Categories
TOP STORIES

โขน-ผ้าไทย-ป่า! 9 พระราชกรณียกิจที่ยังขับเคลื่อนเมืองไทย สู่ Soft Power ยั่งยืน

9 พระราชกรณียกิจ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โอบอุ้มประชาราษฎร์ให้ยั่งยืน—จากศิลปาชีพ ผืนป่า น้ำ และการศึกษา สู่ภูมิคุ้มกันสังคมไทยระยะยาว

ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนดอยสูงอันชื้นเย็นของภาคเหนือ เราเห็นเงาคนงานชุมชนเดินเรียงในแสงแรก หลายคนสวมซิ่นทอลวดลายดั้งเดิม บางคนอุ้มตะกร้าใส่เมล็ดพันธุ์แห้ง เตรียมลงแปลงผักตามรอยคันนาที่ถูกจัดแบบขั้นบันไดอย่างประณีต ภาพเล็กๆ เช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในหมู่บ้านนับพันทั่วประเทศ และล้วนมี “เส้นด้าย” เดียวกันผูกโยง—พระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงบุกป่าฝ่าดอย โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปเยี่ยมราษฎรทุกภาคส่วนต่อเนื่องหลายทศวรรษ วางรากฐาน “อยู่ดีกินดี” ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ครอบคลุมศิลปวัฒนธรรม อาชีพ สุขภาพ ป่าไม้ น้ำ การศึกษา และการคุ้มครองผู้เปราะบาง

บนโอกาสแห่งการระลึกพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานแนวทางพัฒนา ผู้สื่อข่าวได้ถอดบทเรียน 9 พระราชกรณียกิจ ที่ยังคงขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่จริง—ตั้งแต่ลุ่มน้ำที่ไหลลงทุ่ง ไปจนถึงเข็มทอที่เคลื่อนไปบนกี่—เพื่อชี้ให้เห็น “แกนหลักของเรื่อง” ว่าพระราชกรณียกิจเหล่านี้ไม่ใช่เพียงงานการกุศลเฉพาะหน้า หากคือ “ระบบนิเวศการพัฒนา” ที่ทำให้ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันยั่งยืน

1) “ศิลปาชีพ” และการฟื้นผ้าไทย: จากงานบ้านเป็น “อุตสาหกรรมสร้างคุณค่า”

ในยามที่ผ้าไหมและหัตถกรรมพื้นบ้านเคยถูกเมิน พระองค์ทรงหยิบยกให้กลับมามีศักดิ์ศรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ พระองค์มี พระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งงานส่งเสริมการทอผ้าไหม เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ท่ามกลางวิกฤต ก่อเกิดโครงสร้าง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT)” เป็นกลไกขับเคลื่อนอาชีพทั่วประเทศ

ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม—ในระดับ “อัตลักษณ์ชาติ”—คือการที่ผ้าไทยก้าวพ้นความเป็นเครื่องนุ่งห่มท้องถิ่น สู่แฟชั่นร่วมสมัยที่คนทั้งโลกชื่นชม (พระองค์ทรงได้รับการยกย่องใน พ.ศ. 2505 ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งพระองค์งามที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นนานาชาติ) ขณะเดียวกัน นโยบายรัฐช่วงหลังยังต่อยอดการสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน (คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย” ให้หน่วยงานส่งเสริมการแต่งผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทอผ้า—ปั่นไหม–ย้อมสีธรรมชาติ–ออกแบบ–แปรรูป—คึกคักขึ้น ผู้ทอมีอำนาจต่อรองมากขึ้น และชุมชนสามารถรักษาลวดลายเฉพาะถิ่นไว้ได้โดยมีตลาดรองรับ

แกนสำคัญ ไม่ใช่เพียง “ขายได้” แต่คือการยกระดับ “ความรู้-มาตรฐาน-การตลาด” จนผ้าไทยกลายเป็นสินค้าคุณภาพสูง ส่งมูลค่าเพิ่มกลับสู่มือชุมชน เป็น Soft Power ที่ทรงพลังกว่าการประชาสัมพันธ์ใดๆ

2) พระราชทานความคุ้มครองด้านสาธารณสุข: จากหน่วยแพทย์พระราชทานถึงยุคโรคอุบัติใหม่

การเดินทางไปทุกพื้นที่ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น “ช่องว่างสุขภาพ” ของชนบท พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัด คณะแพทย์ตามเสด็จ วางฐานสู่ หน่วยแพทย์พระราชทาน” ที่ยังทำงานอยู่จนปัจจุบัน ควบคู่การสนับสนุนโครงการ หมอหมู่บ้าน” ให้ชาวบ้านรู้จักการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ใช้ยาถูกวิธี และส่งต่อผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงที

ในยุคโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 พระองค์ยังทรง พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และ อุปกรณ์ PAPR ให้โรงพยาบาลของรัฐหลายสังกัด เพื่อคุ้มครองบุคลากรด่านหน้า สะท้อน หลักคิด “คุ้มครองผู้คุ้มครองเรา” ที่ลดความสูญเสียเชิงระบบ หากคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพ การป้องกันบุคลากรหนึ่งคนให้ปลอดภัยย่อมแปลเป็นศักยภาพการดูแลผู้ป่วยนับร้อย—คือผลตอบแทนต่อสังคมที่สูงอย่างยิ่ง

3) “บ้านเล็กในป่าใหญ่”: ปรัชญาป่ากับน้ำ และการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ

พระราชดำรัสที่ชาวไทยคุ้นหู พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำไพเราะ แต่คือ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่จับต้องได้ โครงการ บ้านเล็กในป่าใหญ่” (Small House in the Big Forest) เริ่มที่ บ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ (พ.ศ. 2534) เป็นต้นแบบการจัดการพื้นที่สูง: รักษาป่าดั้งเดิม ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม จัดพื้นที่ทำกินให้ชัดเจน ส่งเสริมเกษตรที่ไม่ทำลายป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้พอเพียง

จากต้นแบบดังกล่าว ขยายไปยังหลายจังหวัด—บ้านอุดมทรัพย์ (กำแพงเพชร), บ้านหนองห้า (พะเยา), ดอยฟ้าห่มปก (เชียงใหม่)—ผลสำคัญคือ “ยุติแรงดึงให้บุกรุกป่า” ด้วยการสร้างทางเลือกอาชีพที่มั่นคงกว่า และทำให้ป่ากลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ” ที่ชุมชนร่วมดูแล ไม่ใช่ทรัพยากรที่ถูกช่วงชิง

4) ฟื้น “โขน” สู่มรดกภูมิปัญญามนุษยชาติ: เมื่อศิลปะและอัตลักษณ์คือภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าศิลปะระดับชั้นสูงอย่าง โขน” กำลังเผชิญความเสี่ยงสูญหาย จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ ศึกษารากเหง้าเครื่องแต่งกาย–ดนตรี–ท่ารำ ตามราชประเพณี สร้างองค์ความรู้และฝึกช่างฝีมือรุ่นใหม่ให้ครบห่วงโซ่ จนเกิด โขนพระราชทาน” เรื่องรามเกียรติ์ (พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา) ที่ยกระดับมาตรฐานทั้งศิลป์และระบบจัดการเบื้องหลัง

จุดคลี่คลายปม ในเวทีโลกเกิดขึ้นเมื่อ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พ.ศ. 2561 ไม่เพียงยืนยันความงาม หากยืนยัน “ความมีชีวิต” ของศิลปะไทยที่ยังถ่ายทอดต่อไปได้ พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมจึงไม่ใช่การห่อหุ้มของเก่า แต่คือการต่อชีวิตให้วัฒนธรรมยืนหยัดได้จริงในตลาดร่วมสมัย

5) ทรงอุปถัมภ์ศาสนา—เสริม “ทุนทางจิตใจ” ให้สังคมพหุวัฒนธรรม

พระองค์ทรงแสดงบทบาท ธรรมราชินี” ผ่านการเคารพและอุปถัมภ์ ทุกศาสนา—พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู ซิกข์—เพราะทรงเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและชี้นำพฤติกรรมพลเมือง พระองค์โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้ง พระราชทานปัจจัยบำรุงสงฆ์ ดูแลพระภิกษุอาพาธ สนับสนุนโรงพยาบาลที่ให้บริการพระสงฆ์ และให้ความสำคัญกับมารยาทข้ามศาสนาในทุกพื้นที่ที่เสด็จฯ

เมื่อสังคมเผชิญความหลากหลายสูงขึ้น “ทุนทางจิตใจ” และ ทักษะอยู่ร่วมกัน คือภูมิคุ้มกันเชิงสถาบัน พระราชกรณียกิจด้านศาสนาจึงเป็นรากที่ทำให้สังคมไทยยืนตัวอยู่ได้ท่ามกลางความแตกต่าง

6) “สถาบันสิริกิติ์” และพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”: หล่อเลี้ยงฝีมือคน สร้างตลาดศิลป์ไทย

ผลงานประณีตศิลป์จาก โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา ที่พัฒนาต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ได้ยกระดับเป็น สถาบันสิริกิติ์” (ตั้งแต่ 21 กันยายน 2553) ทำหน้าที่ทั้งพัฒนา–อนุรักษ์–เผยแพร่งานช่างไทยชั้นสูง เช่น ปักเส้นไหมโบราณ งานคร่ำ งานสานย่านลิเภา งานถนิมพิมพาภรณ์ ไปจนถึง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง อันวิจิตร

ปลายทางของการพัฒนาไม่หยุดที่ “ชิ้นงาน” แต่คือ พื้นที่เรียนรู้และตลาด อย่างพิพิธภัณฑ์ ศิลป์แผ่นดิน” (อ.ย.) ที่จัดแสดงงานช่างให้คนไทย–ชาวโลกได้สัมผัส สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และทำให้ลูกหลานชาวไร่ชาวนากลายเป็นช่างฝีมืออาชีพ—นี่คือการยกระดับ “ทุนมนุษย์” ผ่านศิลป์และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

7) “ฟาร์มตัวอย่าง” ตามพระราชดำริ: ศูนย์เรียนรู้เกษตรครบวงจรและความมั่นคงในยามวิกฤต

ก่อกำเนิดที่ บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ฟาร์มตัวอย่างทำหน้าที่เป็น ห้องเรียนกลางแจ้ง ให้ประชาชนเข้าใจระบบเกษตรครบวงจร—ปลูกพืชผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ ทำประมง ระบบน้ำ—โดยยึดหลัก พอเพียง–พึ่งตนเอง–หมุนเวียนทรัพยากร เมื่อถึงวิกฤตอย่างโควิด-19 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสืบสานพระราชดำริและพระราชทานอนุญาตนำพื้นที่ ฟาร์มตัวอย่าง 30 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาใช้ จ้างงานประชาชน ภายใต้โครงการ “ต้านภัยโควิด-19” ช่วยพยุงครัวเรือนที่ตกงานให้มีรายได้ระยะสั้น พร้อมถ่ายทอดทักษะอาชีพระยะยาว

ผลสะท้อนเชิงนโยบายคือ ฟาร์มไม่ใช่ “แปลงสาธิต” เฉยๆ แต่เป็น “เครื่องมือเสถียรภาพ” ของเศรษฐกิจชุมชนในช่วงผันผวน—เมล็ดพันธุ์ ความรู้ และตลาดชุมชนถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน จนคนสามารถยืนได้ด้วยตัวเองหลังวิกฤต

8) พระเมตตาด้านสังคมสงเคราะห์: ปกป้องผู้เปราะบางในและนอกพรมแดน

ตั้งแต่การช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยยากไร้ ไปจนถึงเหตุการณ์ผู้ลี้ภัยชายแดน—เช่น เหตุเขาล้าน จ.ตราด—พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง พระราชทานอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และ โปรดเกล้าฯ ให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากล เข้าไปช่วยอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสนับสนุน การศึกษาทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนในระยะยาว

สำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัครผู้พลีชีพหรือบาดเจ็บ พระองค์ทรงก่อตั้ง มูลนิธิสายใจไทย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย–จิตใจ–อาชีพ ให้สามารถกลับมาเป็นพลังครอบครัวอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิยังเป็นทั้งรายได้และศักดิ์ศรีให้กับผู้เสียสละเหล่านี้

9) การศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส: “โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์” และทุนการศึกษา

พระองค์ทรงเจาะจงดูแลพื้นที่ ห่างไกล ที่เด็กมีโอกาสน้อย ผ่านการพระราชทานทุนเริ่มต้นจัดตั้ง โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ ในพื้นที่ชายแดนและดอยสูง (เช่น บ้านห้วยขาน อ.ฝาง และ ต.แม่ริม จ.เชียงใหม่) โดยประสาน ตำรวจตระเวนชายแดน ดูแล ต่อมาขยายการสอนถึงระดับมัธยมต้น และที่สำคัญ—พระองค์ทรง รับนักเรียนยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เกือบ 2,000 คน รวมถึงเด็กพิการให้เข้าศึกษาในโรงเรียนเฉพาะความสามารถ จนสามารถประกอบอาชีพดูแลตนเองได้

การศึกษาที่พระราชทานโอกาสเช่นนี้ แก้โจทย์ “ความเหลื่อมล้ำรุ่นสู่รุ่น” โดยตรง—เมื่อลูกหลานบนดอยอ่านออกเขียนได้ มีวิชาชีพ และกลับมาพัฒนาชุมชนตนเอง—ความมั่นคงชายแดนและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมก็แข็งแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

เชียงรายในกระจกพระราชกรณียกิจ: จากป่า–ผ้า–พหุชนเผ่า สู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

หากซูมลงพื้นที่เชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีทั้งป่าเขาสลับซับซ้อนและความหลากหลายทางชาติพันธุ์—เราพบรอยพิมพ์ชัดเจนของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้าน

  • ป่าและน้ำ: แนวทาง “บ้านเล็กในป่าใหญ่” และการอนุรักษ์ดิน–น้ำถูกใช้เป็นต้นแบบในหลายลุ่มน้ำชายแดน ช่วยชะลอปัญหาดินถล่ม–น้ำหลาก และทำให้แปลงเกษตรบนพื้นที่สูงทำกินได้โดยไม่บุกรุกป่า
  • ศิลปาชีพ: ผ้าทอลวดลายล้านนาปรับตัวเป็นสินค้า Q (คุณภาพ) และสินค้าเชิงท่องเที่ยว สร้างรายได้เสริมให้ผู้หญิงและผู้สูงอายุในชนบท
  • การศึกษา: โรงเรียนในเครือข่ายตำรวจตระเวนชายแดนและโรงเรียนท้องถิ่นได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เด็กชาติพันธุ์เข้าถึงภาษาไทยและทักษะอาชีพมากขึ้น
  • สังคมสงเคราะห์และสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่–โครงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ—ถูกใช้จริงในฤดูฝนยืดเยื้อของภาคเหนือ

เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบกัน เชียงรายจึงมี “ทุนสังคม” สำคัญในการก้าวสู่ เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” อย่างที่จังหวัดพยายามผลักดันในช่วงไฮซีซัน—นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริงจะพบทั้งป่าแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ ศิลป์ผ้าและกาแฟพิเศษของชุมชน และเรื่องเล่าการพัฒนาที่มีคนท้องถิ่นเป็นพระเอก

พลังที่ต่อยอดได้ของ “พระราชกรณียกิจแบบระบบ”

หัวใจของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้านคือ ความต่อเนื่อง” และ “การทำงานเชิงระบบ”—ไม่ใช่โครงการฉาบฉวย แต่เป็น แพลตฟอร์ม ที่ให้คนตัวเล็กสามารถลุกขึ้นยืนได้ ท่ามกลางโลกที่ผันผวนกว่าเดิม

  • ถ้าต้องการลดความยากจนอย่างถาวร: ต้องสร้างทั้ง รายได้ (ศิลปาชีพ–ฟาร์มตัวอย่าง–ตลาดสร้างสรรค์) และ ลดความเสี่ยง (สุขภาพ–การอนุรักษ์ป่า–การศึกษา)
  • ถ้าต้องการคุมวิกฤตสาธารณสุข: ต้องเสริม ระบบคุ้มครองด่านหน้า และ ความรู้ชุมชน ให้รับมือได้ก่อนป่วยหนัก
  • ถ้าต้องการให้วัฒนธรรมอยู่ได้: ต้องทำให้ ศิลป์–การตลาด–การถ่ายทอดช่าง เชื่อมกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อสังคมไทยเดินหน้าสู่นโยบายพัฒนารอบใหม่ บทเรียนจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงคือ ทำเล็กให้ลึก ทำช้าให้ยั่งยืน” แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ขยายตัวด้วยพลังของชุมชนเอง

เสียงทอผ้าบนกี่ไม้ยังดังแผ่วในยามสาย ขณะน้ำที่ไหลตามฝายชะลอค่อยๆ เติมความชุ่มชื้นสู่ทุ่ง หากมองเครือข่ายเหล่านี้จากบนฟ้า เราจะเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยของประเทศ—เส้นเลือดที่พระราชกรณียกิจได้วางไว้ให้หล่อเลี้ยง “หัวใจ” ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT Foundation)
  • สถาบันสิริกิติ์ (โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาเดิม) / พิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”
  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม / UNESCO
  • สำนักนายกรัฐมนตรี / กรมประชาสัมพันธ์
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • สำนักงานตำรวจตระเวนชายแดน / กระทรวงศึกษาธิการ
  • สภากาชาดไทย / คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
  • มูลนิธิสายใจไทย
  • สำนักราชเลขาธิการ / สำนักพระราชวัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY NEWS UPDATE

จากโลกออนไลน์สู่ยอดจอง! เปิดยุทธศาสตร์คว้าโอกาส เมื่อเชียงรายถูกค้นหามากที่สุด

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจาก Google Trends—แรงดันดีมานด์ปลายปีหนุนเมืองรองโดดเด่น รับสัญญาณไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เสียงลมหนาวเริ่มแตะยอดดอยพอดี ขณะที่ “เชียงราย” ผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจากการค้นหาใน Google Trends (ข้อมูล ณ 24 กันยายน 2568) พร้อมแรงเสริมจากบทวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ชี้ว่าดีมานด์เดินทางช่วงไฮซีซันยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเมืองรองในภาคเหนือ สัญญาณทั้งหมดกำลังสอดรับกันอย่างลงตัว ทั้งสภาพอากาศเย็นสบาย เทศกาลปลายปี กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และแพ็กเกจการตลาดที่ถูกจังหวะ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “กระแสออนไลน์” หากสะท้อนการตัดสินใจจริงของผู้เดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่กำลังล็อกเส้นทางปลายปี ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนเจ้าบ้านเริ่มเร่งเครื่องรับลูก เพื่อเปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็น “ยอดจอง–ยอดใช้จ่าย” ที่วัดได้ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

เศรษฐกิจดีมานด์ปลายปีมาแรง เมืองรองได้อานิสงส์ชัด

การติดอันดับ 1 ใน Google Trends ชี้ให้เห็น “อุปสงค์แฝง” ที่กำลังจะปลดล็อกสู่การเดินทางจริง โดยบทวิเคราะห์ แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ เดือนตุลาคม 2568 ของ ททท. ประเมินว่า เดือนนี้จะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 16.28 ล้านคน–ครั้ง และสร้างรายได้ท่องเที่ยวราว 93,857 ล้านบาท แม้ภาพรวมจะชะลอเล็กน้อยเมื่อเทียบปีก่อน แต่สัดส่วนการเดินทางสู่ “เมืองท่องเที่ยว” นอกเมืองหลักขยับขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับโมเมนตัมของเชียงรายที่ขึ้นแท่นเมืองน่าเที่ยวอันดับต้นในโลกออนไลน์

ฝั่ง “ปัจจัยสนับสนุน” ททท.ระบุข้อได้เปรียบสำคัญไว้ 3 มิติ

  1. มาตรการกระตุ้นช่วง Green Season และเทศกาลต่อเนื่องปลายปี
    งานวัฒนธรรมและกิจกรรมดนตรีช่วยกระจายผู้คนสู่เมืองรอง ขณะที่คอนเทนต์เชิงท้องถิ่นดึงดูดเจเนอเรชันใหม่ได้ดี
  2. ฤดูกาลท่องเที่ยวเริ่มหนาวเย็น
    อุณหภูมิที่ลดลงทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่นิยม การเดินป่า กางเต็นท์ และล่าสายหมอกช่วยต่อยอดที่พักและบริการชุมชน
  3. อีเวนต์ดนตรีและกิจกรรมเอาต์ดอร์
    เทศกาลดนตรีและงานวิ่งปลายปีดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y–Z ที่เน้นประสบการณ์และพร้อมจ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยอุปสรรค ยังมีให้จับตา ทั้งค่าครองชีพที่ยังสูง ภาระครัวเรือน และการท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมาคึกคักในบางตลาด ทว่าเมื่อซ้อนทับกับจุดแข็งเชิงภูมิอากาศและคอนเทนต์เฉพาะถิ่น เมืองรองที่เตรียมตัวดีจะ “รับแรงส่ง” ได้มากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเชียงรายอยู่ในจังหวะนั้นพอดี

เชียงรายในเลนส์ข้อมูล ความสนใจพุ่ง–จุดขายชัด–แบรนด์ชุมชนแข็ง

1) สัญญาณความสนใจชัดเจน
การขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends สะท้อนการค้นหาที่เข้มข้น ทั้งคำหลักเกี่ยวกับ วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ไร่ชาฉุยฟง–ขุนน้ำนางนอน–ถนนคนเดิน รวมถึงกิจกรรมฤดูหนาว เช่น ลานดอกไม้–งานแสงสี–วิ่งเทรล ข้อมูลระดับพื้นที่ยังชี้ว่าการค้นหา “ที่พักเชียงราย” และ “คาเฟ่วิวภูเขา” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วงปลายกันยายน–ตุลาคม

2) จุดแข็งด้านความปลอดภัยและไลฟ์สไตล์
เชียงรายถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยวและกลุ่มผู้หญิง/ดิจิทัลโนแมดในเอเชีย จุดเด่นนี้เสริมความเชื่อมั่นด้านการเดินทางคนเดียวและการทำงานระยะไกล (Work from Anywhere) ที่กำลังเป็นกระแส

3) Soft Power เชิงพื้นที่
เมืองศิลปะและกาแฟคือภาพจำที่ชัด วัดร่องขุ่นของเฉลิมชัย–พิพิธภัณฑ์บ้านดำของถวัลย์–ย่านคาเฟ่กาแฟพิเศษจากดอยแม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีหมอกหนาวได้ลื่นไหล เหมาะกับการออกแบบเส้นทาง 2–3 คืน ที่จับคู่ได้ทั้งเมือง–ชานเมือง–ชายแดน

4) ความพร้อมรองรับดีมานด์จริง
สนามบิน การคมนาคมข้ามจังหวัด และคลัสเตอร์ที่พักระดับกลาง–เล็กของชุมชน เติบโตควบคู่กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์และมาตรฐานสะอาดปลอดภัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดให้ความสำคัญ

ภาพใหญ่ในประเทศ โครงสร้างการเดินทางเดือนตุลาคม 2568

รายงานทิศทางตลาดในประเทศของ ททท. ชี้ว่า เมืองท่องเที่ยว นอกกลุ่ม “เมืองหลัก” กำลังแย่งส่วนแบ่งผู้เยี่ยมเยือนได้ดีขึ้น โดยแรงขับมาจาก 4 ตัวแปร

  • งานเทศกาล–วัฒนธรรม–ดนตรี ที่เกิดถี่ขึ้น
  • แพ็กเกจโปรโมชันร่วมเอกชน ที่ลด Pain Point ค่าเดินทางและที่พัก
  • คอนเทนต์สื่อออนไลน์ ที่ลงพื้นที่จริง ทำให้ “หมุดหมายรอง” โดดเด่น
  • สภาพอากาศเย็นลง ที่เร่งให้คนอยากออกนอกเมืองใหญ่

ในเชิงอุปทานฝั่งที่พักและเที่ยวบิน เดือนตุลาคมยังมีที่นั่งรวมราว 4 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนเส้นทางบินสู่ภาคเหนือยังแข็งแรง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเชียงราย–เชียงใหม่–แพร่–น่าน สามารถออกแบบทริปเชื่อมโยงแบบ “Multi-City” ได้คล่องตัว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ โกลเดนวีกหนุนหน้าเอเชีย–ไฟลต์ใหม่ช่วยกระจายตัว

ด้านตลาดต่างชาติ รายงาน แนวโน้มเดือนตุลาคม 2568 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.62 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่มี “แรงหนุนเฉพาะจังหวะ” ที่สำคัญ ได้แก่

  • เทศกาล China Golden Week ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ที่ดันการจองล่วงหน้าขึ้น
  • Forward Booking รวม เติบโต +1.8% โดยตลาดที่โตเด่น คือ อิสราเอล–สหราชอาณาจักร–จีน
  • เส้นทางบินใหม่ 50 เส้นทาง ในหลายภูมิภาค ที่ช่วยเพิ่มความถี่และกระจายผู้โดยสาร

กลุ่ม Short-haul Top 5 ยังนำโดย มาเลเซีย–จีน–อินเดีย–เกาหลีใต้–อินโดนีเซีย ส่วน Long-haul Top 5 ได้แก่ รัสเซีย–สหราชอาณาจักร–สหรัฐฯ–เยอรมนี–ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขึ้นเหนือมักจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” ในทริปเดียว เน้นธรรมชาติ ศิลปะ วัดดัง และคาเฟ่วิวขุนเขา ทำให้เชียงรายได้ส่วนแบ่ง “คืนพัก” เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงโลว์ซีซัน

เชียงรายต้องรับมืออะไร ค่าครองชีพ–โลจิสติกส์–คุณภาพบริการ

แม้สัญญาณเชิงบวกมีมาก แต่ ปัจจัยอุปสรรค ยังเป็นโจทย์ต้องติดตาม

  • ค่าครองชีพและค่าเดินทาง ที่กดดันการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย
  • การดึงคนออกนอกเมืองใหญ่ ที่ยังต้องพึ่งอีเวนต์คุณภาพสูงและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
  • การแข่งขันจากต่างประเทศ เมื่อหลายประเทศอาเซียนเร่งแคมเปญราคาช่วงปลายปี
  • บริหารความหนาแน่น ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ช่วงไพรม์ไทม์เช้า–เย็น เพื่อรักษาประสบการณ์

เชียงรายจึงต้อง “เก็บดีเทล” ให้ครบ โดยเฉพาะการจัดการคิวจุดชมวิว การจราจรในวันพีก สัญญาณอินเทอร์เน็ตในแหล่งท่องเที่ยว และการสื่อสารหลายภาษาในย่านท่องเที่ยวหลัก เพื่อคงมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงที่ดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างพร้อมกัน

การบ้านเชิงนโยบาย–เอกชน–ชุมชน เปลี่ยนการค้นหาเป็นการจอง

1) นโยบาย–หน่วยงานท้องถิ่น
ควรวาง แผนปฏิบัติการ 60 วัน รับไฮซีซันครอบคลุม ความปลอดภัย–จราจร–สิ่งแวดล้อม–สื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมตั้งจุดข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษในย่านหลัก และเตรียมจุดปฐมพยาบาลในงานเทศกาล

2) เอกชน–ผู้ประกอบการ
ปรับแพ็กเกจ เที่ยวยาว–ใช้จ่ายยาว” ผ่านดีลที่พัก + ร้านอาหาร + คาเฟ่ + กิจกรรมท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าต่อบิล แนะนำสินค้าชุมชนและทัวร์ครึ่งวัน เพื่อลด “เวลาว่าง” ในทริป และขยายการใช้จ่ายสู่ชุมชนรอบนอก

3) ชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย
ยกระดับ Content–Commerce ให้เดินคู่กัน เน้นเรื่องเล่าท้องถิ่น บริการที่เป็นมิตร และมาตรฐานความสะอาด–ปลอดภัย พร้อมระบบจองง่ายบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เพื่อลดขั้นตอนตัดสินใจ

ปลายฝนต้นหนาว หนึ่งวันในเชียงรายที่พูดด้วยตัวเอง

เริ่มเช้าด้วยหมอกบางๆ เหนือทุ่งชา นักท่องเที่ยวแวะจิบกาแฟดริปจากเมล็ดดอยแม่สลอง ก่อนมุ่งหน้าไป วัดร่องขุ่น แสงเช้าสะท้อนผิววิจิตรสีขาวโพลน จบช่วงสายที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ซึ่งเล่าเรื่องลึกของล้านนาในภาษาศิลป์ พอเที่ยงก็สลับไปร้านอาหารท้องถิ่นริมกก บ่ายแก่ๆ แวะ คาเฟ่วิวภูเขา ที่ชุมชนเจ้าบ้านลงมือชงด้วยใจ

ยามเย็นเดินควงแขนกันที่ ถนนคนเดินเชียงราย ดนตรีเปิดหมวกดังคลอ ผู้คนเลือกผ้าทอไทลื้อ ข้าวจี่ร้อนๆ ควันกรุ่น ช่วงเวลานี้อาจเป็น “จุดตัดสินใจ” ที่สำคัญที่สุด เพราะประสบการณ์จริงจะทำให้ทุกไลก์–ทุกการค้นหา กลายเป็น “รีวิวปากต่อปาก” ที่พาเพื่อนอีกหลายคนกลับมาในฤดูกาลหน้า

โอกาสของเมืองรองในหน้าหนาว ต้องคว้าด้วยคุณภาพ

การคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “จุดเริ่ม” เชียงรายมีทรัพยากรพร้อมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กาแฟ และความปลอดภัย แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจับต้องได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการอย่างมีวินัย ตั้งแต่คิวจุดชมวิวจนถึงห้องน้ำสาธารณะ ตั้งแต่มาตรฐานที่พักจนถึงถังขยะรีไซเคิล ตั้งแต่ข้อมูลเรียลไทม์จนถึงเจ้าบ้านที่ยิ้มต้อนรับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ปลายปีนี้ “เมืองรองดาวรุ่ง” จึงไม่ได้ชนะกันที่แสงสีที่ดังที่สุด แต่ชนะกันที่รายละเอียดและความสม่ำเสมอที่สุด หากเชียงรายรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลายและต่อยอด Soft Power ให้คมชัด เชียงรายจะไม่ใช่เพียง “คำค้นหายอดนิยม” แต่จะเป็น “คำตอบ” ของนักเดินทางคุณภาพในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Google Trends
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ททท. แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนตุลาคม 2568
  • OAG / ระบบ ForwardKeys
  • ข้อมูลสาธารณะด้านความปลอดภัยนักเดินทาง/ผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด
  • TAT Intelligence Center
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาจารย์เฉลิมชัย-เซ็นทรัลเชียงราย! มอบเงิน 4 แสน มทบ.37 ส่งต่อกำลังใจทหารกองทัพภาคที่ 2

ศิลปะส่งแรงใจข้ามพรมแดน “ขัวศิลปะ–เชียงราย” มอบรายได้ 417,336 บาท หนุนภารกิจชายแดนภาคอีสาน สะท้อนพลังเครือข่ายศิลปิน–ชุมชน–เอกชน ร่วมค้ำจุนขวัญกำลังใจทหารหาญ

เชียงราย, 20 ตุลาคม 2568 — ท่ามกลางภูมิทัศน์ชายแดนที่ยังคงต้องอาศัยความพร้อมทางยุทธศาสตร์และกำลังใจจากสังคมพลเรือน เสียงกลองสะบัดชัยอีกระลอกดังขึ้นจากเวทีศิลปะเมืองเหนือ เมื่อ “ขัวศิลปะ” (Art Bridge Chiang Rai) นำโดยเครือข่ายศิลปินเชียงราย จัดมอบรายได้จากนิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จำนวน 417,336 บาท ให้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อส่งต่อไปยัง กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ—ภาพสะท้อนความร่วมแรงร่วมใจของเมืองศิลปะที่ใช้ “พู่กันและผืนผ้าใบ” แปลงเป็นพลังใจให้แนวหน้า

จากสตูดิโอถึงแนวหน้า เรื่องเล่าที่เชื่อมโลกศิลปะกับโลกทหาร

เย็นวันหนึ่งของต้นฤดูหนาวภาคเหนือ บริเวณ ค่ายเม็งรายมหาราช เมืองเชียงราย พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 พร้อมคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ยืนรับมอบเช็คและรายการบัญชีรายได้จากผู้แทน “ขัวศิลปะ” และตัวแทน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ รายได้ที่ระดมจากผู้มีจิตศรัทธาและนักสะสมศิลปะทั้งในและนอกจังหวัดถูกประกาศอย่างโปร่งใสเป็นสามส่วนชัดเจน

  • ภาพพิมพ์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ 150,000 บาท
  • รายได้จำหน่ายเสื้อที่ระลึก ลวดลายจากผลงานศิลป์ 73,018 บาท
  • รายได้จากการจำหน่ายผลงานศิลปะ (หลังหักค่าใช้จ่าย) 194,318 บาท

เมื่อรวมทั้งหมด จึงเป็นตัวเลข 417,336 บาท — ตัวเลขที่ไม่ได้สะท้อนเพียง “มูลค่า” หากแต่สะท้อน “คุณค่า” ของการห่วงใยที่ข้ามพรมแดนภาคเหนือไปยังกำลังพลแนวหน้าภาคอีสาน

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ศิลปินผู้ประสานงานหลักของโครงการให้ถ้อยคำสั้น กระชับ แต่หนักแน่นว่า การมอบเงินในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งกำลังใจจากศิลปินทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อแรงใจให้กับเหล่าทหารหาญที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ประเทศ” ขณะที่ พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวขอบคุณแทนพี่น้องทหาร โดยย้ำว่าเงินดังกล่าว จะถูกส่งต่อผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อมอบให้ กองทัพภาคที่ 2 นำไปสนับสนุนภารกิจป้องกันชายแดน โดยเน้นเขตพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” จากแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ

นิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” ถือกำเนิดจากแนวคิดของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ผู้ผลักดันให้ศิลปะทำบทบาทมากกว่าความงาม—แต่เป็น “เครื่องมือ” สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้รักษาอธิปไตยของชาติ แนวคิดนี้แปรรูปเป็นการลงมือทำ ผ่านการระดมศิลปินหลากรุ่นทั่วประเทศ โดยมี “ขัวศิลปะ” เป็นแกนกลางประสานพลัง และได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ตลอดจนร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าที่ระลึกเพื่อการกุศล

รายละเอียดเชิงปฏิบัติการก็ถูกออกแบบอย่างตั้งใจ—เสื้อยืดลวดลายจากผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย ผลิตสองสี (ขาว–ดำ) ผ้า Cotton นุ่ม สวมใส่สบาย มีตั้งแต่ขนาด S ถึง 3XL ราคา 350 บาท (2XL/3XL เพิ่ม 20 บาท) โดยเปิดจุดจำหน่ายหน้าร้าน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย และ เซ็นทรัล เชียงราย (ชั้น G ข่วงล้านนา) ขณะเดียวกันยังมีช่องทางสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเพจ ขัวศิลปะ, พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, และ Art bridge shop เพื่อลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา

วิธีการดังกล่าวสะท้อนภาพ “Soft Power เชียงราย” ที่ก่อรูปจากฐานวัฒนธรรมและเครือข่ายศิลปะเข้มแข็ง—เมืองที่มีทั้ง วัดร่องขุ่น อันเป็นแลนด์มาร์กสากล เครือข่ายศิลปินร่วมสมัยที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และภาคเอกชนที่เข้าใจบทบาทสาธารณะของศิลปะ เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้เชื่อมเข้าด้วยกัน ศิลปะจึงกลายเป็น “สื่อกลาง” ที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในภารกิจชาติได้อย่างจับต้องได้

ทำไม “กำลังใจ” จึงเดินทางจากเชียงรายไปชายแดนภาคอีสาน

แม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดเหนือสุด ติดกับเมียนมาและลาว แต่ “วงจรน้ำใจ” ครั้งนี้มุ่งตรงสู่ กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันมีแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นสมรภูมิภารกิจหลักในช่วงที่ผ่านมา สะท้อน “แนวคิดเครือข่ายชาติเดียวกัน”—ที่ไม่แบ่งแยกเหนือ–อีสาน–กลาง–ใต้ หากแต่เห็นว่าทุกแนวหน้าคือ “ฉันทามติร่วมของสังคมพลเรือน” ที่ต้องประคับประคอง

การเดินทางของกำลังใจในห้วงเวลานี้มิใช่ครั้งแรก เมื่อ 14 สิงหาคม 2568 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้ขับเคลื่อนโครงการ ลำไยไปแนวหน้า” ขนส่งผลผลิต ลำไยคุณภาพกว่า 2,300 กิโลกรัม โดยสายการบินนกแอร์ (DD101 เชียงราย–ดอนเมือง และเชื่อมต่อ DD324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี) เพื่อนำไปเป็นเสบียงและสัญลักษณ์กำลังใจให้กำลังพล กองบิน 21 อุบลราชธานี และหน่วยที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โครงการนี้กลายเป็น “ต้นแบบ” ว่าจังหวัดเมืองรอง สามารถเป็นศูนย์กลางการส่งต่อพลังใจได้จริง หากมีการจัดการและเครือข่ายที่ดี

เมื่อ “พู่กัน” สานต่อ “ปลายกระบอกปืน”

ภาพของศิลปินในสตูดิโอที่ก้มหน้าละเลียดลายเส้น บางทีอาจดูห่างไกลจากภาพของทหารที่เดินลาดตระเวนในพื้นที่ทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริง ทั้งสอง “ยืนอยู่ขอบฟ้าเดียวกัน”—ศิลปินสร้าง “ความหมายและความหวัง” ส่วนทหารสร้าง “ความปลอดภัยและความมั่นใจ” ให้สังคมดำเนินไปได้อย่างปกติ

บนเวทีรับมอบครั้งนี้ จึงไม่แปลกที่ พลตรีจักรวีร์ จะเอ่ยขอบคุณ “อาจารย์เฉลิมชัย–อาจารย์สุวิทย์–และคณะศิลปิน” ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะเงินทุกบาท คือสัญลักษณ์ของสังคมที่รับรู้ “ความเหน็ดเหนื่อยของแนวหน้า”—เงินจำนวนสี่แสนเศษนี้อาจไม่ใช่งบประมาณก้อนใหญ่เมื่อเทียบกับระบบราชการ แต่มี “พลังทางสัญลักษณ์” สูงยิ่ง เพราะสะท้อนความร่วมมือของ ศิลปิน–ชุมชน–เอกชนท้องถิ่น ที่ตั้งใจ “ระดมและลงมือทำ” โดยสมัครใจ

มองผ่านเลนส์ข้อมูล พลังระดมทุนเชิงสัญลักษณ์ที่ส่งผลจริง

ตัวเลข 417,336 บาท หากแยกโครงสร้างจะเห็น “บทบาทแต่ละภาคส่วน” ชัดเจน

  • งานศิลป์ระดับไอคอน (ภาพพิมพ์อาจารย์เฉลิมชัย) สร้าง “แรงดึงดูด” ให้ตลาดศิลปะและนักสะสม พร้อม “ยกระดับราคา” เพื่อการกุศล
  • สินค้าที่ระลึก (เสื้อยืด) เปิดช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนวงกว้างในราคาที่เข้าถึงได้
  • การขายผลงานรวม (หลังหักค่าใช้จ่าย) คือสนามของศิลปินหลากรุ่น ที่ได้ “ร่วมส่งพลัง” ผ่านงานของตน

การทำงานเช่นนี้เท่ากับนำ “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (creative economy)” มาประสาน “ความมั่นคงเชิงมนุษย์ (human security)” อย่างกลมเกลียว—ทั้งยังเกิด ผลคูณ” (multiplier) ต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ผู้ผลิตเสื้อ–ผู้ให้บริการสถานที่–แรงงานติดตั้งนิทรรศการ–สื่อท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย ล้วนได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจพร้อมกับการทำความดีร่วมกัน

บทบาทของเอกชนท้องถิ่น พื้นที่ที่กลายเป็น “เวทีสาธารณะ”

การสนับสนุนสถานที่จัดงานโดย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ทำให้เกิด “เวทีสาธารณะ” ที่ประชาชนเข้าถึงง่าย มีที่จอดรถ มีระบบรักษาความปลอดภัย และมีสื่อสารผ่านช่องทางของห้างฯ เอง ช่วยขยายการรับรู้ให้กว้างไกลกว่าการจัดในแกลเลอรีเฉพาะทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่ ยอดจำหน่ายเสื้อ และ ผลงานศิลปะ จะทำได้ดีในเวลาอันจำกัด—แบบอย่างเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเอกชนท้องถิ่นมองบทบาทของตนมากกว่าแค่ “พื้นที่เชิงพาณิชย์” แต่เป็น “พื้นที่สาธารณะของเมือง” เมืองนั้นย่อมเข้มแข็งขึ้น

เชื่อมร้อย “Soft Power เชียงราย” เข้ากับ “ขวัญกำลังใจชาติ”

ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายสถาปนาตัวเองชัดเจนในฐานะ “นครศิลปะร่วมสมัยของล้านนา”—มีทั้งพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ มีโรงเรียนศิลป์รุ่นใหม่ และมีเทศกาล–งานแสดงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อรวมเข้ากับ เครือข่ายคมนาคม ที่สะดวก (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง, ทางหลวงเชื่อมพรมแดน, โลจิสติกส์เอกชน) เมืองนี้จึงสามารถพลิก “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “ทุนทางสังคม” และ “ทุนทางความมั่นคง” ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ ลำไยไปแนวหน้า” เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 เป็นตัวอย่างชัด—ระบบโลจิสติกส์ทางอากาศที่จัดวางร่วมกับสายการบินพาณิชย์ สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าการเกษตรไปยังหน่วยปฏิบัติการได้ตรงเวลา พร้อมสร้างมูลค่าเชิงสัญลักษณ์ว่า “ชุมชนเกษตรกร” ก็เป็นส่วนหนึ่งของขวัญกำลังใจทหารได้ เช่นเดียวกับที่ครั้งนี้ “ชุมชนศิลปิน” ทำให้เห็นว่าแปรพลังสร้างสรรค์เป็นพลังใจได้เช่นกัน

มุมมองเชิงนโยบาย เมื่อ “การให้” มีระบบและตรวจสอบได้

แม้โครงการจะเกิดจากภาคประชาสังคมและเอกชนท้องถิ่น แต่กลไกการมอบ–รับ–ส่งต่อยังคงดำเนินไปอย่างมีระบบ—มทบ.37 รับมอบในฐานะหน่วยประสานงานพื้นที่ ก่อน ส่งผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 ไปยัง กองทัพภาคที่ 2 เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจชายแดนตามความเหมาะสม ขั้นตอนเช่นนี้ทำให้การใช้จ่าย “เงินสาธารณะจากการบริจาค” มี ความน่าเชื่อถือ และ ตรวจสอบย้อนกลับ ได้

ขณะเดียวกัน การประกาศ ยอดรายได้แยกรายการ (ภาพพิมพ์/เสื้อ/ผลงานอื่น) และการแสดง รายการบัญชีผลงาน ต่อสาธารณะ ก็ช่วยสร้างมาตรฐานโปร่งใส—ย้ำว่าศิลปะมิได้ห่างจากธรรมาภิบาล หากตรงกันข้าม “ยิ่งเป็นศิลปะเพื่อสาธารณะ ยิ่งต้องโปร่งใส”

ถ้อยคำที่ทิ่มใจ แต่อบอุ่น “ศิลปิน” ขอบคุณ “ทหาร” และ “ทหาร” ขอบคุณ “ศิลปิน”

ในพิธีรับมอบ อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ยืนยันบทบาทของศิลปินว่าไม่ได้อยู่แค่หน้าผืนผ้าใบ หากแต่ยืนอยู่รวมแถวกับสังคมเวลาเกิดภารกิจชาติ ส่วน พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวอย่างสะเทือนใจว่าแรงสนับสนุนจากพลเรือนทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ชายแดน “รู้สึกไม่โดดเดี่ยว” และเป็น “พลังเงียบ” ที่ผลักให้ภารกิจยากลำบากเดินหน้าต่อ

คำกล่าวสองฝั่งนี้คือตัวอย่าง “การสื่อสารสองทาง” ที่ควรเกิดในสังคมประชาธิปไตย—ศิลปินยืนยันว่าจะสร้างผลงานเพื่อประเทศได้อย่างไร และทหารยืนยันว่าจะใช้งบที่ได้รับเพื่อความปลอดภัยของประชาชนได้อย่างไร เมื่อบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ความไว้วางใจสาธารณะก็จะหนาขึ้นเรื่อย ๆ

ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้ “โครงการดี” ขยายผลได้จริง

จากบทเรียนครั้งนี้ มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถพิจารณา

  1. ปฏิทินนิทรรศการประจำปี ขัวศิลปะและเครือข่ายควรวาง “คิวประจำ” สำหรับนิทรรศการเพื่อสาธารณะ—อาจหมุนเวียนธีม (กำลังใจทหาร, ทุนการศึกษา, ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้ผู้สนับสนุนเลือกสมทบตามความสนใจ
  2. ดิจิทัลแพลตฟอร์มโปร่งใส สร้างหน้าเว็บ/แดชบอร์ดแสดงยอดบริจาคแบบเรียลไทม์เชื่อมกับเพจขัวศิลปะ–หอศิลป์–เซ็นทรัลเชียงราย เพื่อให้ประชาชนติดตามยอดและเส้นทางเงินจนถึงหน่วยปลายทาง
  3. เครือข่ายภาคธุรกิจท้องถิ่น นอกจากศูนย์การค้า อาจเชิญโรงแรม–ร้านอาหาร–สตูดิโอพิมพ์–โลจิสติกส์ เข้าร่วมเป็น “พันธมิตรการกุศล” เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายและลดต้นทุนการจัดงาน
  4. คู่มือ “ศิลป์เพื่อสาธารณะ” บันทึกกระบวนการทำงานเป็น “Playbook” ตั้งแต่องค์ความคิด–งานภัณฑารักษ์–งานการตลาด–งานการเงิน–งานบัญชี–งานมอบ/รับ/ส่งต่อ เพื่อให้จังหวัดอื่นหยิบไปปรับใช้ได้ทันที

จากแรงบันดาลใจ สู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

จุดตั้งต้นของเรื่องนี้คือ “แรงบันดาลใจ” ของศิลปินชั้นครู—อาจารย์เฉลิมชัย ที่อยากเห็นศิลปะทำสิ่งมากกว่าการประดับผนัง จากนั้นเครือข่ายศิลปิน–ภัณฑารักษ์–เอกชน–สื่อท้องถิ่น จึงร่วมกัน “จัดเวที” ให้แรงบันดาลใจกลายเป็น “งานนิทรรศการ” และกลายเป็น “ยอดระดมทุน” ที่ส่งต่อไปยังแนวหน้าอย่างมีระบบ เมื่อ มทบ.37 รับมอบและ แม่ทัพภาคที่ 3 ส่งต่อไป กองทัพภาคที่ 2 เส้นเรื่องจึงคลี่คลายด้วยผลลัพธ์ที่จับต้องได้—417,336 บาท ที่ห่อด้วยกำลังใจของผู้คนทั้งเมือง

หากจะสรุปบทเรียนสั้น ๆ เรื่องนี้สอนเราว่า เมืองที่มีวัฒนธรรมเข้มแข็ง ย่อมสร้าง “ทุนสังคม” ได้รวดเร็วในยามต้องการ และเมื่อทุนสังคมนั้นไหลไปสู่แนวหน้าที่ต้องการกำลังใจ—ความมั่นใจของทั้งสังคมก็จะไหลกลับคืนมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย
  • ขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • เซ็นทรัล เชียงราย
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย
  • วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ไทยอันดับ 1 อาหารโลก! จี้รัฐบาลต่อยอด GI-Thai SELECT พร้อมผนึกชายแดนสู้โจทย์ความปลอดภัย

อาหารไทยยืนหนึ่งโลกและแบบเรียนจากชายแดนเหนือสุด “แม่สายโมเดล” ขยายพลัง Soft Power สู่ความมั่นคงอาหารและเศรษฐกิจฐานรากภายใต้นโยบาย “Quick Big Win”

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ข่าวดีที่สะท้อนพลังอ่อน (Soft Power) ของไทยดังก้องอีกครั้ง เมื่อ Condé Nast Traveler นิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำจากสหรัฐฯ ประกาศผล Readers’ Choice Awards 2025 ยกให้ประเทศไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025” ด้วยคะแนน 98.33/100 เหนืออิตาลีและญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน กรุงเทพฯ ยังมีร้านอาหาร ติดอันดับท็อป 35 ของโลกถึง 7 แห่ง ย้ำชัดว่า “ครัวไทย” ไม่ได้แค่ครองใจนักชิม แต่กำลังก้าวสู่ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งชาติ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร

บทพิสูจน์เชิงสัญลักษณ์ของ Soft Power ครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับการเร่งเครื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย กระทรวงพาณิชย์ ขับเคลื่อนแนวคิด “Quick Big Win” พุ่งเป้าสร้างผลลัพธ์เร็วที่ต่อยอดได้ยาว ผ่านการยกระดับคุณค่าของวัตถุดิบไทย (GI) การผลักดันตรารับรอง Thai SELECT และการขยายเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ในพื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดต้นแบบ “ระบบอาหารปลอดภัยทั้งห่วงโซ่” ที่ผสานงานท้องถิ่น–สาธารณสุข–ด่านชายแดน เป็น “ด่านหน้า” คัดกรองความเสี่ยงก่อนอาหารและวัตถุดิบจะเดินทางสู่โต๊ะอาหารคนทั้งประเทศ

ทั้งหมดนี้คือ “สองลมหายใจ” ของเรื่องเดียวกัน อาหารไทยที่อร่อยและปลอดภัย ซึ่งต้องเดินคู่กันเพื่อเปลี่ยนเสียงชื่นชมบนเวทีโลกให้กลายเป็น รายได้ยั่งยืน และ สุขภาวะของประชาชน อย่างแท้จริง

จากคำชมบนเวทีมาสู่แรงขับทางเศรษฐกิจ “ครัวไทย” ที่เป็นมากกว่ารสชาติ

ผลโหวตของผู้อ่าน Condé Nast Traveler ทำให้ไทยครองแชมป์ The Best Countries for Food in the World: 2025 ด้วยคะแนน 98.33 จุดเด่นไม่ใช่เพียง “รสชาติ” แต่คือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร, ตลาดกลางคืนที่คึกคัก, และ การเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นที่จริงแท้ ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวริมทาง แกง–ซุปรสจัด ไปจนถึงร้านอาหารร่วมสมัยที่ใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นยกระดับ (local ingredients to fine plates) จน ร้านอาหารในกรุงเทพฯ 7 แห่งติดอันดับโลก ส่องสะท้อน “ระบบนิเวศอาหาร” ที่มีชีวิตชีวาทั้งฝั่งสตรีทฟู้ดและภัตตาคาร

แต่คำถามสำคัญในมุมเศรษฐกิจคือ จะต่อยอดจาก “คำชม” ให้เป็น “รายได้กระจายตัว” ได้อย่างไร? คำตอบหนึ่งอยู่ในนโยบายเชิงรุกของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่เร่ง “เชื่อมรสชาติสู่มูลค่า” ผ่านตรารับรองและการสร้างเรื่องเล่าบนฐานวัตถุดิบไทย พร้อมกันนั้น ระบบ “ความปลอดภัยของอาหาร” ต้องเข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ลดทอนความเชื่อมั่น

ภาพใหญ่ที่ชายแดน “แม่สายโมเดล” ด่านหน้าความมั่นคงอาหารของประเทศ

แม่สาย เมืองหน้าด่านเหนือสุดของไทย คือ ประตูการค้า สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการนำเข้า–ส่งออกสินค้าอาหารอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “มาตรฐานทางเทคนิค” แต่หมายถึง เกราะป้องกันสุขภาวะ ของผู้คนทั่วประเทศ การปล่อยให้เกิด “จุดรั่ว” เพียงจุดเดียว อาจสร้างความเสียหายลุกลามทางเศรษฐกิจ–สังคมได้

ภายใต้ โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” เทศบาลตำบลแม่สายร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้แนวทาง แซน” (San) และ “แซนพลัส” (San Plus) วางมาตรการดูแลสุขาภิบาลอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่แหล่งผลิต (ต้นน้ำ) การขนส่ง–จำหน่าย (กลางน้ำ) จนถึงผู้บริโภค (ปลายน้ำ)

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย อธิบายหัวใจของงานว่า แม่สายต้อง “ทำถูกตั้งแต่ด่านแรก” เพราะเป็นพื้นที่ เปราะบางและพลุกพล่าน จึงดำเนินการ สุ่มตรวจอาหารต่อเนื่อง, อบรมผู้ประกอบการ–พ่อค้าแม่ค้า–เกษตรกร, และ สนับสนุนแหล่งผลิตมาตรฐาน เพื่อให้ระบบอาหารในชุมชนและสินค้าที่ผ่านชายแดน “ปลอดภัยจริง” ไม่ใช่เพียงบนกระดาษ

ผลลัพธ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่แค่ “ผ่าน–ไม่ผ่าน” ตามเช็กลิสต์ แต่คือการ สร้างวินัยตลาด ให้เกิดขึ้นกับผู้ค้า–ผู้ผลิต–ผู้บริโภค โดยอาศัย การสื่อสารและการร่วมมือ มากกว่าการลงโทษล้วน ๆ โมเดลนี้จึงเริ่ม “ยกระดับความไว้เนื้อเชื่อใจ” ซึ่งเป็นทุนสังคมสำคัญสำหรับเมืองชายแดน และเป็น ส่วนต่อขยายความเชื่อมั่นของอาหารไทย ในสายตานักท่องเที่ยวและคู่ค้าต่างชาติ

Soft Power ที่แปลงเป็น “ทุนแข็ง” นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์

ขณะชายแดนเสริมเกราะความปลอดภัย กระทรวงพาณิชย์ก็เร่งต่อยอดคุณค่าทางอาหารในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ในงาน Thailand Taste & Treasures ภายใต้แนวคิด “Discovering Authentic Flavors and Crafted Excellence” นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่า นโยบายของกระทรวงสอดคล้องวิถีรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ  กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว”  โดยใช้ “อาหารไทย” เป็นเครื่องมือ สร้างรายได้ เร็ว–ชัด–ยั่งยืน

เครื่องมือเชิงนโยบายที่ชี้เป้าได้ทันที ได้แก่

  • วัตถุดิบ GI (Geographical Indications) ยกระดับคุณค่าทางพื้นที่ให้กลายเป็น “ทุนทางแบรนด์” และราคาที่ดีขึ้นสำหรับเกษตรกร
  • มาตรฐาน Thai SELECT รับรองคุณภาพรสชาติและความเป็นไทย กระตุ้นให้ร้านอาหารไทยทั้งใน–นอกประเทศก้าวสู่มาตรฐานเดียวกัน
  • การตลาดสร้างสรรค์ ดึงเชฟรุ่นใหม่มีอิทธิพลบนโซเชียล อย่าง เชฟอิน กำลังอิน มาสร้างเมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ตัวอย่างเช่น เห่าดงไก่” จากพริกไทยตรัง, ของหวาน ทีรามิสุเมืองระนอง” ใช้กาแฟระนองและมะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว ตอกย้ำ “ไอเดีย = มูลค่าเพิ่ม” ให้กับวัตถุดิบไทย

เหนือสิ่งอื่นใด กระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อน 7 แนวทาง Quick Big Win ครอบคลุมตั้งแต่ความร่วมมือด้านภาษีกับสหรัฐฯ, การดูแลค้าชายแดน, การเร่งเจรจา FTA และเปิดตลาดใหม่, การลดค่าครองชีพประชาชน (เช่น มหกรรมลดราคาเทศกาลกินเจช่วยประหยัดกว่า 750 ล้านบาท), การดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร, การเสริมแกร่ง SMEs, และการปรับกฎ–ประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  ทั้งหมดยิงตรงเป้าที่ “ผลลัพธ์เร็ว” แต่ไม่ฉาบฉวย เพราะถูกออกแบบให้ต่อยอดโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวได้

จากครัวไทยสู่ครัวโลก เมื่อ “รสชาติ” ต้องจับมือ “ความปลอดภัย”

ซีนแรก แสงนีออนบนถนนเยาวราช สตรีทฟู้ดคึกคัก นักท่องเที่ยวต่อคิวก๋วยเตี๋ยวเรือ–ผัดไทย รอยยิ้ม แสงแฟลช และคำชมกระหึ่มโซเชียล
ซีนต่อมา ด่านแม่สาย เจ้าหน้าที่ตรวจอุณหภูมิ–สภาพบรรจุ–เอกสารรับรองรถขนส่งเลี้ยวเข้าสถานตรวจ เจ้าหน้าที่สุ่มตัวอย่าง ทดสอบ–บันทึกผล รถผ่านด่านในเวลาที่ควบคุม
ซีนสุดท้าย เวทีสร้างสรรค์เชฟหนุ่มหยิบพริกไทยตรัง GI ใส่ลงในหม้อ ไอน้ำยกตัวขึ้นพร้อมกลิ่นหอมฉุน เมนู “เห่าดงไก่” จานร่วมสมัยเกิดขึ้นต่อหน้าแขก–สื่อมวลชน บทสนทนาไม่ได้มีแค่ “อร่อย” แต่ต่อยอดไปถึง “พื้นที่–ผู้ผลิต–มาตรฐาน–การรับรอง–ราคายุติธรรม” นี่คือภาพที่ รสชาติ, ความปลอดภัย, และต้นทางที่เป็นธรรม มาบรรจบในจานเดียว

เหตุแห่งความยั่งยืนของ Soft Power ไม่ใช่การติดอันดับแล้วจบ แต่คือ การรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ, การคุ้มครองผู้บริโภค, และ การจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรมให้กับต้นน้ำ เพื่อให้ “คำชม” ในวันนี้ แปรเป็น “รายได้หมุนเวียน” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ตัวเลข–สถิติที่อ่านแล้วคิดต่อ

  • 98.33 คะแนน คือแต้มเฉลี่ยที่ไทยได้จากผู้อ่านทั่วโลกในหมวดประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก (2025)
  • ประเทศที่ตามมา—อิตาลี 96.92, ญี่ปุ่น 96.77, เวียดนาม 96.67, สเปน 95.91—สะท้อนการแข่งขันที่สูงมาก ไทยจึงต้องรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
  • 7 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ติดทำเนียบท็อป 35 ของโลก ชี้ว่าระดับบนของอุตสาหกรรมอาหารไทยก้าวทันและก้าวข้ามเวทีโลกแล้ว
  • ฝั่ง นโยบายดูแลค่าครองชีพ ที่พ่วงมากับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงอาหาร มหกรรมกินเจราคาประหยัด ช่วยลดค่าครองชีพรวม กว่า 750 ล้านบาท สะท้อนความพยายามบาลานซ์ “รายได้ผู้ประกอบการ–ภาระประชาชน”

10 อันดับประเทศที่มีอาหารที่ดีที่สุดในโลก

  •  อันดับ 1 ประเทศไทย  98.33 คะแนน
  •  อันดับ 2  อิตาลี 96.92 คะแนน
  • อันดับ 3  ญี่ปุ่น  96.77 คะแนน
  • อันดับ 4 เวียดนาม  96.67 คะแนน
  • อันดับ 5 สเปน 95.91 คะแนน
  • อันดับ 6 นิวซีแลนด์ 95.79 คะแนน
  • อันดับ 7 ศรีลังกา  95.56 คะแนน
  • อันดับ 8  กรีซ  95.42 คะแนน
  • อันดับ 9  แอฟริกาใต้  94.76 คะแนน
  • อันดับ 10  เปรู  94.55 คะแนน / มัลดีฟส์ 94.55 คะแนน

จากเชียงรายสู่เวทีโลก ทำไม “ชายแดน” จึงเป็นหัวใจของระบบอาหารปลอดภัย

“แม่สายโมเดล” สอนเราว่า ระบบอาหารปลอดภัย ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่เป็น งานทีม ที่ต้องวางผังตั้งแต่ ต้นทาง–ด่านผ่าน–ตลาด–ผู้บริโภค การตรวจสอบแบบ สุ่มตัวอย่างสม่ำเสมอ, การให้ความรู้ภาคธุรกิจ, และ การปลูกวินัยตลาด คือสามฟันเฟืองที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งในช่วงที่ Soft Power ของอาหารไทย “ขึ้นหม้อ” การค้าข้ามแดนจะยิ่งคึกคัก ด่านชายแดนคือด่านหน้าความน่าเชื่อถือ หากล้มเพียงจุดเดียว ความไว้วางใจทั้งระบบสั่นสะเทือนทันที ตรงกันข้าม หากชายแดนเข้มแข็ง เชื่อมมือกับผู้ผลิต GI และร้านอาหารที่ได้ Thai SELECT เราจะได้ “โซ่อุปทานที่เล่าเรื่องความปลอดภัยได้” ซึ่งเป็น ข้อได้เปรียบเชิงแข่งขัน ที่ประเทศคู่แข่งเลียนแบบยาก

เชื่อม Soft Power ให้เป็น “Hard Currency” อย่างไรให้ยั่งยืน

  1. แผนจังหวัด–ชายแดน–ประเทศต้อง sync กัน
    เมืองชายแดนอย่างแม่สายต้องมีทรัพยากรตรวจ–อบรม–สื่อสารครบมือ เชื่อมกับนโยบาย GI และ Thai SELECT ของกระทรวงพาณิชย์/หน่วยงานท่องเที่ยว เพื่อให้ เรื่องเล่าความปลอดภัย เดินคู่กับ เรื่องเล่าความอร่อย อย่างไร้รอยต่อ
  2. ยกระดับ “ข้อมูลและการตรวจสอบได้” (Traceability)
    สำหรับวัตถุดิบ GI และผู้ประกอบการที่ต้องการออกสู่ตลาดโลก การมีระบบติดตามย้อนกลับ (จากแหล่งผลิต–จานอาหาร) จะทำให้ มูลค่า–ราคา–ความเชื่อมั่น สูงขึ้นและคงอยู่ได้ยาว
  3. ผลักดันเชฟ–ครีเอเตอร์–แพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นกระบอกเสียงของพื้นที่
    เมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ที่ “เล่าเรื่องบ้านเกิด” จะทำให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าเกินกว่ารสชาติ และ ยอมจ่ายเพื่อสนับสนุนพื้นที่ มากขึ้น
  4. ดูแลคนตัวเล็กในห่วงโซ่
    หากเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยรู้สึกว่า “ระบบนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง” โครงสร้าง Soft Power จะยืนระยะ เพราะ แรงจูงใจ อยู่กับคนที่ถือ “ต้นทางของคุณภาพ”
  5. วัดผลให้ถูกจุด
    นอกจากยอดติดอันดับ/ยอดเช็กอิน ควรติดตาม รายได้เกษตรกร–SMEs, จำนวนผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเพิ่ม, เหตุร้องเรียนอาหารไม่ปลอดภัยลดลง, และ การเข้าถึงอาหารปลอดภัยของประชาชน เพื่อเห็นภาพยั่งยืนจริง

ชัยชนะของรสชาติจะสมบูรณ์ เมื่อความปลอดภัยและความเป็นธรรมเดินมาด้วยกัน

การที่ไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025 ด้วยคะแนน 98.33 ไม่ใช่เพียงเหรียญรางวัลให้ชาติ แต่คือ ภารกิจ ว่าต้องรักษามาตรฐานนี้ด้วย “ระบบ” ที่คุ้มครองผู้บริโภค–เกื้อกูลผู้ผลิต–เสริมพลังผู้ประกอบการ และเล่าความเป็นไทยออกไปอย่างสง่างาม

แม่สายโมเดล” แสดงให้เห็นว่า เมืองชายแดนไม่ใช่พื้นที่ชายขอบของนโยบาย หากคือ หัวใจของห่วงโซ่อาหารปลอดภัย และเป็น “ด่านหน้า” ที่ทำให้คำว่า ครัวไทยสู่ครัวโลก มีความหมายมากกว่าคำขวัญ มันคือ ระบบที่ทำงานทุกวัน เพื่อให้ทุกจานที่เสิร์ฟ อร่อย ปลอดภัย และยุติธรรม จริง ๆ

ในอีกฟากหนึ่ง นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์กำลังแปลง Soft Power ให้เป็น Hard Currency ผ่านตรารับรอง–วัตถุดิบ–การตลาดสร้างสรรค์ และมาตรการดูแลค่าครองชีพ หากสองฟากนี้เดินไปพร้อมกัน ชัยชนะบนเวทีโลก จะกลายเป็น รายได้ที่ไหลถึงมือประชาชน และ ความภูมิใจที่ยืนยาว ของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Condé Nast Traveler – Readers’ Choice Awards 2025
  • สำนักข่าว CNN (สรุปผล Readers’ Choice Awards 2025)
  • กระทรวงพาณิชย์ (Thailand Taste & Treasures / นโยบาย Quick Big Win)
  • ข้อมูล GI และมาตรฐาน Thai SELECT
  • เทศบาลตำบลแม่สาย / โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ จ.เชียงราย
  • หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่น จ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เดิมพันอนาคต รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เชียงราย ชู “เมืองปลอดภัยอันดับ 2 โลก”

เดิมพันอนาคต “เชียงรายพร้อมรับไฮซีซัน” รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เมืองรอง–เปิดเกมจีน พร้อมชู “เมืองปลอดภัยระดับโลก + Soft Power” เป็นแม่เหล็กดึงนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 18 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวลูกแรกเริ่มปะทะปลายเทือกเขาเขตเหนือสุดแดนสยาม ขณะเดียวกัน “นาฬิกาเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลก็เดินเร่ง ก่อนเส้นตายยุบสภาช่วงมกราคม 2569 จะมาถึง ภารกิจเร่งด่วนจึงถูกโยนเข้าสู่สนามท่องเที่ยวอย่างเต็มกำลัง—อุตสาหกรรมที่ยังทำเงินสดหมุนให้ชุมชนเร็วที่สุดในยามเศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้น

เชียงราย ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซัน (พฤศจิกายน–กุมภาพันธ์) และมี “ปัจจัยหนุน” หลายด้านเกิดพร้อมกัน ตั้งแต่นโยบาย ลดค่าบริการสนามบิน เพื่อจูงใจสายการบินเปิดเส้นทางใหม่, แคมเปญเชิงรุก Airline Focus ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ทำให้ ไตรมาส 4/2568 มีไฟลต์ใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย, ไปจนถึงการชู “ความปลอดภัยระดับโลก” และ “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” เป็นข้อได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ที่ยากต่อการเลียนแบบ

รายงานชิ้นนี้จึงชวนผู้อ่าน “ไล่ปม–คลี่คลาย” แบบเจาะลึกเชียงรายพร้อมแค่ไหนกับการเป็น สนามรับดีมานด์ใหม่” จากท้องฟ้า? และเมื่อรัฐบาลมีเวลาจำกัด “เกมเร็ว” ใดบ้างที่ต้องเดินให้ทัน เพื่อแปลงนโยบายบนโต๊ะเจรจาให้กลายเป็น รายได้เข้าชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม

คณะรัฐ–ททท. บินปักกิ่ง เปิดเกมเร่งฟื้นจีน และ จ่อชง “ลดค่าบริการสนามบิน”

17 ตุลาคม 2568, กรุงปักกิ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) พร้อม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารระดับสูง เดินสายพบพันธมิตรหัวขบวนตลาดจีนอย่าง UTour, Caissa, Qunar, Tongcheng, CCT, CTG, 6renyou, ZX-Tour รวมถึง Hainan Airlines และ Air China เป้าหมายชัดเจน “รับฟัง–รีดข้อเสนอ–ทำจริง” เพื่อดึง นักท่องเที่ยวจีน กลับสู่ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

สารหลักของรองนายกฯ ในครั้งนี้มีสองแกน
(1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน — รัฐบาลย้ำบูรณาการทำงานร่วม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดูแลชีวิตและทรัพย์สินนักท่องเที่ยว “ให้รู้สึกปลอดภัยทุกก้าว”
(2) ลดต้นทุนสายการบินอย่างตรงจุด — มอบหมาย กรมท่าอากาศยาน พิจารณามาตรการ ลดค่าบริการสำหรับไฟลต์ใหม่ ทั้ง ค่าขึ้น–ลงอากาศยาน (Landing Charge) และ ค่าจอดอากาศยาน (Parking Charge) ที่สนามบินในกำกับ ท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย, ภูเก็ต, หาดใหญ่ เพื่อ “กดต้นทุน–เปิดเส้นทาง–เพิ่มเที่ยวบิน” โดยตรง

“มาตรการนี้เป็นแรงจูงใจสำคัญให้สายการบินต่างประเทศเพิ่มเที่ยวบินมายังประเทศไทย ช่วยกระจายตัวนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้เติบโตต่อเนื่อง” — สารจาก ร.อ.ธรรมนัส ในวงหารือกับพันธมิตรจีน

ฝั่ง ททท. โดย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการฯ เสริมแรงด้วยข้อมูลจากแคมเปญ Airline Focus และ Thailand Summer Blast ที่ร่วมผลักดันทั้ง ไฟลต์ประจำ (Scheduled) และ ไฟลต์เช่าเหมาลำ (Charter) ส่งผลให้ ช่วงไตรมาส 4/2568 มีการ เปิดเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง จากทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง—สัญญาณตรงที่สะท้อน ดีมานด์เดินทางเข้าประเทศไทยกำลังเร่งตัว ในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

แปลเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าไทย “กดค่าใช้จ่ายสนามบิน” ให้ไฟลต์ใหม่ Breakeven เร็วขึ้น ขณะที่ ททท. ช่วยการตลาด–จับมือเอเยนต์–แพลตฟอร์มจอง อัดดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร โอกาสเปิดเส้นทางตรงสู่เมืองรองอย่าง เชียงราย ก็ “จับต้องได้” มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

จุดแข็งที่คู่แข่งเลียนแบบยาก “เชียงรายเมืองปลอดภัยระดับโลก” + “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์”

ถ้าถามว่า “ขายอะไร” ให้สายการบินและผู้โดยสารเชื่อมั่น? เชียงรายมี “การ์ดทรงพลัง” อย่างน้อยสองใบ

1) ความปลอดภัยเชิงสถิติโลก

การจัดอันดับของ Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com) ยกให้ เชียงราย เป็น เมืองที่ปลอดภัยที่สุดอันดับ 2 ของโลกสำหรับผู้หญิง Digital Nomad (ปี 2025) โดยพิจารณาหลายมิติ ตั้งแต่ “ความปลอดภัยกลางวัน–กลางคืน” “ความเป็นมิตรต่อผู้หญิงและชาวต่างชาติ” ไปจนถึง “กรอบกฎหมายคุ้มครอง” ขณะที่ฐานข้อมูล Numbeo (อัปเดต 2 มีนาคม 2025) สะท้อนตัวเลข “ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% / กลางคืน ~95.83%” และ “ความกังวลต่อการถูกทำร้ายอยู่ระดับต่ำมาก”

แปลเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยวเมืองที่ รู้สึกปลอดภัย” คือเมืองที่ผู้โดยสาร ตัดสินใจง่าย” และพักนานขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม ครอบครัว, ผู้หญิงเดินทางเดี่ยว, Digital Nomad ซึ่งเป็น ตลาดคุณภาพ ที่กระจายรายจ่ายสู่คาเฟ่–โคเวิร์กกิง–งานศิลป์ดีกว่ามวลชนระยะสั้น

2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์

เชียงรายไม่ใช่แค่ประตูชายแดน แต่เป็น เมืองศิลปะมีชีวิต” ที่บ่มเพาะกิจกรรมต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานดอกไม้–ดนตรีในสวน, วัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย, ไปถึงการผลักดันแนวคิด Garden City และการจัด Walking Street / Walking Map โซนดาวน์ทาวน์ (เชื่อม วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว) เพื่อยืดเวลาพำนักยามค่ำคืนอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ

Soft Power ที่จับต้องได้ + ความปลอดภัยที่พิสูจน์ด้วยตัวเลข—สองขานี้ทำให้เชียงรายมี “ตำแหน่งทางการตลาด” ชัดเจนในสายตาเอเยนต์และสายการบินเมืองรองคุณภาพ–ปลอดภัย–คุ้มต้นทุน

จุดเชื่อมจีน” ที่เห็นจริงคาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025 และการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

ปี 2569 คือวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โครงการเชื่อมโยงอย่าง คาราวานมิตรภาพไทย–จีน กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง 2025” จึงถูกออกแบบทั้งเพื่อสื่อสารภาพบวกและทดสอบเส้นทางทางบกใหม่ ๆ ขบวนกว่า 15 คัน ใช้รถพลังงานสะอาด BYD Sealion 6 DM-i วิ่งกว่า 5,000 กม. ใน 16 วัน โดยมี อำเภอเชียงของ เป็นจุดพักสำคัญก่อนข้ามแดน

แม้นี่ไม่ใช่ไฟลต์บิน แต่คือ สัญลักษณ์ของ “Strategic Connectivity” ที่รัฐบาลไทย–จีนต้องการย้ำ “ความเชื่อม–ความง่าย–ความปลอดภัย” ของการเดินทาง ซึ่งต่อยอดสู่ ตลาดจีนคุณภาพ ได้ทั้งทางบกและอากาศ หากเชียงรายมีไฟลต์ตรง/เชื่อมต่อที่สะดวก ก็ยิ่งปิดจุดอ่อน “การเดินทางหลายต่อ” ของนักท่องเที่ยวจีนเมืองรอง

ฝั่งปฏิบัติการในพื้นที่ ททท.เชียงรายคนใหม่ “วางหมุด–ทำแผน–ยกระดับประสบการณ์”

9 ตุลาคม 2568คุณยุรีพรรณ แสนใจยา เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย พร้อมวิสัยทัศน์ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่สอดคล้องยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัด แผนงานสำคัญประกอบด้วย

  • สร้าง “ศูนย์กลางประสบการณ์” เขตดาวน์ทาวน์ : ปักหมุด วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว เป็นแกนกิจกรรมกลางคืนที่ปลอดภัย เดินได้จริง มีสื่อสารทิศทางชัด ผ่าน Walking Map
  • ยกระดับพื้นที่กรีน–อาร์ต : ผลักดัน Garden City และพื้นที่สีเขียวชุมชน เช่น เกาะทอง–หนองน้ำ–สวนสาธารณะ ให้กลายเป็น แลนด์มาร์กเดินเล่น–ปั่นจักรยาน รองรับกลุ่ม ครอบครัว–Senior–Digital Nomad
  • ปฏิทินเทศกาลต่อเนื่อง : งานดอกไม้–ดนตรีในสวน–ตักบาตรดอกไม้–เทศกาลชาติพันธุ์—ช่วย ยืดระยะพำนัก, กระจายเที่ยวไป ทุกอำเภอ
  • เชื่อมภาคเอกชน–ชุมชน : ใช้ แพ็กเกจเส้นทางศิลป์–ชุมชน–กาแฟ–ไร่ชา สร้างรายได้ตรงสู่ฐานราก

ความท้าทาย ของผู้อำนวยการคนใหม่จึงไม่ใช่ “สร้างข่าว” แต่คือ “จัดประสบการณ์หน้างาน” ให้ สมมาตรกับความคาดหวัง จากดีมานด์ใหม่ที่กำลังหลั่งไหล—ทั้งในมาตรฐานบริการ, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ความสะอาด–ปลอดภัย, และ การจราจร/จุดจอด ในช่วงพีก

ลดค่าบริการสนามบิน” จะช่วยเชียงรายอย่างไร? มองผ่านแว่นสายการบิน

สำหรับสายการบิน การเปิดเส้นทางใหม่คือการชั่งน้ำหนัก ต้นทุน–ดีมานด์–ความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเร็วขึ้นมี 4 ข้อหลัก

  1. ต้นทุนสนามบิน (AOT charges) — การลด Landing / Parking สำหรับไฟลต์ใหม่ ช่วยให้ ค่าเฉลี่ยต่อชั่วโมงบิน ลดลงในช่วงสำคัญของเส้นโค้งการเรียนรู้ (ramp-up)
  2. ความต้องการเดินทาง (Demand Visibility) — ททท.รับบท Demand Maker ผ่านโคโปรโมชันกับสายการบิน/ OTA และการสื่อสารตลาดเป้าหมาย (จีนระยะใกล้, ยุโรปหนีหนาว ฯลฯ)
  3. ภาพลักษณ์–ความปลอดภัยปลายทาง — เชียงรายมีแต้มต่อชัดเจนด้วย เรตติ้งความปลอดภัย และภาพจำเมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์—ลดความเสี่ยงฝั่ง perception
  4. โครงสร้างรองรับภาคพื้น — ความพร้อมของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ในมิติ ground handling, immigration, taxi/รถรับส่ง, เวลาเปิดใช้งาน (operational hours) ช่วงพีก จะเป็นตัว “ล็อกคุณภาพ” ให้ไฟลต์ใหม่เลี่ยงความล่าช้าต้นน้ำ

บทเรียนจากเมืองรองอื่น ชี้ว่า เมื่อไฟลต์ทดลอง เริ่มเต็ม–รักษาตรงเวลา–รีวิวผู้โดยสารดี สายการบินมักเพิ่มความถี่/ขยายฤดูกาลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาตรการลดค่าบริการสนามบินจึงควร ผูกกับ KPI เติมผู้โดยสาร (Load Factor) และ ความถี่ต่อเนื่อง (Sustained Frequency) เพื่อให้เม็ดเงินรัฐสร้าง “ผลถาวร” ไม่ใช่ “ผลชั่วคราว”

ไฮซีซันนี้ต้อง “ทำสั้น–ได้ผลไกล”  เช็กลิสต์ 6 ข้อที่เชียงรายควรล็อกให้ทัน

  1. แพ็กเกจ “บิน–เที่ยว–นอน” ที่ปิดจุดปวด : ร่วมเอกชนทำดีล สนามบิน–โรงแรม–การเดินทางในเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวจีน/อาเซียน ภาษา–สื่อสาร–ชำระเงิน ต้องลื่น
  2. ศูนย์ข้อมูลหลายภาษา + เจ้าหน้าที่อาสา : โซนดาวน์ทาวน์–หอนาฬิกา–ท่าอากาศยาน—ตั้ง Information Kiosk ภาษา จีน–อังกฤษ–ไทย ช่วย “จบปัญหาหลงทาง–เข้าไม่ถึงข้อมูล”
  3. เส้นทาง “ปลอดภัย–เดินได้” กลางคืน : ปูทางเท้า, ไฟส่องสว่าง, กล้อง, จุดนั่งพัก, ป้ายทาง, ห้องน้ำมาตรฐาน—คือ “ประสบการณ์จำ” มากกว่าภาพถ่ายแลนด์มาร์ก
  4. เทศกาลแบบ “รันคิวสวย–ลดรอคอย” : ใช้ระบบจองเวลา/ QR ต่อคิวในเทศกาลยอดฮิต—ลดความแออัด–เพิ่มความประทับใจ
  5. โปรไฟล์สื่อออนไลน์เทศกาล–แผนที่จริง : เว็บไซต์/โซเชียลหลักของจังหวัดต้องมี ภาษาอังกฤษ–จีน พร้อม Walking Map ที่โหลดง่าย–อัปเดตสด
  6. เชื่อม “กาแฟ–ชา–อาร์ต–ชุมชน” : สร้างเส้นทาง 1–3 วัน (ตัวอย่าง) เมือง–แม่ลาว–แม่จัน–แม่สาย ให้เลือกได้ตามเวลาพำนัก

มองอนาคต หากไฟลต์ตรงเกิดจริง—เศรษฐกิจท้องถิ่นจะเห็นอะไร

  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/ทริปสูงขึ้น : กลุ่มเป้าหมายที่เชื่อใน “เมืองปลอดภัย–ศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” มีแนวโน้มใช้จ่าย ที่พักบูทีค–คาเฟ่–กิจกรรมชุมชน–ศิลปหัตถกรรม มากกว่าซื้อของฝากแบบเร่งด่วน
  • ห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลโต : โคเวิร์กกิง–อินเทอร์เน็ต–ซิม/อีซิม–บริการเช่ารถไฟฟ้า–จักรยาน—จะตามมารองรับ Digital Nomad และนักเดินทางทำงานได้
  • แรงงานบริการคุณภาพ : ความต้องการมัคคุเทศก์–ล่ามภาษาจีน–บาริสต้า–ช่างภาพท่องเที่ยว—เพิ่มขึ้น “เชิงทักษะ” มากกว่าแรงงานปริมาณ
  • การกระจายสู่รอบนอก : เมื่อดาวน์ทาวน์จัดการดี เม็ดเงินจะไหลต่อสู่ อำเภอแม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–เชียงของ–เทิง ผ่านเส้นทางชา–กาแฟ–ชุมชนชาติพันธุ์

Risk & Reality Check: สิ่งที่ต้องเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง

  1. ตารางเวลาอนุมัติมาตรการลดค่าบริการสนามบิน — จำเป็นต้องชัดเจน–คาดการณ์ได้ เพื่อให้สายการบินวาง slot ล่วงหน้า
  2. ความต่อเนื่องหลังยุบสภา — นโยบายควรผูกกับ กรอบปฏิบัติราชการ มากกว่าบุคคล เพื่อให้ไฟลต์ใหม่ไม่สะดุด
  3. สมดุลความหนาแน่นท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิตท้องถิ่น — เมืองปลอดภัยต้องไม่แลกด้วยความแออัดจราจร–ขยะ–เสียงดังเกินควร
  4. การสื่อสารเหตุการณ์ไม่คาดฝัน — ระบบแจ้งเตือนหลายภาษา–ศูนย์ประสานงานนักท่องเที่ยว–เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน ต้องพร้อมเสมอ

เดิมพันไฮซีซันบน “สามแรงส่ง–สองการ์ดเด็ด”

เมื่อนำทุกเส้นเรื่องมาร้อยรวมกัน “สมการไฮซีซันเชียงราย” จึงชัดเจนขึ้น

  • สามแรงส่ง (จากส่วนกลาง) :
    (1) นายกฯ–รองนายกฯ–รมว.ท่องเที่ยว เดินเกม Big Impact, Act Fast กับพันธมิตรจีน
    (2) นโยบาย ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (อยู่ระหว่างการพิจารณา)
    (3) แคมเปญ Airline Focus ของ ททท. ซึ่งส่งผลให้ ไตรมาส 4/2568 มีเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย
  • สองการ์ดเด็ด (ของเชียงรายเอง) :
    (1) เมืองปลอดภัยระดับโลก” สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (จัดอันดับโดย Holidu/อิง Nomads.com; สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo)
    (2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์ + ปฏิทินเทศกาล–พื้นที่สีเขียว–Walking Map ที่กำลังยกระดับ

เมื่อแรงส่งบนฟ้าบรรจบกับการ์ดเด็ดหน้างาน โอกาสที่เชียงรายจะ แปลงไฟลต์ใหม่ให้เป็นรายได้กระจายสู่ชุมชน ในไฮซีซันนี้ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ตราบใดที่ การจัดการภาคพื้น ทำได้ “ดี–ละเอียด–ต่อเนื่อง” ตามเช็กลิสต์ที่เสนอ

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ “จะมีนักท่องเที่ยวไหม” แต่คือ เราพร้อมพานักท่องเที่ยวให้ประทับใจและกลับมาอีกหรือยัง” ซึ่งคำตอบอยู่ในมือของทุกภาคส่วน—ตั้งแต่หน่วยงานกลาง, ท่าอากาศยาน, ททท., เทศบาล, ผู้ประกอบการ, ไปจนถึงชุมชนเจ้าบ้าน

ไฮซีซันปีนี้ จึงไม่ใช่แค่หน้าหนาวแรก แต่เป็น เดิมพันอนาคต ที่เชียงรายมีโอกาส “ยิงให้เข้าเป้า” ในเวลาจำกัด—ทำสั้น แต่ให้ได้ผลไกล

เสียง–สถิติ–แผนงาน

  • รัฐบาลพบพันธมิตรจีนที่ปักกิ่ง (17 ต.ค. 2568)  ย้ำ ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และ ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (Landing / Parking) ที่สนามบิน AOT รวมถึง แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • ททท.ชี้สัญญาณบวก  ไตรมาส 4/2568 สายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มเส้นทางใหม่ > 80 เส้นทาง สู่ไทย จากเอเชีย–ยุโรป–อเมริกา–ตะวันออกกลาง
  • เชียงราย = เมืองปลอดภัยระดับโลกอันดับ 2 สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (Holidu / Nomads.com) สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo (ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% กลางคืน ~95.83%)
  • คาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025  วิ่ง 5,000 กม. ใช้เชียงของเป็นจุดผ่าน—สัญลักษณ์ “การเชื่อมไทย–จีน” รับวาระ 50 ปีทางการทูต
  • ททท.เชียงราย (ผอ.คนใหม่)  ปักหมุดดาวน์ทาวน์–Walking Map–Garden City–เทศกาลต่อเนื่อง—มุ่ง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ท่าอากาศยานไทย (AOT) / กรมท่าอากาศยาน
  • Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com)
  • Numbeo
  • ททท. สำนักงานเชียงราย
  • ภาคีปฏิบัติการพื้นที่/สื่อท้องถิ่นเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ดูไบส่งสัญญาณ เชียงรายต้องทำอะไร เมื่อกาแฟเกอิชาแก้วละ 9,000 บาท สะเทือนเศรษฐกิจเหนือ

เชียงรายควรมองอย่างไร เมื่อกาแฟ “เกอิชา” ในนครดูไบ แก้วละ 9,000 บาท เขย่าโลก—และเขย่าจินตนาการเศรษฐกิจเมืองเหนือ

อาหรับเอมิเรตส์, 5 ตุลาคม 2568 – แก้วกาแฟหนึ่งแก้วอาจเป็นเพียงกิจวัตรยามเช้าของใครหลายคน แต่ “แก้วเดียว” ที่บูเลอวาร์ด ดาวน์ทาวน์ ดูไบ เมื่อปลายเดือนกันยายน ได้กลายเป็นพาดหัวข่าวโลก ร้าน Roasters เสิร์ฟกาแฟที่บันทึกโดย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ว่าเป็น “กาแฟแก้วที่แพงที่สุดในโลก” ลูกค้าจ่าย 2,500 ดีแรห์ม หรือราว 9,000 บาท เพื่อชิมเมล็ดพันธุ์หายาก “เกอิชา (Geisha)” จากฟาร์มดังของปานามา ชงด้วยวิธี V60 และเสิร์ฟในแก้วคริสตัลแกะสลักสไตล์เอโดะอย่างประณีต พร้อมขนมหวานที่เข้าคู่กัน

บนผิวน้ำสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นดอกไม้และผลไม้เปรี้ยวบาง ๆ ของเกอิชากระทบจมูก—ไม่เพียงสร้างประสบการณ์รสชาติ หากยังส่งสัญญาณเศรษฐกิจที่ดังไกลถึงภูเขาทางเหนือของไทย เพราะในขณะเดียวกัน จังหวัด เชียงราย กำลังพัฒนาศักยภาพกาแฟพิเศษอย่างจริงจัง และเริ่มปลูก เกอิชา ในระดับทดลอง โดยมี ดอยตุง เป็นหนึ่งในพื้นที่ปลูกที่ถูกกล่าวถึง แม้ผลผลิตยังน้อยและจำหน่ายได้เฉพาะในจังหวัด

แก้วเดียวที่สะท้อน “พีระมิดมูลค่า” ของกาแฟพิเศษ

เพื่อคว้าเกียรติยศครั้งนี้ Roasters เพิ่งประมูลเมล็ดเกอิชา 20 กิโลกรัม ในงาน Best of Panama 2025 ด้วยราคา 604,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20 ล้านบาท) —ตัวเลขที่ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟทั้งโลกหันมามองว่า “คุณค่า” ของกาแฟไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่คุณภาพ เรื่องเล่า แหล่งที่มา และพิธีกรรมการเสิร์ฟ

เมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาในเชียงรายวันนี้ ช่องว่างมีให้ “ไล่จับ” อย่างชัด

  • เกรด Quality Commercial : 250–330 บาท/กก.
  • Specialty Grade : 400–600 บาท/กก.
  • Variety Specialty Grade : 800–3,000 บาท/กก.

แม้ช่องว่างดูห่างไกลจากระดับ “ประมูลโลก” แต่ก็สะท้อน เพดานการเติบโต ที่ยังเหลือพื้นที่อีกมาก หากเชียงรายยกระดับทั้งเกษตรกรรม (สายพันธุ์–การดูแลสวน) การแปรรูป (โปรเซส) มาตรฐานคัปปิ้ง (cupping) และ “ศิลปะการเล่าเรื่อง” ให้ครบ

“การได้รับการรับรองจากกินเนสส์ เป็นการเฉลิมฉลองความทุ่มเทของทีมงาน และสะท้อนภาพลักษณ์ของดูไบในฐานะปลายทางประสบการณ์กาแฟระดับโลก” — คอนสแตนติน ฮาร์บุซ, ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Roasters (อ้างอิงแถลงข่าวร้าน)

คำพูดนี้มีค่าไม่เฉพาะกับดูไบ แต่ยังเตือนใจเมืองกาแฟทั่วโลกว่า “ปลายทางกาแฟ” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณภาพ–พิธีกรรม–การสื่อสาร ถูกบูรณาการให้เป็นหนึ่งเดียว

เชียงรายยืนอยู่ตรงไหนในแผนที่กาแฟพิเศษ

เชียงรายมีต้นทุนธรรมชาติหลายประการ—ระดับความสูง เหมาะกับอาราบิก้า, อุณหภูมิกลางคืนต่ำ, ความหลากหลายสายพันธุ์ (คาติมอร์, คาทูร่า, บูร์บง และเริ่มทดลอง เกอิชา), รวมถึงวัฒนธรรมกาแฟที่ฝังตัวกับการท่องเที่ยวภูเขา ชา และศิลปะ

อย่างไรก็ดี อายุของต้นกาแฟเกอิชา ในหลายแปลงยัง “อ่อนวัย” ทำให้ผลผลิตจริงยังน้อย นี่คือช่วงเวลาที่จังหวัดต้อง “ลงทุนในความอดทน”—ดูแลสวนอย่างถูกหลัก, เลือกโปรเซสที่ชูจุดเด่นสายพันธุ์ (Washed, Honey, Anaerobic, Carbonic Maceration) และควบคุม Traceability ตั้งแต่ต้นน้ำถึงแก้ว เพื่อรองรับการประเมินคะแนนตามมาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ในวันหน้า

เมื่อกรอบเวลาธรรมชาติของกาแฟบอกว่า “ผลจริง” ของเกอิชาจะเริ่มมากขึ้นใน 2–3 ปีข้างหน้า หัวใจของยุทธศาสตร์ตอนนี้จึงต้องวางที่ การยกระดับทั้งห่วงโซ่ และ การสร้างอัตลักษณ์เชิงจังหวัด ไปพร้อมกัน

บทเรียนจาก “แก้วละ 9,000” คุณภาพ–บริบท–พิธีกรรม

กรณี Roasters แสดงให้เห็นว่าความแพงของกาแฟมิใช่มาจาก “เมล็ด” อย่างเดียว แต่เกิดจาก 3 องค์ประกอบที่หนุนกันเป็นวงกลม

  1. คุณภาพเมล็ดและเรื่องเล่าที่ตรวจสอบได้ – เกอิชาแหล่งปลูกระดับโลกอย่างฟาร์ม Hacienda La Esmeralda มีชื่อเสียงยาวนาน เรื่องเล่าและรางวัลสะสมทำให้ผู้บริโภค “ยอมจ่าย” เพื่อประสบการณ์ที่รับรองได้
  2. บริบทสถานที่ – เสิร์ฟในย่านไอคอนิกของโลกอย่างดาวน์ทาวน์ดูไบ ทำให้ “การดื่ม” กลายเป็นพิธีกรรมทางสังคม
  3. พิธีกรรมการเสิร์ฟ – การเลือกแก้วคริสตัลเอโดะ การชงแบบ V60 อย่างประณีต การให้ Tasting Card กับลูกค้า—ทั้งหมดนี้คือ “ส่วนต่อขยายของรสชาติ” ที่ผู้ดื่มสัมผัสได้

เชียงรายจึงควรถามตัวเอง เรามีคุณภาพเมล็ด—ใช่; เรามีบริบทสถานที่—ใช่ (ภูเขา ไร่ชา ศิลปะ); เรามีพิธีกรรม–เรื่องเล่า–มาตรฐานการเสิร์ฟที่ยกระดับ “ทุกแก้ว” ให้มีความหมายหรือยัง?

แผนยกระดับ “จากไร่สู่แบรนด์โลก” ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์แบบเป็นขั้นตอน

เพื่อเปลี่ยน “โอกาส” ให้เป็น “ระบบนิเวศกาแฟ” ที่ยั่งยืน ขอนำเสนอโรดแมปที่เป็นกลาง และทำได้จริงในกรอบเวลา 3 ปี

ระยะที่ 1: วางมาตรฐานต้นน้ำ–กลางน้ำ (ปีที่ 1)

  • คลัสเตอร์เกอิชาเชียงราย รวบรวมแปลงทดลองใน ดอยตุง–แม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง ตั้งคณะทำงานด้านพันธุ์–เกษตรกรรม–โรคพืช ร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่
  • โปรโตคอลโปรเซส ออกคู่มือวิธีแปรรูป 2–3 แบบที่ชูจุดเด่นกลิ่นดอกไม้–ซิตรัสของเกอิชา พร้อม SOP ควบคุมอุณหภูมิ–เวลา–ความสะอาด
  • Traceability & Microlot สร้างระบบรหัสประจำล็อต (Lot ID), ระบุพิกัดสวน–ความสูง–โปรเซส, เปิดทางให้ “ไมโครล็อต” คุณภาพสูงต่อรองราคาได้ยุติธรรม

ระยะที่ 2: สร้างแบรนด์–ตั้งราคาบนคุณค่า (ปีที่ 2)

  • แบรนด์ร่ม “Geisha Chiang Rai” ใช้เป็นตราร่วม (co-brand) ให้ผู้ผลิตที่ผ่านมาตรฐาน พร้อมเล่าเรื่องภูมิประเทศ–ผู้ปลูก–ชุมชน
  • งานคัปปิ้งประจำปี เชิญ Q-graders/คัพเทสเตอร์จาก SCA และคั่วชื่อดัง ประเมินคะแนนอย่างโปร่งใส แล้วเผยแพร่สกอร์—ยกระดับความเชื่อถือสากล
  • ดีไซน์พิธีกรรมการเสิร์ฟ ออกแบบ เซ็ตพิธีชงเชียงราย” (กา–ดริปเปอร์–แก้วฝีมือช่างท้องถิ่น) เป็นเอกลักษณ์ พร้อม Tasting Card ไทย–อังกฤษ–จีน–อาหรับ

ระยะที่ 3: เปิดเส้นทาง “Coffee Tourism” (ปีที่ 3)

  • Route สายเกอิชา ทริป 2–3 วัน เชื่อมไร่–ห้องคั่ว–แกลเลอรีศิลปะ–สปา–ที่พักสไตล์วิลล่าพร้อมครัว ให้ผู้มาเยือนชิมหลายโปรเซส–หลายความสูง
  • อีเวนต์ลานหมอก จัดเทศกาลคัปปิ้งหน้าหนาว ควบคู่งานศิลป์–ดนตรี–ชิมอาหารเหนือ–ยูนนาน สร้างคอนเทนต์ระดับนานาชาติ
  • ช่องทางพรีเมียม คัดล็อต “ไมโครล็อตเรือธง” เข้าประมูลพิเศษ/จับคู่กับบาร์กาแฟชั้นนำในดูไบ โดฮา ริยาด มุมไบ โตเกียว—ตลาดกำลังซื้อสูงที่ “ยอมจ่ายเพื่อประสบการณ์”

โลจิสติกส์และตลาด เมื่อ “การบิน–การท่องเที่ยว” กลายเป็นคูณสองของกาแฟ

แนวโน้มเปิดเส้นทางบินใหม่ในอนาคตจากอินเดียสู่เชียงราย (เช่น สายการบินเครือข่ายใหญ่) หากเกิดขึ้นจริง จะช่วยเชื่อมตลาด กำลังซื้อสูง เข้าถึง “หมุดหมายกาแฟ” ได้สะดวก ขณะเดียวกัน ตลาดตะวันออกกลาง เป็นกลุ่มที่พิสูจน์แล้วว่าพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์พรีเมียม—กรณี Roasters คือสัญญาณชัด การทำตลาดร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในเซกเมนต์ “Luxury/Experience Seekers” จึงควรถูกวางเป็นยุทธศาสตร์ร่วม

อย่างไรก็ดี ข่าวชิ้นนี้ขอย้ำความเป็นกลาง เส้นทางบินใหม่ยังขึ้นกับการอนุมัติความพร้อมของสนามบิน ดีมานด์จริง จึงควรมองเป็น “โอกาสเชิงกลยุทธ์” ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติ ณ วันรายงาน

เมื่อเทียบกับ เกอิชาไมโครล็อตโลก ที่ราคาประมูลอาจแตะ 1,000–3,000 ดอลลาร์/กก. ในบางปี ช่องว่าง ราคาต่อกิโล–ราคาต่อแก้ว” ของเชียงรายยังเปิดกว้าง—นี่คือพื้นที่ของการลงทุนในคุณภาพ–มาตรฐาน–แบรนด์

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร คุณภาพไม่เสถียรการคาดหวังที่เร็วเกินไป

  1. อายุสวน – เกอิชาต้องการเวลา 3–4 ปีจึงให้ผลเต็มที่ ความเร่งรีบออกสู่ตลาดอาจทำให้คุณภาพแกว่งและเสียชื่อในระยะยาว
  2. โรคพืช–สภาพอากาศ – การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ต้องลงทุนความรู้ระบบสวนที่ยืดหยุ่น
  3. ความคาดหวังราคา – ต้องสื่อสารว่าราคาประมูลระดับโลกคือ “ปลายพีระมิด” ไม่ใช่ฐานตลาด ทั้งจังหวัดควรมุ่ง ยกระดับค่าเฉลี่ย ก่อนหวัง “สถิติโลก”

เสียงจากวงการ บทเรียนเชิงบริการหน้าบาร์

เหตุการณ์ดูไบยังสอนเราถึง ศิลปะการเสิร์ฟ บาริสต้าผู้ชำนาญ, การควบคุมอุณหภูมิ, เวลาการชง, การเลือกแก้ว, การเล่าเรื่อง—ทั้งหมดคือ “องค์ประกอบรสชาติ” ที่ประเมินเป็นเงินได้จริง เชียงรายจึงควรเร่ง

  • อบรม Q-grader/บาริสต้า/โรสเตอร์ รุ่นใหม่
  • สร้าง มาตรฐานบริการสองภาษา (ไทย–อังกฤษ และเสริมจีน/อาหรับในเส้นทางพรีเมียม)
  • ร่วมมือกับโรงเรียน/มหาวิทยาลัยท้องถิ่น เปิดหลักสูตรสั้นด้านกาแฟพิเศษ–บริการหรู

ภาพใหญ่ ทำไมเชียงราย “ไม่ควรรอ”

เพราะ “หน้าต่างโอกาส” เปิดอยู่—โลกเพิ่งหันกลับมาคุยถึงแก้วเดียวในดูไบ ราคา 9,000 บาท และถามหาที่มาของเมล็ดเกอิชา ขณะเดียวกัน ผู้เดินทางรุ่นใหม่มองหาประสบการณ์ที่ลงรายละเอียด—จากไร่สู่แก้ว จากเรื่องเล่าสู่พิธีกรรม เมืองที่มีทั้งภูเขา ศิลปะ และวัฒนธรรมกาแฟอย่างเชียงรายคือผู้เล่นธรรมชาติในสนามนี้

ถ้า วันนี้ เราบ่มเพาะคุณภาพในสวน วางมาตรฐานในโรงคั่ว สร้างพิธีกรรมหน้าบาร์ และเล่าเรื่องให้ถูกที่ถูกเวลา อีก 2–3 ปี ข้างหน้า เมื่อผลเกอิชารอบแรกทยอยออก—เชียงรายย่อมพร้อมยืนในแผนที่กาแฟพิเศษของโลก ไม่ใช่ด้วย “แก้วเดียวที่แพงที่สุด” แต่ด้วย ระบบนิเวศกาแฟ ที่ยั่งยืน เป็นธรรม และภาคภูมิใจร่วมกันทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Guinness World Records – บันทึกสถิติ “Most expensive cup of coffee” ที่ร้าน Roasters นครดูไบ เมื่อเดือนกันยายน 2568 และรายละเอียดการเสิร์ฟ
  • Best of Panama (BoP) 2025
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • Mae Fah Luang Foundation / โครงการพัฒนาดอยตุง)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

กาแฟ-ศิลปะผสานพลัง! เชียงรายพลิกโฉมสู่ “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ต้องรอหน้าหนาว

เชียงราย เมื่อจุดแข็ง “กาแฟ-ศิลปะ” พร้อมสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดปี

จุดเปลี่ยนของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ต้องรอหน้าหนาว เมื่อศักยภาพที่มีอยู่พร้อมถูกผสานเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

เชียงราย 2 ตุลาคม 2568 — ในช่วงเวลาที่เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังแข่งขันกันดึงดูดนักเดินทาง จังหวัดเชียงรายกลับยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ คำถามที่วงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกำลังตั้งขึ้นคือ เชียงรายจะยังคงเป็น “เมืองที่ต้องรอ” เทศกาลใหญ่หรือฤดูหน้าหนาวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ หรือจะพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน

การวิเคราะห์จากนักสื่อสารและผู้สังเกตการณ์ในแวดวงศิลปวัฒนธรรมชี้ให้เห็นว่า คำตอบอยู่ที่การผสานพลังระหว่างสองจุดแข็งที่เชียงรายมีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือ นั่นคือ “วัฒนธรรมกาแฟและคาเฟ่” กับ “ชุมชนศิลปินและศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งหากนำมาบูรณาการอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายกลายเป็น “เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาค

มรดกกาแฟที่ไม่เพียงแค่เครื่องดื่ม

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองที่มีร้านกาแฟมากมาย แต่คือแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพที่มีชื่อเสียงระดับสากล โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้าจากชุมชนชาวเขาบนพื้นที่สูง ชาวอาข่าในพื้นที่เชียงรายได้พัฒนาฝีมือการปลูก แปรรูป และคั่วกาแฟจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

จากข้อมูลของวิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยผาหมี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนอาข่าที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน และมีกำลังการผลิตกาแฟกะลาหลักแสนกิโลกรัมต่อปี โดยราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำงานในธุรกิจกาแฟของชุมชนเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาและการต่อยอดสู่รุ่นถัดไป

ความสำเร็จของกาแฟเชียงรายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ไร่กาแฟ แต่ขยายตัวสู่วงการคาเฟ่ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ จนมีคำกล่าวในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “เชียงรายมีร้านกาแฟเยอะกว่าร้านข้าว” การออกแบบคาเฟ่ในเชียงรายมักผสมผสานระหว่างความเป็นร่วมสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น บรรยากาศที่เป็นมิตร และการใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่นคุณภาพสูง ทำให้คาเฟ่ในเชียงรายไม่ใช่แค่สถานที่ดื่มกาแฟ แต่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ

ศิลปินและศิลปะที่รอคอยเวที

ขณะที่วงการกาแฟกำลังเติบโต อีกหนึ่งจุดแข็งของเชียงรายที่ไม่ควรมองข้ามคือชุมชนศิลปินที่มีความหลากหลายและมีพลัง เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังระดับชาติ และยังคงดึงดูดศิลปินรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายมาสร้างฐานการทำงานในพื้นที่ ด้วยต้นทุนการครองชีพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และชุมชนศิลปินที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ศิลปินเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาขาดพื้นที่แสดงผลงานอย่างต่อเนื่อง แกลเลอรีศิลปะในเชียงรายมีจำนวนจำกัด และส่วนใหญ่เปิดให้จัดแสดงเฉพาะเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ศิลปินรุ่นใหม่หรือศิลปินที่ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ขาดโอกาสในการนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ

จุดนี้เองที่เป็นโอกาสทองสำหรับการบูรณาการระหว่างวงการกาแฟและศิลปะ คาเฟ่ที่มีอยู่มากมายในเชียงรายสามารถกลายเป็น “แกลเลอรีเคลื่อนที่” หรือพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและเปิดกว้างมากกว่าแกลเลอรีแบบดั้งเดิม การจิบกาแฟท่ามกลางงานศิลปะไม่ใช่แนวคิดใหม่ในระดับสากล แต่ในบริบทของเชียงราย มันคือโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและยั่งยืน

บทเรียนจาก Thailand Biennale 2023 ความสำเร็จที่ไม่ควรจบ

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าการผสานกาแฟและศิลปะในเชียงรายสามารถประสบความสำเร็จได้ คือ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 งานศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “The Open World” (เปิดโลก)

งานครั้งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินกว่า 60 คนจาก 21 ประเทศ และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่ที่หลากหลายทั่วจังหวัดเชียงราย รวมถึงคาเฟ่ โรงแรม ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบ Site-specific หรืองานศิลปะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะ

ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 5 เดือน สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ คาเฟ่และพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต่างได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ได้จางหายไปหลังงานสิ้นสุดลง คาเฟ่และพื้นที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามปกติโดยไม่มีการจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป เพราะหากสามารถรักษาโมเมนตัมและพัฒนาให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีได้ เชียงรายจะไม่ต้องรองาน Biennale ครั้งต่อไปอีก 2 ปี แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์เป็นเมืองที่มีศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันได้

ยุทธศาสตร์ “เมืองศิลปะคาเฟ่”: จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

การสร้าง “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ใช่เพียงแค่ให้ศิลปินนำผลงานมาแขวนในร้านกาแฟเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน รูปแบบที่เป็นไปได้ประกอบด้วยหลายมิติ:

  1. สร้างย่านศิลปะคาเฟ่และเส้นทางศิลปะ

การรวมกลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ต่างๆ ของเชียงรายให้เป็น “ย่านศิลปะคาเฟ่” โดยแต่ละร้านจะมีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้แสดงผลงาน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม “เส้นทางศิลปะคาเฟ่” ได้เหมือนการเดินชมแกลเลอรี แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่า พร้อมทั้งได้ดื่มด่ำกับกาแฟคุณภาพสูงของเชียงรายไปในตัว การสร้างแผนที่หรือแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการในแต่ละคาเฟ่จะช่วยให้นักท่องเที่ยววางแผนการเยี่ยมชมได้สะดวกขึ้น

  1. โครงการ Art Residency ในคาเฟ่

การสร้างโครงการ Art Residency หรือการให้ศิลปินพักอาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้คาเฟ่เป็นฐานการทำงาน ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับบริบทของคาเฟ่หรือชุมชนรอบข้าง และนำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าชมได้เห็น

รูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยือนคาเฟ่ ที่จะได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน เรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ และเข้าใจบริบททางศิลปะมากขึ้น การมีศิลปินประจำจะทำให้แต่ละคาเฟ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเรื่องราวที่น่าติดตาม

  1. ขายประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า

นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ “ซื้อกาแฟดี” หรือ “ดูงานศิลปะ” แยกกัน แต่พวกเขาต้องการ “ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย” ที่สามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและสร้างความประทับใจที่ยาวนาน

การจิบกาแฟชั้นดีที่มีเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปจากชุมชนชาวเขา ภายใต้ผลงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวของเชียงราย หรือการได้พูดคุยกับศิลปินเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นและบอกต่อ

  1. ใช้ความสำเร็จดึงดูดการลงทุน

ในยุคที่นักลงทุนระมัดระวังและต้องการเห็น “หลักฐานความสำเร็จ” (Proof of Concept) ก่อนตัดสินใจ การแสดงให้เห็นว่าโมเดลเมืองศิลปะคาเฟ่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้จริงคือกุญแจสำคัญ

เมื่อมีคาเฟ่บางร้านเริ่มประสบความสำเร็จจากการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น และมีรายได้ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้เจ้าของคาเฟ่รายอื่นๆ เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้ยังสามารถใช้ดึงดูดการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสนับสนุนศิลปะทั้งในและต่างประเทศ

การลงทุนจากภายนอกจะช่วยขยายขนาดของตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการจัดการนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรมบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับเมืองศิลปะอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแข็งแกร่ง

กรณีศึกษา: “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ปรากฏว่ามีศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังทำให้มันเป็นจริงอยู่แล้ว นิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพที่ว่า

นิทรรศการนี้จัดโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ที่ย้ายมาอยู่เชียงรายได้ 5 ปี และมีความสนใจในงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับ NANZI (Nanzi Meechumna) ศิลปินรับเชิญ โดยใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านกาแฟที่ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

แนวคิดหลักของนิทรรศการคือการสำรวจ “สภาวะจิตภายใน” ของผู้คนในยุคที่โซเชียลมีเดียครอบงำชีวิต ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์บนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพของร้านคาเฟ่ งานชิ้นนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งสะท้อนถึงการคัดกรองสิ่งที่ถูกมองเห็นและสิ่งที่ถูกซ่อนบนโลกออนไลน์

วัชราอธิบายว่า งานนี้ต้องการ “ชวนแง้มประตูเข้ามา ‘ส่อง’ พื้นที่ ข้าวของ และผู้คน ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนความหมายอยู่ในระหว่างบรรทัด” โดยสำรวจผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ยังเป็นปัจจัยในการกำหนดวิธีคิด วิธีมอง และการแสดงออกของผู้คน

นิทรรศการนี้สะท้อนประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในสังคมร่วมสมัย เช่น ความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย การผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความสำเร็จ ความงาม และมาตรฐานทางสังคม รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาคุณค่าในตัวเองท่ามกลางความคาดหวังภายนอก

ที่สำคัญคือรูปแบบการจัดแสดงแบบ Site-specific ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ทำให้ผู้เข้าชมไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟ แต่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของตัวเองผ่านบรรยากาศที่คุ้นเคย

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ซึ่งการเปิดเข้าชมฟรีและเวลาที่ยาวนานตลอดวันทำให้งานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมศิลปะเท่านั้น ภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม “Mangos(on)teen” ที่เพิ่มมิติความสนุกสนานและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

แม้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่จะดูมีศักยภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืนยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ

ความเข้าใจและการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจ หลายเจ้าของคาเฟ่อาจยังไม่เห็นคุณค่าของการนำศิลปะเข้ามาในพื้นที่ หรือกังวลว่าจะเพิ่มต้นทุนหรือสร้างความยุ่งยาก การสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หรือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การขาดระบบสนับสนุนและประสานงาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรหรือเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างคาเฟ่ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ การมีหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการตารางการแสดง ประสานงานระหว่างศิลปินและเจ้าของพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ และจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและยั่งยืนมากขึ้น

การสร้างตลาดและผู้ชม การพัฒนาฐานผู้ชมที่เข้าใจและชื่นชมศิลปะร่วมสมัยต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบงานศิลปะบางประเภท การจัดกิจกรรมให้ความรู้ การพูดคุยกับศิลปิน หรือการจัด workshop ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น

ความยั่งยืนทางการเงิน ศิลปินต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคาเฟ่ก็ต้องการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนศิลปะและความยั่งยืนทางธุรกิจเป็นความท้าทาย การหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรศิลปะ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่อย่างแท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถบรรจุแนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เข้าในแผนการตลาดการท่องเที่ยวเชียงราย สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคาเฟ่ต่างๆ และประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรม การสร้างแคมเปญ “Chiang Rai: Where Coffee Meets Art” หรือคำขวัญที่คล้ายกันจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สามารถให้การสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณสำหรับโครงการศิลปะในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของศิลปินท้องถิ่นและการสร้างเครือข่ายกับศิลปินและองค์กรศิลปะในระดับชาติและนานาชาติ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การจัดทำป้ายบอกทางและข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมประจำปี เช่น “Chiang Rai Art & Coffee Festival” เพื่อรวมพลังและสร้างโมเมนตัม

สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเป็นแหล่งผลิตศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นพื้นที่ทดลองแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับคาเฟ่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นักศึกษาได้พื้นที่แสดงผลงานจริง และคาเฟ่ได้งานศิลปะที่สดใหม่และร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ

แนวคิดการผสานกาแฟและศิลปะเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายท่านชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมาเห็นสถานที่ แต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น การผสานกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวและอัตลักษณ์ของพื้นที่ คือการสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมที่นักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังมองหา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองว่า การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่น กาแฟที่มีเรื่องราวและบริบททางวัฒนธรรมจะมีมูลค่าสูงกว่ากาแฟธรรมดา และคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ศิลปะจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีจ่ายมากขึ้น

นักวิจารณ์ศิลปะบางท่านแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิด แต่ก็เตือนให้ระวังเรื่องการรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานศิลปะ การทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงการตกแต่งหรือเครื่องมือทางการตลาดโดยปราศจากเนื้อหาที่มีความหมายอาจทำให้โครงการสูญเสียคุณค่าในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการคัดสรรและดูแลคุณภาพของงานที่นำมาจัดแสดง

เปรียบเทียบกับเมืองต้นแบบในต่างประเทศ

การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล มีหลายเมืองที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เชียงราย

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมกาแฟและศิลปะริมถนน (Street Art) ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตรอกซอกซอยในเมืองเต็มไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตีและจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณภาพสูง ขณะที่คาเฟ่เล็กๆ มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม “ตรอกศิลปะ” พร้อมดื่มกาแฟคุณภาพสูงได้ในเวลาเดียวกัน เมลเบิร์นจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น แม้จะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสคาเฟ่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย หลายคาเฟ่ตั้งอยู่ในอาคารไม้เก่าที่ได้รับการบูรณะ และมีการจัดแสดงงานศิลปะหรือหัตถกรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ดื่มชาหรือกาแฟ แต่มาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน

พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งกาแฟและศิลปะอิสระ” โดยมีการสนับสนุนจากเทศบาลให้คาเฟ่และร้านค้าท้องถิ่นเป็นพื้นที่แสดงงานของศิลปินอิสระ มีกิจกรรม “First Thursday” ที่แกลเลอรีและพื้นที่ศิลปะต่างๆ เปิดให้เข้าชมฟรีในวันพฤหัสบดีแรกของทุกเดือน พร้อมกับคาเฟ่และบาร์ต่างๆ ที่มีการแสดงดนตรีสดและกิจกรรมทางศิลปะ

สิ่งที่เมืองเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ความต่อเนื่องและความเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การจัดงานใหญ่ๆ เป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ศิลปะและกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก การผสานศิลปะกับคาเฟ่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างเนื้อหาที่ “Instagrammable” หรือเหมาะกับการถ่ายรูปและแชร์บนโซเชียลมีเดีย

งานศิลปะที่น่าสนใจในพื้นที่คาเฟ่จะกระตุ้นให้ผู้มาเยือนถ่ายรูปและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเป็นการโปรโมตฟรีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แฮชแท็กเช่น #ChiangRaiArtCafe #CoffeeAndArt #ChiangRaiCulture สามารถสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตามกระแสเหล่านี้

นอกจากนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ หรือระบบ QR Code ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะและศิลปิน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนและทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับงานมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก็สะท้อนถึงปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียนี้เอง การที่งานศิลปะพูดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อจิตใจ ขณะเดียวกันก็อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเผยแพร่และดึงดูดผู้ชม คือความขัดแย้งที่น่าสนใจและสะท้อนความซับซ้อนของยุคสมัย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

หากเชียงรายสามารถพัฒนาเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ได้อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงบวกจะเกิดขึ้นในหลายมิติ

ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนในวงกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่เจ้าของคาเฟ่และศิลปิน แต่ยังรวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ช่างฝีมือ ธุรกิจที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนธุรกิจบริการอื่นๆ การมีนักท่องเที่ยวตลอดปีจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่มักเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล

ด้านสังคม จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปินรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำงานในบ้านเกิดโดยไม่ต้องย้ายไปเมืองใหญ่ ผู้คนในชุมชนจะมีโอกาสเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับชุมชนจะช่วยสร้างความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เน้นประสบการณ์มากกว่าการบริโภคมวลชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวที่มาเพื่อศิลปะและวัฒนธรรมมักใช้เวลาพำนักนานขึ้นและใช้จ่ายในชุมชนมากกว่า แต่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านักท่องเที่ยวแบบมวลชน

ก้าวต่อไป: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นจริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ระยะแรก (6 เดือนแรก): โครงการนำร่อง เริ่มจากการรวมกลุ่มคาเฟ่ที่สนใจประมาณ 5-10 ร้านในพื้นที่ใจกลางเมืองเชียงราย จัดหาศิลปินที่สนใจเข้าร่วม และสร้างตารางการจัดแสดงที่ชัดเจน จัดกิจกรรมเปิดตัวพร้อมประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สอง (ปีที่ 1-2): ขยายและพัฒนา หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ขยายไปยังคาเฟ่ในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ จัดกิจกรรมประจำปีเช่น Art & Coffee Festival และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อขอการสนับสนุน

ระยะที่สาม (ปีที่ 3 เป็นต้นไป): ยกระดับสู่มาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับเมืองศิลปะในต่างประเทศ เชิญศิลปินต่างชาติมาจัดแสดง และส่งศิลปินไทยไปแสดงในเมืองพี่เมืองน้อง พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมสำหรับบุคลากร และสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนซึ่งสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความต่อเนื่อง และคุณภาพ หากเชียงรายสามารถทำให้ศิลปะและกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของเมืองอย่างแท้จริง มันจะไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “วิถีเชียงราย” ที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เชียงรายไม่ต้องรออีกต่อไป

เชียงรายมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ที่มีชีวิตชีวาตลอดปี กาแฟคุณภาพสูงจากชุมชนท้องถิ่น คาเฟ่ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ศิลปินที่มีความสามารถและแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ความสำเร็จจาก Thailand Biennale ที่พิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ ส่องภาวะจิตภายใน: นิทรรศการที่สะท้อน “Soft Power” แห่งคาเฟ่ เพื่อเป็นการพิสูจน์แนวคิดนี้ การเคลื่อนไหวของศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความคิดที่สดใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเชียงราย ล่าสุดคือ นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์”

นิทรรศการนี้จัดแสดงโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ผู้ย้ายมาอยู่เชียงรายและสนใจงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับศิลปินรับเชิญ NANZI Nanzi Meechumna โดยใช้พื้นที่ของ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) เป็นพื้นที่ทดลอง

แก่นสารของงาน เป็นงานทดลองขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น บนชั้นสองของร้านกาแฟ ที่สำรวจ สภาวะจิตภายใน” ผ่านความสัมพันธ์บนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลและวาทกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดความคาดหวัง ความวิตกกังวล และการ นอยซ์” ภายในจิตใจ

  • งานทดลองกึ่ง Site-Specific: งานนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งเชื่อมโยงตัวตนบนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพในร้านกาแฟ
  • การเชื่อมโยงบริบท: สะท้อนความสัมพันธ์ของการกระทำที่ก่อให้เกิด ความนอยซ์” ที่ส่งคลื่นแทรกซ้อนไปในบริบทภายนอก พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมมองกลับเข้าสู่ภายในตัวเอง เพื่อสำรวจคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการตัดสินและความคาดหวังทางสังคม

นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์” จะจัดแสดงที่ OBOON Coffee House (ชั้นสอง) ตั้งแต่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 08.00 – 17.00 น. โดยมีการเปิดตัวในวันที่ 13 กันยายน เวลา 16.30 น. ซึ่งภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม Mangos(on)teen เปิดทำการอีกด้วย

การเกิดขึ้นของนิทรรศการเช่นนี้ในพื้นที่ของคาเฟ่ เป็นการตอกย้ำว่าเชียงรายมีศักยภาพในการเป็น เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่มีชีวิตชีวาด้วยตัวเอง การนำเสนอผลงานที่ลึกซึ้งและทันสมัยเช่นนี้ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างร้านกาแฟ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เชียงรายไม่ต้องรอให้ใครมาจุดไฟ แต่สามารถสร้างแสงสว่างให้ตัวเองได้ตลอดปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TRAVEL

สิ้นสุดยุคทัวร์ชะโงก เชียงรายต้องเร่งพัฒนา AI รับมือ 10 เทรนด์ท่องเที่ยวโลก 2026

เชียงราย สามารถตอบรับได้ 7 จาก 10 เทรนด์หลัก ด้วยศักยภาพด้านอากาศเย็น-ธรรมชาติ-วัฒนธรรมชนเผ่า แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว

เชียงราย, 1 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกที่กำลังเข้าสู่ปี 2026 จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “พร้อมแค่ไหนในการรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว”

รายงานเชิงลึกจากศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึง 10 แนวโน้มหลักของการท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกจุดหมายปลายทาง โดยมีแกนหลักอยู่ที่การเดินทางที่เน้นเจตจำนง ความยั่งยืน และการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของยุค “ทัวร์ชะโงก” และนำไปสู่การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และชุมชน

รายงานเชิงลึกจากหน่วยงานด้านตลาดการท่องเที่ยวและสถาบันวิจัยระดับนานาชาติ (TAT Academy, Mastercard Economics Institute, Virtuoso, Intrepid Travel ตลอดจนผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์) ชี้ประเด็นร่วมกันว่า นักเดินทางยุคใหม่กำลังมองหา “ประสบการณ์ที่มีเจตจำนงและคุณค่า” มากกว่า “ภาพถ่ายที่ได้เช็กอินครบทุกจุด” ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการปรับตัวของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั่วโลก—โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีธรรมชาติบริสุทธิ์อากาศเย็น วิถีชุมชนแท้ และบริการสุขภาพองค์รวมครบวงจร

และเมื่อย้อนมองเชียงราย—ซึ่งประกาศเป้าหมาย 20 ปีให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองแห่งสุขภาพ–เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง–พัฒนาอย่างยั่งยืน”—หลายฟันเฟืองที่เมืองนี้เดินไว้ล่วงหน้า กลับกลายเป็น “คำตอบตรงจังหวะ” ของ 10 เทรนด์ 2026 อย่างน่าสนใจ ซึ่ง 10 เทรนด์ท่องเที่ยวของโลก 2026 คือ

1) Coolcation Travel — “หนีร้อนสู่ขุนเขา” จุดแข็งโดยธรรมชาติของเชียงราย

คลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงทั่วโลกผลักให้นักท่องเที่ยวมองหาจุดหมายปลายทางที่อากาศเย็นกว่า มีภูเขาและป่าไม้ล้อมรอบ เทรนด์ “Coolcation” จึงพุ่งขึ้นเป็นตัวเลือกหลักของกลุ่มกำลังซื้อกลางถึงสูง เชียงรายมี “สินทรัพย์ธรรมชาติ” ตรงโจทย์—อุณหภูมิที่นุ่มนวลกว่าเมืองใหญ่ภาคกลาง–ภาคใต้ ช่วงฤดูหนาว–ปลายฝนมีหมอกไหล ภูเขาซ้อนคลื่น วิวพรีเมียมในระยะเดินทางสั้น ๆ จากตัวเมือง

2) Slow Travel — “น้อยเมือง–นานวัน–ลึกประสบการณ์”

แนวคิด “อยู่ให้นานขึ้น–รู้จักให้ลึกขึ้น” ทำให้เมืองรองที่มีจังหวะเนิบช้าได้รับความนิยม เชียงรายมีองค์ประกอบพร้อม เมืองขนาดกะทัดรัด–ขับรถสั้น ๆ ถึงชุมชนหัตถกรรม–ไร่กาแฟ–งานศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น กรณีตัวอย่างเช่นแพ็กเกจ “Active Senior 50+ – Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่จัดเส้นทาง 2 วันขึ้นไป ผสานพิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัดร่วมสมัย คาเฟ่ริมแม่น้ำ และโฮมคาเฟ่ชุมชน—เป็นภาพสะท้อนว่าตลาดพร้อมทดลอง “สโลว์–ดีพ–มีความหมาย”

3) Off-Season Travel — “หน้าฝน–ปลายฝน–ต้นหนาว” จากช่วงโลว์ สู่ช่วงรัก

การท่องเที่ยวนอกฤดู (off-season/shoulder season) ทำให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความแออัด มีพื้นที่สงบ และได้ราคาคุ้มค่า เชียงรายมี “เสน่ห์หน้าฝน”—เขียวชุ่ม ต้นน้ำไหล อากาศเย็นในบางอำเภอ หากมีแผนกิจกรรมเชิงธรรมชาติ–ศิลปวัฒนธรรม–เวิร์กชอป–คาเฟ่–สปา–ชุมชนรองรับ ก็สามารถเปลี่ยน “หน้าที่เคยเงียบ” ให้กลายเป็น “หน้าที่คนรัก”

4) Solo Travel — “อิสระ–ปลอดภัย–มีเพื่อนร่วมทางเมื่ออยากมี”

การเดินทางคนเดียวโดยเฉพาะนักเดินทางหญิงเติบโตเร็ว เงื่อนไขที่จุดหมายต้องมีคือความปลอดภัย การเดินทางสาธารณะสะดวก การต้อนรับเป็นมิตร และกิจกรรมที่คนเดียวก็สนุก เชียงรายมีเมืองที่เดินง่าย–คาเฟ่–สตูดิโอศิลป์–ชุมชนสร้างสรรค์–คอร์สสั้นและกิจกรรมเชื่อมคนแปลกหน้าผ่านงานคราฟต์/กาแฟ/โยคะ

5) Foodie Travel — “กินดี–ทำเอง–เข้าใจชุมชน”

เทรนด์อาหารปี 2026 เน้นอาหารท้องถิ่น–เอกลักษณ์–พร้อม “ลงมือทำ” เชียงรายมีทุนทางอาหาร–กาแฟ–ชา–ผักผลไม้ภาคเหนือ–ครัวชุมชน–โฮมคาเฟ่ รวมถึงเชฟ/ร้านที่หยิบจับวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูร่วมสมัย

6) Hyper-personalised Travel — “ทริปที่ใช่ ไม่ใช่ทริปที่เยอะ”

การออกแบบเส้นทางด้วยข้อมูลความสนใจรายบุคคล กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ เชียงรายมี “พาเลตต์ประสบการณ์” หลากหลาย แต่ยังต้องการ “โครงข้อมูล” ที่ต่อกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อคัดสรรทริปที่เหมาะกับบุคคล (เช่น ศิลป์–สุขภาพ–กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ–ถ่ายภาพ)

7) AI Fellow Travel — “เอไอเป็นเพื่อนร่วมทริป”

แนวโน้มปี 2026 ชี้ว่า AI จะช่วยวางแผน–จอง–อัปเดตความหนาแน่นจุดท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ เชียงรายควรมี ข้อมูลเปิด (open data) เช่น เวลาแออัด, ที่จอด, เส้นทางสั้น–ปลอดภัย, สภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ, งานอีเวนต์—เพื่อให้แชตบอต/เอไอของผู้เดินทาง “คุยกับเมือง” ได้

8) Holistic Travel — “เกินกว่า Wellness ฟื้นกาย–ใจ–อารมณ์แบบวัดผลได้”

โลกกำลังขยับจาก Wellness สู่ Holistic Travel—เน้นผลลัพธ์วัดได้ เช่น การนอน (sleep), การหายใจ/เยียวยาด้วยธรรมชาติและสายน้ำ (blue health), การพักเงียบ (silent retreat) เชียงรายประกาศทิศ “Wellness City” โดยมีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และเครือสาธารณสุขเป็นแกนวิชาการ/บริการ จุดแข็งคือธรรมชาติ–ศิลป์–วัฒนธรรมที่ช่วยซัพพอร์ตสุขภาวะเชิงลึก

9) Value-Driven Travel — “เที่ยวที่สะท้อนคุณค่า–คืนคุณค่าให้พื้นที่”

นักเดินทางเลือกจุดหมายที่เคารพสิ่งแวดล้อม มีความเป็นธรรม สนับสนุนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ “มีส่วนร่วม” เชียงราย—ด้วยโครงเรื่องเมืองสร้างสรรค์–ชุมชนเข้มแข็ง–หัตถกรรม/เกษตรคุณค่า—มีฐานพร้อมเปลี่ยนจาก “ผู้ชม” เป็น “ผู้ร่วมสร้าง”

10) Low-Carbon Luxury — “ลักชัวรีสายเขียว–เดินทางช้าลงแต่ลึกขึ้น”

กลุ่มลักชัวรีพร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืน (มีงานวิจัยระบุสัดส่วนสูงกว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรายได้สูงยอมจ่ายเพิ่มเพื่อทางเลือกที่ยั่งยืน) ความคาดหวังคือ carbon-tracking ของแพ็กเกจ การลดการบินต่อ การใช้รถไฟ/รถไฟหรู/EV การเข้าพักที่มีมาตรฐานพลังงานสะอาด–ของเสียต่ำ เชียงรายมีโรงแรมบูทิก–รีสอร์ตธรรมชาติหลายระดับและภูมิประเทศเอื้อต่อ “ความหรูสงบ” แต่ยังต้องยกระดับโครงสร้างสีเขียวและหลักฐานการลดคาร์บอนที่ตรวจสอบได้

 

การวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลภาคสนามและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับเทรนด์เหล่านี้ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านธรรมชาติ ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังคงมีช่องว่างสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการบริการที่ต้องเร่งพัฒนา

พันดาว 1000 Stars

จุดแข็งเด่นชัด อากาศเย็นและธรรมชาติ ตอบโจทย์เทรนด์ “Coolcation Travel”

หนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายคือความสามารถในการตอบสนองต่อเทรนด์ “Coolcation Travel” หรือการท่องเที่ยวเพื่อหนีความร้อน ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสหลักของตลาดโลก รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และ Virtuoso ระบุตัวเลขที่น่าสนใจว่า 82 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีพิจารณาจุดหมายปลายทางที่มีสภาพอากาศเย็นกว่า เนื่องจากทั่วโลกได้เผชิญกับปีที่ร้อนระอุมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023

เชียงรายด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิสามารถลดลงต่ำถึง 10-15 องศาเซลเซียส พื้นที่อย่างดอยตุง ดอยแม่สลอง และพื้นที่บนเขาในอำเภอเชียงของและอำเภอแม่สรวย ล้วนเป็นจุดหมายที่มีอากาศเย็นสบาย รายล้อมด้วยป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ข้อได้เปรียบนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่รายงานโดย Intrepid Travel ซึ่งระบุถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจุดหมายปลายทางที่มีทะเลสาบ ป่าไม้ และอากาศบริสุทธิ์ เชียงรายจึงมีโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและอากาศเย็นสบายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเขตเมืองใหญ่ที่ต้องการหนีความร้อนจากช่วงฤดูร้อน

Athu Akhahome

การท่องเที่ยวแบบ “ช้าๆ” และนอกฤดู ศักยภาพที่พร้อมใช้

เทรนด์ “Slow Travel” หรือการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเพื่อซึมซับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่เชียงรายมีศักยภาพสูงในการรองรับ จากข้อมูลโปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าเชียงรายสามารถนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เน้นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ไม่เร่งรีบ และเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรแกรมดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านดำ วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น การเรียนรู้งานศิลปะที่ขัวศิลปะ และการแวะเยี่ยมชุมชน Athu Akha Home ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าอาข่า กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เน้นการเดินทางเร่งรีบเปลี่ยนสถานที่ทุกชั่วโมง แต่มุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

การท่องเที่ยวในแบบนี้สอดคล้องกับรายงานของ The Getaway Co. ซึ่งระบุว่านักเดินทางในปี 2026 ต้องการใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง มากกว่าการเปลี่ยนเมืองใหญ่หลายแห่งภายในห้าวัน พวกเขาต้องการ “สัมผัส” สถานที่นั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “มองเห็น” เชียงรายซึ่งมีเมืองหลวงขนาดกะทัดรัด มีชุมชนท้องถิ่นที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม และมีแหล่งท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ในรัศมีไม่ไกลเกินไป จึงเหมาะสมกับการท่องเที่ยวแบบนี้อย่างยิ่ง

นอกจากนี้ เทรนด์ “Off-Season Travel” หรือการท่องเที่ยวนอกฤดูก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเชียงราย เนื่องจากจังหวัดนี้มีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้ในฤดูหนาว ทุ่งข้าวเขียวชอุ่มในฤดูฝน หรือบรรยากาศเงียบสงบในช่วงไหล่ฤดู การท่องเที่ยวนอกฤดูช่วยให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและเข้าถึงประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เชียงรายสามารถนำเสนอได้โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างใหม่มากนัก

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร จุดขายที่แข็งแกร่ง

เทรนด์ “Value Driven Travel” และ “Foodie Travel” เป็นอีกสองประเด็นที่เชียงรายมีความโดดเด่น เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ เช่น อาข่า ลาหู่ ยาว ม้ง ซึ่งแต่ละชนเผ่ามีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

โปรแกรม Athu Akha Home ที่ปรากฏในแผนการท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่มีคุณค่า นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เรียนรู้วิถีชีวิต ประเพณี และงานฝีมือท้องถิ่น การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิด “Authenticity is the new luxury” ที่รายงานโดย TAT Academy และหลายหน่วยงานระดับโลก ซึ่งระบุว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ได้แสวงหาโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดหรือจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ต้องการประสบการณ์ที่ “เป็นจริง” และสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นได้

ด้านอาหาร เชียงรายมีความหลากหลายทางอาหารท้องถิ่นที่โดดเด่น ทั้งอาหารล้านนา อาหารชนเผ่า และอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ร้านอาหารต่างๆ ที่ปรากฏในโปรแกรมท่องเที่ยว เช่น บ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพในการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชียงรายจะมีความหลากหลายของอาหารท้องถิ่น แต่ยังขาดการพัฒนาในด้าน “ประสบการณ์การทำอาหารด้วยตนเอง” (hands-on cooking experience) ที่เป็นส่วนสำคัญของเทรนด์ Foodie Travel ในปี 2026 ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ต้องการแค่ลิ้มลอง แต่ต้องการลงมือทำด้วยมือของตนเอง การพัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นหรืออาหารชนเผ่าที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่เชียงรายควรเร่งพัฒนา

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โอกาสที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่

เทรนด์ “Holistic Travel” หรือการเดินทางเพื่อเยียวยาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามภาวะการอดนอนว่าเป็น “การระบาดด้านสุขภาพทั่วโลก” ซึ่งทำให้การเดินทางที่มุ่งเน้นการพักผ่อน การฟื้นฟู และการเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้รับความสนใจอย่างสูง

เชียงรายมีศักยภาพในการรองรับเทรนด์นี้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักผ่อน ความเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ และบรรยากาศธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดหายไปคือโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ตอบสนองต่อเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเฉพาะทาง เช่น Sleep Tourism, Blue Health Travel และ Silent Retreats ซึ่งต้องการเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

รายงานจาก Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าโรงแรมระดับไฮเอนด์ในต่างประเทศได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น เตียงอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจและรูปแบบการหายใจ ระบบแสงสว่างตามวงจรชีวิต และเมนูอาหารที่ปรับสมดุลเมลาโทนิน แม้ว่าเชียงรายจะมีโรงแรมและรีสอร์ตจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีระดับนี้ยังไม่แพร่หลาย

อีกทั้ง แนวคิด Silent Retreats หรือการเดินทางเพื่อความเงียบ ซึ่งมุ่งเน้นการทำสมาธิโดยไม่มีการพูดคุย เขตปลอดหน้าจอ หรือการพักในเคบินที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง แม้ว่าเชียงรายจะมีพื้นที่ธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโปรแกรมประเภทนี้ก็ตาม การวิจัยระบุว่าการใช้เวลาในความเงียบช่วยลดฮอร์มอนความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และอาจส่งเสริมการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับจังหวัดที่ต้องการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ช่องว่างด้านเทคโนโลยี ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

หนึ่งในจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายในการรองรับเทรนด์การท่องเที่ยว 2026 คือช่องว่างด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเทรนด์ “Hyper-personalised Travel” และ “AI Fellow Travel” ซึ่งเป็นแกนหลักของประสบการณ์การท่องเที่ยวในอนาคต

รายงานของ TAT Academy ระบุว่านักท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ต้องรอให้ใครมาจัดทริปให้ พวกเขาสามารถใช้โลกออนไลน์ ทั้งโซเชียลมีเดียและปัญญาประดิษฐ์เพื่อออกแบบการเดินทางที่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการและตอบโจทย์ประสบการณ์ส่วนตัว ในอนาคตอันใกล้ AI จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือ แต่จะกลายเป็น “เพื่อนร่วมเดินทาง” ที่ช่วยวางแผน จอง และจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการ

สิ่งที่เชียงรายยังขาดหายไปคือระบบข้อมูลดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ไปจนถึงการอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI จำเป็นต้องใช้ในการให้คำแนะนำที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบจองออนไลน์ที่ทันสมัย ระบบชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่น่าสนใจ

Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อและการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้หมายความว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การฝึกอบรมผู้ประกอบการ และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวที่ครอบคลุมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

Solo Travel และความปลอดภัย ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

เทรนด์ “Solo Travel” หรือการเดินทางคนเดียวกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิง การเดินทางคนเดียวถูกมองว่าเป็นวิธีแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และเป็นรูปแบบที่ทรงพลังของการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยและการต้อนรับที่อบอุ่นสำหรับนักเดินทางคนเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญที่จุดหมายปลายทางต้องให้ความสำคัญ เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังขาดระบบสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น โรงแรมหรือที่พักที่ออกแบบมาสำหรับผู้เดินทางคนเดียวโดยเฉพาะ ทัวร์ “Solo Together” ที่จัดขึ้นสำห

รับนักเดินทางคนเดียวเพื่อสร้างการเชื่อมต่อโดยไม่มีข้อผูกมัด หรือแม้แต่แอปพลิเคชันและระบบข้อมูลที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวเดี่ยวรู้สึกปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ประเด็นด้านภาษาและการสื่อสารยังเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางคนเดียว การขาดข้อมูลภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่ครอบคลุมในสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และระบบขนส่งสาธารณะ อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่มั่นใจและลดความสนใจในการเลือกเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเดินทางคนเดียว

Social-First Itineraries และพลังของโซเชียลมีเดีย

อีกหนึ่งเทรนด์ที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญคือการที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok และ Instagram Reels ได้กลายเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ดูดี ถ่ายรูปสวย หรือกลายเป็นไวรัล สามารถทำให้จุดหมายปลายทางบางแห่งได้รับความนิยมอย่างมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

เชียงรายมีจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงในการกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะวัดร่องขุ่นที่มีสถาปัตยกรรมสีขาวล้วนที่โดดเด่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำที่มีความลึกลับและศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ทุ่งดอกไม้และวิวทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นความท้าทายใหม่ที่เชียงรายต้องเผชิญ

การที่สถานที่แห่งหนึ่งกลายเป็นไวรัลอาจนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประสบการณ์ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) การสร้างกฎระเบียบที่เหมาะสม และการสื่อสารกับชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสดังกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน

Low-Carbon Luxury Travel โอกาสสำหรับตลาดระดับสูง

เทรนด์ “Low-Carbon Luxury Travel” หรือการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีที่เน้นการลดคาร์บอน เป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ผลสำรวจในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับตัวเลือกที่มีความยั่งยืนมากกว่า

เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาตลาดนี้ โดยเฉพาะการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสานความหรูหราเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่แล้วเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดมายังเชียงราย การพักในรีสอร์ตที่ใช้พลังงานหมุนเวียน การรับประทานอาหารออร์แกนิกจากฟาร์มท้องถิ่น และการมีระบบติดตามคาร์บอนในแพ็กเกจการเดินทาง ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทรนด์นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนที่ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักความยั่งยืน และชุมชนท้องถิ่นที่ต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม

กรณีศึกษา โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย”

โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นตัวอย่างที่ดีของการพยายามตอบรับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ โปรแกรมนี้ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างวัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงการเรียนรู้ศิลปะที่ขัวศิลปะ และการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชนเผ่าที่ Athu Akha Home

โปรแกรมดังกล่าวตอบโจทย์เทรนด์ Slow Travel ด้วยการจัดกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบ ให้เวลานักท่องเที่ยวได้สัมผัสและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเทรนด์ Value Driven Travel ด้วยการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นและการให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ การเลือกร้านอาหารท้องถิ่นอย่างบ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth ยังตอบโจทย์เทรนด์ Foodie Travel ที่เน้นการลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์

การเลือกที่พักอย่าง เดอะ เลเจนด์ เชียงราย บูทิค รีสอร์ท ที่เป็นโรงแรมบูทิคขนาดเล็ก ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ใช่โรงแรมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบเหมือนกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนและจัดการการเดินทาง การเพิ่มกิจกรรมที่เน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น โยคะ สมาธิ หรือการออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ และการมีระบบติดตามคาร์บอนเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ Low-Carbon Luxury Travel

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สิ่งที่เชียงรายต้องทำเพื่อก้าวสู่ 2026

จากการวิเคราะห์ความสามารถของเชียงรายในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลก มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้

ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

  1. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน รวมถึงระบบอัปเดตเรียลไทม์
  2. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ เช่น ระบบจองออนไลน์ ระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI-ready เพื่อรองรับการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ด้านความปลอดภัยและบริการ

  1. พัฒนาระบบสนับสนุนนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น ที่พักที่เหมาะสม ทัวร์ Solo Together และแอปพลิเคชันความปลอดภัย
  2. ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านภาษาต่างประเทศในทุกจุดบริการ
  3. สร้างเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

  1. ส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรม Silent Retreats และ Wellness Programs ที่มีคุณภาพ
  2. สนับสนุนให้โรงแรมและรีสอร์ตลงทุนในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการนอนหลับ
  3. พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและการเยียวยาจิตใจ

ด้านความยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบติดตามและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับแพ็กเกจท่องเที่ยว
  2. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานประกอบการท่องเที่ยว
  3. พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านวัฒนธรรมและชุมชน

  1. เสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  2. พัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นและกิจกรรม hands-on experience ที่มีคุณภาพ
  3. สร้างกลไกการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนอย่างเป็นธรรม

ด้านการจัดการนักท่องเที่ยว

  1. พัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) ในจุดท่องเที่ยวหลัก
  2. สร้างช่องทางการสื่อสารและกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยว
  3. เตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางที่ต้องเดินหน้า

แม้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นในเชียงรายจะไม่ปรากฏในเอกสารที่นำมาประกอบข่าวนี้ แต่จากการวิเคราะห์รายงานของ TAT Academy สถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และหน่วยงานชั้นนำระดับโลกอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็น “อุตสาหกรรมบริการ” ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งประสบการณ์และคุณค่า”

Mastercard Economics Institute ย้ำว่าผู้บริโภคในปี 2026 มีความซับซ้อน ตระหนักถึงคุณค่า และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คำถามที่สำคัญที่สุดในการเดินทางในปี 2026 คือ “คุณไปทำไม” ไม่ใช่ “คุณไปไหน” การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการให้จุดหมายปลายทางอย่างเชียงรายปรับกระบวนทัศน์จากการ “ขายสถานที่” เป็นการ “นำเสนอความหมาย”

The Getaway Co. ซึ่งเป็นบริษัททัวร์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ได้สรุปไว้ว่า “การเดินทางในโลกยุคใหม่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มีสติ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความใส่ใจ วิธีการเดินทางมีความสำคัญพอๆ กับสถานที่ที่คุณไป”

เชียงรายยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นใน 3 เทรนด์หลัก ได้แก่:

  1. Coolcation Travel – ความได้เปรียบด้านภูมิอากาศเย็นและธรรมชาติ (ระดับความพร้อม: 90%)
  2. Slow Travel และ Off-Season Travel – วัฒนธรรมและชุมชนที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวแบบช้าๆ (ระดับความพร้อม: 80%)
  3. Value Driven Travel และ Foodie Travel – ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร (ระดับความพร้อม: 75%)

เทรนด์ที่มีความพร้อมปานกลาง ได้แก่: 4. Holistic Travel – มีพื้นฐานแต่ขาดโครงสร้างเฉพาะทาง (ระดับความพร้อม: 60%) 5. Low-Carbon Luxury Travel – มีโอกาสแต่ต้องลงทุนพัฒนา (ระดับความพร้อม: 55%)

เทรนด์ที่ยังมีความพร้อมต่ำและต้องเร่งพัฒนา ได้แก่: 6. Solo Travel – ขาดระบบสนับสนุนเฉพาะ (ระดับความพร้อม: 50%) 7. Hyper-personalised Travel – ขาดข้อมูลดิจิทัลและระบบ (ระดับความพร้อม: 40%) 8. AI Fellow Travel – ขาดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (ระดับความพร้อม: 30%)

เทรนด์ที่ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน: 9. Social-First Itineraries – มีศักยภาพแต่ขาดการจัดการที่เหมาะสม

ระยะเวลา 18 เดือนที่เหลือก่อนถึงปี 2026 เป็นช่วงเวลาทองสำหรับเชียงรายในการเร่งปิดช่องว่างเหล่านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น

การท่องเที่ยวในยุคใหม่ไม่ได้วัดความสำเร็จด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่วัดด้วยคุณภาพของประสบการณ์ ความยั่งยืนของผลกระทบ และความสามารถในการสร้างคุณค่าให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น เชียงรายมีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในยุค 2026 หากสามารถแก้ไขจุดอ่อนและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร 
  • ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย – รายงาน “10 Trends การท่องเที่ยว ที่ต้องรู้ในปี 2026” เผยแพร่เมื่อ 19 กันยายน 2568
  • Mastercard Economics Institute – “การพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 2026: จากการตะลอนเที่ยวสู่การเดินทางที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าและเจตจำนง”
  • The Getaway Co. – รายงาน “Unlock the Ultimate 2026 Travel Trends to Inspire Your Next Adventure” เผยแพร่เมื่อ 15 กรกฎาคม 2025
  • Virtuoso – การสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี ปี 2024
  • Intrepid Travel – รายงานแนวโน้มจุดหมายปลายทางยอดนิยม ปี 2024-2026
  • Eclectic Trends และ Travel Trade Days
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องกอดอุ่น” มาสคอตใหม่เชียงราย สื่อสาร Soft Power “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เชียงรายเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” ทูตการท่องเที่ยวใหม่ คราฟต์แบรนด์เมืองด้วยอารมณ์ “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

เชียงราย,28 กันยายน 2568 – เวลา 15.30 น. บรรยากาศลาน Grand Hall ชั้น G ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เชียงราย คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นายรุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “Gord-Aun Meet & Greet พบปะน้องกอดอุ่น” เปิดตัว น้องกอดอุ่น (Gord-Aun)” มาสคอตทูตการท่องเที่ยวตัวแทน “ภูเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมเชียงราย” เชื้อเชิญนักเดินทาง “มากอดเชียงราย” ผ่านพลัง Soft Power ที่สื่อสารด้วยอ้อมกอดและความอบอุ่นของผู้คนเมืองเหนือ

พิธีเปิดได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ดร.เอกภพ ช่างแก้ว รองประธานฯ และ นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย สะท้อน “ฉันทามติ” ของทุกภาคส่วนในการยกระดับแบรนด์จังหวัดอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนจาก “ขายสถานที่” สู่ “ขายความรู้สึก” ด้วยทูตการท่องเที่ยว

สารหลักของ “น้องกอดอุ่น” คือการชวนผู้มาเยือน “รับอ้อมกอดจากธรรมชาติ”  ภาพจำของเชียงรายในฐานะ ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ถูกถ่ายทอดเป็นบุคลิกของมาสคอตที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยงความทรงจำระหว่างการเดินทางกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย การวางตำแหน่งในลักษณะนี้ถือเป็นการปรับยุทธศาสตร์จาก Place-centric สู่ Emotion-centric เปลี่ยนการสื่อสารจาก “มาเที่ยวที่ไหน” เป็น “มาเที่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร” เพื่อให้แบรนด์เชียงราย “อยู่ในใจ” ยาวนานกว่าอยู่ในภาพถ่าย

ด้านนโยบายการสื่อสารสาธารณะ กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำสื่อสร้างสรรค์มาขับเคลื่อนเป้าหมายสาธารณะในระดับพื้นที่ ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์จังหวัด การกระจายกิจกรรมลงชุมชน และการเสริมรายได้แก่ประชาชนสอดรับพันธกิจของกองทุนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเพื่อ “รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” อย่างเป็นระบบ

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ ในนามฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบาย “โจทย์” ของงานชัดเจนว่า ต้องการ เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ให้เชียงรายผ่านการประชาสัมพันธ์เชิงบูรณาการ พร้อมกระจายผลประโยชน์ลงสู่ฐานราก จุดยืนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยแนวคิดการตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) ที่วางไลน์-อัปกิจกรรมให้ผู้ร่วมงาน “ได้ลงมือ” และ “ได้ของกลับบ้าน” จาก Workshop ของ Gord-Aun Art Studio ไปจนถึง ของที่ระลึก “ตุ๊กตาน้องกอดอุ่น” ซึ่งต่อยอดให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์รายย่อยควบคู่กัน

เวทีที่ออกแบบมาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน กาแฟเชียงรายเป็นพระเอก

หนึ่งในภาพจำที่ชัดเจนของงานวันนี้ คือ โซนกาแฟเชียงราย ที่รวบรวมเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL) มากกว่า 40 ร้าน ล้อมวงเล่าเรื่องเส้นทางเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกสู่ถ้วย พร้อมเมนูซิกเนเจอร์เฉพาะกิจ ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์รสชาติ” ให้แบรนด์จังหวัดทิ้งรสชาติติดปากผู้มาเยือนในเชิงสัญลักษณ์กาแฟดี = การต้อนรับดี = อ้อมกอดที่จริงใจของเชียงราย เครือข่าย CCL เองมีฐานกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่และสื่อสังคม ทำให้การระดมพลังครั้งนี้มีแรงส่งไปไกลกว่างานวันเดียว

วงดนตรีและการแสดงร่วมสมัยสลับกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เติมความสนุกและความหมายให้พื้นที่สาธารณะ ขณะเดียวกัน มินิคอนเสิร์ตจาก “ทิกเกอร์ อชิระ” ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ช่วยเพิ่มทราฟฟิกคนเมืองและนักท่องเที่ยวเข้าโซนกิจกรรมผลักให้ยอดขายรายย่อยของผู้ประกอบการในงาน “ขยับขึ้น” ควบคู่การรับรู้แบรนด์

พลังเครือข่าย รัฐ เอกชน สื่อคนละมือ แต่เป้าหมายเดียวกัน

การเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” มี “สมการสามเหลี่ยม” ที่เดินไปด้วยกันอย่างลงตัว
มุมแรก คือ รัฐและท้องถิ่น นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่ “รับรองนโยบาย” และเป็น “เจ้าภาพความน่าเชื่อถือ” ให้แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มุมที่สอง คือ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ที่ทำงานระยะยาวกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ซึ่งมีทุนทางสังคมและช่องทางตลาดของตนเอง
มุมสุดท้าย คือ สื่อและครีเอเตอร์ท้องถิ่น ตั้งแต่นักข่าว ช่างภาพ เพจเมือง ไปจนถึงสตูดิโอศิลปะที่ช่วยตัดต่อ เติมคอนเทนต์ให้ “น้องกอดอุ่น” กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้คนอยากแชร์

นายรุจติศักดิ์ รังสี ระบุในเวทีกล่าวเปิดว่า นี่ไม่ใช่แค่งานเปิดตัวมาสคอต แต่เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่จะยึดโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชนเข้ากับแบรนด์จังหวัดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเชียงรายมีจุดแข็งด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ

กอด” ให้เป็นระบบ จากกิจกรรมวันเดียว สู่กรอบทำงานตลอดปี

เพื่อไม่ให้พลังของเวทีนี้จบลงที่ภาพถ่าย กรอบทำงานหลังงานเปิดตัวจึงสำคัญไม่แพ้กัน ทีมภาคีร่วมงานได้สรุป “แนวทางต่อยอด” เบื้องต้นไว้ 4 แกน ได้แก่

  1. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส จับมือกับศูนย์การค้า/แลนด์มาร์กหลัก ผลัก “Gord-Aun Pop-up” แทรกในเทศกาลเมือง เช่น สวนดอกไม้ บูชาพญานาค ปั่นชมชุมชน สร้างการพบปะมาสคอตอย่างสม่ำเสมอ
  2. Loyalty & Collectibles ขยายไลน์ของที่ระลึก “น้องกอดอุ่น” ร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น ตั้งกติกาสะสมตราปั๊ม/สติ๊กเกอร์จากร้านภาคี เพื่อแลกของพิเศษ กระตุ้น repeat visit
  3. Gord-Aun for Good ให้มาสคอตเป็น “ทูตงานสังคม” เช่น แคมเปญ ท่องเที่ยวปลอดภัย–สื่อปลอดภัย รณรงค์การท่องเที่ยวเคารพชุมชนและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องพันธกิจของกองทุนสื่อ
  4. Route การท่องเที่ยวรสกาแฟ พัฒนาเส้นทาง “Chiang Rai Coffee Journey by CCL” แบบทำจริงจัง ร้อยจุดชิม–ชมโรงคั่ว–พบชุมชนปลูกกาแฟ สร้างแพ็กเกจร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ทำไม “เซ็นทรัล เชียงราย” คือเวทีที่ใช่

การเลือก เซ็นทรัล เชียงราย เป็นสถานที่เปิดตัว ไม่ได้สะท้อนแค่ความสะดวกด้านโลจิสติกส์และระบบเสียง-แสง แต่คือการตั้ง “จุดรับรู้” กลางเมืองให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพบมาสคอตได้จริง ศูนย์การค้าดังกล่าวมีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และที่จอดรถรองรับการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการพัฒนา “มุมถ่ายรูปถาวร” ของน้องกอดอุ่น ตลอดจนการหมุนเวียนกิจกรรมสร้างสรรค์รายเดือน

เล่าเชียงรายให้ “นุ่ม-แน่น” ผ่านตัวเลขที่ชวนคิด

แม้ข่าววันนี้จะเป็น “ก้าวแรก” ของน้องกอดอุ่น แต่ “โจทย์ใหญ่” ที่จังหวัดต้องการตอบคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์จังหวัดไปไกลกว่าวิวสวย กาแฟเชียงรายเป็นตัวอย่างของ “สินค้าเชิงคุณค่า” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองราคาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หากมาสคอตสามารถเชื่อม เส้นเรื่องกาแฟ–งานศิลป์–ชุมชน เข้าด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้จะกว้างกว่า “ความน่ารัก” และเข้าใกล้คำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้

ในทางกลับกัน การรักษามาตรฐาน “ประสบการณ์ผู้มาเยือน” คือจุดคานงัดของแบรนด์ หากผู้มาเยือนได้เจอทั้ง การต้อนรับที่จริงใจ ร้านกาแฟดี ระบบขนส่งท้องถิ่นที่เป็นมิตร และปฏิทินกิจกรรมที่ไม่สะดุด พวกเขาจะแชร์ “อ้อมกอดเชียงราย” ต่อไปโดยสมัครใจนั่นคือ สื่อ Earned Media ต้นทุนต่ำแต่ทรงพลังที่สุด

เสียงจากภาคี คำมั่นสัญญาสู่ฤดูท่องเที่ยว

  • เครือข่าย CCL ยืนยันเดินหน้าจัด กิจกรรมกาแฟรายไตรมาส เชื่อมโยงแหล่งปลูกกับเมือง เพื่อเล่าเรื่องชุมชนและต้นทางเมล็ดเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้ “แก้วกาแฟเชียงราย” ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่คือเรื่องเล่ากับผู้คนจริง ๆ
  • ภาคเอกชนท่องเที่ยว ผ่านสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชื่อมผู้ประกอบการที่พัก–ทัวร์–ร้านอาหาร เป็น “พันธมิตรแบรนด์” เพื่อจัด แพ็กเกจ “กอดเชียงราย” เจาะครอบครัว คู่รัก และกลุ่มทำงานไฮบริดที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นแม่เหล็กช่วงไฮซีซันปลายปี
  • หน่วยงานรัฐและกองทุนสื่อ จะคงบทบาทกำกับทิศทางการสื่อสารสาธารณะและความปลอดภัยของสื่อในกิจกรรมต่อเนื่อง ให้ทุกชิ้นงาน “สร้างสรรค์-รับผิดชอบ-เข้าถึงได้” เพื่อให้แบรนด์จังหวัดเติบโตคู่ความไว้วางใจ

ทำอย่างไรให้น้องกอดอุ่น “อยู่ยาว” ไม่ใช่กระแส

บทเรียนจากหลายจังหวัดชี้ว่า มาสคอตจะ “อยู่ยาว” ได้ต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไข
หนึ่ง มี เจ้าภาพชัดเจน ทั้งเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและกำกับใช้แบรนด์
สอง มี โรดแมปกิจกรรม ที่ต่อยอดได้จริงพิพิธภัณฑ์ชุมชนขนาดย่อม จุดถ่ายรูปถาวร เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดิน ที่หยิบมาสคอตไปวางเรื่องเล่า
สาม มี ตัวชี้วัด ที่มากกว่า “ยอดไลก์” เช่น รายได้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วม กิจกรรมชุมชนที่เกิดใหม่ หรือจำนวน “แพ็กเกจท่องเที่ยว” ภายใต้แบรนด์

เชียงรายมี “ทุน” สำหรับทั้งสามข้อแล้วตั้งแต่ เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ขยับงานจริง ศูนย์การค้าหลัก ที่พร้อมเป็นเวที คอมมูนิตี้กาแฟ ที่มีพลัง และ เครื่องมือสื่อสาธารณะ จากกองทุนสื่อหากทุกมือยังประสานกันต่อเนื่อง “กอดเชียงราย” จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่เป็น ประสบการณ์ร่วม ที่วัดผลได้

ฉากสุดท้ายของวันนี้และฉากเปิดของฤดูกาลใหม่

เมื่อเพลงสุดท้ายของมินิคอนเสิร์ตจบ สปอตไลต์ที่ลาน Grand Hall ค่อย ๆ ดับลง แต่แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของครอบครัวหนึ่งยังไม่หยุด พวกเขาถ่ายภาพกับ “น้องกอดอุ่น” ก่อนที่ลูกชายตัวเล็กจะยื่นมือออกไป “กอด” มาสคอตอีกครั้ง ภาพง่าย ๆ นี้อธิบายสารของทั้งงานได้ครบ เชียงรายอยากให้คุณมากอด และพร้อมกอดตอบ ตั้งแต่ผู้คน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง หากจังหวัดและภาคีผลักปฏิทินกิจกรรมต่อจากวันนี้ให้ออกสตาร์ทได้ทัน น้องกอดอุ่น จะกลายเป็นหน้าแรกของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงรายปีนี้ ไม่ใช่แค่ “ไอคอน” บนโปสเตอร์ แต่เป็น ตัวละครเอก ในเรื่องเล่าที่ทุกคนมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund)
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CCL)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มอบภาพ ถวัลย์ ดัชนี บนเวทีจีน จุดประกายมิตรภาพ 50 ปีไทย-จีน

กัญฐกะก้องโกญจนาท” ข้ามพรมแดนสู่กว่างโจว ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มอบผลงานอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีบนเวที Very Thai Dian Feng 2025 จุดประกาย 50 ปีมิตรภาพไทย–จีน และซอฟต์พาวเวอร์ท่องเที่ยว

กว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน, 16 กันยายน 2568 – แสงไฟจากเวทีกลางงาน Very Thai Dian Feng Music Festival 2025 ค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางผู้ชมชาวจีนจำนวนมาก ขณะเสียงปรบมือดังยาว เมื่อ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ศิลปินฮิปฮอปชื่อดังของไทย ขึ้นเวทีพร้อมภาพผลงาน กัญฐกะก้องโกญจนาท” ของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย เพื่อส่งมอบแด่ SKAI ISYOURGOD (หลานเหล่า) ศิลปินจีนที่กำลังมาแรงในแวดวงดนตรีร่วมสมัย ภาพชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงของขวัญ หากเป็น “สัญลักษณ์” ของมิตรภาพไทย–จีนในวาระ ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ที่ทั้งสองประเทศร่วมเฉลิมฉลองผ่านเสียงเพลง ศิลปะ และวัฒนธรรมร่วมสมัย

จุดหมายเดียวกันของศิลปะ ดนตรี และการท่องเที่ยว

เทศกาลดนตรี Very Thai Dian Feng จัดขึ้นต่อเนื่องปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 13–14 กันยายน 2568นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ความร่วมมือของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ TCP Group ผู้ผลิตแบรนด์ เรดบูล (Red Bull) แนวคิดงานปีนี้ชูคอนเซปต์ “5 Must Do in Thailand” เพื่อชวนผู้ชมชาวจีน “ลิ้มลองประสบการณ์ไทย” ตั้งแต่อาหาร วัฒนธรรม ไปจนถึงกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ก่อนขยายผลสู่การเดินทางจริงในประเทศไทย

รูปแบบงานเน้นการสื่อสารแบบ “สนุก เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้” ผ่าน 2 เวทีดนตรีหลัก ที่รวบรวม 19 ศิลปินไทย–จีน จากหลากหลายแนวทาง พร้อม โซนสร้างสรรค์ ครบวงจร ทั้งโซนวัฒนธรรม โซนอาหาร โซนจัดแสดงสินค้า และ โดรนโชว์ ปิดท้าย โดยผู้จัดคาดการณ์ผู้เข้าร่วมงาน ราว 60,000 คน ตลอดสองวัน นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่เปิดทางให้ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยส่งสัญญาณชัดเจนสู่แดนมังกร

พญาม้ากัณฐกะ ภาพแทนคำอวยพร “เดินหน้าอย่างกล้าหาญ”

ผลงาน กัญฐกะก้องโกญจนาท” ของถวัลย์ ดัชนี คือภาพ พญาม้ากัณฐกะ ที่ถูกยกให้เป็น “เจ้าแห่งม้าทั้งปวง” สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ ความสำเร็จ และความอุดมสมบูรณ์ ในพิธีส่งมอบบนเวที ฟักกลิ้ง ฮีโร่ระบุว่า ได้รับภาพนี้จาก “ดอยธิเบศร์ ดัชนี” ทายาทผู้สืบงานศิลป์ของถวัลย์ เพื่อส่งต่อให้กับศิลปินจีนอย่างสมเกียรติ เป็นดั่งคำอวยพรที่ศิลปินไทยมอบให้ศิลปินจีน พร้อมถ้อยคำที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันว่า 中泰一家亲” หรือ “ไทย–จีนคือครอบครัวเดียวกัน”

ในโพสต์ทางการ ฟักกลิ้ง ฮีโร่กล่าวขอบคุณ พี่เอก” ประธานเจ้าหน้าที่ครีเอทีฟ (CCO) แห่ง TCP Group ตลอดจนทีมผู้จัด และททท. ที่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ตัวแทนประเทศไทย” บนเวทีสากลครั้งนี้ ย้ำว่าศิลปะไม่เพียงเชื่อมใจ หากยังเชื่อม “โอกาส” ระหว่างผู้คน ธุรกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

เวทีจีนกับ “เสน่ห์ไทย” ที่จับต้องได้

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. ระบุว่า ททท. มุ่งเดินหน้าตลาดระยะใกล้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ตลาดจีน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย “การปรับภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่น ควบคู่การนำเสนอ ประสบการณ์ที่มีความหมาย คือหัวใจของยุทธศาสตร์” งาน Very Thai Dian Feng จึงออกแบบให้ผู้ร่วมงานได้ “ทำจริง” ตั้งแต่เวิร์กชอป ไปจนถึงกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรม เพื่อให้ เสน่ห์ไทย” ถูกจดจำในฐานะประสบการณ์ ไม่ใช่แค่ภาพในโซเชียล

ภายในงานยังมีกิจกรรมต่อยอด เช่น เวิร์กชอปทำกระเป๋ารีไซเคิล และ ทำยาดมคล้องคอ ที่หยิบจับ “ของดีไทย” มาขยายความหมายใหม่ให้สอดรับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ช่วยย้ำ แบรนด์ Amazing Thailand ในสายตาผู้ชมชาวจีนว่าทั้ง “มีสไตล์” และ “มีคุณค่า”

เมื่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยน ไทยต้อง “เล่าเรื่อง” ใหม่

ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนมิได้พอใจเพียง “เช็กอิน–ถ่ายรูป” อีกต่อไป หากหันสู่การแสวงหา ประสบการณ์ลึกซึ้ง เช่น สายลุย, City Walk, หรือกิจกรรมวัฒนธรรมและกีฬา นี่คือ “การบ้าน” ที่ไทยจำเป็นต้องตอบ โดยปีที่ผ่านมา ททท. ได้ทดลองหลายกิจกรรมในจีน เช่น Amazing Thai Fest ที่กรุงปักกิ่ง และ Red Bull Challenge ณ ทะเลทรายเหิงเก๋อหลี่ มองโกเลียใน เพื่อเชื่อมกีฬา ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์คือ “บทเรียน” สำหรับการออกแบบคอนเทนต์และกิจกรรมที่โดนใจคนรุ่นใหม่ของจีนมากขึ้น

Very Thai Dian Feng จึงไม่ใช่แค่งานคอนเสิร์ต แต่เป็น แพลตฟอร์ม” ที่ให้ไทยได้ทดสอบการเล่าเรื่องใหม่ ๆ ในพื้นที่จริง ต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก พร้อมกวาดข้อมูลเชิงพฤติกรรมกลับมาต่อยอดแคมเปญในไทยช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปี

จากแคนวาสของถวัลย์ สู่แคนวาสของมิตรภาพ

“กัญฐกะก้องโกญจนาท” ถูกอธิบายว่าเป็นภาพที่ ให้กำลังใจให้ก้าวต่อ” การที่ผลงานชิ้นสำคัญจากเชียงราย—บ้านเกิดของถวัลย์—ได้ข้ามพรมแดนสู่กว่างโจวในจังหวะที่ไทย–จีนฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักทางสัญลักษณ์ งานของถวัลย์ขึ้นชื่อว่าหนักแน่นในเส้นสายและพลังอารมณ์ ภาพม้าผงาดจึงเท่ากับ การส่งสารถึงอนาคต ว่าศิลปะคือภาษากลางที่คนต่างวัฒนธรรมเข้าใจร่วมกันได้

ช่วงเวลาส่งมอบบนเวที กลายเป็นฉากเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่—ศิลปะคือทูตวัฒนธรรม” และ ศิลปินคือผู้พาเรื่องเล่าของชาติ” ไปปรากฏต่อสายตาโลก การที่ SKAI ISYOURGOD รับมอบต่อหน้าผู้ชมหลายหมื่นคน คือภาพของการยอมรับนับถือกันอย่างเสมอภาค ต่างส่งต่อคำอวยพรให้กันและกันในภาษาที่เหนือคำพูด

เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการท่องเที่ยว วงจรที่หนุนกัน

โมเดลที่ ททท. และ TCP Group ใช้ คือการผสมผสาน ดนตรี–ศิลปะ–ท่องเที่ยว” ให้เป็น “แพ็กเกจเดียว” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเดินทาง ความคาดหวังผู้ร่วมงาน ประมาณ 60,000 คน หากต่อยอดสู่การเดินทางจริงเพียงส่วนหนึ่ง ก็สามารถสร้างเม็ดเงินท่องเที่ยวเข้าประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งหากเชื่อมกับยุทธศาสตร์ “5 Must Do in Thailand” ที่ชัดเจนในจุดขาย ทั้งอาหาร มู่วิถี วัฒนธรรมลึกซึ้ง ธรรมชาติ และกิจกรรมเชิงประสบการณ์ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ ค่าใช้จ่ายต่อหัว และ ระยะเวลาพำนัก สูงขึ้น

ด้านแบรนด์เอกชนอย่าง เรดบูล การสนับสนุนเทศกาลที่จับต้องได้ในต่างแดน ช่วยขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ของจีน เป็น ความร่วมมือรัฐ–เอกชน ที่ได้ทั้งภาพลักษณ์และฤทธิ์ทางเศรษฐกิจ

เสียงสะท้อนจากเวที คำพูดที่ทำให้ “เรื่อง” เดินต่อ

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เขียนไว้ชัดว่า การได้เป็นตัวแทนส่งต่อผลงานของถวัลย์ คือ “เกียรติ” ที่ได้รับจาก ดอยธิเบศร์ ดัชนี พร้อมขอบคุณผู้สนับสนุนในทุกภาคส่วน เขาเปรียบภาพพญาม้าเช่น คำอวยพร ที่ศิลปินไทยมอบให้ศิลปินจีน ขณะเดียวกัน นายนิธี สีแพร ย้ำ “การนำเสนอเสน่ห์ไทยผ่านประสบการณ์จริง” คือจุดชี้วัดความสำเร็จของตลาดจีนยุคใหม่

ถ้อยคำ 中泰一家亲” ที่ถูกเอ่ยหลายครั้งในงาน ไม่ใช่สโลแกนสวย ๆ หากเป็น กรอบคิด สำหรับสร้างกิจกรรมร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรม การศึกษา กีฬา และธุรกิจท่องเที่ยวในระยะยาว

เล่าเป็นฉาก นาทีที่ผู้ชม “ยืนขึ้น”

คืนที่สอง เวทีหลักเล่นเอ็นดิ้งด้วยเพลย์ลิสต์ฮิต ศิลปินไทย–จีนสลับขึ้นร่วมแจม เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อทีมงานเชิญฟักกลิ้ง ฮีโร่ ขึ้นถือกรอบภาพพญาม้า แสงไฟสปอตไลต์จับลงบนลายเส้นเข้มของถวัลย์ เสี้ยววินาทีที่ภาพถูกส่งต่อ SKAI ก้มศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนชูภาพให้คนดูด้านหลังเห็นชัด ผู้ชมบางส่วน “ยืนขึ้น” พร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพ เสียงปรบมือกลายเป็นจังหวะร่วมที่ไม่ต้องซ้อม มิตรภาพจึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูด แต่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า

สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เสี้ยววินาทีแบบนี้ ขายความทรงจำ” ได้ดีที่สุด เพราะผู้ชมพกกลับไปได้มากกว่าคลิป—พวกเขาพก เรื่องเล่า ที่พร้อมจะต่อยอดเป็นการเดินทางครั้งใหม่

หมายเหตุเชิงนโยบาย จะยกระดับให้ “ยั่งยืน” ต้องทำอย่างไร

  1. เก็บข้อมูลเชิงลึกหน้างาน – พฤติกรรมผู้ชม แฮชแท็กที่ใช้ เวลาที่อยู่ในแต่ละโซน เพื่อนำไปออกแบบคอนเทนต์และแพ็กเกจท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม
  2. ทำแคมเปญต่อเนื่อง (Always-on) – เชื่อมกิจกรรมในจีนกับกิจกรรมในไทย เช่น คูปองส่วนลดพิพิธภัณฑ์/โชว์ดนตรีในเชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพฯ เพื่อให้ “ความตั้งใจเดินทาง” ไม่หายไป
  3. เล่าเรื่อง “เมืองรอง–ชุมชน” – ใช้ศิลปะและดนตรีเป็นประตูพาไปพบวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างรายได้กระจายสู่ฐานราก
  4. สร้างเครือข่ายศิลปิน–ครีเอเตอร์ไทย–จีน – เวิร์กชอปร่วม, ศิลปินพำนัก (Artist Residency), โปรเจกต์ดนตรีข้ามชาติ เพื่อให้ความร่วมมือไม่จบแค่เวทีเดียว

ม้ากัณฐกะวิ่งต่อ และเรื่องเล่าก็วิ่งตาม

การมอบภาพ กัญฐกะก้องโกญจนาท” บนเวที Very Thai Dian Feng 2025 คือฉากสำคัญที่จับต้องได้ของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในปีที่ไทย–จีนฉลอง 50 ปีมิตรภาพ เหตุการณ์นี้ผสานพลัง ศิลปะ–ดนตรี–การท่องเที่ยว เข้าด้วยกันในจังหวะที่พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนสู่ “ประสบการณ์มีความหมาย” อย่างชัดเจน หากไทยเดินหน้าสื่อสารที่เชื่อม ใจ–สถานที่–กิจกรรม ได้ต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐ เอกชน ศิลปิน และชุมชนย่อมเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ได้ยั่งยืน

ท้ายที่สุด ม้ากัณฐกะในงานของถวัลย์ไม่ได้วิ่งอยู่บนผืนผ้าใบเท่านั้น แต่กำลัง วิ่งนำ เรื่องเล่าของไทยให้ข้ามพรมแดนอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • TCP Group
  • ดอยธิเบศร์ ดัชนี
  • Very Thai Dian Feng Music Festival 2025
  • ฟักกลิ้ง ฮีโร่ 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News