Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS VIDEO

จากภูมิปัญญาชนเผ่าล้านนา ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา 15 เมตร ดอยตุงสู่เวทีโลก

เซ็นทรัลเชียงรายเปิดเทศกาล “สีสันกาสะลอง 2025” อลังการ “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” จากภูมิปัญญาดอยตุง ชู Soft Power ล้านนา–ชนเผ่า เชื่อมเศรษฐกิจท่องเที่ยวฤดูหนาวเชียงราย

เชียงราย, 27 พฤศจิกายน 2568 – ฤดูหนาวปีนี้ จังหวัดเชียงรายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดม่าน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” อย่างเป็นทางการ พร้อมพิธี “Light Up Christmas Tree Celebration” จุดไฟต้นคริสต์มาสกลางลานกาสะลอง สร้างบรรยากาศรับลมหนาวให้กับเมืองเหนือปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ภายใต้แสงไฟนับพันดวงและเสียงดนตรีที่ดังคลอไปกับเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” สูงกว่า 15 เมตร ค่อย ๆ สว่างไสวขึ้นกลางลาน ดึงสายตาผู้คนให้หยุดนิ่งราวกับฝัน ภาพของงานคราฟต์ไม้ไผ่สานที่เรียงตัวเป็นลวดลายชนเผ่าล้านนา สอดประสานกับสีสันของผืนผ้าทอและงานย้อมสีธรรมชาติ กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของการเฉลิมฉลองปลายปีที่ผสานทั้งความศรัทธา ศิลปวัฒนธรรม และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน

พิธีจุดไฟใต้สายลมหนาว และการรวมตัวของภาคีเชียงราย

บรรยากาศในวันเปิดงานเต็มไปด้วยความคึกคักของประชาชน นักท่องเที่ยว และพันธมิตรจากทุกภาคส่วนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญของเมืองเชียงราย โดยได้รับเกียรติจาก

  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายพรเทพ อรรถกิจไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาเขตภาคเหนือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
  • นายปิยะ มิตรสิตะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
  • นายชัยพฤกษ์ เสาวมล หัวหน้าสายการจัดการ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
    รวมถึงผู้แทนจากการท่องเที่ยวและกีฬาเชียงราย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลนครเชียงราย, สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และภาคีเครือข่ายเอกชนในพื้นที่

การมีส่วนร่วมของภาคีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เทศกาลสีสันกาสะลองไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมของศูนย์การค้า แต่กลายเป็น “แพลตฟอร์มกลาง” ที่ภาครัฐ เอกชน และชุมชนใช้ร่วมกันในการยกระดับภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเมืองแห่งไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ในเวลาเดียวกัน

บรรยากาศในค่ำคืนเปิดไฟยิ่งคึกคักขึ้น เมื่อเสียงร้องทรงพลังของดีว่าสาว “แก้ม วิชญาณี” ดังขึ้นบนเวทีกลางลานกาสะลอง สร้างความประทับใจให้ผู้ร่วมงานทั้งชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมารอชมการแสดงเปิดงานโดยเฉพาะ

 “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” จากภูเขาสู่ลานเมือง

หัวใจของเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 คือ “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” ทั้ง 7 ต้น ที่ถูกออกแบบและสร้างสรรค์จากภูมิปัญญาชนเผ่าบนดอยตุง ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Magic of Chiang Rai’ ที่ต้องการเชื่อม “หัวใจของดอยตุง” เข้ากับ “ความมหัศจรรย์แห่งเชียงราย”

วัสดุหลักที่ใช้ในการรังสรรค์ต้นคริสต์มาสคือไม้ไผ่สาน ซึ่งเป็นวัสดุพื้นถิ่นที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของชุมชนบนพื้นที่สูงมายาวนาน ผ่านเทคนิคการสานโบราณและการย้อมสีธรรมชาติที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ครั้งนี้ถูกนำมาจัดองค์ประกอบในรูปแบบร่วมสมัย เพื่อให้ทั้งนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่และผู้มาเยือนได้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาในบริบทใหม่

ลวดลายบนงานสานและเครื่องประดับแต่ละต้นถ่ายทอดอัตลักษณ์ของ 4 ชนเผ่าหลักบนดอยตุง ได้แก่ อาข่า ลาหู่ ลัวะ และไทใหญ่ ผ่านสีสัน ลวดลาย และรูปทรงที่สื่อถึงวิถีชีวิต ความเชื่อ ความสามัคคี และความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับธรรมชาติ รอบฐานต้นคริสต์มาสยังประดับด้วยองค์ประกอบที่สื่อถึงหมอกบนยอดดอย สวนไม้ดอก และทิวเขาเชียงราย สร้างภาพจำให้ผู้มาเยือนรู้สึกถึงบรรยากาศ “หมอกพันวา” ที่โอบล้อมเมืองในฤดูหนาว

การออกแบบครั้งนี้ยังมีนัยสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงริเริ่มงานพัฒนาดอยตุงที่เปลี่ยนพื้นที่ภูเขาเสื่อมโทรมให้กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของชนเผ่าต่าง ๆ บนพื้นที่สูง

Soft Power สายเหนือ จากงานคราฟต์สู่เวทีโลก

แนวคิด “Local Essence Advocator” ที่เซ็นทรัลพัฒนาประกาศใช้ในการพัฒนาศูนย์การค้าทั่วประเทศ ถูกแปลความอย่างชัดเจนในเชียงรายผ่านเทศกาลสีสันกาสะลองและต้นคริสต์มาสหมอกพันวา ซึ่งไม่ได้หยุดอยู่เพียงระดับงานตกแต่ง แต่ขยับตัวขึ้นมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร Soft Power ของไทยสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก

การเลือกหยิบภูมิปัญญาไม้ไผ่สานและศิลปะของชนเผ่าดอยตุงมาเป็นตัวนำเรื่องราว ช่วยทำให้ “วัฒนธรรมที่เคยอยู่บนดอย” ถูกย้ายลงมาอยู่ใจกลางเมืองในรูปแบบที่จับต้องได้ เข้าใจง่าย และพร้อมต่อการสื่อสารผ่านสื่อสมัยใหม่ ทั้งภาพถ่าย วิดีโอ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวใช้บันทึกและแบ่งปันประสบการณ์ของตนเอง

นอกจากการเป็นจุดถ่ายภาพหลักของงานแล้ว ต้นคริสต์มาสหมอกพันวายังถูกออกแบบให้มีมิติการเรียนรู้ซ่อนอยู่ ทั้งในแง่เรื่องราวของชนเผ่า ลวดลายดั้งเดิม และเส้นทางการพัฒนาดอยตุงที่เชื่อมโยงกับแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงความหมาย การมีส่วนร่วมของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ยิ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับการเล่าเรื่องในมิตินี้

เมื่อผนวกเข้ากับการทำตลาดของเซ็นทรัลพัฒนาที่เชื่อมแคมเปญปลายปีในระดับประเทศกับกิจกรรมเฉพาะพื้นที่ของเชียงราย เทศกาลสีสันกาสะลองจึงกลายเป็นตัวอย่างของการนำ Soft Power ระดับท้องถิ่นมาร้อยเรียงเข้ากับกลยุทธ์ระดับชาติอย่างเป็นรูปธรรม

เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว 3 เดือนเต็มกับ “The Magic of Food & Craft”

เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 จัดต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มกราคม 2569 รวมระยะเวลาราว 3 เดือนในช่วงไฮซีซั่นของเชียงราย ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดปลายทางฤดูหนาวยอดนิยมของทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โครงสร้างของงานในปีนี้ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งการสร้างประสบการณ์และการกระจายรายได้สู่ชุมชน

โซนกิจกรรมสำคัญแบ่งออกได้เป็น 3 แกนหลัก ได้แก่

  1. The Magic of Food
    • รวบรวมอาหารชนเผ่าและเมนูท้องถิ่นหายากมากกว่า 30 ร้าน จากทั้งชุมชนบนดอยและผู้ประกอบการในเมือง
    • นักท่องเที่ยวสามารถลิ้มลองรสชาติที่สะท้อนวิถีชีวิตล้านนาและชนกลุ่มน้อย เช่น เมนูพื้นบ้านดอยตุง เมนูจากผักและสมุนไพรท้องถิ่น รวมถึงอาหารล้านนารสต้นตำรับ
    • โซนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์นักชิม แต่ยังเป็นช่องทางให้ชุมชนได้ทดลองพัฒนาสินค้าและแบรนด์ของตนเองในตลาดเมือง
  2. The Magic of Craft
    • จำลองหมู่บ้านชนชาติพันธุ์และเปิดพื้นที่ให้ร้านค้างานแฮนด์เมด–งานคราฟต์กว่า 30 ร้าน เข้าร่วมจำหน่ายสินค้าโดยตรง
    • สินค้าในโซนนี้มีตั้งแต่งานทอผ้า เครื่องเงิน งานสานไม้ไผ่ ผลิตภัณฑ์จากผ้าย้อมสีธรรมชาติ ไปจนถึงของใช้ร่วมสมัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายชนเผ่า
    • รายได้ที่เกิดขึ้นช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานราก ขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสให้ช่างฝีมือรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การทำตลาดกับผู้บริโภคเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยตรง
  3. The Magic of Entertainment
    • เวทีการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนาและชนเผ่าหมุนเวียนตลอดเทศกาล
    • ดนตรีเปิดหมวก–โฟล์กซองจากศิลปินท้องถิ่นกว่า 120 การแสดง ช่วยสร้างบรรยากาศเป็นกันเองและเปิดพื้นที่ให้นักดนตรีท้องถิ่นได้แสดงผลงาน
    • ช่วงปลายปีมีกิจกรรมพิเศษร่วมกับตัวละคร Disney เพื่อดึงดูดกลุ่มครอบครัวและเด็ก เพิ่มสีสันให้ลานกาสะลองกลายเป็นจุดเช็คอินของคนทุกวัย

โครงสร้างกิจกรรมในลักษณะนี้ช่วยให้ศูนย์การค้ากลายเป็น “จุดตัด” ระหว่างเศรษฐกิจเมืองกับเศรษฐกิจชุมชน นักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเยือนเชียงรายในช่วงฤดูหนาวสามารถใช้เซ็นทรัลเชียงรายเป็นฐานในการเริ่มต้นรู้จักวัฒนธรรมของจังหวัด ผ่านอาหาร งานฝีมือ และการแสดง ก่อนจะเดินทางต่อไปยังดอยตุง ดอยแม่สลอง หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในพื้นที่

ความร่วมมือหลายภาคส่วน เมื่อศูนย์การค้ากลายเป็นเวทีของเมือง

สิ่งที่โดดเด่นในเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 คือระดับของ “ความร่วมมือ” ที่ขยายวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งระหว่างภาครัฐ เอกชน และองค์กรด้านวัฒนธรรม–พัฒนาชุมชน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาเชียงราย ใช้เทศกาลนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักในปฏิทินท่องเที่ยวฤดูหนาว โดยบูรณาการข้อมูลกับแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัด ทำให้เทศกาลไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับเส้นทางท่องเที่ยวระดับจังหวัดและภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างชัดเจน

ทางด้านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากสนับสนุนองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญาชนเผ่าและงานคราฟต์แล้ว ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนบนดอยกับแพลตฟอร์มตลาดในเมือง ช่วยให้ผลิตภัณฑ์และศิลปะของชุมชนสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลากหลายขึ้น โดยยังคงรักษาความถูกต้องของบริบททางวัฒนธรรม

สำหรับภาครัฐท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ต่างมีบทบาทในการอำนวยความสะดวกและสนับสนุนด้านข้อมูลวัฒนธรรม รวมถึงช่วยประชาสัมพันธ์เทศกาลให้เข้าถึงคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดมากขึ้น

ความร่วมมือในลักษณะนี้ทำให้เทศกาลไม่ได้ถูกมองเพียงแค่ “งานอีเวนต์ของศูนย์การค้า” แต่เริ่มใกล้เคียงกับการเป็น “เทศกาลของเมือง” ที่ทุกภาคส่วนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

มิติของผู้มาเยือน จุดเช็คอินเดียวที่ตอบโจทย์หลายกลุ่ม

ในเชิงประสบการณ์ของผู้มาเยือน เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

  • กลุ่มครอบครัวและแม่บ้าน สามารถใช้ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่พักผ่อนที่ปลอดภัย มีทั้งจุดถ่ายรูป มุมอาหาร และกิจกรรมสำหรับเด็ก โดยไม่ต้องเดินทางไกลขึ้นดอย
  • กลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้พื้นที่ถ่ายภาพและคอนเทนต์ที่มีความ “Instagrammable” แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวของชนเผ่าและงานฝีมืออย่างเป็นรูปธรรม
  • กลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุนด้านท่องเที่ยว–ไลฟ์สไตล์ สามารถมองเห็นศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมกับธุรกิจบริการและค้าปลีกได้อย่างลงตัว ผ่านรูปธรรมของการทำงานร่วมกันระหว่าง CPN หน่วยงานรัฐ และชุมชน

เมื่อเชื่อมโยงกับบรรยากาศฤดูหนาวของเชียงราย เทศกาลนี้จึงทำหน้าที่ทั้งเป็น “หน้าต่าง” ให้คนภายนอกได้รู้จักเมือง และเป็น “กระจก” ให้คนเชียงรายได้มองเห็นคุณค่าท้องถิ่นของตัวเองในมุมมองใหม่

จากต้นคริสต์มาสหนึ่งต้น สู่ภาพใหญ่ของเมืองและผู้คน

ตลอด 3 เดือนของการจัดงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ที่ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเป็นฉากหลังของรูปถ่าย แต่ได้กลายเป็นจุดนัดพบของเรื่องราวหลากหลายชั้น

ชั้นแรก คือ เรื่องราวของการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และการสืบสานแนวคิดการพัฒนาดอยตุงที่เน้นความยั่งยืนและการพึ่งพาตนเองของชุมชนบนพื้นที่สูง

ชั้นที่สอง คือ เรื่องราวของ Soft Power เชิงวัฒนธรรม ที่ดึงภูมิปัญญา 4 ชนเผ่าบนดอยตุงมาสร้างมูลค่าใหม่ผ่านงานออกแบบร่วมสมัยในพื้นที่เมือง และเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่เศรษฐกิจท่องเที่ยว

ชั้นที่สาม คือ เรื่องราวของเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชียงราย ที่ใช้เทศกาลนี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้คนเดินทางเข้ามาใช้จ่าย กิน เที่ยว ชม และเรียนรู้ในช่วงไฮซีซั่น สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และฐานราก

และในชั้นสุดท้าย คือ เรื่องราวของผู้คน – ทั้งชาวเชียงรายที่เติบโตมากับวิถีชีวิตริมดอยและนักท่องเที่ยวที่เพิ่งได้สัมผัสเชียงรายเป็นครั้งแรก – ที่ได้ใช้พื้นที่เดียวกันในการแบ่งปันประสบการณ์และตีความ “ความมหัศจรรย์ของเชียงราย” ในแบบของตนเอง

ฤดูหนาวนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาจุดเช็คอินที่ผสมผสานความงดงามของศิลปวัฒนธรรมกับบรรยากาศการเฉลิมฉลองปลายปี เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 และ “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” หนึ่งเดียวในโลก ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย คือหนึ่งในพื้นที่ที่สะท้อนให้เห็นว่า เมืองหนึ่งเมืองสามารถใช้วัฒนธรรมของตนเองเป็นฐานในการสร้างอนาคตได้อย่างไร

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) – ตามเอกสารและข้อความที่ผู้จัดงานจัดเตรียม
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นักท่องเที่ยวจีนลด -35%! ไทยเสียจังหวะในเอเชีย ต้องสร้างเหตุผลใหม่ให้คนมาเยือน

วธ.เชียงรายเร่งค้นหา “UNSEEN THAI THAI” ปั้น Soft Power สู้ศึก Tourism War ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพระยะไกล

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568เชียงรายกำลังก้าวสู่สมรภูมิใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้แข่งกันเพียงตัวเลขนักท่องเที่ยวอีกต่อไป หากแต่แข่งกันด้วย “เรื่องเล่า ประสบการณ์ และคุณค่าทางวัฒนธรรม” ท่ามกลาง “Tourism War” ที่ทำให้ประเทศไทยเสียจังหวะให้กับเพื่อนบ้านในเอเชีย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) จึงเดินหน้าเร่งค้นหา “UNSEEN THAI THAI” เพื่อใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นหัวหอกสำคัญในการยกระดับจังหวัดสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มระยะไกลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ศึก Tourism War เมื่อไทยเริ่มเสียจังหวะในสนามท่องเที่ยวเอเชีย

แม้ไทยจะยังเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของโลก แต่ตัวเลขช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนภาพที่น่ากังวลอย่างชัดเจน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย “หดตัวราว -8% เมื่อเทียบกับปีก่อน” ในขณะที่เวียดนามเติบโตถึง +22% และจีนเติบโตสูงถึง +27% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

ตลาดหลักอย่าง “นักท่องเที่ยวจีน” ซึ่งเคยเป็นฟันเฟืองสำคัญ กลับลดลงมากถึง -35% สวนทางกับประเทศคู่แข่งที่เร่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ความทันสมัย และประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน มูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในไทยยังมีทิศทางชะลอตัว ในขณะที่ประเทศคู่แข่งกลับมีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า ไทยไม่สามารถพึ่ง “ชื่อเสียงเดิม” ได้อีกต่อไป หากต้องการฟื้นกลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาค จำเป็นต้องสร้าง “เหตุผลใหม่” ให้คนเดินทางมาเยือน และต้องทำให้การมาเที่ยวไทยในวันนี้ “ลึกกว่า ถูกกว่า และดีกว่าเดิม” ผ่าน Soft Power และการสร้างประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่แตกต่างจริง ๆ

นโยบาย “ไท ไทย” และแนวคิด UNSEEN THAI THAI  วัฒนธรรมที่มีชีวิตและสร้างมูลค่าได้

ภายใต้วิสัยทัศน์ของนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นโยบาย “ไท ไทย” ถูกกำหนดขึ้นเพื่อ “ยกระดับความเป็นไทยดั้งเดิม (Traditional Thai) ให้ผสานกับความร่วมสมัย (Contemporary Thai)” เปลี่ยนจากการมองวัฒนธรรมเป็นเพียงของเก่า หรือพิธีกรรมที่อยู่ในกรอบ ไปสู่การมองว่า “วัฒนธรรมคือทุน” ที่สามารถสร้างทั้งคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน

โครงการ “UNSEEN THAI THAI” จึงถูกออกแบบให้เป็นกลไกสำคัญในการค้นหา “ทุนทางวัฒนธรรมที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผย ไม่เคยถูกมองเห็น หรือยังไม่เคยถูกเข้าใจในเชิงลึก” ไม่ใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ แต่คือเรื่องราว ความหมาย และประสบการณ์ที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวของวิถีชีวิตไทย เพื่อแปลงให้กลายเป็นแลนด์มาร์กวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย แต่ยังคงเคารพรากเหง้าอย่างแท้จริง

ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน  จุดเริ่มต้นของการมองเชียงรายผ่านสายตาใหม่

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อสำรวจและค้นหา “ทุนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น” ภายใต้แนวคิด “UNSEEN THAI THAI” โดยเน้นทั้งวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ความเชื่อ และศิลปะของชุมชน

บ้านห้วยน้ำกืนไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะหมู่บ้านชนบท หากแต่ถูกมองใหม่ในฐานะพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า วิถีชีวิตดั้งเดิม และระบบความเชื่อที่สอดประสานกับธรรมชาติและภูมิประเทศ การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การ “สำรวจเพื่อทำรายการ” แต่คือการฟังเสียงชุมชน ค้นหาอัตลักษณ์ที่ชุมชนภาคภูมิใจ และมองหาโอกาสในการต่อยอดให้กลายเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้

เวทีคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” เชียงราย 18 อำเภอ 18 ทุนวัฒนธรรมหลากมิติ

วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2568) ที่ห้องพวงแสด ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ประจำปีงบประมาณ 2569 จังหวัดเชียงราย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงาน ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก

การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดเลือกทุนทางวัฒนธรรมตามนโยบาย “ไท ไทย” ที่ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดแนวทางไว้ชัดเจนว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” หมายถึงทรัพยากรทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต ค่านิยม ความเชื่อ และศิลปะของชุมชน ที่สามารถสืบสาน อนุรักษ์ และต่อยอดให้เกิดมูลค่าในมิติเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจได้อย่างยั่งยืน

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ประสานไปยังทุกอำเภอ ขอให้คัดเลือกทุนทางวัฒนธรรมอำเภอละอย่างน้อย 1 รายการ ส่งเข้าร่วมการคัดเลือกระดับจังหวัด ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า มีการส่งข้อมูลทุนทางวัฒนธรรมครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ เช่น

  • อำเภอเวียงป่าเป้า: วิถีชีวิตบ้านห้วยน้ำกืน
  • อำเภอเมืองเชียงราย: วิถีชีวิตบ้านลิไข่ และนาขั้นบันไดลิไข่
  • อำเภอเชียงแสน: พิธีบวงสรวงแกล้มเลี้ยงบรรพกษัตริย์ บรรพชน ไหว้อารักษ์ และพิธีกรรมสวดมนต์วัดร้าง
  • อำเภอเชียงของ: พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก และการเล่นลูกข่าง
  • อำเภอแม่จัน: บิณฑบาตพระขี่ม้า ประเพณีเขาะจะเว และพิธีกิ๋นอ้อผญาล้านนา
  • อำเภอพาน: ผีย่าหม้อนึ่ง
  • อำเภอเวียงแก่น: พิธีถวายหนังแดง (วันผีกิ๋นวัว)
  • อำเภอเวียงชัย: การสรงน้ำพระพุทธรูปโบราณ วัดโบราณเวียงเดิม
  • อำเภอเวียงเชียงรุ้ง: พิธีสู่ขวัญควาย
  • อำเภอแม่ฟ้าหลวง: ประเพณีปอยส่างลอง ปอยออกหว่า และประเพณี “อายก”
  • อำเภอแม่ลาว: ตาพย่านาเจ่อ นาบทือ ย่าง (การไหว้หอเสื้อบ้าน)
  • อำเภอพญาเม็งราย: พิธีสู่ขวัญ และการอ่านค่าว
  • อำเภอแม่สาย: ข้าวแรมฟืน หรือข้าวฟืน
  • อำเภอขุนตาล: โจ๊วตะโป่ดั๊บ (ต้มเต้าหู้)
  • อำเภอแม่สรวย: หลามบอน (แกงบอน)
  • อำเภอเทิง: ค่าวธรรม
  • อำเภอป่าแดด: อักษรธัมม์ล้านนา
  • และทุนทางวัฒนธรรมที่ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ: ตึ่งโนง (กองตึ่งโนงล้านนา)

รายชื่อเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เชียงรายไม่ได้มีเพียงภูเขา หมอก และกาแฟ หากแต่มี “ชั้นเชิงทางวัฒนธรรม” ที่ลึกและหลากหลาย ตั้งแต่พิธีกรรม ความเชื่อ อาหารพื้นบ้าน ตัวอักษรโบราณ ไปจนถึงประเพณีเฉพาะถิ่นที่หาไม่ได้จากที่อื่น หากสามารถถอดรหัสและเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ทุนเหล่านี้จะกลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

Soft Power กับบทบาทของเชียงราย เมืองวัฒนธรรมในโครงสร้างใหม่ของการท่องเที่ยวไทย

ในบริบทที่ไทยกำลังเผชิญศึก Tourism War การใช้ Soft Power และการสร้าง Brand Image ที่เน้น “ประสบการณ์ลึกซึ้ง” ถูกมองเป็นกลยุทธ์สำคัญ แนวคิดอย่าง “5 Must Do” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เน้นกิจกรรมและประสบการณ์เฉพาะ เช่น ต้องกิน ต้องเที่ยว ต้องสัมผัสวิถีท้องถิ่น กลายเป็นกรอบสำคัญในการออกแบบสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยวใหม่

เชียงรายในฐานะเมืองรองที่มีทั้งพื้นที่ภูเขา ชนเผ่าพื้นถิ่น พุทธศิลป์ล้านนา และวิถีชีวิตชายแดน มีศักยภาพสูงที่จะต่อยอดสู่การเป็น “เมืองประสบการณ์เชิงลึก” โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ต้องการเพียงภาพสวย ๆ แต่ต้องการเข้าไป “ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน” ผ่านกิจกรรมอย่าง Wellness, Micro-Retirement หรือการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้แบบเรียลจริง

การพัฒนา UNSEEN THAI THAI ในเชียงรายจึงเป็นมากกว่าการสร้างแหล่งเช็คอินใหม่ หากแต่เป็นการเตรียม “ภาษาวัฒนธรรม” ให้พร้อมใช้สื่อสารกับโลก ผ่านเรื่องเล่า แพลตฟอร์มดิจิทัล และประสบการณ์ตรงที่นักท่องเที่ยวจะนำกลับไปเล่าต่ออีกครั้ง

ตลาด Long Haul พุ่งทำสถิติใหม่  โอกาสทองของเมืองรองและชุมชนวัฒนธรรม

นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul) ในช่วงปี 2567–2569 ว่ากำลัง “ฟื้นตัวแรงกว่าช่วงก่อนโควิด” และสร้างสถิติใหม่ในหลายด้าน

ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เดินทางมาไทยรวม 9,790,056 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด พร้อมสร้างรายได้กว่า 588,632 ล้านบาท ซึ่งทำลายสถิติเดิมของปี 2562 ที่เคยเป็นปีดีที่สุด ตัวเลขนี้สะท้อนการกลับมาของ “กำลังซื้อระดับพรีเมียม” ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพประสบการณ์มากกว่าราคาที่ถูกเพียงอย่างเดียว

ททท.คาดว่าในปี 2568 นักท่องเที่ยวระยะไกลจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,096,052 คน เติบโต 13% จากปี 2567 และสร้างรายได้ราว 668,885 ล้านบาท ขณะที่ปี 2569 คาดว่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 11,666,600 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 700,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีกราว 10%

ข้อมูลจาก Expedia ยังระบุว่า “ความต้องการที่พักนอกเมืองท่องเที่ยวหลักเพิ่มขึ้นถึง 18%” ในปีที่ผ่านมา เมืองรองและชุมชนท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวจึงเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างชัดเจน กรณีศึกษาของเกาะสมุยที่ได้รับแรงส่งจากซีรีส์ต่างประเทศอย่าง White Lotus ทำให้ดีมานด์ของนักท่องเที่ยวอเมริกันเพิ่มขึ้น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้สื่อและ Soft Power เชื่อมโยงกับพื้นที่ปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ททท.จึงเสนอแนวคิดพัฒนา “เมืองรองแบบคลัสเตอร์” แทนการทำงานแบบเมืองเดี่ยว เช่น การเชื่อมโยง นครศรีธรรมราช–สุราษฎร์ธานี–สมุย–ขนอม โดยใช้สุราษฎร์ฯ เป็นฮับหลัก ซึ่งแนวคิดลักษณะนี้สามารถต่อยอดประยุกต์ใช้กับภาคเหนือได้เช่นกัน หากเชียงรายถูกออกแบบให้อยู่ในคลัสเตอร์เมืองวัฒนธรรม–ธรรมชาติร่วมกับจังหวัดรอบข้าง จะยิ่งเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่ต้องการเส้นทางใหม่ ๆ และประสบการณ์ที่ลึกกว่าเดิม

จากข้อมูลสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย  ทำไมเชียงรายต้องรีบ “ค้นหา” ก่อนถูกแซง

เมื่อนำภาพรวม Tourism War ตัวเลขการเติบโตของตลาด Long Haul และศักยภาพของทุนวัฒนธรรมเชียงรายมาพิจารณาร่วมกัน จะเห็นชัดว่า “เวลา” เป็นปัจจัยสำคัญ หากเชียงรายไม่เร่งแปรทุนทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าและประสบการณ์ท่องเที่ยวที่จับต้องได้ เมืองอื่นที่ขยับตัวเร็วกว่าอาจช่วงชิงความสนใจจากตลาดโลกไปก่อน

การจัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ระดับจังหวัด การเชิญทุกอำเภอส่งทุนวัฒนธรรมเข้าร่วม และการประชุมร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในวันนี้ จึงเป็นก้าวแรกในการ “จัดระเบียบทรัพยากรวัฒนธรรม” ให้ชัดเจนว่าเชียงรายมีอะไร อยู่ที่ไหน มีเรื่องเล่าอย่างไร และสามารถต่อยอดเป็นสินค้า หรือกิจกรรมท่องเที่ยวแบบไหนได้บ้าง

ในมุมของชุมชน การถูกมองเห็นในฐานะ “ทุนทางวัฒนธรรม” ยังช่วยสร้างความภาคภูมิใจ และเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่กลับมาสนใจรากเหง้าของตนเองมากขึ้น ขณะเดียวกัน หากมีการออกแบบระบบกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ชุมชนจะสามารถยืนอยู่ได้บนฐานเศรษฐกิจของตนเองอย่างยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาเพียงการเกษตรหรือแรงงานรับจ้างเพียงทางเดียว

เชียงรายบนเส้นทางจากเมืองชายแดน สู่เมืองประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ

เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด เชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของการพัฒนาเมืองในยุคที่การท่องเที่ยวโลกแข่งขันกันด้วย “ประสบการณ์และเรื่องเล่า” มากกว่าจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว

  • ฝั่งหนึ่ง โลกกำลังเปิดกว้างให้กับเมืองรองและชุมชนที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้ง
  • อีกฝั่งหนึ่ง ไทยกำลังถูกท้าทายจากทั้งเวียดนามและจีนในศึก Tourism War
  • พร้อมกันนั้น ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีกำลังซื้อสูงกำลังเติบโต และมองหาเป้าหมายใหม่ที่ให้ความหมายมากกว่าการท่องเที่ยวผิวเผิน

ท่ามกลางสมการที่ซับซ้อนนี้ การที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการ “UNSEEN THAI THAI” ลงพื้นที่สำรวจชุมชนอย่างบ้านห้วยน้ำกืน เปิดเวทีให้ 18 อำเภอส่งทุนวัฒนธรรมเข้าพิจารณา และจัดประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัดอย่างเป็นระบบ จึงไม่ใช่เพียง “งานเอกสารของราชการ” แต่คือการปักหมุดอนาคตเชียงรายบนแผนที่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของเอเชีย

หากเชียงรายสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมเหล่านี้ มาผสานกับแนวคิด Soft Power กลยุทธ์เมืองรองแบบคลัสเตอร์ และการเชื่อมโยงกับตลาด Long Haul ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องได้สำเร็จ เมื่อนั้นเชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองเหนือที่สวยงาม” แต่จะกลายเป็น “เมืองประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม” ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อ “เข้าใจ รู้สึก และจดจำ” มากกว่ามาเพียงเพื่อถ่ายรูปแล้วจากไป

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม (นโยบาย “ไท ไทย” และแนวทางคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI”)
  • บันทึกข้อมูลการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก “UNSEEN THAI THAI” ประจำปีงบประมาณ 2569 จังหวัดเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) – ข้อมูลตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ปี 2567–2569 และทิศทางการพัฒนาเมืองรองแบบคลัสเตอร์
  • ข้อมูลเชิงสถิติพฤติกรรมการท่องเที่ยวจากแพลตฟอร์มออนไลน์ (Expedia) เกี่ยวกับแนวโน้มที่พักนอกเมืองท่องเที่ยวหลัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

ททท.เปิดยุทธศาสตร์ Amazing 5-Economy เปลี่ยนการท่องเที่ยวจากปริมาณสู่คุณค่า

ททท.เดินหน้า “Amazing 5-Economy” ปรับทิศทางท่องเที่ยวไทยจาก “ปริมาณ” สู่ “คุณค่า” ชูเหนือเป็นสนามทดสอบ โยงเศรษฐกิจมหภาค สนามบิน ซอฟต์พาวเวอร์ หนุนไทยมุ่ง Premium Destination

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดแผน “Amazing 5-Economy” เพื่อยกระดับประเทศไทยจาก “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” สู่ “ดินแดนแห่งความหมาย” (Value over Volume) เน้นเพิ่ม “คุณค่าและการใช้จ่ายต่อทริป” แทนการไล่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเดียว โดยหยิบ 5 เศรษฐกิจเป้าหมาย Wellness, Subculture, Night, Tax-free, Prompt Pay มาประกอบเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่ข้อมูลสนับสนุนจากภาคการบินและสถาบันวิจัยเอกชนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “การเติบโตเชิงคุณภาพ” คือคำตอบ หากไทยต้องการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนและพฤติกรรมนักเดินทางที่เปลี่ยนไป

รายงานนี้ถอด “แผน 5-Economy” ให้อยู่ในบริบทกว้างขึ้น ตั้งแต่ภาพรวมการเดินทางทางอากาศของภาคเหนือ, สัญญาณจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยเกี่ยวกับรายได้ต่อทริป, ไปจนถึงพิมพ์เขียวเศรษฐกิจมหภาคของธนาคารโลก เพื่อชี้ว่าการยกระดับสู่ Premium Destination ไม่ใช่เพียงแคมเปญการตลาด แต่เป็นยุทธศาสตร์โครงสร้างที่ต้องเดินพร้อมกันทั้งนโยบาย การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และทักษะแรงงาน

ไฮไลต์สำคัญ

  • ททท. วาง 5 เศรษฐกิจเป้าหมายเป็น “โครงใหม่” ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ: Wellness / Subculture / Night / Tax-free / Prompt Pay
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้การกลับไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวก่อนโควิดทำได้ยาก ต้องหันมาเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่อทริป ผ่าน MICE, คอนเสิร์ตระดับโลก, กีฬาโลก, Medical & Wellness
  • ดัชนีภาคการบินภาคเหนือ สะท้อนศักยภาพรองรับดีขึ้น: ปีงบประมาณ 2025–2026 ยอดผู้โดยสารรวม ท่าอากาศยานเชียงใหม่ อยู่ที่ 10.20 ล้านคน (+6.87%) และ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย 2.13 ล้านคน (+3.54%) ตามตารางสรุปในเอกสารประกอบ
  • ธนาคารโลก แนะไทยต้องยกระดับผลิตภาพ (TFP) และเร่งลงทุน R&D ดิจิทัล บริการมูลค่าสูง (สุขภาพ/เวลเนส เศรษฐกิจสร้างสรรค์) เพื่อผลักดันเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย ≥5% มุ่งเป้าประเทศรายได้สูงปี 2580

เรื่องเล่าจากพฤติกรรมนักเดินทาง จาก “ไปถึง” สู่ “เข้าถึงความหมาย”

ในทศวรรษที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ “เลือกประเทศจากความหมายที่สถานที่นั้นมอบให้” มากกว่าการปักหมุดแลนด์มาร์ก ต้องการประสบการณ์ที่ปลอดภัย เข้าถึงง่าย สอดคล้องวิถีดิจิทัล และสะท้อนตัวตนผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย การวางทิศทาง Value over Volume ของททท. จึงมิใช่เพียงสโลแกน หากเป็นการเคลื่อนจาก Mass Tourism ไปสู่ Quality Tourism ที่ทุนมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม และทุนดิจิทัล ทำงานร่วมกันเป็นวงจรเดียว

แผน Amazing 5-Economy จึงตอบโจทย์ “ความหมาย” 5 มิติที่นักท่องเที่ยวตามหา สุขภาพกายใจ (Wellness), อัตลักษณ์ร่วมสมัย (Subculture), ประสบการณ์กลางคืนที่ปลอดภัย (Night), ประสบการณ์ช้อปปลอดภาษี (Tax-free) และ การจ่ายเงินไร้รอยต่อ (Prompt Pay) ซึ่งล้วนเชื่อมกับ ค่าใช้จ่ายต่อทริป โดยตรง

หลักฐานเชิงข้อมูล ท่าอากาศยานภาคเหนือบอกอะไรเรา

สัญญาณจากผู้โดยสารทางอากาศช่วยยืนยันผลของการเชื่อมต่อ (Connectivity) และความพร้อมรองรับ (Capacity) ซึ่งเป็นฐานของการสร้างรายได้คุณภาพสูง โดยข้อมูลสรุปปีงบประมาณ 2025/2026 ของภาคเหนือที่จัดทำประกอบข่าวชิ้นนี้ระบุว่า

  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (CNX):
    • ปีงบฯ 2025 ผู้โดยสารรวม (Grand Total) 9,383,719 คน (+6.37%)
    • ปีงบฯ 2026 ระหว่างปีสะสม (YTD) 820,382 คน (+12.96%)
    • รวมสองปี (Total) 10,204,101 คน (+6.87%)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI):
    • ปีงบฯ 2025 ผู้โดยสารรวม 1,947,014 คน (+2.47%)
    • ปีงบฯ 2026 ระหว่างปีสะสม 187,654 คน (+16.09%)
    • รวมสองปี (Total) 2,134,668 คน (+3.54%)

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อน 3 ประเด็นสำคัญ

  1. โครงสร้างพื้นฐานพร้อมรับ   สนามบินเชียงใหม่และเชียงรายยังเป็น “สองประตูหลักของเหนือบน” ที่รองรับเที่ยวบินเชื่อมกรุงเทพฯ ภูมิภาค และเส้นทางต่างประเทศ ทำให้เส้นทางคุณภาพ (คอนเสิร์ต กีฬาโลก MICE เวลเนส) มีฐานผู้โดยสารรองรับ
  2. โอกาสของเมืองรอง   แรงดึงจากกิจกรรม/อีเวนต์ใหญ่ในพะเยา น่าน แพร่ หรือเชียงราย สามารถ “อาศัย” ศักยภาพสนามบินสองแห่งนี้ในการกระจายตัวนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง สอดรับเป้าหมายของททท. ที่ต้องการกระจายความหนาแน่นและรายได้
  3. ภารกิจเพิ่มรายได้ต่อทริป   แม้ผู้โดยสารเติบโตในอัตรา “บวกอย่างมั่นคง” แต่ความท้าทายคือ การแปลงทุกการเดินทางเป็นการใช้จ่ายมูลค่าสูง ผ่าน 5-Economy ไม่ใช่เพียงจำนวนคน

สนามบินพร้อม แต่รายได้จะโตยั่งยืน ต้องให้ปลายทาง ‘มีความหมาย’ พอให้คนยอมจ่ายแพงขึ้น/อยู่นานขึ้น” – สาระหลักที่ททท. และนักวิจัยเอกชนเห็นพ้อง

มุมมองนักเศรษฐศาสตร์ท่องเที่ยว เมื่อ “จำนวน” เริ่มชนเพดาน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในปี 2569 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยราว 34.1 ล้านคน (+4% YoY) ยัง “ต่ำกว่าศักยภาพก่อนโควิด” และ “ค่าใช้จ่ายต่อทริปยังต่ำ” ขณะที่การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวรุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป

บทสรุปเชิงนโยบายของสถาบันวิจัยชี้ชัดว่า ประเทศไทยต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป ผ่านสินค้า/ประสบการณ์ที่มี Ticket Size สูง เช่น MICE, คอนเสิร์ตศิลปินโลก, กีฬาโลก, Medical & Wellness พร้อมผลักดัน “เมืองรอง” ด้วยอัตลักษณ์ท้องถิ่น (เช่น GI) และระบบนิเวศการใช้จ่าย (Tax-free, e-Payment) ที่ไร้รอยต่อ ซึ่งสอดรับกับ 5-Economy แทบทุกข้อ

5-Economy ลงในพื้นที่: ทำอย่างไรให้ “คนยอมอยู่นาน จ่ายเพิ่ม”

1) Wellness Economy – จาก “เช็คอิน” สู่ “พักฟื้นและป้องกัน”

ไทยมีทุนเดิมด้านแพทย์ สปา อาหารสุขภาพ และธรรมชาติ การต่อยอดสู่ Medical & Wellness Hub ต้องยกระดับบริการเฉพาะทาง (Longevity / Preventive Care / Rehabilitation) เชื่อมกับ ออนเซ็น/น้ำพุร้อน/สปา คุณภาพสูง และ ดิจิทัลเฮลธ์ (นัดหมาย ชำระเงิน เวชระเบียนสุขภาพบนคลาวด์) ให้ไร้รอยต่อ เพื่อยืดระยะพำนักและค่าใช้จ่ายต่อหัว

2) Subculture Economy – เมืองที่ “มีชีวิต”

ดนตรี แฟชั่น ศิลปะ เกม/คอมมูนิตี้ คือภาษากลางของนักเดินทางเจนใหม่ เมืองเหนือสามารถจัด เทศกาลดนตรี/Arts Week/Street Culture ในช่วง Low Season เพื่อเบี่ยงฤดูกาลท่องเที่ยวและเพิ่ม “เหตุผลใหม่ในการมา” นอกเหนือจากธรรมชาติสวย

3) Night Economy – ชั่วโมงเศรษฐกิจที่มองไม่เห็น

มาตรการ “ความปลอดภัย ความเป็นมิตร ทางเลือกหลากหลาย” สำหรับย่านกลางคืน ทำให้ธุรกิจอาหาร ดนตรี ตลาดค่ำ และศิลปะกลางคืน กลายเป็น เครื่องจักรเพิ่ม ASV (Average Spending per Visit) สำคัญ โดยเฉพาะในเมืองรองที่กลางวันเงียบ

4) Tax-free Economy – ให้การช้อปเป็นประสบการณ์

ห่วงโซ่ Tax-free Ecosystem ตั้งแต่ดิวตี้ฟรีเมือง การคืน VAT   การเชื่อมระบบกับ e-Payment ช่วยดึงกลุ่มกำลังซื้อสูง และทำให้ “การช้อป” กลายเป็นเหตุผลของการเดินทาง

5) Prompt Pay Economy – ปลายทางดิจิทัลที่เป็นมิตร

มาตรฐาน Payment Experience ที่จ่ายได้ทุกที่ ทุกสกุลเงิน (เชื่อม QR Cross-border) ช่วยลดแรงเสียดทานนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างภาพลักษณ์ Digital-friendly Destination

เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารโลก–BCG+ และเป้าหมายประเทศรายได้สูง

ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทยตามรายงาน ธนาคารโลก สะท้อนความเร่งด่วน: อัตราเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ยเพียง 2–2.5% ต่ำกว่าที่จำเป็นต้องรักษา ≥5% เพื่อบรรลุ “ประเทศรายได้สูง ปี 2580” ปัญหาอยู่ที่ ผลิตภาพรวม (TFP) ลดลง, การลงทุนภาคเอกชนชะลอ และกำลังแรงงานทักษะใหม่ยังไม่พอ

ข้อเสนอของธนาคารโลกจึงมุ่ง “ยกเครื่องโครงสร้าง” ด้วยสามขีดความสามารถ (สีเขียว ดิจิทัล บริการ) และห้าเสาอุตสาหกรรมอนาคต ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความยั่งยืน ตรงกับ “Wellness Economy” ของททท. แทบจะพอดี

ประเด็นสำคัญ คือ การลงทุนและความสอดคล้องเชิงนโยบาย (Policy Alignment)

  • เร่งอัตราการลงทุนรวม (รัฐ+เอกชน) ใกล้ 40% ของ GDP พร้อมผูกพัน R&D นวัตกรรม
  • จัดตั้งกลไกธรรมาภิบาลดิจิทัล รวมศูนย์การประสานงานข้อมูลและ PDPA เพื่อบริการสุขภาพ/ท่องเที่ยวดิจิทัลที่จริงจัง
  • ฝากความยืดหยุ่นต่อภูมิอากาศไว้ในงบประมาณ (BCG+) เพราะน้ำ/อากาศ/ป่า คือสินทรัพย์การท่องเที่ยวโดยตรง

กล่าวอีกอย่าง: 5-Economy จะกลายเป็นเครื่องยนต์การเติบโตได้จริง ก็ต่อเมื่อ “ภาคท่องเที่ยว ดิจิทัล การแพทย์ สิ่งแวดล้อม” เดินพร้อมกันในระดับนโยบายและงบประมาณ

ภาคเหนือคือ “สนามทดสอบ” ที่ดีที่สุด

ทำไมต้องภาคเหนือ โดยเฉพาะ เชียงใหม่–เชียงราย–เมืองรองรอบกว๊านพะเยา/พาน/แพร่/น่าน

  1. ทางอากาศพร้อม – สนามบินเชียงใหม่และเชียงรายรองรับมากกว่า 12 ล้านคน รวมสองปีงบประมาณล่าสุดในภาพรวม (CNX 10.20 ล้าน, CEI 2.13 ล้าน) เป็นฐานพัฒนาเส้นทาง Premium (MICE–Concert–Sports–Wellness) ได้ทันที
  2. สินทรัพย์ทางธรรมชาติ–วัฒนธรรมหนาแน่น   จากน้ำพุร้อน/ภูเขา/ลำน้ำ ไปจนถึงชุมชนชาติพันธุ์ กาแฟ ชา อาหารเหนือ ซึ่งเชื่อมตรงกับ Wellness / Subculture / Night / Gastronomy (ใน Tax-free & PromptPay ช่วยเสริมการใช้จ่าย)
  3. สามารถกระจายสู่เมืองรองได้จริง – ด้วยการเชื่อมถนนดีขึ้นและอีเวนต์ใหญ่ในพะเยา น่าน แพร่ ที่ช่วย “ดึงคนนอนค้าง” นอกเมืองหลัก

เส้นเรื่องสู่ Premium Destination จากสนามบิน…ถึงเงินในกระเป๋าชุมชน

ฉากที่ 1 – เครื่องลงเชียงใหม่
นักท่องเที่ยวต่างชาติลง CNX ด้วยตั๋วคอนเสิร์ตศิลปินโลก + แพ็กเกจสปาพรีเมียม 3 คืน (Wellness + Night) ระบบชำระเงินไร้เงินสดรองรับได้ทุกใบ
ผลลัพธ์: ค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นโดยธรรมชาติ

ฉากที่ 2 – ต่อรถไปเชียงราย
ผู้โดยสารบินเชื่อม CEI เพื่อร่วมงานวิ่งเทรล/จักรยานทางไกล + รีทรีตสุขภาพบนภูเขา มีเวชระเบียนดิจิทัลเชื่อมโรงพยาบาลเอกชน (Digital Health)
ผลลัพธ์: อยู่ยาวขึ้น ค่าใช้จ่ายโรงแรม อาหาร กิจกรรม เพิ่มขึ้น

ฉากที่ 3   ยืนยิ้มในตลาดค่ำเมืองรอง
คืนสุดท้าย เลือกนอน พะเยา/พาน/แพร่/น่าน เพื่อเที่ยว ตลาดกลางคืน คาเฟ่วิวทะเลสาบ แกลเลอรี พร้อมซื้อสินค้าท้องถิ่นแบบ Tax-free / e-Payment
ผลลัพธ์: รายได้หยดลงชุมชน “เมืองรอง” ได้ส่วนแบ่งจริง

ความท้าทายและความเสี่ยง สิ่งที่ต้องระวังระหว่างทาง

  1. ค่าใช้จ่ายต่อทริปยังต่ำ – หากไม่เร่ง “คอนเทนต์ที่แพงอย่างมีเหตุผล” (MICE–Concert–Sports–Wellness) ASV จะไม่ขยับ
  2. ฝุ่นควัน/น้ำท่วม/ภาวะอากาศ – กระทบฤดูกาลท่องเที่ยว จำเป็นต้องตลาด “ฤดูสีเขียว” และลงทุน BCG+ จริงจัง
  3. ทักษะบริการ–ดิจิทัล – ถ้าแรงงานหน้าบ้าน หลังบ้านยังไม่พร้อม (ภาษา/สุขภาพ/ดิจิทัล/PDPA) จะรับพรีเมียมดีมานด์ไม่ได้
  4. ความสอดคล้องเชิงสถาบัน – หากหน่วยงานเดินไม่พร้อม “5-Economy” จะติดคอขวดที่กฎ งบ ดาต้าเชื่อมกันไม่เสร็จ

ข้อเสนอเชิงนโยบาย/ปฏิบัติการ (เน้นทำได้ทันที)

  1. ตั้ง “Northern Premium Route Board” ระดับภูมิภาค เชื่อมสนามบิน ททท. จังหวัด เอกชน เพื่อจัดพอร์ตอีเวนต์/แพ็กเกจ Premium ข้ามเมือง (Concert–MICE–Sports–Wellness) พร้อมตารางบินและ Campaign ร่วม
  2. Tax-free & PromptPay @ เมืองรอง จัดเขตทดลองคืน VAT/ดิวตี้ฟรีเมือง + Cross-border QR รองรับสกุลเงินหลักในย่านท่องเที่ยว ตลาดค่ำ
  3. Wellness Playbook สำหรับผู้ประกอบการเหนือ: มาตรฐานคลินิก สปา อาหารสุขภาพ + บันไดเชื่อมโรงพยาบาล (นัดหมาย จ่าย เวชระเบียนออนไลน์)
  4. กองทุนย่อย Subculture สนับสนุนเทศกาลศิลปะ ดนตรี ดีไซน์ เชื่อมชุมชน/มหาวิทยาลัย สร้างปฏิทินเมืองที่ “มีชีวิต” ตลอดปี
  5. Green-Season Guarantee สร้างแพ็กเกจรับฤดูฝน (ส่วนลด คอนเทนต์ กิจกรรมธรรมชาติ) พร้อมแผนสื่อสารความปลอดภัยอากาศ เส้นทาง
  6. คน ดิจิทัล ภาษา เปิด Micro-credentials 3 เดือน สำหรับพนักงานท่องเที่ยว: ภาษาอังกฤษจีน/การชำระเงินดิจิทัล/มาตรฐานสุขภาพ PDPA ให้จบแล้ว “ทำงานได้จริง”
  7. ดัชนี ASV รายจังหวัด เผยแพร่รายไตรมาส วัดผล 5-Economy แบบโปร่งใส (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/คืนพัก/กิจกรรมพรีเมียม) เพื่อขับการแข่งขันเชิงคุณภาพ

เมื่อ “ความหมาย” แปลงเป็น “มูลค่า”

ข้อมูลจากสนามบินภาคเหนือยืนยันว่าระบบรองรับกำลังกลับมาแข็งแรง แต่โจทย์ต่อไปคือการทำให้ทุกเที่ยวบินส่งผลเป็น การใช้จ่ายที่มีความหมาย ผ่าน 5-Economy ของททท. ในขณะเดียวกัน เสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์และธนาคารโลกชี้ว่าหากไทยต้องการก้าวสู่ประเทศรายได้สูง การท่องเที่ยวต้องเป็น “เครื่องยนต์บริการมูลค่าสูง” ทำงานประสานกับดิจิทัล สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ทักษะคน

กล่าวให้กระชับ  Value over Volume ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น ทางรอดและทางรุ่ง ของการท่องเที่ยวไทยในทศวรรษหน้า ภาคเหนือในฐานะสนามทดลองเชื่อมอากาศ ธรรมชาติ วัฒนธรรม สุขภาพ จึงพร้อมจะเป็น “เวที” ให้ไทยพิสูจน์ตนว่า Premium Destination สำหรับโลกยุคใหม่ มีอยู่จริงบนผืนแผ่นดินนี้

ภาคผนวกข้อมูล (สรุปตารางผู้โดยสารสนามบินภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2025–2026)

แหล่งข้อมูลภาพ/ตารางประกอบข่าว: The Northern Report – “ยอดผู้โดยสารท่าอากาศยานปีงบประมาณ 2025/2026”

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (CNX)

  • 2025: Grand Total 9,383,719, %Change +6.37%
  • 2026 (ระหว่างปีสะสม): Grand Total 820,382, %Change +12.96%
  • รวม: 10,204,101, %Change +6.87%

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)

  • 2025: Grand Total 1,947,014, %Change +2.47%
  • 2026 (ระหว่างปีสะสม): Grand Total 187,654, %Change +16.09%
  • รวม: 2,134,668, %Change +3.54%
สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • นโยบายดิจิทัลภาครัฐ/PDPA
  • แผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว–สุขภาพดิจิทัล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY EDITORIAL

กลยุทธ์ ASV เปลี่ยน อ.พาน จาก “เมืองผ่าน” สู่ “เมืองแนะนำ” ก่อนเคาท์ดาวน์พะเยา

พะเยาทุ่ม “งานใหญ่ส่งท้ายปี” ดันเศรษฐกิจท่องเที่ยวพุ่ง ชี้โอกาส “อ.พาน จ.เชียงราย” ปั้นบทบาทเมืองพัก เมืองแนะนำ เสริมเส้นทาง CR–PY ให้ไม่ใช่แค่ “เมืองผ่าน”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – บรรยากาศปลายปีในลุ่มน้ำกว๊านกำลังจะคึกคักที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อจังหวัดพะเยาเตรียมเปิดม่านงานระดับเรือธงรับปีใหม่ “AMAZING THAILAND PHAYAO COUNTDOWN Flora Fest 2026” ณ ลานกิจกรรมพ่อขุนงำเมือง ริมกว๊านพะเยา ระหว่าง 28–31 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องจากอีเวนต์กีฬามวยไทยกระแสแรง THAI FIGHT พะเยา วันที่ 21 ธันวาคม 2568 ขณะที่จังหวัดเชียงราย ศูนย์กลางคมนาคมและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบน ถูกจับตาในฐานะ ประตูรับ” นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติสู่พื้นที่ กนบ.2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) โดยเฉพาะ อำเภอพาน ที่อยู่กึ่งกลางเส้นทาง เชื่อม “เมืองหลัก–เมืองรอง” และมีศักยภาพยกระดับจาก “เมืองผ่าน” สู่ “เมืองพัก เมืองแนะนำ” เพื่อยืดเวลาการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวก่อนเข้าร่วมกิจกรรมยามค่ำที่กว๊านพะเยา

ภาพรวมอีเวนต์ “ดอกไม้ วัฒนธรรม ดนตรี ดอกไม้ไฟ” ยกทั้งเมืองสู่เวทีประเทศ

งาน Phayao Countdown Flora Fest 2026 วางคอนเซ็ปต์ “แสงรักแห่งพะเยา เกิดพระเกียรติแม่แห่งแผ่นดิน” ยึดพื้นที่ริมกว๊านพะเยาเป็นฉากหลัง ท่ามกลางสวนดอกไม้และไฟประดับ พร้อมเวทีคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดังต่อเนื่องหลายคืนตามกำหนดการประชาสัมพันธ์ของจังหวัด และปิดท้ายด้วย พลุเคาท์ดาวน์ เหนือน้ำกว๊านซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของเมือง นัยสำคัญไม่ใช่เพียงจำนวนผู้เข้าร่วม แต่คือการ “รีโพสิชัน” พะเยาจากเมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติสู่ เมืองกิจกรรม เมืองเทศกาล” (Festival City) ที่สร้าง เหตุผลใหม่ในการเดินทาง และ เหตุผลให้พักค้าง เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว (ASV)

ก่อนถึงเคาท์ดาวน์หนึ่งสัปดาห์ พะเยายังจัด THAI FIGHT อีเวนต์กีฬาที่ดึงฐานแฟนมวยไทย-มวยสากลและสายคอนเทนต์ ซึ่งมักก่อให้เกิดการเดินทางแบบ “มาก่อน อยู่นานขึ้น” และ “กลับมาอีก” หากเมืองรองสามารถออกแบบ เส้นทางท่องเที่ยวกลางวัน และ ประสบการณ์ก่อนงาน ได้พอดี

เส้นทางการเดินทาง “ลงเชียงราย ใกล้สุด ลงเชียงใหม่ เที่ยวบินเยอะสุด”

ข้อมูลระยะทางสู่ตัวเมืองพะเยา (วัดตามเส้นทางถนน) สะท้อนบทบาทของ “เชียงราย” เป็นประตูหลักของภูมิภาค

  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) 90–92 กม., เวลาเดินทาง 1 ชม. 20–30 นาที
  • สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ (CNX)   155–160 กม., เวลา 2 ชม. 30–45 นาที
  • สนามบินลำปาง (LPT)   138–141 กม., เวลา 2 ชม.–2 ชม. 15 นาที

ส่วนระยะระหว่าง อำเภอพาน (เชียงราย) ถึง กว๊านพะเยา อยู่ที่เพียง 47–50 กม. ใช้เวลา 45–55 นาที เท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าอีเวนต์หลักของพะเยาจัด ช่วงเย็น–ค่ำ, การวางแผนทริปที่ ลงเครื่องเชียงรายช่วงเช้า–เที่ยง แล้ว พัก–เที่ยวกลางวันในอ.พาน ก่อนมุ่งหน้ากว๊านฯ ช่วงเย็น จึงเป็นรูปแบบที่เป็นไปได้สูงสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ

กลยุทธ์หลักในการเพิ่ม ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว (ASV – Average Spending Value)

ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการอย่างแท้จริง นี่คือ เหตุผลหลัก และ กลยุทธ์ ที่ใช้ในการจูงใจให้ลูกค้าพักค้างคืนนานขึ้น เพื่อเพิ่ม ASV

 

เหตุผลหลัก การพักค้างคืนเพิ่ม ASV ได้อย่างไร

  1. การเพิ่มฐานค่าใช้จ่ายหลัก (ที่พัก):
    • ยิ่งพักนาน รายได้จากค่าห้องพัก/ที่พัก ต่อลูกค้าหนึ่งคนยิ่งสูงขึ้นโดยตรง (ASV = (ค่าห้องพัก + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) / จำนวนลูกค้า)
  2. โอกาสในการขายบริการเสริม (Cross-selling/Upselling) เพิ่มขึ้น
    • ทุก ๆ คืนที่ลูกค้าพัก คือการเพิ่มโอกาสในการใช้บริการอื่น ๆ เช่น สปา, ร้านอาหาร Fine Dining, บาร์, ทัวร์ในท้องถิ่น, บริการซักรีด, หรือซื้อสินค้าที่ระลึก
  3. การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) สูงขึ้น
    • ลูกค้าที่พักค้างคืนมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารที่โรงแรม/รีสอร์ทมากกว่า 1 มื้อ (อาหารเช้า, กลางวัน, เย็น) และดื่มเครื่องดื่มที่บาร์ในช่วงเย็น ซึ่งมีกำไรสูง
  4. ความจำเป็นในการเข้าร่วมกิจกรรม
    • การพักหลายคืนเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรมหรือเวิร์คช็อปที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (เช่น คลาสทำอาหาร, ดำน้ำ, เดินป่าพร้อมไกด์)
  5. การเปลี่ยนจาก ‘นักท่องเที่ยว’ เป็น ‘ผู้พักอาศัยชั่วคราว’
    • การพักนานทำให้ลูกค้าผ่อนคลายและกล้าที่จะสำรวจและใช้จ่ายในท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งร้านค้า ร้านกาแฟ และแหล่งท่องเที่ยวโดยรอบ

กลยุทธ์เพื่อจูงใจให้ลูกค้า “พักค้างนานขึ้น”

  1. การนำเสนอแพ็คเกจและส่วนลดสำหรับเข้าพักระยะยาว
  • ส่วนลดตามจำนวนคืน (Tiered Discount):
    • เสนอส่วนลดที่จูงใจเป็นพิเศษสำหรับการจอง ตั้งแต่ 3 คืนขึ้นไป หรือ พัก 3 คืน จ่าย 2 คืน” ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low Season)
  • แพ็คเกจประสบการณ์ (Experience Packages):
    • สร้างแพ็คเกจที่รวมห้องพักกับบริการเสริมที่มีมูลค่าสูง (เช่น ห้องพัก + สปานวด 90 นาที + ดินเนอร์มื้อพิเศษ 1 มื้อ) เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ ความคุ้มค่า” หากพักนาน
  1. การสร้างประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียว
  • กำหนดการเดินทางที่น่าสนใจ (Itinerary):
    • นำเสนอแผนการท่องเที่ยว/กิจกรรมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องค้างคืนจึงจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ครบถ้วน
  • กิจกรรมเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้พักค้างคืน (Exclusive Activities):
    • กิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นในช่วงกลางวันหรือกลางคืนสำหรับแขกที่พักกับเราเท่านั้น (เช่น ทัวร์ชมดาว, คลาสโยคะยามเช้า, การชิมไวน์)
  1. การเพิ่มมูลค่าให้กับห้องพัก (Upselling)
  • การอัปเกรดห้องพักที่น่าดึงดูดใจ:
    • เสนอการอัปเกรดเป็นห้องพักที่หรูหรากว่า (วิวดีกว่า, มีอ่างจากุซซี่, มีพื้นที่นั่งเล่น) ในราคาที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อลูกค้าตัดสินใจพักนานขึ้น
  • สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พักระยะยาว:
    • จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การพักนาน เช่น พื้นที่ทำงาน Co-working Space, เครื่องซักผ้า/อบผ้า, หรือมุมครัวขนาดเล็กในห้องพักประเภท Suite

การจูงใจให้ลูกค้าพักค้างคืนนานขึ้นคือการเปลี่ยนจาก การขายสินค้า (ห้องพัก) ไปสู่ การขายประสบการณ์ (Experience Selling) ซึ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากทุกส่วนของธุรกิจ และส่งผลให้ ASV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

มองผ่าน “เลนส์ตัวเลข” พะเยาโตเร็ว เชียงรายฐานแน่น และพานคือ “ตัวคูณการใช้จ่ายระหว่างเส้นทาง”

การเปรียบเทียบผลการท่องเที่ยวปี 2566 ระหว่าง เชียงราย และ พะเยา ชี้ภาพ “ฐาน ศักยภาพ กลยุทธ์” ที่แตกต่างชัดเจน

  • เชียงราย มีนักท่องเที่ยวรวม 6,147,860 คน รายได้ 46,774 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน (ASV) ราว 7,608 บาท และโตจากก่อนโควิด +64.86%
  • พะเยา มีผู้เยือน 1,009,648 คน รายได้ 2,290 ล้านบาท ASV เฉลี่ย 2,268 บาท สัดส่วนผู้เยือนเป็นคนไทย  95.7% โต +53.59% เทียบก่อนโควิด

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า เชียงราย เป็น “สมอรายได้” ของภูมิภาคจากฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพและผลิตภัณฑ์พรีเมียม ขณะที่ พะเยา แม้ตัวเลขปริมาณยังด้อยกว่า แต่ อัตราเติบโต สูงจากนโยบายผลักดัน “เมืองรอง” และการลงทุนด้านซอฟต์พาวเวอร์ กิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

หากซูมระดับ อำเภอพาน (แม้ไร้สถิติทางการรายอำเภอ) การประมาณการเชิงอนุรักษนิยม สมมติ 12% ของนักท่องเที่ยวในประเทศที่มาเชียงรายแวะพาน เท่ากับ  650,000 คน ในปี 2566 และด้วย ASV ถ่วงน้ำหนัก 3,000 บาท/คน (สะท้อนพฤติกรรม “กิน ช้อป แวะถ่ายรูป ซื้อของท้องถิ่น”) จะเทียบเท่ารายได้  1,950 ล้านบาท ซึ่ง ใกล้ 85% ของรายได้รวมทั้งจังหวัดพะเยา ในปีเดียวกัน ชี้ว่าพานคือ จุดแวะที่ทำเงินได้จริง หากมีการจัดวางผลิตภัณฑ์ สื่อสารเส้นทางอย่างเป็นระบบ

โครงสร้างพื้นฐาน ถนน 1020 “ตัวเปลี่ยนเกม” และบทของเส้นทาง CR–PY

โครงการก่อสร้าง ถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 1020 บ้านกิ่วแก้ว ระยะ 43.709 กม. งบประมาณ 1,199 ล้านบาท (คาดเสร็จปี 2567) ถูกวางให้เป็น คอขวดที่ถูกปลดล็อก เชื่อมการเดินทาง เชียงราย พะเยา จุน เทิง ให้ไหลลื่น สอดรับยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ ไทย–พม่า–ลาว–จีน ระดับอนุภูมิภาค GMS ผลลัพธ์เชิงท่องเที่ยวคือ เวลาบนถนนลดลง และ โอกาสแวะ พัก จับจ่ายเพิ่มขึ้น โดย อ.พาน จะรับอานิสงส์จาก การเก็งกำไรโครงสร้างพื้นฐาน” (Infrastructure Arbitrage) อย่างชัดเจน

พะเยา เร่ง “มูลค่า” มากกว่า “ปริมาณ” เป้าโตด้วยซอฟต์พาวเวอร์และงบ 300 ล้านบาท

หลังโควิด ภาคเหนือทะลุผู้มาเยือนระดับ 45 ล้านคน (เป้า 2567) และตั้งเป้ารายได้ภูมิภาค 2.09 แสนล้านบาท แนวโน้มประเทศขับเคลื่อนสู่ “Quality Tourism” ดึงต่างชาติคุณภาพ 39–40 ล้านคนในปี 2568 การเป็น เมืองเทศกาล” ของพะเยา จึงทำหน้าที่ เพิ่มระยะพัก เพิ่มราคาที่นักท่องเที่ยวยอมจ่าย (ยก ASV) ควบคู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Wellness Gastronomy Creative ตามกรอบงบ คณะรัฐมนตรีสัญจร กลุ่ม กนบ.2 รวม 300 ล้านบาท (มีโครงการด้านอาหาร 20 ล้านบาท, ชา–กาแฟ 15 ล้านบาท, โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวสร้างสรรค์ 26.12 ล้านบาท, ยกระดับสุขภาพ 15 ล้านบาท ฯลฯ) และ แผน 5 ปี ฉบับทบทวน 2568 จัดสรร 72.6 ล้านบาท เฉพาะกิจกรรมท่องเที่ยว รวมระบบ Application ท่องเที่ยว 6.5 ล้านบาท เพื่อยิงตลาดดิจิทัลให้ตรงกลุ่มคุณภาพ

ความท้าทาย คือ วินัยการส่งมอบ มีรายงานบางโครงการคืบเพียง  45% ถึง 30 ก.ย. 2568 หากล่าช้า ผลคูณรายได้ ASV จะ เบี่ยงเบนจากประมาณการ ทันที

ทำไม “อ.พาน” จึงสำคัญกับความสำเร็จของพะเยาในช่วงเคาท์ดาวน์

  1. ระยะ เวลา พฤติกรรม นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจะลงเครื่อง เชียงราย (CEI) เพราะใกล้และเที่ยวบินเพียงพอ ก่อนขยับไปกว๊านพะเยาช่วงเย็น ช่องว่างครึ่งวันถึงบ่าย คือ ชั่วโมงทองของพาน ในการแปรสภาพ “เวลารอ” เป็น “เวลาจับจ่าย”
  2. สินทรัพย์ทางธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติดอยหลวง น้ำตกปูแกง และพื้นที่สีเขียวของพาน ตอบเทรนด์ Green Season/Slow Travel และตลาด Wellness Annex ของเชียงรายได้ดี กิจกรรมเบา ๆ กลางวัน เช่น เดินเส้นทางสั้นชมธรรมชาติ ถ่ายภาพวิวเขา สวน ทุ่ง ก่อนไปงานเย็น ไม่เหนื่อย ไม่เปื้อน และสร้างคอนเทนต์
  3. วัฒนธรรม ชุมชน วัดห้วยทรายขาว และงานหัตถกรรม OTOP (ผ้าปัก/สิ่งทอ) ช่วยเล่าเรื่อง “เมืองระหว่างทางที่มีตัวตน” เพิ่มความหมายให้ทริป และเอื้อต่อการใช้จ่ายเล็ก กลางที่กระจายถึงร้านชุมชน

ข้อเสนอ “แพ็กเกจครึ่งวันพาน” เพื่อยืดเวลา ยืดกระเป๋า ก่อนเคาท์ดาวน์พะเยา

ธีม 1 Nature Ease & Snap

  • สายถ่ายรูป เดินสบาย จุดชมวิวทุ่ง สวนริมนา, จุดพักคาเฟ่ชุมชนริมทาง (เน้นกาแฟ ชาน้ำผึ้งท้องถิ่น), เซ็ตเมนู “ขันโตกจิ๋ว” สำหรับ 2–3 คน กลางวัน
  • ใช้เวลารวม 2–3 ชั่วโมง ได้รูป ได้รสชาติ ได้ซื้อของฝาก OTOP ขนาดพกสะดวก

ธีม 2 Culture Bite & Craft

  • แวะวัดห้วยทรายขาว เรียนรู้ลวดลายผ้าปัก 30–45 นาที
  • เวิร์กช็อปลองปัก/ทอแบบ “Mini Try” 1 ชั่วโมง ได้ชิ้นงานเล็กกลับบ้าน
  • ปิดด้วยมื้อเที่ยงอาหารเหนือ (ลาบคั่ว จอผักกาด แกงฮังเล) ขนาด “แชร์ริ่ง” สำหรับกลุ่มเพื่อน

ธีม 3 Wellness Annex (เบา ๆ)

  • เดินป่าเส้นทางง่ายในพื้นที่ดอยหลวงช่วงสาย เที่ยง (ไม่เกิน 90 นาที)
  • ชุดเครื่องดื่มสมุนไพรเย็น สปาเท้า 20 นาทีจากชุมชน (บิลเล็ก เพิ่มความรู้สึกพรีเมียม)
  • เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจ “เคาท์ดาวน์แบบสุขภาพดี”

โจทย์หลักของทั้ง 3 แพ็กเกจ ไม่เหนื่อย ไม่เลอะ ไม่ไกล ใช้เวลารวม 3–4 ชั่วโมง แล้วมุ่งหน้า กว๊านพะเยา ช่วงบ่ายแก่ ๆ เพื่อจับจองพื้นที่คอนเสิร์ตและชมพลุ

เชื่อมงาน เชื่อมเมือง แนะนำ “ศูนย์บริการข้อมูล CR–PY Gateway Phan Stop”

เพื่อให้พานยกระดับจาก “เมืองผ่าน” เป็น “เมืองพัก เมืองแนะนำ” ได้จริง ควรมี ศูนย์บริการข้อมูลริมทาง รูปแบบ Pop-up/Seasonal ติดถนนสายหลัก (แนวทางหลวง 1 หรือจุดทางเชื่อม 1020) ทำหน้าที่

  • แสดง “แผนที่ทริปครึ่งวัน” พร้อม QR Code ไปยัง แอปท่องเที่ยว กนบ.2
  • เสิร์ฟ Welcome Drink ท้องถิ่น (ชา–กาแฟ–น้ำผึ้งมะนาว) บริการห้องน้ำมาตรฐาน
  • ขาย ชุดของฝากราคา 199–299 บาท (ขนม ผ้า ชา) แบบ Grab & Go
  • จอง ยืนยัน แพ็กเกจชุมชน เวิร์กช็อปสั้น เดินป่าทางง่าย เซ็ตอาหารเหนือ

ศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ ยึดนักท่องเที่ยวให้อยู่พาน 1–3 ชั่วโมง ทั้งยังเก็บ ดาต้าท่องเที่ยว เพื่อวิเคราะห์เส้นทาง พฤติกรรมจริง รองรับแคมเปญซ้ำในเทศกาลใหญ่ปีถัดไป

กลยุทธ์สื่อสาร (Communication Playbook) ช่วง 1 เดือนก่อนงาน

1.ข้อความหลัก (Key Messages)

  • “ลงเชียงราย ใกล้พะเยาที่สุด แวะพานครึ่งวัน ได้รูป ได้รส ได้ของฝาก ก่อนเคาท์ดาวน์”
  • “พะเยา เมืองเทศกาล เมืองดอกไม้ / พาน เมืองพัก เมืองแนะนำ (CR–PY Gateway)”

2.ช่องทางและรูปแบบ

  • Short-form Video 30–45 วินาที โชว์ทริปจริง “ลง CEI แวะพาน เข้ากว๊านช่วงเย็น”
  • Influencer/Travel Creator สายครอบครัว สุขภาพ ถ่ายรูปธรรมชาติ
  • แผนที่อินเตอร์แอคทีฟ บนแอป/เว็บ กนบ.2 (ใช้งบ 6.5 ล้านบาทที่จัดสรรเพื่อระบบดิจิทัล)

3.ข้อเสนอเชิงการค้า (Trade Offers)

  • คูปอง ค่าน้ำมัน/เครื่องดื่ม เมื่อเช็กอินจุด “Phan Stop”
  • ส่วนลด 10–15% แพ็กเกจเวิร์กช็อป/อาหารชุมชน เมื่อแสดงตั๋วคอนเสิร์ตเคาท์ดาวน์

บริบทความเสี่ยงและการบรรเทา

  • ฝุ่นควัน (PM2.5) ไตรมาส 1–2 ใช้กลยุทธ์ Green Season และ Wellness นำเสนอกิจกรรมกลางแจ้งเบา ๆ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ น้ำพุร้อน (ในแผนยกระดับ) กระจายฤดูกาลเดินทาง
  • ความระมัดระวังการใช้จ่ายของคนไทย ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศของพะเยา (ปัจจุบัน  95.7%) ผ่านแคมเปญยิงตลาดต่างชาติที่ลง CEI/CNX โดยจับคู่ เที่ยวบิน แพ็กเกจ และสร้างเส้นทาง CR–Phan–PY ภาษาอังกฤษ–จีน
  • ความไม่แน่นอนการเบิกจ่ายงบ ติดตามความคืบหน้าโครงการ 300 ล้านบาทอย่างใกล้ชิด จัดลำดับความสำคัญโครงการที่ “ยก ASV ได้ทันที” เช่น ปรับปรุงจุดบริการนักท่องเที่ยว, สุขลักษณะ, ไฟ ป้าย ที่จอด ห้องน้ำ, ทดลองเปิด Pop-up Market ริมกว๊านและในพาน

มุมเศรษฐศาสตร์ท่องเที่ยว ทำไม “ASV” คือคำตอบ

ช่องว่าง ASV เชียงราย  พะเยา = 3.4 : 1 หมายความว่า รายได้ 10 ล้านบาท ของเชียงราย ใช้นักท่องเที่ยวน้อยกว่าพะเยา  4.4 เท่า การจะทำให้พะเยา “ทัน” จึงต้องเลิกวิ่งแข่งที่ ปริมาณ แต่ยกระดับ มูลค่า/คน” ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ (เทศกาล อาหาร สุขภาพ สร้างสรรค์) และ เมืองพักระหว่างทาง อย่างพาน ทำหน้าที่ “Hedonic Add-on” เติมคุณค่าให้ทริป

ในเชิงปฏิบัติ หากนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 7,608 บาท/คน ในเชียงราย แวะพานแล้วเพิ่มการใช้จ่ายเพียง 10% ( 760 บาท) ต่อหัว จะเกิด รายได้ประจำ (repeatable revenue) กับผู้ประกอบการชุมชนทันที โดยไม่ต้องเร่ง “จำนวน” จนเกินขีดความสามารถของเมือง

สิ่งที่ อำเภอพาน ควร “ทำทันที” ก่อนถึงสัปดาห์เคาท์ดาวน์

  • คัดเลือก 6–8 จุดแวะ (ธรรมชาติ วัฒนธรรม กิน ช้อป) และกำหนดเวลาอยู่ต่อจุด 20–40 นาที
  • ตั้งจุด “Phan Stop” พร้อม QR เดียวเข้าสู่ “เส้นทางครึ่งวัน คูปอง จองเวิร์กช็อป”
  • ทำสื่อ 3 ภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) สั้น กระชับ พร้อมภาพถ่าย ถ่ายซ้ำได้จริง
  • ซ้อมเส้นทางรถ ที่จอด ห้องน้ำ เพิ่มปริมาณชั่วคราวช่วง 21 ธ.ค. (THAI FIGHT) และ 28–31 ธ.ค. (Flora Fest) เพื่อทดสอบโหลด
  • เชื่อม Call Center/Chat ของจังหวัด อุทยาน ชุมชน เพื่อรับจอง ตอบคำถามแบบเรียลไทม์

ปลายปีนี้ พะเยา กำลัง “เร่งเครื่อง” จากเมืองธรรมชาติสู่ เมืองเทศกาล ด้วย THAI FIGHT และ Flora Fest–Countdown 2026 ขณะที่ เชียงราย ยังคงบทบาทประตูหลักของภาคเหนือ ด้วยเที่ยวบินและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม การเชื่อมสองเมืองด้วยถนน 1020 และการจัดเส้นทาง CR–Phan–PY คือกลยุทธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ พะเยา ยก ASV, เชียงราย ยืดเวลาพัก, และ อ.พาน เก็บรายได้ระหว่างทาง อย่างมีเกียรติและยั่งยืน

หากทุกชิ้นส่วน “ส่งมอบทันเวลา” และ “เล่าเรื่องร่วมกัน” ปลายปี 2568 อาจไม่ใช่แค่ภาพพลุเหนือน้ำกว๊านที่สวยที่สุด แต่คือ จุดเริ่มต้นของระเบียงท่องเที่ยวคุณภาพ CR–PY ที่ทำให้คำว่า #เมืองพานไม่ใช่เมืองผ่าน เกิดขึ้นจริง

ข้อมูลชวนคิด (Highlights)

  • ระยะ เวลาเดินทาง CEI–พะเยา  90–92 กม./1 ชม.20–30 นาที, พาน–กว๊าน  47–50 กม./45–55 นาที
  • ฐาน 2566 เชียงราย 6.15 ล้านคน/46,774 ลบ., ASV  7,608 บ.; พะเยา 1.01 ล้านคน/2,290 ลบ., ASV  2,268 บ.
  • โครงการขับเคลื่อน งบ ครม.สัญจร กนบ.2 รวม 300 ลบ.; แผน 5 ปี (ทบทวน 2568) จัดงบท่องเที่ยว 72.6 ลบ. และระบบแอป 6.5 ลบ.
  • โครงสร้างพื้นฐาน ถนน 1020 ระยะ 43.709 กม., งบ 1,199 ลบ., เป้าหมายเสร็จ 2567

พฤติกรรมเป้าหมาย “ลงเชียงราย แวะพานครึ่งวัน เข้ากว๊านเย็น” เพิ่มการใช้จ่ายเล็ก กลาง แต่อย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • มติคณะรัฐมนตรีสัญจร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (กนบ.2) อนุมัติโครงการพัฒนารวมวงเงิน 300 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 1020 บ้านกิ่วแก้ว ระยะ 43.709 กม. งบ 1,199 ล้านบาท กำหนดเสร็จปี 2567
  • สถิติการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย ปี 2566 นักท่องเที่ยวรวม 6,147,860 คน รายได้ 46,774 ล้านบาท เติบโต +64.86% เทียบก่อนโควิด   แหล่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)/ข้อมูลจังหวัดเชียงราย
  • สถิติการท่องเที่ยว จังหวัดพะเยา ปี 2566 นักท่องเที่ยว 1,009,648 คน รายได้ 2,290 ล้านบาท สัดส่วนคนไทย   95.7%   แหล่ง ททท./ข้อมูลจังหวัดพะเยา
  • สินค้าท่องเที่ยวพรีเมียมเชียงราย (สนามกอล์ฟ/ที่พัก 4–5 ดาว/เส้นทางวัฒนธรรม) และบทบาท “ประตู GMS”   แหล่ง แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวจังหวัด/ททท. ภาคเหนือ
  • แผน 5 ปี (ทบทวนปี 2568) กลุ่มกนบ.2 งบด้านท่องเที่ยว 72.6 ล้านบาท และพัฒนาระบบแอป 6.5 ล้านบาท รวมถึงแผนยกระดับแหล่งน้ำพุร้อน สุขภาพ
  • ยุทธศาสตร์ภาคเหนือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ/ระเบียงการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และเป้าหมาย Quality Tourism 2568 – แหล่ง ททท./หน่วยงานเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
  • เป้าหมายผู้มาเยือนภาคเหนือ 45 ล้านคน (2567) รายได้ 2.09 แสนล้านบาท และแนวทาง Green Season – แหล่ง ททท.
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39–40 ล้านคน ปี 2568 (ระดับประเทศ) – แหล่ง นโยบายการท่องเที่ยวระดับชาติ/ททท.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายชี้เป้า UNSEEN THAI THAI สู้ศึก Tourism War วธ.ดัน บ้านห้วยน้ำกืน สู่แบรนด์ ประสบการณ์ไทยคุณภาพ

เชียงรายชี้เป้า “UNSEEN THAI THAI” รับศึก Tourism War: วธ.เชียงรายลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืนยกระดับทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น สู่แบรนด์ประสบการณ์ไทยคุณภาพ

เชียงราย,19 พฤศจิกายน 2568 –  ท่ามกลางแรงกดดันของ “สงครามท่องเที่ยวเอเชีย” ซึ่งคู่แข่งเร่งสร้างแลนด์มาร์ก ผ่อนคลายวีซ่า หนุนการบินอย่างเป็นระบบ เชียงรายเลือก “อัตลักษณ์ชุมชน” เป็นหัวหอก วธ.เชียงรายลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืนเจาะลึกทุนทางวัฒนธรรม ภายใต้นโยบาย “ไท ไทย” ของกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อแปรความเป็นไทยดั้งเดิมให้ร่วมสมัยและสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ สังคม จิตใจ พร้อมตั้งโจทย์การตลาดท่องเที่ยวไทยยุคใหม่ที่ต้อง “แตกต่าง มีคุณค่า วัดผลได้” ขณะเดียวกัน ภาพรวมระดับประเทศยังต้องเร่งอุดจุดอ่อนด้านภาพลักษณ์ ความปลอดภัย มาตรฐานประสบการณ์ และโครงสร้างข้อมูล ให้ทันเกมรุกของภูมิภาคตามดัชนี TTDI 2024 กับความเป็น “ฮับการบิน” ที่กำลังก้าวหน้าแต่ยังต้องต่อยอดอย่างเป็นระบบ (เช่น SAT-1 และรันเวย์ที่ 3 ของสุวรรณภูมิ) เพื่อดึงตลาดคุณภาพกลับมาอย่างยั่งยืน

ฉากตั้งต้น เมื่อ “เรื่องเล่า” ต้องชนะ “ส่วนลด”

ในตลาดท่องเที่ยวเอเชียปี 2567–2568 หลายประเทศเดินเกมเข้มข้น ทั้งสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ขนาดใหญ่ (เช่น Zootopia ที่ Shanghai Disney) และยกระดับแหล่งเดิมให้เป็น “ประสบการณ์” มากกว่าการเที่ยวเชิงเช็คอิน (สิงคโปร์พัฒนา Rainforest Wild Asia และโครงการรีแบรนด์ปลายทางอย่างต่อเนื่อง) ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้า “นโยบายด้านการเดินทาง” ที่กระตุ้นดีมานด์ เช่น ยกเว้นวีซ่า ขยายเวลาพำนัก e-Visa วีซ่ากลุ่มพิเศษ ตลอดจนการเพิ่มความถี่และความเชื่อมต่อของเครือข่ายการบิน ซึ่งทำให้การตัดสินใจเดินทางของผู้คน “เร็ว ง่าย คุ้ม” กว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

ไทยเองมีชุดมาตรการปรับตัว ทั้งการขยายยกเว้นวีซ่า 60 วันให้กับหลายประเทศ และเปิด “Destination Thailand Visa (DTV)” เพื่อดึงดูดดิจิทัลโนแมด/ครีเอทีฟ รวมถึงการแพทย์เชิงคุณภาพและพำนักระยะยาว (LTR/Thailand Privilege) เพื่อขยายฐานนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง แต่ในโลกที่ทุกประเทศต่าง “จัดเต็ม” เชิงยุทธศาสตร์ การชนะด้วย “ราคา ส่วนลด” เพียงอย่างเดียวเริ่มเพดานต่ำลง—เมืองปลายทางต้อง “ขายคุณค่า” ผ่านเรื่องเล่า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และประสบการณ์ที่ลึกซึ้งจับต้องได้.

เหตุการณ์หลักในพื้นที่  วธ.เชียงราย “ลงมือ ลงพื้นที่” บ้านห้วยน้ำกืน

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) นำโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ลงพื้นที่ บ้านห้วยน้ำกืน ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า เพื่อตรวจสำรวจ “ทุนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น” ภายใต้แนวคิด “UNSEEN THAI THAI   อันซีน ไท ไทย เสน่ห์วัฒนธรรม จังหวัดเชียงราย” โดยเน้นความร่วมมือกับผู้นำชุมชน ภาคประชาชน เพื่อคัดเลือก “เรื่องเล่าที่มีชีวิต” (Living Heritage) ที่สามารถสืบสาน อนุรักษ์ และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ กิจกรรม ประสบการณ์เชิงท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืนในมิติ เศรษฐกิจ–สังคม–จิตใจ สอดคล้องนโยบาย “ไท ไทย” ที่มุ่ง “ยกระดับไทยดั้งเดิมให้ร่วมสมัย” ของกระทรวงวัฒนธรรม. (ข้อมูลจากประกาศ/รายงานของหน่วยงานท้องถิ่น)

การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีเป้าหมายเชิงปฏิบัติการ 3 ส่วน คือ

  1. การทำแผนที่ทุนวัฒนธรรม (Cultural Mapping)  ชี้จุดอัตลักษณ์ วิถี คติความเชื่อ ภูมิปัญญา ศิลปะพื้นถิ่น ที่ “เล่าได้ ขายได้ ยืนระยะได้”
  2. การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design)  แปลง “องค์ความรู้ท้องถิ่น” เป็นกิจกรรมเวิร์กช็อป/พิธีกรรม/งานหัตถกรรม/อาหารพื้นถิ่น ที่เชื่อมโยงกับเส้นทางท่องเที่ยวรอบพื้นที่
  3. การสร้างความพร้อมชุมชน (Capacity Building)  ยกระดับมาตรฐานบริการ ความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก พิธีการต้อนรับหลายภาษา และการสื่อสารดิจิทัล เพื่อรองรับตลาดคุณภาพ/พักยาว

 หากประเทศคู่แข่ง “เร่งสร้างที่เที่ยวใหม่” ไทยต้อง “เล่าและจัดการของเดิมให้เป็นใหม่” จนเกิดคุณค่าที่เหนือราคา—และเชียงรายกำลังพิสูจน์สมมติฐานนี้ผ่าน UNSEEN THAI THAI บนฐานชุมชนจริง

ไทม์ไลน์  จากนโยบาย “ไท ไทย” สู่ปฏิบัติการในหมู่บ้าน

  • ก่อนหน้า 2568  กระทรวงวัฒนธรรมวางวิสัยทัศน์ “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน” และชูแนวคิด “ไท ไทย” เพื่อยกระดับความเป็นไทยดั้งเดิม (Traditional Thai) ให้สอดรับกับความร่วมสมัย (Contemporary Thai) ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์/ซอฟต์พาวเวอร์
  • 2567–2568 (ระดับภูมิภาค)  ประเทศคู่แข่งในเอเชียเปิดแลนด์มาร์ก/ธีมแลนด์ ยกเครื่องวีซ่า หนุนเครือข่ายการบิน เร่งทำคอนเทนต์/อินฟลูเอนเซอร์อย่างเป็นระบบ ทำให้การแข่งขันดุเดือด (เช่น จีนเปิด Zootopia แห่งแรกของโลกที่เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์รีสอร์ต; สิงคโปร์เดินหน้ากลุ่มโครงการ Mandai และแหล่งเรียนรู้ทางทะเลขนาดใหญ่)
  • 18 พ.ย. 2568 (ระดับพื้นที่)  วธ.เชียงรายลงพื้นที่ บ้านห้วยน้ำกืน ทำ Cultural Mapping จุดประกายเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน วางแผนกิจกรรมร่วมกับผู้นำหมู่บ้าน เพื่อคัดเลือก “แพ็กเกจประสบการณ์” ที่เปิดขายได้จริง (เช่น เวิร์กช็อปหัตถกรรม, พิธีกรรมท้องถิ่นที่เคารบวิถี, อาหารพื้นถิ่นเล่าเรื่อง)
  • หลังการลงพื้นที่ (ก้าวถัดไป)  บูรณาการกับ อปท./ททท./เอกชนทัวร์/OTA เพื่อจัดทำ “สินค้า เส้นทาง ปฏิทินกิจกรรม” แบบ ทดลองขาย (pilot) พร้อมสร้างตัวชี้วัด (KPI) ด้านรายได้ชุมชน การจ้างงาน การยืดระยะพำนัก คะแนนประสบการณ์ (CSAT/NPS) และอัตราการกลับมาเยือนซ้ำ

ภาพใหญ่ประเทศ  ทำไมไทย “ต้องเร่ง” วางยุทธศาสตร์ยาว

  1. ความสามารถในการแข่งขันเชิงระบบ
    ดัชนี Travel & Tourism Development Index 2024 โดย World Economic Forum จัดอันดับภาพรวม “ความพร้อมและสภาพแวดล้อม” ด้านท่องเที่ยวของประเทศ—ไทยยังอยู่หลังคู่แข่งหลายด้าน โดยเฉพาะ ความยั่งยืน ความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานเชิงระบบ ซึ่งสะท้อนว่าต่อให้ทรัพยากรท่องเที่ยวโดดเด่น หากระบบบริหารจัดการยัง “ไม่เข้มแข็งพอ” ไทยจะเสียเปรียบในศึกยืดเยื้อ
  2. เครือข่ายการบินและศักยภาพฮับ
    รายงาน OAG Megahubs สะท้อนความเข้มแข็งของจุดเชื่อมต่อการบินระดับโลก โดย กัวลาลัมเปอร์ (KUL) และ อินชอน (ICN) ทำผลงานโดดเด่นขึ้นติดท็อป ขณะที่ สุวรรณภูมิ (BKK) ขยับอันดับดีขึ้นตามการเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง SAT-1 และ “รันเวย์ที่ 3” ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรับ กระจายผู้โดยสารระหว่างประเทศ แต่เพื่อให้กลายเป็น “แม่เหล็กจริง” ไทยต้องเชื่อมจิ๊กซอว์ การตลาด วีซ่า ตารางบิน การกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง อย่างมีแผนเดียวทั้งระบบ
  3. นโยบายวีซ่า ผลิตภัณฑ์วีซ่าพิเศษ
    ไทยประกาศผ่อนคลายกฎวีซ่าหลายระลอก และเปิด DTV เจาะกลุ่มดิจิทัลโนแมด/ครีเอทีฟ พร้อมวีซ่าระยะยาว/การแพทย์ เพื่อดึงกำลังซื้อคุณภาพ—ทิศทางนี้ “ถูกทาง” แต่ต้อง บูรณาการสื่อสาร จัดเส้นทาง ยกระดับประสบการณ์ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริง มิฉะนั้นจะ “เปิดประตูติดป้ายต้อนรับ” แต่คนยังไม่เข้า เพราะเรื่องเล่ายังไม่ชัด สินค้ายังไม่พร้อม.

เชื่อมโยงเชียงรายกับสงครามท่องเที่ยว  How to Win

เชียงราย มีจุดแข็งชัดเจนด้าน ความปลอดภัย ธรรมชาติ วัฒนธรรม ความเป็นเมืองพำนัก (long-stay) และกำลังสร้าง “คาแรกเตอร์เมือง” ที่ตอบโจทย์เส้นทางภาคเหนือและสามเหลี่ยมทองคำ การที่ วธ.เชียงรายนำ UNSEEN THAI THAI ลงชุมชนจริง—คือการกำหนด ประสบการณ์หลัก” ที่ขายได้ยาว และไม่ชนตรงกับจุดขายส่วนลดของคู่แข่ง โดยโฟกัส 4 ยุทธศาสตร์ต่อไปนี้

  1. Differentiation by Culture
    ลงทุนกับ “เรื่องเล่าอัตลักษณ์” เช่น พิธี อาหาร งานช่าง ดนตรี ผ้าทอ ความเชื่อ—เลือกเฉพาะที่ “เล่าได้ ถ่ายทอดได้ เป็นธรรมชาติของชุมชน” แล้วออกแบบเป็นประสบการณ์ Must Try/Must See ที่ไม่ซ้ำเมืองไหน (เช่น “เช้า สัมผัสวิถี/สาย ลงมือทำ/บ่าย แลกเปลี่ยนภูมิปัญญา/เย็น ร่วมพิธีท้องถิ่น/ค่ำ ดูฟ้าและเรื่องเล่า/นอนโฮมสเตย์มาตรฐาน”)
  2. Quality First, Then Quantity
    ตั้ง KPI เป็น รายได้ต่อหัว ระยะพำนัก สัดส่วนกิจกรรมคุณค่า” แทนการไล่ตัวเลขคนเข้าเมือง ยกระดับมาตรฐานไมโครบีดดิ้ง (ภาษา/ความปลอดภัย/สุขอนามัย/ข้อมูลโภชนาการ/การเข้าถึงสำหรับผู้พิการ) เพื่อให้ตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ยุโรป “รู้สึกคุ้มที่จะจ่ายเพิ่ม”
  3. Route Design & Distribution
    เชื่อมเชียงรายกับ แพ็กเกจข้ามจังหวัด และ เส้นทาง thematic (เช่น “ชา กาแฟ ผ้าพื้นเมือง”, “เวียง วัด วิถี”, “สุขภาพ สมาธิ สมุนไพร”) แล้วกระจายผ่าน OTA/เอเยนต์ สื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์เฉพาะกลุ่ม (คราฟต์/ถ่ายภาพ/กาแฟ/สายครอบครัว/ผู้สูงวัยกำลังซื้อสูง)
  4. Data-Driven & Continuous Improvement
    วัดผลแบบเรียลไทม์  รายได้ชุมชน, การจ้างงาน, CSAT/NPS, Net Benefit ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม, และปริมาณเนื้อหาที่ถูกบอกต่อ (UGC) เพื่อ “ปรับสูตร เพิ่มคุณค่า ลดรอยรั่ว” อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่าง “แพ็กเกจประสบการณ์” ที่ทำได้จริง (Draft)

  • Craft & Spirit  เวิร์กช็อปงานช่าง/ผ้าทอ/เครื่องเงิน + เรื่องเล่าคติความเชื่อ + พิธีขอบคุณป่า/น้ำ ตามมารยาทชุมชน
  • Food & Faith  ทำอาหารพื้นถิ่น “กับข้าวเล่าประวัติ” + ลองปลูก เก็บ ปรุง + เส้นทางวัด เวียง ชุมชน
  • Quiet Wellness  สมาธิยามเช้า เดินป่าเบา ๆ อาบไอหมอก สมุนไพรพื้นบ้าน สปาไทยร่วมสมัย
  • Photo & Story  จุดชมวิว แสงเช้า/เย็น คลาสเล่าเรื่องถ่ายภาพ งานเล็ก ๆ ในชุมชน

ทุกโปรแกรมต้องมี มาตรฐานความปลอดภัย การแยกขยะ การใช้น้ำ การจัดการฝุ่น/ควัน และ แนวปฏิบัติสำหรับแขก (do & don’t) ที่เข้าใจง่ายหลายภาษา พร้อม ป้ายอักษรเบรลล์/สัญลักษณ์สากล และ เส้นทางสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ เพื่อรองรับ Friendly Design ให้เป็นปลายทางที่ “ทุกคนเข้าถึงได้”.

บทเรียนจากคู่แข่ง  โครงสร้างและการสื่อสารสำคัญพอ ๆ กับแหล่งท่องเที่ยว

  • สิงคโปร์ เดินหน้าสร้าง “คาแรกเตอร์เมือง” ผ่านแบรนด์ท่องเที่ยวระดับประเทศและการลงทุนในแลนด์มาร์ก/พิพิธภัณฑ์/สวนเชิงเรียนรู้ พร้อมทำงานแบบ รัฐ เอกชนร่วม ยกระดับประสบการณ์ทุกจุดสัมผัส (จากสนามบินสู่ย่านสร้างสรรค์)
  • จีน ใช้ “ธีมแลนด์ เมืองหิมะ เมืองโบราณรีโนเวต” เป็นแม่เหล็กเพื่อยืดฤดูกาลและเพิ่มกิจกรรมเชิงประสบการณ์ พร้อมผ่อนคลายวีซ่าบางส่วน—เป็นสัญญาณว่าประเทศที่เคยพึ่งทรัพยากรธรรมชาติ ก็กำลัง “สร้างของใหม่” แข่งเช่นกัน
  • ไทย เองกำลังก้าวหน้าในฝั่งโครงสร้างสนามบิน (SAT-1/รันเวย์ที่ 3) ซึ่งช่วยเรื่องการเชื่อมต่อ แต่อีกฟากคือ “การจัดการปลายทาง” ตั้งแต่ ความปลอดภัย การสื่อสารหลายภาษา มาตรฐานบริการ การจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบข้อมูล ที่ยังต้องเร่ง “ทำให้แน่น” ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัด TTDI ที่ยังเป็นจุดอ่อน

มุมข้อมูล ตัวเลข “ชวนคิด” (สำหรับผู้กำหนดยุทธศาสตร์)

  • TTDI 2024 ชี้ไทยยังมีช่องว่างสำคัญด้าน Enabling Environment/ความยั่งยืน/โครงสร้างพื้นฐาน เมื่อเทียบคู่แข่ง—สะท้อนว่าการพึ่ง “ชื่อเสียงปลายทาง” อย่างเดียวไม่พอ ต้องยกระดับระบบและมาตรฐานพร้อมกัน
  • เครือข่ายการบิน  การขยับอันดับ Megahubs ของสุวรรณภูมิเป็นสัญญาณบวก—แต่ “การเชื่อมต่อเที่ยวบิน” ควรไปพร้อมกับ “สินค้าที่พร้อมขาย” ของเมืองรอง เช่น เชียงราย เพื่อแปลงผู้โดยสารต่อเครื่องเป็น “ผู้มาเยือนคุณภาพ”
  • วีซ่า/ผลิตภัณฑ์วีซ่า  มาตรการ 60 วัน และ DTV จะเกิดผลสูงสุดต่อเมื่อมี แพ็กเกจ ประสบการณ์ ระบบรับรองมาตรฐาน ให้กลุ่มดิจิทัลโนแมด/ระยะยาวตัดสินใจได้ทันที—ไม่ใช่เพียง “ขอมาแล้วค่อยหา”.

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการจัดการ (สำหรับจังหวัดและหน่วยงานร่วม)

  1. DMO เชียงรายแบบเบา-คล่อง (Light-DMO)
    จัดตั้งคณะทำงานข้ามหน่วย (วธ.–ททท.–อปท.–เอกชน–ชุมชน–สถาบันการศึกษา) ทำหน้าที่ ออกแบบเส้นทาง บ่มเพาะผู้ประกอบการชุมชน ทำการตลาดร่วม วัดผล รายงานสาธารณะ รายไตรมาส
  2. มาตรฐานประสบการณ์ & Friendly Design
    กำหนดมาตรฐานบริการ (ภาษา/ความปลอดภัย/สุขอนามัย/อาหารแพ้อาหาร/แคชเลส/การเข้าถึงสำหรับผู้พิการ) พร้อมอบรมชุมชนและผู้ประกอบการ และทำ “ตรารับรอง” จังหวัด
  3. Data Lake ท่องเที่ยวเชียงราย
    รวมข้อมูลการจอง/เส้นทางยอดนิยม/การใช้จ่าย/รีวิว/CSAT/NPS/ปัญหาระหว่างเดินทาง สู่แดชบอร์ดสาธารณะจังหวัด เพื่อให้ทุกภาคส่วน วางแผน ปรับทัพ บูรณาการงบ ได้บนข้อเท็จจริงเดียวกัน
  4. Prototype → Scale
    เริ่มจาก บ้านห้วยน้ำกืน เป็นพื้นที่ต้นแบบ “UNSEEN THAI THAI” แล้วขยายสู่หมู่บ้านรอบข้าง แบบ “วงแหวน” (Ring Strategy) เพื่อให้ ทรัพยากร รายได้ คน กิจกรรม กระจายตัว ไม่กระจุกจุดเดียว
  5. การสื่อสารเชิงแบรนด์ร่วม
    จัดทำ “Brand Book เชียงราย UNSEEN THAI THAI” ระบุโทนภาษา ภาพ จริยธรรมการท่องเที่ยว do & don’t แนวถ่ายภาพที่เคารพชุมชน และ Content Calendar ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์เชิงคุณภาพ (ไม่เน้นไวรัลที่ผิดบริบทวัฒนธรรม)

ชนะด้วย “คุณค่าที่วัดผลได้”

การที่ วธ.เชียงราย ลงพื้นที่บ้านห้วยน้ำกืน มิใช่เพียง “กิจกรรมเชิงพิธีการ” แต่เป็นการ พลิกโจทย์ ศึกท่องเที่ยวจากการแข่ง “จำนวน ส่วนลด” ไปสู่การแข่ง “คุณค่า ประสบการณ์ ความยั่งยืน” หากทำต่อเนื่องและวัดผลได้จริง เชียงรายจะกลายเป็น ต้นแบบเส้นทางวัฒนธรรมร่วมสมัย ที่ช่วยให้ไทย ยืดระยะพำนัก เพิ่มรายได้ต่อหัว สร้างงานท้องถิ่น รักษาทรัพยากร และ “เล่าเรื่องไทย” ให้คนทั้งโลกเข้าใจในแบบที่สัมผัสได้

และในภาพใหญ่ระดับประเทศ ไทยจำเป็นต้อง เดินสองขา ไปพร้อมกัน

  • ขาโครงสร้าง นโยบาย  วีซ่า เครือข่ายบิน มาตรฐาน ข้อมูล ความปลอดภัย DMO
  • ขาประสบการณ์ แบรนด์  UNSEEN THAI THAI/Soft Power/เรื่องเล่า/เส้นทางใหม่/กิจกรรมเชิงเรียนรู้

เมื่อ “โครงสร้าง” หนุน “เรื่องเล่า” และ “เรื่องเล่า” กลับไปขับ “โครงสร้าง” อย่างต่อเนื่อง ประเทศจะไม่ต้องเผชิญ Tourism War ด้วย “ราคา” อีกต่อไป แต่จะชนะด้วย “ความหมายและคุณค่า” ที่ผู้มาเยือนยินดีจ่าย—และอยากกลับมาอีก

ภาคผนวก  ไทม์ไลน์ย่อ   ปฏิบัติการเชื่อมโยงพื้นที่ นโยบาย

  • ก่อน 2568: กระทรวงวัฒนธรรมวางกรอบ “ไท ไทย” ขับเคลื่อน Soft Power ไทย
  • ต้น–กลาง 2568: ประเทศคู่แข่งเร่งเปิดแลนด์มาร์ก/เพิ่มเครือข่ายบิน/เดินหน้าวีซ่า อีเวนต์ยักษ์
  • ต.ค.–พ.ย. 2568: เชียงรายเร่งสำรวจทุนวัฒนธรรม แปลงสู่แผนเส้นทาง กิจกรรมชุมชน
  • 18 พ.ย. 2568: วธ. เชียงรายลงพื้นที่ บ้านห้วยน้ำกืน ทำ Cultural Mapping ดีไซน์ประสบการณ์
  • ปลาย 2568–ต้น 2569: ทดลองแพ็กเกจ/ตั้งตัวชี้วัด/ฟังเสียงผู้มาเยือน ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • ตลอด 2569: ขยายวงต้นแบบ ยกระดับมาตรฐาน ต่อยอดสู่ปฏิทินกิจกรรมเมืองรอง

ข้อมูลเหตุการณ์ภาคสนามใน จ.เชียงราย รวมถึงรายชื่อผู้ปฏิบัติงาน/วันเวลา/สถานที่ ลงพื้นที่ ฯลฯ อ้างอิงจากชุดข้อมูลที่ผู้ส่งข่าวจัดเตรียมให้โดยตรง (แหล่งข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ซึ่งผู้เขียนใช้เป็น “แกนหลัก” ในการเรียบเรียงไทม์ไลน์ และเชื่อมโยงกับแหล่งอ้างอิงสาธารณะระดับประเทศ/ภูมิภาคด้านนโยบายท่องเที่ยวและโครงสร้างเชิงระบบตามที่ระบุข้างต้น

บทความนี้ยึดหลัก ความเป็นกลาง ตรวจสอบได้ เคารพชุมชน เนื้อหาเชื่อมโยง “ข้อเท็จจริงพื้นที่” กับ “บริบทเชิงนโยบาย” เพื่อให้ผู้อ่านเชิงลึกสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงงาน/เชิงนโยบาย โดยหลีกเลี่ยงการคาดเดาตัวเลขนอกเหนือแหล่งอ้างอิงสาธารณะ และเสนอแนวปฏิบัติที่ จับต้องได้ วัดผลได้ ยืดหยุ่น ต่อสถานการณ์.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Economic Forum. Travel & Tourism Development Index 2024
  • OAG. Megahubs Index
  • Shanghai Disney Resort. Zootopia Land
  • Mandai Wildlife Group / National Geographic
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตามรอยรสชาติที่หายไป! เชียงรายนำ แกงแคไก่เมือง ขึ้นเวทีใหญ่ลำพูน พลิกภูมิปัญญาอาหารสู่รายได้

แกงแคไก่เมือง” จุดพลุ Soft Power เชียงราย จาก “รสชาติที่หายไป” สู่งานมหกรรม 10 จังหวัดภาคเหนือขายหมดเกลี้ยงที่ลำพูน เชื่อมเศรษฐกิจวัฒนธรรม–ท่องเที่ยว

ลำพูน/เชียงราย, 16 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นที่ “ข่วงพันปี ถนนรถแก้ว” เมืองลำพูน กลิ่นสมุนไพรพื้นบ้านคละคลุ้งอยู่เหนือแถวผู้คนที่ทอดยาวไปตามถนนสายวัฒนธรรม เสียงครกตำพริกแกงกระทบสากเป็นจังหวะ ก่อนควันบาง ๆ จากหม้อแกงขนาดใหญ่จะลอยสูงขึ้น ชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดสูดกลิ่นและหันตามสายตาไปยังป้าย “เชียงราย แกงแคไก่เมือง” เมนูที่ผู้จัดงานนิยามไว้ว่าเป็นหนึ่งใน “รสชาติที่หายไป” ของภาคเหนือ และในค่ำคืนนี้ มันกำลังกลับมาอย่างสง่างาม พร้อม “ยอดขายที่หมดเกลี้ยง” และเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับพลังของอาหารพื้นถิ่นต่อเศรษฐกิจวัฒนธรรม

งานมหกรรม “ตามรอยรสชาติอาหารที่หายไป The Lost Taste 10 จังหวัดภาคเหนือ” จัดขึ้นภายใต้ โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายอนุรักษ์–ฟื้นคืน–และเผยแพร่ “มรดกภูมิปัญญาอาหาร” ที่วันนี้เริ่มหาทานยาก จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำทีมโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยมี นายอนุสร เทพปินตา เป็นตัวแทนสาธิตและจำหน่ายอาหารจากเชียงราย 3 เมนู ได้แก่ แกงแคไก่เมือง (เมนูไฮไลต์), คั่วแห้มไก่เมือง, และ แกงจิ๊น (แกงเนื้อ)

บรรยากาศ “ถนนสายวัฒนธรรม”  กลิ่นสมุนไพรที่พาคนทั้งถนนหยุดเดิน

ภาพแรกที่เตะตาคือ “งานครัวกลางแจ้ง” ที่เปิดหน้าบ้านให้ผู้คนเห็นทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดผักป่า–ยอดผักพื้นบ้าน ไปจนถึงการผัดเครื่องแกงให้หอมขึ้นน้ำมัน ก่อนเติมไก่เมืองลงหม้อและเคี่ยวด้วยไฟพอดี บูธเชียงรายรายล้อมด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว หลายคนตั้งใจว่าจะแวะ “ชิมนิดหน่อย” แต่กลับกลายเป็นการเข้าคิวต่อเนื่อง เพราะ “กลิ่นแกง” ที่หอมฟุ้งไปไกลเกินกว่าจะปฏิเสธได้

แกงแคไก่เมือง” ไม่ใช่แกงเผ็ดธรรมดา หากเป็น “สารานุกรมกินได้” ของป่าและสวนหลังบ้าน ชื่อ “แค” ในที่นี้ มิได้หมายถึงดอกแคเสมอไป ทว่าเป็นรหัสของ “พืชผักหลายอย่าง” ที่ชุมชนเลือกมาใส่ตามฤดูกาล ความงามของแกงแคจึงอยู่ที่ “ความหลากหลาย” และ “ความสด” พริก ข่า ตะไคร้ ผักชีลาว ยอดมะม่วงหิมพานต์ (ในบางฤดู) ชะอม ปูนาแห้งเล็กน้อย (ในสูตรโบราณบางถิ่น) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่เล่าเรื่องภูมิปัญญาการกินของคนเหนือ ซึ่ง “หยิบของใกล้ตัวมาใช้” อย่างรู้คุณค่า และรู้จักสร้างสมดุลระหว่างโปรตีนจากไก่บ้านกับเส้นใย–สารต้านอนุมูลอิสระจากผักพื้นบ้าน

ผู้ร่วมงานจำนวนมากเลือกซื้อทั้ง 3 เมนูกลับบ้าน ท่ามกลางเสียงชื่นชมที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ บูธคล้ายกันว่า “หอมมาก กินแล้วคิดถึงบ้าน” และไม่นานนัก แกงทั้งสามชนิดก็จำหน่าย “หมดเกลี้ยง” ซึ่งไม่เพียงเป็นสัญญาณเชิงพาณิชย์ของ “รสชาติที่ยังมีคนโหยหา” หากยังสะท้อนความพร้อมของอาหารพื้นถิ่นเชียงรายในการขยับขึ้นสู่ “Soft Power” ที่จับต้องได้

จากครัวบ้านสู่ครัวมหกรรม  เหตุใด “แกงแคไก่เมือง” จึงทรงพลัง

  1. ตัวแทนชีวภาพของภูมิภาค   แกงแคผูกติดกับ “ฤดูกาล–ภูมิประเทศ” โดยตรง ผักแต่ละชนิดบอกพื้นที่ปลูกและป่าที่หากิน เมื่อยกหม้อแกงขึ้นโต๊ะ เท่ากับยกภูมิประเทศขึ้นมาด้วย
  2. โภชนาการในครัวเรือน   แกงแคเป็นเมนูที่ผสาน “โปรตีนเนื้อสัตว์ + ผักพื้นบ้านหลากชนิด” ได้ในจานเดียว สอดคล้องแนวคิดอาหารสุขภาวะร่วมสมัย
  3. เรื่องเล่า–ความคิดถึง–อัตลักษณ์   สำหรับชาวเชียงราย–ล้านนา แกงแคคือ “รสมือแม่–รสชุมชน” เมื่อถูกจัดวางในงานมหกรรม จึงกระตุ้นความผูกพันทางอารมณ์และความทรงจำร่วม

ผลลัพธ์คือ การขายหมดอย่างรวดเร็วของทั้ง 3 เมนู และ “แถวคอย” ที่ยังไม่สลาย แม้ป้าย “สินค้าหมด” จะถูกตั้งไว้แล้วก็ตาม

Soft Power ที่มีราก  เมื่อ “ทุนทางวัฒนธรรม” กลายเป็น “รายได้”

งานครั้งนี้เน้นชัดว่า อาหารพื้นถิ่นไม่ใช่เพียงวัตถุแห่งความทรงจำ แต่คือ “ทุน” ที่ต่อยอดเป็น “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ได้จริงในสามระดับ

  • ระดับผู้ประกอบการรายย่อย  ผู้ค้าย่อมมียอดจำหน่ายทันทีจากการเข้าร่วมงาน ขณะเดียวกันยังได้ “ฐานแฟน” ใหม่ ๆ ซึ่งติดตามไปสู่การสั่งจอง–พรีออเดอร์ในอนาคต
  • ระดับชุมชนและห่วงโซ่วัตถุดิบ  เมื่อเมนูได้รับความนิยม ความต้องการวัตถุดิบพื้นบ้านเพิ่มขึ้น เกิดการเชื่อมโยงกับเกษตรกรรายเล็ก–ผู้รวบรวมผักป่า–ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง
  • ระดับเมืองและการท่องเที่ยว  เมนูเด่นกลายเป็น “เหตุผลในการเดินทาง” นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งตั้งใจ “มากินที่ต้นทาง” สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนแก่ร้านอาหารชุมชน–โฮมสเตย์–ตลาดวัฒนธรรม

กล่าวได้ว่า “แกงแคไก่เมือง” ในบูธเชียงรายไม่ใช่หม้อแกงใบเดียว แต่คือ “แบบจำลองเศรษฐกิจวัฒนธรรม” ที่จุดติดได้จริงในพื้นที่สาธารณะ

บทบาทของหน่วยงานรัฐ  ทำอย่างไรให้ “รสชาติที่หายไป” อยู่ยาว

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน ทำหน้าที่ “ยกเวที–จัดแสง–เปิดพื้นที่” ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้นำเสนอเมนูที่เสี่ยงจะเลือนหายต่อหน้าสาธารณะ พร้อมสื่อสาร “คุณค่าทางวัฒนธรรม” ให้สาธารณชนเข้าใจว่า อาหารพื้นถิ่นคือองค์ความรู้รวมหมู่ ไม่ใช่เพียงสูตรลับส่วนตัว

ในทางปฏิบัติ บทบาทรัฐที่เห็นผลได้จริงในงานครั้งนี้มีอย่างน้อยสี่ประการ

  1. คัดเลือกเมนูเชิดชูอัตลักษณ์   เลือกเมนูที่สื่อความเป็นเชียงรายชัดเจน มีเรื่องเล่า มีวัตถุดิบเฉพาะถิ่น
  2. ยกระดับมาตรฐานการสาธิต   การทำครัวกลางแจ้งแบบเปิด เพื่อให้คนดู “เรียนรู้ผ่านสายตา” เข้าใจเครื่องแกง–ขั้นตอน–เหตุผลของวัตถุดิบ
  3. เชื่อมเครือข่ายผู้ประกอบการ   ดึงผู้ประกอบการที่มีความรู้และรสมือเป็นที่ยอมรับ เช่น นายอนุสร เทพปินตา มาเป็น “ครูภาคสนาม” ให้ผู้ชมได้ซักถาม
  4. เก็บข้อมูล–ต่อยอดเชิงนโยบาย   สำรวจความนิยมของเมนู–ความพร้อมของวัตถุดิบ–ศักยภาพขยายตลาด เพื่อนำไปออกแบบโครงการต่อเนื่อง

สูตรที่เล่าเรื่อง  เคล็ดลับของความ “หอมกรุ่น”

แกงแคไก่เมืองที่ขายหมดเกลี้ยงในคืนนี้ ไม่ได้โดดเด่นที่ “ความเผ็ด” หากโดดเด่นที่ “ความหอม” ซึ่งมาจากสามชั้นสำคัญ

  • ชั้นเครื่องแกง  พริก–ข่า–ตะไคร้–ผิวมะกรูด–กะปิ–กระเทียมตำสด ผัดให้หอมขึ้นน้ำมันก่อนเติมน้ำซุป
  • ชั้นผักพื้นบ้าน  ชะอม–ผักชีลาว–ยอดฟักทอง–ถั่วฝักยาว–ใบชะพลู (ขึ้นกับฤดูกาล) ที่ให้กลิ่นเฉพาะ
  • ชั้นเนื้อไก่เมือง  เนื้อแน่น–ไขมันน้อย เคี้ยวได้รสและกลิ่นควันไฟอ่อน ๆ เมื่อเคี่ยวพอดี

การเลือกไก่เมืองแทนไก่เนื้อทั่วไปทำให้ “น้ำแกงไม่เลี่ยน” และ “กลิ่นสมุนไพรชัด” ซึ่งสอดรับกับรสนิยมร่วมสมัยที่เน้นรสสมุนไพร–ผักพื้นบ้าน และการกินอย่างรู้แหล่งที่มา (origin)

คำถามสำคัญหลังหม้อแกง  จะทำอย่างไรให้ “ความนิยมวันนี้” กลายเป็น “เศรษฐกิจยั่งยืน”

การขายหมดในงานมหกรรมคือสัญญาณเริ่มต้น ไม่ใช่เส้นชัย หากต้องการให้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power เชิงระบบ ที่พาเชียงรายไปต่อ มีข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ 4 ด้านดังนี้

(1) มาตรฐาน–ถ่ายทอด–สร้างคนทำแกงรุ่นใหม่

  • จัดทำ “ชุดตำรับมาตรฐาน” (Standardized Recipe) ที่ยังยืดหยุ่นต่อฤดูกาล
  • เปิดคลาสสาธิตต่อเนื่องในจังหวัด เชื่อมครัวโรงเรียน–วิทยาลัยอาชีวศึกษา–มหาวิทยาลัย
  • สร้าง “ช่างทำแกงแคประจำชุมชน” ที่รับงานจัดเลี้ยง–ครัวเทศกาลได้

(2) วัตถุดิบ–ห่วงโซ่–การรับรองแหล่งที่มา

  • พัฒนาเครือข่ายผู้ปลูกผักพื้นบ้าน–ผู้เลี้ยงไก่เมือง พร้อม “ป้ายบอกแหล่งที่มา” ในงาน/ร้าน
  • ส่งเสริม “ตลาดนัดผักพื้นบ้าน” รายสัปดาห์ในเชียงราย เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงของสดง่ายและคงคุณภาพ

(3) เมนูต่อยอด–แพ็กเกจท่องเที่ยว–เส้นทางอาหาร

  • สร้างเมนูคู่ขวัญ (เช่น คั่วแห้ม–แกงจิ๊น) ให้เป็น “ชุดประสบการณ์ล้านนา”
  • ทำ “เส้นทางแกงแค” เชื่อมชุมชน–ครัวบ้าน–ร้านอาหาร–ตลาดวัฒนธรรม
  • ผนวกกิจกรรม “ครัวสาธิต” ในแพ็กเกจทัวร์เรียนรู้ เพื่อเพิ่มเวลาใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในเชียงราย

(4) การสื่อสาร–แบรนด์–ตลาดออนไลน์

  • สร้างแบรนด์ “Lost Taste Chiang Rai” ทำโลโก้–เรื่องเล่า–วิดีโอสั้น
  • เปิดพรีออเดอร์ชุดแกง (ชุดเครื่องแกง–ผัก–คู่มือ) จัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ
  • ใช้คอนเทนต์คู่ความรู้ เช่น สรรพคุณสมุนไพร–เรื่องเล่าฤดูกาล ช่วยสร้างการจดจำ

เสียงสะท้อนจากพื้นที่จัดงาน  “กินแล้วนึกถึงบ้าน”

แม้ในงานไม่ได้มีการจัดเวทีเสวนาเฉพาะของเชียงราย แต่ “สนามจริง” หน้าเตา–หน้าหม้อคือพื้นที่พูดคุยที่ดีที่สุด หลายครอบครัวเล่าให้กันฟังว่ารสนี้ “ทำให้คิดถึงแม่” บางคู่พาผู้สูงอายุมาชิม พร้อมอธิบายว่าครั้งหนึ่งเคยกินจากฝีมือคุณยายในงานบุญ สิ่งเหล่านี้คือ “ทุนทางความทรงจำ” ที่เงินโฆษณาซื้อไม่ได้ และเป็นแรงส่งให้เมนูพื้นถิ่นมีชีวิตอยู่ต่อในเศรษฐกิจร่วมสมัย

ก้าวถัดไปของเชียงราย  จากบูธมหกรรมสู่ “เมืองรสชาติ”

ความสำเร็จที่ลำพูนทำให้เห็นว่า เชียงรายมีศักยภาพจะประกาศตัวเองในฐานะ “เมืองแห่งรสชาติพื้นถิ่นล้านนา” ได้อย่างไม่ขัดเขิน และหากขยับอย่างเป็นระบบ เมืองสามารถมี “ปฏิทินอาหารพื้นถิ่น” รายไตรมาส จัดหมุนเวียนในอำเภอต่าง ๆ (เมือง–แม่สาย–เชียงแสน–เวียงชัย–เวียงเชียงรุ้ง ฯลฯ) เพื่อสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวในมิติใหม่ที่ผสานตลาดชุมชน–งานวัฒนธรรม–และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น

สำหรับหน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษาในพื้นที่ การจับมือกันทำ “ห้องทดลองอาหารพื้นถิ่น” (Living Lab) จะช่วยรวบรวมสูตร–เครื่องมือ–และความรู้การแปรรูป เช่น ชุดเครื่องแกงพร้อมปรุง–น้ำพริกแกงแคพร้อมใช้–ชุดผักแห้งอบกรอบเสริมใย–แคริ่งแพ็กเกจเพื่อคนเมืองที่อยากทำแกงแคเองในคอนโด แกนกลางของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “ขายได้” แต่คือ “รักษาได้” รักษาสูตร–รักษาฤดูกาล–รักษาผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เดินไปพร้อมเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยว

ประโยคชวนคิด  ถ้าหม้อแกงหนึ่งใบทำให้คนหันกลับมามองผักพื้นบ้านและไก่เมืองทั้งห่วงโซ่ได้ นั่นไม่ใช่แค่ยอดขายที่หมดเกลี้ยง หากคือ “ระบบคุณค่าที่กลับมามีชีวิต”

สรุปแกนความสำเร็จในลำพูน 

  • เมนูเชิดชูอัตลักษณ์  แกงแคไก่เมือง สื่อเรื่องฤดูกาล–ภูมิประเทศ–โภชนาการ
  • รูปแบบนำเสนอ  ครัวสาธิตกลางแจ้ง เห็นทุกขั้นตอน–ถามตอบได้จริง
  • ผลตอบรับ  ผู้คนต่อคิวยาว ยอดจำหน่าย 3 เมนู “หมดเกลี้ยง” ภายในงาน
  • โอกาสต่อยอด  สร้างแบรนด์รสชาติ–เส้นทางท่องเที่ยว–ชุดเครื่องแกงพร้อมปรุง–ตลาดผักพื้นบ้าน
  • หัวใจเชิงนโยบาย  รัฐเป็น “ผู้เปิดพื้นที่–เชื่อมเครือข่าย–คุ้มคุณค่า” เอกชน–ชุมชน–คนรุ่นใหม่เป็น “ผู้ทำให้เกิดจริง”

รายละเอียดภาคปฏิบัติ  ใคร–ทำอะไร–ที่ไหน

  • เวทีจัดงาน  ข่วงพันปี ถนนรถแก้ว (ถนนสายวัฒนธรรม) อำเภอเมืองลำพูน
  • กรอบงาน  มหกรรม “ตามรอยรสชาติอาหารที่หายไป The Lost Taste 10 จังหวัดภาคเหนือ” ภายใต้โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม
  • ผู้ร่วมดำเนินงานจากเชียงราย  สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ และคณะเจ้าหน้าที่
  • ผู้สาธิต/จำหน่าย (เชียงราย)  นายอนุสร เทพปินตา ผู้ประกอบการเชียงราย พร้อมเมนู แกงแคไก่เมือง, คั่วแห้มไก่เมือง, แกงจิ๊น
  • ผลตอบรับในงาน  ความสนใจล้นหลาม กลิ่นแกงโดดเด่น ทำให้สินค้าทั้ง 3 เมนูจำหน่ายหมดภายในงาน

 “รสชาติที่หายไป” กำลังกลับมาด้วยความภูมิใจร่วม

ค่ำคืนที่ลำพูนคือภาพจำว่า “รสชาติ” ไม่เคยหายไปจากผู้คน เพียงรอเวทีเหมาะสมให้กลับมาดังอีกครั้ง เชียงรายใช้โอกาสนี้อย่างงดงาม ยกเมนูพื้นบ้านขึ้นสู่พื้นที่สาธารณะ พูดภาษาเศรษฐกิจได้ชัดขึ้น และเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแบบลึกซึ้งในระดับชุมชน หากแรงส่งนี้ถูกต่อยอดด้วยโครงสร้างรองรับที่ดี มาตรฐานสูตร การถ่ายทอดทักษะ ห่วงโซ่วัตถุดิบ และการสื่อสารที่ร่วมสมัย แกงแคไก่เมือง” จะไม่เป็นเพียงเมนูที่ขายหมดในงานหนึ่งครั้ง แต่จะกลายเป็น “สัญลักษณ์รสชาติของเชียงราย” ที่เดินได้ไกลทั้งในตลาดไทยและสายตานานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เปิดตัว “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” 15 เมตร สานภูมิปัญญา 4 ชนเผ่า ตอกย้ำ UNESCO City of Design

เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ผลงานชิ้นเอกแห่งภูมิปัญญาล้านนาและการออกแบบระดับ UNESCO

เชียงราย,11 พฤศจิกายน 2568ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาสูง 15 เมตร ถักทอด้วยภูมิปัญญา 4 ชนเผ่า สืบสานพระปณิธานพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตอกย้ำสถานะ “City of Design” จังหวัดเชียงราย ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย บรรยากาศของการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในครั้งนี้มิได้เป็นเพียงงานรื่นเริงตามปกติธรรมดา แต่กลายเป็นเวทีแสดงศักยภาพด้านการออกแบบของจังหวัดเชียงรายในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ (City of Design)” ของ UNESCO อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านงานศิลปะชิ้นเอกที่ชื่อว่า “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” ซึ่งเป็นต้นคริสต์มาสไม้ไผ่สานสูงกว่า 15 เมตร ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ของชนเผ่าบนยอดดอยถึง 4 กลุ่มชาติพันธุ์

ซึ่งกำหนด 26 พฤศจิกายน 2568 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จะถูกประดับด้วยแสงไฟนับพันดวงจะส่องประกายขึ้นพร้อมกัน เวลาสร้างสรรค์ยาวนานหลายเดือน ในงานจะมีพิธีเปิดไฟอย่างยิ่งใหญ่ คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นจำนวนมากในช่วงไฮซีซั่นของจังหวัดเชียงราย

รากฐานของความสำเร็จ พระปณิธานที่ยั่งยืน

การจัดงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง” ในครั้งนี้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน แต่ปีนี้มีความพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาดอยตุง) กับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งจังหวัดเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 เพื่อสืบสานพระปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ดำเนินโครงการพัฒนาดอยตุงมาเป็นเวลากว่า 36 ปี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนชนเผ่าบนพื้นที่สูงให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการพัฒนาดอยตุงได้รับการยกย่องในระดับสากลว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะหลักการ “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่แก้ไขปัญหาความยากจนควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2556 สมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้รับรอง “แนวปฏิบัติสากลว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (United Nations Guiding Principles on Alternative Development)” ซึ่งมีรากฐานมาจากประสบการณ์ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ

ผลงานชิ้นเอก ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา

ภายใต้แนวคิด “The Magic of Chiang Rai” ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์โดยทีมงานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งสูงกว่า 15 เมตร โดยมีต้นคริสต์มาสขนาดเล็กอีก 6 ต้นล้อมรอบ สะท้อนถึงภูเขาหมอกแห่งดอยตุงและความหลากหลายของชนเผ่าในพื้นที่

สิ่งที่ทำให้ผลงานนี้โดดเด่นคือการประดับตกแต่งด้วยงานหัตถศิลป์จาก 4 ชนเผ่าหลักของเชียงราย ได้แก่ ชาวอาข่า ชาวลาหู่ ชาวลัวะ (ละว้า) และชาวไทใหญ่ โดยแต่ละลวดลายมีความหมายและเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ชาวอาข่า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีงานปักและลูกปัดที่ประดับตกแต่งอย่างประณีต สื่อถึงความอ่อนโยนและความขยันอดทนของสตรีชนเผ่า ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าสู่ลูกหลาน ลวดลายของชาวอาข่ามักใช้ลูกปัดและงานปักที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสะท้อนถึงความศรัทธาและความงดงามของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม

ชาวลาหู่ โดดเด่นด้วยลวดลายเรขาคณิตและการใช้สีตัดกันอย่างมีชีวิตชีวา สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับพลังงานของธรรมชาติและวิถีการดำรงชีวิต ผ้าทอของชาวลาหู่มีลักษณะที่โดดเด่นด้วยลวดลายที่สื่อถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ชาวลัวะ (ละว้า) มีเอกลักษณ์ในการทอที่เน้นความเรียบง่ายแต่แข็งแรง ใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้จากท้องถิ่น สื่อถึงความผูกพันกับผืนป่าและรากเหง้าของบรรพบุรุษ การทอผ้ามีความหนาแน่น ใช้เทคนิคมัดหมี่หรือมัดก่าน ลวดลายมีความเป็นเอกลักษณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่อากาศเย็น

ชาวไทใหญ่ นำเสนอลวดลายที่หลากหลายและซับซ้อน มักได้รับอิทธิพลจากลายน้ำไหลและดอกไม้บนดอยตุง สื่อถึงความอ่อนช้อยของวัฒนธรรมล้านนา การทอมีเทคนิคที่หลากหลาย เช่น ซิ่นลายน้ำไหล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมล้านนาในพื้นที่ราบ แต่ถูกปรับให้เข้ากับวัสดุและฝีมือของดอยตุง

การผสมผสานงานหัตถศิลป์จาก 4 ชนเผ่านี้บนโครงสร้างไม้ไผ่สาน ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความสามัคคี แต่ยังแสดงถึงการใช้วัสดุจากท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ตามแนวทางที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้บุกเบิกมาอย่างยาวนาน

ยอดของต้นคริสต์มาสถูกประดับด้วยริบบิ้นสีทอง เป็นสัญลักษณ์แทนความจงรักภักดีและการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขา

จาก Local สู่ Global ตอกย้ำ City of Design

ความสำคัญของต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้อยู่แค่ความงดงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็น “ต้นแบบ (Prototype)” สำหรับการสร้างสรรค์ต้นคริสต์มาสอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ นี่คือการตอกย้ำอย่างเป็นรูปธรรมถึงการเป็น City of Design ของเชียงราย ที่ไม่ได้มีเพียงแค่งานศิลปะบริสุทธิ์ แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและความภาคภูมิใจให้กับชุมชนชนเผ่าอย่างยั่งยืน

การที่จังหวัดเชียงรายได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ในสาขาการออกแบบ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 นั้น เป็นผลมาจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวในช่วงที่เชียงรายได้รับการรับรองว่า เมืองสร้างสรรค์ทั้ง 55 เมืองที่ได้รับการยอมรับจาก UNESCO นั้น เป็นเมืองที่กำลังเป็นผู้นำในการเพิ่มการเข้าถึงวัฒนธรรมและกระตุ้นพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

การส่งต่อ “ซอฟต์พาวเวอร์งานคราฟต์มาสเตอร์พีซ” จากดอยตุงสู่เวทีระดับประเทศ ทำให้เชียงรายเป็น “เดสติเนชันสำคัญของโลก” ในช่วงไฮซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสเสน่ห์แห่งอัตลักษณ์ล้านนาอย่างแท้จริง

ธุรกิจเพื่อสังคม สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดำเนินงานภายใต้ปรัชญาที่ว่า “อะไรที่ชาวบ้านถนัดและทำได้ดีอยู่แล้ว ก็ไปเสริมให้ดียิ่งขึ้น” จึงมุ่งผนวกภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการทำธุรกิจแบบสากล โดยได้ว่าจ้างนักออกแบบมาทำงานร่วมกับคนในท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีเอกลักษณ์ ได้คุณภาพตามมาตรฐาน และเป็นที่ต้องการของตลาดสากล

ผลงานที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่สวยงาม แต่ยังเป็นการสร้างงานและรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนชนเผ่า ทำให้พวกเขาไม่ต้องพึ่งพาการปลูกฝิ่นหรือทำลายป่าอีกต่อไป

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยกล่าวว่า “วันนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงทำงานต่างจากในอดีต เราไม่ได้เพียงแค่เข้าไปในพื้นที่และสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่เราทำสิ่งต่างๆด้วยการมีความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆเป็นลักษณะ Engagement เพิ่มมากขึ้น เราอยากมีเพื่อนที่เดินไปบนเส้นทางนี้มากขึ้น”

ในปี พ.ศ. 2557 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัลนิเคอิเอเชียจากหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวนิเคอิของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะองค์กรยอดเยี่ยมของเอเชียด้านการพัฒนาชุมชนและวัฒนธรรม สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากลของผลงานที่เกิดจากพระปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว เชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก

จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือ ตามสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี พ.ศ. 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6,193,932 คน คิดเป็นร้อยละ 24 ของนักท่องเที่ยวทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวรวม 25,783,263 คน โดยเชียงรายครองอันดับที่ 2 รองจากจังหวัดเชียงใหม่

การจัดงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ในช่วงไฮซีซั่น คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมเดินทางมาท่องเที่ยวภาคเหนือเพื่อชมทะเลหมอกและสัมผัสอากาศหนาว

งานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาชมความงดงามของต้นคริสต์มาสหมอกพันวาเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชนเผ่าบนพื้นที่สูง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2568 โดยมุ่งเป้าสู่การผลักดัน “ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” ผ่านแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ซึ่งเชียงรายในฐานะ UNESCO City of Design ถือเป็นจุดขายสำคัญที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และความสามารถในการสร้างสรรค์ของไทย

ความร่วมมือที่ขับเคลื่อนความสำเร็จ

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ประสบความสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น การที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เปิดพื้นที่ให้จัดงานและสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาคเอกชนในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ร่วมกับการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ได้ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่ดูแลให้งานสอดคล้องกับนโยบายด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและเทศบาลนครเชียงรายให้การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวก ในขณะที่จังหวัดเชียงรายทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือแบบบูรณาการนี้สะท้อนถึงความตระหนักร่วมกันว่า การพัฒนาท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย การที่ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาได้รับการพัฒนาเป็นต้นแบบให้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถถูกยกระดับและขยายผลไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้นได้

การเป็น UNESCO City of Design ของเชียงรายไม่ใช่เพียงแค่ตราสัญลักษณ์ แต่เป็นความรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมการออกแบบที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม

ในอนาคต จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน โดยใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรมล้านนา ภูมิปัญญาชนเผ่า และความหลากหลายทางชีวภาพ ผสมผสานกับนวัตกรรมและการออกแบบร่วมสมัย

เสียงจากผู้เกี่ยวข้อง มุมมองที่หลากหลาย

แม้ว่าข้อมูลที่นำเสนอจะไม่มีคำกล่าวโดยตรงจากผู้บริหารในงานครั้งนี้ แต่จากการศึกษาผลงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการพัฒนาดอยตุงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการทำงานที่ชัดเจน

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เคยกล่าวถึงหลักการทำงานว่า “เราต้องการให้ชาวบ้านมีทางเลือกในการดำรงชีวิต ไม่ใช่บอกว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นการสร้างทางเลือกที่ดีกว่า ที่ให้รายได้มากกว่า และยั่งยืนกว่า”

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงแนวทางการทำงานของมูลนิธิที่เน้นการเสริมพลังให้กับชุมชน ไม่ใช่การเข้าไปแก้ปัญหาแบบชั่วคราว แต่เป็นการสร้างศักยภาพให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว สำหรับชาวบ้านในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง ผลงานเช่นต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่ชื่นชม แต่เป็นตัวแทนของความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของตนเอง เป็นการพิสูจน์ว่างานหัตถกรรมที่พวกเขาทำมาตลอดชีวิตนั้นมีคุณค่าและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจ

โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โครงการได้ช่วยเหลือครัวเรือนในพื้นที่กว่า 11,284 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรประมาณ 50,000 คน ครอบคลุมพื้นที่ 150 หมู่บ้าน ใน 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย

รายได้ของครัวเรือนในโครงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปลูกข้าวโพดและพืชเชิงเดียวที่ให้รายได้น้อยและไม่แน่นอน เปลี่ยนมาเป็นการทำงานหัตถกรรม การปลูกกาแฟอาราบิก้า การปลูกมะคาเดเมีย และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งให้รายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่า ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการได้ช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้กว่า 7,165 ไร่ ทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมกลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง แหล่งน้ำที่เคยแห้งขอดกลับมามีน้ำไหลตลอดปี และความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมา

ในด้านสังคม โครงการได้ช่วยลดปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ จากการที่ชุมชนมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นหรือค้ายาเสพติด เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น และชุมชนมีความเข้มแข็งในการพึ่งพาตนเอง

ความท้าทายและโอกาส

แม้ว่าผลงานจะได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ การรักษามาตรฐานคุณภาพของงานหัตถกรรมในขณะที่ต้องเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเป็นเรื่องที่ต้องสมดุล การถ่ายทอดทักษะและภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่ที่อาจมีความสนใจในอาชีพอื่นๆ มากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ก็เป็นโอกาสในการพัฒนา การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการออกแบบ การจัดการผลิต และการตลาด สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น การสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงและการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ การเป็น UNESCO City of Design ช่วยเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเมืองสร้างสรรค์อื่นๆ ทั่วโลก เชียงรายสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของเมืองอื่นๆ ในเครือข่าย และนำความรู้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

บทเรียนสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน

ความสำเร็จของโครงการพัฒนาดอยตุงและการจัดงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ให้บทเรียนสำคัญหลายประการ

  • การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการเข้าใจบริบทของชุมชนและเคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ใช่การนำเอารูปแบบการพัฒนาที่สำเร็จที่อื่นมาใช้โดยไม่ปรับเปลี่ยน
  • การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องทำอย่างสมดุล ไม่ให้เกิดการแสวงหาผลกำไรจนลืมคุณค่าทางวัฒนธรรม และไม่ยึดติดกับการอนุรักษ์จนชุมชนไม่สามารถพัฒนาได้
  • ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่มีหน่วยงานใดที่สามารถทำงานสำเร็จได้ด้วยตัวเอง การสร้างเครือข่ายและพันธมิตรที่เข้มแข็งช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
  • การพัฒนาต้องให้ชุมชนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ไม่ใช่การพัฒนาให้ชุมชน แต่เป็นการพัฒนากับชุมชน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจ
  • การใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสามารถสร้างผลกระทบที่กว้างไกล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มากกว่าการพัฒนาแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

เชิญชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์

ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกท่านสามารถเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้ได้ด้วยการเดินทางมาชมผลงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” และงานศิลปะอื่นๆ ในงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ซึ่งจัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

พิธีเปิดไฟครั้งยิ่งใหญ่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก “แก้ม วิชญาณี” ศิลปินเสียงทรงพลังที่จะมาสร้างสีสันให้กับงาน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลากหลายตลอดช่วงเทศกาล รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนจากโครงการพัฒนาดอยตุงที่ผู้เข้าชมสามารถสนับสนุนชุมชนได้โดยตรง

การเดินทางมาชมงานไม่เพียงแต่เป็นการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม และการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

มองไปข้างหน้า อนาคตของเชียงรายและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในระดับสากล ในอนาคต คาดว่าจะมีโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น

จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการออกแบบและหัตถกรรมร่วมสมัย โดยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ การจัดเวิร์กช็อป และการแลกเปลี่ยนความรู้กับนักออกแบบและศิลปินจากทั่วโลก การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด เช่น วัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำ โครงการพัฒนาดอยตุง และชุมชนหัตถกรรม จะช่วยกระจายรายได้และสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งและมีคุณค่า

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การสร้าง Virtual Tour การใช้ Augmented Reality เพื่อเล่าเรื่องราวของงานศิลปะและวัฒนธรรม และการสร้าง Platform สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์ จะช่วยขยายการเข้าถึงและสร้างโอกาสใหม่ๆ

ที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เชียงรายต้องพัฒนาในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของตนเอง แต่ใช้จุดแข็งเหล่านี้เป็นฐานในการสร้างความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” และผลงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” เป็นมากกว่างานศิลปะหรือการจัดเทศกาล เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังเกี่ยวกับคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน และศักยภาพของการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก

จากต้นไม้ไผ่สานสูง 15 เมตรที่ตั้งอยู่หน้าศูนย์การค้า เราเห็นเรื่องราวของการสืบสานพระปณิธาน เห็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ถูกถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน เห็นความพยายามของชุมชนในการพัฒนาตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เห็นความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม และเห็นอนาคตของการท่องเที่ยวและการพัฒนาที่คำนึงถึงคน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

นี่คือ “The Magic of Chiang Rai” ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความงดงามที่มองเห็นได้ แต่เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับชุมชนและสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาดอยตุง)
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม – ข้อมูลการรับรอง UNESCO City of Design (2566)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – สถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย (2567)
  • สหประชาชาติ – United Nations Guiding Principles on Alternative Development (2556)
  • central pattana
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงราย World Sport Tourism เร่งแผนสนามบิน-อาสาสมัคร 1,000 คน รับ Spartan World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี

เชียงรายเดินเครื่อง “Spartan Super World Championship 2026–2028” ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด เร่งแผนสนามบิน ที่พัก อาสาสมัคร 1,000 คน วางเป้ารายได้ 800 ล้านบาท/ปี สู่สถานะ “World Sport Tourism Destination”

การประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแข่งขัน Spartan Super World Championship (SSWC) ที่สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เป็นสัญญาณชัดเจนว่า จังหวัดกำลัง “เปลี่ยนโหมด” จากการรับข่าวดีเรื่องสิทธิ์เจ้าภาพ ไปสู่การปฏิบัติจริงด้านโลจิสติกส์ เศรษฐกิจ และการสร้างแบรนด์เมืองในระยะยาว แกนกลางของแผน คือ (1) ความพร้อมของท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง-เชียงราย (CEI) ซึ่งมีแผนขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารระยะที่ 1 สู่ 6 ล้านคน/ปี, (2) โครงสร้างรองรับผู้เยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 60,000 คน/ปี ในสัปดาห์จัดงาน (ที่พัก ขนส่ง อาสาสมัคร 1,000 คน), และ (3) โมเดลกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้เป็น “เทศกาลกีฬา” ทั้งจังหวัด มากกว่าจะกระจุกตัวเฉพาะพื้นที่จัดสนามแข่ง ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า SSWC คือรายการชิงแชมป์โลกของระยะ “Super” (10 กิโลเมตร 25 ด่านอุปสรรค) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวครั้งแรกที่ Mammoth Lakes, แคลิฟอร์เนีย ในปี 2025 ก่อนส่งไม้ต่อให้เชียงรายในปี 2026–2028 ทำให้จังหวัดกลายเป็นเจ้าภาพชิงแชมป์โลกประเภทนี้รายแรกของเอเชีย และ 1 ใน 4 เมืองของโลกในวัฏจักรการจัดชิงแชมป์ของ Spartan ระดับโลกในช่วงเวลาดังกล่าว (ข้อมูลการเปิดตัว SSWC 2025 ที่สหรัฐฯ เผยแพร่โดย Spartan Thailand เมื่อ ต.ค. 2567; ส่วนสิทธิ์เชียงราย 2026–2028 มีการสื่อสารต่อเนื่องโดยหน่วยงานจังหวัด)

เชียงราย,6 พฤศจิกายน 2568 – “เปลี่ยนเมืองให้เป็นสนาม” ภารกิจของคณะทำงานคือการ “แปลงสิทธิ์เจ้าภาพ” ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้ ตั้งแต่การบินระหว่างประเทศเข้าสู่ CEI การจัดการรถโดยสารสาธารณะ ไปจนถึงการจัดหาที่พักหลายระดับราคารองรับผู้เข้าแข่งขันและผู้ติดตามจากกว่า 50 ประเทศ รวมแล้วมากกว่า 60,000 คนในสัปดาห์จัดงาน พร้อมเป้าหมายอาสาสมัครท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 1,000 คน เพื่อสร้างประสบการณ์ “ล้านนายิ้มสู้” ที่เป็นหัวใจของการสร้างภาพจำบนเวทีโลก (ข้อมูลกรอบการประชุมและเป้าหมายอาสาสมัครอ้างจากบันทึก/ข่าวสารหน่วยงานจังหวัด)

บนโต๊ะ มีปฏิทิน “ธันวาคม” วางเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะ SSWC ถูกวางให้จัดใน “ฤดูท่องเที่ยวสูงสุด” ของภาคเหนือ อากาศเย็นสบายและทิวเขาสีทองคือฉากหลังสมบูรณ์แบบของสนาม OCR แต่ก็แปลว่า ระบบรองรับต้อง “พร้อมกว่าปกติ” ทั้งสนามบิน ด่านตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร การขนส่งภาคพื้น และที่พักหลากหลายระดับราคาเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน ไม่ให้รายได้รั่วไหลไปอยู่ในระบบเครือโรงแรมใหญ่เพียงกลุ่มเดียว (แนวนโยบาย “เทศกาลกีฬา” เพื่อกระจายรายได้มีการสื่อสารในสื่อจังหวัดและหน่วยงานท่องเที่ยว)

ทำไม “Super World Championship” จึงเป็นดีลประวัติศาสตร์

  1. SSWC = 10 กม. 25 ด่านอุปสรรค
    ระยะ “Super” ของ Spartan เป็นขั้นที่ท้าทายกว่าสายเริ่มต้น (Sprint 5 กม.) แต่ยังเข้าถึงได้สำหรับมวลชน ทำให้เกิดฐานผู้เข้าร่วมและผู้ติดตามจำนวนมาก มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจปลายทาง ข้อมูลทางการตลาดของ Spartan ระบุรูปแบบนี้อย่างชัดเจน (10K/25 Obstacles) ซึ่งเผยแพร่ในช่องทางทางการของ Spartan Thailand
  2. เวทีโลกเพิ่งเปิดในปี 2025 ที่ Mammoth Lakes
    ปี 2025 นับเป็นครั้งแรกที่ Spartan เปิด “ชิงแชมป์โลกระยะ Super” อย่างเป็นทางการ โดยเลือก Mammoth Lakes รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเจ้าภาพเปิดประวัติศาสตร์ ก่อนส่งต่อสิทธิ์ให้ “เชียงราย” ในปีถัดไป สะท้อนทิศทางใหม่ของ Spartan ที่กระจายชิงแชมป์ไปหลายทวีป มากกว่าจะผูกอยู่กับอเมริกาเพียงจุดเดียว (ข้อมูลยืนยันจาก Spartan Thailand)
  3. บทบาทเชียงรายในระบบ “ชิงแชมป์โลกหลายประเภท”
    นอกเหนือจาก SSWC Spartan ยังมีรายการชิงแชมป์โลกประเภทอื่นกระจายอยู่ เช่น Trifecta ที่สปาร์ตา (กรีซ), Ultra, Beast ฯลฯ ซึ่งสะท้อน “พอร์ตการจัดชิงแชมป์ระดับโลก” ที่ต้องการกระจายความสนใจและฐานแฟนกีฬาไปหลายภูมิภาค (ข้อมูลอ้างอิงจากประกาศ/รายงานงานชิงแชมป์ปีต่าง ๆ และบันทึกข่าวสาร Spartan)

ความหมายเชิงกลยุทธ์ การที่เชียงรายถูกวางเป็นเจ้าภาพต่อเนื่อง 3 ปี (2026–2028) เท่ากับ “ยึดปฏิทินโลก” ได้ยาวๆ เมืองจะได้อานิสงส์สื่อระหว่างประเทศอย่างน้อยสามฤดูกาล และสามารถ “ล็อก” การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรอาสาสมัคร ห่วงโซ่อุปทานท่องเที่ยว ให้เกิดการเรียนรู้สะสม (learning curve) สร้างความคล่องตัวและลดต้นทุนจัดงานในปีถัดๆ ไป (แผนและกรอบการสื่อสารจากหน่วยงานจังหวัด)

เศรษฐกิจท้องถิ่น เป้าหมาย 800 ล้านบาท/ปี ทำได้จริงหรือไม่?

โจทย์ตัวเลขที่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายคือ รายได้ทางเศรษฐกิจ “ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี” หรือรวม 3 ปี “2,400 ล้านบาท” จากผู้เข้าร่วมและผู้ติดตามมากกว่า 60,000 คน/ปี หากเทียบกับกรณีศึกษางาน Spartan ระดับภูมิภาคที่จัดในไทยก่อนหน้า ซึ่งดึงผู้ร่วมงานราว 16,000 คนและประเมินรายได้ราว 300 ล้านบาท จะเห็นว่า SSWC มี “ฐานผู้เข้าชมใหญ่กว่า 3–4 เท่า” และมีสัดส่วนชาวต่างชาติสูงกว่า จึงมีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าโดยธรรมชาติ ทำให้ตัวเลข 800 ล้านบาท/ปีดู “เป็นไปได้” หากระบบรองรับพร้อมและแผนการตลาดเชื่อมการท่องเที่ยวทำงานได้จริง (กรอบอ้างอิงจากสื่อ Spartan/หน่วยงานไทยและบทเรียนงานก่อนหน้า)

สิ่งที่ต้องทำให้ได้ เพื่อไปถึงเป้า

  • จัดสรร “พอร์ตรายได้” ให้ครบทั้ง ที่พัก อาหาร เดินทาง ทัวร์วัฒนธรรม–สินค้าชุมชน (มิใช่รายได้ค่าบัตร–โลจิสติกส์งานเพียงด้านเดียว)
  • สร้าง “แพ็กเกจเชื่อมเมือง” เช่น เส้นทางวัฒนธรรมล้านนา–วิถีกาแฟชุมชน–เทรลสุขภาพ เพื่อยืดระยะพำนักเฉลี่ย (length of stay) และค่าใช้จ่ายต่อทริป
  • ตั้ง “โควตาเนื้อหาท้องถิ่น” ในกิจกรรมข้างสนาม ให้ผู้ประกอบการชุมชนได้สิทธิ์เข้าถึงผู้ชม/นักกีฬาอย่างเป็นธรรม (ข้อเสนอเชิงนโยบาย)

โครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน–ขนส่ง–ที่พัก คือ “สามขุมกำลัง”

(1) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง-เชียงราย (CEI) โครงการพัฒนาระยะที่ 1 โดย ทอท. (AOT) มีการสื่อสารเรื่องเป้า “ขยายขีดความสามารถ” ไปที่ราว 6 ล้านคน/ปี ควบคู่การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม เพิ่มหลุมจอดประชิดอาคาร และระบบสาธารณูปโภค ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับโจทย์การรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศในฤดูพีคและสัปดาห์จัดชิงแชมป์โลก (ข้อมูลเผยแพร่โดยแหล่งข่าวด้านอุตสาหกรรมการบิน/ท่องเที่ยวและการสื่อสารภายในเครือ AOT)

สาระสำคัญทางปฏิบัติ คือ “ไทม์ไลน์ก่อสร้าง ทดสอบระบบ เปิดใช้งาน” ต้องเสร็จทันก่อนธันวาคม 2026 โดยเฉพาะช่องทางตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร และจุดเชื่อมต่อภาคพื้น (ground transportation hub) มิฉะนั้น “ประสบการณ์ผู้โดยสาร” อาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ระดับโลกได้

(2) ระบบขนส่งภาคพื้น จังหวัดวางภาพรวมให้รถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ (ทั้งภายใน–ต่างจังหวัด) รับบท “แกนกลาง” เชื่อมจุดพักค้าง สนามแข่งขัน กิจกรรมทั่วเมือง ลดการพึ่งพารถเช่า/รถส่วนตัวซึ่งจะสร้างคอขวดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนของวันแข่งขัน (แนวทางตามกรอบการประชุมคณะทำงาน)

(3) กำลังที่พัก การหลั่งไหลของผู้เยี่ยมชมระดับ “หลักหมื่น” ในหน้าพีค ต้องแปลงเป็นบัญชีที่พักหลากหลายประเภท ตั้งแต่โรงแรมไฮเอนด์สำหรับสื่อ–นักกีฬาชั้นนำ ไปจนถึงโฮมสเตย์/เกสต์เฮาส์ชุมชน เพื่อ “กระจายรายได้” และสร้างประสบการณ์ “ล้านนาแท้” ซึ่งเป็นเนื้อหาไวรัลชั้นดีตามธรรมชาติ (แนวคิดเทศกาลกระจายทั่วจังหวัด)

สนามแข่งขัน 10 กม. 25 ด่าน ภูมิประเทศคือ “เวทีโชว์แบรนด์เชียงราย”

สนาม Super ต้องการเส้นทางธรรมชาติที่มีทั้งทางเขา ป่า พื้นที่เปิดโล่ง และโลจิสติกส์ภาคสนามสำหรับติดตั้งสิ่งกีดขวางมาตรฐานโลก อาทิ A-Frame Cargo, Atlas/Bucket Carry, Balance Element ฯลฯ หัวใจการออกแบบสนามในยุคสื่อดิจิทัลคือ ภาพจำ”  มุมกล้องที่พาโลกเห็นภูมิประเทศเชียงราย ความงามวัฒนธรรมล้านนา และพลังชุมชนเคียงข้างนักกีฬา ภาพถ่ายทอดสดเหล่านี้คือ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่ตีมูลค่าโฆษณาได้มหาศาล หากทีมโปรดักชันทำงานร่วมกับชุมชนอย่างพอดี (ข้อมูลคุณลักษณะระยะ Super อ้างอิงจากช่องทางทางการของ Spartan/สื่อ OCR) 

กำลังคน อาสาสมัคร 1,000 คน = เส้นเลือดใหญ่ของงาน

Spartan คือ “กีฬามวลชน” ที่ประสบการณ์หน้างานตัดสินความประทับใจ อาสาสมัครจึงเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทั้งด้านความปลอดภัย จัดคิวหลุมอุปสรรค เส้นทาง น้ำดื่ม การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศเชียร์ โจทย์เชียงรายคือ “คัด เลือก อบรม และดูแล” อาสาสมัครจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย ชุมชน ให้พร้อมใช้งานอย่างมืออาชีพ พร้อมสิ่งตอบแทน/สวัสดิการที่เป็นธรรม และการรับรองชั่วโมงจิตอาสา (กรอบเป้าหมายอาสาสมัครจากการประชุมคณะทำงาน)

แผนสร้างแบรนด์และมรดก (Legacy) ให้สามวันของการแข่ง “อยู่ในใจโลก” ไปอีกหลายปี

Brand Moment 1 – พิธีส่งมอบสิทธิ์จากสหรัฐฯ สู่เชียงราย (ปลายปี 2025)
เมื่อ SSWC 2025 ปิดฉากที่ Mammoth Lakes โอกาสทองของเชียงรายคือต้อง “ยึดไมค์โลก” ด้วยพิธีรับธง/ส่งมอบสิทธิ์ ภาพ “ธงไทยโบกไหวกลางจอโลก” คือคอนเทนต์ที่หน่วยงานรัฐ TCEB การท่องเที่ยว ควรร่วมออกแบบร่วมกับ Spartan ให้กลายเป็นพาดหัวสื่อกีฬา ท่องเที่ยวทันทีหนึ่งปีก่อนวันแข่งจริง (จุดตั้งต้นเชิงข้อมูลจากประกาศ SSWC 2025)

Brand Moment 2 – เนื้อหาไวรัลจากนักกีฬา
บทเรียนจากหลายอีเวนต์กีฬาโลกชี้ว่า “เสียงนักกีฬา” ที่ชื่นชมการต้อนรับ วัฒนธรรม อาหารท้องถิ่น มักกลายเป็นไวรัลข้ามประเทศ เชียงรายควรจัดทริปวัฒนธรรม/ธรรมชาติแบบ “เบาแต่ลึก” (soft itinerary) ก่อน หลังวันแข่ง ให้ทีมชาติชั้นนำและสื่อได้สร้างเรื่องเล่าด้วยตัวเอง สิ่งนี้ตีเป็นมูลค่า Earned Media ได้สูงกว่างบซื้อโฆษณาหลายเท่า

Brand Moment 3 – มรดกถาวรหลังปี 2028
ลงทุนสร้าง “ศูนย์ฝึก OCR ถาวร” หรือคงไว้ซึ่งเส้นทาง สิ่งกีดขวางมาตรฐาน เพื่อต่อยอดงานระดับภูมิภาค/APAC และค่ายฝึกซ้อมนานาชาติ รวมถึงห่วงโซ่ธุรกิจกีฬา อุปกรณ์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ให้โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นไม่กลายเป็น “สิ่งปลูกสร้างไร้การใช้งาน” หลังจบ 3 ปีแรก

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)

  1. ตั้ง “ศูนย์อำนวยการ SSWC เชียงราย” กลางจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด TCEB AOT ร่วมเป็น Co-Chair เชื่อมงานโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน/ขนส่ง/สนามแข่ง) กับการตลาด สื่อ ชุมชน
  2. Quarterly Milestones ของสนามบิน CEI รายงานความก้าวหน้าระยะที่ 1 ต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสายการบิน นักกีฬา และสื่อกีฬาโลก (เป้าหมาย 6 ล้านคน/ปี)
  3. Local Content Quota กำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของผู้ประกอบการชุมชนในโซนตลาด/คาเทอริ่ง/ทัวร์ ปักหมุด “Money to Community” ให้เห็นเป็นตัวเลข
  4. Green–Clean Event วางแผนจัดการขยะ ฟื้นฟูเส้นทางแข่งขันหลังงาน ภายใต้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อสมดุลเศรษฐกิจ ชุมชน ธรรมชาติ
  5. Post-2028 Plan ยื่นประมูลงาน OCR/กีฬาความทนทานระดับนานาชาติหมุนเวียนต่อเนื่อง พร้อมพัฒนา “แบรนด์เทศกาลกีฬาเชียงราย” รายปี

เสียงจากเวทีประชุม “จากสิทธิ์เจ้าภาพ สู่เมืองกีฬาของเอเชีย”

ผู้แทนจังหวัดสรุปกรอบทำงานว่า เป้าหมายไม่ใช่เพียง “จัดแข่งขันให้สำเร็จ” แต่คือการวางรากฐานระยะยาวให้เชียงรายก้าวสู่ World Sport Tourism Destination ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งแต่สายการบิน ผู้ประกอบการที่พัก ร้านอาหาร ชุมชนท่องเที่ยว มหาวิทยาลัย ไปจนถึงเครือข่ายสื่อท้องถิ่น/ระดับชาติ เพื่อเล่า “เรื่องเชียงราย” ให้ไปไกลกว่าผลการแข่งขัน (กรอบสารจากการสื่อสารของหน่วยงานจังหวัด)

เช็คพอยต์ความพร้อมสำคัญ (Key Readiness Checkpoints)

  • สนามบิน CEI ไทม์ไลน์ก่อสร้าง ระบบตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร จุดรับส่งกระเป๋า โหนดขนส่งภาคพื้น ต้องพร้อมใช้งานก่อน ธ.ค. 2026 (อ้างอิงแผนขยายขีดความสามารถโดย AOT/แหล่งข่าวอุตสาหกรรม)
  • สนามแข่งขัน ล็อกโลเคชัน ขออนุญาตพื้นที่ ออกแบบสิ่งกีดขวางมาตรฐาน 25 ด่าน วางแผนความปลอดภัยและการแพทย์สนามตามมาตรฐานสากลของ Spartan
  • ที่พัก ทำทะเบียนห้องพักพร้อมโควตาราคา คุณภาพ การขนส่งเชื่อมสนาม/แหล่งท่องเที่ยว
  • อาสาสมัคร 1,000 คน ออกแบบหลักสูตรอบรม ตารางผลัด สวัสดิการ ประกันอุบัติเหตุ
  • คอนเทนต์เมือง แพ็กเกจท่องเที่ยว วัฒนธรรม ของชุมชน พร้อมคู่มือสื่อในหลายภาษา

โอกาส 3 ปีที่อาจเปลี่ยนโฉมเมือง

หากวัดเพียงตัวเลขรายได้ 800 ล้านบาท/ปี เป้าหมายของเชียงรายก็ดู “เอื้อมถึง” เมื่อพิจารณาขนาดผู้เข้าร่วมและฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ กำไรที่แท้จริง” ของโครงการน่าจะอยู่ที่ มรดก ทั้งทักษะการจัดอีเวนต์ขนาดโลกของหน่วยงานจังหวัด เครือข่ายอาสาสมัครที่เข้มแข็ง ระบบขนส่ง ที่พักที่เชื่อมเมือง และแบรนด์ “เชียงราย” ในฐานะจุดหมายกีฬามวลชนบนภูมิประเทศที่แตกต่างในเอเชีย หากทุกฟันเฟืองเดินพร้อมกันตั้งแต่สนามบิน CEI ถึงโฮมสเตย์ชุมชน สามวันของการแข่งขัน สามารถ “อยู่ในใจโลก” ได้ สามปี และต่อยอดเป็น สามทศวรรษ ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • SSWC 2025 (Mammoth Lakes, USA)
  • Spartan Thailand
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • Spartan Race Thailand
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง-เชียงราย (CEI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยืนยัน 1 ม.ค. 69 วัดร่องขุ่นปรับค่าเข้าชมชาวต่างชาติเป็น 200 บาท พร้อมเพิ่มสิทธิ “เข้าชมถ้ำฟรี”

วัดร่องขุ่น” ขยับค่าเข้าชมชาวต่างชาติเป็น 200 บาท มีผล 1 ม.ค. 2569 ตอกย้ำคุณค่าศิลปะระดับโลก เดินหน้าแผนบริหารจัดการพื้นที่-ยกระดับประสบการณ์ผู้เยือน

เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 – อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติและผู้สร้าง “วัดร่องขุ่น” ยืนยันปรับค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจาก 100 บาทเป็น 200 บาทต่อคน เริ่ม 1 มกราคม 2569 โดยคนไทยยังเข้าชมฟรีเหมือนเดิม พร้อมเพิ่มสิทธิ “เข้าชมถ้ำฟรี” และ “ยืมผ้าถุงฟรี” เพื่อรักษามาตรฐานความเหมาะสมในการแต่งกาย ขณะที่ฝ่ายท่องเที่ยวมองเป็นโอกาสยกระดับคุณภาพ สอดรับแนวโน้มท่องเที่ยวคุณภาพสูงของเชียงราย

เช้าวันหนึ่งที่ “ขาวจัด—คมชัด—และงอกงาม”

ยามแสงเช้ากระทบปลีเสาศิลาปูนปั้นสีขาว เจิมประกายกระจกนับพันบนสิมวัด ภาพจำของ “วัดร่องขุ่น” หรือ “วัดขาว” ในอำเภอเมืองเชียงราย ยังทำให้ผู้มาเยือนหยุดหายใจสั้น ๆ ด้วยความตื่นตา วัดร่วมสมัยที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไม่เพียงเป็นหมุดหมายด้านศิลปวัฒนธรรม หากยังแปลงร่างเป็น “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่ต้องดูแล บำรุงรักษา และจัดการผู้เยือนนับล้านอย่างเป็นระบบ

ในฉากหลังอันงดงามนั้น ความเปลี่ยนแปลงสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น การปรับ “ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ” จาก 100 บาทเป็น 200 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยอาจารย์เฉลิมชัยยืนยันผ่านสื่อสังคมว่า การปรับราคาสะท้อน “ศักดิ์ศรีงานศิลปะระดับโลก” และช่วยรองรับต้นทุนการบริหาร ดูแล และรักษามาตรฐานพื้นที่อันซับซ้อนของวัดร่วมสมัยที่ยังคงสร้าง-ซ่อม-เสริมรายละเอียดไม่สิ้นสุด  

ทำไม “200 บาท” จึงสมเหตุสมผล เมื่อศิลปะต้องคู่มาตรฐานการจัดการ

มิติคุณค่าและความสากลของผลงาน วัดร่องขุ่นมิใช่วัดโบราณที่หยุดนิ่ง หากเป็น “โครงการศิลปกรรมขนาดใหญ่” ที่ค่อย ๆ เติบโตมาตลอดกว่าสองทศวรรษ การเพิ่มค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติเป็น 200 บาทจึงเป็นการ “ราคาให้สมคุณค่า” เมื่อเทียบกับแลนด์มาร์กทางศิลปะและพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกซึ่งประเมินค่าเข้าชมสูงกว่านี้หลายเท่า อาจารย์เฉลิมชัยชี้ว่า ราคาดังกล่าวยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเข้าชมสถานที่ศิลปะขนาดย่อมในต่างประเทศ และตน “รอจังหวะเหมาะสม” มาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนถึงวันนี้จึงแจ้งกำหนดใช้จริง

มิติมาตรฐานประสบการณ์ สิทธิพิเศษใหม่สองรายการ

มาตรการใหม่ไม่ใช่เพียง “ขึ้นราคา” แต่เป็น “ยกระดับแพ็กเกจประสบการณ์” ชัดเจนผ่าน 2 สิทธิพิเศษสำหรับผู้เข้าชมชาวต่างชาติ ได้แก่

  • เข้าชม “ถ้ำ” ฟรี ส่วนจัดแสดงงานศิลปะเฉพาะพื้นที่ของวัด ซึ่งเคยจำกัดหรือมีค่าใช้จ่ายตามโอกาส จะเปิดโอกาสให้สัมผัสมากขึ้นในบัตรเดียว
  • ยืมผ้าถุงฟรี เพื่อสนับสนุนความเหมาะสมตามธรรมเนียมการแต่งกายเข้าพื้นที่ศาสนา ลดภาระการเช่าจากร้านรอบวัด และทำให้การควบคุมมาตรฐานการแต่งกายละเอียดขึ้น (แนวปฏิบัติเรื่องการแต่งกายเข้าเขตพุทธาวาสและความยาวท่อนล่างมีการสื่อสารในช่องทางชุมชน ตัวอย่างข้อแนะนำสาธารณะเรื่องครอบไหล่/ยาวคลุมเข่า

มิติความเป็นธรรมคนไทยเข้าฟรีเหมือนเดิม

แม้จะขึ้นค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ แต่ คนไทยยังคงเข้าฟรี แนวทางที่วัดร่องขุ่นยึดถือมายาวนานเพื่อให้ชุมชนไทยเข้าถึงศิลปะร่วมสมัยได้ไม่เป็นภาระ (สอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบันที่สะท้อนว่า “ชาวต่างชาติ 100 บาท/คน ก่อนปรับเป็น 200 บาท”

ผลกระทบ “บวก” ที่คาดหมาย จากหน้าประตูวัดสู่เศรษฐกิจเมือง

การบริหารพื้นที่และความปลอดภัย วัดร่วมสมัยที่มีองค์ประกอบละเอียดอ่อน จากงานปูนปั้น กระจกโมเสก ไปจนถึงภูมิทัศน์และระบบทางเดิน ย่อมต้องมีต้นทุนดูแลสูง ทั้งงานทำความสะอาดเชิงเทคนิค การบำรุงซ่อมแซมเฉพาะทาง และการควบคุมฝูงชนช่วงพีก ค่าเข้าชมที่เพิ่มขึ้นถูกอธิบายว่า “คืนกลับ” ในรูปมาตรฐานการจัดการพื้นที่ที่เข้มขึ้น ตั้งแต่วัสดุ อุปกรณ์บุคลากร ไปจนถึงระบบอำนวยความสะดวก

การคัดกรองและยกระดับ “คุณภาพการเยือน” ประสบการณ์ของแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกชี้ว่า ราคาบัตรที่สะท้อนคุณค่าช่วย “คัดกรองความตั้งใจ” ของผู้เยือน ทำให้สัดส่วนผู้เข้าชมที่มุ่งหมายทางศิลปวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น กระตุ้นพฤติกรรมท่องเที่ยวรับผิดชอบ (responsible tourism) และลดแรงกดดันต่อทรัพยากร

เศรษฐกิจท้องถิ่นและคลัสเตอร์บริการเม็ดเงินจากผู้เยือนต่างชาติที่ “ไม่มากเกินไป” แต่ “เพียงพอ” ต่อการดูแลสถานที่ สามารถหมุนกลับสู่ห่วงโซ่บริการรอบวัดไกด์พื้นที่ ผู้ให้บริการขนส่ง ร้านอาหาร ของที่ระลึก และโฮมสเตย์ ในภาพใหญ่ระดับจังหวัด แนวโน้มนี้สอดคล้องกับนโยบายท่องเที่ยวคุณภาพและการใช้ soft power ของเชียงราย ซึ่งในช่วงหลังโควิดกลับมาฟื้นตัวดีแม้ตัวเลขเชิงลึกแบบรายจังหวัดต้องติดตามจากฐานข้อมูลรัฐอย่างเป็นทางการ แต่ทิศทางมหภาคสะท้อนผ่านดัชนีท่องเที่ยวและรายได้ท่องเที่ยวของประเทศที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง

ไทม์ไลน์และข้อเท็จจริงเชิงบริบท จาก “100 บาท” สู่ “200 บาท”

  • ก่อนหน้า หลายปีที่ผ่านมา วัดร่องขุ่นสื่อสารนโยบาย “คนไทยเข้าฟรีชาวต่างชาติ 100 บาท” ต่อเนื่อง
  • ประกาศใหม่ อาจารย์เฉลิมชัยยืนยัน ปรับเป็น 200 บาท เริ่ม 1 ม.ค. 2569 โดยให้เหตุผลด้านคุณค่าและต้นทุนการบริหารจัดการ พร้อมสื่อสารสิทธิพิเศษเพิ่มเติม
  • ระหว่างนี้ แนวปฏิบัติเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสมยังคงเข้มงวดคลุมไหล่/ยาวคลุมเข่าและมี “บริการผ้าถุง” เพื่อช่วยให้ผู้เยือนแต่งกายได้ตามธรรมเนียม

วิเคราะห์เชิงนโยบาย “ราคาบัตร” กับ “ธรรมาภิบาลแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม”

1) ราคาบัตรคือเครื่องมือกำกับคุณภาพ (price as a governance tool)
ในแหล่งมรดกหรือพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ราคารองรับบทบาทสำคัญ เป็นทั้ง “สัญญาณคุณค่า” และ “ทรัพยากรเพื่อบำรุงรักษา” ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (preventive conservation) ซึ่งเหมาะกับงานศิลปะที่เสี่ยงต่อการผุกร่อนจากฝุ่นละอองและความชื้น รวมถึงความเสียหายจากการสัมผัส

2) Differentiated pricing ความเป็นธรรมระหว่าง “เจ้าของวัฒนธรรม” กับ “ผู้มาเยือน”
การคงสิทธิคนไทยเข้าฟรี สะท้อนแนวคิด “ทำให้ศิลปะกลับสู่สังคมไทย” และยืนยันว่าชาวเชียงราย/ไทยยังเข้าถึงได้โดยไม่ถูกต้นทุนกีดกัน ขณะที่ “ผู้มาเยือนต่างชาติ” มีส่วนร่วมสมทบค่าดูแลที่สอดคล้องกับความสามารถในการจับจ่ายเป็นแนวทางที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายแห่งใช้

3) มาตรฐานประสบการณ์และความเหมาะสม (dress code)
การประกาศ “ยืมผ้าถุงฟรี” ลดแรงเสียดทานหน้างานแทนที่จะผลักภาระไปยังร้านค้าเอกชนเพียงด้านเดียว วัดเลือก “อำนวยความสะดวก” ภายใต้กรอบความเหมาะสมของพื้นที่ศาสนา ซึ่งท้ายที่สุดช่วยยกระดับภาพรวมประสบการณ์และความเคารพสถานที่

มุมมองผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความท้าทายที่ต้องสื่อสารให้ตรงจุด

แม้สังคมออนไลน์จำนวนหนึ่งอาจตั้งคำถามเรื่อง “ผลกระทบต่อจำนวนผู้เยือน” แต่ในมุมปฏิบัติ ค่าเข้าชม 200 บาทสำหรับผู้เดินทางข้ามพรมแดนซึ่งมักใช้จ่ายทริปละหลายพันถึงหลายหมื่นบาท แทบไม่ใช่ตัวแปรหลักในการตัดสินใจเดินทางเทียบกับ ความคุ้มค่าของประสบการณ์ และ เวลาเข้าชมที่ราบรื่น มากกว่า นอกจากนี้ การประกาศล่วงหน้าพร้อมเหตุผลชัดเจนและสิทธิพิเศษที่เพิ่มเป็นสิ่งสะท้อน “ธรรมาภิบาลการสื่อสาร” ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทัวร์ ไกด์ และแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตร ปรับข้อมูลบริการได้ทันกำหนด

ในทางกลับกัน ผู้ดูแลวัดจำเป็นต้อง ติดตามผลเชิงข้อมูล อย่างใกล้ชิดทั้งจำนวนผู้เยือนต่อวัน ช่วงพีก การร้องเรียนเรื่องแออัด/รอคิว ตลอดจนผลสะเทือนต่อร้านค้ารอบวัด เพื่อโยง “รายได้จากบัตร” กลับไปสู่งานพัฒนาพื้นที่และบริการเชิงประจักษ์ เช่น ป้ายทางเดินหลายภาษา ระบบเข้าคิวอัจฉริยะ ห้องน้ำสะอาด-เพียงพอ จุดพักร่ม ระบบอธิบายงานศิลป์ (interpretation) ที่เข้าถึงคนทั่วไปและผู้มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหว

เชียงรายในระยะยาว เมืองศิลปะ-วัฒนธรรม-ธรรมชาติ ที่ต้องบริหาร “สมดุล”

จังหวัดเชียงรายสะสมทุนทางวัฒนธรรม ศิลปะร่วมสมัย ธรรมชาติ และอีเวนต์คุณภาพไว้แน่นจากวัดร่องขุ่น สิงห์ปาร์ค พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงเทศกาลเชิงวัฒนธรรมหลากหลายล้วนวางเชียงรายไว้ในแผนที่ “ท่องเที่ยวคุณภาพ” ของไทย ในบริบทเช่นนี้ การปรับค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวหลักให้สมเหตุสมผลกับคุณค่าและต้นทุนดูแล ถือเป็น “องค์ประกอบหนึ่ง” ของยุทธศาสตร์ระยะยาวควบคู่กับการกระจายผู้เยือนไปยังอำเภอรอบนอก เส้นทางกาแฟ-ชา-ชุมชนสร้างสรรค์ และการพัฒนาการเดินทางสาธารณะภายในจังหวัด

คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับผู้เยือนต่างชาติ (สรุปเร็ว)

  • เตรียมงบค่าเข้าชม 200 บาท/คน เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569
  • คนไทยเข้าฟรี พกบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตน
  • แต่งกายสุภาพ คลุมไหล่ กางเกง/กระโปรงคลุมเข่า หากไม่พร้อม มีบริการยืมผ้าถุงฟรี ณ จุดเข้าชมตามประกาศล่าสุด
  • วางแผนเวลา ช่วงเช้าและบ่ายแก่ ๆ แสงสวย หลีกเลี่ยงช่วงพีกทัวร์รวม หากมากับครอบครัวหรือผู้สูงอายุให้เผื่อเวลาเดินชมมากขึ้น

 “ราคาบัตร” คือสัญญาและภารกิจดูแลมรดกศิลป์ร่วมสมัยของไทย

การขยับ “200 บาท” ของวัดร่องขุ่นจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขหน้าประตู หากเป็น “สัญญา” ระหว่างผู้สร้าง ผู้ดูแล และผู้มาเยือน ว่าศิลปะร่วมสมัยอันงอกงามของไทยจะได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานสากล พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่ากว่าเดิม ทั้งในมิติความงาม ความรู้ และความสงบในวิถีวัฒนธรรมล้านนา ขณะเดียวกัน ก็เป็นบททดสอบธรรมาภิบาล รายได้จากบัตรต้อง “ไหลกลับ” สู่คุณภาพหน้างานอย่างสัมผัสได้ เพื่อให้สังคมไทยและผู้มาเยือนทั่วโลกมั่นใจว่า ทุกบาทที่จ่าย คือการร่วมกันรักษา “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ชิ้นเอกของเชียงรายให้คงอยู่อย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดร่องขุ่น – Wat Rong Khun – White Temple , Chiang Rai , Thailand 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไทลื้อศรีดอนชัย จัดมหาบุญจุลกฐินครั้งที่ 21 ทอผ้าไตรเสร็จใน 24 ชม. พิสูจน์ศรัทธา

มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อ “ศรีดอนชัย” ครั้งที่ 21 ศรัทธา–หัตถศิลป์–สามัคคี ร่วมหล่อเลี้ยงลุ่มน้ำอิง อาราธนาพระอุปคุต” นำขบวน—อบจ.เชียงรายหนุน “4 สืบ” ขับเคลื่อน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ชายแดนโขง

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ริมสายน้ำอิงที่ทอดตัวคู่ชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ แสงประทีปราตรีปลายฝนต้นหนาวส่องประกายทาบร่างขบวนแห่ “อาราธนาพระอุปคุต” ผู้คุ้มครองพิธีบุญใหญ่ตามความเชื่อแห่งล้านนา ก่อนเสียงกลองปูจาและบทสาธยายศรัทธาจะพาเช้าวันใหม่เข้าสู่ “จุลกฐิน”—กฐินทันใจที่ต้องทำ “ให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง” ตั้งแต่ฝ้ายยังช่ออยู่บนกิ่งจนกลายเป็นผ้าไตรจีวรครบองค์ สัญญะที่ชาวศรีดอนชัยยืนยันต่อโลกว่า ศรัทธา – ความชำนาญ – ความพร้อมเพรียงของชุมชน ยังทำงานได้จริงในยุคสมัยนี้

ปีนี้เป็น ครั้งที่ 21 ของ “มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อวัดท่าข้ามศรีดอนชัย” จัดระหว่าง 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วัตถุประสงค์ “4 สืบ” อันเป็นกรอบคิดยุทธศาสตร์ที่ผนึก การสืบสานประเพณี–การถ่ายทอดองค์ความรู้–การธำรงพระธรรมวินัย–และการเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อยกระดับ Soft Power ของไทลื้อสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในลุ่มน้ำโขง

ฉากเปิด เช้าตรู่ที่ลมหายใจของชุมชน “สวด–สาน–ซ่อมสายใย”

เสียงระฆังวัดท่าข้ามศรีดอนชัยปลุกผู้คนสองฟากถนนเลียบแม่น้ำให้ตื่นพร้อมรอยยิ้มและเสื้อผ้าไทลื้อสีคราม–แดง–ดำ อันเป็นเอกลักษณ์ “ลื้อลายคำ” ขบวนแห่ อาราธนาพระอุปคุต เคลื่อนด้วยจังหวะศรัทธา—สัญลักษณ์ของ “ผู้คุ้มครองงานบุญใหญ่” ตามตำนานพระเจ้าอโศกและคติล้านนา ก่อนเข้าสู่กระบวนการสำคัญที่ต้องแข่งกับเข็มนาฬิกา จุลกฐิน หรือ กฐินทันใจ 24 ชั่วโมง ที่ทั้งหมู่บ้านจะ “ยกโรงทอ” ชั่วคราว—จาก เก็บฝ้าย–ปั่นด้าย–ตั้งหูก–ทอ–ย้อม–ตัดเย็บ—ให้สำเร็จเป็น ผ้าไตรจีวร เพื่อถวายกฐินภายในกำหนด

ในเชิงพิธีกรรม สิ่งนี้ไม่ใช่ “โชว์” แต่คือ พระวินัย ที่ทดสอบ ความพร้อมเพรียงและความละเอียดอ่อน ของชุมชน ทุกรอยมือบนด้าย ทุกจังหวะตีนกี่ คือวงจรการเรียนรู้ระหว่างวัย—เด็กเห็นมือพ่อแม่ ปู่ย่า ครูช่าง; คนหนุ่มสาวเห็นความอดทนเชิงงานฝีมือ; ผู้เฒ่าผู้แก่เห็น “คนรุ่นใหม่” ยืนเคียงข้าง และทั้งหมดเห็นกันและกัน ใต้แสงเดียวกันที่ชื่อว่า “ศรัทธาและความร่วมแรงร่วมใจ”

“4 สืบ” ของ อบจ.เชียงราย กรอบคิดที่ประกอบร่างพิธี–วัฒนธรรม–เศรษฐกิจ

การสนับสนุนของ อบจ.เชียงราย ในปีนี้เน้น “4 สืบ” เป็นเข็มทิศ

  1. สืบสานวัฒนธรรมประเพณี – รักษา จุลกฐิน และพิธีการไทลื้อ (การแต่งกาย อาหารถิ่น การแสดงพื้นบ้าน) ให้คงรูปและร่วมสมัย
  2. สืบศรีสมัย – ถ่ายทอด ความรู้การทอผ้า และงานฝีมือ “ลื้อลายคำ” ข้ามรุ่น พร้อมเปิดให้ ประยุกต์–ดัดแปลง อย่างมีขอบเขต เพื่อให้ อัตลักษณ์ ไม่ถูกตรึง แต่เติบโต
  3. สืบพระธรรมวินัย – คงหลัก กฐินภายใน 1 เดือน หลังออกพรรษาและกรอบ จุลกฐิน 24 ชั่วโมง ให้สมบูรณ์ถูกต้อง
  4. สืบสายสัมพันธ์ – ใช้งานบุญเป็นเวที เชื่อมผู้คน–เครือข่ายศรัทธา–หน่วยงาน และ นักท่องเที่ยว ให้มาร่วม “ทำ–เห็น–เรียนรู้” ไปพร้อมกัน

ผลที่สัมผัสได้ คือภาพของ “วัด–ชุมชน–โรงเรียน–ผู้สูงวัย–เยาวชน” ที่ร่วมยกงานวัฒนธรรมให้เป็น สินทรัพย์สาธารณะ ไม่ใช่ภาระ และเมื่อพิธีถูกออกแบบให้ “เปิดรับผู้มาเยือน” อย่างมีมารยาททางศาสนา งานบุญก็กลายเป็น หน้าต่างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่คนทั้งสองฟากโขงมองเห็นและอยากเดินเข้ามามีส่วนร่วม

อัตลักษณ์ไทลื้อ จากสิบสองปันนาสู่ “ศรีดอนชัย”—ผืนผ้าที่เล่าเรื่องคน

รากของ ศรีดอนชัย ผูกโยงกับการอพยพของไทลื้อจาก สิบสองปันนา อัตลักษณ์จึงถูกเก็บไว้ทั้งใน ภาษา–พิธีกรรม–เครื่องแต่งกาย–ผ้าทอ และความทรงจำร่วมของการตั้งถิ่นฐานริมโขง การมี พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ และพื้นที่เรียนรู้ชุมชน ทำให้คนรุ่นใหม่ “เห็น–จับ–ทอ” มรดกบรรพชนด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่เพียงผ่านรูปภาพ

ผ้าทอไทลื้อ จึงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่คือ คลังความรู้มีชีวิต ลาย–สี–เส้นใย—ล้วนบันทึกวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตของคนลุ่มน้ำอิง เมื่อถูกยกขึ้นสู่ จุลกฐิน ผืนผ้าไม่ใช่ของฝาก หากคือ “ของถวาย” ที่ต้องสะอาด งาม และถูกต้องตามระเบียบ พระสงฆ์ห่มผ้า—ชุมชนก็ห่มความภาคภูมิใจ

พระอุปคุต “ผู้คุ้มครองพิธีใหญ่” กับกลยุทธ์พิธีกรรมของชุมชน

ตำนาน พระอุปคุตเถระ ผู้มีอิทธิฤทธิ์คุ้มครอง “ปอยหลวง” ในสมัยพระเจ้าอโศก ถูกชาวล้านนาน้อมรับสู่พิธีใหญ่ของชุมชนมาเนิ่นนาน ในงานนี้ พิธีอาราธนาพระอุปคุต ทำหน้าที่เป็น “โล่พิธีกรรม” เพื่อขอพลังป้องกันอุปสรรคในภารกิจ 24 ชั่วโมง ที่ผิดพลาดไม่ได้—ทั้งเชิงเวลาและความถูกต้องตามพระวินัย

สัญลักษณ์ตัวเลข 9 ใน พิธีตักบาตรสามเณร 9 รูป ก็ถูกให้ความหมายถึง “ก้าวหน้า–รุ่งเรือง” และ “การสืบต่อพระศาสนา”—เป็นภาพย้ำว่าหาก “จุลกฐิน” คือการรวบรวมมือ พิธีพระอุปคุตก็คือการรวบรวมใจ ให้ทุกช่วงเวลาในงานบุญเดินหน้าอย่างร่มเย็น

24 ชั่วโมงที่ท้าทาย จากต้นฝ้ายถึงผ้าไตร—งานหัตถศิลป์ในโหมด “High-Stakes”

จุลกฐิน พิสูจน์ ความละเอียดอ่อน – ความเร็ว – ความพร้อมเพรียง ในคราวเดียว ขั้นตอนตั้งแต่ เก็บฝ้าย–ปั่น–กรอ–ตั้งหูก–ทอ–ย้อม–ตัด–เย็บ ต้องเดินโดยแทบไร้รอยสะดุด เพราะเส้นด้ายที่ขาดง่ายที่สุดคือ “ความร่วมมือ

ปีนี้ ชุมชนศรีดอนชัยยังย้ำบทบาท “เวทีถ่ายทอดข้ามรุ่น” ผ่านการมีส่วนร่วมของ โรงเรียนผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และครูช่างประจำหมู่บ้าน ขณะที่เวทีกิจกรรมรอบงานทำหน้าที่เป็น “ชั้นเรียนพื้นที่เปิด” สาธิตการทอ ซ่อมแซมอุปกรณ์กี่ทอมือ แนะนำการย้อมสีธรรมชาติ และเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ลอง “จับหูก” ด้วยตัวเอง—ความรู้จึงไม่เคลื่อนผ่านเอกสาร แต่เคลื่อนผ่านมือและสายตา

พิธี–การแสดง–ตลาดวัฒนธรรม เมื่อศิลปะทำให้ศรัทธามีสีสัน

ข้างพิธีกรรมหลัก คือ กาดหมั้วครัวแลง ตลาดพื้นบ้านที่ชวนชิม–ชวนดู–ชวนซื้อ ทั้งอาหารถิ่น เครื่องจักสาน ผ้าทอ และของทำมือ พร้อมการแสดง ฟ้อนดาบ–ฟ้อนซอ–สะล้อซอซึง จากเครือข่ายศิลปินท้องถิ่นและโรงเรียนในอำเภอเชียงของ แสงประทีปและโคมลอย ในค่ำคืนปัจฉิมบท คือฉากจบที่พาผู้คน “ยกคำอธิษฐานขึ้นฟ้า” และหอบความอิ่มเอมกลับบ้าน—ศิลปะจึงไม่ได้เป็นเพียงการประดับพิธี แต่เป็น เครื่องมือเชื่อมใจ–ดึงสายตา–ขยายเศรษฐกิจ

Soft Power เชียงของ–เชียงราย งานบุญที่เลี้ยงเศรษฐกิจฐานราก

การสนับสนุนของ อบจ.เชียงราย ทำให้งานบุญไม่ถูกมองเป็นกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม หากเป็น “ทรัพยากรสาธารณะ” ของจังหวัด ผลทางเศรษฐกิจที่เห็นได้คือ การค้าขายชุมชนคึกคัก สินค้า GI–Chiang Rai Brand–งานหัตถกรรมไทลื้อ ได้พื้นที่สื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค นักท่องเที่ยวที่เดินทางตามปฏิทินวัฒนธรรมก็มีเหตุผลใหม่ในการ “แวะ–พัก–ใช้เวลา” ในเชียงของยาวขึ้น โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวรายรอบ—ที่พัก โฮมสเตย์ คาเฟ่—ได้รับ อานิสงส์ อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ ทุนทางสังคม ของชุมชนก็ยิ่งแน่นด้วย “การลงมือทำร่วมกัน” ทุกปี

บทวิเคราะห์แบบไต่ระดับ ทำไม “จุลกฐิน – อุปคุต – ลื้อลายคำ” จึงยืนยาวและยั่งยืน

  1. คติ–วินัย–วิถี เชื่อมกันเป็นระบบ จุลกฐิน (วินัย 24 ชม.) – อุปคุต (โล่พิธีกรรม) – ลื้อลายคำ (วิถีงานฝีมือ) สร้าง “สามเหลี่ยมคุณค่า” ที่ต่างค้ำกันและกัน—จารีตคุ้มพิธี พิธีคุ้มงาน งานคุ้มจารีต
  2. พิธีคือแพลตฟอร์มสาธารณะ การตั้งเวทีการแสดง–ตลาดวัฒนธรรม–พื้นที่สาธิตงานช่าง ทำให้ “ผู้มาเยือน” ไม่ได้เป็นผู้ชมเฉย ๆ แต่เป็น ผู้มีส่วนร่วม—ยิ่งมีส่วนร่วม ยิ่งเกิดความเข้าใจ ยิ่งต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
  3. 4 สืบ = นโยบายเชื่อมปัจจุบันกับอนาคต “สืบสาน” รักษาราก; “สืบศรีสมัย” เติมทักษะใหม่; “สืบพระธรรมวินัย” รักษาแกนศรัทธา; “สืบสายสัมพันธ์” เชื่อมเครือข่าย—นี่คือเครื่องจักรสังคมที่ทำให้พิธีไม่เป็นเพียง “ของเมื่อวาน”
  4. คนคือดิจิทัลมีชีวิต การจดจำกระบวนการด้วยมือ–ตา–หู ทำให้ความรู้ไม่พึ่งพา “ไฟล์” เพียงอย่างเดียว หากอยู่ใน “คน”—ความเสี่ยงสูญหายลดลงด้วยการทำซ้ำทุกปี

ข้อเสนอเชิงมานุษยวิทยา–เชิงระบบ เติมความรู้เพื่อความยั่งยืน

  • บันทึกเชิงเทคนิคเชิงลึก แม้พิธีได้รับการบันทึกดี แต่ “คู่มือช่างจุลกฐิน” ที่ลงลึกเรื่อง ชนิดฝ้าย–สัดส่วนย้อม–การคุมเวลา–จุดเสี่ยงในแต่ละขั้น จะทำให้การถ่ายทอด แม่น–เท่าเทียม–สม่ำเสมอ มากขึ้น โดยยังคง “เสรีภาพเชิงสุนทรียะ” ของช่าง
  • สมดุลพิธี–ท่องเที่ยว การกำหนด โซน–เวลา–มารยาทการเยี่ยมชม ที่ชัดเจน จะช่วยคุ้มครอง “ความศักดิ์สิทธิ์” ไม่ให้ถูกความนิยมทำให้หลุดจากแกนพระวินัย
  • โครงสร้างแรงจูงใจคนรุ่นใหม่ เพิ่มแรงจูงใจผ่าน ทุนการศึกษาช่างทอ–ทุนทำวิจัยลายโบราณ–เวิร์กช็อปนานาชาติ ให้ “ลื้อลายคำ” กลายเป็น เส้นทางอาชีพ ที่ภาคภูมิใจและพึ่งพาตนเองได้

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “จุลกฐินคือกระจกที่สะท้อนว่าเรายังจับมือกันแน่น”

ในทุกคืนก่อนเสร็จงาน ผืนผ้าไตรที่กำลังขึ้นรูปคือ “จุดนัดพบ” ของรุ่นสู่รุ่น—เสียงครูช่างเตือนให้เบามือ เสียงหัวเราะเด็กที่เพิ่งจับฟืมครั้งแรก เสียงแม่ค้าตะโกนขายขนมพื้นบ้านริมกาดหมั้ว และเสียงสวดแห่งกุศลผลบุญ ทุกเสียงประกอบเข้าด้วยกันเป็น “ซาวด์แทร็กของชุมชน” ที่บอกว่า เรายังทำสิ่งยากด้วยกันได้ ในโลกที่รีบและหลวมมากขึ้นทุกวัน

ผ้าหนึ่งผืน หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธา–อาชีพ–อนาคต

“มหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อศรีดอนชัย” คือหลักฐานร่วมสมัยว่า พิธีกรรมที่เข้มแข็ง สามารถเป็นทั้ง โรงเรียน ชุมชน ตลาด และเวทีโลก พร้อมกันได้ เมื่อมี กรอบคิด (4 สืบ) มี แกนความเชื่อ (พระอุปคุต–พระวินัย) และมี อัตลักษณ์งานหัตถศิลป์ (ลื้อลายคำ) หนุนอยู่ด้านหลัง ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียงบุญส่วนบุคคล แต่คือ ทุนทางสังคม–วัฒนธรรม–เศรษฐกิจ ที่งอกเงยต่อเนื่อง

ในเช้าวันที่ผ้าไตรคลี่รับแสงแรก ชาวศรีดอนชัยอาจยังคงยิ้มแบบเดิม—ยิ้มที่เชื่อมั่นว่าความดีที่ทำร่วมกันจะไม่สูญเปล่า ยิ้มที่บอกลูกหลานว่า “ให้มือจำ–ให้ใจจำ” และยิ้มที่ชวนผู้มาเยือนว่า “ปีหน้า กลับมาอีกนะ มาช่วยกัน ‘สาน–ทอ–ถวาย’ ใน 24 ชั่วโมงที่สวยงามนี้ด้วยกัน”

KEY TAKEAWAYS

  • งานจัด 31 ต.ค.–2 พ.ย. 2568 ที่ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย อ.เชียงของ ครบ พิธีอาราธนาพระอุปคุต – จุลกฐิน 24 ชั่วโมง
  • อบจ.เชียงราย หนุนยุทธศาสตร์ “4 สืบ” เพื่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม–ศาสนา–เศรษฐกิจ
  • อัตลักษณ์ ไทลื้อ (ลื้อลายคำ) ถูกยกเป็น Soft Power ผ่านพิธี–การแสดง–ตลาดวัฒนธรรม
  • แนวโน้มสำคัญ งานบุญ = แพลตฟอร์มสาธารณะ ที่สร้างรายได้ เสริมความภูมิใจ และถ่ายทอดความรู้ข้ามรุ่น
  • ข้อเสนอ ทำ “คู่มือช่างจุลกฐิน” และกำหนด มารยาทการท่องเที่ยวเชิงพิธีกรรม เพื่อรักษาแกนพระวินัยและเสริมคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย
  • ชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย / พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ
  • เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News