Categories
TOP STORIES

ส่ง “อุยกูร์” กลับจีน ‘นานาชาติ’ หรือ ‘ไทย’ ใครทำถูก

รัฐบาลไทยชี้แจงการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ยืนยันดำเนินการตามหลักกฎหมายและความสมัครใจ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาแถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยดำเนินการส่งตัว ชาวอุยกูร์ 40 คน กลับสู่ประเทศจีน โดยยืนยันว่า เป็นการดำเนินการที่รอบคอบ เป็นไปตามหลักกฎหมาย และกระบวนการทางการทูตระหว่างสองประเทศ โดยคำนึงถึง สิทธิมนุษยชนและสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวกลับเป็นสำคัญ

การดำเนินการตามข้อตกลงไทย-จีน และความสมัครใจของผู้ถูกส่งตัว

รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ เป็นไปตามคำร้องขอจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลจีนได้แจ้งว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นพลเมืองของจีนที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการกระทำผิดทางอาญาหรืออาชญากรรมใดๆ

“รัฐบาลไทยไม่มีความต้องการที่จะควบคุมตัวบุคคลเหล่านี้ไว้อีกต่อไป เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของไทยเป็นเวลานานแล้ว การส่งตัวกลับไปยังมาตุภูมิเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และที่สำคัญ ทุกคน ยินยอมและสมัครใจ ที่จะเดินทางกลับจีน” นายภูมิธรรมกล่าว

การส่งตัวในครั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกระบวนการดำเนินงานได้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างใกล้ชิด

ติดตามตรวจสอบสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์หลังส่งตัวกลับ

เพื่อสร้างความมั่นใจในสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวกลับ รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลไทยจะเดินทางไปติดตามตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ในจีน โดยมี นายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนเดินทางไปในช่วง 7 วันแรกหลังจากการส่งตัว ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่รัฐบาลจีนให้การรับรองว่าชาวอุยกูร์ทุกคน จะได้รับความปลอดภัยและไม่ถูกดำเนินคดี

“ทางการจีนได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ชาวอุยกูร์เหล่านี้จะได้รับการดูแลอย่างดี รวมถึงการสนับสนุนด้านอาชีพและการดำรงชีวิตหลังจากกลับไปยังบ้านเกิด” รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติม

ความพยายามของรัฐบาลไทยในการหาประเทศที่สาม

นายภูมิธรรมยังได้กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในการหาประเทศที่สามเพื่อรองรับชาวอุยกูร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเคยส่งตัวกลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นสตรี เด็ก และผู้สูงอายุจำนวน 109 คนไปยังตุรกี อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่เหลือ ไม่มีประเทศที่สามใดเสนอรับตัวชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไป ทำให้รัฐบาลไทยต้องหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด

“รัฐบาลไทยพยายามหาทางออกที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลให้กับบุคคลกลุ่มนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อไม่มีประเทศที่สามรับรอง ทางออกที่เป็นไปได้และมีความปลอดภัยสูงสุดคือการให้พวกเขากลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีนว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน” นายภูมิธรรมกล่าว

กระแสต่อต้านจากนานาชาติ และการตอบสนองของรัฐบาลไทย

หลังจากมีรายงานการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยระบุว่า อาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement Principle)

ด้าน ลิซ ธรอสเซล โฆษกด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยรายละเอียดของการดำเนินการ รวมถึงให้รัฐบาลจีนรับรองความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินการทุกขั้นตอนตามหลักสากลและกฎหมายของประเทศ โดยยืนยันว่าไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ให้เห็นว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ จะถูกดำเนินคดีหรือได้รับอันตรายใดๆ

“ทางการจีน เปิดให้รัฐบาลไทยสามารถเดินทางไปตรวจสอบ ได้ทุกเมื่อ และหากพบว่ามีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อชาวอุยกูร์เหล่านี้ รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิของพวกเขา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ประเด็นด้านความมั่นคง และคำเตือนจากนานาชาติ

หลังจากการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ออกคำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทย โดยอ้างอิงถึง เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อปี 2558 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนในช่วงเวลานั้น

นอกจากนี้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งยังแสดงความกังวลว่าการดำเนินการของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม

ข้อสรุปและทิศทางต่อไป

การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ถือเป็น กรณีที่ละเอียดอ่อนทั้งในด้านสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยได้ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และได้รับการรับรองจากจีนว่าผู้ถูกส่งตัวจะได้รับการคุ้มครอง

แม้จะมีแรงกดดันจากนานาชาติ แต่รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินการที่สมเหตุสมผลและไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล โดยจะมีการติดตามและตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาจะได้รับการดูแลตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์

  • ประเทศไทยเคยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังตุรกี 109 คน เมื่อปี 2557 แต่ยังคงมีผู้ต้องกักในไทยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
  • UNHCR รายงานว่า ปัจจุบันยังคงมีชาวอุยกูร์อีก 8 คนที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทย โดยมี 5 คนเสียชีวิตระหว่างถูกกักขัง
  • หลักการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement Principle) เป็นข้อห้ามที่ปรากฏใน อนุสัญญาต่อต้านการทรมานของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยลงนามเป็นภาคี
  • การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้เป็นกรณีที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี และกำลังได้รับการจับตามองจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : UNHCR , กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น, สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไทย, แถลงการณ์จากรัฐบาลไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุม ไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความร่วมมือด้านการศึกษา

ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาสานต่อความร่วมมือ

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความสัมพันธ์ 50 ปีไทย-จีน

ไทย-ยูนนาน เดินหน้าพัฒนาการศึกษาร่วมกัน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ ห้องประชุมคำมอกหลวง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัด การประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “The Way Forward: Shaping the Future Thai-Yunnan Education” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและมณฑลยูนนาน ผู้แทนจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กรมการศึกษามณฑลยูนนาน และสื่อมวลชน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงไทย-ยูนนาน

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชียงรายเป็น ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมายาวนาน แม้ว่าปีนี้จะเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงรายและยูนนานนั้นมีความลึกซึ้งในระดับพี่น้อง

ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการจัดตั้ง สถาบันขงจื่อ และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร รวมถึงความร่วมมือด้าน การวิจัยเกี่ยวกับเห็ดรา สมุนไพร และชา-กาแฟ ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของยูนนาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

เชียงราย-ยูนนาน เมืองพี่เมืองน้อง มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและมณฑลยูนนานมี ความสัมพันธ์ฉันท์เมืองพี่เมืองน้อง มีความร่วมมือในด้าน เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะ การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ นักวิชาการจากทั้งสองประเทศ จะได้ร่วมกัน สร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยและจีนให้มีศักยภาพสู่ระดับสากล

จีนย้ำ! การศึกษาเป็นรากฐานสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืน

Mr. Tang Jiahua เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุนหมิง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อ สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการวิจัย

รวมถึงการจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการร่วมระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

5 ประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้

การประชุมได้แบ่งการหารือออกเป็น 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่:

  1. นโยบายและทิศทางความร่วมมือด้านการศึกษา
  2. การพัฒนาที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
  3. การแพทย์และสาธารณสุข
  4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  5. ภาษาและวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ยังมีการ ปาฐกถาพิเศษ โดย ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ นายหยิน เสียงหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน มหาวิทยาลัยการแพทย์คุนหมิง

กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการ

ผู้เข้าร่วมประชุมยังได้ เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมสมุนไพร ศูนย์เครื่องสำอาง SMEs โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและความร่วมมือในอนาคต

รวมถึงมี เสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “The Value of Thai-Chinese Education Cooperation in Advancing Human Capacity Development and Shared Growth” โดยมี ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และสมาคมนักศึกษาจีนในประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเติบโตอย่างยั่งยืน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง: ศูนย์กลางความร่วมมือไทย-จีน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อมความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างไทยและจีน ผ่าน โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการวิจัยร่วมกัน โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นการ วางรากฐานความร่วมมือด้านการศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News