Categories
SOCIETY & POLITICS

คุรุสภายกเลิกสอบ “วิชาเอก” คงเหลือสอบ “วิชาครู” เร่งป้อนกำลังคนเข้าสู่วิชาชีพ

สรุปประเด็นสำคัญ (Key Takeaways)

  • ประชาชนเรียกร้องเร่งด่วนที่สุด: ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย-ใช้ได้จริง (44.27%), ลดค่าใช้จ่ายให้เรียนฟรีจริงถึง ม.6 (44.05%), เน้นทักษะกับงานจริง (37.86%), ยกระดับความเท่าเทียม (35.95%)
  • ลดภาระครูคือคันโยกใหญ่: 57.40% มองว่าครูมีภาระงานที่ไม่ใช่งานสอนมากเกินไป และกว่า 80% เชื่อว่าการลดภาระช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริง
  • ก.ค.ศ. ปรับเกณฑ์วิทยฐานะ: ยึด “ผลงานเชิงประจักษ์” แทนงานวิจัยในหลายกรณี, ยกระดับกระบวนการประเมินผ่านระบบ DPA, กำหนดมาตรฐานงานวิจัยเชี่ยวชาญพิเศษให้พิมพ์ในวารสารที่มี peer-review
  • TRS ยืดหยุ่น-ลดต้นทุน: เปิดให้ระบุได้ 3 วิชาเอกต่อ 1 อัตราว่าง ลดค่าใช้จ่ายเอกสารรวมครูราว 14–21 ล้านบาท/ปี
  • คุรุสภา “ยกเลิกสอบวิชาเอก”: คงสอบเฉพาะ “วิชาครู”, เปิด “7 โมดูล” ขอ P-License ชั่วคราวให้ครูใหม่เข้าสู่ระบบเร็วขึ้น แต่ต้องออกแบบการเปลี่ยนผ่านให้เป็นธรรมต่อผู้ที่เคยสอบผ่านเกณฑ์เดิม

ปฏิรูปการศึกษาไทยเร่งเครื่อง นิด้าโพลชี้ “หลักสูตรล้าสมัย–ค่าใช้จ่ายแฝง” ขณะแกนกลางนโยบายขยับพร้อมกัน—ก.ค.ศ. ลดภาระครู–ยกระดับวิทยฐานะเชิงประจักษ์ คุรุสภายกเลิกสอบวิชาเอก จัด 7 โมดูล P-License

ประเทศไทย, 30 ตุลาคม 2568 — เสียงประชาชนต้องการ “ปรับหลักสูตร–ลดค่าเทอม” ทำทันที มากกว่า 44% สอดรับมติสำคัญ 30 ต.ค. 2568 ที่ขยับทั้งสมรรถนะครู ระบบย้ายครู และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แนวทางใหม่ถูกยกให้ลดภาระและเพิ่มความคล่องตัว แต่สังคมยังถกเถียงเรื่องมาตรฐานทางวิชาการและมาตรการเยียวยาผู้ที่ผ่านการสอบวิชาเอกเดิม

 สัญญาณการปฏิรูปการศึกษาไทยเดินหน้าเป็นรูปธรรม เมื่อผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดย “นิด้าโพล ร่วมกับ Thailand Education Partnership (TEP)” ระหว่างวันที่ 17–21 ตุลาคม 2568 ชี้ชัด “หลักสูตรไม่ทันสมัย” และ “ขาดทักษะทำงาน” เป็นปัญหาเร่งด่วน ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การนำของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เร่งเครื่องสองแนวรุกพร้อมกัน—คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ปรับเกณฑ์วิทยฐานะแบบยึดผลงานเชิงประจักษ์และลดภาระเอกสาร พร้อมยกระดับระบบย้ายครู (TRS) ให้ยืดหยุ่น ส่วนคุรุสภา “ยกเลิกสอบวิชาเอก” คงเฉพาะ “วิชาครู” และจัดหลักสูตร 7 โมดูลเพื่อขอใบอนุญาตชั่วคราว (P-License) เพื่อเปิดทางให้ครูรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบเร็วขึ้น

เสียงของประชาชนต่อการศึกษาไทย

ผลสำรวจ “ต้อนรับรัฐบาลใหม่ แก้ปัญหาการศึกษาไทย” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,310 คนทั่วประเทศ สะท้อนภาพความคาดหวังที่ชัดเจนต่อรัฐบาลชุดใหม่ โดยปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) หลักสูตรล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ร้อยละ 49.31 (2) หลักสูตรขาดการฝึกทักษะและประสบการณ์สำหรับการทำงานจริง ร้อยละ 48.09 และ (3) ความปลอดภัยในโรงเรียน (บูลลี่ การล่วงละเมิด ยาเสพติด แก๊งเด็กเกเร) ร้อยละ 38.78 ขณะเดียวกัน ประเด็น “คุณภาพโรงเรียน/ครูไม่เท่ากัน” (ร้อยละ 37.33) และ “เรียนฟรีไม่มีจริงเพราะมีค่าใช้จ่ายแฝง” (ร้อยละ 31.30) ถูกยกเป็นปัญหาหนักต่อความเสมอภาคและภาระครัวเรือน

สิ่งที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลทำ “ทันที” สะท้อนความเป็นรูปธรรมสองด้าน ได้แก่ “ปรับหลักสูตร–การเรียนรู้ให้ทันสมัย ใช้ได้จริง” ร้อยละ 44.27 และ “ลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ให้เรียนฟรีจริงถึง ม.6” ร้อยละ 44.05 ตามด้วย “เน้นฝึกทักษะเพื่อการทำงานจริง” ร้อยละ 37.86 และ “เพิ่มโอกาส–ความเท่าเทียมทางการศึกษา” ร้อยละ 35.95 ประชาชนกว่าร้อยละ 80 เชื่อว่าการลดภาระงานที่มิใช่งานสอนของครูจะช่วยขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา โดยร้อยละ 55.19 ระบุ “ช่วยได้มากแน่นอน” และร้อยละ 25.50 ระบุ “ค่อนข้างช่วยได้”

ด้านความรู้สึกต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการแก้ปัญหาการศึกษา สังคมยัง “หวังแบบระแวดระวัง” ร้อยละ 30.84 ระบุ “กังวลแต่ยังมีความหวัง” ขณะที่ร้อยละ 25.11 ระบุ “ไม่กังวลแต่ไม่มีความหวัง” และร้อยละ 21.99 ระบุ “ไม่กังวลและมีความหวัง” สัญญาณนี้ชี้ว่าประชาชนพร้อม “ให้โอกาส” แต่จะติดตาม “ผลลัพธ์จริง” อย่างใกล้ชิด

มติก.ค.ศ.—วิทยฐานะเชิงประจักษ์ ลดภาระงานครู และ TRS ยืดหยุ่น

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมก.ค.ศ. ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน มีมติสำคัญเพื่อลดภาระงาน บูรณาการเกณฑ์วิทยฐานะให้ยึด “ผลการปฏิบัติหน้าที่/ผลงานเชิงประจักษ์” เป็นฐานหลัก มากกว่าการ “ผลิตงานวิจัย” เป็นรายชิ้น ดังสรุปสาระสำคัญดังนี้

  • โครงสร้างผลงานทางวิชาการ แบ่ง 2 ประเภท ได้แก่ (1) รายงานการสร้าง/พัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ และ (2) รายงานการวิจัย (กรณีทำร่วมต้องมีส่วนร่วม ≥60%)
  • วิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ หากเสนอเป็นงานวิจัย ต้องตีพิมพ์ในวารสารที่ผ่าน peer-review ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1 หรือ 2 หรือฐานข้อมูลวิชาการนานาชาติ
  • ระบบประเมินด้านที่ 3 (ผลงานทางวิชาการ) ผ่าน DPA ปรับกระบวนการเป็นความลับ โปร่งใส และมีคณะกรรมการ 3 คน พร้อมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • วันมีผลใช้บังคับ ส่วนใหญ่ (ว 9–11/2564 และ ว 18/2567) เริ่ม 16 พฤษภาคม 2569 ส่วนการแก้ไข ว 12/2564 เริ่ม 1 ธันวาคม 2568 โดยคำขอที่ยื่นไปก่อนยังให้เดินตามหลักเกณฑ์เดิมจนแล้วเสร็จ

ขนานไปกับเกณฑ์วิทยฐานะ ก.ค.ศ. เห็นชอบแนวทางพัฒนา ระบบย้ายครู TRS ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มโอกาสการย้าย ลดต้นทุนเอกสาร และจัดคนให้เหมาะสมกับงานมากขึ้น โดยปรับ “ความยืดหยุ่นของตำแหน่งว่าง” จากเดิม 1 วิชาเอก/อัตราว่าง เป็น “ระบุกลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก” ได้สูงสุด 3 สาขา/อัตราว่าง ช่วยให้โรงเรียนเติมเต็มครูครบชั้น ครบวิชา สอดรับบริบทพื้นที่ นอกจากนี้ การทำคำร้องย้ายกว่า 70,000 คำร้อง/ปี จะลดค่าใช้จ่ายรวมราว 14–21 ล้านบาท/ปี จากการใช้ดิจิทัลสนับสนุนแทนเอกสารแบบเดิม

ในเชิงนโยบาย มติก.ค.ศ. สอดรับผลสำรวจที่สะท้อนว่าครู “แบกภาระงานนอกสอนมากเกินไป” (ร้อยละ 57.40) โดยการปรับเกณฑ์และระบบงานบุคคลที่ยึด “ผลงานจริง” และ “การใช้เทคโนโลยี” อาจช่วยคืนเวลาให้ครูได้โฟกัสกับการสอนและพัฒนาผู้เรียนมากขึ้น

มติคุรุสภา—ยกเลิกสอบวิชาเอก คงเฉพาะ “วิชาครู” และ 7 โมดูล P-License

ในวันเดียวกัน คุรุสภามีมติซึ่งถือเป็น “การปรับเชิงระบบ” ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี โดย ยกเลิกการสอบวิชาเอก และคงไว้เฉพาะการสอบ “วิชาครู” มีผลตั้งแต่สนามสอบเดือน มกราคม 2569 เป็นต้นไป เหตุผลสำคัญคือการลดภาระผู้เข้าสอบและทำให้การทดสอบ “ตรงประเด็น” มากขึ้น ในขณะที่มาตรฐานความรู้วิชาเอกให้พึ่งพา “ระบบประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย” ภายใต้กำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และการคัดกรองภายหลังผ่านสนามสอบบรรจุครูผู้ช่วย

ควบคู่กัน คุรุสภาจะจัดทำ หลักสูตร “7 โมดูล” เพื่อขอ ใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่ครู (P-License) ซึ่งเป็นใบอนุญาตชั่วคราวสำหรับผู้จบหลักสูตรที่คุรุสภารับรองแล้วแต่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถนะ ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “เปิดทางวิชาชีพครูรุ่นใหม่” ให้เข้าสู่ห้องเรียนเร็วขึ้น สอดรับโจทย์ความขาดแคลนครูในบางกลุ่มวิชา และใช้ช่วงเวลาปฏิบัติการเป็น “สะพาน” เตรียมความพร้อมก่อนยื่นขอใบอนุญาตถาวร

มติดังกล่าวตามมาด้วยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ และการรับรองคุณวุฒิ/หลักสูตรของสถาบันการศึกษาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ห่วงโซ่การผลิตครูสอดคล้องกับทิศทางใหม่ทั้งเชิงมาตรฐานและตลาดแรงงาน

ปฏิกิริยาและข้อถกเถียง มาตรฐาน–ความเป็นธรรม–การเยียวยา

แม้มติ “ยกเลิกสอบวิชาเอก” จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เห็นว่าช่วยลดภาระและซ้ำซ้อนของระบบเดิม แต่แรงสะท้อนจากผู้เข้าสอบบางรุ่น—โดยเฉพาะกลุ่มที่ผ่านวิชาเอกมาแล้ว (“รุ่น 66”)—สะท้อน “ความค้างคาใจ” และคำถามเรื่องความเสมอภาคของผู้ที่ลงทุนทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการสอบเดิม ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพครูอย่าง รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ก็ชี้ให้เห็น “เหตุผลด้านสมรรถนะวิชาชีพ” ว่าความรู้เฉพาะทางของวิชาเอกเป็นรากฐานที่จะส่งผลต่อคุณภาพการสอนและผลลัพธ์ผู้เรียน จึงควรมีระบบประกันคุณภาพที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ

ในเชิงนโยบาย คำถามที่ท้าทายมีอย่างน้อยสามมิติ

  1. มาตรฐานทางวิชาการ: เมื่อ “วิชาเอก” ไม่ใช่สนามสอบกลาง สิ่งทดแทนคืออะไร?—คำตอบหนึ่งคือ “ระบบประกันคุณภาพมหาวิทยาลัย” และ “สนามบรรจุครูผู้ช่วย” จะต้องเข้มข้น โปร่งใส และอธิบายได้ว่าควบคุมคุณภาพเชิงเนื้อหาเพียงพอ
  2. ความเป็นธรรมและการเยียวยา: กลุ่มที่ผ่านวิชาเอกเดิมควรได้รับการชดเชยหรือเทียบโอนคุณค่า (recognition) อย่างไร เพื่อไม่ให้ “ภาระที่ได้จ่ายไปแล้ว” กลายเป็น “ต้นทุนจม” ทางนโยบาย
  3. การสื่อสารสาธารณะ: เมื่อสังคม “กังวลแต่ยังมีความหวัง” ภาครัฐจำเป็นต้องจัดทำคำอธิบายนโยบายอย่างเป็นระบบ มี “ไทม์ไลน์–คู่มือ–FAQ” ที่ตอบคำถามเชิงปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารสถานศึกษาปรับตัวทันเวลา

ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)

  • ครูในระบบ: การประเมินวิทยฐานะที่ยึด “ผลงานเชิงประจักษ์” ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูที่ทำงานกับผู้เรียนจริงได้สะท้อนคุณค่าการทำงานผ่านนวัตกรรมชั้นเรียน/การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน แทนการต้องจัดทำงานวิจัยรูปแบบเดิม ลดภาระงานเอกสาร และทำให้ “เวลาสอน” กลับมาเป็นหัวใจ
  • ครูรุ่นใหม่/ผู้จบใหม่: การมี P-License 7 โมดูล ทำให้เข้าสู่ระบบงานสอนได้เร็วขึ้น มีเวลาพัฒนาทักษะบนเวทีจริง แต่ต้องแลกกับวินัยตนเองในการสะสมสมรรถนะเพื่อขอใบอนุญาตถาวรในอนาคต
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันผลิตครู: บทบาท “แนวหน้า” ด้านประกันคุณภาพความรู้วิชาเอกจะเพิ่มขึ้น ต้องทำให้มาตรฐาน หลักสูตร และการประเมินผล “ตรวจสอบได้–เปรียบเทียบกันได้” และสอดรับตลาดแรงงาน
  • ผู้ปกครอง/นักเรียน: คาดหวัง “คุณภาพในห้องเรียน” ที่สัมผัสได้—ความปลอดภัย บรรยากาศการเรียนรู้ และทักษะเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันยังหวังให้รัฐลดค่าใช้จ่ายแฝงเพื่อทำให้ “เรียนฟรี” เป็นจริงมากขึ้น
  • ผู้กำหนดนโยบาย: ต้องสร้างสมดุลระหว่าง “ลดภาระ” กับ “คงมาตรฐาน” พร้อมระบบติดตามประเมินผล (M&E) ที่วัดผลลัพธ์จริงของผู้เรียนและโรงเรียน และมีฐานข้อมูลสาธารณะให้ตรวจสอบได้

ความเสี่ยง–โอกาส และตัวชี้วัดความสำเร็จ

โอกาส ของแพ็กเกจปฏิรูปคือการทำให้ “เวลาและแรงครู” กลับคืนสู่ห้องเรียน ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย เน้นทักษะ และขยายโอกาสการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม หากทำสำเร็จ สังคมจะเห็นคุณภาพผู้เรียนที่ “ใช้การได้จริง” ในตลาดแรงงาน พร้อมการลดภาระทางการเงินของครัวเรือน

ความเสี่ยง อยู่ที่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” หากมาตรการรองรับไม่ชัดเจน อาจเกิดความสับสนในสนามสอบและการรับรองคุณวุฒิ ผลักภาระไปยังสถาบันผลิตครูโดยขาดทรัพยากรสนับสนุน และเกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ปฏิบัติตามกติกาเดิมแล้วผ่านเกณฑ์ไปก่อนหน้า

ตัวชี้วัด ที่ควรถูกติดตาม ได้แก่

  • เวลาเฉลี่ยที่ครูใช้กับงานสอน/เตรียมสอนต่อสัปดาห์ (ควรเพิ่มขึ้น)
  • สัดส่วน/ตัวอย่าง “ผลงานเชิงประจักษ์” ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ผู้เรียน (เช่น อัตราการอ่านออกเขียนได้ ระดับชั้นประถม การคิดวิเคราะห์ระดับมัธยม และทักษะอาชีพ/ดิจิทัล)
  • อัตราการย้ายครูที่ตอบโจทย์ “ครบชั้น–ครบวิชา” ภายในจังหวัด/เขต และความพึงพอใจของครูต่อระบบ TRS
  • ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของครัวเรือน (ค่าใช้จ่ายแฝง) และดัชนีความปลอดภัยในโรงเรียน
  • คุณภาพผลการเรียนรู้ที่วัดด้วยการประเมินภายนอกและเส้นทางสู่อาชีพหลังจบการศึกษา

สิ่งที่ต้องจับตา (What to Watch)

  1. คู่มือ–แนวปฏิบัติ–FAQ: ศธ./ก.ค.ศ./คุรุสภาจะสื่อสารชุดเอกสารอธิบายนโยบายอย่างละเอียดทันเวลาเพียงใด
  2. มาตรการเยียวยา/เทียบโอน: จะมีรูปแบบการรับรองคุณค่าแก่ผู้ที่สอบวิชาเอกผ่านแล้วอย่างไร
  3. ความเข้มแข็งของระบบประกันคุณภาพมหาวิทยาลัย: จะตอบโจทย์มาตรฐานความรู้วิชาเอกให้สังคมเชื่อมั่นได้แค่ไหน
  4. หลักสูตร 7 โมดูล P-License: เนื้อหา–กลไกประเมิน–คุณภาพการนิเทศภาคสนาม เพียงพอหรือไม่
  5. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ผู้เรียน: ภาคนโยบายจะรายงานข้อมูลผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ต่อสาธารณะเป็นระยะอย่างไร

ผลสำรวจสะท้อน “ความต้องการที่ชัดเจน” ของประชาชนให้รัฐ “ปรับหลักสูตร–ลดค่าใช้จ่าย” และ “คืนเวลาให้ครูได้สอน” มติของก.ค.ศ. และคุรุสภาในวันเดียวกันจึงถือเป็นการ “ล็อกทิศ” จากระบบเดิมที่พึ่งพาเอกสารและเส้นทางสอบหลายด่าน ไปสู่ระบบที่ยึด “ผลงานในห้องเรียนจริง” และ “การรับรองคุณภาพโดยสถาบันผลิตครู” อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสมกับผู้ที่ผ่านเกณฑ์เดิม สื่อสารอย่างโปร่งใส และวัดผลด้วยตัวชี้วัดผลลัพธ์ผู้เรียนที่ตรวจสอบได้ เพื่อให้สังคมมั่นใจว่า “ลดภาระ” แล้ว “คุณภาพดีขึ้นจริง” ตามที่ประชาชนคาดหวัง

สถิติสำคัญจากผลสำรวจ (คัดประเด็น)

  • ปัญหาเร่งด่วน: หลักสูตรล้าสมัย 49.31% | ขาดทักษะทำงานจริง 48.09% | ความปลอดภัยในโรงเรียน 38.78%
  • สิ่งที่อยากให้ทำทันที: ปรับหลักสูตร–ใช้ได้จริง 44.27% | ลดค่าใช้จ่าย–เรียนฟรีจริงถึง ม.6 44.05% | เน้นฝึกทักษะเพื่อการทำงาน 37.86%
  • ภาระครู: ประชาชน 57.40% เห็นว่าครูมีภาระงานอื่นมากเกินไป | กว่า 80% เชื่อว่าลดภาระช่วยคุณภาพการศึกษา
  • ความรู้สึกต่อรัฐบาล: “กังวลแต่ยังมีหวัง” 30.84% | “ไม่กังวลแต่ไม่มีความหวัง” 25.11% | “ไม่กังวลและมีความหวัง” 21.99%
  • TRS และต้นทุน: คำร้องย้ายเฉลี่ย ~70,000 เรื่อง/ปี | ลดค่าใช้จ่ายโดยรวม ~14–21 ล้านบาท/ปี หลังใช้ดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย (Thailand Education Partnership – TEP
  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
  •  คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.
  • รศ.ดร.สมบัติ นพรัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ศธ.เข้ม! ฟันวินัยครูยุ่งบุหรี่ไฟฟ้า สร้างโรงเรียนปลอดภัย

ศธ. เดินหน้ายกระดับมาตรการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา

ประกาศใช้มาตรการเข้มงวด ป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดในการป้องกันและปราบปรามการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา โดยระบุว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติดเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและพฤติกรรมของนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม การเรียน และอนาคตของเยาวชนไทย กระทรวงศึกษาธิการจึงได้วางแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้น

มาตรการในระยะสั้นมุ่งเน้นการป้องกันและลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนและนักศึกษา โดยดำเนินการดังนี้:

  • กำหนดเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา
  • สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • บูรณาการการเรียนการสอนเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
  • ปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนให้รัดกุมขึ้น
  • ประชาสัมพันธ์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการรับรู้
  • พัฒนาบุคลากรให้สามารถป้องกันและให้คำแนะนำเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าได้
  • ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในการควบคุมและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

มาตรการระยะกลางเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายเยาวชน

ในระยะกลาง กระทรวงศึกษาธิการจะขยายผลแนวทางป้องกันและเฝ้าระวัง โดยใช้เทคนิค “เพื่อนเตือนเพื่อน” ผ่านกิจกรรมของสภานักเรียน พร้อมกับสร้างแกนนำเยาวชนในการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีการ:

  • ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อจัดสัมมนาและกิจกรรมรณรงค์
  • ปรับปรุงหลักสูตรอบรมบุคลากรให้มีเนื้อหาครอบคลุมการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้า
  • บูรณาการมาตรการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว

มาตรการระยะยาวเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมเยาวชน

มาตรการในระยะยาวจะเน้นการปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งด้านกฎหมายและสุขภาพ รวมถึง:

  • เสริมบทบาทของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤติในการเฝ้าระวัง
  • ให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและชุมชนเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า
  • ปรับปรุงกฎหมายให้ข้าราชการมีอำนาจในการตรวจค้นและทำลายบุหรี่ไฟฟ้า
  • คาดโทษทางวินัยบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า

บทลงโทษสำหรับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า

เพื่อให้บุคลากรในสังกัดเป็นแบบอย่างที่ดี กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดบทลงโทษทางวินัยสำหรับผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า โดยย้ำว่า ข้าราชการครูและบุคลากรทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเรียน

สถิติการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทย

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2567 พบว่า จำนวนเยาวชนไทยที่เคยทดลองใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนสูงถึง 15% ของกลุ่มอายุ 15-24 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีเพียง 12% นอกจากนี้ การสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษามีแนวโน้มใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา ซึ่งนอกจากจะเป็นการปกป้องสุขภาพของเยาวชนแล้ว ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อการเรียนรู้ในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อาชีวะ ร่วมด้วยช่วยประชาชน” ฟื้นฟู เชียงราย และตั้งศูนย์ Fix it Center ให้บริการ

 

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานปล่อยคาราวาน “อาชีวะ ร่วมด้วยช่วยประชาชน” ฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย และตั้งศูนย์ Fix it Center ให้บริการ พร้อมนำผ้ายันต์ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ สมเด็จเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ไม่ประมาท แคล้วคลาด ปลอดภัย ให้กับผู้เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ด้วย ในการนี้ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) และคณะผู้บริหาร ศธ. เข้าร่วม ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

 

รมว.ศธ. เปิดเผยว่า คาราวาน “อาชีวะ ร่วมด้วยช่วยประชาชน” เพื่อช่วยฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในอำเภอแม่สาย และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทีมอาชีวะ กว่า 403 คน จากวิทยาลัยในสังกัด สอศ. ที่เข้าร่วม จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 3-7 ตุลาคม 2567 แต่ในเบื้องต้นจากการลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหาย พบว่าประชาชนยังต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ จึงขยายต่อไปอีก 15 วัน ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 22 ตุลาคม ในพื้นที่อำเภอแม่สาย 2 จุด คือ วัดผาสุการาม บ้านไม้ลุงขน และชุมชนบ้านเหมืองแดง แบ่งทีมดำเนินงานเป็น 1. ทีมฟื้นฟูพื้นที่ เป็นนักเรียน นักศึกษา 137 คน จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 11 แห่ง ในภาคเหนือ ปฏิบัติงานทำความสะอาด ขุดลอก และดันโคลนในพื้นที่สาธารณะ วัด โรงเรียน และชุมชน โดยใช้รถแม็คโคร รถแทรกเตอร์ รถบรรทุก จากวิทยาลัยฯ ช่วยตักและขนดินโคลนจำนวนมาก และนำสิ่งประดิษฐ์ “รถเข็นดันโคลน” จากวิทยาลัยเทคนิคลำพูน และวิทยาลัยอื่นๆ จำนวน 100 คัน มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว และ 2. ทีม Fix it Center เป็นนักเรียน นักศึกษา จำนวน 266 คน จากวิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยการอาชีพ และวิทยาลัยอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก แพร่ ลำปาง ให้บริการล้างทำความสะอาด สิ่งของที่จมโคลนจากน้ำท่วม และซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือการเกษตร เช่นเครื่อสูบน้ำ และรถจักรยานยนต์ อาทิ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจเช็คระบบไฟฟ้า ฟรี แก่ประชาชน

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ได้รับรายงานจาก เลขาธิการ อาชีวะ เบื้องต้นพบว่ามีประชาชนนำสิ่งของ รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องตัดหญ้า ปั๊มน้ำ มาใช้บริการล้างดินโคลน และซ่อมแซมแล้วกว่า 500 รายการ เนื่องจากมีดินโคลนเยอะมากและจมน้ำ จึงต้องใช้เวลาในการล้างนาน นอกจากนี้ยังเข้าพื้นที่สาธารณะ ชุมชน วัด โรงเรียน ล้างดิน ดันโคลน ล้างพื้น ขุดโคลนจากท่อระบายน้ำ สูบน้ำโคลน กว่า 15 จุด ในอำเภอแม่สาย

 

“กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุการณ์น้ำท่วมช่วงก่อนหน้านี้ ได้จัดตั้งศูนย์ Fix it Center 70 ศูนย์ ในจังหวัดเชียงราย หนองคาย และบึงกาฬ ช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไปแล้วกว่า 8,000 รายการ และในครั้งนี้ได้มาช่วยเร่งฟื้นฟูสภาพพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย วัด สถานศึกษา และพื้นที่สาธารณะ กลับมาในสภาพเดิมมากที่สุด และสามารถดำเนินชีวิตได้ดังเดิม ทุกคน คือ ผู้มีจิตอาสา และพร้อมให้ความช่วยเหลือในการดำเนินงานครั้งนี้อย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ และนักเรียน นักศึกษา ยังได้นำความรู้มาปฏิบัติงานในสถานการณ์จริง เพิ่มพูนทักษะวิชาชีพด้วย ซึ่งทีมอาชีวะจะหมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น สำหรับการดูแลนักเรียน นักศึกษา และผู้มาปฏิบัติงาน ได้จัดให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาแม่สายเป็นที่พัก มีอาหารครบมื้อ และอำนวยความสะดวกต่างๆ ส่วนโรงครัวจัดทำที่โรงเรียนบ้านเหมืองแดง แจกจ่ายอาหารให้กับทั้งทีมปฏิบัติงานและประชาชนในพื้นที่ด้วย โดย ศธ. พร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างแท้จริง ย้ำการทำงานภายใต้สโลแกน 3 ท. ทำดี ทำได้ ทำทันทีปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาทและอยู่ในความปลอดภัย

 

ทั้งนี้ มีสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแกนหลักนำทีมอาชีวศึกษา และได้รับความร่วมมือจากวิทยาลัยสังกัด สอศ. ทั่วประเทศ ร่วมมือ ร่วมใจให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รมว.ศึกษาธิการ ลงพื้นเชียงราย การดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล

 

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 10.00 น. พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี อ.แม่ฟ้าหลวง สังกัด สพป.เชียงราย เขต 3 โดยมี นายศุภโชค ปิยะสันติ์ ผอ.โรงเรียน คณะครูและนักเรียนให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงานการจัดการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล จุดที่ 1 ศูนย์การเรียนเกษตร จุดที่ 2 ห้องสมุด & ร้านกาแฟ (นักเรียนดำเนินการเอง) จุดที่ 3 การเรียนแบบจิตศึกษา สร้างสมาธิ (แก้ปัญหาการอ่าน การเขียน ภาษาไทย) จุดที่ 4 Art for Living จุดที่ 5 ห้องเรียนคหกรรมศาสตร์ โดยแต่ละจุดมีนักเรียนในระดับชั้นต่างๆ นำเสนอการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ตามนโยบายเรียนดี มีความสุข ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โอกาสนี้ นายวัลลภ ไม้จำปา รองศึกษาธิการภาค 17 พร้อมด้วย นายเกรียงศักดิ์ ยอดสาร ผอ.สพม.เชียงราย นายวิเศษ เชยกระรินทร์ ผอ.สพป.เชียงราย เขต 3 นายมรกต อนุเคราะห์ ผอ.สพป.เชียงราย เขต 1 นางกัญจนา สัตตรัตนำพร ผอ.สพป.เชียงราย เขต 4 และผู้เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับและรายงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง


โรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2507 โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ 61 ต่อมาได้โอนมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ในปี พ.ศ. 2520 โรงเรียนได้ขยายโอกาสทางการศึกษาและได้เริ่มจัดการเรียนการสอนในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ตามแผนพัฒนาการศึกษาของโครงการพัฒนาดอยตุง(พื้นที่ทรงงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตั้งแต่ปีการศึกษา 2547 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสให้แก่นักเรียนชาวเขา ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ได้เรียนจนจบการศึกษาชั้นพื้นฐาน และนำความรู้กลับมาพัฒนาท้องถิ่นของตน
 

ในระยะเริ่มต้นได้ดำเนินการโดยเปิดเป็นห้องเรียนในสาขาของโรงเรียนแม่จันวิทยาคม และใช้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมป็นสถานที่ในการจัดการเรียนการสอน ต่อมาจึงได้รับอนุมัติให้เปิดขยายชั้นเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และจัดการเรียนการสอนด้วยตนเองตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เป็นต้นมา ปีการศึกษา 2550 ให้ย้ายสถานที่มายังโรงเรียนแห่งใหม่ซึ่งได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง จำนวน 13 ล้านเศษ บนพื้นที่ 7 ไร่ 11 ตารางวา ซึ่งเป็นสำนักงานชั่วคราวของแขวงการทางลำปาง โรงเรียนได้จัดการศึกษาโดยยึดพระราชปณิธานของสมเด็จย่าที่ว่า “ช่วยเขา ให้เขาช่วยตัวเขา เอง” โดยมี นายศุภโชค ปิยะสันติ์ เป็นผู้อำนวยการ ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 34 คน นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1- มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 426 คน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“เพิ่มพูน” รมว.ศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยม โรงเรียนอนุบาลเชียงราย สพป.ชร.1

 

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการตรวจเยี่ยมโรงเรียนอนุบาลเชียงราย ในการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีฯ “เรียนดี มีความสุข” นอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (จังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา และแพร่)

 

โดยมี นายมรกต อนุเคราะห์ ผอ.สพป.เชียงราย เขต 1 และ นายพิษณุ คามวาสี ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเชียงราย พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียนให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชม โรงเรียนอนุบาลเชียงราย โรงเรียนมาตรฐานสากล World class Standard School เป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม
 
 
โดยมีการจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่หลากหลายรูปแบบตามนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” เป็นการนำนโยบายด้านการศึกษาสู่การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนและประชาชน ณ โรงเรียนอนุบาลเชียงราย (พื้นที่สันต้นเปา) ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงเรียนอนุบาลเชียงราย สพป.ชร.1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS NEWS

เปิดปฏิทินสอบรับสมัครสอบ แข่งขันครูผู้ช่วย ปี 66

เปิดปฏิทินสอบรับสมัครสอบ แข่งขันครูผู้ช่วย ปี 66

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อเวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 ..ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือสพฐกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศวันรับสมัครสอบครูผู้ช่วย ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 6 มิถุนายน 2566 เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ..กำหนด จึงได้กำหนดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี .. 2566 ดังนี้

 

1. ประกาศรับสมัคร / ภายในวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566

2. รับสมัคร / วันพุธที่ 31 พฤษภาคม – วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2566 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)

3. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ ภาค  และ ภาค  / ภายในวันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2566

4. ประเมินจากการสอบข้อเขียน

ภาค  ความรู้ความสามารถทั่วไป / วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2566

ภาค  มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ / วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2566

5. ประกาศรายชื่อผู้ผ่าน ภาค  และ ภาค  เพื่อมีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค  / ภายในวันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม2566

6. ประเมินจากการสัมภาษณ์ แฟ้มสะสมงาน และการนำเสนอที่แสดงถึงทักษะและศักยภาพด้านการจัดการเรียนการสอน ภาค  ความเหมาะสมกับตำแหน่ง วิชาชีพและการปฏิบัติงานในสถานศึกษา / ตามวันและเวลาที่ ...เขตพื้นที่การศึกษาหรือ ...สศศกำหนด (ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2566)

7. ประกาศผลการสอบแข่งขัน / ตามวันและเวลาที่ ...เขตพื้นที่การศึกษาหรือ ...สศศกำหนด (ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2566)

 

..ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.obec.go.th หรือโทร. 02 2885511 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลห่วงใยผู้สมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุ และแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย ให้ระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสหลอกลวงเรียกรับเงิน หรือผลประโยชน์โดยแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้สอบผ่าน หรือเข้ารับการบรรจุในตำแหน่งครูผู้ช่วยได้  หากพบเห็นผู้ที่มีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบทันที หากพบมีการหลอกลวงจริงจะดำเนินคดีตามกฎหมายในทันที 

 

ที่สำคัญกระบวนการรับสมัครและจัดสอบครูผู้ช่วยต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เพราะหากผู้สมัครเข้ามาสอบรับราชการด้วยวิธีการทุจริต ย่อมกระทบจรรยาบรรณวิชาชีพ อาจถูกตัดสิทธิสอบครูผู้ช่วยตลอดชีวิตและไม่มีสิทธิสอบเป็นข้าราชการได้อีก..ทิพานัน กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สพฐ

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE