เพื่อคลี่คลายปัญหาเชิงระบบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุม

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุมเข้มก่อนน้ำมา สทนช.สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. นี้

สทนช.ลงพื้นที่เชียงราย “คุมเข้มก่อนน้ำมา” สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. ย้ำสื่อสารมาตรฐานคุณภาพน้ำตามการใช้งาน–พร่องน้ำอ่าง–เตือนภัยเชิงรุก รับมือฝนพีค ส.ค.–ก.ย.

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามสายของวันประชุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย แผนที่ลุ่มน้ำโขงเหนือขนาดใหญ่ถูกคลี่บนโต๊ะ กราฟคาดการณ์ฝน–ความชื้นในดิน–ระดับน้ำท่า เชื่อมโยงเข้ากับไทม์ไลน์ “งานซ่อมพนัง” ที่กำลังเดินหน้าในอำเภอแม่สาย ภาพทั้งหมดสะท้อนโจทย์เดียวกัน—รับมือฝนระลอกพีกปลายสิงหาคม–กันยายน ให้ทันก่อน “น้ำมา” และจำกัดความเสี่ยงซ้ำรอยน้ำหลากปีที่ผ่านมา

การลงพื้นที่ครั้งนี้นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะประธานการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น หน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศและภูมิสารสนเทศ รวมถึงภาคส่วนปฏิบัติการในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สาระสำคัญคือ คำสั่งเร่งด่วนซ่อมเสริมพนังกั้นน้ำแม่น้ำสายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อ “ล็อกความเสี่ยง” ก่อนความชื้นสะสมในดินและฝนใหม่จะผนวกกันเป็นน้ำหลากรอบใหม่

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สถานการณ์เฝ้าระวังได้รับการติดตาม รายวัน โดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้กำกับติดตามจุดเสี่ยงสำคัญของลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อให้การสั่งการ–การสนับสนุน–และการแจ้งเตือนประชาชน ทันเวลา–ตรงจุด–ใช้การได้จริง ไม่ใช่เพียงเอกสารเตือนภัย

พายุปลายสิงหาเหตุผลของ “เส้นตาย 24 ส.ค.”

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ว่า ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ปริมาณฝนในลุ่มน้ำโขงเหนือมีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาพวิเคราะห์บรรยากาศแสดง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ที่อาจพัฒนาเป็นพายุโซนร้อนปลายเดือน—สถานการณ์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะ ค่าความชื้นในดินสูง อยู่แล้วจากฝนหลายระลอกก่อนหน้า เมื่อฝนก้อนใหม่ตกซ้ำลงมา น้ำฝนจะ ซึมดินได้ต่ำ–กลายเป็นน้ำท่าเร็ว–ไหลลงลำน้ำ สร้างยอดคลื่นระดับน้ำ (peak) ที่ สูงและมาไว กว่าปกติ

ถ้าพนัง–ฝาย–คอสะพาน ยังซ่อมไม่เสร็จ หรืออ่อนแรง จุดเปราะบางจะกลายเป็น ช่องทางน้ำพุ่ง เพิ่มความเสียหายแบบลูกโซ่ การกำหนดเส้นตาย 24 ส.ค. จึงไม่ใช่ตัวเลขลอย ๆ แต่ยึดโยงกับ หน้าต่างเวลา (window) ระหว่าง “ฝนเดิมยังไม่ระบายหมด” กับ “ฝนใหม่กำลังเข้า” ให้มี กันชน (buffer) เพียงพอ

คำถามชวนคิด ใน 72 ชั่วโมงหลังฝนหนัก จังหวะ “พร่องน้ำ–ปิดช่องโหว่–เสริมจุดอ่อน” จะทำได้เร็วพอหรือไม่? และการซ้อมแผนอพยพในชุมชนริมน้ำที่เคยถูกน้ำท่วมซ้ำมีความพร้อมแค่ไหน?

แม่สายคือจุดยุทธศาสตร์ พนังที่ต้องแข็งแรงก่อนฝนใหญ่

อำเภอแม่สาย คือแนวหน้ารับน้ำฝั่งเหนือ ก่อนที่น้ำจะไหลสู่ แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก–และแม่น้ำกก ต่อไป การลงพื้นที่ร่วมกับ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานท้องถิ่น จึงเจาะจงประเด็น พนังกั้นน้ำที่ชำรุด จากรอบน้ำหลากที่ผ่านมา สาระหลักของคำสั่งคือ

  • เร่ง งานโครงสร้าง: อุดรอยรั่ว–เสริมเขื่อนดิน–ปูแผ่นใยทางวิศวกรรม (geotextile) จุดวิกฤติ
  • คอสะพาน–ท่อระบายน้ำ: ตรวจโครงสร้างฐานราก–เคลียร์เศษวัสดุตัน–ติดตั้งรางระบายน้ำชั่วคราว
  • เครื่องจักรกล: วางเครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–รถแบ็กโฮ สแตนด์บาย จุดเสี่ยง
  • เฝ้าระวัง 24 ชม.: ตั้งเวรยามริมน้ำ–ติดตั้งไม้บรรทัดวัดระดับ–รายงานเข้าศูนย์ทันทีหากระดับน้ำเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้กรอบ 24 ส.ค. เพื่อให้ แม่สาย—เมืองหน้าด่าน—ยืนให้มั่นก่อนสายฝนจะเข้าทั้งละลอก

น้ำใช้ต่างกัน มาตรฐานต่างกัน” แยกเกณฑ์คุณภาพน้ำให้ชัด–สื่อสารให้ถึง

อีกแกนหลักของการประชุม คือการสื่อสารเรื่อง คุณภาพน้ำ ให้ประชาชนเข้าใจ เกณฑ์มาตรฐานตามการใช้งาน” ไม่ใช้ตัวเลขชุดเดียวครอบทุกประเภทการใช้ เพราะบริบท น้ำดิบเพื่อการประปา” กับ น้ำเพื่อเกษตร” ไม่เท่ากัน

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินสำหรับน้ำดิบที่ต้องบำบัดเป็นน้ำประปา: หลังบำบัดแล้วต้องมีสารหนู ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร จึงเหมาะสมสำหรับ อุปโภค–บริโภค
  • น้ำเพื่อการเกษตรบางประเภท (เช่น เพาะปลูกข้าว–เลี้ยงสัตว์น้ำ): ไม่ควรเกิน 0.05 มก./ลิตร เพื่อลดความเสี่ยงการสะสมในพืชและห่วงโซ่อาหาร

บริบทพื้นที่ปัจจุบัน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก ยังตรวจพบ ค่าสารหนูเกินเกณฑ์ 0.01 มก./ลิตร ตามมาตรฐานน้ำดื่ม จึงต้องย้ำว่า น้ำธรรมชาติเหล่านี้ไม่ใช่น้ำดื่มโดยตรง” ต้องผ่าน กระบวนการบำบัด ให้ได้ตามเกณฑ์ก่อน ส่วนภาคเกษตร หากพื้นที่ใดมีค่าตรวจเกิน 0.05 มก./ลิตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง แจ้งเตือน–ให้คำแนะนำ วิธีลดความเสี่ยง (เช่น ปรับชนิดพืช ลดการใช้น้ำแหล่งดังกล่าวชั่วคราว สำรองน้ำสะอาด หรือผสมน้ำจากแหล่งอื่น)

ที่ประชุมจึงมอบหมายให้จังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์แบบตรงประเด็น:

  1. จัดทำ อินโฟกราฟิก “น้ำใช้–เกณฑ์ต่าง” แจกออนไลน์–ออฟไลน์
  2. ติด ป้ายเตือน ณ จุดสูบน้ำดิบ และ จุดใช้น้ำเพื่อเกษตร ในหมู่บ้านริมน้ำ
  3. เปิด จุดสอบถาม/ตอบข้อสงสัย ร่วมระหว่าง สาธารณสุข–การประปา–เกษตร–ประมง–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้คำแนะนำแก่ประชาชนแบบเคส–บาย–เคส

ชุดมาตรการเชิงระบบ พร่องน้ำอ่าง–ข้อมูลแม่น–เตือนเร็ว–เครื่องมือพร้อม

เพื่อให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “การลดความเสี่ยงจริง” ที่ประชุมกำหนดมาตรการทำงาน สอดประสานหลายมิติ ดังนี้

1) พร่องน้ำอ่างเก็บน้ำ:

  • สำรวจอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณสูง เร่งระบายเชิงป้องกัน เพื่อเพิ่ม พื้นที่รับน้ำฝน (flood cushion) โดยต้องประเมิน ผลกระทบท้ายน้ำ และสื่อสารเวลาระบายให้ชุมชนทราบล่วงหน้า
  • กำหนด เกณฑ์ตัดสินใจ (trigger level) ชัดเจน—เมื่อฝนคาดการณ์กี่มิลลิเมตรภายในกี่ชั่วโมง จะเริ่มพร่องน้ำเท่าไร

2) ข้อมูลและพยากรณ์เฉพาะพื้นที่:

  • กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ พยากรณ์รายอำเภอ–รายลุ่มน้ำย่อย ล่วงหน้า พร้อมแจ้ง “โซนฝนหนัก–เวลาคลื่นน้ำมา”
  • GISTDA สนับสนุน ข้อมูลความชื้นในดิน และภาพถ่ายดาวเทียม อัปเดตรายสัปดาห์–เร่งด่วนเมื่อเกิดฝนหนัก เพื่อช่วยคาดการณ์ “น้ำท่ามาเร็ว” ในโซนลาดเชิงเขาและพื้นที่ชุ่มน้ำ

3) ระบบเตือนภัยและสื่อสารสาธารณะ:

  • ใช้หลายช่องทาง (SMS, ไลน์กลุ่ม อปท., เสียงตามสาย, รถประชาสัมพันธ์, เพจจังหวัด/อำเภอ/เทศบาล) เพื่อให้เตือนถึงมือประชาชนเร็ว
  • จัดตั้ง โหนดสื่อสารชุมชน” ที่มี อสม.–ผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสากู้ภัย เป็นตัวกลางแปลข้อความเตือนให้เข้าใจง่าย และย้ำ จุดรวมพล–เส้นทางอพยพ–จุดปลอดภัย

4) ความพร้อมเครื่องมือ–กำลังพล:

  • เครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–กระสอบทราย–แผ่นเหล็กชั่วคราว–ไฟส่องสว่าง ต้องอยู่ในตำแหน่งเสี่ยงพร้อมใช้
  • ทีม โยธา–ปภ.–ทหาร–อปท. บูรณาการเวรยาม 24 ชม. ในช่วงฝนพีก

ดร.สุรสีห์ สรุปหลังลงพื้นที่ว่า จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ขยับโจทย์หลักครบด้าน แล้วทั้งโครงสร้าง–ข้อมูล–สื่อสาร–อุปกรณ์ แต่เน้นย้ำ อย่าประมาท” และต้องรักษาวินัยการแจ้งเตือนล่วงหน้า เพื่อปกป้อง ชีวิต–ทรัพย์สิน ตามนโยบายรัฐบาล

เสียงจากพื้นที่ “ทำงานเชิงรุกตั้งแต่ยังไม่ตก”

ด้านพื้นที่ แม่สาย หน่วยงานฝ่ายปกครองและท้องถิ่นรายงานความพร้อม แผนเฝ้าระวังระดับน้ำ–ซ่อมโครงสร้าง–และจุดอพยพ โดยเฉพาะ ชุมชนริมน้ำ–ตลาด–โรงเรียน ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากน้ำหลากที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า “ยุทธวิธีปีนี้” คือการ ลงมือก่อน ไม่รอฝนตกหนักแล้วค่อยยกระสอบทราย

ในตัวเมืองเชียงราย หน่วยงานสาธารณูปโภคเตรียม เคลียร์ท่อระบายน้ำ–ทางน้ำลัด–แก้มลิง ให้เปิดทางรับน้ำฝน โครงการ ซักซ้อมอพยพย่อม (micro drill) ในชุมชนเสี่ยงเริ่มทยอยทำ เพื่อให้ประชาชน จำทางหนีไฟของน้ำ ได้โดยอัตโนมัติ

บริบท “คุณภาพน้ำ” กลางฝนหลวง สารหนูคืออะไร–เสี่ยงอย่างไร–ประชาชนควรทำอะไร

สารหนู (Arsenic) เป็นโลหะกึ่งโลหะที่พบได้ตามธรรมชาติในดิน–หิน และอาจปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำได้จาก กระบวนการทางธรณี หรือกิจกรรมของมนุษย์ในบางบริบท ความเสี่ยงต่อสุขภาพขึ้นกับ ระดับความเข้มข้น–ระยะเวลาการสัมผัส–และวิธีการรับสัมผัส หลักการกว้าง ๆ คือ น้ำสำหรับดื่มกิน ต้องผ่านกระบวนการบำบัดให้ได้มาตรฐาน ≤ 0.01 มก./ลิตร ส่วนการใช้เพื่อเกษตรมี เกณฑ์สูงกว่า และต้องติดตาม ความเสี่ยงการสะสม ในพืช–สัตว์น้ำเป็นกรณีไป

ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน จากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 21 – 25 กรกฎาคม 2568

“แม่น้ำกก” พบว่าสารหนูมีค่าสูงเกินค่ามาตรฐานฯ ทุกจุดตรวจวัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนไทย – พม่า อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จนถึงบริเวณ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (KK01 -KK015) โดยมีค่าอยู่ในช่วง น้อยกว่า 0.010 – 0.016 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.) ดังนี้

  • KK01 ชายแดนไทย-พม่า ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK02 สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย มีค่าสารหนู 029 มก./ล.
  • KK03 สะพานสองดินแดนบ้านแม่สลัก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 016 มก./ล.
  • KK04 บ้านจะเด้อ หมู่ 6 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK05 สะพานมิตรภาพแม่ยาว-ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK06 บ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK07 สะพานข้ามแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK08 สะพานแม่ฟ้าหลวง ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK09 สะพานเฉลิมพระเกียรติ1 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK10 ฝายเชียงราย ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 013 มก./ล.
  • KK11 สะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK12 สะพานโยนกนาคนคร ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK013 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK014 ต.หนองป่าก่อ อ.ดอยหลวง มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK015 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำกก (แม่น้ำฝาง FA01 แม่น้ำกรณ์ KO01 แม่น้ำสรวย SU01 และแม่น้ำลาว LA01) คุณภาพน้ำมีค่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด คุณภาพน้ำของแม่น้ำที่เป็นจุดอ้างอิง และลำน้ำสาขาของแม่น้ำกกยังมีค่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

แม่น้ำสาย” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • SA01 บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 055 มก./ล.
  • SA02 สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 053 มก./ล.
  • SA03 บ้านป่าซางงาม ม.6 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 052 มก./ล.

แม่น้ำรวก” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 2 จุด ดังนี้

  • RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง การประปาส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 040 มก./ล.
  • RU02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จุดปลายน้ำรวกก่อนลงแม่น้ำโขง มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำโขง” สารหนู (As) สูงเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • NK01 จุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • NK02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 012 มก./ล.
  • NK03 บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

ประชาชนควรปฏิบัติอย่างไรในช่วงเฝ้าระวังน้ำหลาก?

  • อย่าใช้น้ำจากแม่น้ำ–ลำห้วยดื่มโดยตรง ให้ใช้น้ำประปาที่ผ่านมาตรฐาน หรือใช้น้ำบรรจุขวดที่ได้รับการรับรอง
  • ติดตามประกาศคุณภาพน้ำ จากจังหวัด/สาธารณสุข/การประปา หากอยู่ในพื้นที่เกษตร–ประมง ให้สอบถามคำแนะนำเฉพาะพื้นที่
  • จัดทำ แผนฉุกเฉินครัวเรือน: ย้ายปลั๊กไฟ–เครื่องใช้ไฟฟ้า–เอกสารสำคัญขึ้นที่สูง เตรียมของจำเป็น 3–5 วัน
  • รู้ จุดปลอดภัย–เส้นทางอพยพ และเฝ้าระวัง ผู้สูงอายุ–ผู้ป่วย–เด็กเล็ก เป็นพิเศษ

สถิติชวนคิด ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ช่วง ส.ค.–ก.ย. มักเป็นเดือนที่ ฝนสูงสุดของภาคเหนือ และเป็นหน้าต่างที่เกิด น้ำหลาก–ดินถล่ม สูงสุดตามสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้น การมี “แผนส่วนบุคคล” ควบคู่ “แผนจังหวัด” จึงสำคัญพอกัน

ภาพใหญ่ของความพร้อม เมื่อวิทยาศาสตร์–วิศวกรรม–การสื่อสาร ต้องเดินพร้อมกัน

การจัดการน้ำยุคใหม่ไม่ได้จบที่ “เขื่อน–พนัง–ท่อ” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อม วิทยาศาสตร์ข้อมูล (พยากรณ์ฝน–น้ำท่า–ความชื้นดิน) กับ การตัดสินใจหน้างาน และ การสื่อสารที่ประชาชนเข้าใจทันที การประชุมของ สทนช. ครั้งนี้จึงวาง สามขาค้ำยัน ไว้ครบถ้วน

  1. ขาโครงสร้าง (Infrastructure) — ซ่อม–เสริม–พร่อง ให้แหล่งรองรับน้ำพร้อมใช้ก่อนฝนถึง
  2. ขาข้อมูล (Intelligence) — ใช้พยากรณ์เฉพาะพื้นที่–ภาพถ่ายดาวเทียม–โทรมาตรน้ำฝน/ระดับน้ำ ตัดสินใจอย่างมีหลักฐาน
  3. ขาสื่อสาร (Interface) — แปลข้อมูลยากให้เป็น “สารเตือนง่าย ๆ” ที่ชุมชนทำตามได้ทันที

เมื่อสามขานี้ขยับพร้อมกัน โอกาส ลดความเสียหาย–เพิ่มเวลาตัดสินใจ จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ทันก่อน—ทันระหว่าง—ทันหลัง” วงจรรับมือน้ำหลากเชียงราย

เชียงรายกำลังเผชิญช่วงเวลาสำคัญของปี—ปลายสิงหาคมถึงกันยายน การที่ สทนช. ลงพื้นที่ ตรวจงานซ่อมพนัง กำหนดเส้นตายก่อนพายุ วางแผนพร่องน้ำอ่าง และขอความร่วมมือทุกหน่วยเตือนประชาชนเชิงรุก เป็นสัญญาณว่า เครื่องมือกำลังเดิน อยู่ที่ “วินัยการปฏิบัติ” ของทุกภาคส่วนจะรักษา สามทัน ต่อไปได้หรือไม่

  • ทันก่อน: ปิดจุดอ่อน–พร่องน้ำ–กระจายเครื่องมือ
  • ทันระหว่าง: เตือนเร็ว–รายงานไว–เข้าพื้นที่ชุมชนทันที
  • ทันหลัง: เก็บกู้–ประเมินความเสียหาย–ฟื้นฟูแบบยืดหยุ่น–ตรวจคุณภาพน้ำต่อเนื่อง

หากทำได้ครบวงจร ความเสียหายจากน้ำหลากก็จะ ลดระดับ จาก “วิกฤต” เหลือ “เหตุการณ์ที่จัดการได้” และเปลี่ยนพายุปลายสิงหาที่น่าวิตก ให้เป็น บทพิสูจน์ความพร้อมของทั้งระบบ ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) — ข้อมูลการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 และข้อสั่งการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) — คาดการณ์สภาวะอากาศปลายเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับภาคเหนือ/ลุ่มน้ำโขงเหนือ และคำเตือนหย่อมความกดอากาศต่ำ–พายุโซนร้อน
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) — ข้อมูลแผนที่ความชื้นในดินและภาพถ่ายดาวเทียมประกอบการประเมินเสี่ยงน้ำหลาก
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) / กระทรวงสาธารณสุข / การประปาส่วนภูมิภาค — แนวทางมาตรฐานคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภค–บริโภค (สารหนู ≤ 0.01 มก./ลิตร หลังบำบัด) และหลักการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • จังหวัดเชียงราย / อำเภอแม่สาย / ปภ. — แผนเฝ้าระวังและรับมืออุทกภัยระดับจังหวัด–อำเภอ การเตรียมเครื่องจักร–จุดอพยพ–ระบบแจ้งเตือนในพื้นที่เสี่ยง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย — ข้อมูลสนับสนุนการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและคำแนะนำต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย “นายกนก” ศึกษาจัดการน้ำ กทม. เร่งสร้าง PDOSS รับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงราย เร่งเครื่องแก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน ‘นายกนก’ นำทีมศึกษาระบบระบายน้ำ กทม. เตรียมปั้นโมเดล PDOSS รับมือภัยพิบัติอนาคต

กรุงเทพฯ, 1 สิงหาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ยังคงเป็นบททดสอบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติของท้องถิ่น หลังฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและสร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายอำเภอ ประชาชนเดือดร้อน ขาดแคลนทรัพย์สิน และระบบสาธารณูปโภคได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะระดมกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากยังคงเป็นจุดอ่อนของเชียงรายที่ต้องหาทางออกอย่างยั่งยืน

นายกนก’ ลงพื้นที่จริง ศึกษาระบบ กทม. จุดประกายแนวคิดจัดการน้ำใหม่

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “นายกนก” ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. รวมถึงฝ่ายช่างและกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เดินทางไปยังสำนักการระบายน้ำ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพื่อศึกษาดูงานระบบบริหารจัดการน้ำในเมืองหลวงของประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ กทม. ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ นอกจากการเรียนรู้รูปแบบการเฝ้าระวังสถานการณ์ การวางแผนและป้องกันปัญหาน้ำท่วมของ กทม. ซึ่งมีเครือข่ายและเครื่องมือทันสมัยแล้ว ยังเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือและนำองค์ความรู้ใหม่มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของเชียงราย ที่ต้องเผชิญทั้งปัญหาน้ำท่วมฉับพลันจากน้ำป่าและน้ำท่วมขังในเมือง

โมเดล PDOSS ศูนย์สาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ปักธงเปลี่ยนโฉมเชียงราย

นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการถอดบทเรียนจาก กทม. เพื่อเดินหน้าผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Public Disasters One Stop Service: PDOSS) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในเชียงราย โดยตั้งเป้าหมายยกระดับการป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพใน 5 มิติหลัก ได้แก่

  • ระบบเตือนภัยล้ำสมัย: สร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยที่รวดเร็วและแม่นยำ ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำ พร้อมเชื่อมโยงกับระบบการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันและสื่อโซเชียลให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารทันสถานการณ์
  • บริหารเครือข่ายระบายน้ำ: ปรับปรุงโครงข่ายระบายน้ำทั้งในเมืองและชนบท เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำผ่านคลอง สะพาน และสถานีสูบน้ำ ลดจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก
  • ฐานข้อมูลภัยพิบัติเปิดสาธารณะ: จัดทำฐานข้อมูลและแผนที่ภัยพิบัติที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้สะดวก เพื่อใช้วางแผนรับมือและติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานรัฐ
  • ศูนย์เยียวยาแบบจุดเดียว: จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนผู้ประสบภัยในจุดเดียว ลดขั้นตอนการช่วยเหลือให้รวดเร็วและทั่วถึง
  • ระบบรายงานเหตุการณ์ Real Time: พัฒนาระบบรับแจ้งเหตุและติดตามการช่วยเหลือผ่านช่องทางดิจิทัล ตอบสนองต่อภัยพิบัติและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

เชียงรายกับโจทย์ท้าทาย ‘น้ำท่วมซ้ำซาก’ และโมเดลการเปลี่ยนแปลง

อุทกภัยในเชียงรายที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นสัญญาณเตือนว่าการรับมือกับภัยธรรมชาติเชิงรับและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การลงทุนในเทคโนโลยีเฝ้าระวังน้ำท่วม พัฒนาโครงข่ายระบายน้ำอย่างเป็นระบบ และใช้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นทางรอดใหม่ที่ต้องเร่งผลักดัน

แนวคิด PDOSS ที่ อบจ.เชียงราย กำลังขับเคลื่อนคือการก้าวข้ามวิธีคิดเดิม เปลี่ยนจากระบบรับมือแบบแยกส่วน มาสู่การบูรณาการทรัพยากร หน่วยงาน และข้อมูลอย่างไร้รอยต่อ พร้อมขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี ตั้งแต่การแจ้งเตือนภัย ไปจนถึงการเยียวยาผู้ประสบภัย นับเป็นตัวอย่างสำคัญของท้องถิ่นที่กล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว

มุ่งมั่นสร้างเมืองน่าอยู่ ‘เชียงราย’ แบบยั่งยืน

บทเรียนจากกรุงเทพมหานคร คือแบบอย่างการบริหารจัดการน้ำที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงภายใต้ข้อจำกัดและบริบทท้องถิ่น การเดินหน้าพัฒนา PDOSS สะท้อนความตั้งใจของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารจัดการภัยพิบัติและป้องกันน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขในบ้านเกิด

นี่คือก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองน่าอยู่และปลอดภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

คลายกังวล! กปภ. เปิดพิสูจน์น้ำประปาเชียงราย “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” เกินมาตรฐาน WHO

กปภ. ย้ำความเชื่อมั่น: น้ำประปาเชียงราย “ปลอดภัย ไร้สารหนู” หลังปรับกระบวนการผลิตและตรวจสอบเข้มงวด

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – คลายกังวลน้ำประปาเชียงราย กปภ.เปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์มาตรฐาน “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” ย้ำมาตรการเหนือ WHO ภายหลังจากที่มีรายงานตรวจพบความขุ่นผิดปกติและสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความกังวลต่อความปลอดภัยในการใช้น้ำอย่างกว้างขวาง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จึงรีบเร่งขับเคลื่อนมาตรการสร้างความเชื่อมั่น โดยจัดกิจกรรม “สื่อมวลชนสัญจร” นำผู้สื่อข่าวในพื้นที่ลงพื้นที่จริงเยี่ยมชมกระบวนการผลิต ตรวจสอบห้องควบคุมและห้องปฏิบัติการคุณภาพน้ำประปา ณ กปภ.สาขาเชียงราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลและแผนการจัดการเชิงรุกอย่างโปร่งใส

ผู้ว่าการ กปภ. ลงนามการันตี “น้ำดื่มได้จริง” มาตรการผลิตเข้มข้นเกิน WHO

นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า กปภ.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกตลอด 24 ชั่วโมง และเพิ่มมาตรการควบคุมการผลิตน้ำประปาให้เข้มข้นกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) เช่น ค่าความขุ่น WHO อนุโลม 5 NTU แต่ กปภ.กำหนดสูงสุดเพียง 4 NTU เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

กระบวนการผลิตน้ำดื่มของ กปภ.เชียงรายมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย

  • การปรับสัดส่วนเคมีเพื่อเร่งการตกตะกอน ดึงโลหะหนักออกจากน้ำดิบ
  • เติมคลอรีน ทั้ง Pre-Chlorine และ Post-Chlorine เพื่อฆ่าเชื้อโรคและคุมคุณภาพ
  • เสริมการเติมโพลิเมอร์และสารแทร็ก เพื่อให้โลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ฯลฯ) ตกตะกอนออกก่อนจ่ายเข้าสู่กระบวนการกรองขั้นสูง
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยนักวิทยาศาสตร์ กำกับทุกขั้นตอนจนถึงปลายทาง
  • สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำทั้งระบบ ส่งตรวจบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทุก 2 สัปดาห์

“น้ำประปา กปภ. สะอาด ปลอดภัย และดื่มได้จริงตามมาตรฐานสากล ผมกล้าการันตี” ผู้ว่าการ กปภ. กล่าว

รายงานผลตรวจล่าสุด ยืนยันไร้สารหนู-ประชาชนใช้น้ำได้ตามปกติ

ผลการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำประปาล่าสุดจาก กปภ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ยืนยันว่า น้ำประปาทุกจุดปลอดภัย ไร้สารหนู และผ่านค่ามาตรฐานทุกด้าน โดยมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ผ่านแฟนเพจของ กปภ.สาขาเชียงรายและแม่สายทุก 3 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และเน้นย้ำว่า หากพบค่าความขุ่นหรือสารปนเปื้อนเกินค่าควบคุมแม้แต่น้อย กปภ.จะดำเนินการหยุดจ่ายน้ำและหาแหล่งน้ำใหม่ทันที

นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการ กปภ. (ปฏิบัติการ 1) กล่าวย้ำกับประชาชนชาวเชียงรายว่า “มั่นใจได้น้ำประปาที่ผ่านการผลิตของ กปภ. ใช้อุปโภคบริโภคได้แน่นอน แต่ขอให้หลีกเลี่ยงการนำน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปใช้โดยตรง”

มาตรการและแนวทางเตรียมพร้อม กรณีวิกฤตสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบ

หากสถานการณ์น้ำดิบจากแม่น้ำกกในอนาคตมีสารปนเปื้อนเกินศักยภาพการบำบัด กปภ. มีแผนรองรับทันที ได้แก่

  • เปลี่ยนแหล่งน้ำดิบใหม่ ค้นหาน้ำดิบจากแหล่งที่มีปริมาณและคุณภาพเหมาะสม
  • เพิ่มการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจอย่างเข้มข้น
  • สื่อสารแจ้งเตือนประชาชนอย่างโปร่งใส

บทพิสูจน์ “กอบกู้ศรัทธา” ด้วยมาตรการโปร่งใส-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การดำเนินการของ กปภ.เชียงรายในวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของหน่วยงานรัฐที่กล้าเปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นการ “สร้างศรัทธาเชิงรุก” ต่อประชาชน และสร้างความมั่นใจด้วยข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์

  • การลงทุนเครื่องจ่ายสารเคมีและเทคโนโลยีทันสมัย มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ยืนยันถึงความจริงจังในคุณภาพน้ำ
  • โปร่งใส เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการสื่อสารความเสี่ยงภาครัฐ
  • วางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ สะท้อนความพร้อมต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของแม่น้ำกก

ขณะเดียวกัน กปภ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่า ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือระยะยาวจากทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่การประปา แต่ต้องร่วมแก้ไขที่ต้นน้ำและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • จัดทำแผนประชาสัมพันธ์วิทยาศาสตร์น้ำ ให้ประชาชนเข้าใจการบำบัดน้ำ
  • สนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำดิบโดยตรง
  • ยกระดับการดูแลแหล่งน้ำต้นน้ำ ร่วมกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข
  • เตรียมงบฉุกเฉินและแผนปฏิบัติการกรณีพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

บทสรุป

การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายกำลังยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการสื่อสารเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ในวิกฤตที่หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม “ความจริงใจและมาตรฐานสูงสุด” คือหัวใจที่ต้องยึดมั่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
  • รายงานคุณภาพน้ำประปา กปภ.สาขาเชียงราย
  • สัมภาษณ์ผู้ว่าการ กปภ.
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ กปภ.
  • WHO Guidelines for Drinking-water Quality
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“สารพิษแม่น้ำกก ไทย-เมียนมาผนึกกำลัง รัฐบาลย้ำความปลอดภัยประชาชน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันนายกรัฐมนตรีสั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารพิษ เตรียมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมถกเมียนมา-จีนและหน่วยงานระหว่างประเทศ ดันแนวทางจัดการต้นเหตุเหมืองทองฝั่งเมียนมา ยกระดับความร่วมมือข้ามพรมแดนสู่ความยั่งยืน

การขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลกลาง


เชียงราย, 29 มิถุนายน 2568 – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า พล.อ.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วยตนเองและติดตามปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานการปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเมียนมา โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง รวมถึงประสานขอความร่วมมือจากจีนและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างเร่งด่วนและยั่งยืน” นายมาริษกล่าว

เร่งเดินหน้าเจรจาเชิงเทคนิคกับเมียนมา-จีน

ในสัปดาห์หน้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะนำคณะผู้เชี่ยวชาญไทยเข้าหารือกับผู้เชี่ยวชาญเมียนมาที่กรุงเนปิดอว์ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบแนวทางแก้ไขเชิงระบบ ตั้งแต่การป้องกันต้นทาง การพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวัง การควบคุมไม่ให้สารพิษไหลลงสู่แม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายในการยุติผลกระทบระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดทางขอรับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP, UNDP และ GEF

ศูนย์อำนวยการคุณภาพน้ำส่วนหน้า สื่อสารใกล้ชิดประชาชน

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เปิดเผยถึงการเร่งขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จริง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำทุกมิติทั้งประปา สัตว์น้ำ พืชผล เกษตรกรรม ตลอดจนสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมจัดเวทีสาธารณะรับฟังข้อเสนอแนะ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำหนดแนวทางแก้ไข และสื่อสารความคืบหน้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เพจ “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)”, วิทยุชุมชน, เสียงตามสาย และหอกระจายข่าว

ความร่วมมือข้ามพรมแดน สู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นทรัพยากรร่วมระหว่างไทย-เมียนมา การแก้ไขจึงต้องเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ล่าสุดกรมกิจการชายแดนทหารได้หารือกับกองทัพเมียนมาเกี่ยวกับปัญหาสารหนู โดยเมียนมามอบหมายให้กรมทรัพยากรสิ่งแวดล้อมส่งทีมลงพื้นที่สำรวจเพื่อเตรียมพร้อมร่วมประชุม Regional Border Committee (RBC) 2–3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งฝ่ายไทยจะเสนอแนวทางความร่วมมืออย่างยั่งยืน และเตรียมการเจรจาระดับรัฐบาลในอนาคต

วิเคราะห์และแนวโน้มผลลัพธ์

การเดินหน้าเชิงรุกของรัฐบาล ทั้งในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบคุณภาพน้ำ และการขอความร่วมมือจากนานาชาติ สะท้อนความตั้งใจที่จะปกป้องสุขภาพประชาชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำกกอย่างยั่งยืน หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย จะช่วยสร้างความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาและสร้างแบบอย่างความร่วมมือชายแดนเพื่อปกป้องทรัพยากรน้ำของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ
  • กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ฝนถล่มเชียงราย น้ำป่าหลาก-สะพานขาด รัฐบาลชูแผนบริหารจัดการน้ำรับมือ

เชียงรายเผชิญน้ำท่วมฉับพลัน หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีสั่งระดมทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือ ย้ำต้องจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 27 มิถุนายน 2568 – รายงานข่าวจากหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกจนถึงเช้าวันนี้ ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในเขตอำเภอพญาเม็งรายและอำเภอเวียงชัย โดยชาวบ้านจำนวนมากต้องรีบขนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูงเพื่อความปลอดภัย พร้อมมีการเร่งระดมเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หลังปริมาณน้ำฝนสะสมที่วัดได้บางจุดสูงถึง 298.5 มิลลิเมตร

สถานการณ์น้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลากรุนแรงในพื้นที่เสี่ยง

นายอำเภอพญาเม็งรายได้สั่งการให้ปลัดอำเภอ ประสานการทำงานร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทันที โดยความเสียหายเบื้องต้นพบว่าสะพานเชื่อมต่อระหว่างหมู่ 4 ตำบลตาดควัน ไปยังหมู่ 1, 5, 16, 17 ตำบลแม่เปา ถูกกระแสน้ำตัดขาด ขณะเดียวกันพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ติดลำห้วยขุนแม่เปาก็ได้รับความเสียหายจำนวนมาก

ขณะที่ปริมาณน้ำฝนที่จุดวัด ณ วนอุทยานน้ำตกตาดสายรุ้ง บ้านป่าสา ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ในวันนี้ วัดได้ถึง 195 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติเมื่อเทียบกับสถิติในรอบหลายปี สร้างความกังวลถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำ

ผู้ว่าราชการจังหวัด-ภาครัฐทุกหน่วยงานลงพื้นที่ช่วยเหลือ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เขตเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งลงพื้นที่สำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการอพยพผู้ที่ติดอยู่ในจุดเสี่ยงออกไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว การแจกจ่ายถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม และอุปกรณ์ยังชีพที่จำเป็น ขณะเดียวกันได้จัดชุดแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีการประกาศเตือนภัยผ่านทุกช่องทาง รวมถึง Cell Broadcast และการแจ้งข่าวจากในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีสั่งการด่วน-บูรณาการทุกกระทรวงรับมือ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ยืนยันการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้กระทรวงกลาโหม ประสานความร่วมมือช่วยเหลือด้านกำลังพลและอุปกรณ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมขอให้ อปท. และปภ. เตรียมสิ่งของอุปโภคบริโภค และให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะกรมอุตุนิยมวิทยา เร่งประเมินสถานการณ์และแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบเป็นระยะ

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะดูแลทุกชีวิตอย่างดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยรัฐบาลมีแผนงานไว้แล้ว และขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์ปัจจัย-โครงสร้างและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์น้ำท่วมเชียงรายครั้งนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางด้านโครงสร้างพื้นฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการตัดขาดของสะพานและเส้นทางคมนาคมหลัก ซึ่งสร้างความลำบากให้ประชาชนในการเข้าถึงความช่วยเหลือและการเคลื่อนย้ายสิ่งของ นอกจากนี้ ปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติอาจเป็นผลจากสภาพอากาศแปรปรวนและภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับน้ำท่วมจึงกลายเป็นภารกิจสำคัญของจังหวัดและรัฐบาลกลาง ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ย่อมช่วยลดความเสียหายและความเสี่ยงในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เตือนภัยประชาชน-เฝ้าระวังสถานการณ์ต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยายังคงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้เฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่มในช่วงนี้ พร้อมขอความร่วมมือในการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News